บทความเสริม สี่ สรุปลักษณะนิสัยของพวกศัตรูของพระคริสต์และแก่นนิสัยของพวกเขา (ภาคที่หนึ่ง)
พวกเราจบสามัคคีธรรมเรื่องการสำแดงต่างๆ ของศัตรูของพระคริสต์เรื่องที่สิบห้าในการชุมนุมครั้งล่าสุด หลังจากสามัคคีธรรมทั้งสิบห้าเรื่องนี้แล้ว พวกเจ้าได้สรุปการสำแดงและแก่นแท้นานัปการของพวกศัตรูของพระคริสต์แล้วหรือยัง? พวกเจ้ามีแนวคิดพื้นฐานและความเข้าใจเกี่ยวกับพวกเขาหรือไม่? พวกเจ้าสามารถแยกแยะบุคคลที่มีแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ได้หรือไม่? (ข้าพระองค์สามารถแยกแยะกรณีที่ค่อนข้างชัดเจนทั้งหลายได้ แต่ข้าพระองค์ยังคงต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งในการแยกแยะกรณีที่ค่อนข้างแยบยลและเคลือบแฝง) วันนี้ พวกเรามาสรุปการสำแดงต่างๆ ของศัตรูของพระคริสต์จากสองแง่มุม แง่มุมแรกคือ ลักษณะนิสัยของพวกศัตรูของพระคริสต์ และแง่มุมที่สองคือ แก่นนิสัยพวกเขา การแยกแยะศัตรูของพระคริสต์จากสองแง่มุมนี้ย่อมง่ายขึ้นใช่หรือไม่? (ใช่) หากพวกเราสามัคคีธรรมน้อยลงและไม่ยกตัวอย่างมากนัก พวกเจ้าก็อาจจะไม่สามารถแยกแยะพวกเขาได้ ถ้าพวกเราสามัคคีธรรมกันมากขึ้น พวกเจ้าอาจจะเข้าใจ แต่พวกเจ้าก็อาจจะยังคงต้องใช้ความพยายามในการเปรียบเทียบคนเหล่านี้กับศัตรูของพระคริสต์เมื่อเห็นพวกเขาทำชั่ว การสรุปแก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์และการแยกแยะพวกเขาจากสองแง่มุมนี้ย่อมสามารถทำให้เรื่องนี้ชัดเจนขึ้นสำหรับเจ้า
I. ลักษณะนิสัยของพวกศัตรูของพระคริสต์
แง่มุมแรกคือ ลักษณะนิสัยของพวกศัตรูของพระคริสต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แง่มุมนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์ประเภทใดที่พวกศัตรูของพระคริสต์มี ความเป็นมนุษย์ประกอบด้วยอะไรบ้าง? ความเป็นมนุษย์ประกอบด้วยมโนธรรม เหตุผล ความซื่อตรง ศักดิ์ศรี รวมถึงความดีและความชั่วของมนุษย์ การแยกแยะลักษณะนิสัยของพวกศัตรูของพระคริสต์เกี่ยวข้องกับแง่มุมต่างๆ ของความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ก่อนอื่นพวกเรามาหารือกันถึงการสำแดงทั่วไปที่แสดงให้เห็นในความเป็นมนุษย์ที่ปกติ หรือลักษณะที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมี จงบอกเราเถิดว่า ในหมวดหมู่นี้มีเนื้อหาเฉพาะอะไรบ้าง? (ความซื่อสัตย์และความเมตตา) อะไรอีก? (สำนึกแห่งเกียรติ) การมีความซื่อตรงและสำนึกแห่งเกียรติเป็นสิ่งจำเป็นทั้งคู่ (ยังมีการแสดงความรัก ความผ่อนปรน การคำนึงถึง และการให้อภัยอีกด้วย) นั่นก็ใช่เช่นกัน พวกเรามาสรุปทั้งหมดนี้กันเถิด สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างแรกคือ ความเป็นมนุษย์ที่ปกติมีลักษณะของความซื่อสัตย์—นี่คือสิ่งเป็นบวกใช่หรือไม่? (ใช่) นอกจากนี้ ยังมีความเมตตาและจริงใจ และความจริงใจกับความซื่อสัตย์ก็มีความแตกต่างกันในแง่ของระดับ พวกเจ้าคิดว่าความเห็นอกเห็นใจเป็นสิ่งที่ควรรวมอยู่ในลักษณะนิสัยของคนเราหรือไม่? (ควร) ความเห็นอกเห็นใจสามารถจำแนกหมวดหมู่อยู่ภายใต้ความเมตตาได้หรือไม่? (ได้) คนคนหนึ่งที่มีหัวใจอันเมตตาย่อมจะมีความเห็นอกเห็นใจอย่างแน่นอน จากนั้นก็มีความเรียบง่ายและสำนึกแห่งเกียรติ สำนึกแห่งเกียรติประกอบด้วยศักดิ์ศรี การรู้จักตนเอง และเหตุผล ต่อไปคือความซื่อตรง การสำแดงของความซื่อตรงมีอะไรบ้าง? สิ่งเหล่านี้ประกอบด้วยสำนึกของความยุติธรรม การชิงชังความชั่ว การเกลียดชังความเลวร้าย และการชื่นชอบสิ่งที่เป็นบวก หากคนเรามีความซื่อตรงเพียงอย่างเดียว เช่นนั้นย่อมไม่เพียงพอ หากพวกเขาขาดความอดทนและการผ่อนปรน พูดจาโผงผางโดยไม่คำนึงถึงสภาวะของผู้คนหรือรูปการณ์แวดล้อม นั่นย่อมไม่เหมาะสม และลักษณะนิสัยของพวกเขาก็มีความบกพร่องบางประการ ยังมีความผ่อนปรนกับความอดทนซึ่งล้วนเป็นการสำแดงเฉพาะของความเมตตา และแน่นอนว่า สามารถนับเป็นลักษณะอย่างหนึ่งได้ เหล่านี้คือลักษณะที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมี ได้แก่ ความซื่อสัตย์ ความเมตตา ความจริงใจ ความเรียบง่าย สำนึกแห่งเกียรติ ความซื่อตรง กับความผ่อนปรนและความอดทน—รวมทั้งหมดเจ็ดประการ ลักษณะที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมีเหล่านี้สามารถใช้เป็นเกณฑ์ประเมินว่าคนคนหนึ่งมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่ อย่างไรก็ดี หัวข้อสามัคคีธรรมในวันนี้ไม่เกี่ยวกับการสำแดงเฉพาะของลักษณะต่างๆ ที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมี หรือว่าบุคคลใดมีลักษณะเหล่านี้บ้าง แต่พวกเรากำลังจะสามัคคีธรรมหัวข้อที่ว่า “ลักษณะนิสัยของพวกศัตรูของพระคริสต์เป็นอย่างไรกันแน่” เมื่อเปรียบเทียบกับแง่มุมอันหลากหลายของลักษณะนิสัยปกติที่เพิ่งกล่าวถึง ศัตรูของพระคริสต์มีลักษณะเหล่านี้บ้างหรือไม่ หรือพวกเขามีลักษณะใดบ้าง? (พวกเขาไม่มีลักษณะเหล่านี้เลย) ในเมื่อเจ้ามีความเห็นเกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์เช่นนี้แล้ว พวกเรามาสรุปกันเถิดว่า องค์ประกอบใดในลักษณะนิสัยของพวกศัตรูของพระคริสต์ทำให้ผู้คนจำแนกพวกเขาเป็นพวกศัตรูของพระคริสต์ และแสดงให้เห็นว่าคนเหล่านี้มีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดี พวกเขาขาดความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และมีความเป็นมนุษย์แบบพวกศัตรูของพระคริสต์ หากใครบางคนมีการสำแดงหนึ่งหรือสองประการจากการสำแดงของความเป็นมนุษย์ที่ปกติต่างๆ นานาที่สรุปไว้ก่อนหน้านี้ พวกเขาก็อาจมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติอยู่บ้าง หากพวกเขามีการสำแดงทั้งหมด เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติมากที่สุด แต่ศัตรูของพระคริสต์ไม่มีลักษณะเหล่านี้เลย แล้วความเป็นมนุษย์ของพวกเขาประกอบด้วยอะไรบ้างกันแน่? พวกเรามาสามัคคีธรรมในแง่มุมนี้กันก่อนเถิด
ก. โกหกเป็นนิสัย
ลักษณะแรกที่มีอยู่ในลักษณะนิสัยที่ปกติคือความซื่อสัตย์ ลักษณะนิสัยของพวกศัตรูของพระคริสต์มีความซื่อสัตย์อยู่หรือไม่? ชัดเจนว่า ศัตรูของพระคริสต์ขาดความเป็นมนุษย์ที่ซื่อสัตย์ กล่าวคือ ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาตรงกันข้ามกับความซื่อสัตย์อย่างแน่นอน แล้วองค์ประกอบใดของความเป็นมนุษย์ที่ผิดปกติซึ่งตรงกันข้ามกับความซื่อสัตย์ที่พวกศัตรูของพระคริสต์มีในความเป็นมนุษย์ของพวกเขา? (พวกเขามักพูดโกหกและล่อลวงผู้คน) พวกเราสามารถกล่าวได้ว่าการพูดโกหกเป็นนิจสินเหมือนกับการโกหกเป็นนิสัยหรือไม่? การสรุปเช่นนี้จำเพาะเจาะจงขึ้นไม่ใช่หรือ? หากพวกเราพูดว่าคนคนนี้โกหกเสมอหรือไม่ค่อยพูดความจริง นั่นยังไม่เพียงพอ หากพวกเราใช้การแสดงออกเช่น “เต็มไปด้วยการโกหก” มาบรรยายลักษณะนิสัยของพวกเขา นั่นไม่เป็นทางการพอ ดังนั้น การใช้คำว่า “โกหกเป็นนิสัย” มาบรรยายพวกเขาและแสดงให้เห็นว่าความเป็นมนุษย์ของพวกศัตรูของพระคริสต์ไม่ซื่อสัตย์ย่อมเหมาะสมมากกว่า การ “โกหกเป็นนิสัย” คือคุณลักษณะแรก—เป็นสิ่งที่มักจะสำแดงและเผยให้เห็นในความเป็นมนุษย์ของพวกศัตรูของพระคริสต์อยู่เป็นนิจ นี่จึงควรเป็นลักษณะที่พบบ่อยที่สุด สังเกตเห็นง่ายที่สุด และแยกแยะได้ง่ายที่สุดที่ผู้คนอาจพบเจอ ด้วยเหตุนี้ สามัคคีธรรมเรื่องการสำแดงเฉพาะของการโกหกเป็นนิสัยนั้นควรค่าหรือไม่? (ควรค่า)
ความเป็นมนุษย์ของพวกศัตรูของพระคริสต์นั้นไม่ซื่อสัตย์ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่มีความสัตย์จริงแม้แต่น้อย ทุกสิ่งที่พวกเขาพูดและทำล้วนมีเจตนาและเป้าหมายของพวกเขาเองปลอมปนอยู่ และทั้งหมดนั้นก็ซ่อนเร้นเล่ห์เหลี่ยมและกลอุบายของพวกเขาที่ไม่อาจเอ่ยถึงและไม่อาจพูดออกมาได้เอาไว้ ดังนั้นวาจาและการกระทำของศัตรูของพระคริสต์จึงด่างพร้อยเหลือเกินและเต็มไปด้วยความเทียมเท็จอย่างยิ่ง ไม่ว่าพวกเขาจะพูดมากเท่าใด ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่าคำใดจริง คำใดเท็จ คำใดถูก และคำใดผิด นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่ซื่อสัตย์ และความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาก็ซับซ้อนยิ่ง เต็มไปด้วยกลอุบายที่คิดคดและเล่ห์เหลี่ยมมากมาย สิ่งที่พวกเขาพูดไม่มีสิ่งใดตรงไปตรงมา พวกเขาไม่พูดว่าหนึ่งคือหนึ่ง สองคือสอง ใช่คือใช่ และไม่ใช่คือไม่ใช่ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับพูดอ้อมค้อมในทุกเรื่องและตรึกตรองสิ่งต่างๆ อยู่ในใจหลายครั้ง ขบคิดถึงผลสืบเนื่อง ชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียจากทุกแง่ทุกมุม จากนั้นพวกเขาก็ใช้ภาษาปรับเปลี่ยนสิ่งที่พวกเขาอยากพูด จนทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาพูดฟังดูชอบกลเอาการ ผู้คนที่ซื่อสัตย์ไม่เคยเข้าใจสิ่งที่คนพวกนี้พูดและถูกพวกเขาหลอกลวงและตบตาโดยง่าย และใครก็ตามที่พูดและสื่อสารกับคนพวกนี้ย่อมพบว่าเป็นประสบการณ์ที่เหน็ดเหนื่อยและตรากตรำ พวกเขาไม่เคยพูดว่าหนึ่งคือหนึ่งและสองคือสอง พวกเขาไม่เคยพูดว่าพวกเขากำลังคิดอะไร และพวกเขาไม่เคยอธิบายสิ่งต่างๆ ตามที่เป็น ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาพูดล้วนมิอาจหยั่งได้ และเป้าหมายและเจตนาแห่งการกระทำของพวกเขานั้นซับซ้อนมาก ถ้าความจริงเผยตัวออกมา—ถ้าผู้อื่นจับได้ไล่ทันพวกเขา—พวกเขาก็จะรีบปรุงแต่งเรื่องโกหกขึ้นมาอีกเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยง คนแบบนี้มักจะโกหกอยู่เป็นนิจ และหลังจากโกหกแล้ว พวกเขาก็ต้องพูดโกหกอีกเพื่อรักษาเรื่องโกหกนั้นเอาไว้ พวกเขาหลอกลวงผู้อื่นเพื่อซ่อนเจตนาของตน แต่งเรื่องแก้ตัวและข้ออ้างสารพัดอย่างมาสนับสนุนเรื่องโกหกของตน เพื่อให้ผู้คนบอกได้ยากยิ่งว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง และผู้คนก็ไม่รู้ว่าเมื่อใดพวกเขากำลังพูดเรื่องจริง และยิ่งไม่รู้ว่าเมื่อใดพวกเขากำลังพูดเรื่องโกหก เวลาพวกเขาโกหก พวกเขาไม่ได้หน้าแดงหรือสะดุ้งสะเทือน ราวกับว่าพวกเขากำลังพูดเรื่องจริงก็ไม่ปาน นี่หมายความว่าพวกเขาพูดโกหกเป็นนิสัยมิใช่หรือ? ตัวอย่างเช่น บางครั้งดูอย่างผิวเผิน ศัตรูของพระคริสต์ก็เหมือนจะดีกับผู้อื่น คำนึงถึงผู้อื่น และพูดจาอบอุ่นซึ่งฟังดูมีเมตตาและชวนให้ตื้นตัน กระนั้นในยามที่พวกเขาพูดจาแบบนี้ กลับไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าพวกเขาจริงใจหรือไม่ และต้องรอให้เกิดเรื่องในอีกไม่กี่วันต่อมาเสมอ จึงจะเผยให้เห็นว่าพวกเขาจริงใจหรือไม่ ศัตรูของพระคริสต์พูดจาโดยมีเจตนาและเป้าหมายบางอย่างอยู่ตลอดเวลา และไม่มีใครเข้าใจว่าแท้จริงแล้วพวกเขาต้องการอะไรกันแน่ ผู้คนเช่นนี้โกหกเป็นนิสัยและไม่คำนึงถึงผลที่เรื่องโกหกของตนจะนำมาให้ ตราบใดที่เรื่องโกหกของพวกเขาเป็นประโยชน์ต่อตนเองและสามารถตบตาผู้อื่นได้ ตราบใดที่เรื่องโกหกทำให้พวกเขาสามารถบรรลุเป้าหมายได้ พวกเขาก็ไม่สนใจว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร ทันทีที่พวกเขาถูกเปิดโปง พวกเขาจะปกปิด โกหก ตบตาต่อไป หลักการและวิธีการที่คนพวกนี้ใช้วางตนและติดต่อเจรจากับชาวโลกคือการใช้เรื่องโกหกหลอกผู้คน พวกเขาตีสองหน้าและพูดจาให้เหมาะกับผู้ฟังของพวกเขา พวกเขาเล่นบทบาทตามที่สถานการณ์เรียกร้อง พวกเขาลื่นไหลและแนบเนียน ปากของพวกเขาเต็มไปด้วยคำโกหก และพวกเขานั้นไว้ใจไม่ได้ ผู้ใดก็ตามที่ติดต่อกับพวกเขามาระยะหนึ่งย่อมถูกชักพาให้หลงเชื่อหรือรู้สึกไม่สบายใจ และไม่สามารถรับการจัดเตรียม ความช่วยเหลือ หรือความเจริญใจได้ ไม่ว่าคำพูดจากปากของคนเช่นนี้จะร้ายกาจหรือดี มีเหตุผลหรือไร้สาระ สอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับความเป็นมนุษย์ หยาบหรือมีอารยะก็ตาม ในแก่นแท้แล้วล้วนเป็นเรื่องเทียมเท็จ เป็นคำพูดที่มีสิ่งปลอมปน และเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น
ในบรรดากลุ่มคนที่เป็นศัตรูของพระคริสต์นั้น การโกหกเป็นนิสัยเป็นหนึ่งในลักษณะสำคัญ จากการใช้ภาษา วิธีการพูด ท่าทางการแสดงออก ความหมายในคำพูดและเจตนาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของพวกเขา ทำให้คนเรามองเห็นอย่างชัดเจนว่าคนเหล่านี้ขาดความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และพวกเขาไม่มีมาตรฐานความเป็นมนุษย์ของคนที่ซื่อสัตย์ ศัตรูของพระคริสต์โกหกเป็นนิสัย การโกหกและการหลอกลวงของพวกเขาร้ายแรงกว่าคนส่วนใหญ่มาก นี่ไม่ใช่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั่วไป แต่ได้กลายเป็นการสูญเสียมโนธรรมและเหตุผล และขาดความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิงไปแล้ว โดยพื้นฐานแล้ว คนเหล่านี้คือปีศาจ ปีศาจที่มักโกหกและหลอกลวงผู้คนในหนทางนี้ สิ่งที่พวกเขาพูดไม่มีความจริงเลย เมื่อคนส่วนใหญ่โกหก พวกเขาต้องกุเรื่องโกหกขึ้นมา พวกเขาต้องคิดอย่างรอบคอบ แต่ศัตรูของพระคริสต์ไม่จำเป็นต้องสร้างเรื่องหรือเสียเวลาคิดเลย พวกเขาเปิดปากแล้วก็พูดออกมา—และก่อนที่เจ้าจะรู้ตัว เจ้าก็ถูกหลอกไปแล้ว คำโกหกและการหลอกลวงของพวกเขาเป็นเช่นนี้ ซึ่งคนที่มีการตอบสนองช้าอาจใช้เวลาสองหรือสามวันจึงจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้น เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงตระหนักว่าคนคนนั้นหมายถึงอะไร คนที่ไม่เข้าใจความจริงย่อมไม่สามารถแยกแยะได้ ศัตรูของพระคริสต์โกหกเป็นนิสัย เจ้าคิดอย่างไรกับลักษณะนิสัยของพวกเขา? ชัดเจนว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ นี่ไม่ใช่สิ่งที่มีความเป็นปีศาจหรอกหรือ? พูดให้ชัดเจนก็คือ นี่เป็นธรรมชาติของปีศาจ การโกหกเป็นนิสัย การพูดเรื่องโกหก และการหลอกลวงผู้คน วิธีการเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรียนรู้จากโรงเรียนหรือเป็นผลลัพธ์จากอิทธิพลของครอบครัวพวกเขา? ไม่ใช่ทั้งคู่ สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมชาติซึ่งมีมาแต่กำเนิดของพวกเขา พวกเขาเกิดมาพร้อมกับสิ่งเหล่านี้ เวลาพ่อแม่อบรมสั่งสอนลูก ไม่มีใครสอนลูกของตนให้โกหกและหลอกลวงตั้งแต่อายุยังน้อย และไม่มีใครบังคับพวกเขาให้โกหกหรือหลอกลวง แต่กลับมีเด็กๆ ที่เอาแต่พูดโกหกเมื่อเติบโตขึ้นมา ไม่ว่าจะโกหกอะไรพวกเขาก็ทำหน้าตาย และไม่เคยรู้สึกเสียใจ ทรมาน หรือไม่สบายใจในมโนธรรมของตนเกี่ยวกับเรื่องโกหกที่พวกเขาได้พูดออกมา แต่เด็กๆ เหล่านี้กลับคิดว่าตัวเองฉลาดและหลักแหลมมาก พวกเขารู้สึกมีความสุข ภาคภูมิใจ และแอบดีใจที่พวกเขาสามารถหลอกลวงคนอื่นด้วยการใช้กลวิธีต่างๆ และการโกหก นี่คือธรรมชาติซึ่งมีมาแต่กำเนิด นี่คือวิธีที่ศัตรูของพระคริสต์เป็นไปตามธรรมชาติ นี่คือแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาที่โกหกเป็นนิสัย แม้พวกเขามักจะเข้าร่วมชุมนุมและฟังคำเทศนากับสามัคคีธรรมอยู่บ่อยครั้ง แต่ศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่เคยทบทวนหรือพยายามที่จะรู้จักตนเองเลย ไม่ว่าพวกเขาจะพูดโกหกเพื่อหลอกลวงคนอื่นมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่รู้สึกผิดจากมโนธรรมของตน และพวกเขายิ่งไม่พยายามแสวงหาความจริงเพื่อหาทางแก้ไขด้วยความกระตือรือร้น—ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าโดยแก่นแท้แล้ว ศัตรูของพระคริสต์คือผู้ไม่เชื่อ ไม่ว่าพวกเขาจะสามารถอบรมคำสอนให้ผู้คนมากมายเพียงใด พวกเขาก็ไม่เคยนำคำสอนเหล่านี้ใช้กับตนเอง พวกเขาไม่เคยชำแหละตนเอง และไม่ว่าพวกเขาจะกล่าวคำโกหกหรือหลอกผู้คนมากมายขนาดไหน พวกเขาก็ไม่เคยพูดเปิดอกเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่กลับเสแสร้ง และสร้างภาพ รวมทั้งไม่มีความกล้าที่จะยอมรับต่อหน้าผู้อื่นว่าพวกเราเป็นคนหลอกลวง นอกจากนี้ พวกเขายังคงโกหกและหลอกลวงผู้คนในเวลาที่พวกเขารู้สึกว่าจำเป็น นี่คือธรรมชาติของพวกเขาไม่ใช่หรือ? นี่คือธรรมชาติของพวกเขาและไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ ธรรมชาติเช่นนี้ไม่ใช่การแสดงออกของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ พูดให้ถูกต้องก็คือ นี่คือธรรมชาติเยี่ยงปีศาจ นี่คืออุปนิสัยของซาตาน ผู้คนเหล่านี้คือพวกมาร พวกเขาคือปีศาจที่เกิดเป็นมนุษย์
การสำแดงแรกของลักษณะนิสัยของพวกศัตรูของพระคริสต์คือโกหกเป็นนิสัย ซึ่งพวกเราจะจำแนกเป็นธรรมชาติเยี่ยงปีศาจ การสำแดงของธรรมชาติเยี่ยงปีศาจนี้คือ ไม่ว่าที่ไหนหรือเมื่อไร ไม่ว่าในโอกาสใดหรือพวกเขาจะมีปฏิสัมพันธ์กับใคร คำพูดที่คนเหล่านั้นพูดออกมาย่อมเป็นเหมือนสิ่งที่งูหรือปีศาจพูด—ไม่คู่ควรกับความไว้วางใจ คนเราต้องแยกแยะและระมัดระวังคนเหล่านี้เป็นพิเศษ จงอย่าผลีผลามเชื่อคำพูดของพวกปีศาจ การสำแดงเฉพาะของการโกหกเป็นนิสัยของพวกเขาคือคำโกหกหลุดออกจากปากอย่างง่ายดาย คำพูดที่พวกเขากล่าวนั้นไม่อาจทนทานต่อการใคร่ครวญ การวิเคราะห์ หรือการแยกแยะได้ พวกเขาสามารถโกหกได้ทุกเมื่อ และพวกเขาก็เชื่อว่าพวกเขาไม่อาจพูดความจริงได้ในทุกเรื่อง ทุกสิ่งที่พวกเขาพูดต้องเป็นเรื่องโกหก หากเจ้าถามพวกเขาเรื่องอายุ พวกเขาจะพิจารณาเรื่องนี้โดยคิดว่า “พวกเขาถามอายุของฉันทำไม? ถ้าฉันบอกว่าฉันอายุมาก พวกเขาจะดูถูกฉันและไม่อบรมบ่มเพาะฉันหรือเปล่า? ถ้าฉันบอกว่าฉันอายุน้อย พวกเขาจะดูถูกฉัน หาว่าฉันขาดประสบการณ์หรือไม่? ฉันควรตอบกลับอย่างไรดี?” แม้แต่เรื่องเรียบง่ายเช่นนี้ พวกเขายังสามารถโกหกและปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับเจ้า ถึงขนาดย้อนถามเจ้ากลับว่า “คุณคิดว่าอย่างไร?” เจ้ากล่าวว่า “ห้าสิบปีหรือเปล่า?” “ใกล้เคียง” “ห้าสิบห้าล่ะ?” “เกือบถูกแล้ว” แล้วพวกเขาให้คำตอบที่ถูกต้องกับเจ้าหรือไม่? จากคำตอบของพวกเขา เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขาอายุเท่าใด? (ไม่รู้) นั่นคือการโกหกเป็นนิสัย
อีกหนึ่งการสำแดงของศัตรูของพระคริสต์ที่โกหกเป็นนิสัยก็คือ แม้แต่ตอนเป็นพยาน พวกเขาก็ยังโกหก การเป็นพยานเทียมเท็จเป็นการกระทำที่ถูกสาปแช่งซึ่งก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า แม้แต่ในเรื่องของการเป็นพยาน พวกเขายังกล้ามีส่วนร่วมในการกุเรื่อง โกหก และใช้เล่ห์เหลี่ยม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการไม่ใส่ใจไม่นำพาผลที่จะตามมาและธรรมชาติที่ไม่เปลี่ยนแปลงของพวกเขา! เมื่อพวกเขาเห็นคนอื่นเป็นพยานตามประสบการณ์และความเข้าใจในขณะที่พวกเขาไม่สามารถทำได้ พวกเขาก็ลอกเลียนแบบ โดยการพูดในสิ่งที่คนอื่นๆ พูดและสร้างประสบการณ์เหมือนกับที่คนอื่นเคยมี ถ้าพวกเขาไม่เข้าใจบางสิ่งบางอย่างที่คนอื่นเข้าใจ พวกเขาก็จะอ้างว่าตนเข้าใจ หากพวกเขาขาดประสบการณ์ ความเข้าใจ และความรู้แจ้งเช่นนั้น พวกเขาจะยืนกรานว่าตนก็มีสิ่งเหล่านั้น ต่อให้พระเจ้าไม่ได้ทรงบ่มวินัยพวกเขา พวกเขาก็จะยืนกรานว่าพระองค์ทรงบ่มวินัยพวกเขาแล้ว แม้แต่ในเรื่องนี้พวกเขาก็ยังโกหกและทำให้เทียมเท็จได้ โดยไม่แสดงความกังวลหรือสนใจไม่ว่าผลที่ตามมาอาจจะร้ายแรงเพียงใดก็ตาม นี่คือการโกหกเป็นนิสัยไม่ใช่หรือ? ยิ่งไปกว่านั้น คนเช่นนี้ย่อมจะหลอกใครก็ตาม บางคนอาจสงสัยว่า “ไม่ว่าจะอย่างไร ศัตรูของพระคริสต์ก็ยังคงเป็นผู้คน พวกเขาจะไม่ละเว้นจากการหลอกบรรดาคนที่ใกล้ชิดพวกเขา คนที่ได้ช่วยเหลือพวกเขา หรือคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพวกเขาเชียวหรือ? พวกเขาคงจะหลีกเลี่ยงการหลอกคนในครอบครัวไม่ใช่หรือ? การกล่าวว่าพวกเขาโกหกเป็นนิสัยหมายความว่าพวกเขาสามารถหลอกใครก็ได้ แม้แต่พ่อแม่และลูกๆ ของพวกเขา แน่นอนว่ารวมทั้งพี่น้องชายหญิงของพวกเขาด้วย พวกเขาสามารถหลอกลวงผู้คนในเรื่องต่างๆ ทั้งเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่ แม้แต่ในเรื่องทั้งหลายที่พวกเขาควรที่จะพูดความจริง ซึ่งการพูดความจริงจะไม่มีผลสืบเนื่องใดๆ หรือส่งผลในหนทางใดต่อพวกเขา และไม่มีความจำเป็นใช้ปัญญาเลย พวกเขายังหลอกลวงผู้คนและใช้คำโกหกมาแก้ไขเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งสำหรับคนภายนอกแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ต้องโกหก การพูดตรงไปตรงมาเป็นเรื่องง่ายและไม่เป็นปัญหาอะไรเลย นี่คือการโกหกเป็นนิสัยไม่ใช่หรือ? อาจกล่าวได้ว่าการโกหกเป็นนิสัยคือหนึ่งในการสำแดงหลักของซาตานและหมู่มาร จากมุมมองนี้ พวกเราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าความเป็นมนุษย์ของศัตรูของพระคริสต์ไม่เพียงไม่ซื่อสัตย์แต่ยังเด่นชัดด้วยการโกหกเป็นนิสัย จนทำให้ไม่น่าเชื่อถือ? (ใช่ พวกเราสามารถกล่าวเช่นนั้นได้) หากบุคคลเช่นนั้นกระทำความผิด แล้วหลั่งน้ำตาหลังจากได้รับการตัดแต่งและวิพากษ์วิจารณ์จากพี่น้องชายหญิง กล่าวอ้างอย่างผิวเผินว่าเป็นหนี้พระเจ้า พร้อมสัญญาว่าจะกลับใจในอนาคต เจ้ากล้าที่จะเชื่อพวกเขาหรือไม่? (ไม่) ทำไมไม่กล้า? หลักฐานที่น่าเชื่อถือที่สุดคือพวกเขาโกหกเป็นนิสัย! แม้ภายนอกเขาจะกลับใจ ร้องไห้อย่างขมขื่น ตีอกชกหัวตัวเอง และสาบาน ก็จงอย่าเชื่อพวกเขา เพราะพวกเขากำลังหลั่งน้ำตาจระเข้ น้ำตาที่ใช้หลอกลวงผู้คน คำพูดด้วยความเศร้าเสียใจและสำนึกผิดที่พวกเขาเอ่ยออกมาไม่ได้มาจากใจจริง นั่นเป็นกลวิธีอันแยบยลที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้คนไว้วางใจด้วยวิธีการฉ้อฉล พวกเขาร้องไห้อย่างขมขื่นต่อหน้าผู้คน ยอมรับความผิด สาบาน และแสดงจุดยืนของตน อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับพวกเขาเป็นการส่วนตัว ผู้ที่พวกเขาค่อนข้างไว้วางใจ กลับรายงานเรื่องราวที่ต่างกันออกไป แม้การยอมรับความผิดและสาบานว่าจะเปลี่ยนหนทางของตนต่อสาธารณชนอาจดูจริงใจโดยเปลือกนอก แต่สิ่งที่พวกเขาพูดลับหลังกลับพิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่พวกเขากล่าวก่อนหน้านั้นไม่ใช่ความจริงแต่เป็นความเท็จ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อหลอกลวงผู้คนให้มากขึ้น พวกเขาจะพูดลับหลังกันว่าอย่างไร? พวกเขาจะยอมรับหรือไม่ว่าสิ่งที่พวกเขาพูดออกมาก่อนหน้านี้เป็นเท็จ? ไม่ พวกเขาจะไม่ทำเช่นนั้น พวกเขาจะเผยแพร่ความคิดลบ นำเสนอข้อโต้แย้ง และหาเหตุผลให้กับตนเอง การอ้างเหตุผลและการโต้แย้งนี้ยืนยันว่า การยอมรับ การกลับใจ และคำสาบานทั้งหมดของพวกเขาเป็นเท็จ โดยตั้งใจที่จะตบตาผู้คน บุคคลเช่นนี้ไว้วางใจได้หรือไม่? นี่คือการโกหกเป็นนิสัยไม่ใช่หรือ? พวกเขาสามารถกระทั่งกุคำสารภาพ หลั่งน้ำตาเทียมเท็จและปฏิญาณว่าจะเปลี่ยนแปลงหนทางของตน แม้แต่คำสาบานของพวกเขาก็ยังเป็นการโกหก นี่คือธรรมชาติเยี่ยงปีศาจไม่ใช่หรือ? แม้พวกเขาจะพูดว่า “ฉันเข้าใจเพียงเท่านี้ ส่วนที่เหลือฉันไม่รู้เรื่องหรอก ฉันแสวงหาความรู้แจ้งจากพระเจ้าและหวังจะได้รับความช่วยเหลือจากพี่น้องชายหญิงเพื่อที่จะได้รับความเข้าใจทีละน้อย” นี่น่าจะเป็นท่าทีและถ้อยแถลงที่ซื่อสัตย์ อย่างไรก็ตาม ศัตรูของพระคริสต์ไม่สามารถเอ่ยคำพูดที่จริงใจเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน พวกเขารู้สึกว่า “การพูดความจริงจะทำให้ผู้คนดูแคลนฉัน ฉันคงจะเสียหน้าและรู้สึกถูกด้อยค่า—ฉันจะไม่สูญเสียเกียรติยศไปโดยสิ้นเชิงหรอกหรือ? ฉันเป็นใคร? ฉันยอมรับความพ่ายแพ้ได้หรือ? ต่อให้ฉันไม่เข้าใจ ฉันก็ต้องเสแสร้งทำเหมือนเข้าใจดีมาก ฉันต้องหลอกลวงผู้คนและทำให้ตำแหน่งของฉันมั่นคงในหัวใจของพวกเขาเสียก่อน” นี่คือการสำแดงของศัตรูของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? จากแหล่งที่มาและวิธีที่ศัตรูของพระคริสต์พูด รวมไปถึงคำพูดทั้งหลายที่พวกเขาเอ่ยออกมา เห็นได้ชัดเจนว่าผู้คนเหล่านั้นจะไม่มีวันซื่อสัตย์ได้เลย นั่นเกินกว่าที่พวกเขาจะทำได้ เพราะการโกหกเป็นนิสัยเป็นลักษณะนิสัยโดยธรรมชาติของพวกเขา พวกเขาต้องการหลอกลวงผู้คนและปกปิดเรื่องราวทั้งหลายในทุกสิ่ง ไม่ต้องการให้ใครรู้หรือเห็นข้อเท็จจริงที่เป็นจริงหรือสถานการณ์ที่แท้จริง ส่วนลึกที่สุดของพวกเขานั้นมืดมิดอย่างยิ่ง ลักษณะนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ในแง่มุมนี้สามารถอธิบายได้อย่างน่าเชื่อถือว่าขาดความเป็นมนุษย์และมีธรรมชาติเยี่ยงปีศาจ คำโกหกหลุดออกจากปากของพวกเขาอย่างง่ายดายโดยไม่คิดเลย ถึงขนาดที่ว่าพวกเขาไม่พูดความจริงแม้ในยามละเมอ—ทั้งหมดเป็นการใช้เล่ห์เพทุบาย เป็นคำโกหกสารพัด นี่คือการโกหกเป็นนิสัย
ลักษณะนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ปราศจากความซื่อสัตย์ แม้ในยามที่พวกเขาไม่พูด แต่พวกเขากลับกำลังครุ่นคิดถึงวิธีการหลอกลวง ตบตา และชักพาผู้คนให้หลงเชื่ออยู่ในหัวใจ—จะชักพาผู้ใดให้หลงเชื่อ จะพูดอย่างไรเมื่อต้องการชักจูงผู้คนให้หลงเชื่อ จะใช้วิธีการใดเพื่อเริ่มต้นการสนทนา และจะยกตัวอย่างใดเพื่อให้ผู้คนเชื่อ ไม่ว่าพวกเขาจะพูดหรือคิดอะไร พวกเขาก็ไม่มีท่าที ความคิดเห็น หรือความคิดที่ซื่อสัตย์อยู่ในหัวใจเลย ทุกช่วงเวลาของชีวิตและทุกวินาทีถูกใช้ไปในสภาวะที่ต้องการหลอกลวงและเล่นกับผู้คน ทุกวินาทีและทุกขณะ พวกเขาคิดหาวิธีหลอกลวง วิธีชักพาผู้คนให้หลงเชื่อ และวิธีตบตาผู้อื่น ความคิดเหล่านี้ครอบงำจิตใจและส่วนที่ลึกที่สุดในหัวใจของพวกเขา นี่คือธรรมชาติของพวกเขาไม่ใช่หรือ? ผู้คนเช่นนี้สามารถเข้าใจความจริงได้เมื่อพวกเขาได้ยินคำเทศนาหรืออ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่? ต่อให้พวกเขาเข้าใจ แต่พวกเขาจะสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้หรือไม่? (ไม่ได้) เมื่อตัดสินจากส่วนที่ลึกที่สุดในหัวใจและลักษณะนิสัยของพวกเขา บุคคลเช่นนี้ย่อมไม่ใช่ผู้ได้รับความรอดอย่างแน่นอน เพราะทุกสิ่งที่พวกเขารักและครุ่นคิดอยู่ในจิตใจของพวกเขา รวมถึงโลกภายในของพวกเขาเต็มไปด้วยธรรมชาติเยี่ยงปีศาจ การต่อต้านความจริงและสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก โดยไม่มีส่วนใดที่น่ายกย่องเลยแม้แต่น้อย ดังนั้น ลักษณะของการโกหกเป็นนิสัยในความเป็นมนุษย์ของศัตรูของพระคริสต์เป็นสิ่งที่แน่นอนใช่หรือไม่? (ใช่) ผู้คนที่โกหกเป็นนิสัยย่อมไม่ปฏิบัติความจริงใดๆ เลย ผลที่ตามมาจากการนี้คืออะไร? การสำแดงเฉพาะของใครบางคนที่ไม่ปฏิบัติความจริงคืออะไร? พวกเขาสามารถกระทำการโดยไม่ยั้งคิดหรือไม่? พวกเขาสามารถทำตามอำเภอใจและตั้งตนเป็นกฎเกณฑ์ของตัวเองหรือไม่? พวกเขาสามารถสถาปนาอาณาจักรที่เป็นอิสระของตนหรือไม่? พวกเขาสามารถผลาญของถวายได้หรือไม่? พวกเขาสามารถชักนำผู้คนให้หลงเชื่อได้หรือไม่? พวกเขาสามารถเอาชนะใจผู้คนได้หรือไม่? พวกเขาสามารถทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดนี้ได้ นี่คือลักษณะทั่วไปของศัตรูของพระคริสต์—พวกเขาโกหกเป็นนิสัย เมื่อมีการเปิดโปงข้อเท็จจริง ไม่ว่าจะมีสายตากี่คู่เฝ้ามองพวกเขา ไม่ว่าจะมีผู้คนมากมายแค่ไหนร่วมเป็นพยานยืนยันและเปิดโปงพวกเขา แต่พวกเขาก็ปฏิเสธไม่ยอมรับ ในที่สุดท้าย พวกเขาก็ใช้กลวิธีหนึ่งเพื่อจัดการกับเจ้า โดยอ้างว่าพวกเขาลืมไปแล้วและแสร้งทำเป็นไม่รู้ความ ณ จุดนี้ ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาไม่สามารถพูดความจริงได้แม้แต่คำเดียว และไม่สามารถพยักหน้ายอมรับด้วยการกล่าวว่า “เป็นฉันเอง ฉันเป็นคนผิด คราวหน้าฉันจะเปลี่ยนแปลง และจะไม่กระทำผิดเช่นนี้อีกอย่างแน่นอน” นี่คือศัตรูของพระคริสต์ที่ไม่เคยยอมรับความผิด ไม่เคยพูดความจริงแม้แต่ครั้งเดียว พวกเขาสามารถได้รับการช่วยให้รอดด้วยความเป็นมนุษย์เช่นนี้หรือไม่? พวกเขาสามารถได้รับความจริงหรือไม่? ไม่ได้อย่างแน่นอน ต่อให้พวกเขาเข้าใจความจริง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถได้รับความจริงเพราะพวกเขาปฏิเสธ ต้านทาน และต่อต้านความจริง ในระดับพื้นฐานที่สุดของการพูดอย่างซื่อสัตย์และยอมรับความผิดพลาดของตน พวกเขาก็ไม่สามารถแม้แต่จะปฏิบัติความจริงที่เรียบง่ายที่สุดหรือนำความจริงนั้นไปปฏิบัติได้ แล้วคาดหวังได้อย่างไรว่าพวกเขาจะปล่อยมือจากสถานะ จุดหมายปลายทางในอนาคต และโชคชะตาของตน รวมถึงปล่อยมือจากเจตนาของตนเอง? พวกเขาสามารถปล่อยมือและต่อต้านสิ่งเหล่านั้นได้หรือไม่? พวกเขายิ่งไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เลย หากพวกเขาไม่สามารถพูดสิ่งที่เป็นจริงแม้แต่เรื่องเดียว เช่นนั้นการคาดหวังให้พวกเขาทำสิ่งที่ยากว่านี้ก็ยิ่งไม่น่าจะเป็นจริงไปได้
เจ้ามีคนที่โกหกเป็นนิสัยอยู่รอบตัวของพวกเจ้าหรือไม่? บางคนอาจกล่าวว่า “ฉันยังไม่เคยพบใครที่โกหกเป็นนิสัยมาก่อน แต่ฉันกลับรู้สึกว่าฉันอาจจะเป็นเช่นนั้นเสียเอง” ขอให้เราบอกความจริงแก่เจ้าเถิดว่า เจ้ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ผู้คนที่โกหกเป็นนิสัยยังคงเหลือเค้าลางของความเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่? พวกเจ้าคนใดโกหกเป็นนิสัยบ้าง? สมมติว่า ไม่ว่าสภาพแวดล้อมหรือภูมิหลังจะเป็นเช่นไร ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คนคนหนึ่งสามารถโกหกได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยที่หน้าพวกเขาไม่แดงหรือหัวใจพวกเขาไม่เต้นรัว และพวกเขาสามารถรับมือรวมถึงแก้ไขทุกอย่างได้ด้วยการโกหก ในการวางตนและดำรงชีวิตทางโลกของพวกเขา และในทุกแง่มุมของชีวิต ตราบใดที่มีโอกาสพูด ทุกสิ่งที่พวกเขาพูดคือเรื่องโกหก ไม่มีประโยคไหนเป็นจริงเลยสักประโยคเดียว ทุกประโยคล้วนมีเจตนาและเป้าหมายแอบแฝง และมาพร้อมกับกลอุบายของซาตาน คนเช่นนี้ไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์ การโกหกได้ในทุกสถานการณ์ แม้เมื่อศีรษะของตนพาดอยู่บนเขียง—นี่ย่อมเป็นคนที่หมดหวังแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อตัดสินจากการสำแดงนานัปการในการโกหกเป็นนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ คำโกหกของพวกเขามีมากมายเกินคณานับ เป้าหมายของคำพูดของพวกเขาคือการหลอกลวง การชักพาให้หลงเชื่อ และการตบตาผู้คน ทุกคำพูดของพวกเขาเต็มไปด้วยกลอุบายและเจตนาของซาตาน ขาดการสำแดงของความซื่อสัตย์ที่มีในความเป็นมนุษย์ที่ปกติ อาจกล่าวได้ว่าศัตรูของพระคริสต์ขาดคุณลักษณะของความซื่อสัตย์โดยสิ้นเชิง ผู้คนที่ขาดความซื่อสัตย์และสามารถโกหกเป็นนิสัยย่อมถูกจำแนกเป็นพวกที่มีธรรมชาติเยี่ยงปีศาจ—พวกเขาคือเหล่าปีศาจ ผู้คนเช่นนั้นย่อมไม่ได้รับการช่วยให้รอดอย่างง่ายดาย เพราะพวกเขาไม่ยอมรับความจริงและเห็นว่าการยอมรับความจริงเป็นเรื่องยาก
ข. ยอกย้อนและอำมหิต
นอกเหนือจากการโกหกเป็นนิสัยแล้ว ศัตรูของพระคริสต์ยังมีการสำแดงอื่นใดอีกบ้าง? พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมถึงคุณสมบัติที่จำเป็นทั้งหลายของความเมตตาและความจริงใจในความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และเห็นได้อย่างชัดเจนทีเดียวว่า ศัตรูของพระคริสต์ขาดคุณสมบัติเหล่านี้โดยสิ้นเชิง สิ่งใดก็ตามที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติมีอยู่โดยธรรมชาติย่อมไม่มีอยู่ในตัวศัตรูของพระคริสต์อย่างแน่นอน ทั้งหมดที่ศัตรูของพระคริสต์มีล้วนเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเป็นมนุษย์ที่ปกติและเป็นสิ่งที่เป็นลบทั้งสิ้น เช่นนั้นแล้ว อะไรคือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเมตตาและความจริงใจ? (ความยอกย้อนและความอำมหิต) ถูกต้อง เจ้ากล่าวได้อย่างถูกต้องแม่นยำมาก—สิ่งที่ตรงกันข้ามคือความยอกย้อนและความอำมหิต ศัตรูของพระคริสต์ขาดลักษณะต่างๆ อย่างเช่น ความเมตตาและความจริงใจ และในทางตรงกันข้าม พวกเขากลับมีองค์ประกอบของความยอกย้อนและความอำมหิตซึ่งตรงกันข้ามกับความเมตตาและความจริงใจ ความยอกย้อนและความอำมหิตมีความเชื่อมโยงกับการโกหกเป็นนิสัยที่พวกเราหารือกันไปก่อนหน้านี้หรือไม่? (เชื่อมโยงกัน) มีความเชื่อมโยงบางประการ พวกศัตรูของพระคริสต์สำแดงความยอกย้อนและความอำมหิตของตนอย่างไร? (ในความสามารถของพวกเขาที่จะสร้างเรื่องโกหกและใส่ร้ายผู้อื่น) การสร้างเรื่องโกหกและการใส่ร้ายผู้อื่นนั้นเกี่ยวข้องกับการโกหกเป็นนิสัยและการยอกย้อนและอำมหิต ซึ่งคุณลักษณะทั้งสองนี้มีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด ตัวอย่างเช่น หากพวกเขาทำการประพฤติผิดอย่างหนึ่งและไม่ต้องการรับผิดชอบ พวกเขาก็สร้างภาพลวงตาขึ้นมา พูดโกหก และทำให้ผู้คนเชื่อว่านั่นเป็นการกระทำของผู้อื่น ไม่ใช่ตนเอง พวกเขาโยนความผิดไปให้ผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นแบกรับผลต่างๆ ที่ตามมา นี่ไม่เพียงแค่เลวร้ายและสามานย์ แต่ยังยอกย้อนและอำมหิตยิ่งขึ้นอีกด้วย การสำแดงอื่นๆ ของการยอกย้อนและอำมหิตของศัตรูของพระคริสต์มีอะไรอื่นอีกบ้าง? (พวกเขาสามารถทรมาน โจมตี และทำการแก้แค้นผู้คน) การสามารถทรมานผู้อื่นได้คือความอำมหิต ใครก็ตามที่เป็นอันตรายต่อสถานะ ความมีหน้ามีตา หรือเกียรติยศของพวกเขา หรือใครก็ตามที่ไม่เอื้ออำนวยให้พวกเขา พวกเขาก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถในการโจมตีและแก้เผ็ดคนเหล่านั้น บางครั้งพวกเขาอาจถึงขนาดใช้ผู้อื่นในการทำอันตรายผู้คน—นี่คือความยอกย้อนและความอำมหิต โดยสรุป วลีที่ว่า “ยอกย้อนและอำมหิต” บ่งบอกว่าศัตรูของพระคริสต์มีความมุ่งร้ายเป็นพิเศษ วิธีที่พวกเขาปฏิสัมพันธ์และปฏิบัติต่อผู้คนไม่ได้เป็นไปตามมโนธรรม พวกเขาไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างปรองดองในสถานะที่เท่าเทียมกับผู้อื่น ในทางกลับกัน พวกเขากลับเสาะแสวงที่จะเอาเปรียบ ควบคุม และบงการผู้อื่นเพื่อประโยชน์ของตนเองในทุกโอกาส แนวทางของพวกเขาในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นนั้นไม่ปกติหรือตรงไปตรงมา แต่กลับใช้วิถีทางและวิธีการบางอย่างเพื่อชักพาผู้คนให้หลงเชื่อ หาประโยชน์จากผู้คน และใช้ผู้คนเป็นอาวุธอย่างแยบยลโดยที่คนเหล่านั้นไม่รู้ตัว ในการปฏิบัติต่อใครก็ตาม ไม่ว่าโดยผิวเผินแล้วจะดูดีหรือไม่ดี พวกเขาก็ไม่มีความจริงใจเลยแม้แต่น้อย พวกเขาเข้าหาผู้ที่พวกเขาเห็นว่ามีประโยชน์และเอาตัวออกห่างจากผู้ที่พวกเขาเห็นว่าไม่มีประโยชน์ โดยไม่ให้ความสนใจต่อคนเหล่านั้นเลย แม้แต่กับบุคคลที่ค่อนข้างไร้เล่ห์เหลี่ยมหรือเปราะบาง พวกเขาก็คิดหาหนทางต่างๆ ที่จะใช้วิถีทางและวิธีการที่หลากหลายเพื่อชักพาผู้คนให้หลงเชื่อรวมทั้งดักจับผู้คน ทำให้ผู้คนเหล่านั้นเป็นประโยชน์ต่อตนเอง แต่เมื่อผู้คนอ่อนแอ ตกอยู่ในความลำบากยากเย็น หรือต้องการความช่วยเหลือ ศัตรูของพระคริสต์ก็แค่เมินเฉยและไม่แยแสคนเหล่านั้น พวกเขาไม่เคยแสดงความรักหรือเสนอความช่วยเหลือให้แก่ผู้คนเหล่านั้นเลย ในทางตรงกันข้าม พวกเขามีแนวโน้มที่จะข่มเหงรังแก ชักพาให้หลงเชื่อ และถึงกับคิดหาหนทางที่จะหาประโยชน์จากคนเหล่านั้นให้มากขึ้น หากพวกเขาไม่สามารถฉกฉวยประโยชน์จากคนเหล่านั้นได้ พวกเขาก็จะทอดทิ้งคนเหล่านั้น ไม่แสดงความรักหรือความเห็นใจคนเหล่านั้นเลย—มีร่องรอยความเมตตาใดๆ อยู่ในการนี้บ้างหรือไม่? นี่คือการสำแดงของความมุ่งร้ายไม่ใช่หรือ? วิธีการและปรัชญาที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้ปฏิสัมพันธ์กับผู้คนคือการใช้อุบายและกลยุทธ์ในการหาประโยชน์และหลอกลวงผู้คน ทำให้ผู้คนไม่อาจรู้เท่าทันพวกเขา แต่กลับเต็มใจที่จะทำงานเยี่ยงทาสเพื่อพวกเขาและพร้อมรับใช้พวกเขาตลอดเวลา พวกเขาสามารถข่มเหงและทรมานพวกที่รู้ทันพวกเขาและพวกเขาไม่สามารถหาประโยชน์ได้อีกต่อไป พวกเขาถึงขั้นสามารถโยนความผิดให้กับผู้คนเหล่านั้นอย่างไม่ยี่หระ ทำให้พี่น้องชายหญิงละทิ้งคนเหล่านั้น แล้วจากนั้นพวกเขาก็ขับไล่คนเหล่านั้นหรือเอาตัวคนเหล่านั้นออกไป โดยสรุปแล้ว ศัตรูของพระคริสต์ยอกย้อนและอำมหิต ไร้ความเมตตาและความจริงใจโดยสิ้นเชิง พวกเขาไม่เคยช่วยเหลือผู้อื่นอย่างแท้จริง ไม่แสดงความเห็นใจหรือความรักเมื่อผู้อื่นเผชิญหน้ากับความลำบากยากเย็นทั้งหลาย ในการปฏิสัมพันธ์ของพวกเขา พวกเขาวางอุบายเพื่อประโยชน์และความได้เปรียบของตนเอง ไม่ว่าใครจะเข้าหาพวกเขาหรือเสาะหาความช่วยเหลือเมื่อตกที่นั่งลำบาก พวกเขาก็คิดคำนวณเกี่ยวกับคนคนนั้นอยู่ตลอดเวลา และคิดในใจว่า “หากฉันช่วยคนคนนี้ ฉันจะได้ประโยชน์อะไรจากพวกเขาในอนาคต? เขาจะสามารถช่วยฉันได้หรือไม่? เขาจะเป็นประโยชน์กับฉันหรือไม่? ฉันจะได้รับอะไรจากพวกเขาบ้าง?” การที่พวกเขามัวแต่คิดถึงเรื่องเหล่านี้อยู่ตลอดเวลาก็คือความเห็นแก่ตัวและความสามานย์มิใช่หรือ? (ใช่) พวกศัตรูของพระคริสต์จะใช้วิธีการใดในการลงคะแนนเสียงคัดเลือกของคริสตจักร? (พวกเขาจะดูถูกดูหมิ่นผู้อื่นและยกชูตนเอง ด้อยค่าผู้ที่ดีกว่าตน) การดูถูกดูหมิ่นผู้อื่นและยกชูตนเองก็เป็นการยอกย้อนและอำมหิตเช่นกัน ศัตรูของพระคริสต์อาจใช้วิธีเอื้อประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ เพื่อดึงดูดผู้คนเข้ามาและโอ้อวดคุณูปการของตนเพื่อให้ได้รับการยอมรับนับถือและคะแนนเสียง มีอะไรอีกบ้าง? (พวกเขาไม่สามารถประเมินผู้ที่เสนอตัวเข้ารับคัดเลือกอย่างเป็นธรรมและเป็นกลางได้ แต่กลับใส่อคติและความลำเอียงของตนเองเข้าไป) การนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับการแต่งเรื่องโกหกเพื่อใส่ร้ายผู้อื่น ก่อนหน้านี้มีการสามัคคีธรรมถึงการสำแดงที่เฉพาะเจาะจงถึงความยอกย้อนและอำมหิตของศัตรูของพระคริสต์ไปบางส่วนแล้ว ยอกย้อนหมายถึงการเต็มไปด้วยอุบาย และหลักการในการวางตน การดำรงชีวิตทางโลก และการทำสิ่งใดก็ตามของพวกเขาคือการพึ่งพากลอุบาย—ปราศจากความจริงใจ เต็มไปด้วยความเทียมเท็จและการใช้เล่ห์เหลี่ยม โดยหลักแล้ว ความอำมหิตเกี่ยวข้องกับความอำมหิตและความโหดร้ายในวิธีการกระทำของพวกเขา โดยไม่แสดงความกรุณา ขาดความรู้สึกของมนุษย์ ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่น และพวกเขายินดีที่จะทำร้ายผู้ใดก็ตามเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตน—นี่คือความอำมหิต และเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเมตตาของมนุษย์โดยสิ้นเชิง หากคนคนหนึ่งมีความเมตตาอยู่ในความเป็นมนุษย์ของตน เช่นนั้นแล้ว เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับเรื่องราวทั่วไปทั้งหลาย พวกเขาย่อมจะผ่อนปรนต่อผู้อื่นเท่าที่จะสามารถทำได้ และพวกเขาย่อมจะให้อภัยผู้คน คนเช่นนี้ย่อมผ่อนปรนต่อปัญหาและข้อผิดพลาดของผู้คน ไม่จู้จี้จุกจิก และอะลุ่มอล่วยหากสามารถทำได้ นอกจากนี้ พวกเขายังสงสารเห็นใจและเต็มใจช่วยเหลือเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเห็นผู้อื่นประสบกับความลำบากยากเย็น และมีความปีติยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่นและถือว่าการเจริญใจผู้อื่นเป็นความรับผิดชอบส่วนตัว—นี่คือความเมตตา ศัตรูของพระคริสต์มีลักษณะเช่นนี้หรือไม่? (ไม่มี) พวกเขาเชื่อว่า “ถ้าคุณกำลังตกอยู่ในความยากลำบากและฉันช่วยคุณ แต่มีราคาที่ต้องจ่าย ถ้าฉันทำประโยชน์ให้คุณ แล้วฉันจะได้อะไรจากการนั้น? ถ้าฉันเห็นใจคุณแล้วใครจะมาเห็นใจฉัน? ถ้าฉันช่วยคุณแล้วคุณจะจดจำความดีของฉันหรือเปล่า? ถ้าคุณกำลังขอให้ฉันเสียสละตัวเองเพื่อช่วยเหลือคุณละก็ คุณต้องฝันไปแน่ๆ! พวกเรามีความสัมพันธ์กันอย่างไร? คุณให้ประโยชน์อะไรกับฉันได้บ้าง? คุณเคยช่วยฉันมาก่อนหรือเปล่า? คุณเป็นใคร? คุณคู่ควรกับการช่วยเหลือหรือไม่? หากคุณเป็นธิดากษัตริย์หรือลูกชายเศรษฐี เช่นนั้นแล้ว บางทีการช่วยเหลือคุณอาจนำความรุ่งโรจน์หรือผลประโยชน์มาให้ฉันบ้าง แต่คุณไม่ใช่เช่นนั้นเลย ทำไมฉันถึงควรช่วยคุณล่ะ? ฉันจะได้ประโยชน์อะไรจากการช่วยเหลือคุณ?” นี่คือวิธีคิดของพวกเขาเมื่อเห็นใครบางคนตกที่นั่งลำบาก เห็นใครอ่อนแอ หรือเห็นใครต้องการความช่วยเหลือ นี่คือความเมตตาหรือไม่? เมื่อคนเหล่านี้เห็นใครบางคนอยู่ในสภาวะที่อ่อนแอ พวกเขาไม่เพียงเย้ยหยันและเยาะเย้ยถากถางคนเหล่านั้น แต่พวกเขายังคิดคำนวณอยู่ในหัวใจด้วย บางคนถึงขนาดมองว่านี่เป็นโอกาสนำเสนอตนเองหรือเอาชนะใจผู้คน ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความเมตตาเลย ศัตรูของพระคริสต์มักฉกฉวยประโยชน์จากโอกาสเช่นนี้เพื่อนำเสนอตนเอง พวกเขาจะไม่กระทำการใดหากไม่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง หากพวกเขาไม่มีเป้าหมายหรือแรงจูงใจ หากพวกเขาช่วยเหลือใครบางคน พวกเขาย่อมต้องการได้คนเหล่านั้นมาเป็นพวก หากพวกเขาช่วยเหลือหรือเห็นใจคนสองคน พวกเขาย่อมต้องการได้สองคนนั้นมาเป็นพวก มาเป็นมือขวาของตน ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็จะไม่ลงมือช่วยเหลือ และพวกเขาจะไม่แสดงความรักต่อผู้ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแน่นอน
การสำแดงหลักของความยอกย้อนและความอำมหิตของศัตรูของพระคริสต์คือ ทุกสิ่งที่พวกเขาทำล้วนมีเป้าหมายที่ชัดเจนเป็นพิเศษ สิ่งแรกที่พวกเขานึกถึงคือผลประโยชน์ของตนเอง และวิธีการของพวกเขาน่ารังเกียจ หยาบคาย โสมม ต่ำช้า และคลุมเครือ หนทางที่พวกเขาทำสิ่งต่างๆ และหนทางกับหลักการที่พวกเขาปฏิบัติต่อผู้คนก็ไม่มีความจริงใจ หนทางที่พวกเขาปฏิบัติต่อผู้คนคือเอารัดเอาเปรียบและเล่นสนุกกับคนเหล่านั้น และเมื่อผู้คนไม่มีคุณค่าที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาอีกต่อไป พวกเขาก็จะเขี่ยคนเหล่านั้นทิ้ง หากเจ้ามีคุณค่าที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขา พวกเขาก็เสแสร้งทำเป็นใส่ใจเจ้า “คุณเป็นอย่างไรบ้าง? คุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่า? ฉันช่วยคุณแก้ไขปัญหาได้นะ ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกฉันมา ฉันอยู่ตรงนี้เพื่อคุณ พวกเราช่างโชคดีเหลือเกินที่มีความสัมพันธ์อันดีเช่นนี้!” พวกเขาดูเหมือนเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่ง แต่หากวันหนึ่งเจ้าไม่มีคุณค่าที่เป็นประโยชน์แก่พวกเขาอีกต่อไป พวกเขาก็จะทอดทิ้งเจ้า พวกเขาจะเขี่ยเจ้าทิ้งเจ้าและเพิกเฉยต่อเจ้า ราวกับพวกเขาไม่เคยพบเจ้ามาก่อน เวลาที่เจ้ามีปัญหาจริงๆ และไปหาพวกเขาเพื่อขอความช่วยเหลือ ท่าทีของพวกเขาก็เปลี่ยนไปในทันที คำพูดของพวกเขาไม่หวานหูเหมือนตอนที่พวกเขาสัญญาว่าจะช่วยเจ้าในตอนแรก—แล้วทำไมจึงเป็นเช่นนี้? นั่นก็เพราะเจ้าไม่มีคุณค่าที่จะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเลิกสนใจเจ้า และไม่เพียงเท่านั้น หากพวกเขาพบว่าเจ้าทำสิ่งใดผิดไปหรือพบสิ่งที่พวกเขาสามารถใช้เป็นเครื่องมือต่อรองกับเจ้า พวกเขาก็จะเริ่มเย้ยหยันเจ้าอย่างเย็นชา และอาจถึงขั้นกล่าวโทษเจ้า เจ้าคิดอย่างไรกับวิธีการนี้? นี่คือการสำแดงของความเมตตาและความจริงใจหรือไม่? เมื่อศัตรูของพระคริสต์สำแดงความยอกย้อนและความอำมหิตประเภทนี้ในพฤติกรรมของตนต่อผู้อื่น การสำแดงเหล่านี้มีร่องรอยใดๆ ของความเป็นมนุษย์อยู่บ้างหรือไม่? พวกเขามีความจริงใจต่อผู้คนแม้สักนิดหรือไม่? แน่นอนว่าไม่มีเลย ทุกสิ่งที่พวกเขาทำล้วนเพื่อผลประโยชน์ ความภาคภูมิใจ และความมีหน้ามีตาของตนเอง เพื่อให้ตนเองมีสถานะและมีชื่อเสียงในหมู่ผู้อื่น หากพวกเขาสามารถเอาเปรียบทุกคนที่พวกเขาพบเจอได้ พวกเขาก็จะทำ พวกเขาดูหมิ่นและไม่สนใจไยดีผู้ที่พวกเขาไม่สามารถเอารัดเอาเปรียบได้ แม้เจ้าเป็นฝ่ายเข้าหาพวกเขาด้วยตัวเองก็ตาม พวกเขาก็เมินเฉยต่อเจ้า และไม่มองเจ้าเลยด้วยซ้ำ แต่หากวันหนึ่งเมื่อพวกเขาต้องการเจ้า ท่าทีที่พวกเขามีต่อเจ้าก็เปลี่ยนไปในทันที และพวกเขาจะกลายเป็นเอาใจใส่และเป็นมิตรมาก จนทำให้เจ้างุนงง ทำไมท่าทีที่พวกเขามีต่อเจ้าจึงได้เปลี่ยนไป? (เพราะตอนนี้ข้าพระองค์มีคุณค่าที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขา) นั่นถูกต้องแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นว่าเจ้ามีคุณค่าที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขา ท่าทีของพวกเขาย่อมเปลี่ยนไป เจ้ามีคนเช่นนี้อยู่รอบตัวของพวกเจ้าหรือไม่? เมื่อคนเหล่านี้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ก็ไม่ปรากฏชัดเจนว่าพวกเขากำลังทำสิ่งใดที่ไม่ดีอยู่ จากการแสดงออก คำพูด และพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของพวกเขา ดูเหมือนไม่มีประเด็นปัญหาที่ชัดเจนใดๆ อย่างไรก็ตาม หากเจ้าเฝ้าสังเกตวิธีที่พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิธีที่พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับคนที่ใกล้ชิดพวกเขามากที่สุดและคนที่พวกเขารักที่สุด หากเจ้าเห็นพวกเขาเอาเปรียบคนอื่นอย่างไร และพวกเขาปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นอย่างไรในภายหลัง เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมสามารถสังเกตเห็นเจตนา ท่าที และวิธีการของพวกศัตรูของพระคริสต์ในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นจากสิ่งเหล่านี้ พวกเขาล้วนกำลังเสาะหาประโยชน์ส่วนตนแต่เพียงอย่างเดียว ใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตาน และปราศจากความเป็นมนุษย์ที่ปกติ
พวกศัตรูของพระคริสต์มีลักษณะอย่างเช่น ความยอกย้อนและความอำมหิตในความเป็นมนุษย์ของพวกเขา พวกเขาสามารถเข้ากับผู้ที่ซื่อสัตย์ เมตตา และจริงใจในการจัดการกับผู้คนและสิ่งทั้งหลายหรือไม่? พวกเขาเต็มใจที่จะเข้าใกล้ผู้คนเหล่านั้นหรือไม่? (พวกเขาไม่เต็มใจ) พวกเขามองคนเหล่านี้อย่างไร? พวกเขากล่าวว่า “ผู้คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนโง่เขลาอย่างยิ่ง และคำพูดของพวกเขาช่างตรงไปตรงมาเหลือเกิน คุณควรคิดให้รอบคอบก่อนที่จะพูดออกมา—ทำไมคุณพูดตรงขนาดนี้? ทำไมคำพูดของคุณราบเรียบเช่นนี้เสมอ?” ผู้คนเหล่านี้เป็นพวกโง่เขลาอย่างน่าสมเพชสำหรับศัตรูของพระคริสต์ และศัตรูของพระคริสต์ก็ดูแคลนผู้คนเหล่านี้ เมื่อคนเหล่านี้มองเห็นใครบางคนที่มีความเมตตาและปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างจริงใจ คนเหล่านี้ก็จะช่วยคนคนนั้นอย่างจริงใจเมื่อคนคนนั้นมีประสบการณ์กับความลำบากยากเย็นและต้องการความช่วยเหลือ และคนเหล่านี้หวังว่าคนผู้นั้นจะมีความเป็นอยู่ที่ดี และปรารถนาที่จะมอบประโยชน์ การช่วยเหลือ และการเจริญใจให้กับคนผู้นั้น—แต่ศัตรูของพระคริสต์ถือว่าคนเหล่านี้โง่เขลาและเบาปัญญา ศัตรูของพระคริสต์ไม่เชื่อว่าองค์ประกอบที่เป็นบวกของความเป็นมนุษย์เหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีหรือเป็นสิ่งสวยงามที่ผู้คนควรมี ตรงกันข้าม พวกเขากลับรู้สึกรังเกียจ สะอิดสะเอียน และดูหมิ่นลักษณะสำคัญของความเป็นมนุษย์ที่ปกติเหล่านี้อยู่ในหัวใจ พวกเขาเรียกคนที่ซื่อสัตย์ว่าโง่เขลา พวกเขากล่าวเช่นเดียวกันนี้กับคนที่มีเมตตา และยิ่งพูดแบบนี้กับคนที่จริงใจ ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าด้วยความซื่อสัตย์ในระดับหนึ่ง และผู้ที่ทำหน้าของตนด้วยความซื่อสัตย์ตามสมควร ผู้ที่มีหัวใจเมตตาและไม่เคยทำร้ายหรือทำอันตรายผู้อื่น ผู้ที่รักและเห็นใจผู้อื่น ผู้ที่สามารถละทิ้งผลประโยชน์ของตนเองและเอาชนะความลำบากยากเย็นของตนเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ผู้ที่รู้สึกถึงภาระและความรับผิดชอบเมื่อพวกเขาเห็นผู้ที่อ่อนแอและต้องการความช่วยเหลือ—ศัตรูของพระคริสต์ยิ่งเก็บงำความดูหมิ่นคนเหล่านี้ไว้ในส่วนลึกมากขึ้นอีกด้วย สำหรับผู้ที่มีความจริงใจระดับหนึ่งในความเชื่อในพระเจ้าของตน ผู้ที่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า ผู้ที่ยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าในสรรพสิ่ง ผู้ที่สามารถทำหน้าที่ของตนด้วยความจริงใจ จงรักภักดี และมีความรับผิดชอบ รวมทั้งผู้ที่จัดการกับหน้าที่ของตนด้วยท่าทีจริงใจ—ศัตรูของพระคริสต์ย่อมดูหมิ่นและเกลียดชังบุคคลเช่นนี้อย่างลึกซึ้ง หลีกเลี่ยงและเอาตัวออกห่างจากคนเหล่านี้อย่างเห็นได้ชัดเจนจากภายนอก ในสายตาของศัตรูของพระคริสต์ องค์ประกอบที่เป็นบวกซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อความเป็นมนุษย์ที่ปกติล้วนเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวก สิ่งเหล่านั้นไม่ควรค่าแก่การยกย่องหรือส่งเสริม ตรงกันข้าม ศัตรูของพระคริสต์เชื่อว่าอุบาย กลวิธี วิธีการที่ซ่อนเร้นของการจัดการผู้คน และความโหดร้ายเป็นสิ่งน่าชมเชย ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใด พวกเขาย่อมใคร่ครวญและปรับปรุงวิธีการกับอุบายของตนอยู่ในใจอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเรื่องนั้นจะใหญ่หรือเล็กเพียงใด พวกเขาก็เชื่อว่าการกระทำในหนทางนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นและควรค่า ไม่อย่างนั้น ผลลัพธ์ย่อมจะเป็นการสูญเสียและความเสียหายต่อความมีหน้ามีตาของตน เมื่อองค์ประกอบเหล่านี้อยู่ในความเป็นมนุษย์ของศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาจะสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่? พวกเขาสามารถปฏิบัติความจริงได้หรือไม่? แน่นอนว่าไม่ได้ ไม่ว่าเจ้าจะเน้นย้ำความซื่อสัตย์ ความเมตตา และสิ่งอื่นๆ ที่เป็นบวกเพียงใด ไม่ว่าจะเรียกร้องให้ผู้คนมีแง่มุมเหล่านี้และปฏิบัติต่อผู้อื่น ปฏิบัติต่อหน้าที่ของตน และจัดการกับเรื่องราวนานัปการอย่างสอดคล้องกับความเป็นมนุษย์ที่เป็นบวกเพียงใด ลึกลงไปในหัวใจของศัตรูของพระคริสต์กลับมีแต่การปฏิเสธ การดูหมิ่น และความเป็นปฏิปักษ์ต่อสิ่งเหล่านี้ เพราะเหตุใด? เพราะศัตรูของพระคริสต์ปราศจากสิ่งที่เป็นบวกเหล่านี้โดยสิ้นเชิง สิ่งที่พวกเขามีในแก่นแท้ของพวกเขาคือลักษณะนิสัยของความยอกย้อนและความอำมหิตซึ่งเป็นธรรมชาติเยี่ยงปีศาจ มีความแตกต่างระหว่างลักษณะนิสัยเช่นนี้กับการเป็นคนซื่อสัตย์ มีเมตตา และจริงใจที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้หรือไม่? ไม่เพียงมีความแตกต่างระหว่างลักษณะนิสัยทั้งสองเท่านั้น แต่ยังตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงด้วย—ลักษณะนิสัยทั้งสองประการมีธรรมชาติที่แตกต่างกัน การสำแดงและการเผยความยอกย้อนและความอำมหิตของศัตรูของพระคริสต์สอดคล้องกับความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่? สอดคล้องกับความจริงหรือไม่? แน่นอนว่าไม่เลย ทั้งหมดนั้นเป็นแผนการและอุบายของซาตาน ธรรมชาติที่สำแดงโดยแผนการและอุบายของซาตานคือความยอกย้อนและความอำมหิตอย่างแท้จริง เป็นองค์ประกอบที่ไม่ควรมีอยู่ในความเป็นมนุษย์ที่ปกติตามพระประสงค์ของพระเจ้า จากการสำแดงนานัปการของความยอกย้อนและความอำมหิตที่ได้สามัคคีธรรมกันไปแล้ว จงพิจารณาดูว่ามีผู้คนรอบตัวพวกเจ้าที่มีความเป็นมนุษย์เช่นนั้นอยู่หรือไม่ ศัตรูของพระคริสต์ซึ่งมีลักษณะนิสัยที่ยอกย้อนและอำมหิตเช่นนี้ย่อมสามารถกระทำการใดๆ ได้โดยไม่ต้องสงสัยเลย การกระทำของพวกเขาย่อมจะเป็นที่ประจักษ์ ได้ยิน และผู้อื่นเข้าถึงได้ หากพวกเขาเข้าถึงได้ ผู้คนก็ควรมีสำนึกของสิ่งเหล่านี้และสามารถรับรู้และแยกแยะบุคคลเช่นนั้นได้ ลักษณะนิสัยที่ยอกย้อนและอำมหิตของศัตรูของพระคริสต์ควรมีการสำแดงที่ชัดเจนและพบเห็นได้ทั่วไป นั่นไม่ใช่แนวคิด ความคิด และเจตนาที่ซ่อนเร้น แต่เป็นความเป็นมนุษย์ของพวกเขาที่เผยออกมา เป็นวิธีการ วิถีทาง และกลวิธีในการกระทำของพวกเขา ผู้คนควรสามารถรับรู้ถึงแง่มุมนี้ได้
ค. ปราศจากสำนึกแห่งเกียรติและไม่ใส่ใจต่อความละอาย
ความเป็นมนุษย์ที่ปกติมีความเรียบง่าย แต่พวกศัตรูของพระคริสต์เป็นคนเรียบง่ายหรือไม่? ไม่ใช่อย่างแน่นอน ความยอกย้อน ความอำมหิต และการโกหกเป็นนิสัยที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันไปนั้นขัดแย้งกับความเรียบง่าย ความเรียบง่ายเป็นสิ่งที่เข้าใจง่าย ดังนั้นพวกเราจะไม่สามัคคีธรรมเรื่องนี้ พวกเรามาสามัคคีธรรมเรื่องสำนึกแห่งเกียรติกันเถิด การมีสำนึกแห่งเกียรติคือสิ่งที่ควรมีอยู่ในความเป็นมนุษย์ที่ปกติ นั่นหมายถึงการมีเหตุผล คำตรงกันข้ามของการมีสำนึกแห่งเกียรติคืออะไร? (ไม่ใส่ใจต่อความละอาย) ความหมายของการไม่ใส่ใจต่อความละอายคือการไม่มีความละอาย กล่าวอีกนัยหนึ่ง นั่นอาจสรุปได้ว่าเป็นการไร้สำนึกแห่งเกียรติ การกระทำใดของพวกศัตรูของพระคริสต์ และการสำแดงเฉพาะหรือการปฏิบัติใดที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไร้สำนึกแห่งเกียรติและไม่ใส่ใจต่อความละอาย? ศัตรูของพระคริสต์แข่งขันกับพระเจ้าเพื่อแย่งชิงสถานะอย่างเปิดเผย ซึ่งเป็นการไร้สำนึกแห่งเกียรติและไม่ใส่ใจต่อความละอาย มีเพียงศัตรูของพระคริสต์เท่านั้นที่สามารถขับเคี่ยวกับพระเจ้าเพื่อสถานะและขับเคี่ยวกับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้อย่างเปิดเผย ไม่ว่าผู้คนจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม ศัตรูของพระคริสต์ก็ต้องการควบคุมคนเหล่านั้น ไม่ว่ามีความสามารถหรือไม่ก็ตาม ศัตรูของพระคริสต์ก็ต้องการเพียรพยายามเพื่อสถานะ และหลังจากได้มาซึ่งสถานะแล้ว พวกเขาก็ดำรงชีวิตอยู่ในคริสตจักร กินและดื่มจากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ปล่อยให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจัดเตรียมให้พวกเขาโดยไม่ทำอะไรเองเลย พวกเขาไม่ได้จัดเตรียมชีวิตเพื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร แถมยังต้องการนำคนเหล่านั้นมาอยู่ใต้อำนาจของตน ทำให้คนเหล่านั้นเชื่อฟัง รับใช้ ตรากตรำทำงานเพื่อพวกเขา และพวกเขาต้องการสถาปนาตำแหน่งของตนเองในหัวใจของผู้คน หากเจ้ากล่าวชื่นชมผู้อื่น หากเจ้าสรรเสริญพระเมตตา พระพร พระคุณอันยิ่งใหญ่ และมหิทธานุภาพของพระเจ้า พวกเขาย่อมจะรู้สึกไม่มีความสุขและไม่พอใจ พวกเขาต้องการให้เจ้ากล่าวคำยกย่องพวกเขาตลอดเวลา มีที่สำหรับพวกเขาอยู่ในหัวใจของเจ้า เคารพและชื่นชมบูชาพวกเขา และต้องไม่มีสิ่งใดปลอมปน ทุกสิ่งที่เจ้าทำต้องทำเพื่อพวกเขาและคำนึงถึงพวกเขา เจ้าต้องให้ความสำคัญกับพวกเขาในทุกโอกาส ในทุกสิ่งที่เจ้าพูดและทำ และต้องคำนึงถึงความคิดและความรู้สึกของพวกเขา นี่คือการไร้สำนึกแห่งเกียรติและไม่ใส่ใจต่อความละอายมิใช่หรือ? พวกศัตรูของพระคริสต์ปฏิบัติตนเช่นนี้ไม่ใช่หรือ? (ใช่ พวกเขาปฏิบัติตนเช่นนี้) มีการสำแดงอื่นอะไรอีกบ้าง? พวกเขาขโมยและผลาญของถวาย ยึดเอาของถวายพระเจ้ามาเป็นของตัวเอง นี่ก็เป็นการไร้สำนึกแห่งเกียรติและไม่ใส่ใจต่อความละอายด้วยเช่นกัน—แบบนี้ชัดเจนเกินไป!
เมื่อพูดถึงการขโมยของถวาย เคยมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น พี่น้องชายหญิงบางคนถวายสิ่งของซึ่งได้รับการส่งต่อไปยังคริสตจักรแห่งหนึ่ง และคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องของถวายสังเกตเห็นว่ามีขวดสองขวดที่ไม่มีป้ายระบุว่าเป็นของที่ตั้งใจถวายเบื้องบน และไม่มีคำสั่งเฉพาะใดๆ กำกับ เมื่อไม่รู้ว่าทั้งสองขวดนั้นคืออะไร คนคนนี้จึงเก็บขวดทั้งสองไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่ได้ส่งต่อไปยังเบื้องบน ต่อมาเมื่อเราถามว่าเขามีสิ่งของเหล่านั้นหรือไม่ เขาจึงกล่าวว่าเขามีขวดอยู่สองขวด เราถามเขาว่าเขามีของเหล่านั้นพร้อมไว้แล้วได้อย่างไร เขาอธิบายสถานการณ์ว่า “เพราะขวดทั้งสองนี้ไม่มีป้ายบ่งบอกว่าเป็นอะไร หรือทั้งสองขวดนี้เป็นของเบื้องบน พวกเราก็เลยเก็บเอาไว้ที่นี่ หากมีการติดป้ายว่าเป็นสิ่งที่พวกเราใช้ประโยชน์ได้ พวกเราคงจะเก็บไว้และนำไปใช้ หากนำไปขายได้ พวกเราก็คงจะนำไปขาย” พวกเจ้าคิดว่าประเด็นปัญหาในที่นี้คืออะไร? สิ่งของล้ำค่าบางรายการถูกส่งมาที่นี่จากหลากหลายสถานที่ บางชิ้นมีคำแนะนำและหลายชิ้นไม่มีคำแนะนำหรือป้ายกำกับ ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมปกติ หากพวกเจ้าใช้การวิเคราะห์ด้วยเหตุผล สิ่งของเหล่านี้ควรถูกมอบให้กับผู้ใด? (สิ่งเหล่านี้ควรถวายแด่พระเจ้าเป็นของถวาย) ผู้คนที่มีเหตุผลที่ปกติควรคิดในหนทางนี้ อย่างไรก็ดี บางคนกล่าวว่า “สิ่งของเหล่านี้ไม่เคยมีป้ายกำกับไว้ว่าเป็นของเบื้องบน” โดยนัยแล้ว คนคนนั้นตั้งใจจะกล่าวว่า “สิ่งของเหล่านั้นไม่ใช่ของคุณ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณล่ะ? ในเมื่อของพวกนั้นไม่ได้ติดป้ายกำกับไว้ว่าเป็นของคุณ ฉันก็มีสิทธิ์ที่จะจัดการกับพวกมัน ฉันจะไม่มอบให้คุณหรอก ถ้าฉันอยากขาย ฉันก็จะขาย ถ้าฉันอยากใช้ ฉันก็จะใช้ ถ้าฉันไม่อยากใช้หรือไม่อยากขาย ฉันก็จะทิ้งพวกมันเอาไว้ตรงนั้นให้เปล่าประโยชน์!” นี่คือมุมมองของคนที่ดูแลรับผิดชอบ เจ้าคิดอย่างไรกับมุมมองนี้? มีคนที่นำสิ่งของล้ำค่าเหล่านี้จากที่ไกลๆ มายังคริสตจักรหรือมอบสิ่งของมีค่าเหล่านี้ให้กับบุคคลใดโดยไม่ระบุว่าเป็นใครอย่างนั้นหรือ? (ไม่มี) ใครจะแสดงความรักอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ด้วยการมอบสิ่งของล้ำค่าให้กับคริสตจักร ให้พระนิเวศน์ของพระเจ้า หรือให้พี่น้องชายหญิง? ตราบจนทุกวันนี้ เรายังไม่เคยเห็นใครมีความรักที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้น หรือใครที่มอบของถวายหรือบริจาคเช่นนี้เลย แม้แต่สิ่งของธรรมดาที่ราคาไม่แพง เจ้ายังต้องจ่ายเงินซื้อ แล้วจะมีใครที่มอบสิ่งของล้ำค่าเหล่านี้ฟรีๆ โดยไม่สนใจบ้างหรือไม่? (ไม่มี) แม้คนที่ส่งสิ่งของเหล่านี้ไม่ระบุชัดเจนว่าเป็นของใคร ผู้คนก็ควรจะรู้ว่าใครเป็นผู้ที่สมควรได้รับสิ่งของเหล่านั้น นี่คือความมีเหตุผลที่ควรมีอยู่ในความเป็นมนุษย์ คนที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบควรรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร? เขาควรจัดการกับสิ่งของเหล่านี้อย่างไร? อย่างน้อยที่สุด เขาก็ควรทูลถามเบื้องบนว่า “พระองค์ประสงค์สิ่งเหล่านี้หรือไม่? หากไม่ต้องประสงค์ พวกเราควรจัดการกับสิ่งเหล่านี้อย่างไร?” แค่เพียงสองคำถามนี้เท่านี้ ปัญหาก็ได้รับการแก้ไขแล้ว สองคำถามนี้จะชี้ให้เห็นว่าลักษณะนิสัยของคนคนหนึ่งมีความมีเหตุผลที่ปกติ แต่คนที่รับผิดชอบดูแลของถวายคนนั้นกลับไม่สามารถถามแม้แต่คำถามง่ายๆ สองคำถามนี้ได้และไม่มีความมีเหตุผลอันจำเป็นที่สุดที่คนคนหนึ่งพึงมีอีกด้วย เขาเชื่อได้อย่างไรว่าสิ่งของเหล่านี้เป็นของคริสตจักร? เขาถึงกับกล่าวถ้อยแถลงเสริมด้วยว่า “ของพวกนี้ไม่มีติดป้ายไว้ว่าสำหรับเบื้องบน” นี่คือปัญหาไม่ใช่หรือ? “ของพวกนี้ไม่มีติดป้ายไว้ว่าสำหรับเบื้องบน” หมายความว่าอย่างไร? ทำไมเขาถึงกล่าวถ้อยแถลงนี้เสริมขึ้นมา? (เพื่อหาเหตุผลในการผลาญของถวายโดยไม่ใส่ใจของเขา) นั่นแหละคือเหตุผล คนคนหนึ่งที่สามารถทำสิ่งต่างๆ เช่นนั้นได้ มีสำนึกแห่งเกียรติในความเป็นมนุษย์ของตนอย่างแท้จริงหรือไม่? ชัดเจนว่าไม่มีเลย คนที่ปราศจากลักษณะนิสัยเช่นนี้มีความเป็นมนุษย์ประเภททใด? นี่คือการขาดสำนึกแห่งเกียรติไม่ใช่หรือ? เขาไม่รู้จริงๆ หรือว่าสิ่งของเหล่านี้เป็นของถวาย? เขารู้ว่าสิ่งของเหล่านี้คือของถวาย แต่เพราะเขาไร้สำนึกแห่งเกียรติในความเป็นมนุษย์ของเขา เขาจึงสามารถกล่าวคำพูดเหล่านั้นโดยไม่ใส่ใจต่อความละอาย และหลังจากนั้น เขายังสามารถเพลิดเพลิน ยึดเอา และผลาญของถวายได้โดยธรรมชาติและไม่สนใจ โดยอ้างว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นของตนเอง มีเพียงผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ของพวกศัตรูพระคริสต์เท่านั้นที่แสดงการสำแดงเหล่านั้นออกมา
ศัตรูของพระคริสต์ขาดมโนธรรมและเหตุผล พวกเขาสำแดงว่าพวกเขาไม่มีสำนึกแห่งเกียรติและไม่ใส่ใจต่อความละอายอย่างไรอีกบ้าง? เมื่อพวกเขาทำสิ่งที่ผิด พวกเขาไม่รู้จักการรู้สึกสำนึกผิด และพวกเขาไม่เก็บงำความรู้สึกผิดไว้ในหัวใจของตนเลย พวกเขาไม่ใคร่ครวญว่าจะปรับปรุงแก้ไขหรือกลับใจอย่างไร และพวกเขาถึงขนาดเชื่อว่าการกระทำของตนชอบด้วยเหตุผลแล้ว เมื่อเผชิญกับการตัดแต่งหรือถูกแทนที่ พวกเขาก็รู้สึกว่าถูกปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม พวกเขาโต้แย้งอย่างไม่หยุดหย่อนและหาเหตุผลบิดเบือนเข้าข้างตัวเอง—นี่คือการไร้สำนึกแห่งเกียรติ พวกเขาไม่ทำงานใดๆ อย่างแท้จริงเลย พวกเขาอบรมสั่งสอนผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา และชักพาผู้คนให้หลงเชื่อด้วยทฤษฎีที่ว่างเปล่า ทำให้ผู้อื่นคิดว่าพวกเขาเป็นฝ่ายวิญญาณและเข้าใจความจริง พวกเขายังคุยโวอยู่บ่อยครั้งว่าพวกเขาได้ทำงานและได้ทนทุกข์มากมายเพียงใด กล่าวว่าพวกเขาสมควรได้ชื่นชมพระคุณของพระเจ้า รวมถึงการต้อนรับและการเอาใจใส่จากพี่น้องชายหญิง ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงอาศัยอยู่ในคริสตจักรโดยถือเป็นเรื่องปกติ และพวกเขายังต้องการดื่มและกินของอร่อยๆ และเพลิดเพลินกับการปฏิบัติเป็นพิเศษอีกด้วย นี่คือการปราศจากสำนึกแห่งเกียรติและไม่ใส่ใจต่อความละอาย ยิ่งไปกว่านั้น แม้จะมีขีดความสามารถต่ำอย่างชัดเจน ไม่เข้าใจความจริง และไม่สามารถค้นพบหลักธรรมแห่งการปฏิบัติได้ รวมถึงไม่สามารถทำงานอะไรได้เลย พวกเขากลับพูดโอ้อวดว่ามีความสามารถและเก่งในทุกเรื่อง นี่คือการไม่ใส่ใจต่อความละอายไม่ใช่หรือ? ทั้งที่ไม่มีอะไรเลยอย่างเห็นได้ชัด แต่พวกเขากลับเสแสร้งว่ารู้ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ผู้คนนับถือและชื่นชมยกย่องตน หากใครสักคนมีปัญหาแต่ไม่ขอคำแนะนำจากพวกเขา และถามคนอื่นแทน พวกเขาก็จะเริ่มโกรธ ริษยา และขุ่นเคืองใจ มองหาหนทางใดก็ตามที่จะเป็นไปได้เพื่อทรมานคนคนนั้น นี่คือการไม่ใส่ใจต่อความละอายไม่ใช่หรือ? เห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขามักจะโกหก มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามต่างๆ นานา แต่พวกเขาเสแสร้งว่าตนไม่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ตนเป็นที่โปรดปรานและเป็นที่รักของพระเจ้า ในทุกสถานการณ์ พวกเขาเสแสร้งว่าพวกเขาสามารถสู้ทนความทุกข์ได้ดี พวกเขาสามารถนบนอบ พวกเขาสามารถยอมรับความจริงและการตัดแต่ง พวกเขาไม่เกรงกลัวงานหนักหรือการวิพากษ์วิจารณ์ และพวกเขาไม่เคยพร่ำบ่น—แต่ในความเป็นจริง พวกเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ทั้งที่พวกเขาไม่สามารถสามัคคีธรรมความเข้าใจใดๆ อย่างแจ่มแจ้ง หรือพูดคุยเกี่ยวกับความจริงใดๆ ให้ชัดเจน และขาดคำพยานจากประสบการณ์ พวกเขากลับเสแสร้งและหลอกลวง พูดถึงการรู้จักตนเองของตนในหนทางที่ว่างเปล่าเพื่อให้ผู้คนมองว่าพวกเขามีความเป็นฝ่ายวิญญาณสูงและมีความเข้าใจอย่างมากมายทีเดียว นี่คือการไม่ใส่ใจต่อความละอายไม่ใช่หรือ? พวกเขามีปัญหามากมายและมีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดีอย่างชัดเจน พวกเขาทำหน้าที่ของตนโดยปราศจากความจงรักภักดี และพึ่งพาเพียงสติปัญญาและความเฉลียวฉลาดของตนเองในงานทุกงานที่พวกเขาทำ โดยไม่แสวงหาความจริงเลย แต่พวกเขายังคงเชื่อว่าตนแบกรับภาระ ตนมีความเป็นฝ่ายวิญญาณสูงและมีขีดความสามารถ และตนเหนือว่าผู้คนส่วนใหญ่ นี่คือการไม่ใส่ใจต่อความละอายไม่ใช่หรือ? การสำแดงเหล่านี้คือการสำแดงของการขาดความเป็นมนุษย์ของศัตรูของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? พวกเขามักจะเผยสิ่งเหล่านี้ออกมาไม่ใช่หรือ? พวกเขาขาดความเข้าใจเกี่ยวกับหลักธรรมความจริงอย่างชัดเจน และไม่ว่าพวกเขาจะทำงานใด พวกเขาก็ไม่สามารถค้นพบหลักธรรมแห่งการปฏิบัติ แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแสวงหาหรือสามัคคีธรรม พวกเขาพึ่งพาความเฉลียวฉลาด ประสบการณ์ และสติปัญญาของตนเองเพื่อทำงานให้สำเร็จ พวกเขายังปรารถนาที่จะเป็นผู้นำ คอยกำกับผู้อื่น และทำให้ทุกคนต้องรับฟังตน พวกเขาจะโกรธและโมโหเมื่อใครก็ตามไม่ทำตามนั้น นี่คือการไม่ใส่ใจต่อความละอายไม่ใช่หรือ? เพราะพวกเขามีความทะเยอทะยาน พรสวรรค์ และมีความเฉลียวฉลาดอยู่บ้างเล็กน้อย พวกเขาจึงต้องการที่จะโดดเด่นในพระนิเวศน์ของพระเจ้า และต้องการให้พระนิเวศน์ของพระเจ้าวางพวกเขาไว้ในตำแหน่งที่สำคัญๆ และอบรมบ่มเพาะพวกเขา หากพวกเขาไม่ได้รับการอบรมบ่มเพาะ พวกเขาก็จะรู้สึกหงุดหงิดและขุ่นเคือง พร่ำบ่นว่าพระนิเวศน์ของพระเจ้าไม่เป็นธรรม พระนิเวศน์ของพระเจ้าไม่สามารถรับรู้ความสามารถพิเศษของผู้คน และพระนิเวศน์ของพระเจ้าไม่มีผู้ตัดสินความสามารถพิเศษที่เก่งจนค้นพบความสามารถที่ยอดเยี่ยมของพวกเขา หากพวกเขาไม่ได้รับอบรมบ่มเพาะ พวกเขาก็ไม่ต้องการทำงานหนักด้วยการทำหน้าที่ของตน ไม่ต้องการสู้ทนความยากลำบาก หรือจ่ายราคา พวกเขาต้องการเพียงใช้ความเจ้าเล่ห์เพื่อหนีจากงาน ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาหวังว่าใครบางคนในพระนิเวศน์ของพระเจ้าจะยอมรับนับถือและยกชูพวกเขา เปิดโอกาสให้พวกเขาล้ำหน้ากว่าคนอื่นและดำเนินแผนการอันยิ่งใหญ่ที่นี่ สิ่งเหล่านี้คือความทะเยอทะยานและความอยากไม่ใช่หรือ? นี่คือการไม่ใส่ใจต่อความละอายไม่ใช่หรือ? นี่คือการสำแดงของพวกศัตรูของพระคริสต์ที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดไม่ใช่หรือ? หากเจ้ามีความสามารถที่แท้จริง เจ้าควรไล่ตามเสาะหาความจริง มุ่งเน้นการทำหน้าที่ของตนให้ดี แล้วประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็จะยอมรับนับถือเจ้าโดยธรรมชาติ หากเจ้าไม่มีความจริงเลย ทั้งยังต้องการที่จะโดดเด่นอยู่เสมอ นั่นคือการขาดเหตุผลจนเกินไป! หากเจ้ามีความทะเยอทะยานและความอยาก รวมทั้งต้องการทุ่มสุดกำลังอยู่เสมอ เจ้าย่อมต้องล้มลงแน่นอน คนบางคนเคยมีสถานะและเกียรติยศบางอย่างในสังคมมาก่อน หลังจากมาเชื่อในพระเจ้าและเข้าสู่พระนิเวศน์ของพระองค์แล้ว พวกเขาก็ต้องการใช้อำนาจของตนอย่างไม่เป็นธรรม มีสิทธิ์ในการตัดสินชี้ขาด และบังคับให้ทุกคนทำตามคำสั่งของตน พวกเขาต้องการนำเสนอคุณสมบัติและคุณวุฒิทั้งหลายของตน พวกเขามองว่าทุกคนต่ำกว่าตนและคิดว่าทุกคนควรอยู่ภายใต้อำนาจของตน นี่คือการไม่ใส่ใจต่อความละอายไม่ใช่หรือ? ใช่แล้ว เมื่อคนบางคนได้รับผลลัพธ์และทำคุณูปการบางอย่างระหว่างทำหน้าที่ของตนในพระนิเวน์ของพระเจ้า พวกเขาก็ต้องการให้พี่น้องชายหญิงปฏิบัติต่อตนด้วยความเคารพอย่างสูง เช่นเดียวกับผู้อาวุโส บุคคลชั้นสูง และบุคคลพิเศษ พวกเขาถึงกับต้องการให้ผู้คนชื่นชมยกย่องพวกเขา ติดตามพวกเขา และรับฟังพวกเขา พวกเขาปรารถนาที่จะกลายเป็นผู้นำในคริสตจักร พวกเขาต้องการตัดสินใจทุกสิ่งทุกอย่าง ให้คำตัดสินและชี้ขาดในทุกเรื่อง หากไม่มีใครฟังหรือทำตามสิ่งที่พวกเขาพูด พวกเขาก็ต้องการที่จะละทิ้งตำแหน่งหน้าที่ของตน บ่อนทำลายและหัวเราะเยาะคนทุกคน นี่คือการไม่ใส่ใจต่อความละอายไม่ใช่หรือ? นอกจากการไม่ใส่ใจต่อความละอายแล้ว พวกเขายังมุ่งร้ายเป็นพิเศษ—คนเหล่านี้คือศัตรูของพระคริสต์
การสำแดงของการไม่ใส่ใจต่อความละอายในลักษณะนิสัยของพวกศัตรูของพระคริสต์นั้นแพร่หลายมากเกินไป ผู้คนส่วนใหญ่แสดงให้เห็นถึงการสำแดงนี้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่เพียงแต่ศัตรูของพระคริสต์เท่านั้นที่มีการสำแดงนี้ พวกเขายังไม่เคยระลึกรู้ว่าธรรมชาติของการสำแดงนี้ร้ายแรงเพียงใด และพวกเขาไม่เคยกลับใจ ไม่เคยพยายามรู้จักหรือต่อต้านการสำแดงนี้ ในทางตรงข้าม พวกเขากลับมองว่านี่เป็นเรื่องธรรมชาติ ซึ่งก็คือพวกเขากำลังปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง ไม่ว่าพฤติกรรมของพวกเขาจะไม่ใส่ใจต่อความละอาย ไร้เหตุผล น่ารังเกียจ และน่าขยะแขยงเพียงใด พวกเขาก็ยังคงเชื่อว่านี่เป็นเรื่องที่ปกติและชอบด้วยเหตุผล พวกเขาคิดว่านั่นสมเหตุสมผล และพวกเขาสมควรที่จะเป็นผู้นำเพราะพรสวรรค์และความสามารถทั้งหลายของตน อีกทั้งพวกเขาควรแสดงสิทธิ์ความอาวุโสของตน และคนอื่นๆ ก็ควรรับฟังตนเพราะคุณูปการของตน และพวกเขาไม่เห็นว่านี่คือสิ่งที่เป็นการไม่ใส่ใจต่อความละอาย พวกเขาหมดหวังแล้วไม่ใช่หรือ? นี่ไม่ใช่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติ นี่คือลักษณะนิสัยของพวกศัตรูของพระคริสต์ ผู้คนที่เสื่อมทรามทั่วไปอาจมีการสำแดงและความคิดเหล่านี้ในระดับมากบบ้างหรือน้อยบ้าง และมีระดับความรุนแรงที่ต่างกัน แต่ด้วยการอ่านพระวจนะของพระเจ้า การยอมรับและการเข้าใจความจริง พวกเขาย่อมตระหนักรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงมี พวกเขายังตระหนักรู้ด้วยว่าเมื่อเกิดแนวคิด ความคิด แผนการ และความต้องการที่ไร้เหตุผลดังกล่าวขึ้น พวกเขาควรต่อต้านสิ่งเหล่านั้น ปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้น เปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้น เรียนรู้ที่จะกลับใจ ยอมรับความจริง และปฏิบัติให้สอดคล้องความจริง อะไรคือความแตกต่างระหว่างศัตรูของพระคริสต์และบุคคลที่เสื่อมทรามธรรมดา? อยู่ที่ข้อเท็จจริงที่ว่าศัตรูของพระคริสต์จะไม่มีวันเชื่อว่าแนวคิด ความคิด และความอยากของตนเป็นสิ่งผิด เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกล่าวโทษและชิงชัง หรือเป็นสิ่งที่เป็นลบซึ่งเป็นของซาตาน ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่เคยปล่อยมือจากความคิดหรือความเชื่อเหล่านี้ แทนที่จะปล่อยมือ พวกเขากลับยึดมั่นอยู่กับสิ่งเหล่านี้ พวกเขาไม่ต่อต้านสิ่งเหล่านี้ และแน่นอนว่าพวกเขาไม่ยอมรับสิ่งที่ถูกต้องและเป็นบวก อีกทั้งไม่ยอมให้สิ่งที่ถูกต้องและเป็นบวกกลายเป็นการปฏิบัติที่พวกเขาพึงมีและเป็นหลักธรรมที่พวกเขาควรยึดถือ นี่คือความแตกต่างระหว่างศัตรูของพระคริสต์กับบุคคลที่เสื่อมทรามทั่วไป จงมองไปรอบๆ ใครก็ตามที่ไม่ใส่ใจต่อความละอาย แต่ไม่เคยรับรู้หรือตระหนักในเรื่องนี้เลย นั่นคือแบบฉบับของศัตรูของพระคริสต์
พวกศัตรูของพระคริสต์มีลักษณะนิสัยทั่วไปอีกประการหนึ่งคือผู้คนสามารถแยกแยะได้อย่างง่ายดายมาก นั่นคือ พวกเขาขาดสำนึกของความละอาย ดังที่จารึกไว้ในพระคัมภีร์ว่า “คนอธรรมทำให้หน้าของตนด้านไป” (สุภาษิต 21:29)—มีเพียงพวกศัตรูของพระคริสต์เท่านั้นที่เป็นคนชั่วอย่างแท้จริง ศัตรูของพระคริสต์เป็นพวกไร้ยางอาย ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งที่ไม่ใส่ใจต่อความละอาย ไม่ใส่ใจความรู้สึกของผู้คน และขัดต่อความจริงมากมายเพียงใดก็ตาม พวกเขาก็ไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้ และไม่ยอมรับรู้เรื่องนี้เลย พวกเขาไม่ยอมรับสิ่งที่ถูกต้องหรือเป็นบวก และพวกเขาไม่ปล่อยมือจากมุมมองและการปฏิบัติที่ผิดๆ ของตน แต่พวกเขากลับยืนกรานในสิ่งเหล่านี้จนถึงที่สุด นี่คือสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์เป็น พวกเจ้าอยู่ในสถานการณ์เช่นไร? เมื่อเจ้ามีความต้องการที่ไร้เหตุผล ความคิดที่ไร้ยางอาย และมีเจตนากับแนวคิดที่พระเจ้าทรงรังเกียจเหล่านี้ เจ้าตระหนักหรือไม่ว่าพระเจ้าทรงชิงชัง และด้วยเหตุนี้เจ้าจึงสามารถต่อต้านพร้อมปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้? หรือหลังจากได้ฟังความจริงแล้ว เจ้าก็ไม่ยอมปล่อยมือ โดยยืนกรานในสิ่งเหล่านี้ และคิดว่าเจ้าถูกต้อง? (เมื่อข้าพระองค์ตระหนักในสิ่งเหล่านี้ ข้าพระองค์ก็สามารถเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้กับพระวจนะของพระเจ้า และรู้สึกว่าความคิดเหล่านี้ค่อนข้างจะน่ารังเกียจและไม่ใส่ใจต่อความละอาย อีกทั้งข้าพระองค์ยังสามารถอธิษฐานและต่อต้านสิ่งเหล่านั้นได้) ผู้ที่สามารถอธิษฐานและต่อต้านสิ่งเหล่านั้นได้อย่างมีมโนธรรมย่อมไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์ ผู้ที่ไม่เคยอธิษฐานและต่อต้านสิ่งเหล่านั้นเลย แต่กลับทำตามความคิดของตนเอง ต่อต้านพระเจ้าอยู่ในหัวใจของตน และปฏิเสธที่จะยอมรับความจริงคือลักษณะทั่วไปของพวกศัตรูของพระคริสต์ ไม่ว่าพวกเขาได้ทำสิ่งที่ไร้ยางอายเพียงไร พวกเขาก็ปฏิเสธที่จะยอมรับหรือยอมรับรู้ถึงสิ่งเหล่านั้น นี่ย่อมชัดเจนแล้วว่าผู้คนเหล่านี้คือผู้ที่ไม่ยอมรับสิ่งต่างๆ ที่เป็นบวกแต่กลับรักสิ่งที่เป็นลบและสิ่งเลวร้ายทั้งหลายไม่ใช่หรือ? พวกเจ้าไม่สามารถจำแนกได้ว่าเจ้าอยู่ในประเภทใด หรือว่าพวกเจ้าไม่เคยมีความคิดซึ่งไม่ใส่ใจต่อความละอายเช่นนี้เลย? (ข้าพระองค์เคยมีความคิดเหล่านี้ และหลังจากเริ่มตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ ข้าพระองค์ก็เสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าและต่อต้านสิ่งเหล่านี้ได้ บางครั้งข้าพระองค์ก็ไม่ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ ข้าพระองค์ได้กระทำการหรือพูดโดยปราศจากการสำนึกว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ไม่ใส่ใจต่อความละอาย และรับรู้สิ่งเหล่านี้ในภายหลังเมื่อข้าพระองค์ถูกเปิดโปงแล้วเท่านั้น จากนั้นข้าพระองค์จึงสามารถอธิษฐานและต่อต้านสิ่งเหล่านั้นได้) หากเจ้าไม่ตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องไร้ยางอาย นั่นไม่ใช่ปัญหา แต่หากเจ้าตระหนักรู้แต่ไม่ยอมรับความจริงหรือขัดขืนตนเอง เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นปัญหาร้ายแรง โดยส่วนใหญ่แล้ว พวกเจ้าด้านชา ไม่สามารถเชื่อมโยงเรื่องนี้กับพระวจนะของพระเจ้าได้ และไม่ตระหนักว่าปัญหาของตนคืออะไร แต่เมื่อเจ้าเริ่มตระหนักในเรื่องนี้ หากเจ้ารู้สึกผิดทันทีและรู้สึกถึงการถูกติเตียนในหัวใจ รู้สึกละอายใจเกินกว่าที่จะพบใครสักคน และคิดว่าตนเองน่ารังเกียจ ต่ำต้อย และขาดความซื่อตรง ดังนั้นเจ้าจึงรู้สึกรังเกียจและเกลียดตัวเอง จากนั้นก็ใคร่ครวญว่าจะเปลี่ยนแปลงหรือปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้อย่างไร นี่คือสถานการณ์ที่เป็นปกติ หากเจ้าสามารถต่อต้านตัวเองทันทีที่เจ้าเริ่มตระหนักรู้ เช่นนั้นเจ้าย่อมมีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด หากเจ้าเริ่มตระหนักรู้แต่ยังคงไม่ขัดขืนตนเอง เจ้าก็หมดหวังที่จะได้รับความรอดแล้ว คนคนหนึ่งสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้หรือไม่นั้นย่อมขึ้นอยู่กับว่าพวกเขายอมรับความจริงได้หรือไม่ บางคนอาจกล่าวว่า “ฉันด้านชาและปัญญาทึบ มีขีดความสามารถต่ำ แต่ตราบใดที่ฉันพอเข้าใจสิ่งที่ฉันได้ยินอยู่บ้าง ฉันย่อมสามารถฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและสามารถขัดขืนตนเองได้” ผู้คนเช่นนั้นก็สามารถได้รับการช่วยให้รอด ไม่ว่าขีดความสามารถของคนเราจะดีเพียงใด หรือเข้าใจความจริงได้มากขนาดไหน หากพวกเขาไม่ต่อต้านตัวเอง หากพวกเขายืนกรานที่จะไม่ปฏิบัติหรือยอมรับความจริง และต้านทานหรือต่อต้านความจริงอยู่ในหัวใจ เช่นนั้นก็จบกัน—พวกเขาหมดหวังแล้ว การไม่ใส่ใจต่อความละอายยังเป็นลักษณะพิเศษที่เป็นแบบฉบับของลักษณะนิสัยของพวกศัตรูของพระคริสต์อีกด้วย จงมองดูว่ามีผู้คนเช่นนั้นอยู่รอบตัวพวกเจ้าหรือไม่ แล้วจากนั้นจงตรวจสอบตัวเจ้าเองเพื่อกำหนดว่าพวกเจ้าอยู่ในประเภทนี้หรือไม่—หากเจ้ารู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าเจ้าเพียบพร้อมและยิ่งใหญ่ หากเจ้าถือว่าตนเป็นผู้ช่วยให้รอดคนหนึ่งเสมอ หากเจ้ามุ่งมาดปรารถนาที่จะถูกวางให้อยู่เหนือทุกคนตลอดเวลา หากเจ้ากระหายที่จะเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่นในกลุ่มเพื่อดูว่าเจ้ายืนอยู่สูงเพียงใด และไม่ว่าในท้ายที่สุด เจ้าจะสามารถล้ำหน้ากว่าผู้อื่นหรือไม่ เจ้าก็อยากที่จะโดดเด่น และต้องการได้รับการยกย่องจากคนอื่นๆ โดดเด่นจากฝูงชน และกลายเป็นสมาชิกคนพิเศษของกลุ่ม สิ่งที่ทำให้เจ้าพิเศษคืออะไร? เจ้ามีเขางอกบนศีรษะ หรือมีสามตา หรือมีหัวสามหัวกับอีกหกแขนหรือเปล่า? เจ้าไม่มีอะไรพิเศษเลย แล้วทำไมเจ้าถึงรู้สึกอยู่เสมอว่าเจ้าโดดเด่นและไม่เหมือนใคร? นี่คือการไม่ใส่ใจต่อความละอาย ในแง่หนึ่ง ความสามารถทางกายภาพโดยกำเนิดของเจ้าไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ และในอีกแง่หนึ่ง ขีดความสามารถของเจ้าก็ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษเลย ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เจ้าเหมือนคนอื่นๆ ทุกคนที่เต็มไปด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ขาดความเข้าใจในความจริง และเป็นพวกของซาตานที่ต้านทานพระเจ้า เจ้ามีอะไรให้เจ้าพูดโอ้อวดบ้าง? ชัดเจนว่าไม่มีอะไรให้พูดโอ้อวดได้เลย ทักษะ ความสามารถ พรสวรรค์ และความสามารถพิเศษที่เจ้ามีเล็กน้อยไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์ที่ปกติและไม่สัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ ที่เป็นบวกเลย แต่เจ้ากลับยืนกรานที่จะนำสิ่งที่ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงมาเป็นจุดเด่น ปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นเหมือนเหรียญแห่งเกียรติของตนเอง โอ้อวดไปทั่วทุกหนทุกแห่งว่าเป็นต้นทุนและความรุ่งโรจน์ของเจ้า เพื่อที่จะได้รับการยอมรับนับถือและการเคารพบูชาจากผู้คน แม้กระทั่งใช้สิ่งเหล่านี้เป็นต้นทุนเพื่อให้คนอื่นจัดเตรียมเพื่อเจ้า และชื่นชมยินดีกับการยอมรับนับถือและการปฏิบัติด้วยความโปรดปรานจากผู้อื่น นี่คือการไม่ใส่ใจต่อความละอายไม่ใช่หรือ? ความต้องการที่ไร้เหตุผล ความคิด เจตนา แนวคิด และสิ่งอื่นๆ ที่เกิดจากความเป็นมนุษย์และเหตุผลที่ไม่ปกติเหล่านี้ล้วนเป็นการสำแดงของการไม่ใส่ใจต่อความละอายทั้งสิ้น หากการสำแดงของการไม่ใส่ใจต่อความละอายเหล่านี้ครอบงำความเป็นมนุษย์ของใครบางคน และกลายเป็นลักษณะนิสัยสำคัญของพวกเขาซึ่งขัดขวางพวกเขาจากการยอมรับและการเข้าใจความจริง นี่คือลักษณะนิสัยทั่วไปของพวกศัตรูของพระคริสต์
คนบางคนนำของถวายไปซื้อของอร่อยๆ คุณภาพดี และทันสมัยให้กับพี่น้องชายหญิง โดยอ้างว่าพวกเขาทำเช่นนี้เพราะคำนึงถึงพี่น้องชายหญิงเหล่านั้น เพื่อให้พี่น้องชายหญิงสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและไร้กังวลในพระนิเวศน์ของพระเจ้า และจากนั้นก็ขอบคุณความรักของพระเจ้า เจ้าคิดว่าแนวคิดนี้เป็นอย่างไร? มีมนุษยธรรม,kdหรือไม่? (ไม่มีเลย พวกเขาปฏิบัติต่อของถวายของพระเจ้าราวกับเงินของตนเอง ใช้จ่ายตามที่ตนต้องการ แทนที่จะใช้ของถวายนั้นอย่างเป็นปกติและมีเหตุผลตามหลักธรรมแห่งพระนิเวศน์ของพระเจ้า) อะไรคือปัญหาของความเป็นมนุษย์เช่นนี้? (การไม่ใส่ใจต่อความละอาย) บุคคลเช่นนั้นกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์ที่พบได้ทั่วไปในทันทีที่พวกเขาได้รับสถานะ พวกเขาใช้ของถวายเพื่อทำให้ตนเองเป็นที่โปรดปรานของผู้อื่น โดยกล่าวว่า “พี่น้องชายหญิงขาดเสื้อผ้าและใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก พวกเขามีความลำบากยากเย็นมากมาย และไม่มีใครใส่ใจเรื่องนี้ ฉันสังเกตเห็นแล้ว และฉันจะรับผิดชอบเรื่องนี้เอง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่พี่น้องชายหญิง เพื่อให้พวกเขามีประสบการณ์กับความอบอุ่นของพระเจ้า ความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และพระคุณของพระเจ้าระหว่างที่พวกเขาใช้ชีวิตในพระนิเวศน์ของพระองค์ พระนิเวศน์ของพระเจ้าจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อสนองทุกแง่มุมในชีวิตของพวกเขา เพราะฉะนั้นฉันจำเป็นต้องใช้ความคิดในเรื่องนี้ให้มากขึ้น และพิจารณาให้รอบคอบว่าพี่น้องชายหญิงขาดหรือต้องการสิ่งใด จำเป็นต้องซื้อแก้วเก็บอุณหภูมิเพื่อให้สะดวกกับพี่น้องชายหญิงเวลาดื่มน้ำและพกพาเวลาออกไปข้างนอก ควรซื้อเก้าอี้เก้าอี้ให้พี่น้องชายหญิง เก้าอี้จำต้องมีพนักพิงที่อ่อนนุ่ม พวกเขาจะได้ไม่เจ็บหลังเวลานั่งนานๆ เก้าอี้เหล่านี้ควรนั่งสะดวกสบาย และควรมีความสูง เหลี่ยมมุม และความนุ่มที่เหมาะสม ไม่ว่าค่าใช้จ่ายจะเป็นเท่าใด พวกเราก็ไม่ควรละเว้นค่าใช้จ่ายใดๆ สำหรับพี่น้องชายหญิง เพราะพวกเขาคือเสาหลักของพระนิเวศน์ของพระเจ้า เป็นต้นทุนและเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการแผ่ขยายงานของพระนิเวศน์ของพระเจ้า เพราะฉะนั้นการดูแลพี่น้องชายหญิงอย่างดีย่อมช่วยให้งานในพระนิเวศน์ของพระเจ้าดีขึ้น” เมื่อพี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่ได้ยินเช่นนี้ก็หลั่งน้ำตาออกมาทันทีด้วยความซาบซึ้งใจอย่างเปี่ยมล้น และเฝ้าแต่ร้องตะโกนว่านี่คือความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ผู้ที่จัดการเรื่องนี้ย่อมรู้สึกอบอุ่นภายในเมื่อได้ยินเช่นนี้ พลางคิดว่า “ในที่สุดก็มีคนเข้าใจหัวใจของฉัน” นี่คืออะไร? (การไม่ใส่ใจต่อความละอาย) การทำคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่ต่อพี่น้องชายหญิงเช่นนั้นถือเป็นการไม่ใส่ใจต่อความละอายได้อย่างไร? นี่คือการว่าร้ายหรือไม่? (ไม่ใช่) พวกเขากำลังใช้เงินของพระนิเวศน์ของพระเจ้าแสดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เช่นนี้เพื่อเอาชนะใจผู้คน และกำลังเสแสร้งเพื่อแสดงความคำนึงถึงและห่วงใยอย่างเปี่ยมรักต่อพี่น้องชายหญิง จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของพวกเขาคืออะไร? พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นการชื่นชมยินดีผลประโยชน์เหล่านี้ร่วมกับพี่น้องชายหญิง พูดอย่างจริงจังก็คือ นั่นเป็นการประจบประแจงผู้คน เพื่อให้แน่ใจว่าผู้คนจะจดจำพวกเขาเอาไว้เสมอ มีที่สำหรับพวกเขาอยู่ในหัวใจ และจดจำว่าพวกเขาดีเพียงใด หากพวกเขากำลังใช้เงินของตนเอง พวกเขาจะปฏิบัติต่อพี่น้องชายหญิงในหนทางเดียวกันหรือไม่? (เขาจะไม่ทำเช่นนี้แน่นอน) เนื้อแท้ของพวกเขาจะถูกเผยออกมา และพวกเขาจะไม่ปฏิบัติต่อผู้คนในหนทางนี้ เมื่อตัดสินจากการที่พวกเขาใช้ของถวายของพระเจ้าอย่างไม่ระมัดระวังตามความปรารถนาของตน พวกเขาก็คือผู้คนที่ไร้มาตรฐานทางศีลธรรมและขาดความซื่อตรง พวกเขาเป็นคนสามานย์และไร้ยางอาย พวกเขาสามารถปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเมตตาได้หรือไม่? พวกเขาเป็นคนประเภทใด? (พวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์ที่ไม่ใส่ใจต่อความละอาย) ยังมีสิ่งที่เป็นความยอกย้อนและความอำมหิตในการไม่ใส่ใจต่อความละอายนี้ที่ศัตรูของพระคริสต์มีและสำแดงในความเป็นมนุษย์ของพวกเขา—พวกเขาใช้คำโกหกเพื่อบรรลุเป้าหมายส่วนตัวของตน มีคำพูดใดบ้างที่ออกจากปากพวกเขาแล้วเป็นความจริง? ในขณะที่พวกเขาดูคำนึงถึงผู้คนมาก รักผู้คนจริงๆ และคิดถึงผู้คนอย่างมากทีเดียว แต่เบื้องหลังพวกเขากลับเก็บงำเจตนาที่มุ่งร้ายอย่างแท้จริงเอาไว้ พวกเขาไม่จ่ายราคาทั้งหลายด้วยตนเอง พวกเขาใช้ของถวาย และในที่สุดพระนิเวศน์ของพระเจ้าก็ต้องทนทุกข์กับความสูญเสียในขณะที่พวกเขากลับได้รับประโยชน์เสียเอง นี่คือสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์ทำ—พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ใส่ใจต่อความละอาย แต่พวกเขายังยอกย้อนและความอำมหิตอีกด้วย พวกเขาโกหกเป็นนิสัย พวกเขาโกหกและหลอกลวงผู้คนในทุกที่ที่พวกเขาไป ไม่พูดความจริงเลยแม้แต่คำเดียว แค่นี้ก็น่ารังเกียจแล้ว แต่พวกเขายังพูดโอ้อวดต่อไปว่าไร้เล่ห์เหลี่ยม เมตตา ดีต่อผู้อื่น เปี่ยมรัก เห็นอกเห็นใจ ไม่สามารถใจแข็งกับผู้ใดหรือเอาคืนพวกที่ข่มเหงรังแกพวกเขาได้ พวกเขาถึงขนาดพูดโอ้อวดว่าตนเป็นคนเพียบพร้อมและน่านับถือ ปรารถนาที่จะสร้างภาพลักษณ์ให้กับตนเองและครอบครองพื้นที่ในหัวใจผู้คน นี่คือการไม่ใส่ใจต่อความละอายไม่ใช่หรือ? นี่คือธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์ ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้
ส่วนพวกที่ทำสิ่งไม่ดีโดยไม่ยับยั้งชั่งใจและไม่ใส่ใจต่อความละอาย ผู้คนย่อมสามารถแยกแยะพวกเขาได้บ้าง แต่การแยกแยะว่าพวกศัตรูของพระคริสต์ไม่ใส่ใจต่อความละอายนั้นไม่ง่ายเลย เราได้เห็นการสำแดงพิเศษของศัตรูของพระคริสต์ที่ไม่ใส่ใจต่อความละอาย เขามักปฏิบัติตนอย่างไร้ระเบียบและอวดดี เขาโกหกเป็นนิสัย และมีวิธีการพูดที่เป็นระบบ ซึ่งมีความเป็นระเบียบและจัดการเตรียมการมาอย่างดี อย่างไรก็ดี เมื่อเป็นเรื่องของการจัดการกับกิจต่างๆ เขากลับไม่สามารถทำสิ่งที่เริ่มต้นเอาไว้ให้เสร็จสิ้นได้ เขาทำสิ่งที่ไม่ดีโดยไร้การควบคุม และล้มเหลวในทุกหลักธรรม หลังจากทำหน้าที่ของตนในพระนิเวศน์ของพระเจ้ามาสักระยะ ทุกสิ่งที่เขาทำล้วนผิดพลาด และสิ่งใดก็ตามที่เขาทำไม่มีสิ่งที่ดีเลย ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือเขายังคงต้องการชักพาผู้คนให้หลงเชื่อ ทิ้งความประทับใจที่ดีในหัวใจของผู้คน และซักถามผู้คนในทุกโอกาสว่าคนอื่นคิดอย่างไรกับเขา และเขาได้รับการยกย่องหรือไม่ ในที่สุด เมื่อชัดเจนแล้วว่าเขาทำผิดพลาดในหน้าที่ของตนอย่างต่อเนื่องและไม่สามารถทำสิ่งใดได้ดีเลย พระนิเวศน์ของพระเจ้าจึงไล่เขาออกไป เขาไม่เพียงล้มเหลวในการตระหนักถึงการสำแดงที่ชัดเจนเหล่านี้เท่านั้น แต่เขายังแสดงท่าทางเหมือนไม่มีความผิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาถูกขับออกไป ท่าทางเหมือนไม่มีความผิดนี้หมายความว่าอย่างไร? นั่นหมายความว่าเขาไม่เคยยอมรับการกระทำชั่วของตนในอดีต—คำโกหก การหลอกลวง และการชักพาผู้คนอื่นให้หลงเชื่อ รวมถึงวิธีที่เขาสร้างอาณาจักรที่เป็นอิสระและนำคริสตจักรมาอยู่ภายใต้การควบคุมของครอบครัวเขาเอง ทำสิ่งไม่ดีโดยไม่ยับยั้งชั่งใจและกระทำการโดยปราศจากหลักธรรม ไม่เคยแสวงหาความจริง และถึงขนาดทำทุกสิ่งตามที่เขาพึงพอใจ ท่ามกลางการทำชั่วอื่นๆ—และเขาก็ไม่สามารถตระหนักถึงการกระทำชั่วเหล่านี้ของเขาเลย ในทางตรงกันข้าม เขาเชื่อว่าเขาได้ทำหน้าที่ของตนในพระนิเวศน์ของพระเจ้ามานานหลายปี เขาได้ทนทุกข์มามากเหลือเกิน จ่ายราคาสูง ใช้เวลาไปเนิ่นนาน และทุ่มเทเรี่ยวแรงของตนไปมากมาย แต่ในที่สุด เขาก็ได้มาถึงจุดที่มีชื่อเสียงที่ไม่ดีและทุกคนต่างดูแคลนเขา ไม่มีใครสงสารหรือเห็นอกเห็นใจเขา และไม่มีใครจะพูดเพื่อเขาเลยสักคน นี่คือการแสดงท่าทางเหมือนไม่มีความผิดไม่ใช่หรือ? การแสดงท่าทางเหมือนไม่มีความผิดนี้เป็นการสำแดงความเป็นมนุษย์ประเภทใด? (การไร้เหตุผลและไม่ใส่ใจต่อความละอาย) ใช่แล้ว เขามองว่าสิ่งต่างๆ ที่เขาทำและหน้าที่ที่เขาควรปฏิบัติเป็นคุณความดีของตนเอง เขาปฏิเสธโดยสิ้นเชิงต่อสิ่งใดก็ตามที่เขาได้ทำลงไปซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริง หรือเป็นการก่อกวนหรือขัดขวาง และในที่สุด เขาก็แสดงท่าทางเหมือนไม่มีความผิด นี่คือการไม่ใส่ใจต่อความละอาย และเขาคือแบบฉบับหนึ่งของศัตรูของพระคริสต์ พวกเจ้าเคยเผชิญกับบุคคลเช่นนี้หรือไม่? ไม่ว่าเจ้ามอบหมายให้เขาดูแลรับผิดชอบอะไรหรือมอบกิจใดให้พวกเขา พวกเขาย่อมเสาะแสวงที่จะรวบรวมกำลังคน สถาปนาอาณาจักรอิสระ และกีดกันคนอื่นไม่ให้ได้รับความสนใจ เพื่อให้พวกเขาสามารถโดดเด่นขึ้นมาแทน พวกเขาต้องการที่จะล้ำหน้ากว่าทุกคน สิ่งที่พวกเขาพูดกับใครก็ตามล้วนไม่เป็นความจริง พวกเขาปล่อยให้ผู้ที่ฟังพวกเขาไม่แน่ใจว่าถ้อยคำใดของพวกเขาเป็นความจริงและถ้อยคำใดเป็นเท็จ เมื่อพวกเขาถูกไล่ออกไปในที่สุด พวกเขายังคงมองตนเองว่าไม่มีความผิดและหวังว่าใครบางคนจะปกป้องพวกเขาเป็นพิเศษ พวกเจ้าคิดว่าใครจะมาปกป้องพวกเขาหรือไม่? (ไม่มีใครจะปกป้องพวกเขา) หากใครสักคนทำเช่นนั้น พวกเขาจะต้องไม่รู้ความเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่แท้จริง เป็นคนโง่เขลา คนที่ถูกพวกเขาชักพาให้หลงเชื่อ หรือเป็นบุคคลที่เป็นพวกเดียวกันกับพวกเขา
ง. เห็นแก่ตัวและสามานย์
ศัตรูของพระคริสต์ไม่มีมโนธรรม เหตุผล หรือความเป็นมนุษย์ พวกเขาไม่เพียงไม่ใส่ใจต่อความละอายเท่านั้น แต่ยังมีลักษณะเด่นอีกอย่างด้วยคือ พวกเขาเห็นแก่ตัวและสามานย์ผิดปรกติ ความหมายตามตัวอักษรของ “ความเห็นแก่ตัวและสามานย์” ของพวกเขาเข้าใจได้ไม่ยาก กล่าวคือ พวกเขามองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากผลประโยชน์ของตนเอง สิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของพวกเขาเองย่อมได้รับความใส่ใจเต็มที่ และพวกเขาจะยอมทนทุกข์เพื่อสิ่งนั้น ยอมลงทุนลำบาก จดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น และอุทิศตัวให้กับสิ่งนั้น สิ่งใดก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตนเอง พวกเขาจะทำเป็นมองไม่เห็นและไม่สนใจจะมอง ผู้อื่นสามารถทำตามใจชอบได้—พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่ใส่ใจว่าใครจะขัดขวางหรือก่อกวน และสำหรับพวกเขาแล้ว นี่ไม่เกี่ยวข้องกับตน กล่าวอย่างถนอมน้ำใจก็คือ พวกเขานึกถึงกิจธุระของตัวเอง แต่การพูดว่าบุคคลประเภทนี้เลวทราม ต่ำช้า และโสมม ย่อมถูกต้องแม่นยำกว่า พวกเราจึงให้นิยามพวกเขาว่า “เห็นแก่ตัวและสามานย์” ความเห็นแก่ตัวและความสามานย์ของศัตรูพระคริสต์สำแดงตัวออกมาอย่างไร? ในการใดก็ตามที่เป็นประโยชน์ต่อสถานะหรือความมีหน้ามีตาของพวกเขา พวกเขาย่อมพยายามทำหรือพูดสิ่งใดก็ตามที่จำเป็น และพวกเขาก็เต็มใจที่จะทนฝ่าความทุกข์ใดๆ แต่หากเกี่ยวข้องกับงานที่จัดการเตรียมการโดยพระนิเวศของพระเจ้า หรือเกี่ยวข้องกับงานที่เป็นประโยชน์ต่อการเติบโตในชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พวกเขากลับเพิกเฉยอย่างสิ้นเชิง แม้ในยามที่คนชั่วก่อให้เกิดการขัดขวาง ก่อกวน และกระทำความชั่วทุกชนิด ซึ่งส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักรอย่างร้ายแรง พวกเขายังคงไม่ยินดียินร้ายและไม่กังวลสนใจ ราวกับการนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาเลย และหากใครบางคนค้นพบและรายงานการประพฤติชั่วของคนชั่ว พวกเขาก็พูดว่าพวกเขาไม่ได้เห็นอะไรเลย และแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง แต่ถ้ามีใครรายงานเรื่องของพวกเขาและเปิดโปงว่าพวกเขาไม่ทำงานจริง เอาแต่ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ พวกเขาย่อมโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ รีบเรียกรวมตัวพบปะกันเพื่อหารือว่าจะตอบโต้อย่างไร จัดให้มีการสืบค้นเพื่อดูว่าผู้ใดแอบก่อเรื่องลับหลังพวกเขา ผู้ใดเป็นหัวโจก และผู้ใดเกี่ยวข้องบ้าง พวกเขาจะไม่กินหรือนอนจนกว่าพวกเขาจะได้ไปถึงก้นบึ้งของการนี้แล้วและเรื่องนี้ได้ถูกทำให้ยุติแล้วอย่างครบบริบูรณ์—พวกเขาจะรู้สึกมีความสุขทันทีที่พวกเขาได้เล่นงานทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการรายงานเรื่องของพวกเขาแล้ว นี่คือการสำแดงถึงความเห็นแก่ตัวและความสามานย์มิใช่หรือ? พวกเขากำลังทำงานของคริสตจักรอยู่หรือไม่? พวกเขากำลังกระทำการเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของอำนาจและสถานะของตัวเอง ไม่มีอะไรอื่นอีก พวกเขากำลังดำเนินงานของตัวเอง ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานใด ศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่เคยคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาคำนึงแต่เพียงว่าผลประโยชน์ของตนเองจะได้รับผลกระทบหรือไม่ คิดถึงแต่งานชิ้นเล็กๆ ตรงหน้าพวกเขาที่ทำประโยชน์แก่พวกเขา สำหรับพวกเขาแล้ว งานหลักของคริสตจักรเป็นเพียงบางสิ่งที่พวกเขาทำในเวลาว่างของตน พวกเขาไม่ได้จริงจังกับงานนั้นเลย พวกเขาขยับก็ต่อเมื่อถูกเร่งรัดให้ลงมือ เอาแต่ทำสิ่งที่ตนชอบทำ และทำงานเพียงเพื่อธำรงรักษาสถานะและอำนาจของตนเท่านั้น ในสายตาของพวกเขา งานใดก็ตามที่พระนิเวศของพระเจ้าจัดการเตรียมการไว้ให้ งานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรล้วนไม่มีความสำคัญ ไม่ว่าผู้คนอื่นๆ จะมีความลำบากยากเย็นอันใดในงานของตน ระบุและรายงานปัญหาอันใดให้พวกเขารู้ ไม่ว่าคำพูดของผู้อื่นจะจริงใจเพียงใด พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่ใส่ใจเลย พวกเขาไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง เป็นราวกับว่านี่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา ไม่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในงานของคริสตจักรจะใหญ่โตเพียงใด พวกเขาก็ไม่สนใจอย่างสิ้นเชิง แม้ในยามที่มีปัญหาอยู่ตรงหน้าพวกเขาแท้ๆ พวกเขาก็จัดการแก้ไขอย่างสุกเอาเผากินเท่านั้น มีเพียงเมื่อพวกเขาถูกเบื้องบนตัดแต่งโดยตรงและถูกออกคำสั่งให้แก้ไขปัญหาเท่านั้น พวกเขาจึงจะกัดฟันทำงานจริงเล็กๆ น้อยๆ และมอบบางสิ่งให้เบื้องบนได้เห็น ไม่นานนัก พวกเขาก็จะทำกิจธุระของตัวเองต่อไป เมื่อเป็นเรื่องงานของคริสตจักร เป็นเรื่องสำคัญที่มีบริบทกว้างขึ้น พวกเขากลับไม่สนใจและมองข้ามสิ่งเหล่านั้น พวกเขาถึงขั้นละเลยปัญหาที่พวกเขาพบเจอ และให้คำตอบอย่างสุกเอาเผากินหรือกระแอมกระไอเมื่อถูกถามถึงปัญหา เอาแต่จัดการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นด้วยความอิดออดไม่เต็มใจ นี่คือการสำแดงถึงความเห็นแก่ตัวและความสามานย์มิใช่หรือ? ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าศัตรูของพระคริสต์กำลังทำหน้าที่ใดอยู่ก็ตาม สิ่งเดียวที่พวกเขาคิดถึงก็คือ หน้าที่นั้นจะเปิดโอกาสให้พวกเขากลายเป็นจุดสนใจหรือไม่ ตราบใดที่หน้าที่นั้นจะชูความมีหน้ามีตาของพวกเขา พวกเขาย่อมบีบเค้นสมองของพวกเขาเพื่อฉุกคิดได้ขึ้นมาถึงหนทางที่จะเรียนรู้วิธีทำหน้าที่นั้น ที่จะดำเนินหน้าที่นั้น ทั้งนี้ ทั้งหมดที่พวกเขาใส่ใจก็คือว่า หน้าที่นั้นจะแสดงให้เห็นว่าพวกเขานั้นแตกต่างออกไปหรือไม่ ไม่ว่าพวกเขาจะทำหรือคิดอะไร พวกเขากังวลสนใจแต่ชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของพวกเขาเองเท่านั้น ไม่ว่าพวกเขากำลังทำหน้าที่ใดอยู่ พวกเขาก็มีแต่แข่งขันกันในเรื่องที่ว่าใครสูงส่งกว่าหรือต่ำต้อยกว่า ใครชนะและใครแพ้ ใครมีความมีหน้ามีตามากกว่ากันเท่านั้นเอง พวกเขาก็มีแต่สนใจว่ามีผู้คนเคารพบูชาและชื่นชมยกย่องพวกเขากี่คน มีผู้คนกี่คนที่เชื่อฟังพวกเขา และพวกเขามีผู้ติดตามกี่คนเท่านั้นเอง พวกเขาไม่เคยสามัคคีธรรมความจริงหรือแก้ไขปัญหาที่แท้จริงเลย พวกเขาไม่เคยพิจารณาว่าจะทำสิ่งทั้งหลายให้สอดคล้องกับหลักธรรมในขณะที่ทำหน้าที่ของตนได้อย่างไร และพวกเขาไม่เคยทบทวนว่าตนจงรักภักดีแล้วหรือไม่ ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนแล้วหรือไม่ งานของตนมีความเบี่ยงเบนหรือข้อผิดพลาด หรือมีปัญหาใดอยู่บ้างหรือไม่ พวกเขายิ่งไม่คำนึงว่าพระเจ้าทรงขอสิ่งใด และเจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไร พวกเขาไม่ใส่ใจต่อสิ่งทั้งหมดนี้เลยแม้แต่น้อย พวกเขาเพียงแค่ก้มหน้าก้มตาทำสิ่งทั้งหลายเพื่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ เพื่อสนองความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของตนเองเท่านั้น นี่คือการสำแดงถึงความเห็นแก่ตัวและความสามานย์มิใช่หรือ? นี่เปิดโปงให้เห็นว่าหัวใจของพวกเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความทะเยอทะยาน ความอยาก และข้อเรียกร้องอันไร้สำนึกของพวกเขาเองเพียงใด ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำถูกความทะเยอทะยานและความอยากของตนกำกับ ไม่ว่าพวกเขาทำสิ่งใด แรงจูงใจและแหล่งที่มาก็คือความทะเยอทะยาน ความอยาก และข้อเรียกร้องอันไร้สำนึกของตัวเอง นี่คือการสำแดงตามแบบฉบับของความเห็นแก่ตัวและความสามานย์
ผู้นำบางคนไม่ทำงานที่แท้จริงเลย กล่าวคือ พวกเขาทุ่มเทความพยายามอย่างหนักกับพี่น้องชายหญิง ทำให้พี่น้องชายหญิงทำงานรับใช้ตนเพื่อรายงานต่อเบื้องบน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตัดแต่งและการถูกปลดออก รวมทั้งเพื่อรักษาสถานะของตนเอง พวกเขาเพียงกล่าวคำพูดและคำสอนในงานของตนโดยไม่สามัคคีธรรมถึงหลักธรรมความจริง ไม่แก้ไขปัญหาที่แท้จริง ไม่ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยหัวใจที่เปี่ยมรัก หรือคำนึงถึงความลำบากยากเย็นของผู้อื่น และไม่เคยจัดการกับความลำบากยากเย็นจริงๆ ที่ผู้คนเผชิญระหว่างทำหน้าที่หรือเข้าสู่ชีวิตของตนเลย พวกเขาไม่เกื้อหนุนใครก็ตามที่คิดลบ นอกจากการกดขี่และการตำหนิแล้ว พวกเขากล่าวเพียงคำสอบและตะโกนคำขวัญของตนเท่านั้น จุดมุ่งหมายของพวกเขาคืออะไร? พวกเขาไม่คำนึงถึงพระภาระของพระเจ้าเลย แต่กลับปรารถนาที่จะใช้ประโยชน์จากผลลัพธ์ที่ได้จากปฏิบัติหน้าที่ของพี่น้องชายหญิง เพื่อเสริมแต่งตนเองและรักษาสถานะของตน พวกเขาย่อมพอใจหากพี่น้องชายหญิงประสบผลสำเร็จในการปฏิบัติหน้าที่ พวกเขารับเอาความดีความชอบต่อหน้าเบื้องบน สรรเสริญคุณความดีของตนเองอยู่ในใจ และคิดว่าตนทำหน้าที่ของตนได้อย่างดีทีเดียว นอกจากนี้พวกเขายังรายงานต่อเบื้องบนถึงความลำบากยากเย็นมากมายที่พวกเขาเผชิญระหว่างทำงานนี้ ว่าพระเจ้าทรงเปิดหนทางให้กับพวกเขาอย่างไร พวกเขานำพี่น้องชายหญิงให้ทำงานหนักร่วมกันและฝ่าฟันความลำบากยากเย็นเหล่านี้ไปอย่างไร พวกเขาช่วยพี่น้องชายหญิงให้ทำงานนี้จนสำเร็จได้อย่างไร พวกเขายึดมั่นในหลักธรรมอย่างไร และพวกเขาเอาคนชั่วออกไปอย่างไร พวกเขายังเน้นย้ำถึงราคาที่พวกเขาจ่ายและคุณูปการที่พวกเขาทำในงานของตน โดยให้เบื้องบนรับรู้ว่างานนี้เสร็จสิ้นลงด้วยดีก็เพราะความพยายามของตนเอง โดยนัยแล้ว พวกเขากำลังบอกเบื้องบนว่า “การนำของฉันสมชื่อจริงๆ และพวกคุณตัดสินใจถูกต้องแล้วที่เลือกฉันเป็นผู้นำ” นี่คือการสำแดงถึงการเห็นแก่ตัวและสามานย์ไม่ใช่หรือ? ผู้คนที่สำแดงความเป็นมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวและสามานย์มักจะมีวลีติดปากไม่กี่วลี ตัวอย่างเช่น หลังจากพวกเขาได้รับการจัดการเตรียมการเพื่อนำคริสตจักร พวกเขาพูดอยู่เสมอว่า “ที่คริสตจักรของฉัน ชีวิตคริสตจักรของพวกเราดีมาก วิเศษอย่างยิ่ง พี่น้องชายหญิงของฉันได้มีการเข้าสู่ชีวิตที่ยอดเยี่ยมและลึกซึ้ง ทุกคนต่างมีประสบการณ์ชีวิต ดูสิว่าพวกเขารักพระเจ้าขนาดไหน และงานของพวกเราทำได้ดีเพียงใด” คำพูดเหล่านี้คือวลีติดปากของพวกศัตรูของพระคริสต์ เมื่อตัดสินจากวลีติดปากของพวกเขา ย่อมชัดเจนว่าพวกเขาปฏิบัติต่อพี่น้องชายหญิงในคริสตจักรที่พวกเขาดูแลรับผิดชอบราวกับแกะของตนเอง โดยมองทุกสิ่งในคริสตจักรที่พวกเขาควบคุมดั่งสมบัติส่วนตัวของตน นี่คือการไม่ใส่ใจต่อความละอายไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงเป็นการไม่ใส่ใจต่อความละอาย? การสำแดงใดๆ ของความเห็นแก่ตัวและความสามานย์นั้นเกิดขึ้นจากการไม่ใส่ใจต่อความละอาย เพราะฉะนั้นการเห็นแก่ตัวและสามานย์ก็คือการไม่ใส่ใจต่อความละอาย ผู้คนที่แสดงให้เห็นถึงการสำแดงของความเห็นแก่ตัวและความสามานย์เหล่านี้ก็คือผู้ที่ไม่ใส่ใจต่อความละอายอย่างแน่นอน เมื่อได้รับความไว้วางใจมอบหมายการนำและรับผิดชอบดูแลคริสตจักร นำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้ปฏิบัติหน้าที่ของตน และทำงานเฉพาะ พวกเขาก็ปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้เหมือนทรัพย์สินของตนเอง ไม่มีใครสามารถก้าวก่ายได้ พวกเขามีสิทธิ์ตัดสินใจเด็ดขาดในทุกเรื่อง พวกศัตรูของพระคริสต์ถือว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร งานของคริสตจักร และสิ่งอำนวยความสะดวกและทรัพย์สินของคริสตจักรเป็นทรัพย์สินของตนเอง นี่เองที่เป็นปัญหา พวกเขามุ่งหมายที่จะยึดสินทรัพย์ของพระนิเวศน์ของพระเจ้าและครอบงำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังมองสิ่งเหล่านี้เป็นต้นทุนในการแข่งขันกับผู้อื่น ไม่ลังเลที่จะขายผลประโยชน์ของพระนิเวศน์ของพระเจ้าเพื่อประโยชน์ส่วนตนและสร้างความเสียหายให้แก่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พวกเจ้าคิดว่าศัตรูของพระคริสต์มีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่? พวกเขามีที่สำหรับพระเจ้าในหัวใจของตนหรือไม่? พวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงและนบนอบพระเจ้าหรือไม่? ไม่มีเลย เพราะฉะนั้น การเรียกศัตรูของพระคริสต์ว่าลูกสมุนของซาตานหรือปิศาจบนแผ่นดินโลกจึงไม่ใช่การพูดเกินจริงใดๆ เลย ศัตรูของพระคริสต์ไม่มีพระเจ้าหรือคริสตจักรอยู่ในหัวใจ และพวกเขาย่อมไม่ให้ความเคารพต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างแน่นอน บอกเราทีเถิดว่า ที่ซึ่งพี่น้องชายหญิงดำรงอยู่ และที่ซึ่งพระเจ้าทรงพระราชกิจนั้น สถานที่เหล่านี้ไม่อาจเรียกว่าพระนิเวศของพระเจ้าได้อย่างไร? ในหนทางใดเล่าที่สถานที่เหล่านี้ไม่ใช่คริสตจักร? แต่พวกศัตรูของพระคริสต์คิดเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่อยู่ภายในแวดวงอิทธิพลของตนเองเท่านั้น พวกเขาไม่ใส่ใจหรือเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับสถานที่อื่น ต่อให้พวกเขาพบปัญหา พวกเขาก็ไม่สนใจ ที่แย่กว่านั้นก็คือเมื่อมีบางสิ่งผิดพลาดในสถานที่หนึ่งและเป็นเหตุให้เกิดการสูญเสียต่องานของคริสตจักร พวกเขาก็ไม่ให้ความสนใจต่อเรื่องนั้น ครั้นพอถูกถามว่าเหตุใดพวกเขาจึงเพิกเฉยต่อปัญหา พวกเขาก็ให้เหตุผลวิบัติที่ไร้สาระ โดยพูดว่า “อย่าแสดงความเห็นในสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับคุณ” คำพูดของพวกเขาฟังดูมีเหตุผล ดูเหมือนว่าพวกเขาเข้าใจขอบเขตในสิ่งที่พวกเขาทำ และภายนอกก็ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่มีปัญหาอันใด แต่แก่นแท้นั้นคืออะไร? แก่นแท้คือความเห็นแก่ตัวและความสามานย์ที่สำแดงออกมา พวกเขาเพียงแค่ทำสิ่งทั้งหลายเพื่อตนเอง เพื่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของตนเองเท่านั้น พวกเขาไม่ได้กำลังทำหน้าที่ของตนแต่อย่างใด นี่เป็นอีกหนึ่งลักษณะนิสัยตามแบบฉบับของพวกศัตรูของพระคริสต์—พวกเขาเห็นแก่ตัวและสามานย์
แก่นแท้ของความเห็นแก่ตัวและความสามานย์ของศัตรูพระคริสต์นั้นชัดเจน การสำแดงในลักษณะนี้ของพวกเขาโดดเด่นเป็นพิเศษ เมื่อคริสตจักรไว้วางใจมอบหมายงานชิ้นหนึ่งแก่พวกเขา หากงานนี้นำชื่อเสียงและผลประโยชน์มาให้ ทั้งยังทำให้พวกเขาได้อวดโฉมหน้าของตน พวกเขาย่อมสนใจมากและเต็มใจยอมรับงาน หากเป็นงานที่ไม่มีใครเห็นค่าหรือมีการล่วงเกินผู้คน หรือไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้เสนอหน้า หรือไม่เป็นประโยชน์ต่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ หรือสถานะของพวกเขา พวกเขาย่อมไม่สนใจและจะไม่ยอมรับ ราวกับงานนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเขาและไม่ใช่งานที่พวกเขาควรทำ เมื่อเผชิญความยากลำบาก พวกเขาจะไม่มีทางแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขความยากลำบากเหล่านั้น และยิ่งจะไม่พยายามมองภาพให้กว้างขึ้นและคำนึงถึงงานของคริสตจักร ตัวอย่างเช่น ภายในขอบเขตงานของพระนิเวศของพระเจ้า อาจมีการโยกย้ายบุคลากรบ้างตามความจำเป็นของงานในภาพรวม หากมีผู้คนสองสามคนถูกย้ายมาจากคริสตจักรแห่งหนึ่ง เหล่าผู้นำในคริสตจักรแห่งนั้นควรจะปฏิบัติต่อเรื่องดังกล่าวเช่นไรจึงจะสมเหตุสมผล? หากพวกเขามัวกังวลแต่ประโยชน์ของคริสตจักรตนเอง แทนที่จะสนใจประโยชน์ส่วนรวม และหากพวกเขาไม่เต็มใจแต่อย่างใดที่จะโอนย้ายผู้คนเหล่านั้น ปัญหาย่อมเป็นเช่นไร? ในฐานะผู้นำคริสตจักร เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถนบนอบการจัดแจงเตรียมการจากส่วนกลางคือพระนิเวศของพระเจ้า? คนแบบนี้คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่? พวกเขาใส่ใจภาพรวมของงานหรือไม่? หากพวกเขาไม่นึกถึงภาพรวมของงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ทว่านึกถึงแต่ผลประโยชน์ของคริสตจักรของพวกเขา พวกเขาย่อมเห็นแก่ตัวและสามานย์อย่างยิ่งมิใช่หรือ? ผู้นำคริสตจักรควรนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และต่อการจัดการเตรียมการและประสานงานจากส่วนกลางของพระนิเวศของพระเจ้าอย่างไม่มีเงื่อนไข นี่คือสิ่งที่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริง เมื่องานของพระนิเวศของพระเจ้ากำหนดมา ทุกคนไม่ว่าใครก็ควรนบนอบต่อการประสานงานและการจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และไม่ควรถูกผู้นำหรือคนทำงานคนใดควบคุมราวกับพวกเขาเป็นของคนคนนั้นหรือขึ้นกับการตัดสินใจของคนคนนั้นโดยเด็ดขาด การที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเชื่อฟังการจัดแจงเตรียมการจากส่วนกลางแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเป็นเรื่องที่ปกติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้ และไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจท้าทายการจัดการเตรียมการเหล่านี้ได้ เว้นเสียแต่ว่ามีผู้นำหรือคนทำงานคนใดทำการโยกย้ายตามอำเภอใจโดยไม่สอดคล้องกับหลักธรรม ซึ่งเป็นกรณีที่อาจไม่เชื่อฟังการจัดเตรียมนี้ ถ้าเป็นการโยกย้ายตามปกติและสอดคล้องกับหลักธรรม เช่นนั้นแล้วประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนก็ควรเชื่อฟัง และไม่มีผู้นำหรือคนทำงานคนใดมีสิทธิ์หรือเหตุผลที่จะพยายามควบคุมผู้ใด พวกเจ้าว่า มีงานอันใดหรือไม่ที่ไม่ใช่งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า? มีงานอันใดหรือไม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแผ่ขยายข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า? ทั้งหมดคืองานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า แต่ละงานนั้นเท่าเทียมกัน และไม่มี “ของคุณ” และ “ของฉัน” หากการโยกย้ายนั้นสอดคล้องกับหลักธรรมและเป็นไปตามข้อพึงประสงค์ของงานในคริสตจักร เช่นนั้นแล้ว ผู้คนเหล่านี้ก็ควรไปยังที่ที่ต้องการพวกเขามากที่สุด แต่ทว่าพวกศัตรูของพระคริสต์ตอบโต้เช่นไรเมื่อเผชิญสถานการณ์แบบนี้? พวกเขาหาข้ออ้างและข้อแก้ตัวที่จะเก็บผู้คนที่เหมาะสมเหล่านี้ไว้ข้างตัว และเสนอผู้คนธรรมดาทั่วไปสักสองคนเท่านั้น แล้วก็หาข้ออ้างบางอย่างที่จะเพิ่มความกดดันให้กับเจ้า โดยการพูดว่างานนั้นยุ่งมากเพียงใด หรือไม่ก็พูดว่าพวกเขากำลังขาดคนทำงาน ผู้คนนั้นหาได้ยากลำบาก และหากสองคนนี้ถูกโอนย้ายไป งานก็จะได้รับผลกระทบ และพวกเขาก็ถามเจ้าว่าพวกเขาควรทำอย่างไร และทำให้เจ้ารู้สึกว่าการโอนย้ายผู้คนย่อมจะหมายความว่าเจ้านั้นติดค้างพวกเขา นี่คือวิธีดำเนินการของพวกมารมิใช่หรือ? นี่คือวิธีที่ผู้ไม่มีความเชื่อใช้ทำสิ่งทั้งหลาย ผู้คนที่พยายามปกป้องผลประโยชน์ของตนในคริสตจักรอยู่เสมอ—พวกเขาเป็นคนดีหรือไม่? พวกเขาเป็นคนที่กระทำการตามหลักธรรมหรือไม่? ไม่ใช่อย่างแน่นอน พวกเขาคือผู้ไม่มีความเชื่อและผู้ไม่เชื่อ นี่ไม่เห็นแก่ตัวและสามานย์หรอกหรือ? หากใครบางคนซึ่งมีขีดความสามารถดีถูกโยกย้ายจากการอยู่ใต้อาณัติของศัตรูพระคริสต์ไปทำอีกหน้าที่หนึ่ง ศัตรูของพระคริสต์ย่อมดื้อดึงต่อต้านและปฏิเสธการนั้นอยู่ในหัวใจของตน—พวกเขาอยากเลิกและไม่กระตือรือร้นที่จะเป็นผู้นำหรือหัวหน้ากลุ่ม นี่คือปัญหาอะไร? เหตุใดพวกเขาจึงไม่เชื่อฟังการจัดการเตรียมการของคริสตจักร? พวกเขาคิดว่าการโยกย้าย “มือขวา” ของพวกเขาจะกระทบกระเทือนผลลัพธ์และความคืบหน้าในงานของตน และจะพลอยส่งผลต่อสถานะและความมีหน้ามีตาของพวกเขา ซึ่งจะบีบให้พวกเขาทำงานหนักขึ้นและทนทุกข์มากขึ้นเพื่อรับประกันผลงาน—ซึ่งนี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาต้องการจะทำ พวกเขาคุ้นชินกับความสบายไปแล้วและไม่ต้องการทำงานให้หนักขึ้นหรือทนทุกข์มากไปกว่านี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อยากปล่อยคนคนนั้นไป หากพระนิเวศของพระเจ้ายืนยันให้มีการโยกย้าย พวกเขาย่อมพร่ำบ่นมากมายและถึงกับอยากเลิกทำงานของตน นี่ไม่เห็นแก่ตัวและสามานย์หรอกหรือ? ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรควรได้รับการจัดสรรหน้าที่ให้จากส่วนกลางโดยพระนิเวศของพระเจ้า นี่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผู้นำ หัวหน้ากลุ่ม หรือปัจเจกบุคคลคนใดเลย ทุกคนต้องกระทำการตามหลักธรรม นี่คือกฎเกณฑ์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ศัตรูของพระคริสต์ย่อมไม่กระทำการตามหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาวางอุบายเพื่อสถานะและผลประโยชน์ของตนอยู่เป็นนิตย์ ทั้งยังให้พี่น้องชายหญิงที่มีขีดความสามารถดีคอยรับใช้พวกเขาเพื่อเสริมอำนาจและสถานะของพวกเขาให้แข็งแกร่ง นี่เห็นแก่ตัวและสามานย์มิใช่หรือ? การเก็บผู้คนที่มีขีดความสามารถดีไว้ข้างกายและไม่ยอมให้พระนิเวศของพระเจ้าโยกย้ายผู้คน ดูภายนอกแล้วเหมือนว่าพวกเขากำลังคำนึงถึงงานของคริสตจักร ทว่าอันที่จริง พวกเขาคิดถึงแต่อำนาจและสถานะของตนเท่านั้น ไม่ได้คิดถึงงานของคริสตจักรเลย พวกเขากลัวว่าตัวเองจะทำงานของคริสตจักรได้ไม่ดี ถูกแทนที่ และสูญเสียสถานะของตนไป ศัตรูของพระคริสต์ไม่คำนึงถึงงานที่กว้างกว่าแห่งพระนิเวศของพระเจ้า คิดถึงแต่สถานะของตน ปกป้องสถานะของตนโดยไม่รู้สึกผิดต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ทั้งยังปกป้องสถานะและผลประโยชน์ของตนจากความเสียหายในงานของคริสตจักร นี่ย่อมเห็นแก่ตัวและสามานย์ เมื่อเผชิญสถานการณ์ดังกล่าว อย่างน้อยที่สุดคนเราต้องคิดด้วยมโนธรรมของตนว่า “ผู้คนเหล่านี้ล้วนเป็นของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนบุคคลของฉัน ฉันก็เป็นสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้าเหมือนกัน ฉันมีสิทธิ์อะไรที่จะหยุดพระนิเวศของพระเจ้าไม่ให้โอนย้ายผู้คน? ฉันควรพิจารณาผลประโยชน์โดยรวมของพระนิเวศของพระเจ้า แทนที่จะเอาแต่จดจ่ออยู่กับงานภายในขอบเขตความรับผิดชอบของฉันเอง” เช่นนั้นคือความคิดที่ควรพบเจอในตัวผู้คนที่มีมโนธรรมและเหตุผล และเช่นนั้นคือเหตุผลที่ผู้เชื่อในพระเจ้าควรมี พระนิเวศของพระเจ้าทำงานในภาพรวม ส่วนคริสตจักรต่างๆ ก็ทำงานในส่วนปลีกย่อย เพราะฉะนั้น เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าต้องการอะไรจากคริสตจักรเป็นพิเศษ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้นำและคนทำงานก็คือการทำตามการจัดแจงเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ไม่มีมโนธรรมและเหตุผลเช่นนั้น พวกเขาทุกคนเห็นแก่ตัวมากทีเดียว คิดถึงแต่ตนเอง และไม่คิดถึงงานของคริสตจักร พวกเขาเพียงคำนึงถึงประโยชน์ที่อยู่ตรงหน้า โดยไม่คำนึงถึงงานที่กว้างกว่าในพระนิเวศของพระเจ้า ดังนั้น พวกเขาจึงไม่อาจเชื่อฟังการจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้โดยสิ้นเชิง พวกเขาเห็นแก่ตัวและสามานย์อย่างที่สุด! ในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาถึงกับกล้าพอที่จะขัดขวางและถึงขั้นกล้าดีที่จะปักหลักดื้อแพ่ง เหล่านี้คือผู้คนที่ขาดพร่องความเป็นมนุษย์มากที่สุด พวกเขาคือคนชั่ว พวกศัตรูของพระคริสต์คือผู้คนประเภทนั้น พวกเขาปฏิบัติต่องานของคริสตจักรและพี่น้องชายหญิง และแม้กระทั่งสินทรัพย์ทั้งหมดแห่งพระนิเวศของพระเจ้าที่อยู่ในขอบข่ายความรับผิดชอบของพวกเขา ประหนึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลของตนเอง พวกเขาเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะถูกแจกจ่าย โอนย้าย และใช้อย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับพวกเขา และไม่อนุญาตให้พระนิเวศของพระเจ้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว ทันทีที่สิ่งเหล่านี้อยู่ในมือของพวกเขา ก็เหมือนอยู่ในการครอบครองของซาตาน ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้แตะต้องสิ่งเหล่านี้ พวกเขาคือนายใหญ่ คือหัวโจก และใครก็ตามที่ไปยังอาณาเขตของพวกเขาย่อมต้องเชื่อฟังคำสั่งและการจัดแจงเตรียมการของพวกเขาโดยทำตัวดีๆ และว่าง่าย คอยดูสัญญาณจากสีหน้าของพวกเขา นี่คือการสำแดงถึงความเห็นแก่ตัวและความสามานย์ที่มีอยู่ในลักษณะนิสัยของศัตรูพระคริสต์ พวกเขาไม่คำนึงถึงงานของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาไม่ทำตามหลักธรรมเลยแม้แต่น้อย และคิดถึงแต่ผลประโยชน์และสถานะของตัวเองเท่านั้น—นั่นล้วนเป็นลักษณะเด่นของความเห็นแก่ตัวและความสามานย์ของพวกศัตรูของพระคริสต์
มีอีกสถานการณ์หนึ่ง ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมปกติ ไม่ว่าเงินหรือสิ่งของที่พี่น้องชายหญิงนำมาถวายจะมีจำนวนเท่าใดก็ตาม ก็ควรมอบให้กับพระนิเวศน์ของพระเจ้าทั้งหมด อย่างไรก็ดี ศัตรูของพระคริสต์บางคนกลับเชื่ออย่างผิดๆ ว่า “เงินที่พี่น้องชายหญิงถวายในคริสตจักรของพวกเราย่อมเป็นของคริสตจักรของพวกเรา และให้คริสตจักรของพวกเราเก็บหรือใช้สอย ไม่มีใครมีสิทธิ์ก้าวก่ายว่าพวกเราจะใช้อย่างไรหรือแจกจ่ายอย่างไร และพวกเขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเอาเงินเหล่านั้นไป” ดังนั้น หากเจ้าถามพวกเขาว่าคริสตจักรได้รับเงินเป็นของถวายเท่าใด พวกเขาก็จะกลัวว่าเจ้าอาจเอาเงินเหล่านั้นไป และพวกเขาจะไม่บอกจำนวนเงินที่แท้จริงกับเจ้า บางคนอาจสงสัยว่า “พวกเขากลัวว่าเงินจะถูกเอาไปหมายความว่าอย่างไร? พวกเขาต้องการใช้เงินนั้นเองอย่างนั้นหรือ?” ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น พวกเขาคิดว่า “คริสตจักรของพวกเราก็ต้องการเงินเช่นกัน หากเงินนั้นถูกเอาไป พวกเราจะดำเนินงานของพวกเราอย่างไร?” เบื้องบนมีหลักธรรมสำหรับเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นทำไมเจ้าไม่ทำตามหลักธรรมเวลาที่เจ้าจัดการสิ่งเหล่านี้เล่า? เงินได้รับการจัดสรรอย่างเพียงพอเพื่อใช้ในงานของเจ้า และที่เหลือย่อมได้รับการจัดการเตรียมการอย่างเป็นระเบียบโดยพระนิเวศน์ของพระเจ้า ทรัพยากรเหล่านี้ไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนตัวของผู้นำคริสตจักร สิ่งเหล่านี้เป็นของพระนิเวศน์ของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม เพื่อสนองความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของพวกเขา และเพื่อประโยชน์ในงานของตนเอง รวมทั้งเพื่อรับประกันทรัพยากรภายในขอบเขตอิทธิพลของตน ศัตรูของพระคริสต์บางคนกักเก็บสิ่งเหล่านี้และยึดเอามาเป็นของตน พวกเขาไม่เปิดโอกาสให้ใครมาใช้สิ่งเหล่านั้น นี่คือการสำแดงของความเห็นแก่ตัวและความสามานย์ไม่ใช่หรือ? นี่ยังเป็นการสำแดงเฉพาะที่เป็นแบบฉบับลักษณะนิสัยของศัตรูของพระคริสต์อีกด้วย
พวกศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้ไม่ดีและชั่ว อัปลักษณ์ เลวร้าย ต่ำช้า และสามานย์ แค่พูดถึงพวกเขาก็น่ารังเกียจและน่าโมโหแล้ว พวกเขาอาจดูเหมือนมนุษย์จากภายนอกและพูดจาไพเราะ ดูเหมือนเข้าใจคำสอนทุกประเภทและเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ แต่ทันทีที่เขากระทำการใดๆ ความเป็นมนุษย์ที่ชั่วและอัปลักษณ์ก็ถูกเปิดโปงและขัดต่อสายตา เพราะศัตรูของพระคริสต์แต่ละคนมีลักษณะที่อัปลักษณ์และชั่งเหล่านี้ในลักษณะนิสัยของตน พวกเขาจึงสามารถกระทำชั่วเช่นนั้นได้ นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาถูกเรียกว่าศัตรูของพระคริสต์ ตรรกะนี้มีเหตุมีผลหรือไม่? (มี) กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อุปนิสัยที่โหดร้ายและเลวร้ายเหล่านี้มีอยู่ในลักษณะนิสัยของพวกเขา ซึ่งเปิดโอกาสให้พวกเขาประพฤติชั่วในแบบศัตรูของพระคริสต์ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงถูกจำแนกเป็นศัตรูของพระคริสต์ นั่นคือความเป็นมา หากคนคนหนึ่งเป็นศัตรูของพระคริสต์ การบรรยายความเป็นมนุษย์ของพวกเขาว่ามีเมตตา ซื่อตรง ซื่อสัตย์ และจริงใจจะถูกต้องหรือไม่? แน่นอนว่าไม่ถูกต้อง หากคนคนหนึ่งโกหกเป็นนิสัย พวกเขาย่อมมีลักษณะของศัตรูของพระคริสต์ หากใครบางคนยอกย้อนและอำมหิต พวกเขาย่อมมีลักษณะของศัตรูของพระคริสต์ด้วยเช่นกัน หากบุคคลหนึ่งเห็นแก่ตัวและสามานย์ ถูกผลักดันด้วยผลประโยชน์ส่วนตนเพียงอย่างเดียว ทำสิ่งที่ไม่ดีโดยไม่ยับยั้งชั่งใจ และไม่ใส่ใจต่อความละอาย เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็เป็นคนชั่ว หากคนชั่วเช่นนั้นขึ้นมามีอำนาจ เช่นนั้นพวกเขาย่อมกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์
จ. การไปติดพันอยู่กับผู้ที่ทรงอำนาจและการกดขี่ผู้ที่อ่อนแอ
ความเป็นมนุษย์ของศัตรูของพระคริสต์ยังมีบางสิ่งที่ทั้งน่ารังเกียจและน่าขยะแขยง—นั่นคือ พวกเขาเกาะเกี่ยวผู้มีอำนาจและกดขี่ผู้ที่อ่อนแอ หากในคริสตจักรหรือในโลกนี้มีคนดังหรือมีคนที่มีอำนาจหรือสถานะบางคน ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ตาม ศัตรูของพระคริสต์ย่อมเก็บงำความอิจฉาและความยกย่องชื่นชมอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไว้ในหัวใจ จนถึงขนาดประจบสอพลอคนเหล่านั้น เมื่อพวกเขาเชื่อในศาสนาคริสต์ พวกเขาก็กล่าวอ้างว่าผู้นำทางการเมืองบางคนเป็นผู้เชื่อ และเมื่อพวกเขายอมรับช่วงระยะนี้ของพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย พวกเขาต่างยืนยันว่าศิษยาภิบาลบางคนจากนิกายใหญ่ๆ ก็ได้ยอมรับแล้วเช่นกัน ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใด พวกเขามักตั้งชื่อให้น่าประทับใจเสมอ พวกเขาเคารพนับถือและเลียนแบบคนดังอยู่ตลอดเวลา และพวกเขารู้สึกพึงพอใจก็ต่อเมื่อสามารถเกาะติดคนดังสักคนหรือเกาะติดใครบางคนที่มีสถานะได้เป็นอย่างน้อย เมื่อเป็นเรื่องของคนที่มีสถานะ ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะดีหรือไม่ดีก็ตาม ศัตรูของพระคริสต์ก็เอาอกเอาใจ รวมทั้งเยินยอและประจบประแจงคนเหล่านั้นอย่างไม่ลดละ พวกเขาถึงขนาดเต็มใจรินน้ำชาและยอมเทกระโถนให้กับคนเหล่านั้น ในทางกลับกัน เมื่อต้องติดต่อกับพวกที่ไม่มีสถานะ ไม่ว่าบุคคลเหล่านี้จะซื่อตรง ซื่อสัตย์ หรือมีเมตตาเพียงใด ศัตรูของพระคริสต์ย่อมข่มเหงรังแกและเหยียบย่ำพวกเขาทุกครั้งที่มีโอกาส พวกเขามักโอ้อวดว่าคนนั้นคนนี้เป็นผู้บริหารธุรกิจในสังคมได้อย่างไร พ่อของคนนั้นคนนี้มั่งคั่งขนาดไหน คนนั้นคนนี้มีเงินมากแค่ไหน และครอบครัวคนนั้นคนนี้หรือบริษัทคนนั้นคนนี้ใหญ่โตเพียงใด โดยเน้นย้ำถึงความโดดเด่นในสังคมของคนเหล่านั้น ส่วนผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ในคริสตจักร ไม่ว่าคนพวกนั้นจะกระทำชั่วเช่นไร ศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่เคยรายงาน เปิดโปง หรือแยกแยะคนพวกนั้นเลย ตรงกันข้าม พวกเขากลับติดตามคนพวกนั้นอย่างใกล้ชิด ทำตามที่คนพวกนั้นบอกทุกอย่าง พวกเขากลายเป็นผู้ติดตาม เป็นทหารเลว และเป็นทาสของผู้นำระดับใดก็ตามที่พวกเขาติดตาม เมื่อต้องติดต่อผู้ที่มีอำนาจ อิทธิพล ความมั่งคั่ง และสถานะ พวกเขาก็ดูหมอบราบคาบแก้ว ถ่อมตน และโง่เขลาเป็นพิเศษ พวกเขาเชื่อฟังและยอมจำนนเป็นอย่างยิ่ง พยักหน้าและทำทุกอย่างตามที่คนเหล่านั้นบอก อย่างไรก็ตาม เวลาพบปะเจรจากับคนธรรมดาที่ไม่มีสถานะ พวกเขากลับแสดงท่าทีที่แตกต่างออกไป ใช้ท่วงท่าน่าเกรงขามเวลาพูดจาเพื่อสยบผู้คน ต้องการทำตัวเหนือกว่า ราวกับตนแข็งแรงกว่า สูงกว่าผู้อื่น และไม่มีใครเทียบตนได้ ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะมองเห็นปัญหา ข้อบกพร่อง หรือจุดอ่อนใดๆ ในตัวพวกเขา นี่คือลักษณะนิสัยประเภทใด? มีความเชื่อมโยงระหว่างลักษณะนิสัยนี้กับการยอกย้อน อำมหิต และ ไม่ใส่ใจต่อความละอายหรือไม่? (มีความเชื่อมโยงกัน) การเกาะเกี่ยวผู้มีอำนาจและกดขี่ผู้ที่อ่อนแอ—คือความเป็นมนุษย์ในด้านที่อัปลักษณ์และชั่วของศัตรูของพระคริสต์มิใช่หรือ? พวกเจ้าคิดว่าผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์เช่นนี้ซื่อตรงหรือไม่? (ไม่) สิ่งที่พวกเขาพูดกับผู้ที่มีสถานะและมีอำนาจทั้งหลายนั้นเป็นความจริงหรือไม่? สิ่งต่างๆ ที่พวกเขาพูดกับผู้ที่อ่อนแอเป็นความจริงหรือไม่ (ไม่มีสิ่งใดเป็นความจริงเลย) เพราะฉะนั้น เรื่องนี้จึงมีความเชื่อมโยงกับการโกหกเป็นนิสัย เมื่อพิจารณาจากเรื่องนี้ ลักษณะนิสัยของพวกศัตรูของพระคริสต์นั้นน่าสะอิดสะเอียนอย่างที่สุด และพวกเขามีสองหน้าที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คนประเภทนี้มีฉายาว่า—“กิ้งก่าเปลี่ยนสี” พวกเขาไม่เคยปฏิบัติต่อผู้คนบนพื้นฐานของหลักธรรมความจริง ความเป็นมนุษย์ หรือบนพื้นฐานว่าผู้คนเหล่านั้นไล่ตามเสาะหาความจริงภายในพระนิเวศน์ของพระเจ้าหรือไม่ ตรงกันข้าม พวกเขาปฏิบัติต่อผู้คนแตกต่างกันตามสถานะและอิทธิพลของคนเหล่านั้นเพียงอย่างเดียว เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่มีสถานะและความสามารถ พวกเขาย่อมพยายามอย่างหนักเพื่อเอาอกเอาใจ เยินยอ และใกล้ชิดคนเหล่านั้น ต่อให้พวกเขาถูกทุบตีหรือดุว่าจากคนเหล่านี้ พวกเขาก็สู้ทนด้วยความเต็มใจโดยไม่พร่ำบ่นเลยสักคำ พวกเขาถึงกับยอมรับอย่างต่อเนื่องว่าตนเองไร้ค่า และกลายเป็นคนพินอบพิเทา แม้ว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เขาคิดอยู่ภายในนั้นแตกต่างจากพฤติกรรมภายนอกโดยสิ้นเชิง หากใครบางคนที่มีสถานะและเกียรติยศพูดออกมา ต่อให้เป็นตรรกะวิบัติและความเห็นนอกรีตของซาตานที่ไม่เกี่ยวข้องกับความจริงเลย พวกเขาก็จะรับฟัง พยักหน้าเห็นด้วย และยอมรับโดยผิวเผิน ในทางกลับกัน หากเป็นใครบางคนที่ไร้ความสามารถหรือสถานะ ไม่ว่าคำพูดของคนเหล่านั้นจะถูกต้องเพียงใด ศัตรูของพระคริสต์ก็จะเพิกเฉยและดูแคลนคนเหล่านั้น ต่อให้สิ่งที่คนเหล่านั้นพูดตรงตามหลักธรรมและความจริง พวกเขาก็จะไม่ยอมรับฟัง แต่จะหักล้าง เย้ยหยัน และเยาะเย้ยถากถางคนเหล่านั้นแทน นี่คือลักษณะเด่นอีกอย่างหนึ่งที่พบในลักษณะนิสัยของพวกศัตรูของพระคริสต์ เมื่อตัดสินจากหนทางกับหลักธรรมในการวางตัวและการดำรงชีวิตทางโลกของพวกเขา บุคคลเหล่านี้สามารถจำแนกประเภทได้อย่างชัดเจนว่าเป็นผู้ไม่เชื่ออย่างแน่นอน การสำแดงในลักษณะนิสัยของพวกเขานั้นต่ำต้อย โสมม และต่ำช้า
การเกาะเกี่ยวผู้มีอำนาจและกดขี่ผู้ที่อ่อนแอเป็นวิธีการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมทั่วไปของผู้คนเฉกเช่นศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาเข้าร่วมในการสนทนาอย่างมีชีวิตชีวาและทำตัวสนิทสนมกับผู้ไม่มีความเชื่อเพื่อประโยชน์ส่วนตน แต่เมื่อพวกเขาหันกลับมาเห็นพี่น้องชายหญิง พวกเขากลับไม่มีอะไรจะพูดและไม่มีภาษาร่วมกันเลย คนเหล่านี้คือศัตรูของพระคริสต์ เมื่อหารือเรื่องทั้งหลายที่สัมพันธ์กับความเชื่อในพระเจ้า การทำหน้าที่ต่างๆ การเข้าสู่ชีวิต หรือการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย พวกเขากลับไม่มีอะไรจะพูดและไม่สนใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดคุยถึงเรื่องผู้ไม่มีความเชื่อ โดยเฉพาะผู้ที่มีความมั่งคั่งและอิทธิพล บุคคลสำคัญทางการเมือง อภิสิทธิ์ชนในสังคม คนดังในวงการดนตรีและภาพยนตร์ กระแสนิยมทางสังคม และเรื่องที่สัมพันธ์กับการรับประทานอาหารและความบันเทิง พวกเขาก็กลายเป็นช่างพูดอย่างยิ่งและไม่สามารถหยุดพูดได้เลย ดูเหมือนว่าพวกเขาโหยหาชีวิตและสถานะทางสังคมเช่นนั้นเป็นพิเศษ แม้บุคคลเหล่านี้เชื่อในพระเจ้า นั่นก็เป็นเพียงเพราะความลำบากยากเย็นของตนเอง เพราะเจตนาและเป้าหมายที่ซ่อนเร้นของตน พวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพื่อให้ได้รับพรเท่านั้น และแม้หลังจากเชื่อในพระเจ้าแล้ว พวกเขาก็ยังไม่สามารถปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้นได้ ดังนั้น เมื่อหารือเรื่องรับประทานอาหารและความบันเทิง พวกเขาก็กระตือรือร้นขึ้นมา แต่พอพูดกับพี่น้องชายหญิงกลับเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไป จากส่วนลึกของหัวใจและดวงจิตของพวกเขา พวกเขาดูแคลนผู้ที่เชื่อในพระเจ้า ผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และผู้ที่ซื่อตรงและซื่อสัตย์ พวกเขาเลือกปฏิบัติและเหยียดหยามบุคคลดังกล่าว เมื่อศัตรูของพระคริสต์เห็นเหล่าผู้นำในคริสตจักร พวกเขาก็คิดว่า “พวกเขาดูไม่เหมือนผู้นำเลย พวกเขาไม่เหมือนเจ้าหน้าที่เลยสักนิด เมื่อเปรียบเทียบกับเจ้าหน้าที่ในโลก พวกเขาต่ำต้อยกว่ามาก ไม่มีทั้งกิริยามารยาทและความสง่างาม!” หากพวกเขาเรียนรู้ว่า ผู้นำบางคนมีระดับการศึกษาที่ไม่สูง พวกเขาย่อมเลือกปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นอยู่ในหัวใจ พวกเจ้าคิดว่าพวกเขาจะรู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นเรา? ทันทีที่เห็น พวกเขาก็คิดว่า “พระคริสต์ พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ ก็แค่คนธรรมที่มีการศึกษาไม่สูง ตัวก็ไม่สูงนัก รูปลักษณ์ก็ไม่โดดเด่น ไม่มีกิริยามารยาท แถมแต่ตัวก็ธรรมดาสามัญ ทุกคนต่างกล่าวว่าพระองค์มีความจริง นี่เป็นสิ่งเดียวที่ควรค่าแก่การใส่ใจ และไม่มีอะไรน่าประทับใจนอกเหนือจากนี้เลย ลองดูผู้คนที่มีอำนาจในสังคมเหล่านั้นสวมใส่สิ! เสื้อผ้ากับรองเท้าของพระองค์ยี่ห้ออะไร? ทรงผมของพระองค์เป็นแบบไหน? พระองค์ตัดผมในร้านที่มีชื่อเสียงหรือไม่? ค่าตัดผมของพระองค์ครั้งละเท่าไร? เราตอบว่า “เราไม่เสียเงินค่าตัดผมเลยสักสตางค์แดงเดียว เราตัดเองที่บ้าน” พวกเขาบอกว่า “พระองค์ไปดูแลเสริมความงามบ้างหรือไม่? พระองค์พักตามโรงแรมหรือเปล่า? เป็นโรงแรมกี่ดาว? พระองค์เคยไปล่องเรือสำราญสุดหรูหรือไม่?” เรากล่าวว่า “เราไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้หรอก” พวกเขาก็บอกว่า “เช่นนั้นพระองค์ก็ไม่รู้ความเอาเลยจริงๆ ด้วยอัตลักษณ์และสถานะอันสูงส่งของพระองค์ ทำไมถึงไม่มีความรู้หรือความเข้าใจสิ่งที่หรูหราระดับดีเยี่ยมในโลกนี้เลย? ด้วยรูปการณ์แวดล้อมของพระองค์ พระองค์ควรไปหาประสบการณ์กับสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวเองสักนิด อย่างน้อยที่สุด พระองค์ก็ควรเข้าร้านเสริมสวยระดับสูง พักในโรงแรมห้าดาว และล่องเรือสำราญสุดหรู อย่างน้อยที่สุด เวลาขึ้นเครื่องบิน พระองค์ก็ควรนั่งที่นั่งผู้โดยสารชั้นหนึ่ง” เมื่อพวกเขาเห็นเรา พวกเขาก็ดูหมิ่นเรา แต่พวกเขาต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า “เราไม่เคยได้ยินสิ่งที่เจ้าพูดในระหว่างการชุมนุมมาก่อนเลย เราต้องรับฟังสิ่งที่เจ้ากล่าว” แต่หลังจากการชุมนุม พวกเขาไม่ยอมรับเราอีกต่อไป ก็เหมือนกับหมาป่า หลังจากเจ้าให้อาหารมันแล้ว มันก็แว้งกลับมากัดเจ้า นั่นคือธรรมชาติของหมาป่า เมื่อศัตรูของพระคริสต์เห็นพี่น้องชายหญิงธรรมดาซึ่งไม่มีเงินหรืออิทธิพล เพียงแต่รักความจริงและสามารถไล่ตามเสาะหาความจริง รวมถึงเต็มใจทำหน้าที่ของตน พวกเขากลับดูหมิ่นและกันคนเหล่านั้นออกไป เมื่อพวกเขามองดูพระคริสต์และเห็นเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง คนที่ราบเรียบและธรรมดาในทุกแง่มุม ทั้งหน้าตา รูปลักษณ์ และกิริยาท่าทาง พวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยภายในและมุมมองของตนได้ในทันทีหรือไม่? (พวกเขาทำไม่ได้) ท่าทีที่พวกเขามีต่อสิ่งต่างๆ ขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยของพวกเขา เมื่อขาดความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ท่าทีที่พวกเขามีต่อพระคริสต์ย่อมเหมือนกับท่าทีที่พวกเขามีต่อคนธรรมดาอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ไม่มีความเคารพแม้แต่น้อย นี่เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดโดยแก่นแท้และลักษณะนิสัยของพวกเขา การสำแดงถึงความเป็นมนุษย์ของศัตรูพระคริสต์ในแง่มุมนี้น่ารังเกียจและน่าขยะแขยงเช่นเดียวกับแง่มุมอื่นๆ
ลักษณะเด่นต่างๆ นานาในลักษณะนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมถึงนั้นสามารถเผยให้เห็นความดีและความเลว ความเหนือกว่าหรือความด้อยกว่าในลักษณะนิสัยของพวกเขาได้ ลักษณะนิสัยของคนที่โกหกเป็นนิสัยนั้นเหนือกว่าหรือด้อยกว่า? (ด้อยกว่า) ความเป็นมนุษย์ของคนที่เห็นแก่ตัวและสามานย์นั้นดีหรือไม่ดี? (ไม่ดี) ความเป็นมนุษย์ของคนที่ไม่ใส่ใจต่อความละอายนั้นดีหรือไม่ดี? (ไม่ดี) อุปนิสัยของคนที่ยอกย้อนและอำมหิตนั้นเหนือกว่าหรือด้อยกว่า? (ด้อยกว่า) ลักษณะนิสัยของคนที่รู้จักแต่เกาะเกี่ยวผู้มีอำนาจและกดขี่ผู้ที่อ่อนแอ ผู้ที่ยอมทำตามหลักการเช่นนี้เท่านั้นเล่าเป็นอย่างไร? (น่าสะอิดสะเอียน) บุคคลเช่นนั้นน่าสะอิดสะเอียนอย่างที่สุด ไม่เพียงขาดความเป็นมนุษย์ที่ปกติแต่คนเรายังอาจกล่าวได้อย่างถูกต้องว่าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์—พวกเขาเป็นคนชั้นต่ำ เป็นหมู่มาร ใครก็ตามที่ปราศจากมโนธรรมและเหตุผลโดยสิ้นเชิงก็คือมาร ไม่ใช่มนุษย์
ฉ. มีความอยากได้สิ่งของทางวัตถุมากกว่าผู้คนปกติ
อีกหนึ่งการสำแดงในความเป็นมนุษย์ของพวกศัตรูของพระคริสต์ก็คือ พวกเขามีความอยากได้สิ่งคนทางวัตถุมากกว่าผู้คนปกติ กล่าวได้ว่า ความอยากได้อยากมีและความต้องการสิ่งของทางวัตถุของพวกเขามีมากเป็นพิเศษ—จนไร้ขีดจำกัด พวกเขาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานต่อรูปแบบการใช้ชีวิตที่หรูหราและความโลภอย่างไม่รู้จักพอ บางคนอาจกล่าวว่า “ศัตรูของพระคริสต์ส่วนใหญ่ไม่มีการสำแดงเช่นนี้” การไม่มีการสำแดงเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนี้หายไปจากความเป็นมนุษย์ของพวกเขา เมื่อผู้คนเหล่านี้ได้มาซึ่งสถานะ พวกเขาจะมีหลักการในการกิน การแต่งกาย และรูปร่างหน้าตาของตนอย่างไร? ทันทีที่พวกเขามีสถานะ พวกเขาก็ต้องมีสิ่งที่ตนต้องการ พวกเขาหาโอกาส พวกเขามีเงื่อนไขบางอย่าง และชีวิตของพวกเขาก็แตกต่างออกไป พวกเขาเริ่มพิถีพิถันกับสิ่งที่ตนกิน เน้นความหรูหราและการโอ้อวด พวกเขายืนกรานที่จะสวมใส่และใช้ของแบรนด์เนม และบ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่รวมทั้งรถที่พวกเขาขับต้องหรูหราและมีระดับ แม้แต่เมื่อพวกเขาซื้อรถเพื่อใช้งาน รถนั่นก็ต้องติดตั้งอุปกรณ์เสริมที่หรูหรา บางคนอาจถามว่า “ถ้าพวกเขาไม่มีเงินแล้วทำไมพวกเขาถึงให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้ถึงขนาดนั้น? เพียงเพราะพวกเขาไม่มีเงินก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่ไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านั้นหรือความอยากเช่นนี้จะหายไปจากความเป็นมนุษย์ของพวกเขา เพราะฉะนั้น เมื่อศัตรูของพระคริสต์ได้ควบคุมของถวายในพระนิเวศน์ของพระเจ้า พวกเขาย่อมผลาญของถวายอย่างสุรุ่ยสุร่าย พวกเขาต้องการซื้อและเพลิดเพลินกับทุกสิ่งทุกอย่างจนถึงขั้นไร้ยางอายและถึงระดับที่ยากจะควบคุมได้ พวกเขาต้องได้ดื่มชาคุณภาพสูงจากถ้วยที่เคลือบด้วยทอง มื้ออาหารของพวกเขาต้องเป็นงานเลี้ยงสุดหรู พวกเขายืนกรานที่จะบริโภคโสมคัดพิเศษ พวกเขาใช้แต่คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์ยี่ห้อระดับโลกที่เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดเสมอ พวกเขาสวมแว่นตาราคาหลายพันหยวน ใช้จ่ายเงินหลายร้อยเพื่อจัดแต่งทรงผม และจ่ายเงินหลักพันหรือมากกว่านั้นสำหรับการนวดหรืออบซาวน่า สรุปแล้ว พวกเขาต้องการทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของระดับสูงและเป็นแบรนด์เนม ต้องการชื่นชมสิ่งใดก็ตามที่คนดังและคนที่มีอำนาจชื่นชม เมื่อศัตรูของพระคริสต์มีสถานะ สิ่งอัปลักษณ์สารพัดเหล่านี้ก็เริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจน ระหว่างการชุมนุม หากมีคนเพียงสามถึงห้าคนฟังการประกาศของพวกเขา พวกเขาย่อมเห็นว่านั่นไม่เพียงพอ และยืนกรานว่าต้องมีคนสามร้อยถึงห้าร้อยคน เมื่อผู้อื่นกล่าวว่ามีรูปการณ์แวดล้อมภายนอกที่ไม่เอื้ออำนวย ดังนั้นการมีคนร่วมชุมนุมสามถึงห้าคนย่อมถือว่าดีแล้ว พวกเขาก็โต้กลับว่า “แบบนี้ไม่ได้—ทำไมคนที่มาฟังการเทศนาของฉันถึงได้น้อยขนาดนี้? ไม่คุ้มค่ากับเวลาของฉันเลย พวกเราควรซื้ออาคารคริสตจักรหลังใหญ่เพื่อที่จะสามารถรองรับผู้คนได้หลายหมื่นคนเพื่อให้การเทศนามีศักดิ์ศรีมากขึ้น” พวกเขาไม่ได้กำลังรนหาที่ตายหรอกหรือ? นี่คือสิ่งพวกศัตรูของพระคริสต์ทำ พวกเขากำลังไม่ใส่ใจต่อความละอายไม่ใช่หรือ? พวกเขามีความอยากและความสนใจอย่างแรงกล้าต่อชีวิตที่หรูหราและสิ่งของทางวัตถุจนควบคุมไม่ได้ นี่เป็นอีกหนึ่งลักษณะเด่นในลักษณะนิสัยของศัตรูของพวกพระคริสต์ ทันทีที่ใครบางคนเอ่ยถึงอาหารเลิศรส รถหรู เสื้อผ้าแบรนด์เนม และสิ่งของระดับสูงราคาแพง ดวงตาของพวกเขาเปล่งประกายและเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความโลภ แล้วความอยากของพวกเขาก็ปรากฏขึ้นมา ความอยากนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? นี่เป็นการเผยธรรมชาติเยี่ยงปิศาจของพวกเขาให้เห็นอย่างแน่แท้ ศัตรูของพระคริสต์บางคนอาจจะขัดสนเงินทอง และเมื่อพวกเขาเห็นใครบางคนสวมเครื่องประดับหรูหราหรือแหวนเพชรสองถึงสามกะรัต ดวงตาของพวกเขาวาวโรจน์ และคิดว่า “ถ้าฉันไม่เชื่อในพระเจ้า ฉันคงสามารถสวมแหวนห้ากะรัตได้แล้ว” พวกเขาคิดถึงข้อเท็จจริงที่ว่า พวกเขาไม่มีแหวนเพชรแม้แต่กะรัตเดียว พวกเขารู้สึกไม่พอใจและเริ่มคิดว่าการเชื่อในพระเจ้านั้นไม่คุ้มค่า แต่พอนึกอีกที พวกเขาก็คิดว่า “ฉันจะได้รับพรอันยิ่งใหญ่จากการเชื่อในพระเจ้าในอนาคต ฉันอาจจะมีเพชรขนาดห้าร้อยกะรัตและสวมบนศีรษะของฉันก็ได้” พวกเขามีความอยากไม่ใช่หรือ? เมื่อเห็นบุคคลที่ร่ำรวยสวมใส่เสื้อผ้าจากนักออกแบบชื่อดังและล่องเรือสำราญหรูหราในทะเล พวกเขาก็รู้สึกว่านั่นเป็นความสุขสำราญ โรแมนติก สูงส่ง และน่าอิจฉา พวกเขาหลงใหลสิ่งเหล่านั้นพร้อมกล่าวว่า “เมื่อไหร่ฉันจะกลายเป็นคนแบบนั้น เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในหมู่ผู้คนบ้าง? เมื่อไรฉันจะสามารถเพลิดเพลินกับชีวิตแบบนั้นบ้าง? พวกเขาเฝ้าดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งคิดว่าการเชื่อในพระเจ้าไม่น่าสนใจเลยจริงๆ แต่จากนั้นพวกเขาก็คิดทบทวนอีกครั้ง โดยคิดว่า “ฉันไม่สามารถคิดเช่นนี้ได้ ทำไมฉันถึงเชื่อในพระเจ้า? ‘คนเราต้องสู้ทนความทุกข์ยากอันใหญ่หลวงที่สุดจึงจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด’ ในอนาคต ชีวิตของฉันจะดีกว่าของพวกเขามากนัก พวกเขาไปล่องเรือสำราญหรูหรา แต่ฉันจะบินด้วยเครื่องบินสุดหรูหรือยานบินหรูหรา—ฉันจะไปดวงจันทร์!” ความคิดเหล่านี้สมเหตุสมผลสักนิดหรือไม่? ความคิดเหล่านี้เป็นไปตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่? (ความคิดเหล่านี้ไม่เป็นตามนั้นเลย) นี่คืออีกองค์ประกอบหนึ่งในความเป็นมนุษย์ของพวกศัตรูของพระคริสต์—ความอยากได้อยากมีสิ่งของทางวัตถุและรูปแบบการใช้ชีวิตที่หรูหราอย่างแรงกล้าซึ่งไม่อาจควบคุมได้ เมื่อพวกเขาได้รับสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็กลายเป็นคนโลภที่ไม่รู้จักพอ มีสายตาและมีธรรมชาติที่ตะกละตะกลาม ต้องการที่จะครอบครองสิ่งเหล่านี้ตลอดไป ในความเป็นมนุษย์ของศัตรูของพระคริสต์ ไม่เพียงแต่อิจฉาผู้มีอำนาจเท่านั้น พวกเขายังอยากได้อยากมีสิ่งของทางวัตถุและชีวิตที่มีคุณภาพสูงอีกด้วย ความเป็นมนุษย์ที่ปกติมีขอบเขตความต้องการที่มีเหตุผลต่อชีวิตและสิ่งของทางวัตถุ พวกเขามีสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน สิ่งจำเป็นต่อการทำงานและสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิต และความต้องการทางร่างกายของพวกเขาด้วย เมื่อความต้องการเหล่านี้ได้รับการตอบสนองย่อมเพียงพอแล้ว และถือว่าเป็นเรื่องค่อนข้างปกติที่จะปรับความต้องการเหล่านี้ให้เหมาะสมตามความสามารถและสภาพเศรษฐกิจของตน อย่างไรก็ตาม ความต้องการและความลุ่มหลงในสิ่งของทางวัตถุเหล่านี้ของศัตรูของพระคริสต์นั้นผิดปกติและไม่รู้จักพอ ศัตรูของพระคริสต์บางคนไล่ตามไขว่คว้าคุณภาพชีวิตที่สูงส่งเป็นพิเศษ—เมื่อพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวอุปถัมภ์ที่อาหารล้วนเป็นเพียงมื้ออาหารธรรมดา พวกเขาย่อมรู้สึกรำคาญใจอยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้น หากคนในครอบครัวนี้กำลังไล่ตามเสาะหาความจริง ค่อนข้างซื่อสัตย์ และไม่ยกยอปอปั้นและป้อยอพวกเขา หรือพูดในสิ่งที่พวกเขาอยากได้ยิน พวกเขาจะยิ่งรู้สึกรังเกียจมากขึ้น โดยคิดว่า “ฉันสามารถกินอาหารดีๆ และอยู่บ้านหลังใหญ่ๆ ได้ที่ไหน? ใครมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีบ้าง? ใครมีรถและสามารถไปรับไปส่งฉันในที่ต่างๆ เพื่อที่ฉันจะไม่ได้ต้องเดินบ้าง?” พวกเขากังวลในเรื่องเหล่านี้อยู่เสมอ พวกเจ้ามีคนประเภทเหล่านี้อยู่รอบตัวพวกเจ้าหรือไม่? พวกเจ้าเป็นคนประเภทนี้หรือเปล่า? (สิ่งเหล่านี้อยู่ในความเป็นมนุษย์ของพวกเราด้วยเช่นกัน) เช่นนั้นพวกเจ้าควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่? การลุ่มหลงความสะดวกสบายไม่เหมือนกับความโลภที่ไม่รู้จักพอ ซึ่งควรอยู่ในความพอประมาณโดยไม่ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของตน นี่คือความเป็นมนุษย์ซึ่งผู้คนที่เสื่อมทรามเป็นปกติมี อย่างไรก็ดี ศัตรูของพระคริสต์ไม่ได้ฝึกฝนความพอประมาณ พวกเขาไม่รู้จักพอและโลภเป็นนิสัย เกี่ยวกับการสำแดงนี้ พวกเจ้ามีอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่? (ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เคยพบปะศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่งมาก่อน ตอนนั้นพี่น้องหญิงของข้าพระองค์ได้ซื้อเสื้อแจ็กเกตขนเป็ดให้เธอมากกว่าสิบตัว ซึ่งเป็นยี่ห้อดังทั้งหมด และศัตรูของพระคริสต์คนนี้ก็สวมใส่ทีละตัว เปลี่ยนใหม่ทุกครั้งที่ออกไปข้างนอก ต่อมาเธอกลายเป็นผู้นำ และเธอก็ใช้ของถวายของพระเจ้าไปซื้อรถเก๋ง บางคนถึงขนาดซื้อบ้านหลังงามเพื่อต้อนรับเธอโดยเฉพาะ และเมื่อเธอออกไปซื้อของ พี่น้องหญิงที่เป็นเจ้าบ้านคนนี้ก็เดินตามหลังเธออย่างใกล้ชิด ถ้าเธอชอบเสื้อผ้าตัวไหน เธอจะแค่ชี้ไปที่เสื้อผ้าตัวนั้น แล้วพี่น้องหญิงที่เป็นเจ้าบ้านก็จะรีบซื้อให้เธอทันที เวลาเธอกลับบ้าน เธอจะโทรหาครอบครัวเจ้าบ้านล่วงหน้าแล้วบอกว่าเธอต้องการกินเกี๊ยว เวลาในการต้มเกี๊ยวถูกคำนวณอย่างแม่นยำ—ไม่เร็วเกินไป ไม่อย่างนั้นเกี๊ยวจะเย็นชืด และไม่ช้าเกินไป ไม่อย่างนั้นเธอจะต้องรอด้วยความหิวเมื่อกลับถึงบ้าน เธอเป็นเหมือนพระพันปีหลวง รูปแบบการดำเนินชีวิตของเธอหรูหราอย่างที่สุด ต่อมาศัตรูของพระคริสต์ผู้นี้ก็ถูกขับไล่) จงดูเถิดว่าคนพวกนี้ไม่รู้ความและโง่เขลาเพียงใด ถึงกับซื้อบ้านและรถเก๋งให้กับศัตรูของพระคริสต์! ศัตรูของพระคริสต์เชื่อว่าผู้คนมาสู่โลกนี้เพื่อเพลิดเพลินกับสิ่งต่างๆ หากคนเราไม่ปล่อยใจไปกับความต้องการในสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นชีวิตของพวกเขาก็สูญเปล่า นี่คือหลักการและทฤษฎีของพวกเขา ทฤษฎีนี้ถูกต้องหรือไม่? นี่เป็นเพียงการมองของพวกไม่มีความเชื่อ สัตว์เดรัจฉาน และคนตายที่ไร้วิญญาณเท่านั้น ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าและยังคงมีมุมมองเช่นนั้นล้วนเป็นผู้ไม่เชื่อและผู้ไม่มีความเชื่อโดยสิ้นเชิง เมื่อคนประเภทเหล่านี้ได้รับสถานะ พวกเขาก็กลายเป็นศัตรูของพระคริสต์โดยสมบูรณ์ และเมื่อปราศจากสถานะ พวกเขาก็คือคนชั่ว
การโกหกเป็นนิสัย ความยอกย้อนและความอำมหิต การไร้สำนึกแห่งเกียรติและการไม่ใส่ใจต่อความละอาย การเห็นแก่ตัวและสามานย์ การเกาะเกี่ยวผู้มีอำนาจและกดขี่ผู้ที่อ่อนแอ และการมีความอยากได้สิ่งคนทางวัตถุมากกว่าผู้คนปกติ—ลักษณะสำคัญเหล่านี้ในลักษณะนิสัยของศัตรูของพระคริสต์เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป แสดงความเป็นศัตรูของพระคริสต์ได้อย่างถูกต้องและเห็นได้ชัดเจน แม้การสำแดงบางอย่างเหล่านี้อาจปรากฏในคนธรรมดาระดับหนึ่ง แต่การสำแดงเหล่านี้ก็เป็นเพียงอุปนิสัยอันเสื่อมทราม หรือเป็นการสำแดงของความเป็นมนุษย์ที่ผิดปกติ หรือขาดความเป็นมนุษย์ซึ่งเกิดขึ้นจากความเสื่อมทรามของซาตาน ด้วยการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้ย่อมเกิดความตระหนักรู้ของมโนธรรมและความสามารถในการปล่อยมือกับการต่อต้านสิ่งเหล่านี้ รวมถึงการกลับใจ ลักษณะนิสัยเหล่านี้ไม่ได้มีบทบาทสำคัญในตัวพวกเขา และจะไม่ส่งผลต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา มีเพียงศัตรูของพระคริสต์เท่านั้นที่ปฏิเสธการยอมรับความจริงไม่ว่าพวกเขาจะได้ยินคำเทศนามากมายแค่ไหนก็ตาม คุณลักษณะและลักษณะเด่นที่มีมาแต่เดิมในความเป็นมนุษย์ของพวกเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง และนั่นเป็นสาเหตุที่คนเหล่านั้นถูกกล่าวโทษในพระนิเวศน์ของพระเจ้าและไม่มีวันได้รับการช่วยให้รอดได้เลย เหตุใดพวกเขาจึงไม่อาจได้รับการช่วยให้รอด? ผู้คนที่มีลักษณะนิสัยเช่นนั้นไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดเพราะพวกเขาปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง และพวกเขาเป็นปฏิปักษ์กับความจริง เป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า และทุกสิ่งที่เป็นบวก พวกเขาขาดเงื่อนไขและความเป็นมนุษย์สำหรับการได้รับความรอด ดังนั้นบุคคลเหล่านี้ได้รับการลิขิตให้ถูกกำจัดและโยนลงสู่นรก
12 ธันวาคม ค.ศ. 2020