การเข้าสู่ชีวิต 6
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 556
มีเพียงโดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้ กล่าวคือ นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนต้องจับใจความและทำความเข้าใจอย่างถี่ถ้วน หากเจ้าไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงอย่างเพียงพอ เจ้าจะพลาดพลั้งและหลงเจิ่นอย่างง่ายดาย หากเจ้าต้องการที่จะเติบโตในชีวิต เจ้าต้องแสวงหาความจริงในทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่สำคัญว่าเจ้ากำลังทำสิ่งใด เจ้าควรจะแสวงหาจนพบวิธีที่จะประพฤติตัวเพื่อที่จะอยู่ในแนวเดียวกันกับความจริง และค้นพบว่าความแปดเปื้อนที่ดำรงอยู่ภายในตัวเจ้าอันใดที่ฝ่าฝืนความจริง เจ้าต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ว่าเจ้ากำลังทำสิ่งใด เจ้าควรพิจารณาว่าสิ่งนั้นสอดคล้องกับความจริงหรือไม่ มีคุณค่าและความหมายหรือไม่ เจ้าสามารถทำสิ่งทั้งหลายที่สอดคล้องกับความจริง แต่เจ้าไม่สามารถทำสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับความจริงได้ เมื่อคำนึงถึงสิ่งทั้งหลายที่เจ้าสามารถที่จะทำหรือไม่ทำก็ได้นั้น หากสิ่งเหล่านั้นสามารถถูกปล่อยวางไปได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรที่จะปล่อยวางสิ่งเหล่านั้นไป มิฉะนั้นแล้ว หากเจ้าทำสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นบางเวลา และต่อมาในภายหลังก็พบว่าเจ้าควรจะปล่อยสิ่งเหล่านั้นไป เช่นนั้นแล้วจงรีบทำการตัดสินใจอย่างรวดเร็วและปล่อยวางสิ่งเหล่านั้นไปโดยเร็ว นี่คือหลักการที่เจ้าควรปฏิบัติตามในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำ ผู้คนบางคนยกคำถามนี้ขึ้นว่า เหตุใดการแสวงหาความจริงและนำความจริงมาปฏิบัติจึงลำบากยากเย็นยิ่งนัก—ราวกับว่าเจ้ากำลังพายเรือทวนกระแสน้ำ และคงจะลอยลำไปข้างหลังหากเจ้าหยุดพายไปข้างหน้า? แต่ทว่าเหตุใดการทำสิ่งที่ชั่วและไร้ความหมายจึงง่ายกว่ามากนัก—ง่ายราวกับการล่องเรือไปตามกระแสน้ำ? เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? นั่นเป็นเพราะธรรมชาติของมนุษยชาติคือการทรยศพระเจ้า ธรรมชาติของซาตานได้มีบทบาทครอบงำอยู่ภายในตัวมนุษย์ และนี่คือกำลังบังคับที่เป็นปฏิปักษ์ แน่นอนว่าพวกมนุษย์ที่มีธรรมชาติที่ทรยศพระเจ้าหมิ่นเหม่อย่างยิ่งที่จะทำสิ่งทั้งหลายที่ทรยศพระองค์ และการกระทำในเชิงบวกก็ลำบากยากเย็นที่จะปฏิบัติสำหรับพวกเขาไปโดยธรรมชาติ การนี้ถูกตัดสินโดยธรรมชาติและแก่นแท้ของมนุษยชาติทั้งสิ้น ทันทีที่เจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริงและเริ่มที่จะรักความจริงจากภายในตัวเจ้าเอง เจ้าก็จะพบว่าการทำสิ่งทั้งหลายตามความจริงนั้นง่าย เจ้าจะทำหน้าที่ของเจ้าและปฏิบัติความจริงไปตามปกติ—โดยไม่ต้องใช้ความพยายามและทำอย่างชื่นบานด้วยซ้ำ และเจ้าจะรู้สึกว่าการทำสิ่งใดก็ตามที่เป็นลบย่อมต้องใช้ความพยายามอย่างมาก นี่เป็นเพราะความจริงมีบทบาทครอบครองหัวใจของเจ้าแล้ว หากเจ้าเข้าใจความจริงเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะมีเส้นทางให้ติดตามว่าจะเป็นบุคคลประเภทใด ทำอย่างไรจึงจะเป็นบุคคลที่สุจริตและตรงไปตรงมา บุคคลที่ซื่อสัตย์ และเป็นใครบางคนที่เป็นพยานให้พระเจ้าและรับใช้พระองค์ และทันทีที่เจ้าเข้าใจความจริงเหล่านี้ เจ้าก็จะไม่มีวันสามารถก่อเรื่องชั่วที่ท้าทายพระองค์ได้อีก อีกทั้งเจ้าจะไม่แสดงบทบาทของผู้นำเทียมเท็จ คนงานเทียมเท็จ หรือศัตรูของพระคริสต์อีกเลย ต่อให้ซาตานหลอกลวงเจ้า หรือใครบางคนที่ชั่วร้ายยุยงเจ้า เจ้าก็จะไม่ทำการนั้น ไม่สำคัญว่าผู้ใดพยายามที่จะบีบบังคับเจ้า เจ้าก็จะยังคงไม่กระทำหนทางนั้น หากผู้คนได้มาซึ่งความจริง และความจริงกลายเป็นชีวิตของพวกเขา พวกเขาก็จะสามารถเกลียดความชั่วและรู้สึกถึงความขยะแขยงจากภายในที่มีต่อสิ่งที่เป็นเชิงลบทั้งหลาย นั่นคงจะลำบากยากเย็นสำหรับพวกเขาที่จะก่อความชั่ว เพราะอุปนิสัยชีวิตของพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว และพวกเขาได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าแล้ว
หากเจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริงในหัวใจของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะรู้วิธีปฏิบัติความจริงและเชื่อฟังพระเจ้า และก็เป็นธรรมดาที่จะเริ่มออกเดินไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง หากเส้นทางที่เจ้าเดินเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง และอยู่ในแนวเดียวกันกับน้ำพระทัยของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะไม่ผละจากเจ้าไป—ซึ่งในกรณีนี้ย่อมจะมีโอกาสน้อยลงเรื่อยๆ ที่เจ้าจะทรยศพระเจ้า หากปราศจากความจริง ย่อมง่ายดายที่จะทำชั่ว และเจ้าจะทำสิ่งนั้นไปทั้งที่เจ้าไม่ตั้งใจ ตัวอย่างเช่น หากเจ้ามีอุปนิสัยที่โอหังและทะนงตน เช่นนั้นแล้วการถูกบอกให้ไม่ต่อต้านพระเจ้าก็คงไม่สร้างความแตกต่างอะไร เจ้าไม่อาจห้ามตัวเองได้มันอยู่เหนือการควบคุมของตัวเจ้า เจ้าคงจะไม่ทำสิ่งนั้นโดยมีจุดประสงค์ เจ้าคงจะทำสิ่งนั้นไปภายใต้การครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของเจ้า ความโอหังและความทะนงตนของเจ้าคงจะทำให้เจ้าดูแคลนพระเจ้าและเห็นพระองค์ทรงไร้ค่าไม่สำคัญ สิ่งเหล่านั้นคงจะเป็นเหตุให้เจ้ายกย่องตัวเจ้าเอง นำเสนอตัวเจ้าเองอยู่เนืองนิตย์ สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เจ้าสบประมาทผู้อื่น สิ่งเหล่านั้นจะไม่ปล่อยให้หัวใจของเจ้ามีผู้ใดนอกจากตัวเจ้าเอง ความโอหังและความทะนงตนจะปล้นที่ทางของพระเจ้าในหัวใจของเจ้าไป และในท้ายที่สุดก็จะเป็นเหตุให้เจ้านั่งแทนที่พระเจ้าและเรียกร้องให้ผู้คนนบนอบเจ้า และทำให้เจ้าเทิดทูนความคิด แนวคิด และมโนคติอันหลงผิดของตนเองว่าเป็นความจริง ผู้คนที่อยู่ภายใต้ภาวะครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและหยิ่งทะนงของตนนั้นทำความชั่วไปมากมายเหลือเกิน! เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาการทำชั่วของพวกเขา พวกเขาจะต้องแก้ไขธรรมชาติของตนเสียก่อน หากปราศจากการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย คงจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะนำพาการแก้ไขขั้นพื้นฐานมาสู่ปัญหานี้ เมื่อเจ้ามีความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า เมื่อเจ้าสามารถมองเห็นความเสื่อมทรามของเจ้าเอง และระลึกได้ถึงการดูหมิ่นเหยียดหยามและความน่าเกลียดของความโอหังและการทะนงตน เมื่อนั้นเจ้าจะรู้สึกขยะแขยง คลื่นเหียน และทุกข์โศก เจ้าจะสามารถทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้อย่างมีจิตสำนึก และในการทำเช่นนี้จะรู้สึกสบายใจ เจ้าจะสามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้า ยกย่องพระเจ้า เป็นพยานให้พระเจ้าได้อย่างมีสติ และในหัวใจของเจ้า เจ้าจะรู้สึกถึงความชื่นชมยินดี เจ้าจะถอดหน้ากากตัวเองอย่างมีจิตสำนึก โดยเปิดโปงความน่าเกลียดของเจ้าเอง และด้วยการทำเช่นนี้ เจ้าจะรู้สึกดีอยู่ภายในและรู้สึกว่าตัวเจ้าเองอยู่ในสภาวะจิตใจที่ปรับปรุงดีขึ้น ขั้นตอนแรกของการแสวงหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้าก็คือการพยายามที่จะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและพยายามที่จะเข้าสู่ความจริง มีเพียงโดยการเข้าใจความจริงเท่านั้นเจ้าจึงสามารถที่จะบรรลุถึงการหยั่งรู้ได้ มีเพียงด้วยการมีการหยั่งรู้เท่านั้นเจ้าจึงสามารถเข้าใจสิ่งทั้งหลายได้อย่างถี่ถ้วน มีเพียงเข้าใจสิ่งทั้งหลายอย่างถ้วนทั่วเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถรู้จักตนเองอย่างแท้จริง เฉพาะเมื่อเจ้ารู้จักตนเองอย่างแท้จริงเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถละทิ้งเนื้อหนังและดังนั้นจึงนำความจริงไปปฏิบัติได้ อันเป็นการค่อยๆ นำเจ้าไปสู่การเชื่อฟังพระเจ้า และทีละขั้นทีละตอนเจ้าก็จะอยู่บนร่องครรลองที่ถูกต้องพร้อมกับความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า การนี้เชื่อมโยงกับการที่ผู้คนมีความเด็ดเดี่ยวเพียงใดเมื่อไล่ตามเสาะหาความจริง หากใครบางคนมุ่งมั่นอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้ว หลังจากหกเดือนหรือปีหนึ่งพวกเขาก็จะเริ่มอยู่บนร่องครรลองที่ถูกต้อง ภายในสามหรือห้าปี พวกเขาจะมองเห็นผลลัพธ์ และจะรู้สึกว่าพวกเขากำลังมีความก้าวหน้าในชีวิต หากผู้คนเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่เคยมุ่งเน้นที่จะปฏิบัติความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะสามารถเชื่อได้นานสิบหรือยี่สิบปีโดยที่ไม่มีประสบการณ์กับการเปลี่ยนแปลงใดๆ แล้วในที่สุดพวกเขาก็จะคิดว่านั่นคือความเชื่อในพระเจ้า พวกเขาจะคิดว่านั่นเหมือนกับวิธีดำรงชีวิตในสังคมทางโลกของพวกเขาก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก และคิดว่าการมีชีวิตอยู่นั้นไร้ความหมาย นี่แสดงให้เห็นอย่างแท้จริงว่า หากไม่มีความจริง ชีวิตก็ว่างเปล่า พวกเขาอาจจะสามารถกล่าวคำสอนบางอย่าง แต่พวกเขาจะรู้สึกไม่สบายใจและลำบากใจอยู่ดี หากผู้คนมีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าอยู่บ้าง รู้วิธีที่จะดำรงชีวิตอย่างมีความหมาย และสามารถทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะรู้สึกว่านี่คือชีวิตจริง รู้สึกว่ามีเพียงโดยการดำรงชีวิตในหนทางนี้เท่านั้นชีวิตของพวกเขาจึงจะมีความหมาย และรู้สึกว่าพวกเขาต้องดำรงชีวิตในหนทางนี้เพื่อที่จะนำความพึงพอพระทัยมาให้พระเจ้า ตอบแทนพระเจ้า และรู้สึกสบายใจ หากพวกเขาสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย นำความจริงมาปฏิบัติ ตัดขาดจากตัวพวกเขาเอง ละทิ้งแนวคิดของพวกเขาเอง และเชื่อฟังกับคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าได้โดยมีจิตสำนึก—หากพวกเขาสามารถที่จะทำสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้โดยมีจิตสำนึก—เช่นนั้นแล้ว นี่คือสิ่งที่เป็นความหมายของการนำความจริงมาปฏิบัติอย่างถูกต้องแม่นยำ และการนำความจริงมาปฏิบัติอย่างจริงแท้ นี่ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เพียงพึ่งพาความคิดฝันและทำตามกฎเกณฑ์เท่านั้น และคิดว่านี่คือการปฏิบัติความจริง ในข้อเท็จจริงแล้ว การพึ่งพาความคิดฝันและการทำตามกฎเกณฑ์นั้นน่าเหน็ดเหนื่อยมาก การไม่เข้าใจความจริงและทำสิ่งทั้งหลายโดยปราศจากหลักธรรมก็น่าเหน็ดเหนื่อยมากเช่นกัน และการทำสิ่งทั้งหลายอย่างมืดบอดโดยไม่มีเป้าหมายยิ่งน่าเหน็ดเหนื่อยกว่าเสียอีก เมื่อเจ้าเข้าใจความจริง เจ้าจะไม่ถูกผู้ใดหรือสิ่งใดตีกรอบ และเจ้าจะมีอิสรภาพและได้รับการปลดปล่อยอย่างแท้จริง เจ้าจะกระทำการในหนทางที่มีหลักธรรม และผ่อนคลายและมีความสุข และเจ้าจะไม่รู้สึกว่านี่ใช้ความพยายามมากเกินไปหรือทำให้เกิดความทุกข์มากเกินไป หากเจ้ามีสภาวะเช่นนี้ เจ้าย่อมมีความจริงและสภาวะความเป็นมนุษย์ และเจ้าคือใครบางคนที่อุปนิสัยได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 557
ในกระบวนการของประสบการณ์ชีวิต ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะแสวงหาความจริง และไตร่ตรองเรื่องนี้ให้ถ้วนทั่วตามพระวจนะของพระเจ้าและตามความจริง เมื่อเจ้ารู้วิธีทำสิ่งที่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ เจ้าก็จะสามารถปล่อยมือจากสิ่งที่มาจากเจตจำนงของเจ้าเอง ทันทีที่เจ้ารู้วิธีกระทำการตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เจ้าก็ควรกระทำการไปตามนั้นเท่านั้น ราวกับว่ากำลังไหลไปตามกระแสของธรรมชาติ การทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้จะรู้สึกผ่อนคลายและง่ายมาก และนี่คือวิธีที่ผู้คนที่เข้าใจความจริงกระทำสิ่งต่างๆ หากเจ้าสามารถแสดงให้ผู้คนเห็นว่าเจ้ามีประสิทธิผลอย่างแท้จริงเมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และเห็นว่ามีหลักธรรมในวิธีที่เจ้าทำสิ่งทั้งหลาย ว่าอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วจริงๆ ว่าเจ้าได้ทำสิ่งดีๆ มากมายเพื่อผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือใครบางคนที่เข้าใจความจริง และมีภาพลักษณ์ของมนุษย์อย่างแน่นอน และย่อมมีผลลัพธ์ในการที่เจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเป็นแน่ ทันทีที่ใครบางคนเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง พวกเขาจะสามารถวินิจฉัยสภาวะต่างๆ ของตนได้ พวกเขาจะสามารถมองเห็นเรื่องราวที่ซับซ้อนได้อย่างชัดเจน และดังนั้นพวกเขาย่อมจะรู้วิธีปฏิบัติที่เหมาะสม หากบุคคลหนึ่งไม่เข้าใจความจริงและไม่สามารถวินิจฉัยสภาวะของตนเองได้ เช่นนั้นแล้วหากพวกเขาต้องการละทิ้งตนเอง พวกเขาย่อมจะไม่รู้ว่าควรละทิ้งสิ่งใดหรือละทิ้งอย่างไร หากพวกเขาต้องการละทิ้งเจตจำนงของตนเอง พวกเขาก็จะไม่รู้ว่ามีสิ่งใดผิดในเจตจำนงของตน พวกเขาจะคิดว่าเจตจำนงของตนสอดคล้องกับความจริง และอาจถึงกับถือว่าเจตจำนงของตนเองคือความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ บุคคลเช่นนี้จะทอดทิ้งเจตจำนงของตนเองได้อย่างไร? พวกเขาจะไม่สามารถทำเช่นนั้น และพวกเขายิ่งจะไม่สามารถละทิ้งเนื้อหนัง เพราะฉะนั้น เมื่อเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าจะสำคัญผิดได้ง่ายว่าสิ่งที่มาจากเจตจำนงของตัวเจ้าเอง สิ่งทั้งหลายที่พ้องกับมโนคติอันหลงผิด ความเมตตา ความรัก ความทุกข์ และการยอมลำบากของมนุษย์นั้นถูกต้องและสอดคล้องกับความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าจะสามารถละทิ้งสิ่งเหล่านี้ของมนุษย์ได้อย่างไร? เจ้าไม่เข้าใจความจริง และเจ้าไม่รู้ว่าการปฏิบัติความจริงหมายความเช่นไร เจ้าอยู่ในความมืดโดยสิ้นเชิงและเจ้าไม่สามารถรู้ได้ว่าต้องทำอะไร ดังนั้นเจ้าจึงทำได้แต่สิ่งที่เจ้าคิดว่าดีเท่านั้น และผลก็คือเจ้าเบี่ยงเบนในบางสิ่ง สิ่งเหล่านี้บางส่วนเป็นเพราะการทำตามกฎเกณฑ์ บางส่วนเป็นเพราะความกระตือรือร้น และบางส่วนเป็นเพราะซาตานทำให้เกิดการหยุดชะงัก ผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงเป็นเช่นนี้ พวกเขาเอาแน่เอานอนไม่ได้เป็นอย่างมากเวลาทำสิ่งต่างๆ และเบี่ยงเบนอย่างไม่เคยเปลี่ยน ไม่มีความถูกต้องแม่นยำอันใดเลย ผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงย่อมมองเห็นสิ่งทั้งหลายในหนทางที่ไร้สาระเหมือนผู้ไม่เชื่อไม่มีผิด พวกเขาจะสามารถปฏิบัติความจริงได้อย่างไร? พวกเขาจะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างไร? การเข้าใจความจริงไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ว่าขีดความสามารถของคนเราจะสูงหรือต่ำเพียงใด ต่อให้ผ่านประสบการณ์มาแล้วทั้งชีวิต จำนวนความจริงที่พวกเขาสามารถเข้าใจได้ย่อมมีจำกัด และจำนวนพระวจนะของพระเจ้าที่พวกเขาสามารถเข้าใจได้ก็มีจำกัดเช่นกัน เมื่อเทียบกันแล้วผู้คนที่มีประสบการณ์มากกว่าคือผู้คนที่เข้าใจความจริงอยู่บ้าง และอย่างมากพวกเขาก็สามารถเลิกทำสิ่งที่ต้านทานพระเจ้าและเลิกทำสิ่งที่ชั่วอย่างเห็นได้ชัดได้ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะกระทำการโดยไม่มีเจตนาของตนเองเจือปนอยู่เลย เนื่องจากมนุษย์มีการคิดอ่านที่ปกติและความคิดของพวกเขาอาจไม่คล้อยตามพระวจนะของพระเจ้าเสมอไป การมีเจตจำนงของพวกเขาเองเข้ามาเจือปนจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ สิ่งสำคัญคือการมีวิจารณญาณในทุกสิ่งที่มาจากเจตจำนงของคนเราเองและขัดแย้งกับพระวจนะของพระเจ้า ความจริง และขัดแย้งกับความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นี่พึงต้องให้เจ้าทำงานหนักเพื่อที่จะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า เฉพาะเมื่อเจ้าเข้าใจความจริงแล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะมีวิจารณญาณ และเมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถทำให้แน่ใจได้ว่าเจ้าจะไม่ทำชั่ว
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 558
เพื่อที่จะรู้จักตัวเอง เจ้าต้องรู้จักการแสดงออกทั้งหลายของความเสื่อมทรามของเจ้าเอง อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้า จุดอ่อนที่สำคัญยิ่งของตัวเจ้าเอง ธรรมชาติและแก่นแท้ของเจ้า เจ้าต้องรู้จักสิ่งเหล่านั้น—สิ่งจูงใจทั้งหลายของเจ้า มุมมองทั้งหลายของเจ้า และท่าทีของเจ้าเกี่ยวกับทุกๆ สิ่ง—ที่ถูกเปิดเผยในชีวิตประจำวันของเจ้าให้ลึกลงไปถึงรายละเอียดท้ายสุดด้วยเช่นกัน ไม่ว่าเจ้าอยู่ที่บ้านหรือนอกบ้าน ตอนที่เจ้ากำลังอยู่ในการชุมนุม ตอนที่เจ้ากำลังกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า หรือในทุกๆ ประเด็นปัญหาที่เจ้าเผชิญ เจ้าต้องมารู้จักตัวเองผ่านทางแง่มุมเหล่านี้ แน่นอนว่าการที่จะรู้จักตัวเจ้าเองในระดับที่ลึกลงไป เจ้าต้องรวมพระวจนะของพระเจ้าเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว เฉพาะโดยการรู้จักตัวเองบนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น เจ้าจึงสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ได้ ขณะยอมรับการพิพากษาจากพระวจนะของพระเจ้า จงอย่ากลัวความทุกข์หรือความเจ็บปวด และยิ่งไปกว่านั้น จงอย่ากลัวว่าพระวจนะของพระเจ้าจะเสียดแทงหัวใจของพวกเจ้าและเปิดโปงสภาวะอันอัปลักษณ์ของพวกเจ้า การทนทุกข์กับสิ่งเหล่านี้มีประโยชน์ หากเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าก็ควรอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่พิพากษาและตีสอนผู้คนให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระวจนะที่เปิดเผยแก่นแท้แห่งความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ เจ้าควรเปรียบเทียบพระวจนะกับสภาวะที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของเจ้าให้มากขึ้น และเจ้าควรนำพระวจนะไปใช้กับตัวเจ้าเองให้มากขึ้นและใช้กับผู้อื่นให้น้อยลง สภาวะชนิดต่างๆ ที่พระเจ้าทรงเปิดเผยมีอยู่ในตัวบุคคลทุกคน และสามารถใช้กับเจ้าได้ทั้งสิ้น หากเจ้าไม่เชื่อ ก็จงลองผ่านประสบการณ์กับการทำเช่นนี้ดู ยิ่งเจ้ามีประสบการณ์มากเท่าใด เจ้าก็จะรู้จักตัวเองมากขึ้นเท่านั้น และเจ้าจะรู้สึกมากขึ้นว่าพระวจนะของพระเจ้าถูกต้องแม่นยำมาก หลังจากที่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ผู้คนบางคนไม่มีความสามารถที่จะนำพระวจนะเหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับตัวเอง พวกเขาคิดว่า ส่วนทั้งหลายของพระวจนะเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับพวกเขา แต่เกี่ยวกับผู้คนอื่นๆ ต่างหาก ตัวอย่างเช่น เมื่อพระเจ้าทรงเปิดโปงผู้คนว่าเป็นพวกมากชู้และแพศยา พี่น้องหญิงบางคนก็รู้สึกว่า เพราะพวกเธอได้มีความสัตย์ซื่อต่อสามีของพวกเธออย่างไม่มีผิดพลาด พระวจนะเหล่านั้นต้องไม่มีอะไรอ้างอิงถึงพวกเธอ พี่น้องหญิงบางคนรู้สึกว่า เนื่องจากพวกเธอไม่ได้แต่งงาน และไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ พระวจนะเหล่านั้นต้องไม่มีอะไรเกี่ยวกับพวกเธอด้วยเช่นกัน พี่น้องชายบางคนรู้สึกว่าพระวจนะเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายอยู่ที่พวกผู้หญิงเท่านั้น และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขาเลย ผู้คนบางคนเชื่อว่าพระวจนะแห่งการเปิดเผยของพระเจ้ารุนแรงเกินไป ไม่ตรงกับความเป็นจริง ดังนั้นพวกเขาจึงปฏิเสธที่จะยอมรับพระวจนะเหล่านี้ ในบางตัวอย่างถึงกับมีกระทั่งผู้คนที่กล่าวว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นผิด นี่เป็นท่าทีอันถูกต้องที่ควรมีต่อพระวจนะของพระเจ้าหรือ? เห็นได้ชัดว่าผิด ผู้คนล้วนมองตัวเองตามพฤติกรรมภายนอกของตน พวกเขาไม่สามารถทบทวนตัวเองและมารู้จักแก่นแท้อันเสื่อมทรามของตนท่ามกลางพระวจนะของพระเจ้า คำว่า “มากชู้” และ “แพศยา” ในที่นี้อ้างอิงถึงแก่นแท้ของความเสื่อมทราม ความโสมม และความมักมากของมวลมนุษย์ ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย สมรสหรือไม่สมรส ทุกคนย่อมมีความคิดที่เสื่อมทรามของความมักมาก—ดังนั้นเป็นไปได้อย่างไรที่นั่นจะไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า? พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย คนเรามีความเสื่อมทรามที่ระดับเดียวกัน นี่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงหรอกหรือ? ก่อนที่จะทำสิ่งอื่นใด พวกเราจำต้องตระหนักว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัสคือความจริงและตรงกับข้อเท็จจริง และไม่ว่าพระวจนะของพระองค์ที่พิพากษาและเปิดโปงผู้คนจะรุนแรงเพียงใด หรือไม่ว่าพระวจนะที่สามัคคีธรรมถึงความจริงหรือเตือนสติผู้คนจะอ่อนโยนเพียงใด ไม่ว่าพระวจนะเหล่านี้จะเป็นการพิพากษาหรือพร ไม่ว่าจะเป็นคำกล่าวโทษหรือสาปแช่ง ไม่ว่าจะทำให้ผู้คนรู้สึกขมขื่นหรือหวานชื่น ผู้คนก็ต้องยอมรับไว้ทั้งหมด เช่นนี้เองคือท่าทีที่ผู้คนควรมีต่อพระวจนะของพระเจ้า นี่คือท่าทีชนิดใด? นี่คือท่าทีที่อุทิศตน ท่าทีอันศรัทธา ท่าทีอันอดทน หรือท่าทีของการโอบกอดความทุกข์ไว้กระนั้นหรือ? เจ้าค่อนข้างจะสับสนแล้ว เราบอกพวกเจ้าเลยว่านี่ไม่ใช่อันใดในท่าทีเหล่านี้เลย ในความเชื่อของพวกเขานั้น ผู้คนต้องยืนยันหนักแน่นว่า พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง เนื่องจากพระวจนะเหล่านี้คือความจริงโดยแท้ ผู้คนจึงควรยอมรับพระวจนะด้วยเหตุผล ไม่ว่าพวกเขาจะสามารถตระหนักรู้หรือยอมรับการนี้หรือไม่ ท่าทีแรกที่พวกเขามีต่อพระวจนะของพระเจ้าควรเป็นท่าทีแห่งการยอมรับโดยสมบูรณ์ หากพระวจนะของพระเจ้าไม่เปิดโปงเจ้า แล้วพระวจนะจะเปิดโปงผู้ใด? และหากไม่ใช่เพื่อเปิดโปงเจ้า เหตุใดจึงขอให้เจ้ายอมรับพระวจนะ? นี่ไม่ขัดแย้งกันหรอกหรือ? พระเจ้าตรัสแก่มวลมนุษย์ทั้งปวง ทุกประโยคที่พระเจ้าดำรัสล้วนเปิดโปงมวลมนุษย์อันเสื่อมทราม และไม่มีผู้ใดได้รับการยกเว้น—ซึ่งย่อมรวมถึงเจ้าด้วยเป็นธรรมดา ถ้อยดำรัสของพระเจ้าไม่มีสักบรรทัดเดียวที่ว่าด้วยเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกหรือสภาวะชนิดหนึ่ง นับประสาอะไรที่จะเกี่ยวข้องกับกฎเกณฑ์ภายนอก หรือรูปแบบอันเรียบง่ายของพฤติกรรมในตัวผู้คน ไม่มีถ้อยดำรัสใดที่เป็นเช่นนั้นเลย หากเจ้าคิดว่าทุกบรรทัดที่พระเจ้าดำรัสเป็นเพียงการเปิดเผยพฤติกรรมหรือลักษณะภายนอกประเภทที่เรียบง่ายของมนุษย์ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมไม่มีความเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณเลย และเจ้าก็ไม่เข้าใจว่าความจริงคืออะไร พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง ผู้คนรู้สึกได้ถึงความลุ่มลึกแห่งพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะลุ่มลึกอย่างไร? พระวจนะทุกคำของพระเจ้าเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน และสิ่งทั้งหลายที่หยั่งรากลึกเป็นสาระสำคัญอยู่ภายในชีวิตของพวกเขา ไม่ใช่การปรากฏภายนอก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ใช่พฤติกรรมภายนอก เมื่อมองดูผู้คนจากลักษณะภายนอก พวกเขาอาจจะดูเป็นคนดีกันทั้งนั้น แต่เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสว่า ผู้คนบางคนเป็นพวกวิญญาณชั่ว และบ้างก็เป็นวิญญาณที่ไม่สะอาด? นี่เป็นเรื่องที่เจ้าไม่สามารถมองเห็นได้ ดังนั้น คนเราต้องไม่ปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดหรือความคิดฝันของมนุษย์ หรือตามคำบอกเล่าของมนุษย์ และตามถ้อยแถลงของพรรครัฐบาลโดยเด็ดขาด มีเพียงพระวจนะของพระเจ้าที่เป็นความจริง คำพูดของมนุษย์ล้วนเป็นตรรกะวิบัติ หลังจากที่ได้รับการสามัคคีธรรมเช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าได้รับประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงในท่าทีของเจ้าที่มีต่อพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่? ไม่สำคัญว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะยิ่งใหญ่หรือเล็กน้อยเพียงใด คราวต่อไปที่พวกเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่พิพากษาและเปิดเผยผู้คน อย่างน้อยเจ้าก็ไม่ควรพยายามใช้เหตุผลกับพระเจ้า เจ้าควรเลิกบ่นพระเจ้าว่า “พระวจนะแห่งการเปิดเผยและพิพากษาของพระเจ้ารุนแรงจริงๆ ฉันจะไม่อ่านหน้านี้ ฉันก็แค่จะข้ามหน้านี้ไปเลย! ให้ฉันสำรวจค้นบางสิ่งบางอย่างมาอ่านเกี่ยวกับพระพรและพระสัญญาเถอะ เพื่อที่จะพบสิ่งชูใจบ้าง” เจ้าไม่ควรอ่านพระวจนะของพระเจ้าโดยเลือกเฟ้นตามความชอบของเจ้าเองอีกต่อไป เจ้าต้องยอมรับความจริงและการพิพากษาและการตีสอนแห่งพระวจนะของพระเจ้า เมื่อนั้นเท่านั้นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าจึงจะสามารถได้รับการชำระให้สะอาด เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถบรรลุความรอด
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ความสำคัญของการไล่ตามเสาะหาความจริง และเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 559
เจ้าจะเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ได้อย่างไร? อันที่จริงแล้วการเข้าใจธรรมชาติของเจ้าเองหมายถึงการชำแหละสิ่งทั้งหลายที่อยู่ลึกเข้าไปในดวงจิตของเจ้า—สิ่งทั้งหลายในชีวิตของเจ้า รวมทั้งตรรกะและปรัชญาทั้งหมดของซาตานที่เป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิตของเจ้า—ซึ่งก็คือชีวิตของซาตานที่เจ้าใช้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต มีเพียงการขุดคุ้ยสิ่งที่อยู่ลึกลงไปในดวงจิตของเจ้าเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถเข้าใจธรรมชาติของเจ้า จะพลิกแผ่นดินหาสิ่งเหล่านี้เจอได้อย่างไรหรือ? สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถถูกชำแหละและพลิกแผ่นดินหาจนเจอด้วยเรื่องราวเพียงหนึ่งหรือสองเรื่องได้ หลายครั้งหลายคราวหลังจากที่เจ้าทำบางสิ่งบางอย่างแล้วเสร็จ เจ้าก็ยังคงไม่ได้มาถึงความเข้าใจหนึ่งเลย อาจสามารถใช้เวลาสามถึงห้าปีกว่าที่เจ้าจะมีความตระหนักหรือความเข้าใจแม้เสี้ยวเล็กๆ สักเสี้ยวหนึ่ง ดังนั้นในหลายสถานการณ์ เจ้าต้องทบทวนตัวเองและมารู้จักตัวเอง เจ้าต้องขุดลึกลงไปและชำแหละตัวเองตามพระวจนะของพระเจ้า เพื่อจะได้เห็นผลลัพธ์ขึ้นมาบ้าง ขณะที่ความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับความจริงทั้งหลายเติบโตลุ่มลึกมากขึ้นทุกที เจ้าก็จะค่อยๆ มารู้จักธรรมชาติและแก่นแท้ของตัวเจ้าเองโดยผ่านทางการทบทวนตัวเองและความรู้จักตัวเอง
การที่จะรู้จักธรรมชาติของเจ้านั้น เจ้าต้องมีความเข้าใจในธรรมชาติของตนด้วยการทำสิ่งต่างๆ สักสองสามอย่าง สิ่งแรกก็คือ เจ้าต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าชอบ นี่มิใช่อ้างอิงถึงสิ่งที่เจ้าชอบกินหรือชอบสวมใส่ แต่ในทางกลับกัน นั่นหมายถึงสิ่งประเภททั้งหลายที่เจ้าชื่นชม สิ่งทั้งหลายที่เจ้าริษยา สิ่งทั้งหลายที่เจ้าเคารพบูชา สิ่งทั้งหลายที่เจ้าแสวงหา และสิ่งทั้งหลายที่เจ้าให้ความสนใจในหัวใจของเจ้า ชนิดของผู้คนที่เจ้าชื่นชมในการเข้ามาติดต่อสัมพันธ์ด้วย และชนิดของผู้คนที่เจ้าเลื่อมใสและหลงใหลได้ปลื้มอยู่ในหัวใจ ตัวอย่างเช่น ผู้คนส่วนใหญ่ชอบผู้คนที่มีจุดยืนยิ่งใหญ่ ผู้คนซึ่งมีความงามสง่าอยู่ในกิริยาท่าทางและวาทะของพวกเขา หรือชอบพวกที่พูดคำยกยอแบบมีวาทศิลป์ หรือพวกที่แสร้งสวมบทบาท ที่พาดพิงถึงไปก่อนหน้านั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้คนใดที่พวกเขาชอบมีปฏิกิริยาด้วย สำหรับสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนชื่นชมนั้น สิ่งเหล่านี้รวมไปถึงการเต็มใจทำสิ่งเฉพาะบางอย่างที่ทำได้ง่ายดาย การชื่นชมในสิ่งทั้งหลายที่ผู้อื่นคิดว่าดี และที่คงจะเป็นเหตุให้ผู้คนขับร้องคำสรรเสริญและให้คำชม ในธรรมชาติทั้งหลายของผู้คนนั้นมีคุณลักษณะเฉพาะธรรมดาทั่วไปของสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาชอบอยู่ นั่นก็คือ พวกเขาชอบผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่ผู้อื่นรู้สึกอิจฉาโดยเนื่องมาจากรูปลักษณ์ภายนอก พวกเขาชอบผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่ดูสวยงามและหรูหรายิ่ง และพวกเขาชอบผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่ทำให้ผู้อื่นเคารพบูชาพวกเขา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่ผู้คนชื่นชอบนั้นยิ่งใหญ่ ละลานตา งามหรู และโอฬาร ผู้คนล้วนเคารพบูชาสิ่งเหล่านี้ สามารถเห็นได้ว่า ผู้คนไม่ครองความจริงอันใดเลย ทั้งพวกเขายังไม่มีสภาพเสมือนมนุษย์แท้อีกด้วย ไม่มีนัยสำคัญแม้ระดับน้อยนิดที่สุดอยู่ในการเคารพบูชาสิ่งเหล่านี้ ทว่าผู้คนก็ยังชอบสิ่งเหล่านั้น สิ่งเหล่านี้ที่ผู้คนชอบดูเหมือนว่าดีเป็นพิเศษสำหรับพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้า และเป็นสิ่งที่ผู้คนเต็มใจที่จะไล่ตามไขว่คว้าเป็นพิเศษ… สิ่งที่ผู้คนไล่ตามไขว่คว้าและโหยหานั้นเป็นของกระแสนิยมทางโลก สิ่งเหล่านี้เป็นของซาตานและพวกมาร พระเจ้าทรงรังเกียจสิ่งเหล่านี้ และสิ่งเหล่านี้ก็ไร้ซึ่งความจริงใดๆ สิ่งทั้งหลายที่ผู้คนโน้มเอียงที่จะโหยหานี้เปิดโอกาสให้ค้นพบธรรมชาติและแก่นแท้ของพวกเขา ความเลือกชอบของผู้คนมองเห็นได้ในหนทางที่พวกเขาแต่งกาย ผู้คนบางคนเต็มใจที่จะสวมเสื้อผ้าที่ดึงดูดความสนใจหลากสีสัน หรือชุดที่แปลกประหลาด พวกเขาพร้อมที่จะสวมใส่เครื่องประดับที่ไม่มีใครอื่นสวมใส่มาก่อน และพวกเขารักสิ่งทั้งหลายที่สามารถดึงดูดเพศตรงข้าม การที่พวกเขาสวมใส่เสื้อผ้าและเครื่องประดับเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงความเลือกชอบที่พวกเขามีให้กับสิ่งเหล่านี้ในชีวิตของพวกเขาและลึกลงไปภายในหัวใจของพวกเขา สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาชอบไม่ได้มีเกียรติหรือว่าดี ไม่ใช่สิ่งที่บุคคลปกติควรไล่ตามเสาะหา ในความเสน่หาที่พวกเขามีต่อสิ่งเหล่านี้มีความไม่ชอบธรรมอยู่ ทัศนะของพวกเขาเหมือนกับทัศนะของผู้คนทางโลกโดยแท้ คนเราไม่อาจมองเห็นได้ว่ามีส่วนใดของการนี้ที่เชื่อมโยงกับความจริง เพราะฉะนั้น สิ่งที่เจ้าชอบ สิ่งที่เจ้ามุ่งเน้น สิ่งที่เจ้าเคารพบูชา สิ่งที่เจ้าอิจฉา และสิ่งที่เจ้าคิดในหัวใจของเจ้าทุกวันล้วนแล้วแต่เป็นตัวแทนธรรมชาติของเจ้า ความชอบที่เจ้ามีต่อสิ่งที่เป็นของทางโลกเหล่านี้เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าธรรมชาติของเจ้าชื่นชอบความไม่ชอบธรรม และในสถานการณ์ที่รุนแรง ธรรมชาติของเจ้านั้นชั่วและไม่สามารถเยียวยารักษาได้ เจ้าควรชำแหละธรรมชาติของเจ้าในหนทางนี้คือ จงตรวจสอบว่าเจ้าชื่นชอบสิ่งใดและเจ้าละทิ้งสิ่งใดในชีวิตของเจ้า เจ้าอาจจะดีต่อใครบางคนเป็นครั้งคราว แต่นี่ไม่ได้พิสูจน์ว่าเจ้าชื่นชอบพวกเขา แน่นอนว่าสิ่งที่เจ้าชื่นชอบอย่างแท้จริงก็คือสิ่งที่อยู่ในธรรมชาติของเจ้า ต่อให้กระดูกของเจ้าหัก เจ้าก็คงจะยังคงชื่นชมมันและไม่มีวันจะสามารถละทิ้งมันได้ นี่ไม่ง่ายเลยที่จะเปลี่ยนแปลง จงดูการหาคู่เป็นตัวอย่าง ผู้คนแสวงหาผู้คนจำพวกเดียวกับตน หากผู้หญิงคนหนึ่งตกหลุมรักกับใครบางคนจริงๆ เช่นนั้นแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถหยุดเธอได้ ต่อให้ขาทั้งสองของเธอถูกหัก เธอก็คงจะยังคงต้องการอยู่กับเขา เธอก็คงจะต้องการสมรสกับเขาต่อให้นั่นหมายถึงการที่เธอต้องตาย นี่สามารถเป็นไปได้อย่างไรกัน? นี่เป็นเพราะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อยู่ลึกลงไปในกระดูกของผู้คน ลึกลงไปในหัวใจของพวกเขา ต่อให้บุคคลหนึ่งตายไป ดวงจิตของพวกเขาก็จะยังคงชอบสิ่งเดิมๆ เหล่านี้คือสิ่งที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ และสิ่งเหล่านี้เป็นตัวแทนแก่นแท้ของบุคคล สิ่งทั้งหลายที่ผู้คนชื่นชอบบรรจุไปด้วยความไม่ชอบธรรมอยู่บ้าง บางคนก็ชัดเจนในความชื่นชอบของพวกเขาที่มีต่อสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ในขณะที่บางคนไม่ชัดเจน บางคนมีความชอบอย่างแรงกล้าต่อสิ่งเหล่านั้น ในขณะที่คนอื่นๆ ไม่มี ผู้คนบางคนมีการควบคุมตัวเอง ในขณะที่คนอื่นๆ ไม่สามารถควบคุมตัวพวกเขาเองได้ ผู้คนบางคนมีแนวโน้มที่จะจมจ่อมอยู่ในสิ่งทั้งหลายที่มืดมิดและชั่ว ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ครองชีวิต ผู้คนบางคนสามารถเอาชนะการทดลองของเนื้อหนังและไม่ถูกสิ่งเหล่านั้นยึดครองหรือบีบคั้น ซึ่งพิสูจน์ว่าพวกเขามีวุฒิภาวะอยู่บ้างและอุปนิสัยของพวกเขาก็เปลี่ยนไปบ้างแล้ว ผู้คนบางคนเข้าใจความจริงบางอย่างและรู้สึกว่าพวกเขามีชีวิตและรู้สึกว่าพวกเขารักพระเจ้า แต่แท้จริงแล้ว การนั้นยังคงเร็วเกินไป และการก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยของคนเราไม่ใช่เรื่องที่เรียบง่าย ธรรมชาติและแก่นแท้ของบุคคลผู้หนึ่งเข้าใจได้ง่ายหรือไม่? ต่อให้ใครบางคนพอจะเข้าใจอยู่บ้าง พวกเขาก็ต้องก้าวผ่านเหตุการณ์พลิกผันมากมายเพื่อที่จะสัมฤทธิ์ความเข้าใจนั้น และถึงจะมีความเข้าใจอยู่บ้าง การเปลี่ยนแปลงก็ไม่ง่าย เหล่านี้ล้วนเป็นความลำบากยากเย็นที่ผู้คนต้องเผชิญ และผู้คนก็ไม่สามารถรู้จักตนเองได้หากปราศจากเจตจำนงที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ว่าผู้คน เรื่องราว หรือสิ่งของทั้งหลายรอบตัวเจ้าอาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และไม่ว่าโลกอาจพลิกกลับหัวอย่างไร หากความจริงกำลังนำทางเจ้าจากภายใน หากสิ่งนั้นได้ฝังรากอยู่ภายในตัวเจ้าแล้ว และพระวจนะของพระเจ้านำทางชีวิตของเจ้า สิ่งที่เจ้าเลือกชอบ ประสบการณ์ และการดำรงอยู่ของเจ้า ณ จุดนั้นเจ้าย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างแท้จริง ปัจจุบันนี้สิ่งที่ผู้คนเรียกว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นเพียงการให้ความร่วมมือเล็กน้อย ฝืนใจยอมรับการถูกตัดแต่งและจัดการได้ ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างแข็งขัน และพอจะมีความกระตือรือร้นและความเชื่ออยู่บ้างเท่านั้น แต่นี่ไม่สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย และไม่ได้พิสูจน์ว่าผู้คนมีชีวิต นี่เป็นเพียงสิ่งที่ผู้คนเลือกชอบและความโน้มเอียงของผู้คน—ไม่มีสิ่งใดมากกว่านั้น
เพื่อที่จะเข้าใจธรรมชาติทั้งหลาย นอกเหนือจากการค้นหาสิ่งที่ผู้คนชื่นชอบในธรรมชาติของพวกเขาแล้ว อีกหลายแง่มุมที่สำคัญที่สุดและเกี่ยวข้องกับธรรมชาติของพวกเขาก็จำเป็นต้องถูกขุดหาขึ้นมาเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ทัศนคติของผู้คนเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลาย วิธีการและเป้าหมายในชีวิตของผู้คน คุณค่าชีวิตและทัศนะที่ผู้คนมีต่อชีวิต ตลอดจนมุมมองและแนวคิดเกี่ยวกับสิ่งทั้งปวงที่สัมพันธ์กับความจริง เหล่านี้คือสรรพสิ่งทั้งมวลลึกลงไปภายในดวงจิตของผู้คน และสิ่งเหล่านี้มีสัมพันธภาพโดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงของอุปนิสัย เช่นนั้นแล้ว มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามมีทัศนะเช่นไรต่อชีวิต? สามารถกล่าวได้ดังนี้ว่า “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” ผู้คนทั้งปวงดำรงชีวิตเพื่อตัวพวกเขาเอง พูดตามตรงก็คือพวกเขากำลังดำรงชีวิตเพื่อเนื้อหนัง พวกเขากำลังดำรงชีวิตเพียงเพื่อใส่อาหารเข้าในปากของพวกเขาเท่านั้น การดำรงอยู่แบบนี้แตกต่างจากการดำรงอยู่ของสัตว์ทั้งหลายอย่างไร? ไม่มีคุณค่าอันใดเลยในการดำรงชีวิตเช่นนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงความหมายอันใด ทัศนะที่คนเรามีต่อชีวิตเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เจ้าพึ่งพาเพื่อการดำรงชีวิตในโลก สิ่งที่เจ้าดำรงชีวิตเพื่อมัน และวิธีที่เจ้าดำรงชีวิต—และเหล่านี้คือสิ่งทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับแก่นแท้ของธรรมชาติแบบมนุษย์ โดยผ่านทางการชำแหละธรรมชาติของผู้คนนั้น เจ้าจะมองเห็นว่าผู้คนล้วนต้านทานพระเจ้าทั้งสิ้น พวกเขาล้วนเป็นเหล่ามาร และไม่มีบุคคลที่ดีอย่างจริงแท้เลย มีเพียงโดยการชำแหละธรรมชาติของผู้คนเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถรู้จักความเสื่อมทรามและแก่นแท้ของมนุษย์ได้อย่างแท้จริง และเข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้วผู้คนเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งใด ผู้คนขาดพร่องสิ่งใดอย่างแท้จริง พวกเขาควรมีสิ่งใดไว้ติดตัว และพวกเขาควรดำรงชีวิตไปตามสภาพเสมือนของมนุษย์อย่างไร การชำแหละธรรมชาติของมนุษย์อย่างแท้จริงไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่สามารถทำได้โดยปราศจากการได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าหรือการมีประสบการณ์ที่แท้จริง
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของคนเรา
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 560
จะรู้จักธรรมชาติของคนเราได้อย่างไร? สิ่งใดประกอบกันขึ้นเป็นธรรมชาติของบุคคล? เจ้ารู้จักแต่ข้อบกพร่อง ข้อเสีย เจตนา มโนคติอันหลงผิด ความคิดลบ และความไม่เชื่อฟังของมนุษย์ แต่เจ้าไม่สามารถค้นพบสิ่งทั้งหลายที่อยู่ในธรรมชาติของมนุษย์ เจ้ารู้เพียงพื้นผิวชั้นนอกเท่านั้น ไม่สามารถค้นพบต้นกำเนิดของมัน และนี่ไม่ก่อให้เกิดการรู้จักธรรมชาติของมนุษย์ บางคนยอมรับความขาดตกบกพร่องและความคิดลบของตนเอง โดยกล่าวว่า “ฉันเข้าใจธรรมชาติของฉัน ดูสิ ฉันยอมรับรู้ความโอหังของตัวฉัน นั่นไม่ใช่การรู้จักธรรมชาติของตนเองหรอกหรือ?” ความโอหังเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของมนุษย์ นั่นแท้จริงมาก อย่างไรก็ตาม การรับรู้เรื่องนี้ในความหมายเชิงคำสอนย่อมไม่เพียงพอ การรู้จักธรรมชาติของคนเราเองคืออะไรหรือ? จะสามารถรู้จักการนั้นได้อย่างไร? จะรู้จักการนั้นจากแง่มุมใด? ควรรับรู้ธรรมชาติของคนเราเป็นการเฉพาะจากสิ่งที่คนเราเปิดเผยอย่างไร? ก่อนอื่น เจ้าจะมองเห็นธรรมชาติของคนคนหนึ่งได้โดยผ่านทางความสนใจของพวกเขา ตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนมีความชื่นชูเป็นพิเศษในตัวคนดังที่มีผู้นับหน้าถือตา บ้างก็รักพวกนักร้องหรือดาราภาพยนตร์เป็นพิเศษ และบ้างก็มีความชื่นชอบเป็นพิเศษในการเล่นชิงไหวชิงพริบ จากความชอบเหล่านี้ พวกเราสามารถมองเห็นว่าอะไรคือธรรมชาติของผู้คนเหล่านี้ ต่อไปนี้คือตัวอย่างง่ายๆ กล่าวคือ บางคนอาจจะหลงใหลได้ปลื้มนักร้องบางคน พวกเขาหลงใหลได้ปลื้มไปถึงขั้นใด? ถึงขั้นที่พวกเขาหมกมุ่นอยู่กับทุกการเคลื่อนไหว รอยยิ้ม และคำพูดของนักร้องคนนี้ พวกเขาฝังใจอยู่กับนักร้องคนนี้และถึงกับถ่ายรูปทุกสิ่งทุกอย่างที่นักร้องสวมใส่ แล้วก็เลียนแบบสิ่งเหล่านั้น การหลงใหลได้ปลื้มบุคคลหนึ่งในระดับนี้แสดงให้เห็นปัญหาใด? แสดงให้เห็นว่าบุคคลเช่นนี้มีแต่เรื่องของผู้ไม่เชื่ออยู่ในหัวใจของพวกเขาเท่านั้น และแสดงว่าพวกเขาไม่มีความจริง พวกเขาไม่มีสิ่งที่เป็นบวก และพวกเขายิ่งไม่มีพระเจ้าในหัวใจของตน สิ่งต่างๆ ที่คนคนนี้นึกถึง รัก และแสวงหานั้นเป็นของซาตานทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้ยึดครองหัวใจของคนคนนี้ ซึ่งถูกยกให้กับสิ่งเหล่านี้ไปแล้ว พวกเจ้าบอกได้หรือไม่ว่าแก่นแท้และธรรมชาติของพวกเขาคืออะไร? หากรักบางสิ่งอย่างสุดขั้ว เช่นนั้นแล้ว สิ่งนั้นสามารถกลายมาเป็นชีวิตของใครบางคนและยึดครองหัวใจของพวกเขาได้ อันเป็นการพิสูจน์อย่างเต็มที่ว่า บุคคลนั้นเป็นผู้เคารพบูชาบุคคลต้นแบบคนหนึ่งผู้ซึ่งไม่ต้องการพระเจ้า และกลับรักมารแทน เพราะฉะนั้นจึงสามารถสรุปได้ว่า ธรรมชาติของบุคคลเช่นนั้นเป็นธรรมชาติที่รักและเคารพบูชามาร ไม่รักความจริง และไม่ต้องการพระเจ้า นี่ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องในการให้ทรรศนะต่อธรรมชาติของใครบางคนหรือ? นี่คือหนทางที่ถูกต้องอย่างครบบริบูรณ์ นี่คือวิธีที่ควรใช้ชำแหละธรรมชาติของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนชื่นชูเปาโลมากเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาชอบที่จะออกไปข้างนอกและกล่าวสุนทรพจน์และทำงาน พวกเขาชอบที่จะเข้าร่วมการชุมนุมและเทศนา พวกเขาชอบให้ผู้คนฟังพวกเขา เคารพบูชาพวกเขา และโคจรอยู่รอบตัวพวกเขา พวกเขาชอบที่จะมีที่ทางในหัวใจของผู้อื่น และพวกเขาซาบซึ้งเมื่อผู้อื่นให้คุณค่าภาพลักษณ์ที่พวกเขานำเสนอ พวกเราลองมาวิเคราะห์ธรรมชาติของพวกเขาจากพฤติกรรมเหล่านี้กันเถิด สิ่งใดคือธรรมชาติของพวกเขา? หากพวกเขาประพฤติเช่นนี้จริง เช่นนั้นแล้วการแสดงให้เห็นว่าพวกเขาโอหังและทะนงตนก็ย่อมเพียงพอ พวกเขาไม่นมัสการพระเจ้าแต่อย่างใดเลย พวกเขาแสวงหาสถานะที่สูงขึ้นและปรารถนาที่จะมีสิทธิอำนาจเหนือผู้อื่น ที่จะครองพวกเขา และมีที่ทางในหัวใจของพวกเขา นี่คือภาพลักษณ์ดั้งเดิมของซาตาน แง่มุมที่โดดเด่นของธรรมชาติของพวกเขาก็คือความโอหังและความทะนงตน ความไม่เต็มใจที่จะนมัสการพระเจ้า และความปรารถนาที่จะได้รับการเคารพบูชาจากผู้อื่น พฤติกรรมเช่นนั้นสามารถให้ทรรศนะที่ชัดเจนมากแก่เจ้าในเรื่องธรรมชาติของพวกเขา ตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนชอบเอาเปรียบในเรื่องต่างๆ อย่างไม่เป็นธรรมบนความลำบากของผู้อื่นโดยแท้ และผู้คนเหล่านี้พยายามบรรลุผลประโยชน์ของพวกเขาเองในทุกเรื่อง สิ่งใดก็ตามที่พวกเขาทำต้องให้ผลประโยชน์ต่อพวกเขา หรือมิฉะนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่ทำสิ่งนั้น พวกเขาไม่วิตกกังวลเกี่ยวกับสิ่งใดเลยเว้นเสียแต่ว่าสิ่งนั้นจะให้ข้อได้เปรียบบางอย่างแก่พวกเขา และย่อมมีสิ่งจูงใจแอบแฝงเบื้องหลังการกระทำของพวกเขาเสมอ พวกเขาพูดในทางที่ดีถึงใครก็ตามที่ให้ผลประโยชน์ต่อพวกเขา และพวกเขาก็ส่งเสริมใครก็ตามที่ยกยอปอปั้นพวกเขา แม้ในคราที่บรรดาคนโปรดของพวกเขามีปัญหา พวกเขาก็จะพูดว่าผู้คนเหล่านั้นถูกและพยายามอย่างมากที่จะปกป้องและแก้ตัวแทนคนเหล่านั้น ผู้คนเช่นนี้มีธรรมชาติใดหรือ? เจ้าสามารถมองเห็นธรรมชาติของพวกเขาได้อย่างชัดเจนยิ่งจากพฤติกรรมเหล่านี้ พวกเขาเพียรพยายามที่จะฉกฉวยข้อได้เปรียบอย่างไม่เป็นธรรมผ่านทางการกระทำของตน โดยทำพฤติกรรมเชิงแลกเปลี่ยนในทุกสถานการณ์อยู่เนืองนิตย์ และเจ้าสามารถมั่นใจได้ว่าธรรมชาติของพวกเขาคือธรรมชาติของการละโมบผลกำไรโดยสุดใจ พวกเขาหาประโยชน์ให้แก่ตัวพวกเขาเองในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ พวกเขาจะไม่ตื่นแต่เช้าเว้นเสียแต่ว่านั่นจะให้ผลประโยชน์ต่อพวกเขาที่จะทำเช่นนั้น พวกเขาเป็นคนที่เห็นแก่ตัวที่สุด และพวกเขาก็ไม่รู้จักพอโดยสิ้นเชิง ธรรมชาติของพวกเขาจึงแสดงออกผ่านทางความรักที่พวกเขามีต่อผลกำไรและการไม่มีความรักให้กับความจริง พวกผู้ชายบางคนหลงเสน่ห์ผู้หญิง เที่ยวเล่นกับพวกนางอยู่เสมอในทุกที่ที่พวกนางไป ผู้หญิงสวยเป็นเป้าหมายของการรักใคร่เอ็นดูของผู้คนเช่นนั้นและถือครองความชื่นชมสูงสุดในหัวใจของพวกเขา พวกเขาเต็มใจที่จะมอบชีวิตของพวกเขาและพลีอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อผู้หญิงสวย ผู้หญิงคือสิ่งที่เติมเต็มหัวใจของพวกเขา อะไรคือธรรมชาติของพวกผู้ชายเหล่านี้? ธรรมชาติของพวกเขาคือการรักผู้หญิงสวย การบูชาผู้หญิงเหล่านั้น และการรักความชั่ว พวกเขาจึงเป็นผู้มักมากในกามที่มีธรรมชาติอันชั่วและโลภ เหตุใดเราจึงกล่าวว่านี่คือธรรมชาติของพวกเขา? การกระทำของพวกเขาเปิดเผยธรรมชาติที่โลภ พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ใช่แค่การฝ่าฝืนเป็นครั้งคราว อีกทั้งผู้คนเช่นนั้นไม่ใช่เพียงแย่กว่าผู้คนธรรมดาเท่านั้น แต่พวกเขากลับยิ่งถูกสิ่งเหล่านี้ครอบงำอย่างสิ้นเชิง ซึ่งได้กลายเป็นธรรมชาติและแก่นแท้จริงๆ ของพวกเขา ด้วยเหตุนี้ สิ่งเหล่านี้จึงได้กลายเป็นการสำแดงถึงธรรมชาติของพวกเขา ส่วนประกอบของธรรมชาติของบุคคลคนหนึ่งเปิดเผยตัวมันเองออกมาอยู่เป็นนิตย์ อะไรก็ตามที่บุคคลทำ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตาม สามารถเปิดเผยธรรมชาติของบุคคลนั้นได้ ผู้คนมีเหตุจูงใจและจุดประสงค์ของพวกเขาเองสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ และไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมการต้อนรับขับสู้ การประกาศข่าวประเสริฐ หรืองานประเภทอื่นใด พวกเขาสามารถเปิดเผยส่วนทั้งหลายของธรรมชาติของพวกเขาออกมาโดยปราศจากความรู้สึกตัวอันใดถึงธรรมชาตินั้น เพราะธรรมชาติของคนคนหนึ่งก็คือชีวิตของพวกเขา และผู้คนถูกขับเคลื่อนโดยธรรมชาติของพวกเขาเป็นเวลานานตราบที่พวกเขามีชีวิตอยู่ ธรรมชาติของบุคคลคนหนึ่งไม่ได้ถูกเปิดเผยแค่ในบางโอกาสหรือโดยเหตุบังเอิญ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ธรรมชาติของบุคคลหนึ่งสามารถเป็นตัวแทนแก่นแท้ของบุคคลนั้นได้อย่างบริบูรณ์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่หลั่งไหลออกมาจากภายในกระดูกและเลือดของผู้คนแสดงถึงธรรมชาติและชีวิตของพวกเขา ผู้คนบางคนรักสตรีที่สวยงาม ผู้อื่นรักเงินทอง บ้างก็รักสถานะโดยเฉพาะ บ้างก็ให้ค่าภาพพจน์และภาพลักษณ์ส่วนบุคคลของพวกเขาเป็นพิเศษ บ้างก็รักหรือสักการบูชารูปเคารพโดยเฉพาะ และผู้คนบางคนโอหังและทะนงตนเป็นพิเศษ โดยไม่ยอมอ่อนข้อให้ผู้ใดเลยในหัวใจของพวกเขาและเพียรพยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งสถานะ พวกเขาชอบที่จะโดดเด่นจากผู้อื่นและมีสิทธิอำนาจเหนือพวกเขาเหล่านั้น มีความหลากหลายอยู่ในธรรมชาติที่แตกต่างกัน ธรรมชาติในหมู่ผู้คนจึงแตกต่างกันได้ แต่องค์ประกอบทั่วไปของพวกเขาคือการต้านทานและการทรยศพระเจ้า พวกเขาล้วนเหมือนกันทั้งหมดในหนทางนั้น
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 561
มวลมนุษย์ทั้งปวงได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม และธรรมชาติของมนุษย์ก็คือการทรยศพระเจ้า อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางพวกมนุษย์ผู้ที่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม มีบางคนที่สามารถนบนอบต่อพระราชกิจของพระเจ้าและยอมรับความจริงได้ นี่คือผู้คนที่สามารถได้มาซึ่งความจริงและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย ผู้คนบางคนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่ไหลไปตามกระแสแทน พวกเขาจะเชื่อฟังและทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าบอกให้พวกเขาทำ พวกเขาสามารถละทิ้งสิ่งต่างๆ และสละตนเอง และพวกเขาสามารถสู้ทนความทุกข์อันใดก็ได้ ผู้คนเช่นนี้มีมโนธรรมและเหตุผลน้อยนิด และพวกเขามีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดและมีชีวิตต่อไป แต่อุปนิสัยของพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลง เพราะพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และพวกเขาพอใจแต่กับการเข้าใจคำสอนเท่านั้น พวกเขาไม่กล่าวหรือทำสิ่งที่ฝืนละเมิดมโนธรรม พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างจริงใจ และสามารถยอมรับการสามัคคีธรรมถึงความจริงที่เกี่ยวกับปัญหาใดๆ อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้พยายามอย่างจริงจังที่จะแสวงหาความจริง จิตใจของพวกเขาสับสน และพวกเขาจะไม่มีวันสามารถเข้าใจแก่นแท้ของความจริง จึงเป็นไปไม่ได้ที่อุปนิสัยของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลง หากเจ้าปรารถนาที่จะได้รับการชำระให้สะอาดจากความเสื่อมทราม และก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของชีวิตเจ้าแล้วไซร้ เจ้าก็ต้องมีความรักหนึ่งให้กับความจริงและมีความสามารถที่จะยอมรับความจริง การยอมรับความจริงหมายถึงสิ่งใด? การยอมรับความจริงหมายความว่าไม่ว่าเจ้าจะมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามจำพวกใด หรือมีพิษใดของพญานาคใหญ่สีแดง—พิษของซาตาน—อยู่ในธรรมชาติของเจ้า เมื่อพระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ออกมา เจ้าก็ควรยอมรับสิ่งเหล่านี้และนบนอบ เจ้าไม่สามารถมีตัวเลือกที่แตกต่าง และเจ้าควรรู้จักตนเองตามพระวจนะของพระเจ้า นี่หมายถึงการสามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้าและยอมรับความจริง ไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสสิ่งใด ไม่ว่าถ้อยดำรัสของพระองค์จะรุนแรงเพียงใด และไม่ว่าพระองค์จะใช้พระวจนะใด เจ้าก็สามารถยอมรับพระวจนะเหล่านั้นได้ตราบที่สิ่งที่พระองค์ตรัสนั้นเป็นความจริง และเจ้าสามารถยอมรับรู้พระวจนะเหล่านั้นได้ตราบที่พระวจนะเหล่านั้นคล้อยตามความจริง เจ้าสามารถนบนอบต่อพระวจนะของพระเจ้าโดยไม่คำนึงถึงว่าเจ้าเข้าใจพระวจนะเหล่านั้นลึกซึ้งเพียงใด และเจ้ายอมรับและนบนอบต่อความสว่างที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปิดเผยและที่บรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้าได้สามัคคีธรรมกัน เมื่อบุคคลดังกล่าวได้ไล่ตามเสาะหาความจริงไปจนถึงจุดหนึ่ง พวกเขาย่อมสามารถได้มาซึ่งความจริงและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา ต่อให้ผู้คนที่ไม่รักความจริงมีสภาวะความเป็นมนุษย์เล็กน้อย สามารถทำความดีอยู่บ้าง สามารถละทิ้งและสละเพื่อพระเจ้า พวกเขาก็สับสนเกี่ยวกับความจริงและไม่จริงจังกับความจริง ดังนั้นอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาจึงไม่เคยเปลี่ยนแปลง เจ้าสามารถมองเห็นได้ว่าเปโตรมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่คล้ายคลึงกับสาวกคนอื่น แต่เขาโดดเด่นเพราะเขาไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างกระตือรือร้น ไม่ว่าพระเยซูตรัสสิ่งใด เขาก็ไตร่ตรองสิ่งนั้นอย่างจริงจังตั้งใจ พระเยซูตรัสถามว่า “ซีโมนบุตรโยนาห์เอ๋ย เจ้ารักเราไหม?” เปโตรตอบอย่างซื่อสัตย์ว่า “ข้าพระองค์รักพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์เท่านั้น ทว่าข้าพระองค์ไม่ได้รักองค์พระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลก” ภายหลังเขาได้เข้าใจ โดยคิดว่า “นี่ไม่ถูกต้อง พระเจ้าบนแผ่นดินโลกทรงเป็นพระเจ้าในสวรรค์ นั่นไม่ใช่พระเจ้าองค์เดียวกันทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดินโลกหรอกหรือ? หากฉันรักพระเจ้าในสวรรค์เท่านั้น เช่นนั้นแล้ว ความรักของฉันก็ไม่จริง ฉันต้องรักพระเจ้าบนแผ่นดินโลก เพราะเมื่อนั้นเท่านั้นความรักของฉันจึงจะเป็นจริง” ด้วยเหตุนี้ เปโตรจึงได้มาเข้าใจความหมายที่แท้จริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าจากสิ่งที่พระเยซูตรัสถาม การที่จะรักพระเจ้า และเพื่อที่ความรักนี้จะเป็นจริง คนเราต้องรักพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์บนแผ่นดินโลก การรักพระเจ้าที่คลุมเครือและไม่ปรากฏแก่ตานั้นทั้งไม่เป็นจริงและไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ในขณะที่การรักพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงและทรงปรากฏแก่ตาคือความจริง จากพระวจนะของพระเยซู เปโตรได้รับความจริงและความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า เป็นที่ชัดเจนว่า การเชื่อในพระเจ้าของเปโตรได้เพียงมุ่งเน้นไปที่การไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น ในท้ายที่สุด เขาได้สัมฤทธิ์ความรักของพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริง—พระเจ้าบนแผ่นดินโลก เปโตรจริงจังตั้งใจเป็นพิเศษในการไล่ตามเสาะหาความจริงของเขา แต่ละครั้งที่พระเยซูได้ทรงให้คำปรึกษาแก่เขา เขาไตร่ตรองพระวจนะของพระเยซูอย่างจริงจังตั้งใจ บางทีเขาอาจจะได้ไตร่ตรองเป็นเวลาหลายเดือน หนึ่งปี หรือแม้กระทั่งหลายปีก่อนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะได้ทรงให้ความรู้แจ้งแก่เขา และเขาได้เข้าใจแก่นแท้แห่งพระวจนะของพระเจ้า ในหนทางนี้ เปโตรจึงเข้าสู่ความจริง และเมื่อเขาเข้าสู่ความจริง อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเขาก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงและเริ่มใหม่ หากบุคคลหนึ่งไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาจะไม่มีวันเข้าใจความจริง เจ้าสามารถพูดถึงตัวอักษรและคำสอนทั้งหลายนับหมื่นครั้ง แต่สิ่งเหล่านั้นจะยังคงเป็นแค่ตัวอักษรและคำสอนทั้งหลาย ผู้คนบางคนแค่พูดว่า “พระคริสต์ทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต” ต่อให้เจ้าทวนซ้ำคำพูดเหล่านี้นับหมื่นครั้ง นั่นก็จะยังคงไร้ประโยชน์อยู่ดี เจ้าไม่มีความเข้าใจในความหมายของถ้อยคำเหล่านี้ เหตุใดเล่าจึงกล่าวกันว่า พระคริสต์ทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต? เจ้าสามารถแสดงชัดถึงความรู้ที่เจ้าได้รับเกี่ยวกับการนี้จากประสบการณ์ได้หรือไม่? เจ้าได้เข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง หนทาง และชีวิตหรือยัง? พระเจ้าได้ดำรัสพระวจนะของพระองค์เพื่อให้พวกเจ้าสามารถได้รับประสบการณ์กับพระวจนะเหล่านั้นและได้รับความรู้ การพูดถึงตัวอักษรและคำสอนเท่านั้นย่อมไร้ประโยชน์ เจ้าสามารถรู้จักตัวเจ้าเองได้เฉพาะเมื่อเจ้าได้เข้าใจและเข้าสู่พระวจนะของพระเจ้าแล้วเท่านั้น หากเจ้าไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่สามารถรู้จักตัวเจ้าเองได้ เจ้าจะมีวิจารณญาณได้เฉพาะเมื่อเจ้าเข้าใจความจริงเท่านั้น หากไม่เข้าใจความจริง เจ้าย่อมจะใช้วิจารณญาณแยกแยะไม่ได้ เจ้าสามารถมองเห็นเรื่องราวทั้งหลายได้อย่างชัดเจนเฉพาะเมื่อเจ้าเข้าใจความจริงเท่านั้น หากไม่เข้าใจความจริง เจ้าก็ไม่สามารถมองเห็นเรื่องราวได้อย่างชัดเจน เจ้าสามารถรู้จักตัวเจ้าเองได้เฉพาะเมื่อเจ้าเข้าใจความจริงเท่านั้น หากว่าไม่เข้าใจความจริง เจ้าก็ไม่สามารถรู้จักตัวเจ้าเองได้ อุปนิสัยของเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงได้เฉพาะเมื่อเจ้าได้รับความจริงแล้วเท่านั้น หากปราศจากความจริง อุปนิสัยของเจ้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ มีเพียงหลังจากที่เจ้าได้รับความจริงแล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถรับใช้ได้อย่างสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า หากไม่ได้รับความจริง เจ้าก็ไม่สามารถรับใช้โดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ มีเพียงหลังจากที่เจ้าได้รับความจริงแล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถนมัสการพระเจ้าได้ หากไม่เข้าใจความจริง ต่อให้เจ้านมัสการพระองค์ การนมัสการของเจ้าก็จะเป็นเพียงการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น หากปราศจากความจริง ย่อมไม่มีสิ่งใดที่เจ้าทำที่จะเป็นจริง เมื่อได้รับความจริง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำย่อมเป็นจริง สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการได้รับความจริงจากพระวจนะของพระเจ้า
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 562
การมาสู่ความเข้าใจอันถ่องแท้เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ใช่เรื่องเรียบง่ายเลย จงอย่าคิดแบบนี้เด็ดขาดว่า “ฉันสามารถตีความความหมายตามตัวอักษรของพระวจนะของพระเจ้าได้ และทุกคนกล่าวว่า การตีความของฉันนั้นดี และยกหัวแม่มือให้ ดังนั้นนี่จึงหมายความว่า ฉันเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า” นั่นไม่ใช่แบบเดียวกับการเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าเลย หากเจ้าได้รับความสว่างอยู่บ้างจากภายในถ้อยดำรัสของพระเจ้า และเจ้าได้สำนึกรับรู้หนึ่งของความหมายที่แท้จริงของพระวจนะของพระองค์ และหากเจ้าสามารถแสดงเจตนาเบื้องหลังพระวจนะของพระองค์และผลที่พระวจนะเหล่านั้นจะสัมฤทธิ์ในท้ายที่สุด—หากเจ้ามีความเข้าใจอันชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งทั้งปวงนี้—ก็ย่อมสามารถพิจารณาได้ว่าเจ้ามีความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าในระดับหนึ่ง ด้วยเหตุนั้น การเข้าใจพระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ได้เรียบง่ายอะไรนัก แค่เพราะเจ้าสามารถอธิบายความหมายตามตัวอักษรของพระวจนะของพระเจ้าเป็นภาษาดอกไม้ได้ ไม่ได้หมายความว่าเจ้าเข้าใจพระวจนะเหล่านั้น ไม่สำคัญว่าเจ้าสามารถอธิบายความหมายตามตัวอักษรของพระวจนะเหล่านั้นได้มากเท่าใด การอธิบายของเจ้าก็ยังคงขึ้นอยู่กับจินตนาการของมนุษย์และวิธีคิดแบบมนุษย์อยู่ดี มันช่างไร้ประโยชน์นัก! เจ้าสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างไรกันเล่า? หัวใจสำคัญก็คือการแสวงหาความจริงจากภายในพระวจนะเหล่านั้น เฉพาะในหนทางนี้เท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง พระเจ้าไม่เคยตรัสพระวจนะที่ว่างเปล่า แต่ละประโยคที่พระองค์ดำรัสบรรจุไปด้วยรายละเอียดทั้งหลายที่แน่นอนว่าจะได้รับการเปิดเผยต่อไปในพระวจนะของพระองค์ และรายละเอียดเหล่านั้นอาจได้รับการแสดงออกมาอย่างแตกต่างกัน มนุษย์ไม่สามารถหยั่งลึกในหนทางทั้งหลายที่พระเจ้าทรงแสดงความจริง ถ้อยดำรัสของพระเจ้านั้นลุ่มลึกมากและไม่สามารถหยั่งลึกได้โดยง่ายด้วยการคิดแบบมนุษย์ ผู้คนสามารถค้นพบความหมายทั้งหมดของความจริงในทุกแง่มุมได้อย่างคร่าวๆ ตราบเท่าที่พวกเขาใช้ความพยายาม การประทานความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเพิ่มเติมรายละเอียดที่เหลืออยู่ให้แก่พวกเขาเมื่อพวกเขามีประสบการณ์ต่อไปข้างหน้า ส่วนหนึ่งคือการไตร่ตรองและเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและการแสวงหาเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงด้วยการอ่านพระวจนะเหล่านั้น อีกส่วนหนึ่งก็คือการเข้าใจความหมายในพระวจนะของพระเจ้าโดยผ่านประสบการณ์กับพระวจนะเหล่านั้น และการได้มาซึ่งความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยผ่านทางความก้าวหน้าที่ต่อเนื่องในสองแง่มุมนี้ เจ้าจะสามารถมาเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า หากเจ้าตีความพระวจนะในระดับตัวอักษรของข้อเขียน หรือจากการคิดอ่านและความคิดฝันของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วต่อให้เจ้าอธิบายพระวจนะได้อย่างสละสลวยและคมคาย เจ้าก็ยังคงไม่เข้าใจความจริงอย่างแท้จริง และทั้งหมดยังคงขึ้นอยู่กับการคิดอ่านและความคิดฝันของมนุษย์ นี่ไม่ได้เกิดจากความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้คนหมิ่นเหม่ที่จะตีความพระวจนะของพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตน และพวกเขาอาจถึงกับตีความพระวจนะของพระเจ้าผิดไปจากบริบท ทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะเข้าใจพระเจ้าผิดและตัดสินพระองค์ และนี่ก่อให้เกิดปัญหา เพราะฉะนั้นความจริงส่วนใหญ่จึงมักจะได้รับผ่านทางการทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและการได้รับความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ การสามารถเข้าใจและอธิบายความหมายตามตัวอักษรในพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้หมายความว่าเจ้าได้รับความจริงแล้ว หากการเข้าใจความหมายตามตัวอักษรในพระวจนะของพระเจ้าหมายความว่าเจ้าเข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจำเป็นต้องมีเพียงการศึกษาและความรู้เล็กน้อยเท่านั้น เจ้าจะต้องมีความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปเพื่อเหตุใด? พระราชกิจของพระเจ้าคือบางสิ่งที่ความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์สามารถเข้าใจได้กระนั้นหรือ? เพราะฉะนั้น การเข้าใจความจริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับมโนคติอันหลงผิดหรือความคิดฝันของมนุษย์ เจ้าจำเป็นต้องมีความรู้แจ้ง ความกระจ่าง และการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อที่จะมีประสบการณ์และความรู้ที่เป็นจริง นี่คือกระบวนการของการเข้าใจความจริงและได้รับความจริง และเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นอีกด้วย
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 563
เจ้าเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์อย่างไรหรือ? สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการที่จะหยั่งรู้การนั้นจากมุมมองทางโลกทัศน์ของมนุษย์ ทรรศนะชีวิต และค่านิยมทั้งหลาย พวกที่เป็นมารร้ายล้วนดำรงชีวิตเพื่อตัวพวกเขาเอง โดยหลักแล้วทรรศนะชีวิตและคำคมทั้งหลายของพวกเขามาจากคติพจน์ของซาตาน อาทิ “ทุกคนจงทำเพื่อตนเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารร้ายพาไปตามยถากรรม” “มนุษย์ยอมตายเพื่อทรัพย์สมบัติ เหมือนนกยอมตายเพื่ออาหาร” และตรรกะวิบัติอื่นๆ ในทำนองนี้ คำกล่าวทั้งหมดนี้ของพวกราชามาร พวกผู้ยิ่งใหญ่ และนักปรัชญาทั้งหลายได้กลายมาเป็นชีวิตจริงของมนุษย์ไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำพูดส่วนใหญ่ของขงจื๊อผู้ซึ่งชาวจีนกล่าวขวัญว่าเป็น “ปราชญ์” นั้น ได้กลายมาเป็นชีวิตของมนุษย์ไปแล้ว ทั้งยังมีสุภาษิตที่มีชื่อเสียงของศาสนาพุทธและลัทธิเต๋า และคติพจน์อมตะของพวกบุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงหลากหลายที่ถูกยกมาอ้างบ่อยครั้งอีกเช่นกัน เหล่านี้ล้วนเป็นบทสรุปปรัชญาทั้งหลายของซาตานและธรรมชาติของซาตาน สิ่งเหล่านี้ยังเป็นการแสดงตัวอย่างและคำอธิบายที่ดีที่สุดของธรรมชาติของซาตาน พิษเหล่านี้ที่ถูกซึมซาบเข้าสู่หัวใจของมนุษย์ล้วนมาจากซาตาน และไม่ได้มาจากพระเจ้าแม้แต่น้อย คำพูดฝ่ายผีปีศาจเช่นนั้นอยู่ในการต่อต้านพระวจนะของพระเจ้าโดยตรงเช่นกัน มันชัดเจนอย่างสมบูรณ์ว่า ความเป็นจริงของสิ่งที่เป็นบวกทั้งหลายนั้นล้วนมาจากพระเจ้า และสิ่งทั้งปวงที่เป็นลบซึ่งทำให้มนุษย์ถูกพิษนั้นมาจากซาตาน เพราะฉะนั้น เจ้าสามารถหยั่งรู้ธรรมชาติของบุคคลหนึ่ง และหยั่งรู้ได้ว่าพวกเขาเป็นของใคร โดยดูที่ทรรศนะและค่านิยมที่พวกเขามีต่อชีวิต ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามโดยผ่านทางการศึกษาและอิทธิพลของพวกรัฐบาลแห่งชาติกับของผู้มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่ คำพูดฝ่ายผีปีศาจของพวกเขาได้กลายเป็นชีวิตและธรรมชาติของมนุษย์ไปแล้ว “ทุกคนทำเพื่อตนเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” เป็นหนึ่งคติพจน์เยี่ยงซาตานอันเป็นที่รู้จักกันดีที่ได้ถูกปลูกฝังเข้าไปในทุกคนและนี่ได้กลายเป็นชีวิตของมนุษย์ไปแล้ว ยังมีคำพูดอื่นๆ ของปรัชญาทั้งหลายสำหรับการดำรงชีวิตที่เป็นเหมือนคติพจน์นี้อยู่อีก ซาตานใช้วัฒนธรรมตามประเพณีของแต่ละชนชาติในการให้การศึกษาผู้คน หลอกลวงผู้คน และทำให้ผู้คนเสื่อมทราม เป็นเหตุให้มวลมนุษย์ตกลงไปและถูกกลืนกินโดยนรกขุมลึกแห่งการทำลายล้างซึ่งไร้พรมแดน และสุดท้ายแล้ว ผู้คนก็ถูกพระเจ้าทรงทำลายเพราะพวกเขารับใช้ซาตานและต้านทานพระเจ้า ผู้คนบางคนทำหน้าที่เป็นข้าราชการในสังคมมาหลายทศวรรษ จงจินตนาการถึงการตั้งคำถามต่อไปนี้กับพวกเขาว่า “พวกคุณทำงานได้ดียิ่งในหน้าที่นี้ อะไรหรือคือคติพจน์หลักซึ่งมีชื่อเสียงที่พวกคุณใช้ดำรงชีวิต?” พวกเขาอาจกล่าวว่า “สิ่งเดียวที่ฉันเข้าใจก็คือ ‘ข้าราชการไม่โขกสับพวกที่ให้ของกำนัล และพวกที่ไม่ประจบย่อมไม่สำเร็จลุล่วงอันใดเลย’” นี่คือปรัชญาเยี่ยงซาตานที่พวกเขาใช้เป็นพื้นฐานของอาชีพการงาน คำพูดเหล่านี้มิได้แสดงถึงธรรมชาติของผู้คนเหล่านี้หรอกหรือ? การใช้วิถีทางใดก็ตามอย่างขาดหลักศีลธรรมเพื่อได้มาซึ่งตำแหน่งได้กลายเป็นธรรมชาติของพวกเขา วงการข้าราชการและความสำเร็จในอาชีพการงานคือเป้าหมายของพวกเขา ยังคงมีพิษซาตานอีกมากมายในชีวิต ในการประพฤติปฏิบัติ และพฤติกรรมของผู้คน ตัวอย่างเช่น ปรัชญาทั้งหลายของพวกเขาสำหรับการดำรงชีวิต หนทางของพวกเขาในการทำสิ่งทั้งหลาย และคำคมสารพันล้วนเต็มไปด้วยสารพัดพิษของพญานาคใหญ่สีแดง และทั้งหมดนี้ล้วนมาจากซาตาน ด้วยเหตุนั้น ทุกสรรพสิ่งซึ่งไหลเวียนผ่านกระดูกและเลือดของผู้คนจึงเป็นของซาตาน พวกข้าราชการทั้งหมด พวกที่กุมอำนาจ และพวกที่สำเร็จลุล่วงนั้น มีเส้นทางและความลับในการที่จะประสบความสำเร็จของตัวพวกเขาเอง ความลับทั้งหลายดังกล่าวไม่ใช่เป็นตัวแทนอันสมบูรณ์แบบของธรรมชาติของพวกเขาหรอกหรือ? พวกเขาได้ทำสิ่งใหญ่โตทั้งหลายเช่นนั้นในโลก และไม่มีใครเลยที่สามารถมองทะลุกลอุบายและเล่ห์กลทั้งหลายที่วางอยู่เบื้องหลังพวกเขาได้ นี่ก็แค่แสดงให้เห็นว่าธรรมชาติของพวกเขานั้นคิดร้ายและเคลือบแฝงเพียงใด มวลมนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลุ่มลึก น้ำพิษของซาตานไหลเวียนผ่านเลือดของทุกบุคคล และสามารถกล่าวได้ว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเสื่อมทราม ชั่ว เป็นปฏิปักษ์ และต่อต้านพระเจ้า เต็มเปี่ยมไปด้วยปรัชญาและพิษของซาตาน จมจ่อมอยู่ในนั้น กลายเป็นธรรมชาติและแก่นแท้ของซาตานจนหมดสิ้น นี่คือเหตุผลที่ผู้คนต้านทานพระเจ้าและยืนหยัดอยู่ในการต่อต้านพระเจ้า มนุษย์สามารถรู้จักตัวเองได้อย่างง่ายดายหากธรรมชาติของพวกเขาสามารถถูกชำแหละได้ในหนทางนี้
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 564
นี่คือกุญแจสำคัญสู่การคิดทบทวนกับตัวเองและการรู้จักตัวเอง กล่าวคือ ยิ่งเจ้ารู้สึกมากขึ้นเท่าไรว่า เจ้าทำได้ดี หรือได้ทำในสิ่งที่ถูกในหลายด้านเฉพาะ และยิ่งเจ้าคิดมากขึ้นเท่าไรว่า เจ้าสามารถสนองน้ำพระทัยของพระเจ้าได้หรือมีความสามารถที่จะอวดตัวในหลายด้านเฉพาะ เช่นนั้นแล้ว ก็ย่อมคุ้มค่ามากขึ้นเท่านั้นสำหรับเจ้าที่จะรู้จักตัวเจ้าเองในด้านเหล่านั้น และย่อมคุ้มค่ามากขึ้นเท่านั้นสำหรับเจ้าที่จะขุดลึกลงไปในด้านเหล่านั้นเพื่อดูความมีราคีที่ดำรงอยู่ในตัวเจ้า รวมถึงดูว่าอะไรคือสิ่งทั้งหลายในตัวเจ้าที่ไม่สามารถสนองน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ พวกเราจงมาดูเปาโลเป็นตัวอย่างกันเถิด เปาโลนั้นมีความรู้ดีเป็นพิเศษ และเขาได้ทนทุกข์ไปมากมายในงานประกาศของเขา เขาได้รับการชื่นชมบูชาเป็นพิเศษจากผู้คนมากมาย ผลลัพธ์ก็คือ หลังจากที่ได้ทำงานมากมายไปจนครบบริบูรณ์แล้ว เขาก็ได้ทึกทักไปว่าคงจะมีมงกุฎพักวางเอาไว้ให้เขา นี่เป็นเหตุให้เขาล่องไปตามเส้นทางที่ผิดไกลขึ้นทุกที จนกระทั่งในที่สุดเขาก็ได้ถูกพระเจ้าทรงลงโทษ ณ เวลานั้น หากเขาได้คิดทบทวนตัวเองและชำแหละตัวเอง เช่นนั้นแล้ว เขาก็คงจะไม่ได้คิดการนั้น กล่าวได้อีกนัยหนึ่งก็คือ เปาโลไม่ได้มุ่งเน้นที่การแสวงหาความจริงในพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า เขาเพียงเชื่อในมโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการทั้งหลายของตัวเขาเองเท่านั้น เขาได้คิดไปว่าตราบใดที่เขาทำสิ่งดีบ้าง และแสดงพฤติกรรมที่ดีงามบ้าง พระเจ้าก็คงจะทรงสรรเสริญและประทานบำเหน็จให้แก่เขา ในตอนท้ายนั้น มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันทั้งหลายของตัวเขาเองได้ทำให้วิญญาณของเขามืดบอดและบดบังความจริงเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของเขา แต่ผู้คนไม่สามารถแยกแยะการนี้ พวกเขาไม่มีความรู้ในเรื่องเหล่านี้ และดังนั้นก่อนที่พระเจ้าจะทรงเผยการนี้ พวกเขาจึงถือเอาเปาโลเป็นมาตรฐานที่ควรไปให้ถึงอยู่เสมอ เป็นตัวอย่างที่จะดำเนินชีวิตตามกันต่อไป และได้คำนึงถึงเขาในฐานะคนที่พวกเขาถวิลหาที่จะเป็นเหมือนกัน และในฐานะบุคคลในดวงใจที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา กรณีของเปาโลคือการตักเตือนประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเราที่ติดตามพระเจ้าสามารถทนทุกข์และยอมลำบากในหน้าที่ของพวกเรา และเมื่อพวกเรารับใช้พระเจ้า พวกเราย่อมรู้สึกว่าพวกเรานั้นสัตย์ซื่อและรักพระเจ้า ดังนั้นในเวลาเช่นนี้ พวกเราควรคิดทบทวนตนเองและเข้าใจตนเองยิ่งขึ้นไปอีกเกี่ยวกับเส้นทางที่พวกเรากำลังใช้อยู่ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่ง นี่เป็นเพราะสิ่งที่เจ้าคิดว่าดีคือสิ่งที่เจ้าจะกำหนดว่าถูกต้อง และเจ้าจะไม่กังขา คิดทบทวน หรือวิเคราะห์ว่าสิ่งนั้นมีอะไรที่ต้านทานพระเจ้าหรือไม่ ตัวอย่างเช่น มีผู้คนที่เชื่อว่าตัวพวกเขาเองมีหัวใจที่ใจดีมีเมตตาสุดขั้ว พวกเขาไม่เคยเกลียดชังหรือทำอันตรายผู้อื่น และพวกเขายื่นมือช่วยเหลือพี่น้องชายหรือพี่น้องหญิงที่มีความจำเป็นในครอบครัวของพวกเขาเสมอ เพื่อกันมิให้ปัญหาของพวกเขาไปไกลเกินแก้ไข พวกเขามีไมตรีจิตอันยิ่งใหญ่ และทำทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในอำนาจของพวกเขาเพื่อช่วยเหลือทุกคนที่พวกเขาสามารถช่วยได้ แต่พวกเขาไม่เคยมุ่งปฏิบัติความจริง และพวกเขาก็ไร้ซึ่งการเข้าสู่ชีวิต อะไรหรือคือผลลัพธ์ของการมีน้ำใจเช่นนั้น? พวกเขาทำให้ชีวิตของตัวพวกเขาเองต้องชะลอออกไป แต่พวกเขาก็ค่อนข้างยินดีกับตัวเอง และพึงพอใจสุดขีดกับทั้งหมดที่พวกเขาได้ทำลงไป ที่มากกว่านั้นก็คือ พวกเขาภูมิใจในการนั้นอย่างใหญ่หลวง โดยเชื่อว่าในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ ไม่มีสิ่งใดตรงข้ามกับความจริงเลย ว่าทั้งหมดที่พวกเขาได้ทำไปนั้นเพียงพอที่จะสนองน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างแน่นอน และเชื่อว่าพวกเขาคือผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขามองความใจดีมีเมตตาตามธรรมชาติของพวกเขาเป็นบางสิ่งที่สามารถอาศัยประโยชน์ได้ และทันทีที่พวกเขาทำเช่นนั้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่พวกเขาจะมองว่านั่นคือความจริง ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งหมดที่พวกเขาทำก็คือความดีแบบมนุษย์ พวกเขาไม่ปฏิบัติความจริงแต่อย่างใด เพราะพวกเขาทำเช่นนั้นต่อหน้ามนุษย์ หาใช่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าไม่ และนับประสาอะไรที่พวกเขาจะปฏิบัติไปตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าและตามความจริง เพราะฉะนั้นการกระทำทั้งปวงของพวกเขาจึงสูญเปล่า ไม่มีสิ่งใดเลยในสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำที่เป็นการปฏิบัติเกี่ยวกับความจริง และไม่มีเลยที่เป็นการปฏิบัติเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า นับประสาอะไรที่พวกเขาจะกำลังติดตามน้ำพระทัยของพระองค์ ในทางกลับกัน พวกเขาใช้ความใจดีมีเมตตาและพฤติกรรมที่ดีแบบมนุษย์เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น โดยสรุปแล้ว พวกเขาไม่แสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าในสิ่งที่พวกเขาทำ อีกทั้งพวกเขาก็มิได้กระทำไปโดยสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ของพระองค์ พระเจ้าไม่ทรงสรรเสริญพฤติกรรมอันดีประเภทนี้ของมนุษย์ สำหรับพระเจ้าแล้วนี่ควรที่จะถูกกล่าวโทษ และไม่คู่ควรแก่การจดจำของพระองค์
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริงก็ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของตนเท่านั้น
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 565
กุญแจสู่การสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยคือการรู้จักธรรมชาติของคนเราเอง และการนี้ต้องเกิดขึ้นโดยสอดคล้องกับวิวรณ์จากพระเจ้า มีเพียงในพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่คนเราสามารถรู้จักธรรมชาติอันน่าขยะแขยงของตนเองได้ ระลึกได้ถึงพิษอันหลากหลายของซาตานในธรรมชาติของตนเอง ตระหนักว่าตนนั้นโง่เขลาและไม่รู้เท่าทัน และระลึกได้ถึงองค์ประกอบที่อ่อนแอและเป็นด้านลบในธรรมชาติของตน หลังจากที่สิ่งเหล่านี้เป็นที่รู้จักอย่างครบถ้วนแล้ว และเจ้าสามารถเกลียดชังตัวเจ้าเองและละทิ้งเนื้อหนังได้อย่างแท้จริง ดำเนินการตามพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างสม่ำเสมอ ไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่เป็นนิตย์พลางปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า สัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเจ้า และกลายเป็นผู้ที่รักพระเจ้าได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะได้เริ่มเข้าสู่เส้นทางของเปโตรแล้ว เมื่อปราศจากพระคุณของพระเจ้า และปราศจากความรู้แจ้งและการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คงจะเป็นการยากที่จะเดินบนเส้นทางนี้ เนื่องเพราะผู้คนไม่ครองความจริงและไร้ความสามารถที่จะทรยศตนเองได้ โดยหลักแล้วการเดินบนเส้นทางแห่งความเพียบพร้อมของเปโตรอยู่บนพื้นฐานของการมีความตั้งใจแน่วแน่ การมีความเชื่อ และการพึ่งพาพระเจ้า ที่มากยิ่งกว่าคือ คนเราต้องนบนอบต่อพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในทุกสรรพสิ่ง คนเราไม่สามารถทำโดยปราศจากพระวจนะของพระเจ้าได้ เหล่านี้คือแง่มุมสำคัญ ซึ่งไม่มีแง่มุมใดที่สามารถถูกล่วงละเมิดได้ การได้ทำความรู้จักตนเองโดยผ่านทางประสบการณ์เป็นเรื่องลำบากยากเย็นมาก เมื่อปราศจากพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ การนี้ก็ย่อมเปล่าประโยชน์ การเดินบนเส้นทางของเปโตร คนเราต้องจดจ่ออยู่กับการรู้จักตนเองและจดจ่ออยู่กับการเปลี่ยนสภาพอุปนิสัยของคนเรา เส้นทางของเปาโลไม่ใช่เส้นทางของการแสวงหาชีวิตหรือการมุ่งเน้นที่การรู้จักตนเอง เขามุ่งเน้นที่การทำงานและอิทธิพลกับแรงผลักดันของงานโดยเฉพาะ แรงจูงใจของเขาคือการได้รับพระพรของพระเจ้าในการแลกเปลี่ยนกับงานและความทุกข์ของเขา และการได้รับบำเหน็จรางวัลจากพระเจ้า แรงจูงใจนี้ผิด เปาโลไม่ได้มุ่งเน้นที่ชีวิต อีกทั้งเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับการสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย เขามุ่งเน้นที่บำเหน็จรางวัลเท่านั้น เนื่องจากเขามีเป้าหมายที่ผิด แน่นอนว่าเส้นทางที่เขาเดินไปก็ผิดด้วยเช่นกัน ธรรมชาติอันโอหังและทะนงตนของเขาก่อให้เกิดการนี้ เห็นได้ชัดเจนว่าเปาโลไม่ได้ครองความจริงใดๆ เลย อีกทั้งเขาไม่ได้มีมโนธรรมหรือเหตุผลใดๆ ในการช่วยผู้คนให้รอดและเปลี่ยนแปลงผู้คน พระเจ้าทรงปรับเปลี่ยนอุปนิสัยของพวกเขาเป็นหลัก จุดประสงค์ของพระวจนะของพระองค์เพื่อสัมฤทธิ์บทอวสานแห่งการครองอุปนิสัยที่ได้รับการเปลี่ยนสภาพและความสามารถที่จะรู้จักพระเจ้า ที่จะนบนอบต่อพระองค์และนมัสการพระองค์ในตัวผู้คนด้วยหนทางปกติ นี่คือจุดประสงค์ของพระวจนะของพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์ หนทางแห่งการแสวงหาของเปาโลเป็นการฝ่าฝืนน้ำพระทัยของพระเจ้าโดยตรงและเป็นการขัดแย้งกับน้ำพระทัยของพระเจ้า และต่อต้านน้ำพระทัยของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม หนทางการแสวงหาของเปโตรสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าโดยสมบูรณ์ กล่าวคือ เขามุ่งเน้นไปที่ชีวิตและการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย ซึ่งแน่นอนว่าคือบทอวสานที่พระเจ้าทรงพึงปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์ในมนุษย์ทั้งหลายด้วยพระราชกิจของพระองค์ ดังนั้น เส้นทางของเปโตรจึงได้รับการอวยพรและได้รับการสรรเสริญจากพระเจ้า เนื่องเพราะเส้นทางของเปาโลคือการฝ่าฝืนน้ำพระทัยของพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงเกลียดและสาปแช่งเส้นทางของเปาโล การเดินบนเส้นทางของเปโตร คนเราต้องรู้จักน้ำพระทัยของพระเจ้า หากคนเรามีความสามารถอย่างแท้จริงที่จะเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์อย่างครบถ้วนโดยผ่านทางพระวจนะของพระองค์—ซึ่งหมายถึงการเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทำจากมนุษย์ และในท้ายที่สุดเข้าใจว่าบทอวสานใดที่พระองค์ทรงพึงปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์ผล—เมื่อนั้นเท่านั้นคนเราจึงจะมีความสามารถที่จะมีความเข้าใจที่ถูกต้องแม่นยำว่าเส้นทางใดที่ควรติดตาม หากเจ้าไม่เข้าใจเส้นทางของเปโตรอย่างครบถ้วน และเพียงมีความพึงปรารถนาที่จะติดตามเส้นทางของเปโตร เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่มีความสามารถที่จะเริ่มต้นก้าวเดินไปบนเส้นทางนี้ได้ อีกนัยหนึ่ง เจ้าอาจรู้คำสอนมากมาย แต่ในท้ายที่สุดก็จะไม่มีความสามารถที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงได้ แม้ว่าเจ้าอาจทำการเข้าสู่อย่างผิวเผิน เจ้าก็จะไร้ความสามารถที่จะสัมฤทธิ์ผลอันใดที่แท้จริงได้
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 566
ทุกวันนี้ ผู้คนส่วนใหญ่มีความเข้าใจอันผิวเผินมากเกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง พวกเขายังไม่ได้มารู้จักอย่างชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายซึ่งเป็นส่วนของธรรมชาติของพวกเขาเลยทั้งสิ้น พวกเขามีเพียงความรู้เกี่ยวกับสภาวะอันเสื่อมทรามไม่กี่อย่างที่พวกเขาเปิดโปง เกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายซึ่งพวกเขามีแนวโน้มที่จะทำ หรือข้อบกพร่องไม่กี่อย่างของพวกเขาเท่านั้นเอง และนี่ทำให้พวกเขาเชื่อว่า พวกเขารู้จักตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น หากพวกเขายึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ไม่กี่อย่าง มั่นใจว่าพวกเขาไม่ทำผิดพลาดในด้านเฉพาะใดๆ และหลีกเลี่ยงการกระทำการล่วงละเมิดเฉพาะอย่างได้สำเร็จ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็พิจารณาว่าตัวพวกเขานั้นครองความเป็นจริงในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา และทึกทักไปว่าพวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอด นี่เป็นจินตนาการแบบมนุษย์อย่างครบบริบูรณ์ หากเจ้ายึดปฏิบัติตามสิ่งเหล่านั้น เจ้าจะกลายเป็นมีความสามารถที่จะงดเว้นจากการกระทำการล่วงละเมิดอันใดจริงหรือ? เจ้าจะได้บรรลุการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในอุปนิสัยแล้วกระนั้นหรือ? เจ้าจะกำลังใช้ชีวิตในสภาพเสมือนของมนุษย์คนหนึ่งจริงหรือ? เจ้าสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยอย่างจริงแท้แบบนั้นได้หรือ? แน่นอนเลยว่าไม่ใช่อย่างสิ้นเชิง การเชื่อในพระเจ้าได้ผลเพียงเมื่อคนเรามีมาตรฐานสูง และได้บรรลุความจริงและการแปลงสภาพบางอย่างในอุปนิสัยของชีวิตคนเราแล้วเท่านั้น ก่อนอื่นการนี้พึงต้องอาศัยความทุ่มเทในการรู้จักตนเอง หากความรู้ของผู้คนเกี่ยวกับตัวพวกเขาเองนั้นตื้นเขินเกินไป พวกเขาก็จะพบว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะแก้ปัญหาทั้งหลาย และอุปนิสัยในชีวิตของพวกเขาก็ย่อมจะไม่เปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา จึงจำเป็นที่ต้องรู้จักตัวคนเราเองในระดับที่ลุ่มลึก ซึ่งหมายถึงการรู้จักธรรมชาติของคนเราเองว่า องค์ประกอบใดที่รวมอยู่ในธรรมชาตินั้น สิ่งเหล่านี้ก่อกำเนิดขึ้นอย่างไร และสิ่งเหล่านี้มาจากที่ใด ที่มากกว่านั้นก็คือ เจ้ามีความสามารถที่จะเกลียดชังสิ่งเหล่านี้ได้จริงหรือไม่? เจ้าได้เห็นดวงจิตอันอัปลักษณ์ของเจ้าเองกับธรรมชาติชั่วของเจ้าแล้วหรือไม่? หากเจ้ามีความสามารถอย่างแท้จริงที่จะมองเห็นความจริงเกี่ยวกับตัวเจ้าเองแล้วไซร้ เช่นนั้นเจ้าย่อมจะเกลียดตัวเอง เมื่อเจ้าเกลียดตัวเจ้าเอง แล้วจากนั้นก็นำพระวจนะของพระเจ้ามาฝึกฝนปฏิบัติ เจ้าก็จะสามารถละทิ้งเนื้อหนังและมีความแข็งแกร่งที่จะดำเนินการตามความจริงโดยไม่เชื่อว่าต้องบากบั่นพยายาม เหตุใดเล่าผู้คนมากมายจึงทำตามความเลือกชอบทางเนื้อหนังของพวกเขา? ก็เพราะพวกเขาพิจารณาว่าตัวพวกเขาเองช่างดีงามนัก พลางรู้สึกว่าการกระทำของพวกเขานั้นถูกต้องและเป็นธรรม รู้สึกว่าพวกเขาไม่มีความผิดเลย และรู้สึกกระทั่งว่า พวกเขาถูกต้องอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงมีความสามารถที่จะปฏิบัติตนด้วยข้อสันนิษฐานที่ว่าความยุติธรรมนั้นอยู่ข้างพวกเขา เมื่อคนเราระลึกได้ถึงสิ่งที่ธรรมชาติของคนเราเป็น—อัปลักษณ์อย่างไร น่าดูหมิ่นอย่างไร และน่าเวทนาอย่างไร—เมื่อนั้นคนเราก็จะไม่ภาคภูมิใจในตัวเองอย่างเกินขนาด ไม่โอหังอย่างลำพองเหลือเกิน และไม่ยินดีกับตัวเองเหลือเกินดังก่อนหน้านี้ บุคคลเช่นนั้นรู้สึกว่า “ฉันต้องจริงจังตั้งใจและติดดินในการปฏิบัติตามพระวจนะบางประการของพระเจ้า หาไม่แล้ว ฉันย่อมจะไม่ดีพอที่จะไปถึงมาตรฐานของการเป็นมนุษย์ และจะอดสูที่จะดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า” เช่นนั้นแล้ว คนเราจึงมองเห็นตัวเองอย่างแท้จริงว่าไม่มีความสลักสำคัญ ไร้นัยสำคัญอย่างแท้จริง ณ เวลานี้ ย่อมกลับกลายเป็นง่ายที่คนเราจะดำเนินความจริงให้เสร็จสิ้น และคนเราจะปรากฏเป็นเหมือนที่มนุษย์ควรเป็นอยู่บ้าง มีเพียงเมื่อผู้คนเกลียดตัวพวกเขาเองอย่างแท้จริงเท่านั้น พวกเขาจึงจะมีความสามารถที่จะละทิ้งเนื้อหนัง หากพวกเขาไม่เกลียดตัวพวกเขาเอง พวกเขาก็จะไม่มีความสามารถที่จะละทิ้งเนื้อหนังได้ การที่คนเราเกลียดตัวเองอย่างแท้จริงนั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดาทั่วไป มีหลายสิ่งที่ต้องค้นหาให้พบในตัวพวกเขา กล่าวคือ สิ่งแรก การรู้จักธรรมชาติของตัวคนเราเอง และสิ่งที่สอง การมองเห็นตัวคนเราเองอัตคัดขัดสนและน่าเวทนา การมองเห็นตัวคนเราเองเล็กและไร้นัยสำคัญอย่างสุดขั้ว และการมองเห็นดวงจิตอันสกปรกและน่าเวทนาของคนเราเอง เมื่อคนเราเห็นสิ่งที่คนเราเป็นอย่างแท้จริงโดยครบถ้วน และได้สัมฤทธิ์บทอวสานนี้แล้ว ถึงตอนนั้น คนเราจึงจะสามารถได้รับความรู้เกี่ยวกับตัวคนเราเองอย่างแท้จริง และสามารถพูดได้ว่า คนเราได้มารู้จักตัวคนเราเองอย่างครบถ้วนแล้ว เมื่อนั้นเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถเกลียดชังตัวคนเราเองได้อย่างแท้จริง โดยไปไกลถึงขั้นสาปแช่งตัวเอง และรู้สึกอย่างแท้จริงว่า คนเราได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างถลำลึกจนถึงขนาดที่คนเราไม่สามารถแม้กระทั่งมีความคล้ายคลึงกับมนุษย์คนหนึ่ง เช่นนั้นแล้ว สักวันหนึ่ง เมื่อการคุกคามแห่งความตายปรากฏขึ้น บุคคลเช่นนั้นย่อมจะคิดว่า “นี่คือการลงโทษอันชอบธรรมของพระเจ้า พระเจ้าทรงชอบธรรมโดยแท้ ฉันควรตายจริง!” ณ จุดนี้ เขาจะไม่ยื่นเรื่องร้องทุกข์ นับประสาอะไรที่จะติเตียนพระเจ้า ด้วยรู้สึกเพียงว่า เขาช่างขัดสนและน่าเวทนายิ่งนัก ช่างโสมมและเสื่อมทรามจนเขาควรถูกพระเจ้าทรงขับออกไปและทำลายเสีย และดวงจิตเช่นของเขานั้นไม่เหมาะที่จะดำรงชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลก ดังนั้น บุคคลผู้นี้ก็จะไม่พร่ำบ่นหรือต้านทานพระเจ้า นับประสาอะไรที่จะทรยศพระเจ้า หากใครคนหนึ่งไม่รู้จักตัวเอง และยังคงพิจารณาตัวเองว่าดีมาก เช่นนั้นแล้วเมื่อความตายมาเคาะประตู บุคคลนี้จะคิดว่า “ฉันได้ทำดีเหลือเกินในความเชื่อของฉัน ฉันได้แสวงหาหนักเพียงใด! ฉันได้ให้มากมายเหลือเกิน ฉันได้ทนทุกข์มากมายเหลือเกิน กระนั้นในที่สุดแล้ว ตอนนี้พระเจ้ากำลังทรงขอให้ฉันตาย ฉันไม่รู้ว่าความชอบธรรมของพระเจ้าอยู่ที่ใด เหตุใดพระองค์จึงกำลังทรงขอให้ฉันตาย? หากฉันต้องตาย เช่นนั้นแล้วใครเล่าจะได้รับการช่วยให้รอด? เผ่าพันธุ์มนุษย์จะไม่มาถึงบทอวสานหรอกหรือ?” อย่างแรก บุคคลนี้มีมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ประการที่สอง บุคคลนี้กำลังพร่ำบ่น และไม่ได้กำลังแสดงให้เห็นการนบนอบใดๆ แต่อย่างใดเลย นี่เหมือนกันไม่มีผิดกับเปาโล กล่าวคือ เมื่อเขากำลังจะตาย เขาไม่รู้จักตัวเขาเอง และเมื่อถึงเวลาที่การลงโทษของพระเจ้าใกล้มาถึง ทั้งหมดก็ล้วนสายเกินไป
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 567
แท้จริงแล้วการรับเอาเส้นทางของเปโตรในความเชื่อของคนเราหมายถึงการเดินบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง ซึ่งยังเป็นเส้นทางของการได้รู้จักตนเองและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนเองอย่างแท้จริงเช่นกัน มีเพียงโดยการเดินบนเส้นทางของเปโตรเท่านั้นคนเราจึงจะอยู่บนเส้นทางของการได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า คนเราต้องชัดเจนเกี่ยวกับวิธีเดินบนเส้นทางของเปโตรโดยแน่ชัด ตลอดจนวิธีนำการนั้นไปปฏิบัติ ก่อนอื่น คนเราต้องละวางเจตนาของคนเราเอง การไล่ตามเสาะหาที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม และแม้กระทั่งครอบครัวและทุกสรรพสิ่งของเนื้อหนังของคนเราเอง คนเราต้องอุทิศโดยสุดหัวใจ กล่าวคือ คนเราต้องอุทิศตัวเองแก่พระวจนะของพระเจ้าโดยสุดหัวใจ มุ่งความสนใจไปที่การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า จดจ่ออยู่กับการค้นหาความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้าในพระวจนะของพระองค์ และพยายามจับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่าง นี่เป็นวิธีการปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานและสำคัญยิ่งยวด นี่คือสิ่งที่เปโตรทำหลังจากที่ได้เห็นพระเยซู และเป็นเพียงโดยการปฏิบัติในหนทางนี้เท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดได้ การอุทิศตนอย่างสุดหัวใจให้แก่พระวจนะของพระเจ้าโดยหลักแล้วเกี่ยวข้องกับการแสวงหาความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้าภายในพระวจนะของพระองค์ มุ่งความสนใจไปที่การจับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และการเข้าใจและการได้มาซึ่งความจริงมากขึ้นจากพระวจนะของพระเจ้า เมื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้า เปโตรไม่ได้มุ่งความสนใจไปที่การเข้าใจคำสอน นับประสาอะไรที่เขาจะมุ่งความสนใจไปที่การได้มาซึ่งความรู้ทางศาสนศาสตร์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขาจดจ่ออยู่กับการจับใจความความจริงและการจับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ตลอดจนการสัมฤทธิ์ความเข้าใจในพระอุปนิสัยและความน่ารักของพระเจ้า เปโตรยังได้พยายามที่จะเข้าใจสภาวะอันเสื่อมทรามหลากหลายของมนุษย์จากพระวจนะของพระเจ้าเช่นกัน ตลอดจนธรรมชาติ แก่นแท้ และข้อบกพร่องตามจริงของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการทำตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าเพื่อที่จะทำให้พระองค์พอพระทัย เปโตรมีการปฏิบัติที่ถูกต้องมากมายเหลือเกินที่ยึดปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า การนี้อยู่ในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้ามากที่สุด และนั่นเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่บุคคลหนึ่งจะสามารถร่วมมือได้ในขณะที่ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า เมื่อผ่านประสบการณ์กับบททดสอบหลายร้อยครั้งที่พระเจ้าส่งมา เปโตรได้ตรวจสอบตัวเขาเองอย่างเข้มงวดโดยใช้พระวจนะทุกคำที่พระเจ้าทรงพิพากษาและเปิดโปงมนุษย์เอาไว้ และพระวจนะทุกคำในข้อพึงประสงค์ที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์ และเพียรพยายามที่จะหยั่งลึกถึงความหมายของพระวจนะเหล่านั้นอย่างถูกต้องแม่นยำ เขาพยายามอย่างจริงจังจริงใจที่จะไตร่ตรองและจดจำทุกพระวจนะที่พระเยซูตรัสกับเขา และเขาก็สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดีมาก ด้วยการปฏิบัติในหนทางนี้ เขาสามารถสัมฤทธิ์ความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเขาเองจากพระวจนะของพระเจ้า และเขาไม่เพียงมาเข้าใจสภาวะที่เสื่อมทรามและข้อบกพร่องนานาของมนุษย์เท่านั้น แต่เขายังมาเข้าใจแก่นแท้และธรรมชาติของมนุษย์อีกด้วย นี่คือความหมายของการเข้าใจตัวเองอย่างแท้จริง จากพระวจนะของพระเจ้า เปโตรไม่เพียงสัมฤทธิ์ความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับตัวเขาเองเท่านั้น แต่เขายังมองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น น้ำพระทัยของพระเจ้าในพระราชกิจของพระองค์ และข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ จากพระวจนะเหล่านี้เขาจึงมารู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง เขาได้มารู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้า และเนื้อแท้ของพระองค์ เขาได้มารู้จักและเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น ตลอดจนความดีงามของพระเจ้าและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าต่อมนุษย์ แม้ว่าพระเจ้าไม่ได้ตรัสในตอนนั้นมากเท่ากับที่พระองค์ตรัสในวันนี้ กระนั้นก็ตามผลลัพธ์ในแง่มุมเหล่านี้ก็สัมฤทธิ์ในเปโตร นี่คือสิ่งที่หายากและล้ำค่าสิ่งหนึ่ง เปโตรได้ก้าวผ่านการทดสอบหลายร้อยครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้ทนทุกข์โดยสูญเปล่า เขาไม่เพียงได้มาเข้าใจตัวเขาเองจากพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าเท่านั้น แต่เขายังได้มารู้จักพระเจ้าเช่นกัน นอกจากนี้ เขาได้มุ่งความสนใจเป็นพิเศษไปที่ข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ซึ่งบรรจุอยู่ในพระวจนะของพระองค์ ไม่ว่าจะในแง่มุมใดก็ตามที่มนุษย์ควรทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยเพื่ออยู่ในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า เปโตรสามารถทุ่มเทความพยายามอันยิ่งใหญ่ออกไปในแง่มุมเหล่านั้นและสัมฤทธิ์ความกระจ่างชัดเต็มที่ นี่เป็นประโยชน์อย่างที่สุดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิตของเขา ไม่สำคัญว่าพระเจ้าได้ตรัสถึงสิ่งใด ตราบเท่าที่พระวจนะเหล่านั้นคือความจริงและสามารถกลายเป็นชีวิตได้ เปโตรสามารถสลักพระวจนะเหล่านั้นไว้ในหัวใจของเขาเพื่อไตร่ตรองและซึ้งคุณค่าพระวจนะเหล่านั้นได้เป็นนิจศีล เมื่อได้ฟังพระวจนะของพระเยซู เขาก็สามารถเก็บพระวจนะเหล่านั้นไปคิด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามุ่งความสนใจเป็นพิเศษไปที่พระวจนะของพระเจ้า และเขาสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ในที่สุดอย่างแท้จริง กล่าวคือ เขาสามารถนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติได้อย่างเป็นอิสระ ปฏิบัติตามความจริงและอยู่ในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าได้อย่างถูกต้องแม่นยำ กระทำการโดยสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้โดยทั้งหมดทั้งมวล และละวางความคิดเห็นและความคิดฝันส่วนตัวของเขาเอง ในหนทางนี้ เปโตรได้เข้าสู่ความเป็นจริงของพระวจนะของพระเจ้า การรับใช้ของเปโตรเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าโดยหลักแล้วก็เพราะเขาได้ทำการนี้แล้ว
หากใครคนหนึ่งสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วง มีหลักธรรมในคำพูดและการกระทำของตน และเข้าสู่ความเป็นจริงในทุกแง่มุมของความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็เป็นบุคคลที่ได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า สามารถกล่าวได้ว่าพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้ามีประสิทธิผลกับพวกเขาอย่างสมบูรณ์ ว่าพระวจนะของพระเจ้าได้กลายเป็นชีวิตของพวกเขา พวกเขาได้มาซึ่งความจริง และพวกเขาสามารถใช้ชีวิตโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า หลังจากนี้ ธรรมชาติของเนื้อหนังของพวกเขา—กล่าวคือ รากฐานที่แท้จริงของการดำรงอยู่ดั้งเดิมของพวกเขา—จะสั่นสะเทือนจนแยกจากกันและพังทลาย เฉพาะเมื่อผู้คนมีพระวจนะของพระเจ้าเป็นดังชีวิตของพวกเขาแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงจะกลายเป็นคนใหม่ หากพระวจนะของพระเจ้ากลายเป็นชีวิตของผู้คน หากนิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า การเปิดเผยและข้อพึงประสงค์ที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษยชาติ และมาตรฐานสำหรับชีวิตมนุษย์ที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนทำได้ กลายเป็นชีวิตของพวกเขา หากผู้คนใช้ชีวิตตามพระวจนะและความจริงเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระวจนะของพระเจ้า ผู้คนเช่นนั้นเกิดใหม่และได้กลายเป็นผู้คนใหม่โดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า นี่คือเส้นทางซึ่งเปโตรใช้ไล่ตามเสาะหาความจริง นี่คือเส้นทางของการได้รับการทำให้เพียบพร้อม เปโตรได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระวจนะของพระเจ้า เขาได้รับชีวิตจากพระวจนะของพระเจ้า ความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงไว้ได้กลายเป็นชีวิตของเขา และเขาก็กลายเป็นบุคคลที่ได้มาซึ่งความจริง
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 568
ธรรมชาติของซาตานนี่เองที่กำกับดูแลและครอบงำผู้คนจากภายในไปจนกว่าพวกเขาจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและเข้าใจความจริงแล้ว สิ่งใดหรือที่ธรรมชาตินั้นพ่วงท้ายมาด้วยเป็นพิเศษ? ตัวอย่างเช่น เหตุใดพวกเจ้าจึงเห็นแก่ตัว? เหตุใดพวกเจ้าจึงปกป้องตำแหน่งของตัวเจ้าเอง? เหตุใดพวกเจ้าจึงมีภาวะอารมณ์รุนแรงเช่นนั้น? เหตุใดพวกเจ้าจึงชื่นชมสิ่งที่ไม่ชอบธรรมเหล่านั้น? เหตุใดพวกเจ้าจึงชอบคนชั่วพวกนั้น? อะไรคือพื้นฐานของความชื่นชอบของพวกเจ้าที่มีต่อสิ่งทั้งหลายดังกล่าว? สิ่งเหล่านี้มาจากไหน? เหตุใดพวกเจ้าจึงมีความสุขยิ่งนักที่จะยอมรับสิ่งเหล่านี้? ถึงตอนนี้พวกเจ้าล้วนได้มาเข้าใจว่าเหตุผลหลักเบื้องหลังสิ่งทั้งปวงนี้ก็คือว่า มีพิษของซาตานอยู่ภายในตัวมนุษย์ ดังนั้น อะไรคือพิษของซาตาน? สามารถแสดงมันออกมาในทางใดได้บ้าง? ตัวอย่างเช่น หากเจ้าถามว่า “ผู้คนควรดำรงชีวิตอย่างไร? ผู้คนควรดำรงชีวิตเพื่อสิ่งใด?” ผู้คนก็จะตอบว่า “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” วลีเดียวนี้แสดงถึงรากเหง้าที่แท้จริงของปัญหา ปรัชญาและตรรกะของซาตานได้กลายมาเป็นชีวิตของผู้คนไปแล้ว ไม่ว่าผู้คนจะไล่ตามเสาะหาสิ่งใด พวกเขาก็ทำเช่นนั้นเพื่อตัวเอง—ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงดำรงชีวิตเพื่อตัวพวกเขาเองเท่านั้น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม”—นี่คือปรัชญาชีวิตของมนุษย์ และมันยังเป็นตัวแทนธรรมชาติของมนุษย์อีกด้วย คำพูดเหล่านี้ได้กลายเป็นธรรมชาติของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามไปแล้ว และเป็นภาพเหมือนของธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามโดยแท้ ธรรมชาติเยี่ยงซาตานนี้ได้กลายเป็นบาทฐานสำหรับการดำรงอยู่ของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามไปแล้ว มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามดำรงชีวิตตามพิษของซาตานนี้มาเป็นเวลาหลายพันปีจวบจนปัจจุบัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ซาตานทำก็เพื่อความหิว ความทะเยอทะยาน และจุดมุ่งหมายของมันเอง มันปรารถนาที่จะล้ำเลิศกว่าพระเจ้า หลุดพ้นจากพระเจ้า และยึดอำนาจการควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงสร้าง วันนี้ขอบข่ายที่ผู้คนถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามเป็นดังนี้คือ พวกเขาล้วนมีธรรมชาติเยี่ยงซาตาน พวกเขาทั้งหมดพยายามปฏิเสธและต่อต้านพระเจ้า และพวกเขาต้องการควบคุมชะตากรรมของตนเอง และพยายามต่อต้านการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ความทะเยอทะยานและความหิวของพวกเขาก็เหมือนกับของซาตานอย่างไม่ผิดเพี้ยน เพราะฉะนั้น ธรรมชาติของมนุษย์จึงเป็นธรรมชาติของซาตานนั่นเอง ในข้อเท็จจริงนั้น คติพจน์และภาษิตของผู้คนมากมายแสดงถึงธรรมชาติของมนุษย์และสะท้อนให้เห็นแก่นแท้แห่งความเสื่อมทรามของมนุษย์ สิ่งที่ผู้คนเลือกคือสิ่งที่พวกเขาชอบ และสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตัวแทนของอุปนิสัยและการไล่ตามเสาะหาของผู้คน ในทุกคำที่บุคคลหนึ่งๆ พูด และในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ ไม่ว่าจะอำพรางอย่างไร ทุกการกระทำและคำพูดก็ไม่สามารถปกปิดธรรมชาติของพวกเขา ตัวอย่างเช่น ปกติแล้วพวกฟาริสีประกาศได้ดีมาก แต่เมื่อพวกเขาได้ฟังคำเทศนาและความจริงที่พระเยซูทรงแสดง แทนที่จะยอมรับ พวกเขากลับกล่าวโทษทั้งสองสิ่งนี้ นี่เปิดโปงธรรมชาติและแก่นแท้ของพวกฟาริสีที่เบื่อหน่ายและเกลียดชังความจริง ผู้คนบางคนพูดจาไพเราะมากและอำพรางตนเองเก่ง แต่หลังจากที่ผู้อื่นคบค้าสมาคมกับพวกเขาไปสักระยะหนึ่ง ผู้อื่นก็พบว่าธรรมชาติของพวกเขานั้นเจ้าเล่ห์และไม่ซื่อสัตย์อย่างยิ่ง หลังจากคบค้าสมาคมกับพวกเขาเป็นเวลานาน ทุกคนก็ค้นพบแก่นแท้และธรรมชาติของพวกเขา ในที่สุด ผู้อื่นก็ลงความเห็นดังต่อไปนี้ว่า พวกเขาไม่เคยพูดความจริงสักคำและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ถ้อยแถลงนี้แสดงให้เห็นธรรมชาติของผู้คนดังกล่าว ทั้งยังเป็นตัวอย่างและข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุดของธรรมชาติและแก่นแท้ของพวกเขา ปรัชญาของพวกเขาเกี่ยวกับชีวิตคือการไม่บอกความจริงแก่ใครเลย ตลอดจนการไม่ไว้วางใจใครเลย ธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมนุษย์บรรจุปรัชญาและพิษของซาตานเอาไว้มากมาย บางครั้งเจ้าเองก็ไม่ทันตระหนักรู้ถึงปรัชญาเหล่านี้ด้วยซ้ำและไม่เข้าใจ ถึงกระนั้น ทุกขณะของชีวิตเจ้าก็มีพื้นฐานอยู่บนสิ่งเหล่านี้ ที่มากกว่านั้นคือเจ้าคิดว่าสิ่งเหล่านี้ถูกต้องและมีเหตุผลทีเดียว และไม่ใช่การเข้าใจผิดแต่อย่างใด นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าปรัชญาของซาตานได้กลายเป็นธรรมชาติของผู้คนไปแล้ว และว่าพวกเขากำลังใช้ชีวิตตามปรัชญาเหล่านี้อย่างสมบูรณ์ คิดไปว่าหนทางในการใช้ชีวิตเช่นนี้เป็นสิ่งที่ดี และไม่ได้สำนึกกลับใจแต่ประการใด ดังนั้น พวกเขากำลังเปิดโปงธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขาอยู่เนืองนิตย์ และพวกเขายังใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตานอยู่ตลอดเวลา ธรรมชาติของซาตานคือชีวิตของมนุษยชาติ และเป็นธรรมชาติและแก่นแท้ของมนุษยชาติ
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 569
บัดนี้พวกเจ้าพอจะสามารถตระหนักรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเจ้าเปิดเผยออกมาได้บ้าง เมื่อพวกเจ้าชัดเจนว่าตนเองยังคงหมิ่นเหม่ที่จะเปิดเผยสิ่งที่เสื่อมทรามอันใดออกมาและยังคงหมิ่นเหม่ที่จะทำสิ่งใดที่ขัดแย้งกับความจริง การชำระอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าให้สะอาดก็จะง่าย เหตุใดผู้คนจึงไม่สามารถควบคุมตนเองได้ในหลายๆ เรื่อง? เพราะตลอดเวลาและในทุกด้าน พวกเขาถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนควบคุม ซึ่งตีกรอบและแทรกแซงพวกเขาในทุกสิ่ง เวลาที่พวกเขาไม่เดือดร้อน และไม่ได้ล้มลงหรือกลายเป็นคิดลบ ผู้คนบางคนย่อมรู้สึกเสมอว่าตนเองมีวุฒิภาวะ และไม่คิดอะไรเมื่อมีใครบางคนที่เลว เป็นผู้นำเทียมเท็จ หรือศัตรูของพระคริสต์ ถูกเปิดโปงและถูกขับออกไป พวกเขาถึงกับมีแนวโน้มที่จะพูดโอ้อวดกับทุกคนว่า “คนอื่นไม่ว่าใครก็ล้มลงได้ แต่ไม่ใช่ฉัน คนอื่นไม่ว่าใครอาจจะไม่รักพระเจ้า แต่ฉันรัก” พวกเขาคิดว่าพวกเขาสามารถตั้งมั่นในคำพยานของตนในทุกสถานการณ์หรือทุกบริบท แล้วผลลัพธ์เป็นเช่นไร? ย่อมมีสักวันที่พวกเขาจะถูกทดสอบและพวกเขาจะพร่ำบ่นพระเจ้า นี่ไม่ใช่การล้มเหลว ไม่ใช่การล้มลงหรอกหรือ? ไม่มีสิ่งใดเปิดโปงผู้คนได้ยิ่งกว่าเวลาที่พวกเขาถูกทดสอบ พระเจ้าทรงสำรวจส่วนลึกสุดของหัวใจมนุษย์ และผู้คนต้องไม่คุยโวไม่ว่าเวลาใด ไม่ว่าพวกเขาจะคุยโวเรื่องใด นั่นคือที่ซึ่งพวกเขาจะล้มลงไม่ช้าก็เร็ว เมื่อเห็นผู้อื่นล้มลงและล้มเหลวในบริบทใดบริบทหนึ่ง พวกเขาย่อมไม่คิดอะไร และถึงกับคิดว่าตนเองทำผิดไม่เป็น ว่าพวกเขาจะสามารถตั้งมั่น—แต่พวกเขากลับลงเอยด้วยการล้มลงและล้มเหลวในบริบทเดียวกันนั้นเช่นกัน เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? นั่นเป็นเพราะผู้คนไม่เข้าใจธรรมชาติและแก่นแท้ของตนอย่างถี่ถ้วน ความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับปัญหาของธรรมชาติและแก่นแท้ของตนนั้นยังไม่ลึกซึ้งพอ ดังนั้นการนำความจริงไปสู่การปฏิบัติจึงเหนื่อยยากยิ่งสำหรับพวกเขา ตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงมากมาย ไม่ซื่อสัตย์ในคำพูดและความประพฤติ กระนั้นก็ตาม หากเจ้าถามพวกเขาว่าอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขาร้ายแรงที่สุดในด้านใด พวกเขาก็จะพูดว่า “ฉันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเล็กน้อย” พวกเขาจะพูดเพียงแค่ว่าพวกเขาเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเล็กน้อย แต่พวกเขาไม่พูดว่าธรรมชาติของพวกเขาโดยตัวมันเองแล้วคือเล่ห์ลวง และพวกเขาไม่พูดว่าพวกเขาเป็นบุคคลที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง พวกเขาไม่ได้รู้จักสภาวะอันเสื่อมทรามของตนเองอย่างลึกซึ้งเพียงนั้น และพวกเขาก็ไม่มองสภาวะที่เสื่อมทรามนั้นว่าเป็นบางสิ่งที่ร้ายแรงหรือมองอย่างถี่ถ้วนดังที่ผู้อื่นมอง ผู้อื่นมองว่าบุคคลผู้นี้เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงยิ่งนักและคดโกงยิ่งนัก ว่ามีการฉ้อโกงในทุกๆ คำพูดของพวกเขา ว่าคำพูดและการกระทำของพวกเขาไม่ซื่อสัตย์เอาเสียเลย—แต่พวกเขาไม่สามารถมองเข้าไปในตัวเองได้อย่างลึกซึ้งเช่นนั้น ความรู้อันใดที่พวกเขาบังเอิญมีเป็นเพียงแค่ผิวเผิน เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพูดและกระทำการ พวกเขาจะเปิดเผยบางสิ่งในธรรมชาติของพวกเขา แต่ทว่าพวกเขาไม่ตระหนักรู้ถึงการนี้ พวกเขาเชื่อว่าการที่พวกเขากระทำการเช่นนั้นไม่ใช่การเปิดเผยความเสื่อมทราม พวกเขากลับคิดไปว่าพวกเขาได้นำความจริงไปปฏิบัติแล้ว—แต่สำหรับผู้คนที่กำลังเฝ้ามองอยู่นั้น บุคคลผู้นี้คิดคดทรยศและเจ้าเล่ห์ทีเดียว คำพูดและการกระทำของพวกเขาไม่ซื่อสัตย์เป็นอย่างมาก นั่นกล่าวได้ว่า ผู้คนมีความเข้าใจผิวเผินเกินไปเกี่ยวกับธรรมชาติของพวกเขาเอง และมีความคลาดเคลื่อนอันใหญ่หลวงระหว่างการนี้กับพระวจนะของพระเจ้าที่พิพากษาและเปิดโปงผู้คน นี่ไม่ใช่การเข้าใจผิดในสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผย แต่ในทางตรงกันข้ามเป็นการขาดพร่องความเข้าใจอันลุ่มลึกของมนุษย์เกี่ยวกับธรรมชาติของพวกเขาเอง ผู้คนไม่มีความเข้าใจพื้นฐานหรือความเข้าใจที่เป็นแก่นสารเกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขามุ่งความสนใจและอุทิศพลังงานของพวกเขาไปที่การกระทำและการแสดงออกภายนอกของพวกเขา ต่อให้ใครบางคนได้พูดบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับการเข้าใจตัวพวกเขาเองเป็นครั้งคราว นั่นก็คงจะไม่ลุ่มลึกมากนัก ไม่มีผู้ใดเคยคิดว่าพวกเขาคือบุคคลจำพวกหนึ่งหรือมีธรรมชาติชนิดหนึ่งเพราะเคยทำบางสิ่งหรือเคยเปิดเผยบางสิ่งมาแล้ว พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยธรรมชาติและแก่นแท้ของมนุษยชาติ แต่พวกมนุษย์เข้าใจว่าวิธีการทำสิ่งทั้งหลายของพวกเขาและวิธีการพูดของพวกเขานั้นมีตำหนิและมีข้อเสียหาย ดังนั้นจึงเป็นกิจอันเหนื่อยยากที่ผู้คนจะนำความจริงไปปฏิบัติ ผู้คนคิดว่าความเข้าใจผิดของพวกเขาเป็นเพียงการสำแดงชั่วขณะที่ถูกเปิดเผยอย่างไม่ระมัดระวังแทนที่จะเป็นวิวรณ์ของธรรมชาติของพวกเขา เมื่อผู้คนคิดในหนทางนี้ก็ยากมากที่พวกเขาจะรู้จักตนเองอย่างแท้จริง และยากมากที่พวกเขาจะเข้าใจและนำความจริงไปปฏิบัติ เนื่องจากพวกเขาไม่รู้จักความจริงและไม่กระหายความจริง เมื่อนำความจริงไปปฏิบัติ พวกเขาเพียงทำตามกฎเกณฑ์อย่างพอเป็นพิธีเท่านั้น ผู้คนไม่มองธรรมชาติของพวกเขาเองว่าเสื่อมทรามเกินไป และเชื่อว่าพวกเขาไม่ได้แย่ถึงขนาดที่พวกเขาควรถูกทำลายหรือถูกลงโทษ กระนั้น ตามมาตรฐานของพระเจ้าแล้ว ความเสื่อมทรามของผู้คนลึกล้ำเกินไป พวกเขายังคงห่างไกลจากมาตรฐานของความรอด เพราะผู้คนมีเพียงการกระทำบางอย่างเท่านั้นที่ไม่ละเมิดความจริงให้เห็นภายนอก แต่อันที่จริงแล้วกลับไม่ปฏิบัติความจริงและไม่เชื่อฟังพระเจ้า
การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมหรือการประพฤติของบุคคลหนึ่งไม่ได้แสดงนัยถึงการเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติของพวกเขา เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็คือโดยพื้นฐานแล้วความเปลี่ยนแปลงในการประพฤติของคนเราไม่สามารถปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ดั้งเดิมของพวกเขาได้ และยิ่งไม่สามารถปรับเปลี่ยนธรรมชาติของพวกเขา มีเพียงเมื่อผู้คนเข้าใจความจริง และรู้จักธรรมชาติและแก่นแท้ของตนเอง และสามารถนำความจริงไปปฏิบัติเท่านั้น การปฏิบัติของพวกเขาจึงจะสามารถกลายเป็นลุ่มลึก และกลายเป็นบางสิ่งนอกเหนือจากการยึดติดกฎต่างๆ ชุดหนึ่ง วิธีปฏิบัติความจริงของผู้คนในวันนี้ยังคงไม่ได้มาตรฐาน และไม่สามารถสัมฤทธิ์ทั้งหมดที่ความจริงพึงประสงค์ได้อย่างเต็มเปี่ยม ผู้คนปฏิบัติตามความจริงเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น และเพียงเมื่อพวกเขาอยู่ในสภาวะและรูปการณ์แวดล้อมเฉพาะบางอย่างเท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้บ้าง ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ในทุกรูปการณ์แวดล้อมและทุกสถานการณ์ ในบางโอกาส เมื่อบุคคลหนึ่งมีความสุขและสภาวะของพวกเขาดี หรือเมื่อพวกเขากำลังสามัคคีธรรมกับผู้อื่นและมีเส้นทางปฏิบัติอยู่ในหัวใจของตน ในเวลาดังกล่าว พวกเขาก็สามารถทำบางสิ่งที่สอดคล้องกับความจริงได้ แต่เมื่อพวกเขาใช้ชีวิตอยู่กับผู้คนที่คิดลบและไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาย่อมได้รับอิทธิพลจากผู้คนเหล่านี้ และในหัวใจของพวกเขา พวกเขาก็พลอยสูญเสียเส้นทางและไม่สามารถปฏิบัติความจริง นี่แสดงให้เห็นว่าวุฒิภาวะของพวกเขาน้อยเกินไป ว่าพวกเขายังคงไม่เข้าใจความจริงอย่างแท้จริง มีปัจเจกบุคคลบางคนที่หากพวกเขาได้รับการชี้แนะและนำทางโดยผู้คนที่เหมาะสม ย่อมสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ แต่หากพวกเขาถูกผู้นำเทียมเท็จหรือศัตรูของพระคริสต์หลอกให้หลงกลและรบกวนความสงบ ไม่เพียงพวกเขาจะไม่สามารถปฏิบัติความจริงเท่านั้น แต่ยังหมิ่นเหม่ที่จะถูกหลอกให้หลงทำตามผู้อื่นอีกด้วย ผู้คนเช่นนี้ยังคงมีความเสี่ยงมิใช่หรือ? ผู้คนเช่นนี้ ด้วยวุฒิภาวะประเภทนี้ ย่อมไม่สามารถปฏิบัติความจริงในทุกเรื่องและทุกบริบทได้ ต่อให้พวกเขาปฏิบัติความจริง นั่นก็จะเป็นเฉพาะเวลาที่พวกเขาอารมณ์ดีหรือถูกผู้อื่นชี้นำเท่านั้น เมื่อไม่มีใครบางคนที่ดีคอยนำทางพวกเขา ก็ย่อมจะมีบางเวลาที่พวกเขายังคงมีแนวโน้มที่จะทำสิ่งที่ละเมิดความจริง บางเวลาที่พวกเขาจะยังคงไถลห่างจากพระวจนะของพระเจ้า และนี่เป็นเพราะสิ่งใด? เป็นเพราะเจ้ารู้จักสภาวะของเจ้าเพียงไม่กี่สภาวะ และไม่รู้จักธรรมชาติและแก่นแท้ของตัวเจ้าเอง และยังไม่บรรลุวุฒิภาวะที่จะตัดขาดจากเนื้อหนังและหันมาปฏิบัติความจริง เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจึงไม่มีอำนาจควบคุมสิ่งที่เจ้าจะทำในอนาคต และไม่สามารถรับประกันว่าเจ้าจะสามารถตั้งมั่นในสถานการณ์หรือในการทดสอบใดๆ มีหลายครั้งที่เจ้าอยู่ในสภาวะหนี่งและเจ้าสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ และดูเหมือนว่าเจ้าจะแสดงการเปลี่ยนแปลงบางประการอย่างชัดแจ้ง แต่ทว่าในสภาพแวดล้อมที่แตกต่าง เจ้าไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ การนี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของเจ้า บางครั้งเจ้าสามารถปฏิบัติความจริง และบางครั้งเจ้าก็ไม่สามารถ ชั่วขณะหนึ่งเจ้าเข้าใจ และชั่วขณะถัดไปเจ้างุนงงสับสน ขณะนี้เจ้าไม่ได้กำลังทำสิ่งใดที่ไม่ดี แต่บางทีเจ้าอาจจะทำในอีกสักครู่ การนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่เสื่อมทรามยังคงดำรงอยู่ในตัวเจ้า และหากเจ้าไม่สามารถมีความรู้ในตนเองที่แท้จริงได้ สิ่งเหล่านี้ก็จะแก้ไขไม่ได้อย่างง่ายดาย หากเจ้าไม่สามารถบรรลุความเข้าใจถ้วนทั่วเกี่ยวกับอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้าเอง และในท้ายที่สุดก็สามารถทำสิ่งทั้งหลายที่ต้านทานพระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็อยู่ในอันตราย หากเจ้าสามารถบรรลุความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่หลักแหลมในธรรมชาติของเจ้าและเกลียดชังมัน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมีความสามารถที่จะควบคุมตัวเจ้าเอง ละทิ้งตัวเจ้าเอง และนำความจริงไปปฏิบัติได้
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 570
จุดมุ่งหมายของการสามัคคีธรรมถึงความจริงให้ชัดเจนคือการทำให้ผู้คนสามารถเข้าใจและปฏิบัติความจริงและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของตนได้ นี่ไม่ใช่เพียงเพื่อนำความสว่างและความสุขเล็กน้อยมาสู่หัวใจของพวกเขาทันทีที่พวกเขาเข้าใจความจริงเท่านั้น หากเจ้าเข้าใจความจริงแต่ไม่ปฏิบัติความจริง เช่นนั้นแล้วการสามัคคีธรรมและเข้าใจความจริงก็ไร้ประโยชน์ สิ่งใดคือปัญหาเมื่อผู้คนเข้าใจความจริงแต่ไม่นำไปปฏิบัติ? นี่คือบทพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่รักความจริง ว่าในหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่ยอมรับความจริง ซึ่งในกรณีนี้พวกเขาย่อมจะไม่ได้รับพรจากพระเจ้าและพลาดโอกาสที่จะได้รับความรอด ส่วนผู้คนจะสามารถบรรลุความรอดได้หรือไม่นั้น สิ่งที่สำคัญยิ่งคือพวกเขาสามารถยอมรับและปฏิบัติความจริงได้หรือไม่ หากเจ้านำความจริงทั้งหมดที่เจ้าเข้าใจไปปฏิบัติ เจ้าย่อมจะได้รับความรู้แจ้ง ความกระจ่าง และการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง และจะสัมฤทธิ์ความเข้าใจในความจริงที่ลึกซึ้งขึ้น และจะได้รับความจริง และได้รับความรอดของพระเจ้า ผู้คนบางคนไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้ พวกเขาพร่ำบ่นตลอดเวลาว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ประทานความรู้แจ้งหรือความกระจ่างแก่พวกเขา ว่าพระเจ้าไม่ประทานเรี่ยวแรงแก่พวกเขา นี่ไม่ถูกต้อง นี่คือการเข้าใจพระเจ้าผิด ความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์สร้างขึ้นบนรากฐานแห่งการให้ความร่วมมือของผู้คน ผู้คนต้องจริงใจและเต็มใจปฏิบัติความจริง และไม่ว่าความเข้าใจของพวกเขาจะลุ่มลึกหรือผิวเผิน พวกเขาก็ต้องสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ หากผู้คนเข้าใจความจริงแต่ไม่นำความจริงไปปฏิบัติ—หากพวกเขาเพียงรอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกระทำการและบังคับให้พวกเขานำความจริงไปปฏิบัติ—พวกเขาก็กำลังนิ่งเฉยอย่างที่สุดมิใช่หรือ? พระเจ้าไม่มีวันบังคับให้ผู้คนทำสิ่งใด หากผู้คนเข้าใจความจริง แต่ไม่เต็มใจที่จะนำความจริงไปปฏิบัติ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่รักความจริง หรือสภาวะของพวกเขาผิดปกติและมีสิ่งกีดขวางบางประการอยู่ แต่หากผู้คนสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าได้ พระเจ้าก็จะทรงกระทำการเช่นกัน เฉพาะเมื่อพวกเขาไม่เต็มใจปฏิบัติความจริงและไม่อธิษฐานถึงพระเจ้าอีกด้วยเท่านั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงจะไร้วิถีทางที่จะทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา ในข้อเท็จจริงแล้ว ไม่ว่าผู้คนจะมีความลำบากยากเย็นประการใด ก็สามารถแก้ไขได้เสมอ สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญก็คือพวกเขาสามารถปฏิบัติตามความจริงได้หรือไม่ วันนี้ปัญหาความเสื่อมทรามในตัวพวกเจ้าไม่ใช่มะเร็งอย่างหนึ่ง ไม่ใช่โรคบางอย่างที่รักษาไม่หาย หากพวกเจ้าสามารถมุ่งมั่นปฏิบัติความจริง พวกเจ้าก็จะได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และย่อมจะเป็นไปได้ที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลง ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าเจ้าสามารถมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติความจริงหรือไม่ นี่คือสิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญ หากเจ้าปฏิบัติความจริง หากเจ้าเดินบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสามารถได้รับการช่วยให้รอดอย่างแน่นอน หากเส้นทางที่เจ้าเดินเป็นเส้นทางที่ผิด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หนึ่งก้าวที่ผิดจะก่อเกิดอีกก้าวหนึ่งที่ผิด และทุกอย่างก็จะจบสิ้นสำหรับเจ้า และไม่ว่าเจ้าจะเชื่อต่อไปอีกกี่ปีก็ตาม เจ้าจะไม่สามารถบรรลุความรอด ตัวอย่างเช่น เมื่อพวกเขากำลังทำงาน ผู้คนบางคนไม่เคยคิดถึงวิธีทำงานในหนทางที่เป็นประโยชน์ต่อพระนิเวศของพระเจ้าและเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า—ส่งผลให้พวกเขาทำหลายสิ่งที่เห็นแก่ตัวและเลวทราม น่าดูหมิ่นและน่ารังเกียจสำหรับพระเจ้า และเมื่อทำเช่นนั้น พวกเขาจึงถูกเปิดเผยและขับออกไป หากในทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้คนสามารถแสวงหาความจริงและปฏิบัติตามความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็เข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องของความเชื่อในพระเจ้าแล้ว และดังนั้นจึงมีหวังที่จะกลายเป็นใครบางคนที่ตรงตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ผู้คนบางคนเข้าใจความจริง แต่ไม่นำความจริงไปปฏิบัติ แทนที่จะทำเช่นนั้นพวกเขากลับเชื่อว่าความจริงก็มีเท่านี้ และไม่สามารถแก้ไขแนวโน้มและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามให้พวกเขาได้ ผู้คนเช่นนี้ไม่น่าหัวเราะหรอกหรือ? พวกเขาไม่ไร้สาระน่าขันหรอกหรือ? พวกเขาไม่ใช่คนอวดรู้หรอกหรือ? หากผู้คนสามารถกระทำการตามความจริงได้ เช่นนั้นแล้วอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากการเชื่อและการปรนนิบัติพระเจ้าของพวกเขาเป็นไปตามบุคลิกภาพโดยธรรมชาติของพวกเขาเอง เช่นนั้นแล้วก็จะไม่มีพวกเขาสักคนเดียวที่สามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของตนได้ มีผู้คนบางคนที่ใช้เวลาทั้งวันอยู่กับความกลัดกลุ้มอันเกิดจากตัวเลือกที่ผิดของตนเอง เมื่อได้รับมอบความจริงที่พร้อมให้ใช้โดยสะดวก พวกเขากลับไม่นึกถึงหรือพยายามนำไปปฏิบัติ แต่ยืนกรานที่จะเลือกเส้นทางของตนเอง นี่คือหนทางของการประพฤติตัวที่ไร้สาระยิ่งนัก แท้จริงแล้วพวกเขากลับไม่รู้จักสิ่งดีเมื่อพวกเขาเห็นสิ่งนั้น และถูกลิขิตให้มีชีวิตที่ยากลำบาก การปฏิบัติความจริงนั้นเรียบง่ายมาก เจ้าจะลงมือปฏิบัติหรือไม่คือทั้งหมดที่สำคัญ หากเจ้าเป็นใครบางคนที่มุ่งมั่นปฏิบัติความจริง เช่นนั้นแล้วความคิดลบ ความอ่อนแอ และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าก็จะค่อยๆ ได้รับการแก้ไขและเปลี่ยนแปลง นี่ขึ้นอยู่กับว่าหัวใจของเจ้ารักความจริงหรือไม่ เจ้าสามารถยอมรับความจริงหรือไม่ เจ้าสามารถทนทุกข์และยอมลำบากเพื่อให้ได้รับความจริงหรือไม่ หากเจ้ารักความจริงอย่างแท้จริง เจ้าก็จะสามารถทุกข์ทนกับความเจ็บปวดทุกชนิดเพื่อให้ได้รับความจริง ไม่ว่านี่จะเป็นการถูกผู้คนกล่าวโจมตี ตัดสิน หรือทอดทิ้ง เจ้าก็ควรทนรับทั้งหมดนี้เอาไว้ด้วยความอดทนและอดกลั้น แล้วพระเจ้าจะทรงอวยพรและปกป้องเจ้า พระองค์จะไม่ทอดทิ้งหรือละเลยเจ้า—นี่แน่นอนที่สุด หากเจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้าด้วยหัวใจที่ยำเกรงพระองค์ พึ่งพาพระเจ้าและยอมรับนับถือพระเจ้า ก็จะไม่มีสิ่งใดที่เจ้าไม่สามารถก้าวผ่านไปได้ เจ้าอาจมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และเจ้าอาจฝ่าฝืน แต่หากเจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และหากเจ้าเดินบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างละเอียดรอบคอบ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถตั้งมั่นได้อย่างไม่ต้องสงสัย และจะได้รับการนำและการปกป้องจากพระเจ้าอย่างแน่นอน
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 571
หากเจ้าปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์ความเข้าใจในความจริง ก็สำคัญอย่างยิ่งที่เจ้าต้องรู้วิธีกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า หากเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าน้อยเกินไป ไม่อ่านอย่างจริงจังตั้งใจ และไม่ใคร่ครวญด้วยหัวใจของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะไม่สามารถเข้าใจความจริง ทั้งหมดที่เจ้าจะสามารถเข้าใจได้คือคำสอนเล็กน้อย และดังนั้นจึงเป็นการยากมากที่เจ้าจะเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและพระประสงค์ของพระเจ้าในพระวจนะของพระองค์ หากเจ้าไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายและผลลัพธ์ที่พระวจนะของพระเจ้าตั้งใจที่จะสัมฤทธิ์ หากเจ้าไม่เข้าใจสิ่งที่พระวจนะของพระองค์พยายามที่จะสำเร็จลุล่วงและทำให้มีความเพียบพร้อมในมนุษย์ หากเจ้าไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้วไซร้ ก็พิสูจน์ว่าเจ้ายังไม่จับใจความความจริง เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสสิ่งที่พระองค์ตรัส? เหตุใดพระองค์จึงตรัสด้วยพระกระแสเสียงนั้น? เหตุใดพระองค์จึงทรงจริงจังและจริงใจในทุกพระวจนะที่พระองค์ตรัส? เหตุใดพระองค์จึงทรงเลือกสรรที่จะใช้พระวจนะบางคำ? เจ้ารู้หรือไม่? หากเจ้าไม่อาจกล่าวได้อย่างแน่นอน ก็หมายความว่าเจ้าไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือเจตนารมณ์ของพระองค์ หากเจ้าไม่เข้าใจบริบทเบื้องหลังพระวจนะของพระองค์ เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะสามารถเข้าใจหรือปฏิบัติความจริงได้อย่างไร? เพื่อให้ได้รับความจริง เจ้าต้องเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าในทุกคำที่พระองค์ดำรัสเสียก่อน แล้วจากนั้นจึงนำสิ่งที่เจ้าเข้าใจไปปฏิบัติ ใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าอยู่ภายในตัวเจ้า และทำให้พระวจนะกลายเป็นความเป็นจริงของเจ้า ด้วยการทำเช่นนี้เจ้าก็จะเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง มีเพียงเมื่อเจ้ามีความเข้าใจอันถ้วนทั่วเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถจับความเข้าใจในความจริง หลังจากเข้าใจเพียงงานประพันธ์กับคำสอนไม่กี่อย่าง เจ้าก็คิดว่าเจ้าเข้าใจความจริงและมีความเป็นจริง นี่คือการหลอกตนเอง เจ้าไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเหตุใดพระเจ้าจึงพึงประสงค์ให้ผู้คนปฏิบัติความจริง นี่พิสูจน์ว่าเจ้าไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และเจ้ายังคงไม่เข้าใจความจริง ในข้อเท็จจริงแล้ว พระเจ้าทรงกำหนดข้อพึงประสงค์นี้แก่ผู้คนเพื่อชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอด เพื่อที่ผู้คนจะสามารถปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งไป และกลายเป็นคนที่เชื่อฟังและรู้จักพระเจ้า นี่คือเป้าหมายที่พระเจ้าทรงต้องการที่จะสัมฤทธิ์ด้วยการพึงประสงค์ให้ผู้คนปฏิบัติความจริง
พระเจ้าทรงแสดงความจริงแก่ผู้คนที่รักความจริง กระหายความจริง และแสวงหาความจริง ส่วนพวกที่กังวลสนใจกับงานประพันธ์และคำสอน และชอบที่จะกล่าวสุนทรพจน์โอ้อวดยาวๆ พวกเขาจะไม่มีวันได้รับความจริง พวกเขากำลังหลอกตัวพวกเขาเอง มุมมองที่พวกเขามีต่อความจริงและพระวจนะของพระเจ้าย่อมผิด พวกเขาเอี้ยวคอเพื่ออ่านสิ่งที่ตั้งตรง—มุมมองของพวกเขาผิดหมด ผู้คนบางคนชอบที่จะศึกษาพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาศึกษาอยู่เสมอว่าพระวจนะของพระเจ้าพูดถึงบั้นปลายว่าอย่างไรหรือพระวจนะบอกว่าทำเช่นไรจึงจะได้รับพร พวกเขาสนใจพระวจนะเหล่านี้มากที่สุด หากพระวจนะของพระเจ้าไม่คล้อยตามมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาและไม่ได้สนองความอยากได้พรของพวกเขา พวกเขาก็จะกลายเป็นคิดลบ ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงอีกต่อไป และไม่ต้องการที่จะสละเพื่อพระเจ้า นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่สนใจความจริง ผลที่ตามมาคือพวกเขาไม่คำนึงถึงความจริงอย่างจริงจัง พวกเขาสามารถเพียงยอมรับความจริงที่คล้อยตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาเท่านั้น แม้ผู้คนเช่นนี้ร้อนแรงในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา และพยายามทุกทางที่พวกเขาสามารถเพื่อทำความประพฤติดีๆ บางอย่างและเพื่อนำเสนอตัวพวกเขาเองต่อผู้อื่นอย่างดี พวกเขาก็เพียงกำลังทำการนั้นเพื่อที่จะมีบั้นปลายที่ดีในอนาคต พวกเขามีความลำบากยากเย็นในการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ทั้งที่มีข้อเท็จจริงว่าพวกเขาเข้าร่วมในชีวิตคริสตจักร กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า แต่พวกเขากลับไม่ยอมปฏิบัติความจริงหรือรับความจริงเอาไว้ มีบางคนที่กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า แต่ก็แค่ทำไปอย่างพอเป็นพิธี พวกเขาคิดว่าพวกเขาได้รับความจริงไว้เพียงโดยการได้มาเข้าใจงานประพันธ์และคำสอนไม่กี่อย่างเท่านั้นเอง พวกเขาช่างเป็นคนโง่อะไรเช่นนี้! พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง อย่างไรก็ตาม คนเราเจ้าจะไม่จำเป็นต้องเข้าใจและได้รับความจริงหลังจากที่พวกเขาเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้า หากเจ้าล้มเหลวที่จะได้รับความจริงโดยผ่านทางการกินและการดื่มพระวจนะของพระเจ้าแล้วไซร้ สิ่งที่เจ้าได้รับไว้ย่อมจะเป็นงานประพันธ์และคำสอนทั้งหลาย หากเจ้าไม่รู้วิธีปฏิบัติความจริงหรือวิธีกระทำการตามหลักธรรม เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมไร้ความเป็นจริงของความจริงอยู่อย่างนั้น เจ้าอาจอ่านพระวจนะของพระเจ้าบ่อยครั้ง แต่ในภายหลังเจ้าย่อมล้มเหลวที่จะเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่ดี และได้ไปเพียงงานประพันธ์และคำสอนบางอย่างเท่านั้น จะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าอย่างไรจึงจะเข้าใจความจริง? ก่อนอื่นเจ้าควรตระหนักว่าพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้ตรงไปตรงมาขนาดนั้น พระวจนะของพระเจ้าลุ่มลึกอย่างที่สุด พระวจนะของพระเจ้าแม้เพียงประโยคเดียวก็พึงต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการมีประสบการณ์ด้วย หากไม่มีประสบการณ์หลายปี เจ้าจะสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างไร? หากในขณะที่อ่านพระวจนะของพระเจ้า เจ้าไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และไม่เข้าใจเจตนาแห่งพระวจนะของพระองค์ ต้นกำเนิดของพระวจนะ ผลที่พระวจนะพยายามจะสัมฤทธิ์ หรือสิ่งที่พระวจนะพยายามจะสำเร็จลุล่วง เช่นนั้นแล้วนี่หมายความว่าเจ้าเข้าใจความจริงกระนั้นหรือ? เจ้าอาจได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าหลายครั้ง และบางทีเจ้าก็สามารถสวดท่องหลายบทตอนได้ขึ้นใจ แต่เจ้ากลับไม่สามารถปฏิบัติความจริงและไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย และความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระเจ้าก็ยังคงห่างไกลและแปลกหน้าดังเคยอยู่นั่นเอง เมื่อเผชิญบางสิ่งที่ไม่ลงรอยกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้า เจ้าก็ยังคงเคลือบแคลงในพระองค์ และเจ้าก็ไม่เข้าใจพระองค์ แต่กลับใช้เหตุผลกับพระองค์ และเก็บงำมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระองค์และความเข้าใจผิดในตัวพระองค์เอาไว้ ต้านทานพระองค์และถึงขั้นหมิ่นประมาทพระองค์ นี่คืออุปนิสัยจำพวกใด? อุปนิสัยเช่นนี้คืออุปนิสัยที่โอหัง อุปนิสัยที่เอือมระอาความจริง ผู้คนที่โอหังเช่นนี้และเบื่อหน่ายความจริงเช่นนี้จะสามารถยอมรับหรือปฏิบัติความจริงได้อย่างไร? ผู้คนเช่นนี้จะไม่มีวันสามารถได้รับความจริงหรือพระเจ้าอย่างแน่นอนที่สุด
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 572
ได้มีการกล่าวไว้ว่า “ผู้ที่ติดตามไปจนถึงปลายทางจะได้รับการช่วยให้รอด” แต่การนี้ง่ายดายต่อการนำไปปฏิบัติหรือไม่? ไม่ง่าย และหลายคนที่ถูกพญานาคใหญ่สีแดงไล่ล่าและข่มเหงก็เสียขวัญและกลัวเกินกว่าที่จะติดตามพระเจ้าได้ เหตุใดพวกเขาจึงล้มลง? เพราะพวกเขาขาดพร่องความเชื่อที่แท้จริง ผู้คนบางคนสามารถยอมรับความจริง อธิษฐานถึงพระเจ้า พึ่งพาพระเจ้า และพวกเขาตั้งมั่นเมื่อเผชิญบททดสอบและความทุกข์ลำบาก ในขณะที่ผู้อื่นไม่สามารถติดตามไปจนสุดทางได้ เมื่อถึงบางจุดในระหว่างที่เผชิญบททดสอบและความทุกข์ลำบาก พวกเขาก็จะล้มลง สูญเสียคำพยานของตน และไม่สามารถลุกขึ้นมาและไปต่อได้ สรรพสิ่งทั้งปวงที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ทั้งใหญ่หรือเล็ก ที่สามารถสั่นคลอนปณิธานของเจ้า ยึดครองหัวใจของเจ้า หรือหน่วงเหนี่ยวความสามารถของเจ้าในการทำหน้าที่ของเจ้าและความก้าวหน้าไปข้างหน้าของเจ้าจำเป็นต้องใช้การปฏิบัติที่ขยันขันแข็ง เจ้าควรตรวจสอบสิ่งเหล่านั้นอย่างระมัดระวังและแสวงหาความจริง ทั้งหมดนี้คือปัญหาที่ต้องแก้ไขในขณะที่เจ้ามีประสบการณ์ไปด้วย ผู้คนบางคนกลายเป็นคิดลบ พร่ำบ่น และยุติหน้าที่ของพวกเขาเมื่อพวกเขาพบพานกับความลำบากยากเย็น และพวกเขาก็ไม่สามารถซมซานลุกกลับขึ้นมายืนหลังจากประสบปัญหาแต่ละครั้ง ผู้คนทั้งหมดเหล่านี้คือเหล่าคนโง่ที่ไม่รักความจริง และพวกเขาคงจะไม่ได้รับความจริงแม้จะมีตลอดชั่วชีวิตแห่งความเชื่อด้วยซ้ำ เหล่าคนโง่เช่นนั้นจะสามารถติดตามไปจนถึงบทอวสานได้อย่างไร? หากสิ่งเดียวกันนั้นเกิดขึ้นกับเจ้าสิบครั้ง แต่เจ้าไม่ได้รับสิ่งใดจากมันเลย เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นบุคคลธรรมดาสามัญที่ไร้ประโยชน์ ผู้คนที่ฉลาดและบรรดาผู้ที่มีขีดความสามารถที่แท้จริงซึ่งเข้าใจเรื่องราวฝ่ายจิตวิญญาณคือบรรดานักแสวงหาความจริง หากมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขาสิบครั้ง เช่นนั้นแล้ว บางทีแปดในสิบครั้งพวกเขาจะสามารถได้รับความรู้แจ้งบางอย่าง เรียนรู้บทเรียนบางอย่าง เข้าใจความจริงบางอย่าง และมีความก้าวหน้าบ้าง เมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับคนโง่สิบครั้ง—คนที่ไม่เข้าใจเรื่องราวฝ่ายจิตวิญญาณ—มันจะไม่เป็นประโยชน์กับชีวิตของพวกเขาเลยสักครั้ง มันจะไม่เปลี่ยนแปลงพวกเขาเลยสักครั้ง และจะไม่ทำให้พวกเขารู้จักโฉมหน้าอันอัปลักษณ์ของตนเองเลยสักครั้ง ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาย่อมจบสิ้นแล้ว แต่ละครั้งที่บางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาจะล้มลง และแต่ละครั้งที่พวกเขาล้มลง พวกเขาจำเป็นต้องมีใครคนอื่นบางคนมาสนับสนุนพวกเขาและหว่านล้อมพวกเขา หากไม่มีการสนับสนุนและการหว่านล้อม พวกเขาก็ไม่สามารถลุกขึ้นได้ หากแต่ละครั้งที่บางอย่างเกิดขึ้น พวกเขามีความเสี่ยงที่จะล้มลง และหากแต่ละครั้งพวกเขามีความเสี่ยงที่จะเสื่อมถอย นี่มิใช่บทอวสานสำหรับพวกเขาหรอกหรือ? มีเหตุผลอื่นใดอีกหรือสำหรับผู้คนไร้ประโยชน์เช่นนั้นที่จะได้รับการช่วยให้รอด? ความรอดที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์คือความรอดของบรรดาผู้ที่รักความจริง เป็นความรอดของส่วนที่มีเจตจำนงและความมุ่งมั่นในตัวพวกเขา และความรอดของส่วนที่โหยหาความจริงและความชอบธรรมอยู่ในหัวใจของพวกเขา ความมุ่งมั่นของบุคคลหนึ่งคือส่วนที่โหยหาความชอบธรรม ความดี และความจริง และครองมโนธรรม อยู่ในหัวใจของพวกเขา พระเจ้าทรงช่วยผู้คนส่วนนี้ให้รอด และโดยผ่านทางการนี้ พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขา เพื่อที่พวกเขาอาจจะเข้าใจและได้รับความจริง เพื่อที่ความเสื่อมทรามของพวกเขาอาจจะได้รับการชำระให้สะอาด และอุปนิสัยชีวิตของพวกเขาอาจจะได้รับการแปลงสภาพ หากเจ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ภายในตัวเจ้า เจ้าก็ไม่สามารถที่จะได้รับการช่วยให้รอดได้ หากภายในตัวเจ้าไม่มีความรักต่อความจริงหรือความทะเยอทะยานต่อความชอบธรรมและความสว่าง หากเมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญกับความชั่ว เจ้าไม่มีทั้งเจตจำนงที่จะปลดทิ้งสิ่งชั่วทั้งหลายอีกทั้งไม่มีความมุ่งมั่นที่จะทนทุกข์กับความยากลำบาก ที่มากไปกว่านั้นคือ หากมโนธรรมของเจ้ามึนชา หากปฏิภาณของเจ้าสำหรับการรับความจริงก็ถูกทำให้มึนชาด้วยเช่นกัน และเจ้าไม่ได้ถูกปรับให้เข้ากับความจริงและกับเหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น และหากเจ้าไม่หยั่งรู้ในเรื่องทั้งหมด และขณะที่เผชิญหน้าสิ่งใดก็ตามที่บังเกิดแก่เจ้า เจ้าไม่สามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหา ทั้งยังคิดลบตลอดเวลา เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีหนทางที่เจ้าจะได้รับการช่วยให้รอด ผู้คนเช่นนั้นไม่มีสิ่งใดที่จะแนะนำพวกเขาได้ ไม่มีสิ่งใดควรค่าที่จะให้พระเจ้าทรงพระราชกิจด้วย มโนธรรมของพวกเขามึนชา จิตใจของพวกเขาเปรอะเปื้อน และพวกเขาไม่รักความจริง อีกทั้งไม่โหยหาในความชอบธรรมลึกในหัวใจของพวกเขา และไม่สำคัญว่าพระเจ้าตรัสถึงความจริงอย่างชัดเจนและโปร่งใสเพียงใด พวกเขาก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองสักนิด ราวกับว่าหัวใจของพวกเขาได้ตายไปแล้ว สิ่งทั้งหลายย่อมจบสิ้นแล้วสำหรับพวกเขามิใช่หรือ? บุคคลที่มีลมหายใจที่เหลืออยู่ในพวกเขาอาจได้รับการช่วยให้รอดด้วยเครื่องช่วยหายใจ แต่หากพวกเขาได้ตายไปแล้วและวิญญาณของเขาได้ออกไปแล้ว เครื่องช่วยหายใจก็จะไม่มีประโยชน์อันใด ยามที่เผชิญกับปัญหาและความลำบากยากเย็น หากบุคคลหนึ่งถอยหนีและหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้น พวกเขาย่อมไม่แสวงหาความจริงแต่อย่างใด และพวกเขาเลือกที่จะคิดลบและย่อหย่อนในงานของตน เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะถูกเปิดเผยให้เห็นสิ่งที่พวกเขาเป็นจริงๆ ผู้คนเช่นนี้ไม่มีประสบการณ์หรือคำพยานเลย พวกเขาเป็นเพียงคนเอาแต่ได้ เป็นตัวถ่วงเท่านั้น พวกเขาไร้ประโยชน์ในพระนิเวศของพระเจ้า และพวกเขาก็จบสิ้นแล้ว มีเพียงผู้ที่สามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเท่านั้นที่เป็นผู้คนที่มีวุฒิภาวะ และมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่สามารถตั้งมั่นในคำพยาน เมื่อเจ้าเผชิญกับปัญหาและความลำบากยากเย็น เจ้าต้องเผชิญหน้าสิ่งเหล่านั้นด้วยความสุขุม และตอบสนองในหนทางที่ถูกต้อง และเจ้าต้องเลือก เจ้าควรเรียนรู้ที่จะใช้ความจริงแก้ปัญหา ไม่ว่าความจริงที่เจ้าเข้าใจอยู่ตามปกตินั้นจะลุ่มลึกหรือตื้นเขิน เจ้าก็ควรนำมาใช้ประโยชน์ ความจริงไม่ใช่เพียงคำพูดที่ออกมาจากปากของเจ้าเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า และไม่ได้ใช้เพื่อแก้ไขปัญหาของผู้อื่นเท่านั้น แต่ต้องใช้ความจริงแก้ปัญหาและความลำบากยากเย็นที่เจ้ามี นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด และมีเพียงเมื่อเจ้าแก้ปัญหาของตนเองได้เท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถแก้ปัญหาของผู้อื่นได้ เหตุใดจึงมีการกล่าวว่าเปโตรคือดอกผลหนึ่ง? เพราะมีสิ่งทั้งหลายที่มีคุณค่าในตัวเขา สิ่งทั้งหลายที่มีค่าคู่ควรแก่การทำให้มีความเพียบพร้อม เขาแสวงหาความจริงในทุกสิ่ง มีปณิธาน และมีเจตจำนงที่มั่นคง เขามีเหตุผล เต็มใจที่จะทนทุกข์กับความยากลำบาก และรักความจริงอยู่ในหัวใจของเขา เขาไม่ปล่อยให้สิ่งที่เกิดขึ้นผ่านเลยไป และเขาสามารถเรียนรู้บทเรียนจากทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งหมดนี้คือจุดแข็ง หากเจ้าไม่มีจุดแข็งเหล่านี้เลยย่อมหมายถึงความเดือดร้อน การที่เจ้าจะได้รับความจริงและได้รับการช่วยให้รอดย่อมจะไม่ง่าย หากเจ้าไม่รู้วิธีผ่านประสบการณ์หรือหากเจ้าไม่มีประสบการณ์ เจ้าก็จะไม่สามารถแก้ไขความลำบากยากเย็นของผู้อื่นได้ เนื่องจากเจ้าไม่สามารถฝึกฝนปฏิบัติและผ่านประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า และไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับเจ้า และกลัดกลุ้ม—พลันร้องไห้ออกมา—เมื่อเจ้าเผชิญปัญหา และกลายเป็นคิดลบและวิ่งหนีเมื่อเจ้าทนทุกข์กับปัญหาเล็กน้อยบางอย่างที่ทำให้ชะงักงัน และไม่เคยสามารถตอบสนองในหนทางที่ถูกต้อง—ด้วยเหตุทั้งหมดนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะเข้าสู่ชีวิต เจ้าจะสามารถจัดเตรียมให้ผู้อื่นโดยไม่มีการเข้าสู่ชีวิตได้อย่างไร? เพื่อจัดเตรียมให้แก่ชีวิตของผู้คน เจ้าต้องสามัคคีธรรมถึงความจริงอย่างชัดเจนและสามารถสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมของการปฏิบัติอย่างชัดเจนเพื่อแก้ไขปัญหา กับใครบางคนที่มีหัวใจและวิญญาณ เจ้าจำเป็นต้องพูดเพียงนิดเดียวเท่านั้น แล้วพวกเขาจะเข้าใจ แต่การเข้าใจความจริงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นยังใช้ไม่ได้ พวกเขาต้องมีเส้นทางและหลักธรรมของการปฏิบัติด้วย มีเพียงการทำเช่นนี้เท่านั้นที่จะช่วยให้พวกเขาปฏิบัติความจริง ต่อให้ผู้คนเข้าใจสิ่งทั้งหลายทางฝ่ายวิญญาณ และต่อให้พูดเพียงไม่กี่คำพวกเขาก็เข้าใจเรื่องเหล่านี้แล้ว แต่หากพวกเขาไม่ปฏิบัติความจริง ก็จะไม่มีการเข้าสู่ชีวิต หากพวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงได้ เช่นนั้นทุกสิ่งก็จบสิ้นแล้วสำหรับพวกเขา และพวกเขาจะไม่มีวันสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงได้ เจ้าสามารถกุมมือของผู้คนบางคนไว้ขณะที่เจ้าสอนพวกเขา และพวกเขาจะดูเหมือนว่าเข้าใจในเวลานั้น แต่ทันทีที่เจ้าปล่อยมือ พวกเขาก็สับสนอีก นี่ไม่ใช่ใครบางคนที่เข้าใจเรื่องทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญกับปัญหาอันใด หากเจ้าคิดลบและอ่อนแอ เจ้าก็ไม่มีคำพยานเลย และเจ้าไม่ร่วมมือในสิ่งที่เจ้าควรทำและสิ่งที่เจ้าควรร่วมมือด้วย นี่พิสูจน์ว่าเจ้าไม่มีพระเจ้าในหัวใจของเจ้า และเจ้าไม่ใช่บุคคลที่รักความจริง ไม่พักต้องพูดถึงว่าพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ดลใจผู้คนอย่างไร เพียงผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าเป็นเวลาหลายปี ฟังความจริงมากมายถึงเพียงนั้น มีมโนธรรมสักนิด และพึ่งพาการยับยั้งชั่งใจตนเอง อย่างน้อยผู้คนก็ควรสามารถบรรลุมาตรฐานขั้นต่ำสุดได้และไม่ถูกมโนธรรมของตนตำหนิ ผู้คนไม่ควรด้านชาและอ่อนแออย่างที่พวกเขาเป็นอยู่ในตอนนี้ และก็นึกไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะอยู่ในสภาวะเช่นนี้ บางทีพวกเจ้าอาจก้าวผ่านช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาด้วยความงุนงง ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงแต่อย่างใดหรือไม่ก้าวหน้า เลย หากไม่เป็นดังนี้ พวกเจ้าจะยังคงด้านชาและหัวทึบขนาดนี้ได้อย่างไร? เมื่อพวกเจ้าเป็นเช่นนี้ ย่อมเป็นเพราะความเขลาและความไม่รู้เท่าทันของพวกเจ้าเองทั้งสิ้น และพวกเจ้าไม่สามารถติเตียนผู้อื่นได้ ความจริงไม่ลำเอียงเข้าข้างผู้คนบางคนมากกว่าผู้อื่น หากเจ้าไม่ยอมรับความจริง และไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา เจ้าจะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร? ผู้คนบางคนรู้สึกว่าขีดความสามารถของตนต่ำเกินไป ว่าพวกเขาขาดพร่องความสามารถที่จะรับได้ ดังนั้นพวกเขาจึงจำกัดขอบเขตของตนเอง และพวกเขารู้สึกว่าไม่ว่าพวกเขาจะไล่ตามเสาะหามากเพียงใด พวกเขาก็จะไม่สามารถบรรลุข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า พวกเขาคิดว่าไม่ว่าพวกเขาจะพยายามอย่างหนักเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ และทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดลบอยู่เสมอ และผลลัพธ์ก็คือแม้จะเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้รับความจริงแต่อย่างใด เมื่อไม่ได้ทำงานหนักเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริง หากเจ้าพูดว่าขีดความสามารถของเจ้าอ่อนด้อยเกินไป เจ้าวางมือจากการพัฒนาตนเอง และเจ้าดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะที่คิดลบอยู่เสมอ และผลลัพธ์คือ เจ้าไม่เข้าใจความจริงที่เจ้าควรเข้าใจหรือปฏิบัติวามจริงที่เจ้าสามารถปฏิบัติได้ เช่นนั้นแล้วผู้ที่กีดขวางเจ้าอยู่ก็คือตัวเจ้าเองมิใช่หรือ? หากเจ้าพูดอยู่เสมอว่าขีดความสามารถของเจ้าไม่ดีพอ นี่ไม่ใช่การเลี่ยงหนีและละเลยความรับผิดชอบหรอกหรือ? หากเจ้าสามารถทนทุกข์ ยอมลำบาก และได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้วก็ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เจ้าจะสามารถเข้าใจความจริงบางอย่างและเข้าสู่ความเป็นจริงได้บ้าง หากเจ้าไม่มองหรือพึ่งพาพระเจ้า และเจ้าวางมือจากตนเอง ไม่พยายามแต่อย่างใดหรือไม่ยอมลำบาก และยอมจำนนง่ายๆ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไร้ประโยชน์ และไม่มีมโนธรรมและเหตุผลแม้แต่น้อย ไม่ว่าขีดความสามารถของเจ้าจะอ่อนด้อยหรือโดดเด่น หากเจ้ามีมโนธรรมและเหตุผลสักนิด เจ้าก็ควรทำสิ่งที่เจ้าควรที่จะทำรวมทั้งภารกิจของเจ้าให้เสร็จสิ้นอย่างถูกต้องเหมาะสม การเป็นผู้ละทิ้งกิจของตนคือสิ่งที่เลวร้ายและเป็นการทรยศพระเจ้า นี่ไม่สามารถไถ่ได้ การไล่ตามเสาะหาความจริงพึงต้องใช้เจตจำนงอันหนักแน่น และผู้คนที่คิดลบหรืออ่อนแอเกินไปย่อมจะทำสิ่งอันใดไม่สำเร็จ พวกเขาจะไม่สามารถเชื่อในพระเจ้าไปจนถึงปลายทางได้ และหากพวกเขาปรารถนาที่จะได้รับความจริงและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย พวกเขาก็มีหวังน้อยลงไปอีก มีเพียงผู้ที่ตัดสินใจแน่วแน่และไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่สามารถได้รับความจริงและได้รับการทำให้เพียบพร้อมจากพระเจ้า
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 573
ทันทีที่หน้าที่ของพวกเขาเกิดยุ่งขึ้นมา มีผู้คนมากมายที่ไม่สามารถมีประสบการณ์กับสภาวะที่ปกติและไม่สามารถรักษาสภาวะที่ปกติเอาไว้ได้ และผลก็คือพวกเขาร้องขอให้จัดการชุมนุมและสามัคคีธรรมถึงความจริงแก่พวกเขาตลอดเวลา เกิดอะไรขึ้นตรงนี้? พวกเขาไม่เข้าใจความจริง พวกเขาไม่มีรากฐานในหนทางที่แท้จริง ผู้คนเช่นนี้ถูกความกระตือรือร้นขับเคลื่อนในยามที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ และไม่สามารถอดทนได้นาน เมื่อผู้คนไม่เข้าใจความจริง ย่อมไม่มีหลักธรรมในสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาทำ หากมีการจัดการเตรียมการให้พวกเขาทำบางสิ่ง พวกเขาย่อมทำให้ยุ่งเหยิง พวกเขาทั้งไม่ใส่ใจในสิ่งที่ตนเองทำและไม่มองหาหลักธรรม พวกเขาไม่มีความเชื่อฟังในหัวใจ—ซึ่งพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่รักความจริงและไม่สามารถมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า ไม่สำคัญว่าเจ้าทำสิ่งใด ก่อนอื่นเจ้าควรเข้าใจว่าเหตุใดเจ้ากำลังทำสิ่งนั้นอยู่ เป็นความตั้งใจอันใดที่ชี้นำเจ้าให้ทำสิ่งนี้ มีนัยสำคัญใดอยู่ในการที่เจ้าทำสิ่งนี้ อะไรคือธรรมชาติของเรื่องนี้ และสิ่งที่เจ้ากำลังทำเป็นสิ่งด้านบวกหรือสิ่งด้านลบ เจ้าต้องมีความเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ นี่ค่อนข้างจำเป็นต่อการที่จะสามารถลงมือกระทำด้วยหลักธรรม หากเจ้ากำลังทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อที่จะลุล่วงหน้าที่ของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรไตร่ตรองว่า ฉันควรปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ลุล่วงไปด้วยดีอย่างไร เพื่อที่ฉันจะไม่เพียงแค่กำลังทำหน้าที่นั้นอย่างขอไปที? เจ้าควรอธิษฐานและเข้าใกลชิดพระเจ้าในเรื่องนี้ การอธิษฐานต่อพระเจ้านั้นก็เพื่อที่จะแสวงหาความจริงแสวงหาหนทางที่จะปฏิบัติ แสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า และวิธีที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย การอธิษฐานนั้นก็เพื่อที่จะสัมฤทธิ์ผลพวงเหล่านี้ การอธิษฐานถึงพระเจ้า เข้าใกล้พระเจ้า และอ่านพระวจนะของพระเจ้า ไม่ใช่ศาสนพิธีหรือการกระทำให้เห็นภายนอก นั่นทำไปเพื่อจุดประสงค์ของการปฏิบัติโดยสอดคล้องกับความจริงหลังจากการแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า หากเจ้าพูดเสมอว่า “ขอบคุณพระเจ้า” ในเมื่อเจ้ายังไม่ได้ทำสิ่งใดเลย และเจ้าอาจจะดูเป็นฝ่ายวิญญาณและเปี่ยมความรู้ความเข้าใจเชิงลึกอย่างมาก แต่หากว่าเมื่อถึงเวลาที่ต้องลงมือกระทำ เจ้าก็ยังคงทำไปตามที่ที่เจ้าต้องการอยู่ดี โดยไม่มีการตรวจค้นความจริงแต่อย่างใดเลย เช่นนั้นแล้วคำ “ขอขอบคุณพระเจ้า” นี้ก็ไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่าบทสวด เป็นความเป็นฝ่ายวิญญาณแบบเทียมเท็จ ยามที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง เจ้าควรคิดเสมอว่า ฉันควรลุล่วงหน้าที่นี้ไปอย่างไร? สิ่งใดคือน้ำพระทัยของพระเจ้า? การอธิษฐานถึงพระเจ้าและเข้าไปใกล้ชิดพระเจ้าเพื่อแสวงหาหลักธรรมและความจริงสำหรับการกระทำของเจ้า แสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าในหัวใจของเจ้า และไม่ออกห่างจากพระวจนะของพระเจ้าหรือหลักธรรมของความจริงในสิ่งใดก็ตามที่เจ้าทำ—นี่เท่านั้นคือใครคนหนึ่งที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ผู้คนที่ไม่รักความจริงไม่อาจบรรลุทั้งหมดนี้ได้ มีผู้คนมากมายที่ทำตามแนวคิดของตนเองไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดก็ตาม และพิจารณาสิ่งทั้งหลายในแบบที่เรียบง่ายเกินจริงอย่างมาก และไม่แสวงหาความจริงด้วย ไม่มีหลักธรรมอย่างสิ้นเชิง และในหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่ได้นึกถึงวิธีปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับสิ่งที่พระเจ้าทรงขอ หรือในหนทางที่ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และพวกเขารู้เพียงแต่จะทำไปตามเจตจำนงของตนเองอย่างดื้อรั้นดันทุรังเท่านั้น พระเจ้าไม่มีที่ทางในหัวใจของผู้คนเช่นนี้ ผู้คนบางคนพูดว่า “ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าก็ต่อเมื่อฉันเผชิญความลำบากยากเย็นเท่านั้น แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าการนี้มีผลพวงอันใด—ดังนั้น โดยทั่วไปแล้วเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับฉันตอนนี้ ฉันก็ไม่อธิษฐานต่อพระเจ้า เพราะการอธิษฐานต่อพระเจ้าไม่มีประโยชน์” พระเจ้าขาดหายไปจากหัวใจของผู้คนเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง พวกเขาไม่แสวงหาความจริงไม่ว่าพวกเขากำลังทำสิ่งใดอยู่ พวกเขาเพียงแค่ทำตามแนวคิดของตนเองเท่านั้น ดังนั้นแล้วการกระทำของพวกเขามีหลักธรรมหรือไม่? ไม่อย่างแน่นอน พวกเขามองทุกสิ่งอย่างเรียบง่าย แม้ในเวลาที่ผู้คนสามัคคีธรรมหลักธรรมแห่งความจริงกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่สามารถยอมรับหลักธรรมเหล่านั้นได้ เพราะการกระทำทั้งหลายของพวกเขาไม่เคยมีหลักธรรมอันใดเลย พระเจ้าไม่ทรงมีที่ทางในหัวใจของพวกเขา และในหัวใจของพวกเขาก็ไม่มีใครเลยนอกจากตนเอง พวกเขารู้สึกว่าความตั้งใจทั้งหลายของตนนั้นดี ว่าพวกเขาไม่ได้กำลังกระทำความชั่ว ว่าความตั้งใจทั้งหลายของพวกเขาไม่สามารถถูกพิจารณาได้ว่าเป็นการละเมิดความจริง พวกเขาคิดว่าการปฏิบัติตนไปตามความตั้งใจของตนเองควรจะเป็นการปฏิบัติความจริง ว่าการปฏิบัติตนเช่นนั้นเป็นการเชื่อฟังพระเจ้า อันที่จริง พวกเขาไม่ได้กำลังแสวงหาหรืออธิษฐานต่อพระเจ้าในเรื่องนี้อย่างแท้จริง แต่กระทำการตามความรู้สึกชั่วแล่น ตามเจตนาอันแรงกล้าของพวกเขาเอง พวกเขาไม่ได้กำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนตามที่พระเจ้าทรงขอ พวกเขาไม่มีหัวใจที่เชื่อฟังพระเจ้า ความปรารถนาเช่นนี้ไม่มีอยู่ในตัวพวกเขา นี่เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในการปฏิบัติของผู้คน หากเจ้าเชื่อในพระเจ้า แต่ทว่าพระองค์ไม่ทรงอยู่ในหัวใจของเจ้า เจ้าไม่ได้กำลังพยายามหลอกลวงพระเจ้าอยู่หรอกหรือ? และความเชื่อเช่นนั้นในพระเจ้าสามารถส่งผลพวงใดได้เล่า? เจ้าสามารถได้รับสิ่งใดกันแน่? และสิ่งใดหรือที่เป็นประเด็นของความเชื่อเช่นนั้นในพระเจ้า?
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 574
เวลาเจ้าทำบางสิ่งที่ละเมิดหลักธรรมของความจริงและไม่เป็นที่น่ายินดีสำหรับพระเจ้า เจ้าควรทบทวนตนเองและพยายามรู้จักตนเองอย่างไร? ตอนที่เจ้ากำลังจะทำสิ่งนั้น เจ้าได้อธิษฐานถึงพระองค์หรือไม่? เจ้าเคยคำนึงหรือไม่ว่า “การทำสิ่งต่างๆ ในหนทางนี้ตรงตามความจริงหรือไม่? พระเจ้าจะทรงมีทรรศนะต่อเรื่องนี้อย่างไรหากมันถูกนำพาไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์? พระองค์จะทรงเป็นสุขหรือจะทรงฉุนเฉียว หากพระองค์ทรงทราบเกี่ยวกับการนี้? พระองค์จะทรงรังเกียจหรือขัดเคืองเพราะสิ่งนั้นหรือไม่?” เจ้าไม่ได้เสาะแสวงสิ่งนั้น ใช่หรือไม่? ต่อให้ผู้อื่นได้เตือนความจำเจ้า เจ้าก็จะยังคงคิดว่าเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร และว่าสิ่งนั้นไม่ได้ขัดต่อหลักธรรมใดและไม่ได้เป็นบาป ผลลัพธ์ก็คือ เจ้าได้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าและยั่วยุให้พระองค์กริ้ว กระทั่งถึงจุดที่ทำให้พระองค์ทรงดูหมิ่นเจ้า นี่เกิดขึ้นจากความเป็นกบฏของผู้คน เพราะเหตุนั้นเจ้าควรแสวงหาความจริงในทุกสิ่ง นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องปฏิบัติตาม หากเจ้าสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างจริงจังตั้งใจเพื่ออธิษฐานเสียก่อน แล้วจึงแสวงหาความจริงตามพระวจนะของพระเจ้า เจ้าก็จะไม่ผิดพลาด เจ้าอาจมีความเบี่ยงเบนในการปฏิบัติความจริงอยู่บ้าง แต่การนี้ยากที่จะหลีกเลี่ยง และเจ้าจะสามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้องหลังจากที่เจ้ามีประสบการณ์มาบ้าง อย่างไรก็ตาม หากเจ้ารู้วิธีกระทำการตามความจริง แต่กลับไม่ปฏิบัติความจริง ปัญหาย่อมเป็นว่าเจ้าไม่ชอบความจริง ผู้ที่ไม่รักความจริงจะไม่มีวันแสวงหาความจริงไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา เฉพาะผู้ที่รักความจริงเท่านั้นที่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และเมื่อมีสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจเกิดขึ้น พวกเขาก็สามารถแสวงหาความจริง หากเจ้าไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและไม่รู้วิธีปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรสามัคคีธรรมกับผู้คนบางคนที่เข้าใจความจริง หากเจ้าไม่สามารถหาคนที่เข้าใจความจริงได้ เจ้าก็ควรหาผู้คนที่มีความเข้าใจอันถ่องแท้สักสองสามคนมาร่วมอธิษฐานถึงพระเจ้าด้วยจิตใจและหัวใจที่เป็นหนึ่งเดียวกัน แสวงหาจากพระเจ้า รอเวลาของพระเจ้า และคอยให้พระเจ้าทรงเปิดทางให้แก่เจ้า ตราบใดที่พวกเจ้าทุกคนโหยหาความจริง แสวงหาความจริง และสามัคคีธรรมถึงความจริงด้วยกัน เวลาที่พวกเจ้าคนใดคนหนึ่งคิดหาหนทางที่ดีในการแก้ปัญหาออกก็อาจมาถึง หากเจ้าพบหนทางแก้ปัญหาที่เหมาะสมและนั่นเป็นหนทางที่ดี เช่นนั้นแล้ว นี่อาจเป็นเพราะความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จากนั้นหากเจ้ายังคงสามัคคีธรรมด้วยกันต่อไปเพื่อคิดหาเส้นทางปฏิบัติที่ถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น นี่ย่อมจะสอดคล้องกับหลักธรรมของความจริงอย่างแน่นอน ในการปฏิบัติของเจ้า หากเจ้าพบว่าหนทางปฏิบัติของเจ้ายังคงไม่ค่อยเหมาะสมเท่าใดนัก เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จำเป็นต้องแก้ไขให้ถูกต้องโดยเร็ว หากเจ้าทำผิดพลาดเล็กน้อย พระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษเจ้า เพราะเจตนาของเจ้าในสิ่งที่เจ้าทำนั้นถูกต้อง และเจ้ากำลังปฏิบัติตามความจริง เจ้าเพียงแค่สับสนเล็กน้อยเกี่ยวกับหลักธรรมและทำผิดพลาดในการปฏิบัติของตน ซึ่งให้อภัยได้ แต่เวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่ทำสิ่งทั้งหลาย พวกเขาทำไปตามวิธีที่พวกเขาคิดว่าควรทำ พวกเขาไม่ใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานในการใคร่ครวญว่าควรปฏิบัติตามความจริงอย่างไรหรือทำเช่นไรจึงจะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับคิดแต่เพียงว่าจะทำประโยชน์ให้ตนเองอย่างไร จะทำให้ผู้อื่นยอมรับนับถือตนอย่างไร และจะทำให้ผู้อื่นเลื่อมใสตนอย่างไร พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายตามแนวคิดของตนเองทั้งสิ้นและเพื่อทำให้ตนเองพึงพอใจเท่านั้น ซึ่งก่อความเดือดร้อน ผู้คนเช่นนี้จะไม่มีวันทำสิ่งทั้งหลายตามความจริง และพระเจ้าจะทรงเกลียดชังพวกเขาเสมอ หากเจ้าเป็นใครบางคนที่มีมโนธรรมและเหตุผลอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เจ้าก็ควรจะสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและแสวงหา สามารถตรวจสอบเหตุจูงใจและการปลอมปนในการกระทำของเจ้าอย่างจริงจังได้ สามารถกำหนดได้ว่าตามพระวจนะและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าแล้ว สิ่งใดเหมาะสมที่จะทำ และชั่งน้ำหนักและใคร่ครวญซ้ำๆ ว่าการกระทำใดทำให้พระเจ้าทรงยินดี การกระทำใดทำให้พระเจ้าทรงขัดเคือง และการกระทำใดได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า เจ้าต้องทบทวนเรื่องเหล่านี้ในใจของเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งเจ้าเข้าใจเรื่องเหล่านี้อย่างชัดเจน หากเจ้ารู้ว่าเจ้ามีเหตุจูงใจของตนเองในการทำบางสิ่ง เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องคิดทบทวนว่าเหตุจูงใจของเจ้าคืออะไร เป็นการทำให้ตนเองพึงพอใจหรือทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย เป็นประโยชน์แก่ตัวเจ้าเองหรือประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และจะก่อให้เกิดผลสืบเนื่องเช่นไร… หากเจ้าแสวงหาและใคร่ครวญเช่นนี้มากขึ้นในการอธิษฐานของเจ้า และตั้งคำถามกับตัวเจ้าเองให้มากขึ้นเพื่อแสวงหาความจริง เช่นนั้นแล้วความเบี่ยงเบนในการกระทำของเจ้าก็จะน้อยลงเรื่อยๆ เฉพาะผู้ที่สามารถแสวงหาความจริงในหนทางนี้เท่านั้นที่เป็นผู้คนที่คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าและยำเกรงพระเจ้า เพราะเจ้ากำลังแสวงหาตามข้อพึงประสงค์แห่งพระวจนะของพระเจ้าและด้วยหัวใจที่เชื่อฟัง และบทสรุปปิดตัวที่เจ้าบรรลุจากการแสวงหาในหนทางนี้ย่อมจะเป็นไปตามหลักธรรมของความจริง
หากการกระทำของผู้เชื่อไม่สอดคล้องกับความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็เป็นเหมือนผู้ไม่เชื่อ นี่คือบุคคลจำพวกที่ไม่มีพระเจ้าในหัวใจของตน และเป็นผู้ที่ไถลห่างจากพระเจ้า และบุคคลเช่นนี้เป็นเหมือนคนทำงานที่ได้รับการว่าจ้างในพระนิเวศของพระเจ้า ทำงานจิปาถะให้แก่เจ้านายของพวกเขา ได้รับค่าตอบแทนเล็กน้อยแล้วก็จากไป นี่คือบุคคลหนึ่งผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง สิ่งที่ควรทำเพื่อให้ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าคือสิ่งแรกที่เจ้าควรคำนึงถึงและทำงานเพื่อให้ได้มาเมื่อเจ้าลงมือทำสิ่งต่างๆ นั่นควรเป็นหลักธรรมและวงเขตของการปฏิบัติของเจ้า เหตุผลที่เจ้าควรกำหนดว่าเจ้ากำลังทำสิ่งที่อยู่ในแนวเดียวกับความจริงหรือไม่คือว่า หากสิ่งนั้นลงรอยกับความจริงแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วสิ่งนั้นก็คล้อยตามน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างแน่นอน ไม่ใช่ว่าเจ้าควรประเมินวัดว่าเรื่องนั้นถูกหรือผิดหรือไม่ หรือสิ่งนั้นสอดคล้องกับรสนิยมของคนอื่นทุกคนหรือไม่ หรือสิ่งนั้นอยู่ในแนวเดียวกับความอยากของเจ้าเองหรือไม่ ตรงกันข้าม เจ้าควรกำหนดพิจารณาว่าสิ่งนั้นสอดคล้องกับความจริงหรือไม่ และสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ต่องานและประโยชน์ของคริสตจักรหรือไม่ หากเจ้าให้การพิจารณาต่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะอยู่ในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเจ้าทำสิ่งทั้งหลาย หากเจ้าไม่พิจารณาแง่มุมเหล่านี้ และเพียงพึ่งพาเจตจำนงของเจ้าเองเมื่อกระทำสิ่งทั้งหลาย เช่นนั้นแล้วก็รับประกันได้ว่าเจ้าจะทำสิ่งเหล่านั้นอย่างไม่ถูกต้อง เนื่องเพราะเจตจำนงของมนุษย์ไม่ใช่ความจริงและแน่นอนว่าเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า หากเจ้าปรารถนาที่จะได้รับการรับรองจากพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องปฏิบัติไปตามความจริงมากกว่าปฏิบัติไปตามเจตจำนงของเจ้าเอง ผู้คนบางคนมีส่วนร่วมกับเรื่องส่วนบุคคลบางเรื่องเพื่อเห็นแก่การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง จากนั้นบรรดาพี่น้องชายหญิงของพวกเขาก็มองเห็นการนี้ว่าไม่เหมาะสม และตำหนิพวกเขาเพราะการนั้น แต่ผู้คนเหล่านี้ไม่ยอมรับการติเตียน พวกเขาคิดว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับงาน การเงิน หรือผู้คนของคริสตจักร และไม่ใช่การทำชั่ว ดังนั้นผู้คนจึงไม่ควรแทรกแซง สิ่งทั้งหลายบางอย่างอาจดูเหมือนว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมหรือความจริงใดๆ อย่างไรก็ตามเมื่อมองดูสิ่งที่เจ้าได้ทำ เจ้านั้นเห็นแก่ตัวยิ่งนัก เจ้าไม่คำนึงถึงงานของคริสตจักรหรือผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า หรือคำนึงว่านี่จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ เจ้าเพียงพิจารณาแต่ประโยชน์ของเจ้าเอง การนี้เกี่ยวข้องกับความสมควรของเหล่าวิสุทธิชนไปแล้ว รวมทั้งสภาวะความเป็นมนุษย์ของบุคคลหนึ่ง แม้ว่าสิ่งที่เจ้าได้กำลังทำไม่ได้เกี่ยวข้องกับประโยชน์ของคริสตจักร อีกทั้งไม่ได้เกี่ยวข้องกับความจริง การมีส่วนร่วมกับเรื่องส่วนบุคคลขณะที่ทำการกล่าวอ้างว่ากำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้านั้น ไม่อยู่ในแนวเดียวกับความจริง โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่เจ้ากำลังทำว่าเป็นเรื่องใหญ่หรือเล็ก และไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ของเจ้าในครอบครัวของพระเจ้าหรือกิจธุระส่วนตัวของเจ้าเอง เจ้าต้องพิจารณาว่าสิ่งที่เจ้ากำลังทำคล้อยตามน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ รวมทั้งเป็นบางสิ่งที่บุคคลหนึ่งควรทำกับสภาวะความเป็นมนุษย์หรือไม่ หากเจ้าแสวงหาความจริงในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำแบบนั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นบุคคลหนึ่งที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง หากเจ้าปฏิบัติต่อทุกเรื่องและทุกความจริงในหนทางนี้อย่างเปี่ยมศรัทธา เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมีความสามารถที่จะสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า มีผู้ที่คิดว่า “การให้ฉันปฏิบัติความจริงเมื่อฉันปฏิบัติหน้าที่ก็สมควรอยู่ แต่ในเวลาที่ฉันกำลังดูแลกิจธุระส่วนตัว ฉันไม่สนใจว่าความจริงมีอะไรจะพูด—ฉันจะทำตามใจชอบ อะไรก็ได้ที่ต้องทำให้เป็นประโยชน์กับฉัน” ในถ้อยคำเหล่านี้ เจ้าสามารถเห็นได้ว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้ที่รักความจริง ไม่มีหลักธรรมในสิ่งที่พวกเขาทำ พวกเขาจะทำอะไรก็ตามที่เป็นประโยชน์แก่พวกเขา โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะมีต่อพระนิเวศของพระเจ้าด้วยซ้ำ ผลก็คือเมื่อพวกเขาทำบางสิ่งลงไป พระเจ้ามิได้สถิตอยู่ในตัวพวกเขา และพวกเขาก็รู้สึกมืดมนและเศร้าเสียใจ และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นี่ไม่ใช่การลงโทษพวกเขาอย่างสาสมหรอกหรือ? หากเจ้าไม่ปฏิบัติความจริงในการกระทำของเจ้าและทำให้พระเจ้าเสื่อมเสียพระเกียรติ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังทำบาปต่อพระองค์ หากมีบางคนไม่รักความจริงและกระทำการตามเจตจำนงของพวกเขาเองเป็นนิจ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะล่วงเกินพระเจ้าเป็นนิจ พระองค์จะทรงรังเกียจและปฏิเสธพวกเขา และวางพวกเขาไว้ข้างทาง สิ่งที่บุคคลเช่นนี้ทำมักจะไม่ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า และหากพวกเขาไม่รู้จักกลับใจ เช่นนั้นแล้วการลงโทษก็อยู่ไม่ไกล
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 575
ไม่ว่าหน้าที่ใดที่เจ้าลุล่วงย่อมเกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิต ไม่ว่าหน้าที่ของเจ้าจะค่อนข้างเป็นเวลาหรือเอาแน่เอานอนไม่ได้ จืดชืดน่าเบื่อหรือมีชีวิตชีวา เจ้าย่อมต้องบรรลุการเข้าสู่ชีวิตเสมอ หน้าที่ทั้งหลายที่ผู้คนบางคนปฏิบัตินั้นค่อนข้างจำเจ พวกเขาทำสิ่งเดิมทุกวัน อย่างไรก็ตาม ตอนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่เหล่านั้นอยู่ สภาวะที่ผู้คนเหล่านี้เปิดเผยออกมานั้นไม่ได้เป็นลักษณะเดียวกันทั้งหมด บางคราว เมื่ออยู่ในอารมณ์ที่ดี ผู้คนขยันกว่าเล็กน้อยและทำงานได้ดีกว่า ส่วนในเวลาอื่นๆ เนื่องจากอิทธิพลบางอย่างที่ไม่มีใครรู้ อุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเขาก็ปลุกปั่นความประสงค์ร้ายภายในตัวพวกเขาขึ้นมา เป็นเหตุให้พวกเขามีทรรศนะที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมและอยู่ในสภาวะที่แย่และอารมณ์ที่ไม่ดี นี่ส่งผลลัพธ์ในตัวพวกเขาให้ปฏิบัติหน้าที่ทั้งหลายของพวกเขาไปในลักษณะขอไปที สภาวะภายในของผู้คนนั้นเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอ สภาวะเหล่านั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่สำคัญว่าสภาวะของเจ้าเปลี่ยนแปลงอย่างไร การปฏิบัติตนไปบนพื้นฐานของอารมณ์ของเจ้านั้นย่อมผิดเสมอ อย่างเช่น เจ้าทำได้ดีกว่าเล็กน้อยในยามที่เจ้าอยู่ในอารมณ์ที่ดี และแย่ลงเล็กน้อยเมื่อเจ้าอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดี—นี่เป็นหนทางที่มีหลักธรรมในการทำสิ่งทั้งหลายหรือ? นี่จะเปิดโอกาสให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ถึงมาตรฐานอันดีกระนั้นหรือ? ไม่ว่าอารมณ์ของพวกเขาจะเป็นเช่นไร ผู้คนต้องรู้จักอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและแสวงหาความจริง มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถหักห้ามใจไม่ให้ถูกควบคุมและแกว่งไกวไปมาด้วยอารมณ์ทั้งหลายของพวกเขา ตอนที่กำลังทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง เจ้าควรตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอเพื่อที่จะมองเห็นว่าเจ้ากำลังทำสิ่งทั้งหลายไปตามหลักธรรมหรือเปล่า ว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้านั้นได้มาตรฐานหรือเปล่า ว่าเจ้าแค่กำลังทำมันไปในลักษณะพอเป็นพิธีหรือไม่ ว่าเจ้าได้พยายามที่จะบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบของเจ้าหรือไม่ และว่ามีปัญหาอันใดกับท่าทีของเจ้าและหนทางการคิดของเจ้าหรือไม่ ครั้นเจ้าได้มีการคิดทบทวนตัวเองแล้ว และสิ่งเหล่านี้กลายมาเป็นชัดเจนต่อเจ้า เวลาที่เจ้ากำลังทำหน้าที่ให้ลุล่วงก็ย่อมจะง่ายดายขึ้น ไม่สำคัญว่าเจ้าเผชิญสิ่งใดในขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า—ความคิดลบ และความอ่อนแอ หรือการอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดีหลังจากที่ได้รับการจัดการ—เจ้าควรปฏิบัติต่อมันอย่างถูกต้องเหมาะสม และเจ้าต้องแสวงหาความจริงและเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าด้วยเช่นกัน โดยการทำสิ่งเหล่านี้ เจ้าก็จะมีเส้นทางไปสู่การฝึกฝนปฏิบัติ หากเจ้าปรารถนาที่จะทำได้ดีในการทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง เช่นนั้นแล้วอารมณ์ของเจ้าต้องไม่มีผลต่อเจ้า ไม่สำคัญว่าเจ้ากำลังรู้สึกคิดลบและอ่อนแอเพียงใด เจ้าควรฝึกฝนปฏิบัติความจริงในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำ ด้วยความเคร่งครัดอย่างสมบูรณ์ และเกาะติดอยู่กับหลักธรรมทั้งหลาย หากเจ้าทำการนี้แล้วไซร้ ผู้คนอื่นๆ ไม่เพียงแต่จะเห็นชอบต่อตัวเจ้าเท่านั้น แต่พระเจ้าก็จะโปรดเจ้าด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าจะเป็นบุคคลหนึ่งที่รับผิดชอบและที่แบกรับภาระ เจ้าจะเป็นบุคคลที่ดีอย่างถ่องแท้ผู้ซึ่งลุล่วงหน้าที่ของเจ้าอย่างได้มาตรฐานจริงๆ และผู้ซึ่งใช้ชีวิตที่เป็นสภาพเสมือนของบุคคลจริงแท้คนหนึ่งอย่างครบถ้วน ผู้คนเช่นนั้นได้รับการทำให้บริสุทธิ์และสัมฤทธิ์การแปลงสภาพจริงในตอนที่กำลังทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง และสามารถกล่าวได้ว่า พวกเขานั้นซื่อสัตย์ในสายพระเนตรของพระเจ้า เฉพาะผู้คนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถพากเพียรบากบั่นกับการฝึกฝนปฏิบัติความจริงและประสบความสำเร็จในการปฏิบัติตนตามหลักธรรม และสามารถทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วงอย่างได้มาตรฐาน ผู้คนซึ่งปฏิบัติตนด้วยหลักธรรมนั้นทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วงไปอย่างพิถีพิถันเมื่อพวกเขาอยู่ในอารมณ์ที่ดี พวกเขาไม่ได้ทำงานในลักษณะขอไปที พวกเขาไม่ใช่ไม่รู้เท่าทัน และพวกเขาไม่อวดโอ้ตัวเองเพื่อทำให้ผู้อื่นนึกถึงตัวพวกเขาอย่างสูงส่ง เมื่อพวกเขาอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดี พวกเขาก็สามารถทำกิจประจำวันของพวกเขาเสร็จสิ้นไปอย่างจริงจังตั้งใจและมีความรับผิดชอบไม่ต่างกัน และต่อให้พวกเขาเผชิญบางสิ่งบางอย่างที่เป็นอันตรายต่อการลุล่วงหน้าที่ของพวกเขา หรือที่ทำให้เกิดแรงกดดันต่อพวกเขาเล็กน้อย หรือเป็นเหตุให้เกิดการหยุดชะงักในขณะที่พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาก็ยังคงมีความสามารถที่จะทำหัวใจให้สงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐาน โดยกล่าวว่า “ไม่สำคัญว่าปัญหาที่ข้าพระองค์เผชิญนั้นใหญ่แค่ไหน—ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา—ตราบเท่าที่ข้าพระองค์ยังมีชีวิตอยู่ ข้าพระองค์มุ่งมั่นที่จะทำให้ดีที่สุดเท่าที่ข้าพระองค์ทำได้ในการลุล่วงหน้าที่ของข้าพระองค์ ทุกวันที่ข้าพระองค์มีชีวิตอยู่คือหนึ่งวันที่ข้าพระองค์ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี เพื่อให้ข้าพระองค์มีค่าคู่ควรต่อหน้าที่นี้ที่พระเจ้าประทานให้กับข้าพระองค์ รวมถึงลมหายใจนี้ที่พระองค์ทรงใส่เข้ามาในร่างกายของข้าพระองค์ โดยไม่คำนึงว่าข้าพระองค์อาจจะอยู่ในความลำบากยากเย็นมากเพียงใด ข้าพระองค์จะพักวางทั้งหมดลงไว้ก่อน เพราะการทำหน้าที่ของข้าพระองค์ให้ลุล่วงนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญสูงสุด!” บรรดาผู้ที่ไม่รู้สึกกระทบกระเทือนโดยบุคคลใด เหตุการณ์ใด สิ่งใด หรือสภาพแวดล้อมใด ไม่ถูกอารมณ์หรือสถานการณ์ภายนอกบีบคั้น และผู้ที่วางหน้าที่ทั้งหลายของพวกเขาและพระบัญชาทั้งหลายที่พระเจ้าได้ไว้วางพระทัยมอบหมายให้แก่พวกเขาเป็นอันดับแรกสุดก่อนสิ่งอื่นใด—พวกเขาคือผู้คนที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าและผู้ที่นบนอบต่อพระองค์อย่างถ่องแท้ ผู้คนเช่นนี้ได้บรรลุการเข้าสู่ชีวิตและเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงแล้ว นี่คือหนึ่งในการแสดงออกที่จริงแท้และสัมพันธ์กับชีวิตจริงที่สุดของการใช้ชีวิตตามความจริง
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเข้าสู่ชีวิตเริ่มต้นที่การปฏิบัติหน้าที่
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 576
สำหรับผู้คนบางคน ไม่สำคัญว่า ประเด็นปัญหาใดที่พวกเขาอาจจะเผชิญเมื่อกำลังปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอยู่ พวกเขาไม่แสวงหาความจริง และพวกเขาปฏิบัติตนไปตามความคิด มโนคติที่หลงผิด จินตนาการ และความอยากได้อยากมีทั้งหลายของพวกเขาเสมอ พวกเขากำลังสนองความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของตัวพวกเขาเองอยู่เป็นนิตย์ และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขานั้นก็มีอำนาจควบคุมอยู่เหนือการกระทำของพวกเขาเสมอ พวกเขาอาจดูเหมือนปฏิบัติหน้าที่ของตนเสมอมา แต่เนื่องจากพวกเขาไม่เคยยอมรับความจริง และไม่สามารถทำสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรมของความจริง พวกเขาย่อมจะล้มเหลวในการได้รับความจริงและชีวิตในท้ายที่สุด และจะกลายเป็นคนปรนนิบัติที่สมควรแก่ชื่อนั้น ดังนั้นอะไรเล่าคือสิ่งที่ผู้คนดังกล่าวพึ่งพาตอนที่พวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา? พวกเขาไม่ได้กำลังพึ่งพาทั้งความจริงและพระเจ้า ความจริงน้อยนิดที่พวกเขาเข้าใจจริงๆ ไม่ได้เริ่มต้นอำนาจอธิปไตยในหัวใจของพวกเขา พวกเขากำลังพึ่งพาพรสวรรค์และความสามารถพิเศษของพวกเขาเอง พึ่งพาความรู้อันใดก็ตามที่พวกเขาหามาได้ ตลอดจนพลังใจ หรือเจตนาดีทั้งหลายของตัวพวกเขาเอง เพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่เหล่านี้ และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเขาจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนตามมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับกันได้หรือไม่? เมื่อผู้คนพึ่งพาสภาวะตามธรรมชาติ มโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน ความเชี่ยวชาญ และการเรียนรู้ของพวกเขาที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน แม้นี่อาจดูเหมือนว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่และไม่ได้กำลังทำชั่ว แต่พวกเขาก็ไม่ได้กำลังปฏิบัติความจริง และไม่ได้ทำสิ่งใดที่ยังความพอพระทัยแก่พระเจ้า ยังมีอีกปัญหาหนึ่งที่ไม่สามารถเพิกเฉยได้อีกด้วย นั่นคือ ในช่วงระหว่างกระบวนการของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า หากมโนคติที่หลงผิด จินตนาการ ความอยากส่วนบุคคลทั้งหลายของเจ้าไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยและไม่เคยได้รับการแทนที่ด้วยความจริง และหากการกระทำและความประพฤติของเจ้านั้นไม่เคยทำไปโดยสอดคล้องกับหลักธรรมของความจริง เช่นนั้นแล้วบทอวสานสุดท้ายจะเป็นอย่างไร? เจ้าจะไม่มีการเข้าสู่ชีวิต เจ้าจะกลายเป็นคนปรนนิบัติคนหนึ่ง อันเป็นการลุล่วงพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าที่ว่า “เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนจำนวนมากร้องแก่เราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้ทำการแห่งฤทธานุภาพมากมายในพระนามของพระองค์ไม่ใช่หรือ?’ เมื่อนั้นเราจะกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’” (มัทธิว 7:22-23) เหตุใดเล่าพระเจ้าจึงทรงเรียกผู้คนเหล่านี้ผู้ทุ่มเทความพยายามและผู้ทำการปรนนิบัติว่าคนทำชั่ว? มีประเด็นหนึ่งที่พวกเราสามารถแน่ใจได้ และนั่นก็คือว่า ไม่สำคัญว่าผู้คนเหล่านี้ทำหน้าที่หรืองานอะไร แรงจูงใจ แรงกระตุ้น เจตนา และความคิดทั้งหลายของพวกเขาย่อมเกิดจากความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของพวกเขาทั้งสิ้น และทั้งหมดนั้นก็เพื่อปกป้องผลประโยชน์และความสำเร็จในภายภาคหน้าของพวกเขาเอง และเพื่อสนองความเย่อหยิ่ง ความถือดี และสถานะของพวกเขาเอง ทั้งหมดนั้นมีศูนย์กลางอยู่รอบๆ การพิจารณาและคิดคำนวณเหล่านี้ ไม่มีความจริงอยู่ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่มีหัวใจที่ยำเกรงและเชื่อฟังพระเจ้า—นี่คือรากเหง้าของปัญหา ในวันนี้มีความสำคัญยิ่งที่พวกเจ้าจะต้องไล่ตามเสาะหาสิ่งใด? พวกเจ้าต้องแสวงหาความจริงในทุกสิ่งทุกอย่าง และพวกเจ้าต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสมตามน้ำพระทัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระเจ้าทรงขอ หากเจ้าลงมือทำ เจ้าก็จะได้รับการสรรเสริญจากพระเจ้า ดังนั้นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าตามที่พระเจ้าทรงขอนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งใดเป็นการเฉพาะ? ในทุกสิ่งที่เจ้าทำ เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะอธิษฐานถึงพระเจ้า เจ้าต้องคิดทบทวนว่าเจ้ามีแรงจูงใจอันใด เจ้ามีความคิดเช่นใด แล้วแรงจูงใจและความคิดเหล่านี้สอดคล้องกับความจริงหรือไม่ หากไม่สอดคล้อง ก็ควรละวางเสีย หลังจากนั้นเจ้าควรกระทำการตามหลักธรรมของความจริง และยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า นี่จะทำให้แน่ใจได้ว่าตัวเจ้านำความจริงไปปฏิบัติ หากเจ้ามีแรงจูงใจและจุดมุ่งหมายของตนเอง และตระหนักรู้เป็นอย่างดีว่าสิ่งเหล่านั้นละเมิดความจริงและไม่ลงรอยกับน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่ทว่ายังคงไม่อธิษฐานถึงพระเจ้าและไม่แสวงหาความจริงเพื่อหาหนทางแก้ไข เช่นนั้นแล้วนี่ก็อันตราย เป็นการง่ายที่เจ้าจะทำชั่วและทำสิ่งที่ต่อต้านพระเจ้า หากเจ้ากระทำความชั่วหนึ่งหรือสองครั้งและกลับใจ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ยังมีหวังที่จะได้รับความรอด หากเจ้าทำชั่วไม่เลิก—หากเจ้ากระทำความเลวทุกรูปแบบ—และยังคงไม่กลับใจ เช่นนั้นเจ้าก็ลำบากแล้ว กล่าวคือ พระเจ้าจะทรงโยนเจ้าไว้ข้างหนึ่งหรือทอดทิ้งเจ้า ซึ่งหมายความว่าเจ้ามีความเสี่ยงที่จะถูกขับออกไป ผู้คนที่กระทำความเลวทุกรูปแบบย่อมจะถูกลงโทษและถูกขับออกไปอย่างแน่นอน
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 577
ผู้คนต้องเข้าใจว่ามีหลักการพื้นฐานอยู่ในการปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตทรงสร้างขององค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้าง ซึ่งเป็นหลักการสูงสุดอีกด้วย วิธีที่องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างทรงปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเป็นไปตามแผนการบริหารจัดการของพระองค์และเป็นไปตามข้อพึงประสงค์ในพระราชกิจของพระองค์ทั้งสิ้น พระองค์ไม่จำเป็นต้องทรงปรึกษาผู้ใดสักคน อีกทั้งพระองค์ก็ไม่จำเป็นต้องทรงให้บุคคลใดสักคนเห็นด้วยกับพระองค์ ไม่ว่าพระองค์ควรจะทรงทำสิ่งใด และไม่ว่าพระองค์ควรจะทรงปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไร แต่พระองค์ก็ทรงทำ และไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงทำสิ่งใดหรือพระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไร ทั้งหมดล้วนสอดคล้องกับหลักธรรมของความจริงและหลักธรรมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างใช้ทรงพระราชกิจ สิ่งเดียวที่ต้องทำในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างคือการนบนอบพระผู้สร้าง คนเราไม่ควรเลือกสิ่งใดเอง นี่คือเหตุผลที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี และหากคนคนหนึ่งไม่คิดเช่นนี้ เช่นนั้นแล้วก็ไม่เหมาะที่จะเรียกพวกเขาว่าคน ผู้คนต้องเข้าใจว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างจะทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างเสมอ พระองค์ทรงมีฤทธานุภาพและคุณสมบัติที่จะจัดวางเรียบเรียงและปกครองสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ ตามที่พระองค์พอพระทัย และไม่จำเป็นต้องทรงมีเหตุผลในการทำเช่นนั้น นี่คือสิทธิอำนาจของพระองค์ ท่ามกลางสิ่งมีชีวิตแห่งการทรงสร้างไม่มีสักรายที่มีสิทธิ์หรือมีคุณสมบัติที่จะตัดสินว่าสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างทรงทำนั้นถูกต้องหรือผิด หรือว่าพระองค์ควรทรงกระทำการเช่นไร ไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดมีสิทธิ์เลือกว่าตนจะยอมรับกฎเกณฑ์และการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้างหรือไม่ และไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดมีสิทธิ์เรียกร้องว่าพระผู้สร้างควรที่จะทรงปกครองและจัดการเตรียมชะตากรรมของพวกตนเช่นไร นี่คือความจริงสูงสุด ไม่สำคัญว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างได้ทรงทำสิ่งใดกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์ และไม่สำคัญว่าพระองค์ได้ทรงทำสิ่งนั้นอย่างไร พวกมนุษย์ที่พระองค์ได้ทรงสร้างควรทำเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือแสวงหา นบนอบ รู้จัก และยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างได้ทรงสถาปนาไว้ ผลสุดท้ายก็จะเป็นว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างจะได้ทรงทำให้แผนการบริหารจัดการของพระองค์สำเร็จลุล่วงแล้ว และทำให้พระราชกิจของพระองค์ครบบริบูรณ์แล้ว โดยได้ทรงทำให้แผนการบริหารจัดการของพระองค์ก้าวหน้าไปโดยไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ ขณะเดียวกัน เพราะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้ยอมรับกฎและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้าง และนบนอบต่อกฎและการจัดการเตรียมการของพระองค์ พวกเขาก็จะได้รับความจริงแล้ว เข้าใจน้ำพระทัยของพระผู้สร้างแล้ว และมารู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์แล้ว ยังมีหลักการอยู่อีกหนึ่งหลักการที่เราต้องบอกพวกเจ้า นั่นคือ ไม่สำคัญว่าพระผู้สร้างทรงทำสิ่งใด ไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงสำแดงอย่างไร และไม่สำคัญว่าสิ่งที่พระองค์ทรงทำเป็นกิจการยิ่งใหญ่หรือการกระทำเล็กๆ พระองค์ก็ยังคงทรงเป็นพระผู้สร้าง ในขณะที่มวลมนุษย์ทั้งปวงซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างก็ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ไม่ว่าพวกเขาได้ทำสิ่งใดไปแล้วและไม่ว่าพวกเขาอาจมีความสามารถพิเศษหรือมีพรสวรรค์มากเพียงใด สำหรับมนุษยชาติทรงสร้างแล้ว ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะได้รับพระคุณมากเพียงใดและพระพรมากมายเพียงใดจากพระผู้สร้าง หรือความปรานี ความรักมั่นคง หรือความเมตตากรุณามากเพียงใด พวกเขาก็ไม่ควรเชื่อตัวพวกเขาเองว่ายืนห่างจากผองชน หรือคิดว่าพวกเขาสามารถยืนเสมอพระเจ้าได้ และคิดว่าพวกเขาได้กลายเป็นมีตำแหน่งสูงท่ามกลางสิ่งมีชีวิตทรงสร้างแล้ว โดยไม่คำนึงถึงว่าพระเจ้าได้ประทานของประทานให้เจ้ามากเพียงใด หรือพระองค์ได้ทรงให้พระคุณแก่เจ้ามากเพียงใด หรือพระองค์ได้ทรงปฏิบัติต่อเจ้าด้วยความใจดีมากเพียงใด หรือพระองค์ได้ทรงให้ความสามารถพิเศษแก่เจ้าบ้างแล้วหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ไม่มีสิ่งใดเป็นทรัพย์สินของเจ้าเลย เจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และด้วยเหตุนั้น เจ้าจะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างตลอดไป เจ้าต้องไม่คิดว่า “ฉันเป็นที่รักตัวน้อยในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระเจ้าจะไม่ทรงทิ้งฉัน ท่าทีของพระเจ้าต่อฉันจะเป็นท่าทีแห่งความรัก ความใส่พระทัย และการลูบไล้อย่างอ่อนโยนเสมอ พร้อมเสียงกระซิบอันอบอุ่นแห่งความชูใจและการหนุนใจ” ในทางตรงกันข้าม ในสายพระเนตรของพระผู้สร้าง เจ้าก็เป็นอย่างเดียวกันกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอื่นๆ ทั้งหมด พระเจ้าสามารถใช้เจ้าได้ตามที่พระองค์ทรงปรารถนา และยังสามารถจัดวางเรียบเรียงเจ้าได้ตามที่พระองค์ทรงปรารถนาอีกด้วย และพระองค์สามารถจัดการเตรียมการตามที่พระองค์ทรงปรารถนาเพื่อให้เจ้าเล่นบทบาทใดก็ได้ท่ามกลางผู้คน เหตุการณ์และสิ่งทั้งหลายทุกชนิด นี่คือความรู้ที่ผู้คนควรมี และคือสำนึกรับรู้ที่ดีซึ่งพวกเขาควรครอง หากคนเราสามารถเข้าใจและยอมรับวจนะเหล่านี้ได้ สัมพันธภาพของพวกเขากับพระเจ้าก็จะยิ่งเป็นปกติมากขึ้น และพวกเขาจะสร้างสัมพันธภาพที่สมเหตุสมผลที่สุดกับพระองค์ หากคนเราสามารถเข้าใจและยอมรับวจนะเหล่านี้ได้ พวกเขาก็จะปรับทิศทางสถานะของพวกเขาอย่างถูกต้องเหมาะสม ยืนในที่ที่ถูกต้องเหมาะสมของพวกเขา และรักษาหน้าที่ของพวกเขา
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงด้วยการเข้าใจความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถรู้จักกิจการของพระเจ้าได้
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 578
การรู้จักพระเจ้าต้องเป็นไปโดยผ่านทางการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ปฏิบัติและผ่านประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า รวมทั้งผ่านประสบการณ์กับบททดสอบ กระบวนการถลุง การตัดแต่งและการจัดการมากมาย เมื่อนั้นเท่านั้นที่การมีความรู้อย่างแท้จริงเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าและพระอุปนิสัยของพระเจ้าจึงจะเป็นไปได้ บางคนกล่าวว่า “ฉันยังไม่ได้เห็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์เลย แล้วฉันควรรู้จักพระเจ้าอย่างไรเล่า?” ในข้อเท็จจริงนั้น พระวจนะของพระเจ้าก็คือการแสดงออกอย่างหนึ่งของพระอุปนิสัยของพระองค์ จากพระวจนะของพระเจ้า เจ้าสามารถมองเห็นความรักและความรอดของพระองค์ที่มีต่อพวกมนุษย์ ตลอดจนวิธีการของพระองค์ในการช่วยพวกเขาให้รอด… นี่เป็นเพราะพระวจนะของพระองค์ถูกแสดงออกมาโดยพระเจ้าพระองค์เอง ไม่ใช่ถูกเขียนขึ้นโดยพวกมนุษย์ พระเจ้าได้ทรงแสดงพระวจนะเหล่านั้นออกมาด้วยพระองค์เอง พระเจ้าพระองค์เองกำลังทรงแสดงพระวจนะของพระองค์เองและเสียงในพระทัยของพระองค์ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นพระวจนะจากพระทัยของพระองค์ เหตุใดจึงเรียกว่าพระวจนะจากพระทัยของพระองค์? นั่นก็เป็นเพราะพระวจนะเหล่านี้ออกมาจากส่วนลึกลงไป และแสดงพระอุปนิสัยของพระองค์ น้ำพระทัยของพระองค์ แนวพระดำริและพระดำริของพระองค์ ความรักของพระองค์ที่มีต่อมวลมนุษย์ ความรอดของพระองค์สำหรับมวลมนุษย์ และความคาดหวังของพระองค์ที่มีต่อมวลมนุษย์… ถ้อยดำรัสของพระเจ้ารวมไปด้วยพระวจนะอันกร้าวกระด้าง และพระวจนะอันอ่อนโยนและมีความคำนึงห่วงใย ตลอดจนพระวจนะในเชิงเปิดเผยซึ่งไม่เป็นไปในแนวเดียวกับที่มนุษย์ปรารถนา หากเจ้ามองเพียงพระวจนะในเชิงเปิดเผยเท่านั้น เจ้าก็อาจรู้สึกว่า พระเจ้าทรงค่อนข้างเข้มงวดทีเดียว หากเจ้ามองเพียงพระวจนะอันอ่อนโยน เจ้าก็อาจรู้สึกว่า พระเจ้าไม่ทรงสิทธิอำนาจมากเท่าใดนัก เพราะฉะนั้น เจ้าจึงไม่ควรมองพระวจนะเหล่านี้ออกนอกบริบท ในทางกลับกันให้มองพระวจนะเหล่านี้จากทุกมุม บางคราวพระเจ้าตรัสจากมุมมองอันเปี่ยมความสงสารเห็นใจ และเช่นนั้นแล้ว ผู้คนจึงมองเห็นความรักที่พระองค์ทรงมีต่อมวลมนุษย์ บางคราวพระองค์ก็ตรัสจากมุมมองที่เคร่งครัดมาก และแล้วผู้คนก็จะมองเห็นว่าพระอุปนิสัยของพระองค์ไม่ยอมผ่อนปรนต่อการล่วงเกิน ว่ามนุษย์นั้นโสมมอย่างหนัก และไม่มีค่าคู่ควรที่จะมองเห็นพระพักตร์ของพระเจ้าหรือมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ และว่าการที่บัดนี้พวกเขาได้รับอนุญาตให้มาเฉพาะพระพักตร์พระองค์นั้นก็เพราะพระคุณของพระองค์ทั้งสิ้น พระปัญญาของพระเจ้าสามารถมองเห็นได้จากหนทางที่พระองค์ทรงพระราชกิจและในนัยสำคัญแห่งพระราชกิจของพระองค์ ผู้คนยังคงสามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ในพระวจนะของพระเจ้า ต่อให้ปราศจากการติดต่อสัมพันธ์โดยตรงกับพระองค์ก็ตาม เมื่อใครบางคนที่รู้จักพระเจ้าอย่างถ่องแท้มาติดต่อสัมพันธ์กับพระคริสต์ การที่พวกเขาเผชิญหน้ากับพระคริสต์ย่อมสามารถเชื่อมโยงเข้ากับความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้า อย่างไรก็ตาม เมื่อใครบางคนที่มีเพียงความเข้าใจเชิงทฤษฎีเผชิญหน้ากับพระคริสต์ พวกเขาย่อมไม่สามารถมองเห็นความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันได้ ความจริงเกี่ยวกับการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าคือความล้ำลึกที่ลุ่มลึกที่สุด เป็นสิ่งที่มนุษย์หยั่งถึงได้ยาก จงรวบรวมพระวจนะของพระเจ้าว่าด้วยความล้ำลึกของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ มองดูพระวจนะเหล่านั้นจากทุกมุม แล้วจากนั้นก็จงอธิษฐานร่วมกัน ไตร่ตรอง และสามัคคีธรรมเพิ่มเติมเกี่ยวกับแง่มุมนี้ของความจริง ในการทำดังนั้น เจ้าจะมีความสามารถที่จะได้รับความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์และเกิดความเข้าใจขึ้นมา เพราะพวกมนุษย์ไม่มีโอกาสที่จะมีการติดต่อสัมพันธ์โดยตรงกับพระเจ้า พวกเขาจึงต้องพึ่งพาประสบการณ์ประเภทนี้เพื่อค่อยๆ คลำทางของพวกเขาไปและเข้าสู่ทีละน้อย หากพวกเขาหมายจะรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริงในท้ายที่สุด
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 579
การรู้จักพระเจ้าหมายถึงอะไร? นั่นหมายถึงการสามารถที่จะเข้าใจความชื่นบานยินดี ความโมโห ความโศกเศร้า และความสุขของพระองค์ และด้วยเหตุนี้จึงรู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์—นี่เองคือการรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง เจ้ากล่าวอ้างว่าเจ้าได้เห็นพระองค์แล้ว กระนั้นเจ้าก็ยังไม่เข้าใจความชื่นบานยินดี ความโมโห ความโศกเศร้า และความสุขของพระองค์ และเจ้าไม่เข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์ เจ้ายังไม่เข้าใจทั้งความชอบธรรมของพระองค์และความเปี่ยมกรุณาของพระองค์ อีกทั้งเจ้าก็ไม่รู้ว่าสิ่งใดที่พระองค์ทรงโปรดและสิ่งใดที่พระองค์ทรงเกลียด นี่ไม่ใช่ความรู้ในเรื่องของพระเจ้า ผู้คนบางคนสามารถติดตามพระเจ้า แต่ไม่จำเป็นต้องเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง การเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงคือการเชื่อฟังพระเจ้า ผู้ที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าอย่างแท้จริงย่อมไม่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง—ความแตกต่างอยู่ตรงนี้ เมื่อเจ้าติดตามพระเจ้ามาหลายปี และมีความรู้และความเข้าใจในพระเจ้า เมื่อเจ้าเข้าใจและจับใจความน้ำพระทัยของพระเจ้าได้บ้าง เมื่อเจ้าตระหนักรู้เจตนารมณ์ที่พระเจ้าทรงอุตสาหะในการช่วยมนุษย์ให้รอด นั่นคือยามที่เจ้าเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง เชื่อฟังพระเจ้าอย่างแท้จริง รักพระเจ้าอย่างแท้จริง และนมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริง หากเจ้าเชื่อในพระเจ้า แต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า และไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระราชกิจของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นเพียงผู้ติดตามคนหนึ่งที่วิ่งไล่ตามพระเจ้าและทำตามอะไรก็ได้ที่คนส่วนใหญ่ทำ นั่นไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการนบนอบอย่างแท้จริง และยิ่งไม่ใช่การนมัสการที่แท้จริง การนมัสการที่แท้จริงเกิดขึ้นอย่างไร? ทุกคนที่มองเห็นพระเจ้าและรู้จักพระเจ้าอย่างถ่องแท้ล้วนนมัสการและเคารพพระองค์โดยไม่มีข้อยกเว้น พวกเขาล้วนถูกสะกดให้ยอมกราบไหว้และนมัสการพระองค์ ณ ปัจจุบัน ในขณะที่พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์กำลังทรงงาน ยิ่งผู้คนมีความเข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งหวงแหนสิ่งเหล่านี้ราวสมบัติล้ำค่ามากขึ้นเท่านั้นและพวกเขาจะยิ่งเคารพพระองค์มากขึ้นเท่านั้น โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งผู้คนมีความเข้าใจในพระเจ้าน้อยลงเท่าใด พวกเขาก็ย่อมเลินเล่อมากขึ้นเท่านั้น และดังนั้นพวกเขาจึงปฏิบัติต่อพระเจ้าดั่งเป็นมนุษย์ หากผู้คนได้รู้จักและมองเห็นพระเจ้าจริงๆ พวกเขาจะตัวสั่นด้วยความยำเกรงและกราบไหว้อยู่ที่พื้น “แต่พระองค์ผู้จะมาภายหลังข้าพเจ้า ทรงยิ่งใหญ่กว่าข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าไม่คู่ควรแม้แต่จะถือฉลองพระบาท” (มัทธิว 3:11)—เหตุใดยอห์นจึงกล่าวเช่นนี้? แม้ว่าลึกลงไปแล้ว เขามิได้มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าอย่างลุ่มลึกมากนัก แต่เขาก็รู้ว่าพระเจ้าทรงน่าเกรงขาม ผู้คนมากมายเท่าใดในทุกวันนี้ที่มีความสามารถในการเคารพพระเจ้า? หากพวกเขาไม่รู้พระอุปนิสัยของพระองค์แล้วไซร้ พวกเขาจะสามารถเคารพพระเจ้าได้อย่างไร? หากผู้คนทั้งไม่รู้จักแก่นแท้ของพระคริสต์และไม่เข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า พวกเขาก็จะยิ่งไม่สามารถนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้ได้อย่างแท้จริง หากพวกเขามองเห็นเพียงการทรงปรากฏภายนอกที่เป็นปกติและธรรมดาสามัญของพระคริสต์ ทว่าไม่รู้จักแก่นแท้ของพระองค์ เช่นนั้นแล้วก็ย่อมง่ายสำหรับพวกเขาที่จะปฏิบัติต่อพระองค์ดังเช่นเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาสามัญคนหนึ่ง พวกเขาอาจนำท่าทีที่มีความเคารพมาใช้กับพระองค์และสามารถโกงพระองค์ ต้านทานพระองค์ ไม่เชื่อฟัง และทำการตัดสินพระองค์ได้ พวกเขาสามารถมองตัวเองว่าชอบธรรมอยู่เสมอ และไม่จริงจังกับพระวจนะของพระองค์ พวกเขาสามารถถึงขั้นเหนี่ยวนำให้เกิดมโนคติที่หลงผิด การกล่าวโทษ และการหมิ่นประมาทพระเจ้าได้ เพื่อแก้ปัญหาในประเด็นปัญหาเหล่านี้ คนเราต้องรู้จักแก่นแท้และเทวสภาพของพระคริสต์ นี่คือแง่มุมหลักของการรู้จักพระเจ้า นั่นคือสิ่งที่ทุกคนซึ่งเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงต้องเข้าสู่และสัมฤทธิ์
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม