การเปิดโปงความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ 1

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 300

หลังจากหลายพันปีแห่งความเสื่อมทราม มนุษย์ด้านชาและปัญญาทึบ เขาได้กลายเป็นปีศาจตนหนึ่งซึ่งต่อต้านพระเจ้า จนถึงขนาดที่ความเป็นกบฏของมนุษย์ต่อพระเจ้านั้นได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ทั้งหลาย และกระทั่งมนุษย์เองก็ไม่สามารถที่จะพรรณนาพฤติกรรมอันเป็นกบฏของเขาได้อย่างครบถ้วน—ด้วยเหตุที่มนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึก และได้ถูกซาตานพาออกนอกลู่นอกทางไปถึงขนาดที่ว่าเขาไม่รู้ว่าจะหันไปทางใด  แม้กระทั่งวันนี้ มนุษย์ยังคงทรยศพระเจ้า กล่าวคือ เมื่อมนุษย์เห็นพระเจ้า เขาทรยศพระองค์ และเมื่อเขาไม่สามารถเห็นพระเจ้า เขาก็ทรยศพระองค์ด้วยเช่นกัน  มีแม้กระทั่งพวกที่เมื่อได้เป็นประจักษ์พยานในคำสาปแช่งของพระเจ้าและพระพิโรธของพระเจ้าแล้ว ก็ยังคงทรยศพระองค์  และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าสำนึกรับรู้ของมนุษย์ได้สูญเสียหน้าที่ดั้งเดิมของมันไปแล้ว และมโนธรรมของมนุษย์ก็ได้สูญเสียหน้าที่ดั้งเดิมของมันไปแล้วด้วยเช่นกัน  มนุษย์ที่เราเฝ้ามองคือสัตว์เดียรัจฉานตัวหนึ่งในเครื่องแต่งกายของมนุษย์ เขาเป็นอสรพิษตัวหนึ่ง และไม่สำคัญว่าเขาพยายามทำตัวให้ดูเหมือนน่าเวทนาต่อหน้าต่อตาของเราเพียงใด เราจะไม่มีวันเมตตาเขา ด้วยเหตุที่มนุษย์ไม่มีการจับความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างขาวกับดำ ในความแตกต่างระหว่างความจริงกับสิ่งที่ไม่ใช่ความจริง  สำนึกรับรู้ของมนุษย์ด้านชายิ่งนัก กระนั้นเขาก็ยังคงปรารถนาที่จะได้รับพร สภาวะความเป็นมนุษย์ของเขาต่ำศักดิ์ยิ่งนัก กระนั้นเขาก็ยังคงปรารถนาที่จะมีอธิปไตยของกษัตริย์  เขาจะสามารถเป็นกษัตริย์ของใครได้ ด้วยสำนึกรับรู้เช่นนั้น?  เขาที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์เช่นนั้นจะสามารถนั่งบนบัลลังก์ได้อย่างไร?  มนุษย์ไม่มีความละอายใจจริงๆ!  เขาคือผู้เคราะห์ร้ายที่ทะนงตนคนหนึ่ง!  สำหรับพวกเจ้าที่ปรารถนาจะได้รับพร เราขอแนะนำให้เจ้าหากระจกเงาบานหนึ่งแล้วมองดูภาพสะท้อนอันน่าเกลียดของเจ้าเองเสียก่อน—เจ้ามีสิ่งจำเป็นในการเป็นกษัตริย์หรือไม่?  เจ้ามีหน้าตาเหมือนผู้หนึ่งซึ่งสามารถได้รับพรหรือไม่?  ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้าเลยแม้แต่น้อยและเจ้ายังไม่ได้นำความจริงใดๆ มาปฏิบัติเลย กระนั้นเจ้ายังคงปรารถนาที่จะมีวันพรุ่งนี้ที่น่าอัศจรรย์อยู่อีก  เจ้ากำลังหลอกตัวเอง!  มนุษย์ซึ่งเกิดมาในดินแดนอันโสมมเช่นนั้น ได้ถูกสังคมทำให้มัวหมองอย่างรุนแรง เขาได้รับอิทธิพลจากจริยธรรมแบบศักดินา และเขาได้รับการสอน ณ “สถาบันอุดมศึกษา” การคิดล้าหลัง ศีลธรรมอันเสื่อมทราม มุมมองชีวิตแบบคับแคบ ปรัชญาเพื่อการดำรงชีวิตที่น่ารังเกียจ การดำรงอยู่อันไร้ค่าอย่างที่สุด และรูปแบบการใช้ชีวิตและขนบธรรมเนียมทั้งหลายอันต่ำทราม—สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดได้รุกล้ำเข้าไปในหัวใจของมนุษย์อย่างรุนแรง และได้บ่อนทำลายและโจมตีมโนธรรมของเขาอย่างรุนแรง  ผลก็คือ มนุษย์ยิ่งอยู่ห่างไกลจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งต่อต้านพระองค์มากขึ้นเรื่อยๆ  อุปนิสัยของมนุษย์กลายมาเป็นชั่วช้ามากขึ้นในแต่ละวัน และไม่มีสักคนที่จะเต็มใจยอมสละสิ่งใดๆ เพื่อพระเจ้า ไม่มีสักคนที่จะเต็มใจเชื่อฟังพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีสักคนที่จะเต็มใจแสวงหาการทรงปรากฏของพระเจ้า  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน มนุษย์ไม่ทำอะไรเลยนอกจากไล่ตามเสาะหาความยินดี โดยยอมให้ตัวเขาเองจมอยู่กับความเสื่อมทรามของเนื้อหนังในดินแดนแห่งโคลน  แม้คราที่พวกเขาได้ยินความจริง พวกที่ใช้ชีวิตอยู่ในความมืดมิดก็ไม่ได้ครุ่นคิดเรื่องการนำความจริงไปปฏิบัติ และพวกเขาก็ไม่มีแนวโน้มที่จะแสวงหาพระเจ้าแม้เมื่อพวกเขาได้เห็นการทรงปรากฏของพระองค์แล้วก็ตาม  มนุษย์ที่ต่ำทรามเช่นนั้นจะสามารถมีโอกาสแห่งความรอดได้อย่างไร?  มนุษย์ที่เสื่อมศีลธรรมเช่นนั้นจะสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่างได้อย่างไร?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การมีอุปนิสัยที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 301

รากเหง้าของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เกิดขึ้นในตัวมนุษย์ก็คือการหลอกลวง การทำให้เสื่อมทราม และพิษของซาตาน  มนุษย์ถูกซาตานพันธนาการและควบคุมเอาไว้ และเขาทุกข์ทนกับอันตรายใหญ่หลวงที่ซาตานก่อให้เกิดขึ้นกับการคิด ศีลธรรม ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก และสำนึกรับรู้ของเขา  นั่นเป็นเพราะสิ่งพื้นฐานทั้งหลายของมนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามแล้วอย่างแน่นอน และไม่เหมือนอย่างที่สุดกับวิธีการที่พระเจ้าได้ทรงสร้างพวกเขาขึ้นมาแต่ดั้งเดิมนั่นเอง มนุษย์จึงต่อต้านพระเจ้าและไม่สามารถยอมรับความจริง  ด้วยเหตุนี้ การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยของมนุษย์จึงควรเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในการคิด ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก และสำนึกรับรู้ของเขา ซึ่งจะเปลี่ยนความรู้ของเขาเกี่ยวกับพระเจ้าและความรู้ของเขาเกี่ยวกับความจริง  พวกที่เกิดมาในดินแดนที่เสื่อมทรามอย่างล้ำลึกที่สุดในบรรดาดินแดนทั้งหมดนั้นไม่รู้เท่าทันในสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็น หรือความหมายของการเชื่อในพระเจ้ายิ่งขึ้นไปอีก  ยิ่งผู้คนเสื่อมทรามมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งรู้จักการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าน้อยลงเท่านั้น และสำนึกรับรู้และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของพวกเขาก็ยิ่งแย่ลงเท่านั้น  แหล่งที่มาของการต่อต้านและการเป็นกบฏต่อพระเจ้าของมนุษย์ก็คือความเสื่อมทรามของเขาโดยซาตาน  เพราะความเสื่อมทรามของซาตาน มโนธรรมของมนุษย์จึงได้ด้านชามากขึ้น เขาไม่มีศีลธรรม ความคิดของเขาเสื่อม และเขามีทัศนะทางจิตใจที่ล้าหลัง  ก่อนที่เขาจะถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม มนุษย์ได้ติดตามพระเจ้าโดยธรรมชาติและเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์หลังจากที่ได้ยินพระวจนะเหล่านั้น  เขามีสำนึกรับรู้และมโนธรรมที่ถูกต้องโดยธรรมชาติ และมีสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ  หลังจากที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม สำนึกรับรู้ มโนธรรม และสภาวะความเป็นมนุษย์ดั้งเดิมของมนุษย์ก็ทึบเขลาและถูกซาตานทำให้เสื่อมลง  ด้วยเหตุนี้ เขาจึงได้สูญเสียความเชื่อฟังและความรักของเขาที่มีต่อพระเจ้า  สำนึกรับรู้ของมนุษย์ได้กลายเป็นผิดปกติวิสัย อุปนิสัยของเขาได้กลายเป็นเช่นเดียวกับอุปนิสัยของสัตว์ตัวหนึ่ง และความเป็นกบฏของเขาต่อพระเจ้าก็เกิดขึ้นบ่อยขึ้นและรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก กระนั้นก็ตามมนุษย์ยังคงไม่รู้และไม่ระลึกถึงการนี้ได้ และเพียงต่อต้านและเป็นกบฏอย่างมืดบอด  อุปนิสัยของมนุษย์ถูกเผยในการแสดงออกทั้งหลายของสำนึกรับรู้ ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก และมโนธรรมของเขา เพราะสำนึกรับรู้และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของเขานั้นไม่น่าไว้ใจ และมโนธรรมของเขาได้มึนชายิ่งนัก ด้วยเหตุนี้อุปนิสัยของเขาจึงเป็นกบฏต่อพระเจ้า  หากสำนึกรับรู้และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของมนุษย์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่นนั้นแล้ว การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยของเขาก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกับการสอดคล้องกันกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  หากสำนึกรับรู้ของมนุษย์ไม่น่าไว้ใจ เขาก็ย่อมไม่สามารถรับใช้พระเจ้าได้และไม่เหมาะสำหรับการใช้งานโดยพระเจ้า “สำนึกรับรู้ที่ปกติ” หมายถึงการเชื่อฟังและการสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า หมายถึงการโหยหาในพระเจ้า หมายถึงการมีความสมบูรณ์ต่อพระเจ้า และหมายถึงการมีมโนธรรมต่อพระเจ้า  นั่นหมายถึงการเป็นหัวใจและจิตใจหนึ่งเดียวกับพระเจ้า และการไม่ต่อต้านพระเจ้าโดยจงใจ  การมีสำนึกรับรู้ที่ผิดปกติวิสัยไม่ได้เป็นเช่นนี้  เนื่องจากมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เขาจึงได้คิดมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าขึ้นมา และเขาไม่เคยมีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าหรือการโหยหาในพระองค์เลย ยิ่งไม่พักต้องพูดถึงมโนธรรมที่มีต่อพระเจ้า มนุษย์ต่อต้านพระเจ้าและตัดสินพระองค์โดยจงใจ และยิ่งไปกว่านั้น ยังกล่าวคำผรุสวาทใส่พระองค์ลับหลังพระองค์  มนุษย์ตัดสินพระเจ้าลับหลังพระองค์ ด้วยความรู้อันชัดเจนว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า มนุษย์ไม่มีเจตนาที่จะเชื่อฟังพระเจ้า และเพียงสร้างข้อเรียกร้องและคำร้องขอแบบไม่ลืมหูลืมตาจากพระองค์  ผู้คนเช่นนั้น—ผู้คนผู้ซึ่งมีสำนึกรับรู้อันผิดปกติวิสัย—ไม่สามารถที่จะรู้จักพฤติกรรมอันน่าดูหมิ่นของพวกเขาเองหรือเสียใจในความเป็นกบฏของพวกเขา  หากผู้คนสามารถรู้จักตัวเองได้ พวกเขาก็ย่อมได้รับเอาสำนึกรับรู้ของพวกเขากลับมาแล้วเล็กน้อย ยิ่งผู้คนที่ไม่สามารถรู้จักตัวเองมีความเป็นกบฏต่อพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีสำนึกรับรู้ที่ถูกต้องน้อยลงเท่านั้น

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การมีอุปนิสัยที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 302

การที่มนุษย์เปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนออกมาเกิดจากมโนธรรมที่ทึบเขลาของมนุษย์ ธรรมชาติอันมุ่งร้ายของเขา และสำนึกรับรู้ที่บกพร่องของเขาเท่านั้น หากมโนธรรมและสำนึกรับรู้ของมนุษย์กลายเป็นปกติได้อีกครั้ง เขาก็ย่อมจะกลายเป็นใครบางคนซึ่งเหมาะสมสำหรับการใช้งานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  เป็นเพียงเพราะมโนธรรมของมนุษย์นั้นด้านชามาตลอด และเพราะสำนึกรับรู้ของมนุษย์ ซึ่งไม่เคยถูกต้อง กำลังทึบเขลายิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนมนุษย์กำลังเป็นกบฏต่อพระเจ้ายิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นที่ว่าเขากระทั่งได้ตรึงพระเยซูบนกางเขนและไม่ยอมให้การจุติเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายของพระเจ้าเข้าสู่พระนิเวศของพระองค์ และกล่าวโทษเนื้อหนังของพระเจ้า และมองเนื้อหนังของพระเจ้าว่าต่ำต้อย  หากมนุษย์เพียงมีสภาวะความเป็นมนุษย์เล็กน้อย เขาคงจะไม่โหดร้ายถึงเพียงนั้นในการปฏิบัติของเขาต่อเนื้อหนังซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ของพระเจ้า หากเขาเพียงมีสำนึกรับรู้เล็กน้อย เขาคงจะไม่ชั่วช้าถึงเพียงนั้นในการปฏิบัติของเขาต่อเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ หากเขาเพียงมีมโนธรรมเล็กน้อย เขาคงจะไม่ “ขอบคุณ” พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ในหนทางนี้  มนุษย์ใช้ชีวิตในยุคสมัยของพระเจ้าที่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ กระนั้นเขายังไม่สามารถที่จะขอบคุณพระเจ้าสำหรับการทรงมอบโอกาสที่ดีเช่นนี้ให้เขา และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับสาปแช่งการเสด็จมาของพระเจ้า หรือเพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงของการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง และดูเหมือนว่าจะต่อต้านข้อเท็จจริงนั้นและเบื่อหน่ายข้อเท็จจริงนั้น  ไม่ว่ามนุษย์จะปฏิบัติต่อการเสด็จมาของพระเจ้าอย่างไร สรุปสั้นๆ คือ พระเจ้าได้ทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์อย่างอดทนเสมอมา—แม้ว่ามนุษย์ไม่เคยต้อนรับพระองค์เลยแม้แต่น้อย และทำการร้องขอจากพระองค์อย่างหูหนวกตาบอด  อุปนิสัยของมนุษย์ได้กลายเป็นชั่วช้ายิ่งนัก สำนึกรับรู้ของเขาทึบเขลายิ่งนัก และมโนธรรมของเขาได้ถูกมารร้ายเหยียบย่ำอย่างสิ้นเชิงและไม่ได้เป็นมโนธรรมดั้งเดิมของมนุษย์มานานแล้ว  มนุษย์ไม่เพียงอกตัญญูต่อพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ที่ประทานชีวิตและพระคุณมากมายเพียงนั้นให้แก่มวลมนุษย์เท่านั้น แต่กระทั่งยังได้กลายเป็นไม่พอใจต่อพระเจ้าที่ทรงมอบความจริงแก่เขา นั่นเป็นเพราะมนุษย์ไม่มีความสนใจในความจริงแม้แต่น้อย เขาจึงได้ไม่พอใจพระเจ้า  ไม่เพียงแค่มนุษย์ไม่สามารถที่จะวางชีวิตของเขาลงเพื่อพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์เท่านั้น แต่เขายังพยายามที่จะเค้นเอาความโปรดปรานทั้งหลายจากพระองค์ และอ้างเอาผลประโยชน์ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งซึ่งมนุษย์ได้ถวายแด่พระเจ้านับเป็นหลายสิบเท่าด้วยเช่นกัน  ผู้คนที่มีมโนธรรมและสำนึกรับรู้เช่นนั้นคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญยิ่งใหญ่ และยังคงเชื่อว่าพวกเขาได้สละตัวพวกเขาเพื่อพระเจ้ามากมายยิ่งนักแล้ว และว่าพระเจ้าได้ทรงมอบให้พวกเขาน้อยเกินไป  มีผู้คนที่เมื่อได้ให้น้ำหนึ่งถ้วยแก่เราแล้ว ก็ยื่นมือของพวกเขาออกมาและเรียกร้องให้เราจ่ายเป็นนมสองถ้วยให้พวกเขา หรือเมื่อได้มอบห้องให้เราเป็นเวลาหนึ่งคืนแล้ว ก็เรียกร้องให้เราจ่ายค่าเช่าเป็นเวลาหลายคืน  ด้วยสภาวะความเป็นมนุษย์เช่นนั้นและมโนธรรมเช่นนั้น เจ้ายังคงสามารถปรารถนาที่จะได้รับชีวิตได้อย่างไร?  เจ้าช่างเป็นเหล่าผู้เคราะห์ร้ายที่น่าเหยียดหยามเสียจริง!  สภาวะความเป็นมนุษย์ประเภทนี้ในมนุษย์และมโนธรรมประเภทนี้ในมนุษย์คือสิ่งที่ทำให้พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ต้องทรงระหกระเหินไปทั่วดินแดน โดยไม่พบสถานที่พำนักพักพิงเลย  บรรดาผู้ที่มีมโนธรรมและสภาวะความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริงควรนมัสการและรับใช้พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์โดยสุดหัวใจไม่ใช่เพราะพระองค์ได้ทรงพระราชกิจไปมากเพียงใดแล้ว แต่ต่อให้พระองค์จะไม่ได้ต้องทรงพระราชกิจเลยก็ตาม  นี่คือสิ่งที่บรรดาผู้มีสำนึกรับรู้อันถูกต้องควรถูกกระทำ และนี่เป็นหน้าที่ของมนุษย์  ผู้คนส่วนใหญ่กระทั่งพูดถึงสภาพเงื่อนไขทั้งหลายในการปรนนิบัติพระเจ้าของพวกเขา กล่าวคือ  พวกเขาไม่สนใจว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าหรือมนุษย์ และพวกเขาแค่พูดถึงสภาพเงื่อนไขทั้งหลายของพวกเขาเองเท่านั้น และเพียงพยายามที่จะสนองความอยากได้อยากมีของพวกเขาเองเท่านั้น  เมื่อพวกเจ้าทำอาหารให้เรา เจ้าเรียกร้องค่าบริการ เมื่อเจ้าดำเนินการให้เรา เจ้าถามหาค่าธรรมเนียมในการดำเนินการ เมื่อเจ้าทำงานให้เราเจ้าเรียกร้องค่าธรรมเนียมของงาน เมื่อเจ้าซักเสื้อผ้าของเราเจ้าเรียกร้องค่าธรรมเนียมในการซักผ้า เมื่อเจ้าจัดเตรียมให้กับคริสตจักรเจ้าเรียกร้องค่าใช้จ่ายทั้งหลายในการฟื้นคืนสู่สภาพปกติ เมื่อเจ้าพูดเจ้าเรียกร้องค่าธรรมเนียมของนักพูด เมื่อเจ้าแจกหนังสือเจ้าเรียกร้องค่าธรรมเนียมในการแจกจ่าย และเมื่อเจ้าเขียนเจ้าเรียกร้องค่าธรรมเนียมในการเขียน  พวกที่เราได้ติดต่อด้วยนั้นกระทั่งเรียกร้องค่าชดใช้จากเรา ในขณะที่พวกที่ได้ถูกส่งกลับบ้านเรียกร้องเงินชดเชยสำหรับความเสียหายซึ่งเกิดขึ้นกับชื่อของพวกเขา พวกที่ไม่ได้แต่งงานเรียกร้องสินสมรส หรือค่าชดเชยสำหรับวัยเยาว์ที่สูญเสียไปของพวกเขา พวกที่ฆ่าไก่เรียกร้องค่าธรรมเนียมของคนฆ่าสัตว์ พวกที่ทอดอาหารเรียกร้องค่าธรรมเนียมในการทอด และพวกที่ทำซุปเรียกร้องให้ชำระเงินเป็นค่าซุปนั้นเช่นกัน… นี่คือสภาวะความเป็นมนุษย์อันสูงส่งและมีอานุภาพของพวกเจ้า และเหล่านี้คือการกระทำทั้งหลายที่มโนธรรมอันอบอุ่นของพวกเจ้าสั่งการ  สำนึกรับรู้ของพวกเจ้าอยู่ที่ใด?  สภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเจ้าอยู่ที่ใด?  เราจะขอบอกพวกเจ้า!  หากพวกเจ้าดำเนินต่อไปเยี่ยงนี้ เราจะหยุดทำงานท่ามกลางพวกเจ้า  เราจะไม่ทำงานท่ามกลางฝูงสัตว์เดียรัจฉานในเครื่องแต่งกายของมนุษย์ เราจะไม่ทนทุกข์ทรมานด้วยเหตุนี้เพื่อกลุ่มผู้คนเช่นนี้ที่ใบหน้าอันสวยงามของพวกเขาซ่อนเร้นหัวใจอันป่าเถื่อนเอาไว้ เราจะไม่สู้ทนเพื่อฝูงสัตว์เช่นนี้ที่ไม่มีความเป็นไปได้แห่งความรอดแม้แต่น้อย  วันที่เราหันหลังให้พวกเจ้าเป็นวันที่พวกเจ้าตาย มันเป็นวันที่ความมืดมิดจะมาถึงพวกเจ้า และวันที่พวกเจ้าจะถูกความสว่างละทิ้งไป  เราจะขอบอกพวกเจ้า!  เราจะไม่มีวันเมตตากรุณาต่อกลุ่มเช่นกลุ่มของพวกเจ้า กลุ่มซึ่งอยู่ต่ำกว่ากระทั่งบรรดาสัตว์ทั้งหลาย!  ถ้อยคำและการกระทำทั้งหลายของเรามีขีดจำกัด และเราจะไม่ทำงานอีกต่อไปกับสภาวะความเป็นมนุษย์และมโนธรรมของพวกเจ้าอย่างที่สิ่งเหล่านี้เป็นอยู่ เพราะพวกเจ้าขาดมโนธรรมมากเกินไป พวกเจ้าได้ทำให้เราเจ็บปวดมามากเกินไปแล้ว และพฤติกรรมอันน่ารังเกียจของพวกเจ้าทำให้เรารู้สึกรังเกียจมากเกินไป  ผู้คนที่ขาดพร่องสภาวะความเป็นมนุษย์และมโนธรรมถึงเพียงนั้น จะไม่มีวันมีโอกาสได้รับความรอด เราจะไม่มีวันช่วยผู้คนซึ่งไร้หัวใจและอกตัญญูเช่นนั้นให้รอด  เมื่อวันของเรามาถึง เราจะกระหน่ำเปลวเพลิงที่เผาไหม้มาตลอดชั่วกัลปาวสานลงบนลูกหลานที่ไม่เชื่อฟังซึ่งครั้งหนึ่งได้เคยยั่วยุความโกรธเคืองอันเกรี้ยวกราดของเรา เราจะกำหนดการลงโทษชั่วนิรันดร์กาลของเราแก่บรรดาสัตว์เหล่านั้นซึ่งครั้งหนึ่งได้กล่าวคำผรุสวาทใส่เราและได้ละทิ้งเรา เราจะเผาบุตรทั้งหลายที่ไม่เชื่อฟัง ซึ่งครั้งหนึ่งได้เคยกินและใช้ชีวิตร่วมกับเราแต่ไม่ได้เชื่อในเรา ผู้ซึ่งได้ดูหมิ่นและได้ทรยศเรา ด้วยไฟแห่งความโกรธเคืองของเราตลอดเวลา  เราจะทำให้ทุกคนที่ได้ยั่วยุความโกรธเคืองของเราต้องได้รับการลงโทษจากเรา เราจะกระหน่ำความโกรธเคืองของเราทั้งหมดทั้งมวลลงมายังบรรดาสัตว์เดียรัจฉานเหล่านั้นที่ครั้งหนึ่งได้ปรารถนาที่จะยืนเคียงข้างเราในฐานะผู้เทียบเท่าเรา กระนั้นกลับไม่ได้นมัสการหรือเชื่อฟังเรา ไม้เรียวซึ่งเราใช้ตีมนุษย์จะฟาดลงบนบรรดาสัตว์เหล่านั้น ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งได้เคยชื่นชมการดูแลเอาใจใส่ของเราและครั้งหนึ่งได้ชื่นชมความล้ำลึกทั้งหลายที่เราได้พูด และผู้ซึ่งครั้งหนึ่งได้เคยพยายามที่จะรับเอาความชื่นชมทางวัตถุทั้งหลายจากเรา  เราจะไม่ให้อภัยบุคคลคนใดซึ่งพยายามแทนที่เรา เราจะไม่ละเว้นผู้ใดสักคนในบรรดาผู้ที่พยายามแย่งชิงอาหารและเสื้อผ้าจากเรา  สำหรับตอนนี้ พวกเจ้ายังคงเป็นอิสระจากอันตรายและยังคงทำเกินเลยต่อไปในข้อเรียกร้องทั้งหลายที่พวกเจ้าขอจากเรา  เมื่อวันแห่งความโกรธเคืองมาถึง พวกเจ้าจะไม่เรียกร้องใดๆ จากเราอีก ณ เวลานั้น เราจะยอมให้พวกเจ้าได้ “ชื่นชม” ตัวพวกเจ้าเองจนพอใจ เราจะบังคับให้หน้าของพวกเจ้าคว่ำลงดิน และพวกเจ้าจะไม่มีวันสามารถที่จะลุกขึ้นได้อีกครั้ง!  ไม่ช้าก็เร็ว เรากำลังจะ “ชดใช้” หนี้ก้อนนี้แก่พวกเจ้า—และเราหวังว่าพวกเจ้าจะรอการมาถึงของวันนั้นอย่างอดทน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การมีอุปนิสัยที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 303

มนุษย์พลาดที่จะได้รับพระเจ้าไม่ใช่เพราะพระเจ้าทรงมีอารมณ์ หรือเพราะพระเจ้าไม่เต็มพระทัยที่จะได้รับการรับไว้โดยมนุษย์ แต่เพราะมนุษย์ไม่ต้องการที่จะได้รับพระเจ้า และเพราะมนุษย์ไม่ได้แสวงหาพระเจ้าโดยเร่งด่วน  ใครคนหนึ่งในบรรดาผู้ซึ่งแสวงหาพระเจ้าอย่างแท้จริงจะสามารถได้รับการสาปแช่งโดยพระเจ้าได้อย่างไร?  ใครคนหนึ่งที่มีสำนึกรับรู้ที่ถูกต้องและมโนธรรมอันอ่อนไหวจะสามารถได้รับการสาปแช่งโดยพระเจ้าได้อย่างไร?  ใครคนหนึ่งที่นมัสการและรับใช้พระเจ้าอย่างแท้จริงจะสามารถถูกเผาผลาญด้วยไฟแห่งพระพิโรธของพระองค์ได้อย่างไร?  ใครคนหนึ่งซึ่งยินดีที่จะเชื่อฟังพระเจ้าจะสามารถถูกเสือกไสไล่ส่งออกจากพระนิเวศของพระเจ้าได้อย่างไร?  ใครคนหนึ่งที่ไม่สามารถรักพระเจ้าได้เพียงพอจะสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในการลงโทษของพระเจ้าได้อย่างไร?  ใครคนหนึ่งซึ่งยินดีที่จะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระเจ้าจะสามารถถูกทิ้งไว้โดยไม่เหลืออะไรเลยได้อย่างไร?  มนุษย์ไม่เต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาพระเจ้า ไม่เต็มใจที่จะสละสิ่งครอบครองทั้งหลายของเขาเพื่อพระเจ้า และไม่เต็มใจที่จะอุทิศความพยายามชั่วชีวิตแด่พระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับกล่าวว่าพระเจ้าได้ทรงไปไกลเกินไป ว่าเรื่องมากมายเกินไปเกี่ยวกับพระเจ้านั้นมีความขัดแย้งกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์  ด้วยสภาวะความเป็นมนุษย์เยี่ยงนี้ ต่อให้พวกเจ้าเหนียวแน่นในความพยายามของพวกเจ้า พวกเจ้าก็ยังคงจะไม่สามารถที่จะได้รับการยอมรับจากพระเจ้าได้ นี่ยังไม่ได้พูดถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าไม่ได้แสวงหาพระเจ้าเลย  พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าพวกเจ้าคือสินค้าชำรุดของมวลมนุษย์?  พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ใดที่ต่ำต้อยกว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเจ้าแล้ว?  พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าผู้อื่นเรียกพวกเจ้าเพื่อให้เกียรติพวกเจ้าว่าอย่างไร?  บรรดาผู้ที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริงเรียกพวกเจ้าว่าพ่อของหมาป่า แม่ของหมาป่า และบุตรของหมาป่า และหลานของหมาป่า พวกเจ้าคือพงศ์พันธุ์ของหมาป่า ผู้คนของหมาป่า และพวกเจ้าควรรู้จักอัตลักษณ์ของพวกเจ้าเองและไม่ลืมมันเป็นอันขาด  จงอย่าคิดว่าเจ้าเป็นบุคคลที่มีบางอย่างเหนือกว่า กล่าวคือ พวกเจ้าเป็นกลุ่มอมนุษย์ที่ชั่วช้าที่สุดท่ามกลางมวลมนุษย์  พวกเจ้าไม่รู้การนี้เลยหรือ?  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเราได้เสี่ยงมากเพียงใดโดยการทำงานท่ามกลางพวกเจ้า?  หากสำนึกรับรู้ของพวกเจ้าไม่สามารถกลายมาเป็นปกติได้อีกครั้ง และมโนธรรมของพวกเจ้าจะไม่สามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติ พวกเจ้าก็ย่อมจะไม่มีวันปลดชื่อ “หมาป่า” ทิ้งไปได้ เจ้าจะไม่มีวันหลบหนีวันแห่งการสาปแช่งไปได้และจะไม่มีวันหลบหนีวันแห่งการลงโทษของพวกเจ้าไปได้  พวกเจ้าเกิดมาต่ำต้อย เป็นสิ่งที่ไม่มีค่าใดๆ  โดยธรรมชาติแล้วเจ้าคือหมาป่าหิวโซฝูงหนึ่ง เป็นเศษซากและขยะกองหนึ่ง และไม่เหมือนกับพวกเจ้า เราไม่ทำงานกับพวกเจ้าเพื่อที่จะได้รับความโปรดปรานทั้งหลาย แต่เพราะความจำเป็นของงาน  หากพวกเจ้ายังเป็นกบฏต่อไปในหนทางนี้ เช่นนั้นแล้ว เราก็จะหยุดงานของเรา และจะไม่มีวันทำงานในตัวพวกเจ้าอีก ในทางตรงกันข้าม เราจะโอนย้ายงานของเราไปยังอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งทำให้เราพอใจ และจะทิ้งพวกเจ้าในหนทางนี้ไปตลอดกาล เพราะเราไม่เต็มใจที่จะเฝ้ามองพวกที่เป็นศัตรูกับเรา  ดังนั้นแล้ว พวกเจ้าปรารถนาที่จะเข้ากันได้กับเรา หรือเป็นศัตรูกับเรา?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การมีอุปนิสัยที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 304

มนุษย์ทุกคนปรารถนาที่จะเห็นโฉมพระพักตร์แท้จริงของพระเยซูและทุกคนอยากอยู่กับพระองค์  เราไม่คิดว่าพี่น้องชายหรือหญิงคนใดจะกล่าวว่าพวกเขาไม่ปรารถนาที่จะเห็นหรืออยู่กับพระเยซู  ก่อนที่พวกเจ้าจะได้เห็นพระเยซู—ก่อนที่พวกเจ้าจะได้เห็นพระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์—พวกเจ้าคงจะฟุ้งซ่านอยู่กับแนวคิดต่างๆ นานาทุกชนิด เช่น แนวคิดที่เกี่ยวกับการทรงปรากฏของพระเยซู วิธีที่พระองค์ตรัส วิถีชีวิตของพระองค์ และอื่นๆ เป็นต้น  แต่ทันทีที่พวกเจ้าได้เห็นพระองค์จริงๆ แนวคิดของพวกเจ้าจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  พวกเจ้าปรารถนาที่จะรู้หรือไม่?  การขบคิดของมนุษย์ไม่อาจมองข้ามได้ ซึ่งก็จริง—แต่ยิ่งไปกว่านั้น เนื้อแท้ของพระคริสต์ไม่ยอมให้มีการดัดแปลงแก้ไขโดยมนุษย์  พวกเจ้าคิดว่าพระคริสต์ทรงเป็นอมตะหรือนักปราชญ์ แต่ไม่มีใครเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ปกติที่ครองเนื้อแท้ของพระเจ้า  เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้คนมากมายที่โหยหาทั้งทิวาและราตรีที่จะได้เห็นพระเจ้านั้น อันที่จริงแล้วเป็นศัตรูของพระเจ้า และเข้ากันไม่ได้กับพระองค์  นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดในส่วนของมนุษย์หรอกหรือ?  แม้แต่ในขณะนี้ พวกเจ้าก็ยังคงคิดว่าการเชื่อและความจงรักภักดีของพวกเจ้าเพียงพอแล้วที่จะทำให้เจ้าคู่ควรที่จะได้เห็นโฉมพระพักตร์ของพระคริสต์ แต่เราขอเตือนสติให้พวกเจ้าตระเตรียมตัวเองให้พร้อมด้วยสิ่งต่างๆ ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น!  เพราะในอดีต ปัจจุบันและอนาคต ผู้คนมากมายที่เข้ามาพบปะติดต่อกับพระคริสต์ได้ล้มเหลวหรือจะล้มเหลว พวกเขาทั้งหมดแสดงบทบาทของพวกฟาริสี  อะไรคือสาเหตุแห่งความล้มเหลวของพวกเจ้า?  แน่นอนว่าเป็นเพราะในมโนคติที่หลงผิดของพวกเจ้า พระเจ้าทรงสูงส่งและควรแก่การเลื่อมใส  แต่ความจริงมิได้เป็นดั่งเช่นที่มนุษย์ปรารถนา  พระคริสต์ไม่เพียงไม่ทรงสูงส่ง แต่พระองค์ทรงเล็กเป็นพิเศษ พระองค์ไม่เพียงทรงเป็นมนุษย์ แต่พระองค์ทรงเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง พระองค์ไม่เพียงไม่สามารถเสด็จขึ้นไปสู่สวรรค์ แต่พระองค์ยังไม่สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระบนแผ่นดินโลก  และเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้คนก็ปฏิบัติต่อพระองค์เหมือนกับที่พวกเขาจะทำกับมนุษย์ธรรมดา พวกเขาปฏิบัติต่อพระองค์อย่างไม่มีพิธีรีตองเมื่อพวกเขาอยู่กับพระองค์ และพูดจากับพระองค์อย่างไม่เอาใจใส่ และในระหว่างนั้นก็ยังคงรอคอยการทรงมาถึงของ “พระคริสต์เที่ยงแท้”  พวกเจ้าคิดเชื่อไปเองว่าพระคริสต์ที่ทรงมาถึงแล้วเป็นมนุษย์ธรรมดา และพระวจนะของพระองค์เป็นคำพูดของมนุษย์ธรรมดา  ด้วยเหตุผลนี้ พวกเจ้าจึงไม่ได้รับสิ่งใดๆ จากพระคริสต์และกลับได้ตีแผ่ความอัปลักษณ์ของตัวเจ้าเองออกมาในที่แจ้งแทนอย่างหมดเปลือก

ก่อนที่จะพบปะติดต่อกับพระคริสต์ เจ้าอาจเชื่อว่าอุปนิสัยของเจ้าได้รับการแปลงสภาพไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว เชื่อว่าเจ้าเป็นผู้ติดตามที่จงรักภักดีของพระคริสต์ เชื่อว่าไม่มีใครมีค่าคู่ควรได้รับพรของพระคริสต์มากกว่าเจ้า—และเชื่อว่า เมื่อได้เดินทางไปบนถนนหลายสาย ทำงานไปมากมายและผลิตดอกผลมากมายออกมา เจ้าจะเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับมงกุฎในท้ายที่สุดอย่างแน่นอน  แม้กระนั้น มีความจริงข้อหนึ่งที่เจ้าอาจยังไม่รู้ กล่าวคือ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ และความเป็นกบฏและการต้านทานของเขาถูกเปิดโปงเมื่อเขาเห็นพระคริสต์ และความเป็นกบฏและการต้านทานที่ถูกเปิดโปงในเวลานี้นั้น ถูกเปิดโปงโดยเบ็ดเสร็จและอย่างหมดเปลือกยิ่งกว่าเวลาอื่น  เป็นเพราะพระคริสต์ทรงเป็นบุตรมนุษย์—บุตรมนุษย์คนหนึ่งซึ่งมีความเป็นมนุษย์ตามปกติ—มนุษย์จึงไม่ให้เกียรติและไม่เคารพพระองค์  เป็นเพราะพระเจ้าทรงมีชีวิตอยู่ในเนื้อหนังซึ่งทำให้การเป็นกบฏของมนุษย์ถูกค้นพบอย่างทะลุปรุโปร่งและในรายละเอียดที่แจ่มชัดยิ่งนัก ดังนั้นเราจึงบอกเลยว่าการเสด็จมาของพระคริสต์ได้ขุดคุ้ยความเป็นกบฏทั้งหมดของมวลมนุษย์และเผยให้เห็นธรรมชาติของมนุษยชาติอย่างเด่นชัด  สิ่งนี้เรียกว่า “ล่อเสือลงจากภูเขา” และ “ล่อหมาป่าออกจากถ้ำของมัน”  เจ้ากล้าหรือไม่ที่จะบังอาจพูดว่าเจ้าจงรักภักดีต่อพระเจ้า?  เจ้ากล้าหรือไม่ที่จะบังอาจพูดว่าเจ้าแสดงความเชื่อฟังครบถ้วนต่อพระเจ้า?  เจ้ากล้าหรือไม่ที่จะบังอาจพูดว่าเจ้าเป็นกบฏ?  บางคนจะพูดว่า “เมื่อใดก็ตามที่พระเจ้าทรงจัดวางให้ฉันอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ ฉันมักจะยอมตามเสมอโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ และยิ่งไปกว่านั้น ฉันไม่ฟุ้งซ่านในมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเลย”  บางคนจะพูดว่า “สิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงมอบเป็นภารกิจให้ฉันทำ ฉันจะทำให้ดีสุดความสามารถของฉัน และจะไม่มีวันทำพลาด”  ในกรณีนั้น เราขอถามพวกเจ้าดังนี้ว่า พวกเจ้าสามารถเข้ากันได้กับพระคริสต์เมื่อตอนที่เจ้ามีชีวิตอยู่เคียงข้างพระองค์หรือไม่?  และเจ้าจะเข้ากันได้กับพระองค์นานเท่าใด?  หนึ่งวัน?  สองวัน?  หนึ่งชั่วโมง?  สองชั่วโมง?  ความเชื่อของพวกเจ้าอาจจะน่าชมเชย แต่พวกเจ้าไม่ได้มีในเรื่องของความมุมานะมากนัก  ทันทีที่เจ้ากำลังมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์จริงๆ การมองตนเองเป็นฝ่ายถูกเสมอและความสำคัญตนของเจ้าจะถูกตีแผ่ผ่านคำพูดและการกระทำของเจ้าทีละเล็กทีละน้อย และเช่นเดียวกัน ความอยากอันหยิ่งยโสของเจ้า กรอบความคิดที่ดื้อแพ่งและความไม่สมดังใจของเจ้าก็จะถูกเปิดเผยอย่างแน่นอนด้วยเช่นกัน  ในที่สุด ความโอหังของเจ้าจะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเจ้าไม่ลงรอยกับพระคริสต์มากจนเข้ากันไม่ได้เสมือนน้ำกับไฟ และเมื่อนั้น ธรรมชาติของเจ้าจะถูกตีแผ่อย่างหมดเปลือก  ณ เวลานั้น มโนคติที่หลงผิดของเจ้าจะไม่สามารถถูกปิดบังได้อีกต่อไป ปัญหากวนใจของเจ้าก็จะโผล่ออกมาอย่างแน่นอนเช่นกัน และความเป็นมนุษย์ต่ำทรามของเจ้าก็จะถูกตีแผ่อย่างหมดเปลือก  แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม เจ้ายังคงปฏิเสธที่จะรับรู้ความเป็นกบฏของเจ้าเอง แต่กลับเชื่อว่าพระคริสต์เช่นนี้ไม่ง่ายที่มนุษย์จะยอมรับ ว่าพระองค์ทรงเข้มงวดเกินไปกับมนุษย์ และว่าเจ้าจะนบนอบอย่างสุดใจหากพระองค์เป็นพระคริสต์ที่พระทัยดีกว่านี้ พวกเจ้าเชื่อว่าการเป็นกบฏของพวกเจ้านั้นสมเหตุสมผล และพวกเจ้าเพียงแค่กบฏต่อพระองค์เมื่อพระองค์ทรงผลักดันพวกเจ้ามากเกินไป  เจ้าไม่เคยพิจารณาเลยแม้สักครั้งว่าเจ้าไม่ได้มองพระคริสต์ในฐานะพระเจ้า ว่าเจ้าขาดความตั้งใจที่จะเชื่อฟังพระองค์  ตรงกันข้าม เจ้ากลับยืนกรานหัวชนฝาให้พระคริสต์ทรงพระราชกิจตามความปรารถนาของเจ้าเอง และทันทีที่พระองค์ทรงทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ขัดแย้งกับการคิดไปเองของเจ้า เจ้าก็เชื่อว่าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้าแต่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง  มีคนไม่มากนักท่ามกลางพวกเจ้าใช่หรือไม่ที่ได้ชิงดีชิงเด่นกับพระองค์ด้วยวิธีนี้?  จะว่าไปแล้ว ใครหรือที่พวกเจ้าเชื่อ?  และพวกเจ้าแสวงหาด้วยวิธีใดกันหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พวกที่เข้ากันไม่ได้กับพระคริสต์คือปรปักษ์ของพระเจ้าอย่างแน่นอน

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 305

พวกเจ้าปรารถนาที่จะเห็นพระคริสต์อยู่เสมอ แต่เรารบเร้าให้พวกเจ้าอย่าวางท่านับถือตัวเองเสียสูงส่งขนาดนั้น ผู้ใดก็อาจเห็นพระคริสต์ได้ แต่เราบอกเลยว่าไม่มีใครเหมาะสมที่จะเห็นพระคริสต์  เพราะธรรมชาติของมนุษย์นั้นเปี่ยมด้วยความชั่ว ความโอหังและความเป็นกบฏ ณ ชั่วขณะที่เจ้าเห็นพระคริสต์ ธรรมชาติของเจ้าจะทำลายเจ้าและกล่าวโทษเจ้าจนตาย การคบหาสมาคมของเจ้ากับพี่น้องชาย (หรือหญิง) อาจไม่แสดงอะไรเกี่ยวกับตัวเจ้ามากนัก แต่มันไม่เรียบง่ายนักเมื่อเจ้าคบหาสมาคมกับพระคริสต์  ไม่ว่าเวลาใด มโนคติที่หลงผิดของเจ้าอาจหยั่งรากลึก ความโอหังของเจ้าเริ่มงอกงาม และความเป็นกบฏของเจ้าผลิดอกออกผล  ด้วยความเป็นมนุษย์เยี่ยงนี้ เจ้าจะเหมาะสมที่จะคบหาสมาคมกับพระคริสต์ได้อย่างไร?  เจ้ามีความสามารถอย่างแท้จริงที่จะปฏิบัติต่อพระองค์ในฐานะพระเจ้าในทุกชั่วขณะของทุกวันอย่างนั้นหรือ?  เจ้าจะมีความนบนอบที่เป็นจริงต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่?  พวกเจ้านมัสการพระเจ้าผู้สูงส่งในหัวใจพวกเจ้าในฐานะพระยาห์เวห์ ในขณะที่ถือว่าพระคริสต์ที่มองเห็นได้คือมนุษย์คนหนึ่ง  สำนึกรับรู้ของพวกเจ้าช่างต่ำต้อยเกินไปและความเป็นมนุษย์ของพวกเจ้าช่างต่ำทรามเกินไป!  พวกเจ้าไม่สามารถมองพระคริสต์ในฐานะพระเจ้าได้เสมอ มีเพียงบางครั้งบางคราวเท่านั้นเมื่อถูกใจเจ้า  เจ้าจึงจะคว้าเกาะกุมพระองค์ไว้และนมัสการพระองค์ในฐานะพระเจ้า  นี่คือเหตุผลที่เราบอกว่าพวกเจ้าไม่ใช่ผู้เชื่อของพระเจ้า แต่เป็นกลุ่มผู้สมรู้ร่วมคิดที่ต่อสู้กับพระคริสต์  แม้แต่คนที่แสดงความใจดีมีเมตตาต่อผู้อื่นก็ยังได้รับการตอบแทน แต่พระคริสต์ผู้ได้ทรงพระราชกิจเช่นนี้ท่ามกลางพวกเจ้ากลับไม่ได้รับทั้งความรักของมนุษย์และค่าตอบแทนและการนบนอบของเขา  นี่ไม่ใช่เรื่องน่าปวดร้าวใจหรอกหรือ?

อาจเป็นไปได้ว่าตลอดหลายปีที่เจ้ามีความเชื่อในพระเจ้า เจ้าไม่เคยสาปแช่งใครหรือกระทำความประพฤติเลวร้ายใดๆ แต่ในการคบหาสมาคมกับพระคริสต์ของเจ้า เจ้าไม่สามารถพูดความจริง กระทำการอย่างซื่อสัตย์ หรือเชื่อฟังพระวจนะของพระคริสต์ ในกรณีเช่นนั้น เราบอกเลยว่าเจ้าเป็นบุคคลที่ชั่วร้ายและมุ่งร้ายที่สุดในโลก  เจ้าอาจมีอัธยาศัยดีและอุทิศตนเป็นพิเศษต่อบรรดาญาติ เพื่อน ภรรยา (หรือสามี) บุตรชายหญิง และบิดามารดาของเจ้า และไม่เคยเอาเปรียบผู้อื่น แต่หากเจ้าไม่สามารถเข้ากันได้กับพระคริสต์ หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะมีปฏิสัมพันธ์อย่างปรองดองกับพระองค์ได้แล้วไซร้ ต่อให้เจ้าสละทั้งหมดที่มีให้กับเพื่อนบ้านของเจ้า หรือดูแลเอาใจใส่บิดามารดาและสมาชิกในครัวเรือนของเจ้าอย่างพิถีพิถัน เราก็จะบอกว่าเจ้ายังคงเลวร้าย และยิ่งกว่านั้น ยังเต็มไปด้วยเพทุบายอันเจ้าเล่ห์  จงอย่าคิดว่าเจ้าเข้ากันได้กับพระคริสต์เพียงเพราะเจ้าไปกันได้กับคนอื่นหรือประพฤติดีมาบ้าง  เจ้าคิดว่าเจตนาเปี่ยมกุศลของเจ้าสามารถหลอกรับพรแห่งฟ้าได้หรือ?  เจ้าคิดว่าการประพฤติดีเพียงเล็กน้อยเป็นการทดแทนความเชื่อฟังของเจ้ากระนั้นหรือ?  ไม่มีใครในหมู่พวกเจ้าที่สามารถยอมรับการถูกจัดการและตัดแต่ง และเจ้าทุกคนพบว่ามันยากที่จะอ้าแขนรับความเป็นมนุษย์ตามปกติของพระคริสต์ โดยไม่คำนึงถึงว่าเจ้าป่าวประกาศการเชื่อฟังพระเจ้าของเจ้าอยู่เป็นนิจ  ความเชื่อในแบบที่พวกเจ้ามีนั้นจะนำมาซึ่งผลการกระทำอันสาสมที่เหมาะสมกัน  จงหยุดตามใจตัวเองในภาพลวงตาเพ้อฝันและความปรารถนาที่จะเห็นพระคริสต์เพราะพวกเจ้ามีวุฒิภาวะต่ำเกินไป ต่ำเสียจนเจ้าไม่ควรค่าแม้แต่จะได้เห็นพระองค์  เมื่อเจ้าถูกกวาดล้างจากความเป็นกบฏของเจ้าอย่างสิ้นเชิงและสามารถอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองกับพระคริสต์ได้แล้ว ณ ตอนนั้นพระเจ้าจะทรงปรากฏต่อเจ้าอย่างแน่นอน  หากเจ้าไปพบพระเจ้าโดยไม่ได้ผ่านการตัดแต่งหรือพิพากษาแล้วไซร้ เจ้าจะต้องกลายเป็นปรปักษ์ของพระเจ้าและถูกลิขิตให้ถูกทำลายอย่างแน่นอน  ธรรมชาติของมนุษย์เป็นศัตรูต่อพระเจ้าในตนเองอยู่แล้วเพราะมนุษย์ทั้งหมดตกอยู่ภายใต้การทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึกที่สุดของซาตานตลอดมา  หากมนุษย์พยายามคบหาสมาคมกับพระเจ้าจากท่ามกลางความเสื่อมทรามของเขาเอง แน่นอนว่าจะไม่มีสิ่งดีใดๆ เกิดขึ้นจากการนี้ได้ การกระทำและคำพูดของเขาจะเปิดโปงความเสื่อมทรามของเขาในทุกแห่งหนอย่างแน่นอน และในการคบหาสมาคมกับพระเจ้านั้น ความเป็นกบฏของเขาจะถูกเปิดเผยในทุกๆ แง่มุม  มนุษย์มาต่อต้านพระคริสต์ หลอกลวงพระคริสต์ และละทิ้งพระคริสต์โดยไม่รู้ตัวเลย  เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น มนุษย์จะอยู่ในสภาวะที่ล่อแหลมเสียยิ่งกว่าเดิม และหากสิ่งนี้ดำเนินต่อไป เขาก็จะกลายเป็นเป้าหมายของการลงโทษ

บางคนอาจเชื่อว่าหากการคบหาสมาคมกับพระเจ้ามีอันตรายยิ่งนัก เช่นนั้นแล้ว อาจเป็นการฉลาดกว่าที่จะรักษาระยะห่างจากพระเจ้าเข้าไว้  ผู้คนเช่นนี้จะสามารถได้รับอะไรบ้าง?  พวกเขาจะสามารถจงรักภักดีต่อพระเจ้าได้หรือ?  แน่ใจได้เลยว่าการคบหาสมาคมกับพระเจ้านั้นยากมาก—แต่นั่นเป็นเพราะว่ามนุษย์ได้ถูกทำให้เสื่อมทราม ไม่ใช่เพราะว่าพระเจ้าไร้ความสามารถที่จะคบหาสมาคมกับเขาได้  จะเป็นการดีที่สุดสำหรับพวกเจ้าที่จะมอบอุทิศความพยายามมากขึ้นให้กับความจริงของการรู้จักตนเอง  เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า?  เหตุใดอุปนิสัยของเจ้าจึงเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนสำหรับพระองค์?  เหตุใดวาทะของเจ้าปลุกเร้าความเกลียดของพระองค์?  ทันทีที่เจ้าได้แสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีสักเล็กน้อย เจ้าก็ขับร้องสรรเสริญตนเอง และเจ้าเรียกร้องบำเหน็จรางวัลสำหรับการมีส่วนร่วมสนับสนุนเพียงน้อยนิดของเจ้า เจ้าดูถูกผู้อื่นเมื่อเจ้าแสดงความเชื่อฟังเพียงเล็กน้อยและกลายเป็นเหยียดหยามพระเจ้าเมื่อได้สำเร็จลุล่วงในภารกิจยิบย่อยบางอย่าง  ในการต้อนรับขับสู้พระเจ้า พวกเจ้าร้องขอเงินทอง ของขวัญ และคำชมเชย  เจ้ารู้สึกใจแป้วที่จะต้องบริจาคหนึ่งหรือสองเหรียญ ครั้นเจ้าบริจาคสิบเหรียญ เจ้าปรารถนาพรและต้องการได้รับการปฏิบัติด้วยอย่างโดดเด่น  ความเป็นมนุษย์เช่นที่พวกเจ้ามีนั้นช่างระคายปากและแสลงหูยิ่งนัก  มีสิ่งใดบ้างที่น่ายกย่องในคำพูดและการกระทำของเจ้า?  พวกที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนและพวกที่ไม่ปฏิบัติ  พวกที่เป็นผู้นำและพวกที่ติดตาม  พวกที่ต้อนรับขับสู้พระเจ้าและพวกที่ไม่ต้อนรับ  พวกที่บริจาคและพวกที่ไม่บริจาค  พวกที่ประกาศและพวกที่รับพระวจนะ และอื่นๆ มนุษย์เหล่านี้ทุกคนชมตัวเอง พวกเจ้าไม่คิดว่าสิ่งนี้น่าหัวเราะหรอกหรือ?  ทั้งที่รู้ดีอยู่เต็มอกว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้า แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เจ้าก็ไม่สามารถเข้ากันได้กับพระเจ้า  ทั้งที่รู้ดีอยู่เต็มอกว่าพวกเจ้าปราศจากคุณความดีอย่างสิ้นเชิง เจ้าก็ยังยืนกรานที่จะอวดตัวอยู่ดี  พวกเจ้าไม่รู้สึกหรือว่า สำนึกรับรู้ของพวกเจ้าเสื่อมลงจนถึงจุดที่พวกเจ้าไม่มีการควบคุมตนเองอีกต่อไปแล้ว?  ด้วยสำนึกรับรู้เช่นนี้ เจ้ายังเหมาะที่จะคบหาสมาคมกับพระเจ้าได้อย่างไร?  พวกเจ้าไม่กลัวว่าตัวพวกเจ้าเองกำลังตกอยู่ในอันตรายในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้หรอกหรือ?  อุปนิสัยของพวกเจ้าได้เสื่อมลงแล้วจนถึงจุดที่พวกเจ้าไม่สามารถเข้ากันได้กับพระเจ้า  เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ความเชื่อของพวกเจ้าไม่น่าหัวเราะหรอกหรือ?  ความเชื่อของพวกเจ้าไม่วิปริตหรอกหรือ?  เจ้าจะเข้าหาอนาคตของเจ้าอย่างไร?  เจ้าจะเลือกเส้นทางที่จะใช้อย่างไร?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พวกที่เข้ากันไม่ได้กับพระคริสต์คือปรปักษ์ของพระเจ้าอย่างแน่นอน

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 306

เราได้แสดงวจนะออกไปมากมายแล้วและได้แสดงเจตจำนงและอุปนิสัยของเราอีกด้วย แต่ถึงกระนั้น ผู้คนก็ยังคงไม่สามารถรู้จักเราและเชื่อในเรา  หรืออาจกล่าวได้ว่าผู้คนยังคงไม่สามารถเชื่อฟังเรา  พวกที่มีชีวิตอยู่ภายในพระคัมภีร์ พวกที่มีชีวิตอยู่ภายในธรรมบัญญัติ พวกที่มีชีวิตอยู่บนกางเขน พวกที่ดำเนินชีวิตตามคำสอน พวกที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางงานที่เราทำในวันนี้—ใครหรือในหมู่พวกเขาที่เข้ากันได้กับเรา?  พวกเจ้าแค่คิดถึงการได้รับพรและบำเหน็จ แต่ไม่เคยคิดเลยแม้แต่น้อยว่าจะเข้ากับเราได้จริงๆ อย่างไร หรือจะกีดกันตัวเจ้าเองจากการต่อต้านเราได้อย่างไร  เราผิดหวังในตัวพวกเจ้าเหลือเกิน เพราะเราได้ให้พวกเจ้าไปมากมาย แต่เราได้รับมาจากพวกเจ้าน้อยยิ่งนัก  เล่ห์ลวงของพวกเจ้า ความโอหังของพวกเจ้า ความโลภของพวกเจ้า ความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อของพวกเจ้า การทรยศของพวกเจ้า การไม่เชื่อฟังของพวกเจ้า—มีสิ่งใดสามารถหนีพ้นการสังเกตของเรา?  พวกเจ้าสะเพร่ากับเรา พวกเจ้าหลอกเรา พวกเจ้าดูถูกเรา พวกเจ้าโอ้โลมเรา พวกเจ้าบีบบังคับเราและขู่เข็ญเราให้พลีอุทิศ—ความมุ่งร้ายเช่นนี้จะสามารถหลบหลีกการลงโทษของเราไปได้อย่างไร?  การทำชั่วทั้งหมดนี้เป็นข้อพิสูจน์ว่าเจ้าเป็นปฏิปักษ์ต่อเราและเป็นข้อพิสูจน์ความเข้ากันไม่ได้ของพวกเจ้ากับเรา พวกเจ้าแต่ละคนเชื่อว่าตัวพวกเจ้าเองเข้ากันได้กับเราเหลือเกิน แต่หากเป็นอย่างนั้นแล้วไซร้ หลักฐานที่แย้งไม่ขึ้นเช่นนี้จะนำไปใช้กับใครเล่า?  พวกเจ้าเชื่อว่าตัวพวกเจ้าเองมีความจริงใจและความจงรักภักดีจนถึงที่สุดต่อเรา  พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าใจดีเหลือเกิน มีความสงสารเห็นใจเหลือเกินและได้อุทิศให้กับเรามากเหลือเกิน  พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าได้ทำมามากเกินพอแล้วเพื่อเรา  แต่พวกเจ้าเคยเทียบเคียงสิ่งนี้กับบรรดาการกระทำของพวกเจ้าบ้างหรือไม่?  เราบอกเลยว่าพวกเจ้าโอหังมากเต็มที โลภมากเต็มที สุกเอาเผากินมากเต็มที เล่ห์เหลี่ยมสารพัดที่เจ้าใช้หลอกเรานั้นแยบยลมากเต็มที และเจ้ามีเจตนาที่น่าเหยียดหยามและวิธีการที่น่าเหยียดหยามมากมายเต็มที  ความจงรักภักดีของพวกเจ้าขาดแคลนเกินไป ความตั้งใจจริงของพวกเจ้าน้อยนิดเกินไปและมโนธรรมของพวกเจ้ายิ่งขาดพร่องเสียยิ่งกว่า  ในหัวใจของพวกเจ้ามีความมุ่งร้ายมากเกินไป และไม่มีใครเลยที่ได้รับการยกเว้นจากมัน แม้กระทั่งเรา  พวกเจ้าปิดกั้นเราเพื่อประโยชน์ของลูกหลานของเจ้าหรือสามีของเจ้าหรือการเอาตัวรอดของเจ้า  แทนที่จะห่วงใยเรา เจ้าห่วงใยครอบครัวของพวกเจ้า ลูกหลานของพวกเจ้า สถานะของพวกเจ้า อนาคตของพวกเจ้า และความปลาบปลื้มยินดีของพวกเจ้าเอง เมื่อใดเล่าที่พวกเจ้าเคยนึกถึงเราในขณะที่พวกเจ้าพูดหรือทำอะไร?  ในวันที่หนาวจัด ความคิดของพวกเจ้าหันไปหาลูกหลาน สามี ภรรยาหรือบิดามารดาของพวกเจ้า  ในวันที่ร้อนระอุ ก็ไม่มีที่ให้เราอยู่ในความคิดของพวกเจ้าเลยเช่นกัน  เมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้ากำลังนึกถึงผลประโยชน์ของตนเอง คิดถึงความปลอดภัยส่วนบุคคลของเจ้าเอง คิดถึงบรรดาสมาชิกในครอบครัวของเจ้า  เจ้าเคยได้ทำสิ่งใดที่เป็นไปเพื่อเราหรือ?  คราใดหรือที่เจ้าเคยนึกถึงเรา?  เมื่อใดหรือที่เจ้าเคยอุทิศตนเองอย่างเต็มกำลังให้กับเราและงานของเรา?  หลักฐานของความเข้ากันได้กับเราของเจ้าอยู่ที่ใด?  ความเป็นจริงแห่งความจงรักภักดีของเจ้าที่มีต่อเราอยู่ที่ใด?  ความเป็นจริงแห่งการเชื่อฟังเราของเจ้าอยู่ที่ใด?  คราใดหรือที่พวกเจ้าไม่มีเจตนาที่จะได้รับพรของเรา?  พวกเจ้าเล่นตลกและหลอกลวงเรา พวกเจ้าล้อเล่นกับความจริง เจ้าปกปิดการดำรงอยู่ของความจริงและทรยศต่อเนื้อแท้ของความจริง  อะไรหรือที่รอพวกเจ้าอยู่ในอนาคตจากการต่อต้านเราเช่นนี้?  พวกเจ้าเพียงแสวงหาความเข้ากันได้กับพระเจ้าที่คลุมเครือและเพียงแสวงหาความเชื่อที่คลุมเครือ แต่เจ้าไม่สามารถเข้ากันได้กับพระคริสต์  ความมุ่งร้ายของเจ้าจะไม่นำมาซึ่งการลงทัณฑ์อันสาสมแบบเดียวกันกับที่คนเลวสมควรได้รับหรอกหรือ?  ในเวลานั้นพวกเจ้าจะตระหนักว่าไม่มีใครที่เข้ากันไม่ได้กับพระคริสต์สามารถหลีกหนีวันแห่งพระพิโรธไปได้ และพวกเจ้าจะค้นพบว่าผลการกระทำอันสาสมที่จะทรงกระทำต่อพวกที่ต่อต้านพระคริสต์นั้นเป็นแบบใด  เมื่อวันนั้นมาถึง ความฝันของพวกเจ้าที่จะได้รับพรสำหรับความเชื่อในพระเจ้าของพวกเจ้าและที่จะได้รับทางเข้าสู่สวรรค์นั้นจะแตกกระจายไปทั้งหมด  อย่างไรก็ตาม มันจะไม่เป็นเช่นนั้นสำหรับบรรดาผู้ที่เข้ากันได้กับพระคริสต์  แม้ว่าพวกเขาได้สูญเสียไปมาก แม้ว่าพวกเขาจะทนทุกข์กับความยากลำบากมากมาย แต่พวกเขาจะได้รับมรดกทั้งหมดที่เรายกให้กับมวลมนุษย์  ในท้ายที่สุด พวกเจ้าจะเข้าใจว่าลำพังเราเท่านั้นที่เป็นพระเจ้าผู้ชอบธรรม และลำพังเราเท่านั้นที่สามารถพามวลมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันสวยงามของเขาได้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรแสวงหาหนทางแห่งการเข้ากันได้กับพระคริสต์

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 307

พระเจ้าทรงมอบความไว้วางพระทัยในสิ่งต่างๆ มากมายกับพวกมนุษย์ และยังตรัสถึงการเข้าสู่ของพวกเขาในหนทางต่างๆ นับไม่ถ้วน  แต่เพราะขีดความสามารถของผู้คนนั้นต่ำมาก พระวจนะเป็นอันมากของพระเจ้าจึงไม่อาจหยั่งรากได้สำเร็จ  มีเหตุผลหลากหลายที่ขีดความสามารถนี้อ่อนด้อย เช่น ความเสื่อมทรามของความคิดและหลักศีลธรรมของมนุษย์ การขาดพร่องการเลี้ยงดูที่ถูกต้องเหมาะสม ความเชื่อเหนือธรรมชาติของระบบศักดินาที่ได้ยึดหัวใจของมนุษย์อย่างร้ายแรง รูปแบบการใช้ชีวิตที่ต่ำทรามและเสื่อมโทรมที่ทำให้ความป่วยฝังแน่นในมุมที่ลึกที่สุดของหัวใจมนุษย์ การจับความเข้าใจอย่างผิวเผินเกี่ยวกับการมีความรู้พื้นฐานทางวัฒนธรรม โดยผู้คนเกือบร้อยละเก้าสิบแปดที่ขาดการศึกษาในความรู้พื้นฐานทางวัฒนธรรม และที่ยิ่งกว่านั้นคือ มีเพียงไม่กี่คนที่ได้รับการศึกษาทางวัฒนธรรมในระดับที่สูงขึ้น  ดังนั้น โดยพื้นฐานแล้วผู้คนจึงไม่มีแนวคิดว่าพระเจ้าหรือพระวิญญาณหมายถึงอะไร แต่มีเพียงภาพลักษณ์ของพระเจ้าที่คลุมเครือและไม่ชัดเจนซึ่งได้มาจากความเชื่อเหนือธรรมชาติของระบบศักดินาเท่านั้น  อิทธิพลอันตรายที่ช่วงเวลาหลายพันปีของ “จิตวิญญาณชาตินิยมอันสูงส่ง” ได้ทิ้งไว้ลึกในหัวใจของมนุษย์ และการคิดแบบระบอบศักดินาที่ผู้คนถูกผูกมัดและล่ามโซ่ไว้ โดยไม่มีเสรีภาพเลยแม้แต่น้อย และไม่มีเจตจำนงที่จะทะเยอทะยานหรืออดทนนาน ไม่มีความอยากที่จะสร้างความก้าวหน้า แต่กลับยังคงอยู่เฉยและถอยหลังแทน โดยตั้งมั่นอยู่ในวิธีการคิดของทาส เป็นต้น—ปัจจัยที่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงเหล่านี้ได้ให้รูปหล่อที่โสมมและน่าเกลียดที่ไม่อาจลบออกได้กับทัศนะที่เป็นอุดมการณ์ อุดมคติ หลักศีลธรรม และอุปนิสัยของมนุษยชาติ  ดูเหมือนว่าพวกมนุษย์กำลังใช้ชีวิตอยู่ในโลกมืดแห่งการก่อการร้ายซึ่งไม่มีผู้ใดท่ามกลางพวกเขาที่พยายามที่จะอยู่เหนือมัน และไม่มีผู้ใดท่ามกลางพวกเขาคิดถึงการก้าวต่อไปสู่โลกตามอุดมคติ แต่พวกเขากลับพอใจกับวาสนาในชีวิตของพวกเขา เพื่อใช้วันเวลาของพวกเขาไปกับการให้กำเนิดและเลี้ยงดูลูกหลาน ดิ้นรนต่อสู้ ตรากตรำ ทำงานบ้านของพวกเขา ฝันถึงครอบครัวที่สะดวกสบายและมีความสุข และฝันถึงความรักใคร่ในการสมรส ลูกหลานที่กตัญญู ความชื่นบานยินดีในช่วงปีสนธยาของพวกเขาในขณะที่พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสงบ… เป็นเวลาหลายสิบ หลายพัน หลายหมื่นปีจนถึงตอนนี้ ผู้คนได้สิ้นเปลืองเวลาของพวกเขาในหนทางนี้ตลอดมา โดยไม่มีผู้ใดสร้างชีวิตที่เพียบพร้อม เจตนาทั้งหมดอยู่ที่การสังหารกันและกันในโลกที่มืดมิดนี้บนการแข่งขันเพื่อชื่อเสียงและโชควาสนา และการวางอุบายต่อต้านกันและกันเท่านั้น  มีผู้ใดเคยแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าบ้าง?  มีผู้ใดเคยใส่ใจกับพระราชกิจของพระเจ้าไหม?  ทุกส่วนของมนุษยชาติที่ติดพันด้วยอิทธิพลของความมืดได้กลายเป็นธรรมชาติของมนุษย์มานานแล้ว และดังนั้นจึงค่อนข้างยากที่จะดำเนินพระราชกิจของพระเจ้า และผู้คนมีหัวใจที่ให้ความสนใจต่อสิ่งที่พระเจ้าได้ไว้วางพระทัยมอบให้กับพวกเขาในวันนี้น้อยลงไปอีก  ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม เราเชื่อว่าผู้คนจะไม่ใส่ใจการที่เราเปล่งวจนะเหล่านี้ เพราะสิ่งที่เรากำลังพูดถึงคือประวัติศาสตร์ของช่วงเวลาหลายพันปี  การพูดถึงประวัติศาสตร์หมายถึงข้อเท็จจริง และยิ่งไปกว่านั้นคือเรื่องอื้อฉาวที่เป็นที่ชัดเจนสำหรับทุกคน ดังนั้นแล้วการพูดสิ่งที่ตรงข้ามกับข้อเท็จจริงจะมีประโยชน์อันใด?  แต่เราก็ยังเชื่อว่าเมื่อได้เห็นพระวจนะเหล่านี้ ผู้คนที่มีเหตุผลจะตื่นและเพียรพยายามเพื่อความก้าวหน้า  พระเจ้าทรงหวังว่าพวกมนุษย์จะสามารถใช้ชีวิตและทำงานอย่างสันติสุขและพอใจ ในขณะเดียวกันก็สามารถรักพระเจ้าด้วย  การที่มนุษยชาติทั้งหมดอาจเข้าสู่การหยุดพักนั้นเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น การเติมเต็มทั้งแผ่นดินด้วยพระสิริของพระเจ้าคือความพึงปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า  เป็นความน่าอับอายที่มนุษย์ยังคงจมอยู่ในความหลงลืมและไม่ตื่น ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างเลวร้ายจนวันนี้พวกเขาไม่มีสภาพเสมือนของพวกมนุษย์อีกต่อไป  ดังนั้น ความคิดของมนุษย์ หลักศีลธรรม และการศึกษาก่อให้เกิดความเชื่อมโยงที่สำคัญ โดยการฝึกสอนเกี่ยวกับการมีความรู้พื้นฐานทางวัฒนธรรมก็ก่อให้เกิดความเชื่อมโยงที่สอง ยิ่งยกระดับขีดความสามารถด้านวัฒนธรรมของมนุษย์ให้ดีขึ้น และเปลี่ยนแปลงทัศนะทางจิตวิญญาณของพวกเขา

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (3)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 308

ในประสบการณ์ชีวิตของผู้คนนั้น พวกเขามักคิดในใจว่า “ฉันได้ยอมทิ้งครอบครัวและงานของฉันเพื่อพระเจ้าแล้ว และพระองค์ได้ประทานสิ่งใดให้ฉัน?  ฉันต้องเพิ่มมันขึ้นและยืนยันมัน—ฉันได้รับพรใดๆ หรือยังในช่วงนี้?  ฉันได้ให้ไปมากมายในช่วงระหว่างเวลานี้  ฉันได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และได้ทนทุกข์มากมาย—พระเจ้าได้ทรงมอบพระสัญญาใดๆ เป็นการตอบแทนแก่ฉันหรือยัง?  พระองค์ได้ทรงจดจำความประพฤติดีๆ ของฉันหรือยัง?  บทอวสานของฉันจะเป็นอย่างไร?  ฉันจะสามารถได้รับพรจากพระเจ้าหรือไม่?…”  ทุกบุคคลทำการคิดคำนวณเช่นนี้อย่างสม่ำเสมอภายในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาทำการร้องขอจากพระเจ้าซึ่งเป็นแรงจูงใจ ความทะเยอทะยาน และความคิดแบบแลกเปลี่ยนของพวกเขา  กล่าวคือ ในหัวใจของเขานั้น มนุษย์กำลังทดสอบพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ คิดวางแผนเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ โต้แย้งเรื่องราวเพื่อบทอวสานแต่ละอย่างของพวกเขาเองกับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ และพยายามที่จะคัดรายงานแถลงจากพระเจ้า โดยดูว่าพระเจ้าสามารถประทานสิ่งที่เขาต้องการให้แก่เขาหรือไม่  ในเวลาเดียวกันกับที่ไล่ตามเสาะหาพระเจ้านั้น มนุษย์ก็ไม่ปฏิบัติกับพระเจ้าดังเช่นพระเจ้า มนุษย์พยายามที่จะทำข้อตกลงกับพระเจ้าอยู่เสมอ ทำข้อเรียกร้องจากพระองค์อย่างไม่หยุดหย่อน และแม้กระทั่งกดดันพระองค์ในทุกขั้นตอน โดยหลังจากได้คืบแล้วก็พยายามที่จะเอาศอก  ในเวลาเดียวกันกับที่พยายามทำข้อตกลงกับพระเจ้า มนุษย์ก็ยังโต้แย้งกับพระองค์ด้วย และมีแม้กระทั่งผู้คนที่มักจะกลายเป็นอ่อนแอ อยู่นิ่งเฉย และหย่อนยานในงานของพวกเขา และเต็มไปด้วยการร้องทุกข์คร่ำครวญเกี่ยวกับพระเจ้าเมื่อการทดสอบตกมาถึงพวกเขาและเต็มไปด้วยคำติเตียนเกี่ยวกับพระเจ้า  จากเวลาที่มนุษย์ได้เริ่มเชื่อในพระเจ้านั้น เขาได้พิจารณาว่าพระเจ้าทรงเป็นความอุดมสมบูรณ์ เป็นมีดพับสวิส และเขาได้พิจารณาตัวเขาเองว่าเป็นเจ้าหนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้า ราวกับว่าการพยายามได้รับพรและสัญญาจากพระเจ้านั้นเป็นสิทธิ์และภาระผูกพันประจำตัวของเขา  ในขณะที่หน้าที่รับผิดชอบของพระเจ้าคือการคุ้มครองปกป้องและดูแลมนุษย์ และการจัดเตรียมให้กับเขา  เช่นนั้นเองคือความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ “การเชื่อในพระเจ้า” ของพวกเหล่านั้นทั้งหมดที่เชื่อในพระเจ้า และเช่นนั้นคือความเข้าใจส่วนลึกที่สุดของพวกเขาเกี่ยวกับมโนทัศน์แห่งการเชื่อในพระเจ้า  จากแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์ไปจนถึงการไล่ตามเสาะหาในใจของเขา ไม่มีสิ่งใดที่สัมพันธ์กับความยำเกรงพระเจ้าเลย  จุดมุ่งหมายของมนุษย์ในการเชื่อในพระเจ้าไม่สามารถเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับการนมัสการพระเจ้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มนุษย์ไม่เคยได้พิจารณาหรือเข้าใจว่าการเชื่อในพระเจ้าจำเป็นต้องมีการยำเกรงและการนมัสการพระเจ้า  เนื่องจากสภาพเงื่อนไขเช่นนั้น เนื้อแท้ของมนุษย์ก็ชัดแจ้ง  เนื้อแท้นี้คือสิ่งใด?  มันก็คือหัวใจของมนุษย์นั้นมุ่งร้าย เก็บงำการทรยศหักหลังและการหลอกลวง ไม่รักความยุติธรรมและความชอบธรรมและสิ่งที่เป็นเชิงบวก และมันน่าเหยียดหยามและโลภ  หัวใจของมนุษย์ไม่สามารถใกล้ชิดกับพระเจ้าได้มากขึ้น เขาไม่ได้มอบมันให้แก่พระเจ้าเลย  พระเจ้าไม่เคยทรงมองเห็นหัวใจที่แท้จริงของมนุษย์ อีกทั้งพระองค์ไม่เคยได้รับการนมัสการโดยมนุษย์  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงจ่ายราคาที่ยิ่งใหญ่เพียงใด หรือพระองค์ทรงพระราชกิจมากเพียงใด หรือพระองค์ทรงจัดเตรียมให้มนุษย์มากเพียงใด มนุษย์ยังคงมืดบอดและไม่แยแสอย่างสิ้นเชิงต่อการนั้นทั้งหมด  มนุษย์ไม่เคยได้มอบหัวใจของเขาแด่พระเจ้า เขาเพียงต้องการที่จะเอาใจใส่หัวใจของเขาด้วยตัวเอง ที่จะทำการตัดสินใจของเขาเองเท่านั้น—ซึ่งความนัยก็คือว่ามนุษย์ไม่ต้องการที่จะติดตามหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว หรือที่จะเชื่อฟังอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า อีกทั้งเขาไม่ต้องการนมัสการพระเจ้าในฐานะพระเจ้า  เช่นนั้นคือสภาวะของมนุษย์ในปัจจุบัน

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 309

ผู้คนมากมายต่อต้านพระเจ้าและขัดขวางพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เพราะพวกเขาไม่รู้จักพระราชกิจอันหลากหลายและแตกต่างกันของพระเจ้า และนอกจากนั้นเพราะพวกเขามีความรู้และคำสอนแค่หางอึ่งที่จะใช้ประเมินพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์มิใช่หรือ?  แม้ว่าประสบการณ์ต่างๆ ของผู้คนเช่นนี้จะผิวเผิน แต่พวกเขาก็โอหังและหลงใหลในธรรมชาติ และพวกเขาคำนึงถึงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยการเหยียดหยาม เพิกเฉยต่อการบ่มวินัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และยิ่งกว่านั้นใช้ข้อโต้แย้งเก่าๆ ไร้สาระของพวกเขาเพื่อ “ยืนยัน” พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  พวกเขายังเล่นละครตบตาอีกด้วย และหลงเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในการเรียนรู้และความคงแก่เรียนของตัวเอง และหลงเชื่อมั่นว่าพวกเขามีความสามารถที่จะเดินทางข้ามโลกได้  ผู้คนเช่นนี้ไม่ใช่พวกที่ถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดูหมิ่นและทรงปฏิเสธหรอกหรือ และพวกเขาจะไม่ถูกยุคใหม่ขับออกไปหรอกหรือ?  พวกที่มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและต่อต้านพระองค์อย่างเปิดเผย ไม่ใช่บุคคลน่าดูหมิ่นที่ไม่รู้เท่าทันและได้รับข่าวสารน้อยเกินไป ซึ่งเพียงกำลังพยายามอวดว่าพวกเขาหลักแหลมเพียงใดหรอกหรือ?  ด้วยความรู้เรื่องพระคัมภีร์เพียงน้อยนิด พวกเขาพยายามก่อจลาจลใน “สถาบันวิชาการ” ของโลก ด้วยคำสอนเพียงผิวเผินเพื่อใช้สอนผู้คน พวกเขาพยายามพลิกพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพยายามทำให้พระราชกิจหมุนรอบกระบวนการขบคิดของพวกเขาเอง  เพราะพวกเขามีสายตาสั้นพวกเขาจึงพยายามมองดู 6,000 ปีแห่งพระราชกิจของพระเจ้าด้วยการชำเลืองครั้งเดียว  ผู้คนเหล่านี้ไม่มีสำนึกรับรู้ที่มีค่าคู่ควรต่อการกล่าวถึงแต่อย่างใด!  อันที่จริงยิ่งผู้คนมีความรู้เรื่องพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งตัดสินพระราชกิจของพระองค์ช้าลงเท่านั้น  นอกจากนี้พวกเขาพูดถึงความรู้เรื่องพระราชกิจของพระเจ้าในวันนี้เพียงเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ไม่ได้หุนหันพลันแล่นในการตัดสินของพวกเขา  ยิ่งผู้คนรู้เรื่องพระเจ้าน้อยลงเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งโอหังและหลงตัวเองมากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาก็ยิ่งประกาศการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าอย่างหยาบคายมากขึ้นเท่านั้น—กระนั้น พวกเขาก็พูดถึงทฤษฎีเท่านั้น และไม่เสนอหลักฐานจริงแท้ใดๆ  ผู้คนเช่นนี้ไม่มีค่าอะไรเลย  พวกที่เห็นว่าพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเรื่องเล่นนั้นเป็นคนเหลาะแหละ!  พวกที่ไม่ระมัดระวังเมื่อพวกเขาเผชิญกับพระราชกิจใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ซึ่งพูดมาก ด่วนตัดสิน ผู้ซึ่งให้อิสระเต็มที่แก่อารมณ์ของพวกเขาที่จะปฏิเสธความถูกต้องของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และผู้ซึ่งดูแคลนและหมิ่นประมาทพระราชกิจด้วยเช่นกัน—ผู้คนที่ขาดความเคารพเช่นนี้ไม่ได้ขาดความรู้เท่าทันต่อพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรอกหรือ?  ยิ่งกว่านั้นพวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่โอหังอย่างหนัก ผู้คนที่ทะนงตนและไม่สามารถควบคุมได้โดยสันดานหรอกหรือ?  แม้ว่าสักวันหนึ่งจะมาถึงเมื่อผู้คนเช่นนี้ยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าก็ยังคงไม่ทรงยอมผ่อนปรนต่อพวกเขา  พวกเขาไม่เพียงดูถูกพวกที่ทำงานเพื่อพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขายังหมิ่นประมาทพระเจ้าพระองค์เองอีกด้วย  ผู้คนที่หมดหวังเช่นนี้จะไม่ได้รับการอภัย ทั้งในยุคนี้และในยุคที่จะมา และพวกเขาจะต้องพินาศในนรกตลอดกาล!  ผู้คนที่ขาดความเคารพและหลงระเริงเช่นนี้กำลังเสแสร้งทำเป็นเชื่อในพระเจ้า และยิ่งผู้คนเป็นเยี่ยงนี้มากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะล่วงเกินประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  พวกคนโอหังเหล่านั้นผู้ซึ่งปราศจากการควบคุมแต่กำเนิด และผู้ซึ่งไม่เคยได้เชื่อฟังผู้ใด ต่างก็ไม่เดินบนเส้นทางนี้ทั้งหมดหรอกหรือ?  พวกเขาไม่ต่อต้านพระเจ้าวันแล้ววันเล่า พระเจ้าผู้ทรงใหม่เสมอและทรงไม่มีวันเก่าหรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะคือเส้นทางสู่การรู้จักพระเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 310

ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมโบราณและประวัติศาสตร์ซึ่งกินเวลาหลายพันปีได้ปิดตายความคิดและมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์และทัศนะทางจิตใจของเขาอย่างแน่นหนาจนทำให้ไม่มีอะไรซึมแทรกผ่านสิ่งเหล่านั้นได้และทำให้สิ่งเหล่านั้นมิอาจย่อยสลายได้[1]  ผู้คนดำรงชีวิตอยู่ในนรกขุมที่สิบแปด ที่ซึ่งอาจไม่เคยได้พบเห็นความสว่างเลย ราวกับว่าพวกเขาได้ถูกพระเจ้าทรงเนรเทศไปอยู่ในคุกใต้ดิน  การคิดแบบศักดินาได้กดขี่ผู้คนมากเสียจนพวกเขาแทบไม่สามารถหายใจได้และกำลังหายใจไม่ออก  พวกเขาไม่มีเรี่ยวแรงแม้สักหยดที่จะต้านทาน ทั้งหมดที่พวกเขาทำก็คือสู้ทนและสู้ทนในความเงียบ… วันแล้ววันเล่า และปีแล้วปีเล่า ไม่เคยมีผู้ใดเลยที่กล้าจะต่อสู้ดิ้นรนและลุกยืนขึ้นเพื่อความชอบธรรมและความยุติธรรม ผู้คนก็แค่ดำรงวิถีชีวิตซึ่งแย่กว่าวิถีชีวิตของสัตว์ อยู่ภายใต้เรื่องเคราะห์ร้ายทั้งหลายและการทารุณกรรมของจริยธรรมแนวศักดินา  พวกเขาไม่เคยคิดที่จะแสวงหาจนพบพระเจ้าเพื่อชื่นชมความสุขในโลกมนุษย์  ราวกับว่าผู้คนได้ถูกทุบตีจนถึงจุดที่พวกเขาเป็นเหมือนใบไม้ที่ร่วงหล่นในฤดูใบไม้ร่วง เหี่ยวเฉา แห้งกรอบ และเป็นสีเหลืองอมน้ำตาล  ผู้คนได้สูญสิ้นความทรงจำของพวกเขานานมาแล้ว พวกเขาดำรงชีวิตอย่างอับจนหนทางในนรกซึ่งเรียกกันว่าโลกมนุษย์ โดยรอคอยการมาถึงของวันสุดท้ายเพื่อที่พวกเขาอาจพินาศไปด้วยกันกับนรกนี้ ราวกับว่าวันสุดท้ายที่พวกเขาโหยหานั้นคือวันที่มนุษย์จะชื่นชมสันติสุขอันสงบ  จริยธรรมแนวศักดินาทั้งหลายได้นำชีวิตของมนุษย์ไปสู่ “แดนคนตาย” โดยทำให้พลังในการต้านทานของมนุษย์ยิ่งอ่อนแอลงไปอีก  การกดขี่ทุกชนิดผลักมนุษย์ให้ตกลงไปสู่แดนคนตายลึกลงไปอีกทีละขั้นๆ ห่างไกลพระเจ้าออกไปทุกที จนกระทั่งวันนี้เขาได้กลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับพระเจ้าโดยสิ้นเชิงและร้อนรนที่จะหลีกเลี่ยงพระองค์เมื่อเขากับพระเจ้ามาพบกัน  มนุษย์ไม่ใส่ใจพระองค์และทิ้งให้พระองค์ทรงยืนอยู่ตามลำพังทางฟากหนึ่ง ราวกับว่ามนุษย์ไม่เคยรู้จักพระองค์ ไม่เคยเห็นพระองค์มาก่อน  ทว่าพระเจ้าทรงกำลังรอมนุษย์มาตลอดการเดินทางอันยาวนานของชีวิตมนุษย์ ไม่เคยทรงทุ่มพระพิโรธอันไม่สามารถระงับได้เข้าใส่เขา แค่ทรงรออย่างเงียบเชียบ โดยไม่มีพระวจนะสักคำ เพื่อให้มนุษย์กลับใจและเริ่มต้นใหม่  พระเจ้าได้เสด็จมาสู่โลกมนุษย์นานมาแล้วเพื่อแบ่งปันความทุกข์ของโลกมนุษย์ร่วมกับมนุษย์  ในช่วงเวลาหลายปีที่พระองค์ได้ทรงพระชนม์ชีพร่วมกับมนุษย์ ไม่มีผู้ใดเลยที่ได้ค้นพบการดำรงอยู่ของพระองค์  พระเจ้าเพียงทรงสู้ทนความทุกข์ระทมจากความทรุดโทรมในโลกมนุษย์อย่างเงียบกริบ ในขณะที่ทรงดำเนินพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงนำมาด้วยพระองค์เอง  พระองค์ทรงสู้ทนเรื่อยไปเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของน้ำพระทัยของพระเจ้าพระบิดา และเพื่อเห็นแก่ประโยชน์แห่งความต้องการที่จำเป็นของมวลมนุษย์ โดยก้าวผ่านความทุกข์ที่มนุษย์ไม่เคยได้รับประสบการณ์มาก่อน  ต่อหน้ามนุษย์นั้น พระเจ้าได้ทรงรอคอยเขาอย่างเงียบเชียบ และต่อหน้ามนุษย์นั้น พระองค์ได้ทรงถ่อมพระองค์เองเพื่อเห็นแก่ประโยชน์แห่งน้ำพระทัยของพระเจ้าพระบิดา และเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของความต้องการที่จำเป็นของมวลมนุษย์ด้วยเช่นกัน  ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมโบราณได้แอบขโมยมนุษย์ไปจากการสถิตของพระเจ้า และได้จัดส่งเขาไปยังกษัตริย์ของพวกมารและหน่อเนื้อเชื้อไขของมัน  สี่หนังสือห้าคัมภีร์[ก]ได้นำความคิดและมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ไปสู่อีกยุคแห่งการกบฏ อันเป็นเหตุให้เขายิ่งให้การยกย่องสรรเสริญแก่พวกที่ได้รวบรวมหนังสือ/คัมภีร์ที่เป็นเอกสารหลักฐานทั้งหลายมากขึ้นไปอีก และผลก็คือมโนคติที่หลงผิดของเขาเกี่ยวกับพระเจ้ายิ่งซ้ำร้ายเข้าไปใหญ่  กษัตริย์ของพวกมารได้ขับไล่พระเจ้าจากหัวใจของมนุษย์อย่างเลือดเย็นโดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว และจากนั้นตัวมันเองก็เข้าจับจองหัวใจนั้นด้วยความรื่นเริงยินดีในความมีชัย  นับตั้งแต่เวลานั้น มนุษย์ได้กลายมามีดวงจิตที่เลวและอัปลักษณ์ และมีโฉมหน้าของกษัตริย์ของพวกมาร  หัวอกของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังพระเจ้า และความมุ่งร้ายอาฆาตของกษัตริย์ของพวกมารก็ได้แพร่กระจายไปภายในตัวมนุษย์วันแล้ววันเล่า จนกระทั่งเขาได้ถูกบริโภคจนถึงที่สุด  มนุษย์ไม่ได้มีอิสรภาพอีกต่อไปแม้แต่น้อย และไม่ได้มีหนทางที่จะหลุดพ้นเป็นอิสระจากบางสิ่งที่มนุษย์เกี่ยวข้องจนแกะไม่ออกของกษัตริย์ของพวกมาร  เขาไม่ได้มีทางเลือกนอกจากจะถูกจับเป็นเชลยคาที่ ยอมจำนนและล้มลงนบนอบต่อหน้ามัน  นานมาแล้ว เมื่อหัวใจและดวงจิตของมนุษย์ยังคงอยู่ในวัยทารก กษัตริย์ของพวกมารได้ปลูกเมล็ดพันธุ์ของเนื้อร้ายแห่งการเชื่อว่าพระเจ้าไม่มีจริงไว้ในนั้น โดยสอนเหตุผลวิบัติมากมายให้แก่เขา อาทิ “จงศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จงตระหนักถึงนโยบายสี่ทันสมัย และไม่มีสิ่งเช่นนั้นที่เป็นพระเจ้าอยู่ในโลก”  ไม่เพียงแค่นั้น มันยังโห่ร้องในทุกโอกาสเหมาะว่า  “ขอให้พวกเราจงพึ่งพาแรงงานในการตรากตรำทำกินของพวกเราเพื่อสร้างถิ่นฐานอันสวยงาม” โดยขอให้แต่ละบุคคลตระเตรียมตั้งแต่วัยเด็กเพื่อทำการปรนนิบัติอันสัตย์ซื่อต่อประเทศของพวกเขา  มนุษย์ซึ่งไม่รู้ตัวได้ถูกนำไปอยู่ต่อหน้ามัน โดยที่มันแอบอ้างสิทธิ์เหนือความน่าเชื่อถือทั้งหมด (หมายถึงความน่าเชื่อถือที่เป็นของพระเจ้าสำหรับการถือครองมวลมนุษย์ทั้งปวงไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์) ไว้กับตัวมันเองอย่างไม่ลังเลใจ  มันไม่เคยมีสำนึกถึงความละอายใจอันใดเลย  ยิ่งไปกว่านั้น มันได้ฉวยเอาประชากรของพระเจ้าไปอย่างไร้ยางอายและได้ลากพวกเขากลับไปอยู่ในบ้านของมัน ที่ซึ่งมันได้กระโจนขึ้นไปอยู่บนโต๊ะเหมือนกับหนูตัวหนึ่ง และได้ให้มนุษย์เคารพบูชามันในฐานะพระเจ้า  ช่างเป็นผู้ร้ายยิ่งนัก!  มันร้องตะโกนสิ่งทั้งหลายที่น่าตกตะลึงเป็นที่อื้อฉาว อาทิ  “ไม่มีสิ่งเช่นนั้นที่เป็นพระเจ้าอยู่ในโลก  ลมนั้นมาจากการแปลงสภาพตามกฎธรรมชาติ โดยที่ฝนนั้นมาตอนที่ไอน้ำซึ่งพบกับอุณหภูมิเย็นกลั่นตัวกลายเป็นหยดน้ำที่ตกลงสู่แผ่นดินโลก แผ่นดินไหวคือการสั่นสะเทือนของพื้นผิวของแผ่นดินโลกอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา ภัยแล้งก็เป็นเพราะความแห้งในอากาศที่มีเหตุมาจากการรบกวนทางพลังงานนิวเคลียร์บนพื้นผิวของดวงอาทิตย์  เหล่านี้คือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ  ในทั้งหมดนี้มีการกระทำของพระเจ้าอยู่ที่ไหนตรงเล่า?”  มีแม้กระทั่งพวกที่โห่ร้องถ้อยแถลงดังต่อไปนี้ ถ้อยแถลงที่ไม่ควรได้รับการเปล่งเสียงออกมา นั่นคือ  “มนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากพวกลิงในสมัยโบราณ และโลกทุกวันนี้ก็มาจากการสืบทอดของสังคมดึกดำบรรพ์ที่เริ่มตั้งแต่ประมาณกัปกัลป์มาแล้ว  การที่ประเทศหนึ่งจะรุ่งเรืองหรือเสื่อมถอยหรือไม่นั้นอยู่ในมือของผู้คนของประเทศนั้นทั้งสิ้น”  หลังฉากนั้น มันทำให้มนุษย์แขวนมันไว้บนผนัง หรือไม่ก็วางมันบนโต๊ะเพื่อกราบไหว้และให้ของถวายแก่มัน  ในเวลาเดียวกันกับที่มันร้องตะโกนว่า “ไม่มีพระเจ้า” มันก็ตั้งตัวมันเองเป็นพระเจ้า โดยผลักพระเจ้าออกจากเขตแดนของแผ่นดินโลกด้วยความหยาบคายแบบเบ็ดเสร็จ พลางก็ยืนในที่ของพระเจ้าและเข้ารับบทบาทเป็นกษัตริย์ของพวกมาร  ช่างหลงออกนอกเหตุผลโดยสิ้นเชิง!  มันทำให้คนเราเกลียดชังมันเข้ากระดูกดำ  ดูเหมือนว่าพระเจ้ากับมันเป็นศัตรูคู่สาบานกัน และทั้งสองก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้  มันออกอุบายเพื่อไล่พระเจ้าออกไปในขณะที่มันตระเวนไปทั่วโดยอิสระ อยู่นอกเงื้อมมือของกฎหมาย[2] มันช่างเป็นกษัตริย์ของพวกมารชัดๆ!  การดำรงอยู่ของมันเป็นที่ทนยอมรับได้อย่างไรเล่า?  มันจะไม่หยุดพักจนกว่ามันจะได้สร้างปัญหายุ่งเหยิงให้กับพระราชกิจของพระเจ้าและทิ้งพระราชกิจทั้งหมดไว้ในความโกลาหลโดยสมบูรณ์[3] ราวกับว่ามันต้องการที่จะต่อต้านพระเจ้าไปจนกว่าจะหาไม่ จนกว่าปลาจะตายหรือไม่ก็แหจะขาด โดยจงใจตั้งตัวมันเองต่อต้านพระเจ้าและกดดันใกล้เข้ามาทุกที  ใบหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวของมันที่ได้ถูกถอดหน้ากากออกอย่างหมดเปลือกนานมาแล้ว บัดนี้มันบอบช้ำและสะบักสะบอม[4]และอยู่ในภาวะที่น่าเสียใจ ทว่ามันก็จะยังคงไม่ลดละความเกลียดชังของมันที่มีต่อพระเจ้า ราวกับว่า มันจะบรรเทาความเกลียดชังที่กักขังไว้ในหัวใจของมันได้ก็โดยการสวาปามกลืนพระเจ้าเข้าไปแบบเต็มปากเต็มคำเท่านั้น  พวกเราสามารถทนยอมรับมันได้อย่างไร ศัตรูตัวนี้ของพระเจ้า!  การถอนรากถอนโคนและการกำจัดมันให้สิ้นซากเท่านั้นที่จะนำความปรารถนาของชีวิตของพวกเราไปสู่การผลิดอกออกผลได้  มันสามารถได้รับอนุญาตให้อาละวาดเพ่นพ่านต่อไปได้อย่างไรกัน?  มันได้ทำให้มนุษย์เสื่อมทรามจนถึงระดับที่มนุษย์ไม่รู้จักสวรรค์สุริยัน และได้กลายเป็นตายซากและไร้ความรู้สึก  มนุษย์ได้สูญเสียเหตุผลของมนุษย์ปกติไปแล้ว  เหตุใดเล่าจึงไม่มอบถวายการเป็นอยู่ทั้งหมดของพวกเราเพื่อทำลายมันและเผามันให้ไหม้จนหมดสิ้นเพื่อกำจัดทิ้งความกังวลทั้งหมดเกี่ยวกับอนาคต และเปิดโอกาสให้พระราชกิจของพระเจ้าได้ไปถึงความตระการตาอันไม่เคยมีมาก่อนได้เร็วขึ้น?  บรรดาวายร้ายแก๊งนี้ได้มาสู่โลกของพวกมนุษย์และได้ลดทอนโลกมนุษย์ไปสู่ความสับสนอลหม่าน  พวกมันได้นำมนุษยชาติทั้งปวงไปสู่ขอบหน้าผา โดยแอบวางแผนที่จะผลักพวกเขาลงไปให้กระแทกแหลกเป็นชิ้นๆ เพื่อที่ในเวลาต่อมาพวกมันอาจสวาปามซากศพของพวกเขา พวกมันหวังลมๆ แล้งๆ ที่จะทำลายแผนของพระเจ้าและเข้าสู่การจับคู่แข่งขันกับพระองค์ โดยเดิมพันทุกสิ่งทุกอย่างในการโยนลูกเต๋าครั้งเดียว[5]  นั่นไม่ง่ายดายเลยสักวิถีทาง!  จะว่าไป กางเขนก็ได้ถูกตระเตรียมไว้แล้วให้กับกษัตริย์ของพวกมารผู้มีความผิดฐานก่ออาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด  พระเจ้าไม่ทรงเป็นของกางเขน  พระองค์ได้ทรงโยนมันทิ้งไปข้างๆ ให้แก่มารแล้ว  บัดนี้พระเจ้าได้ทรงผงาดขึ้นมีชัยชนะมานานแล้ว และไม่ทรงรู้สึกเศร้าโศกในเรื่องบาปทั้งหลายของมวลมนุษย์อีกต่อไปแล้ว แต่กลับจะทรงนำความรอดมาสู่มวลมนุษย์ทั้งปวงแทน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (7)

เชิงอรรถ:

1. “มิอาจย่อยสลายได้” ในที่นี้มีเจตนาให้เป็นคำเสียดสี โดยหมายความว่า ผู้คนแข็งขืนอยู่ในความรู้ วัฒนธรรม และทัศนะทางจิตวิญญาณของพวกเขา

2. “ตระเวนไปทั่วโดยอิสระ อยู่นอกเงื้อมมือของกฎหมาย” บ่งชี้ว่ามารนั้นคลุ้มคลั่งและวิ่งพล่าน

3. “ความโกลาหลโดยสมบูรณ์” อ้างอิงถึงการที่พฤติกรรมรุนแรงของมารนั้นมิอาจที่จะทนดูได้เพียงใด

4. “บอบช้ำและสะบักสะบอม” อ้างอิงถึงใบหน้าอัปลักษณ์ของกษัตริย์ของพวกมาร

5. “เดิมพันทุกสิ่งทุกอย่างในการโยนลูกเต๋าครั้งเดียว” หมายถึงการวางเงินทั้งหมดของคนเราในการเดิมพันครั้งเดียว ด้วยความหวังว่า สุดท้ายแล้วก็จะชนะ  นี่คือคำอุปมาสำหรับกลอุบายอันมุ่งร้ายและสามานย์ของมาร  สำนวนนี้ใช้ในทางเย้ยหยัน

ก. สี่หนังสือห้าคัมภีร์เป็นหนังสือที่เชื่อถือได้อย่างเป็นทางการของลัทธิขงจื๊อในประเทศจีน


พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 311

จากปลายยอดสู่ก้นบึ้ง และจุดเริ่มต้นถึงปลายทาง ซาตานได้ทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงักและกระทำการต่อต้านพระองค์มาโดยตลอด  การพูดคุยทั้งหมดนี้เกี่ยวกับ “มรดกทางวัฒนธรรมโบราณ” “ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมโบราณ” อันมีคุณค่า “คำสอนของลัทธิเต๋าและลัทธิขงจื๊อ” และ “คัมภีร์แบบขงจื๊อและพิธีกรรมแบบศักดินา” ได้นำมนุษย์ไปสู่นรก  วิทยาศาสตร์และวิทยาการสมัยใหม่ขั้นสูง ตลอดจนอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และธุรกิจทั้งหลายที่พัฒนาไปอย่างสูงล้ำนั้นไม่อาจพบเห็นได้ที่ใด  ในทางกลับกัน ทั้งหมดที่มันทำคือการตอกย้ำพิธีกรรมแบบศักดินาที่เผยแพร่โดย “บรรดาลิง” จากสมัยโบราณเพื่อที่จะจงใจต่อต้าน รื้อทำลายและทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงัก  มันไม่ได้เพียงทำให้มนุษย์ทุกข์ร้อนต่อเนื่องมาจนกระทั่งวันนี้เท่านั้น แต่มันถึงขั้นต้องการที่จะกลืนกิน[1]มนุษย์เข้าไปทั้งตัว  การส่งผ่านคำสอนด้านจริยธรรมและด้านศีลธรรมจากระบบศักดินา และการส่งต่อความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมโบราณได้แพร่เชื้อเข้าสู่มนุษยชาติมานานแล้ว อันเป็นการเปลี่ยนพวกเขาไปเป็นพวกมารทั้งใหญ่และเล็ก  มีน้อยคนที่เป็นบรรดาผู้ที่จะรับพระเจ้าไว้อย่างยินดี น้อยคนที่จะต้อนรับการเสด็จมาของพระองค์อย่างปรีดา  โฉมหน้าของมนุษยชาติทั้งปวงเต็มไปด้วยเจตนามุ่งสังหาร และในทุกสถานที่ ลมหายใจแห่งการเข่นฆ่าแผ่ซ่านไปในอากาศ  พวกเขาพยายามขับไล่พระเจ้าออกไปจากแผ่นดินนี้ ด้วยมีดและดาบในมือ พวกเขาจัดการเตรียมตัวพวกเขาเองในการก่อรูปการสู้รบเพื่อ “ล้างผลาญ” พระเจ้า ทั่วทั้งแผ่นดินนี้ของมาร ที่ซึ่งมนุษย์ถูกสอนอยู่ตลอดเวลาว่าไม่มีพระเจ้า รูปเคารพทั้งหลายแพร่หลายไปทั่ว และอากาศข้างบนก็แผ่ซ่านไปด้วยกลิ่นชวนคลื่นเหียนจากกระดาษและธูปซึ่งกำลังเผาไหม้ตลบอบอวลเสียจนหายใจไม่ออก  มันเหมือนกลิ่นเหม็นตุของโคลนตะกอนที่โชยวูบขึ้นมาพร้อมกับการบิดตัวเร่าของงูพิษ มากเสียจนคนเราไม่สามารถกลั้นการอาเจียนได้  นอกเหนือจากนี้แล้ว ยังสามารถแว่วได้ยินเสียงของพวกปีศาจชั่วที่กำลังสวดคัมภีร์ เป็นเสียงซึ่งดูเหมือนว่ามาจากที่ห่างไกลในนรก มากเสียจนคนเราไม่สามารถสะกดกลั้นการสั่นเทาเอาไว้ได้  ทุกที่ในแผ่นดินนี้เป็นที่ตั้งรูปเคารพทุกสีของสายรุ้ง อันเป็นการเปลี่ยนแผ่นดินไปเป็นโลกแห่งความปีติยินดีทางโลกีย์ ในขณะที่กษัตริย์ของพวกมารเอาแต่หัวเราะอย่างสารเลว ราวกับว่าอุบายอันขี้ขลาดของมันได้ประสบความสำเร็จแล้ว  ในขณะเดียวกัน มนุษย์ยังคงไม่รับรู้อย่างสิ้นเชิง และเขาก็ไม่ได้ระแคะระคายเลยว่ามารได้ทำให้เขาเสื่อมทรามไปแล้วจนถึงจุดที่เขาได้กลายเป็นไร้สำนึกและพ่ายแพ้จนคอตกหมดรูป  มันปรารถนาที่จะกวาดล้างทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า และทำให้พระองค์มีมลทินและลอบสังหารพระองค์ไปพร้อมกันอีกครั้ง กล่าวคือ มันตั้งใจที่จะฉีกทำลายและทำให้พระราชกิจของพระองค์หยุดชะงัก  มันจะสามารถยอมให้พระเจ้ามีสถานะเสมอกันได้อย่างไร?  มันจะสามารถทนยอมรับการที่พระเจ้า “ทรงแทรกแซง” งานของมันท่ามกลางพวกมนุษย์บนแผ่นดินโลกได้อย่างไร?  มันจะสามารถยอมให้พระเจ้าทรงถอดหน้ากากออกจากใบหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวของมันได้อย่างไร?  มันจะสามารถยอมให้พระเจ้าทรงวางงานของมันไว้ในความสับสนไม่เป็นระเบียบได้อย่างไร?  มารตนนี้ซึ่งฉุนเฉียวด้วยความเดือดดาลจะสามารถยอมให้พระเจ้าทรงมีการควบคุมอยู่เหนือศาลแห่งจักรวรรดิของมันบนแผ่นดินโลกได้อย่างไร?  มันจะสามารถเต็มใจกราบไหว้มหิทธิฤทธิ์อันเหนือกว่าของพระองค์ได้อย่างไร?  โฉมหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวของมันได้ถูกเปิดเผยให้เห็นสิ่งที่มันเป็น จนคนเราไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี และมันยากเย็นจริงๆ ที่จะพูดถึง  นี่ไม่ใช่ธาตุแท้ของมันหรอกหรือ?  เจ้าพวกสมรู้ร่วมคิดในอาชญากรรม[2]แก๊งนี้!  มันยังคงเชื่ออยู่ด้วยดวงจิตอันอัปลักษณ์ว่า ตัวมันนั้นสวยงามเหลือเชื่อ  พวกมันลงมาสู่อาณาจักรมนุษย์เพื่อปล่อยใจดื่มด่ำไปกับความยินดีทั้งหลาย และทำให้เกิดสภาวะอันสับสนอื้ออึง โดยก่อกวนสิ่งทั้งหลายมากเสียจนโลกกลายเป็นสถานที่อันรวนเรและไม่คงเส้นคงวา และหัวใจของมนุษย์ก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและความไม่สบายใจ และพวกมันได้ล้อเล่นกับมนุษย์มากเสียจนรูปลักษณ์ของเขาได้กลายเป็นรูปลักษณ์ของสัตว์ร้ายแห่งท้องทุ่งที่ไม่มีความเป็นคน อัปลักษณ์อย่างที่สุด และร่องรอยสุดท้ายของมนุษย์ซึ่งบริสุทธิ์ดั้งเดิมก็ได้สูญหายไปแล้วจากรูปลักษณ์นั้น  ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันถึงขั้นปรารถนาที่จะเข้าครองอำนาจอธิปไตยบนแผ่นดินโลก  พวกมันขัดแข้งขัดขาพระราชกิจของพระเจ้ามากเสียจนพระราชกิจแทบไม่สามารถเดินหน้าได้แม้สักหนึ่งนิ้ว และพวกมันก็ปิดล้อมมนุษย์อย่างแน่นหนาดังกำแพงทองแดงและเหล็กกล้า  เมื่อได้กระทำบาปสาหัสมากมายยิ่งนักและทำให้เกิดความวิบัติมากมายยิ่งนักแล้ว พวกมันยังคงคาดหวังบางสิ่งที่นอกเหนือจากการตีสอนอยู่อีกหรือ?  พวกปีศาจและพวกวิญญาณชั่ววิ่งพล่านไปบนแผ่นดินโลกมาระยะหนึ่งแล้ว และได้ปิดกั้นทั้งน้ำพระทัยและความพยายามอุตสาหะของพระเจ้าอย่างแน่นหนาแล้ว จนกระทั่งสิ่งเหล่านั้นมิอาจผ่านเข้าไปได้  แท้จริงแล้ว นี่คือบาปมหันต์!  พระเจ้าจะไม่ทรงรู้สึกวิตกกังวลได้อย่างไร?  พระเจ้าจะไม่ทรงรู้สึกพิโรธได้อย่างไร?  พวกมันได้ขัดขวางและต่อต้านพระราชกิจของพระเจ้าอย่างสาหัส  ช่างเป็นกบฏอะไรเช่นนี้!  แม้แต่พวกปีศาจเหล่านั้นทั้งใหญ่และเล็ก ก็ยังประพฤติตัวเหมือนพวกหมาจิ้งจอกที่ตามติดส้นเท้าสิงโตและทำตามกระแสชั่ว โดยคิดวางแผนให้เกิดการรบกวนไปตามทางที่พวกมันไป  พวกบุตรแห่งการกบฏเหล่านี้ ครั้นได้รู้ความจริงแล้ว พวกมันก็จงใจต่อต้านความจริง!  มาถึงบัดนี้ที่กษัตริย์แห่งนรกของพวกมันได้ขึ้นสู่บัลลังก์แห่งกษัตริย์แล้ว ก็เป็นราวกับว่าพวกมันได้กลายเป็นพอใจในตัวเองและชะล่าใจ โดยปฏิบัติต่อผู้อื่นทั้งปวงด้วยการเหยียดหยาม  มีกี่คนหรือในหมู่พวกมันที่แสวงหาความจริงและปฏิบัติตามความชอบธรรม?  พวกมันทั้งหมดคือสัตว์ร้าย ไม่ได้ดีไปกว่าสุกรและสุนัข อยู่กับหัวหน้าฝูงแมลงวันที่ส่งกลิ่นเหม็นสาป แกว่งหัวไปมาแสดงความยินดีกับตัวเองอย่างภาคภูมิใจ และก่อกวนให้เกิดปัญหาทุกประเภท[3] ในท่ามกลางกองมูลสัตว์  พวกมันเชื่อว่ากษัตริย์แห่งนรกของพวกมันคือกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดากษัตริย์ทั้งปวง โดยแทบไม่รู้เลยว่า พวกมันเองนั้นไม่ได้เป็นมากไปกว่าแมลงวันที่ส่งกลิ่นเหม็นทั้งหลาย  แต่กระนั้น พวกมันก็อาศัยประโยชน์จากอำนาจของสุกรและสุนัขที่พวกมันยึดถือเป็นบิดามารดาเพื่อใส่ร้ายการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า  ในฐานะแมลงวันตัวจิ๋ว พวกมันเชื่อว่าบิดามารดาของพวกมันใหญ่โตเท่าพวกวาฬน้ำเงิน[4]  พวกมันหารู้ไม่ว่า ในขณะที่พวกมันเองนั้นตัวเล็กกระจิ๊ด บิดามารดาของพวกมันก็เป็นสุกรและสุนัขไม่สะอาดที่ใหญ่กว่าพวกมันหลายร้อยล้านเท่า  พวกมันพึ่งพากลิ่นเหม็นตุของการเน่าเปื่อยที่สุกรและสุนัขเหล่านั้นคายออกมาเพื่อที่จะวิ่งพล่าน คิดลมๆ แล้งๆ ว่าจะให้กำเนิดชนรุ่นใหม่ในอนาคตโดยไม่ตระหนักรู้ถึงความต่ำต้อยของพวกมันเอง ช่างไม่นึกละอายบ้างเลย!  ด้วยปีกสีเขียวบนหลังของพวกมัน (นี่อ้างอิงถึงการกล่าวอ้างของพวกมันว่าเชื่อในพระเจ้า) พวกมันหลงตัวเองและโอ้อวดความงามและความยั่วยวนของพวกมันเองทุกที่ ในขณะที่พวกมันแอบสลัดความมีราคีทั้งหลายบนตัวของพวกมันเองเข้าใส่มนุษย์  ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันพอใจในตัวพวกมันเองเหลือเกิน ราวกับว่าพวกมันสามารถใช้ปีกสีรุ้งหนึ่งคู่เพื่อปกปิดความมีราคีทั้งหลายของพวกมันเองได้ และพวกมันนำพาการกดขี่ของพวกมันมามีผลต่อการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าเที่ยงแท้ได้ด้วยวิถีทางเหล่านี้ (นี่อ้างอิงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังฉากในโลกศาสนา)  มนุษย์จะรู้ได้อย่างไรว่า แม้จะสวยงามชวนให้หลงใหลอย่างที่ปีกของแมลงวันอาจจะเป็น ที่จริงแล้ว เจ้าแมลงวันเองนั้นไม่ได้เป็นมากไปกว่าสิ่งทรงสร้างขนาดจิ๋ว โดยมีพุงซึ่งเต็มไปด้วยความโสมมและร่างกายที่ปกคลุมไปด้วยเชื้อโรค?  พวกมันวิ่งพล่านไปทั่วแผ่นดินด้วยเรี่ยวแรงของสุกรและสุนัขที่พวกมันยึดถือเป็นบิดามารดา (นี่อ้างอิงถึงหนทางที่เจ้าหน้าที่ทางศาสนาผู้ที่ข่มเหงพระเจ้าพึ่งพาการหนุนหลังอันแข็งแกร่งจากรัฐบาลแห่งชาติเพื่อกบฏต่อพระเจ้าเที่ยงแท้และความจริง) ปล่อยตัวปล่อยใจไปในความอำมหิตของพวกมัน  นั่นเป็นราวกับว่าบรรดาผีของพวกฟาริสีชาวยิวได้กลับมายังชนชาติของพญานาคใหญ่สีแดงพร้อมกันกับพระเจ้า กลับไปสู่รังเดิมของพวกมัน  หนำซ้ำพวกมันยังได้เริ่มการข่มเหงอีกรอบ โดยเก็บงานของพวกมันจากเมื่อหลายพันปีมาแล้วมาทำต่อ  แน่นอนว่า พวกคนต่ำทรามกลุ่มนี้จะพินาศบนแผ่นดินโลกในท้ายที่สุด!  มันคงจะปรากฏว่า หลังจากหลายสหัสวรรษแล้วนั้น พวกวิญญาณที่ไม่สะอาดได้กลายเป็นเจ้าเล่ห์และมีเล่ห์เหลี่ยมมากยิ่งขึ้นไปอีก วิญญาณเหล่านั้นกำลังคิดอยู่เนืองนิตย์ถึงหนทางทั้งหลายที่จะแอบบ่อนทำลายพระราชกิจของพระเจ้า  ด้วยเพทุบายและกลลวงมากมาย พวกมันปรารถนาที่จะทำให้เกิดโศกนาฏกรรมของหลายพันปีก่อนขึ้นอีกครั้งในถิ่นฐานของพวกมัน โดยยั่วยุพระเจ้าจนเกือบถึงจุดที่ต้องทรงร้องออกมา  พระองค์แทบจะไม่สามารถรั้งพระองค์เองจากการทรงกลับไปยังสวรรค์ชั้นที่สามเพื่อทำลายล้างพวกมันได้  สำหรับมนุษย์ที่จะรักพระเจ้า เขาต้องจับความเข้าใจในน้ำพระทัยของพระองค์ รู้จักความชื่นบานยินดีและความโศกเศร้าของพระองค์ และเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่พระองค์ทรงชิงชัง  การทำเช่นนี้จะกระตุ้นการเข้าสู่ของมนุษย์มากยิ่งขึ้นไปอีก  ยิ่งการเข้าสู่ของมนุษย์รวดเร็วขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งสมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าเร็วขึ้นเท่านั้น ยิ่งมนุษย์มองกษัตริย์ของพวกมารได้อย่างทะลุปรุโปร่งชัดเจนมากขึ้นเท่าใด และเขาก็ยิ่งเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น เพื่อที่ความพึงปรารถนาของพระองค์อาจถูกนำไปสู่การผลิดอกออกผล

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (7)

เชิงอรรถ:

1. “กลืนกิน” หมายถึงพฤติกรรมชั่วช้าของกษัตริย์ของพวกมาร ซึ่งช่วงชิงผู้คนไปหมดสิ้นทั้งตัว

2. “พวกสมรู้ร่วมคิดในอาชญากรรม” เป็นประเภทเดียวกับ “กลุ่มอันธพาล”

3. “ก่อกวนให้เกิดปัญหาทุกประเภท” อ้างอิงถึงวิธีที่ผู้คนซึ่งเหมือนปีศาจทำตัวเกเร โดยการเป็นอุปสรรคและต่อต้านพระราชกิจของพระเจ้า

4. “พวกวาฬน้ำเงิน” ใช้กันในทางเย้ยหยัน  มันคือคำอุปมาสำหรับการที่แมลงวันนั้นมีขนาดเล็กมากเหลือเกิน จนกระทั่งสำหรับพวกมันแล้วสุกรและสุนัขก็ปรากฏว่าใหญ่เท่ากับวาฬ


พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 312

ที่นี่เป็นแผ่นดินแห่งความโสมมมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว  มันสกปรกเหลือทน ความทุกข์ระทมดาษดื่น พวกผีวิ่งอาละวาดไปทั่วทุกแห่งหน ลวงล่อและหลอกลวง ตั้งข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูล[1] เหี้ยมโหดและชั่วช้า เหยียบย่ำเมืองผีนี้และทิ้งให้มันกลาดเกลื่อนไปด้วยศพ กลิ่นสาบสางของซากที่เสื่อมสลายปกคลุมแผ่นดินและตลบอบอวลในอากาศ และมันถูกพิทักษ์อย่างแน่นหนา[2]  ผู้ใดจะสามารถมองเห็นพิภพเหนือโพ้นฟ้าได้?  มารมัดร่างของมนุษย์ทั้งหมดอย่างแน่นหนา มันคลุมดวงตาสองข้างของเขา และปิดผนึกริมฝีปากของเขาไว้แน่น  ราชาแห่งพวกมารได้อาละวาดมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้วจนกระทั่งถึงทุกวันนี้เมื่อมันยังคงเฝ้าดูเมืองผีนี้อย่างใกล้ชิด ราวกับเป็นวังของพวกปีศาจที่ไม่อาจผ่านเข้าไปได้ ในขณะเดียวกัน สุนัขยามฝูงนี้ก็ถลึงตาจ้องเขม็ง เกรงกลัวอยู่ลึกๆ ว่าพระเจ้าจะทรงจับพวกมันโดยไม่ทันรู้ตัวและกวาดล้างพวกมันไปทั้งหมด ทิ้งให้พวกมันไม่มีสถานที่แห่งสันติสุขและความสุข  ผู้คนแห่งเมืองผีเช่นเมืองนี้จะเคยมองเห็นพระเจ้าได้อย่างไร?  พวกเขาเคยชื่นชมความน่ารักและความดีงามของพระเจ้าหรือ?  พวกเขาซึ้งคุณค่าอันใดในเรื่องราวของโลกมนุษย์?  พวกเขาคนใดสามารถเข้าใจน้ำพระทัยที่กระตือรือร้นของพระเจ้าได้?  เช่นนั้นแล้วก็ไม่น่าฉงนนักที่พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ยังคงซ่อนเร้นอย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ  ในสังคมมืดเช่นสังคมแห่งนี้ ที่ซึ่งพวกปีศาจไร้ความปรานีและไร้มนุษยธรรม ราชาแห่งพวกมารที่ฆ่าผู้คนโดยไม่แสดงความรู้สึกใดจะสามารถทนยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงดีงาม ทรงเมตตาและยังทรงบริสุทธิ์อีกด้วยได้อย่างไร?  มันจะสามารถปรบมือและแซ่ซ้องการเสด็จมาถึงของพระเจ้าได้อย่างไร?  ข้ารับใช้พวกนี้!  พวกมันตอบแทนความเมตตาด้วยความเกลียดชัง พวกมันเริ่มปฏิบัติต่อพระเจ้าประหนึ่งศัตรูมานานแล้ว พวกมันหยามเหยียดพระเจ้า พวกมันป่าเถื่อนสุดขีด พวกมันไม่มีการคำนึงถึงพระเจ้าแม้แต่น้อย พวกมันจี้ปล้นและช่วงชิง พวกมันได้สูญเสียมโนธรรมทั้งหมด พวกมันต่อต้านมโนธรรมทั้งหมด และพวกมันทดลองผู้บริสุทธิ์ใจให้เข้าสู่ความสิ้นสำนึกรับรู้  เหล่าบรรพบุรุษแต่โบราณกาลหรือ?  บรรดาผู้นำผู้เป็นที่รักหรือ?  พวกเขาล้วนต่อต้านพระเจ้า!  การก้าวก่ายของพวกเขาได้ทำให้ทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์อยู่ในสภาวะแห่งความมืดและความวุ่นวาย!  เสรีภาพทางศาสนาหรือ?  สิทธิ์และผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองทั้งหลายหรือ?  ทั้งหมดนั้นคือเพทุบายเพื่อที่จะปิดบังบาป!  มีผู้ใดน้อมรับพระราชกิจของพระเจ้า?  มีผู้ใดสละชีวิตของพวกเขาหรือได้หลั่งเลือดเพื่อพระราชกิจของพระเจ้า?  รุ่นแล้วรุ่นเล่า จากบิดามารดาสู่ลูกหลาน มนุษย์ที่ตกเป็นทาสได้ทำให้พระเจ้าตกเป็นทาสไปด้วยอย่างไม่ไว้หน้า—การนี้จะไม่ยั่วยุโทสะได้อย่างไร?  หลายพันปีแห่งความเกลียดชังถูกทำให้เข้มข้นอยู่ภายในหัวใจ หลายสหัสวรรษแห่งความเปี่ยมบาปถูกจารึกอยู่บนหัวใจ—การนี้จะไม่กระตุ้นให้เกิดความเกลียดได้อย่างไร?  จงล้างแค้นให้พระเจ้า ดับศัตรูของพระองค์ให้สิ้น จงอย่ายอมให้มันวิ่งอาละวาดอีกต่อไป และจงอย่าอนุญาตให้มันปกครองเยี่ยงเผด็จการ!  บัดนี้ถึงเวลาแล้ว กล่าวคือ  มนุษย์ได้รวบรวมพละกำลังทั้งหมดของเขามานานแล้ว เขาได้อุทิศความพยายามทั้งหมดของเขาและได้จ่ายทุกราคาเพื่อการนี้ เพื่อฉีกโฉมหน้าที่น่าขยะแยงของปีศาจตนนี้ออก และเปิดโอกาสให้ผู้คนที่ถูกทำให้มืดบอดและได้สู้ทนความทุกข์และความยากลำบากมาแล้วทุกรูปแบบ ได้ลุกขึ้นจากความเจ็บปวดของพวกเขาและหันหลังให้แก่มารชั่วที่แก่ชราตนนี้  เหตุใดจึงสร้างอุปสรรคที่ไม่อาจตีฝ่าเข้าไปได้เช่นนั้นให้กับพระราชกิจของพระเจ้า?  เหตุใดจึงใช้เพทุบายต่างๆ นานาเพื่อหลอกลวงคนของพระเจ้า?  ไหนเล่าอิสรภาพที่แท้จริงและสิทธิ์กับผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมาย?  ไหนเล่าความเป็นธรรม?  ไหนเล่าความชูใจ?  ไหนเล่าความอบอุ่น?  เหตุใดจึงใช้กลอุบายที่หลอกลวงเพื่อล่อหลอกประชากรของพระเจ้า?  เหตุใดจึงใช้กำลังบังคับเพื่อปราบปรามการเสด็จมาของพระเจ้า?  เหตุใดจึงไม่ยอมให้พระเจ้าทรงท่องไปอย่างอิสระบนแผ่นดินโลกที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้น?  เหตุใดจึงไล่ล่าพระเจ้าจนกระทั่งพระองค์ไม่มีที่ใดให้พักพระเศียร?  ไหนเล่าความอบอุ่นท่ามกลางมนุษย์ทั้งหลาย?  ไหนเล่าการต้อนรับท่ามกลางผู้คน?  เหตุใดจึงก่อให้เกิดการโหยหาที่ท้อแท้สิ้นหวังในพระเจ้าเช่นนั้น?  เหตุใดจึงทำให้พระเจ้าทรงร้องเรียกครั้งแล้วครั้งเล่า?  เหตุใดจึงบังคับให้พระเจ้าทรงกังวลถึงพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระองค์?  ในสังคมมืดนี้ เหตุใดพวกสุนัขเฝ้าบ้านที่อยู่ในสภาพอันน่าสมเพชจึงไม่ยอมให้พระเจ้าเสด็จไปมาอย่างอิสระท่ามกลางโลกที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้น?  เหตุใดมนุษย์จึงไม่เข้าใจ มนุษย์ผู้ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความเจ็บปวดและความทุกข์?  พระเจ้าได้ทรงสู้ทนความทรมานใหญ่หลวงเพื่อประโยชน์ของพวกเจ้า พระองค์ได้ประทานพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระองค์ เลือดเนื้อของพระองค์ มาให้พวกเจ้าด้วยความเจ็บปวดใหญ่หลวง—ดังนั้น เหตุใดพวกเจ้ายังคงทำเป็นไม่เห็น?  ต่อหน้าต่อตาทุกคน เจ้ากลับไม่ยอมรับการเสด็จมาถึงของพระเจ้า และปฏิเสธมิตรไมตรีของพระเจ้า  เหตุใดเจ้าจึงไร้จิตสำนึกถึงเพียงนี้?  พวกเจ้าเต็มใจที่จะสู้ทนความไม่เป็นธรรมในสังคมมืดเช่นสังคมนี้หรือ?  เหตุใด แทนที่จะเติมท้องของพวกเจ้าให้เต็มไปด้วยความรู้สึกที่เป็นปฏิปักษ์มานานหลายสหัสวรรษ พวกเจ้ากลับสวาปาม “มูล” ของราชาแห่งมารเข้าไป?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8)

เชิงอรรถ:

1. “ตั้งข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูล” อ้างอิงถึงวิธีการที่มารใช้เพื่อทำอันตรายผู้คน

2. “พิทักษ์อย่างแน่นหนา” บ่งบอกว่า วิธีการที่มารใช้ก่อความทุกข์ร้อนให้ผู้คนนั้นชั่วช้าเป็นพิเศษ และควบคุมผู้คนมากเสียจนพวกเขาไม่มีที่ให้ขยับ


พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 313

หากผู้คนสามารถมองเห็นเส้นทางที่ถูกต้องของชีวิตมนุษย์ ตลอดจนจุดประสงค์ของการบริหารจัดการมนุษยชาติของพระเจ้าได้ชัดเจนอย่างแท้จริงแล้ว พวกเขาจะไม่ยึดถืออนาคตและชะตากรรมของแต่ละคนไว้เป็นสมบัติในหัวใจของพวกเขา จากนั้นพวกเขาจะไม่สนใจที่จะรับใช้บิดามารดาของพวกเขา ผู้ซึ่งแย่กว่าสุกรและสุนัขอีกต่อไป  อนาคตและชะตากรรมของมนุษย์นั้นไม่ใช่สิ่งที่ถูกเรียกขานอย่างตรงๆ ในยุคปัจจุบันว่า “บิดามารดา” ของเปโตรหรอกหรือ?  พวกเขาเป็นเหมือนเนื้อหนังและเลือดของมนุษย์เท่านั้น  บั้นปลายและอนาคตของเนื้อหนังจะเป็นเช่นไรกันแน่?  จะเป็นการได้เห็นพระเจ้าในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือเพื่อให้ดวงจิตได้พบกับพระเจ้าหลังความตาย?  เนื้อหนังจะจบลงพรุ่งนี้ในเตาหลอมขนาดใหญ่แห่งความทุกข์ลำบาก หรือในกองเพลิงใช่หรือไม่?  คำถามเช่นนี้ไม่เกี่ยวข้องหรอกหรือกับการที่เนื้อหนังของมนุษย์จะสู้ทนต่อโชคร้ายหรือทนทุกข์กับข่าวใหญ่ที่สุดที่ผู้ใดก็ตามในกระแสปัจจุบัน ซึ่งมีสมองและมีความมีเหตุมีผลเป็นกังวลกับมันมากที่สุด?  (ในที่นี้ การทนทุกข์อ้างอิงถึงการได้รับพร หมายความว่าการทดสอบในอนาคตมีประโยชน์ต่อบั้นปลายของมนุษย์  โชคร้ายอ้างอิงถึงการไร้ความสามารถที่จะยืนหยัดมั่นคงหรือการถูกหลอก หรือหมายความว่าคนเราจะพบกับสถานการณ์ที่โชคร้ายและเสียชีวิตของคนเราไปท่ามกลางความวิบัติ และว่าไม่มีบั้นปลายที่เหมาะสมสำหรับดวงจิตของคนเรา)  แม้ว่ามนุษย์จะมีเหตุผลที่ดี บางทีสิ่งที่พวกเขาคิดอาจไม่สอดคล้องอย่างครบถ้วนบริบูรณ์กับสิ่งที่ควรจะต้องใช้ร่วมกับเหตุผลของพวกเขา  นี่เป็นเพราะว่าพวกเขาทั้งหมดค่อนข้างสับสนและติดตามสิ่งต่างๆ อย่างมืดบอด  พวกเขาทั้งหมดควรจับความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในสิ่งที่พวกเขาควรเข้าสู่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาควรจำแนกให้ชัดเจนว่าอะไรที่ควรเข้าสู่ในระหว่างความทุกข์ลำบาก (กล่าวคือ ในระหว่างกระบวนการถลุงในเตาเผา) ตลอดจนสิ่งที่พวกเขาควรตระเตรียมให้พร้อมในระหว่างการทดสอบของไฟ  จงอย่าเฝ้ารับใช้บิดามารดาของเจ้า (หมายถึงเนื้อหนัง) ซึ่งเป็นเหมือนสุกรและสุนัข และยังแย่ยิ่งกว่ามดและแมลง  อะไรคือประเด็นของการรับความเจ็บปวดรวดร้าวต่อสิ่งนั้น การคิดหนัก และการเค้นสมองของเจ้า?  เนื้อหนังไม่ได้เป็นของเจ้า แต่อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ผู้ซึ่งไม่เพียงทรงควบคุมเจ้า แต่ยังทรงบัญชาซาตานอีกด้วย (นี่หมายความว่าเนื้อหนังนั้นแต่เดิมเป็นของซาตาน  เพราะซาตานอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าด้วยเช่นกัน จึงสามารถพูดได้ด้วยวิธีนี้เท่านั้น  นี่เป็นเพราะว่าการพูดแบบนั้นสามารถโน้มน้าวใจได้ดีกว่า มันบอกเป็นนัยว่ามนุษย์ไม่ได้อยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตานอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ แต่อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า)  เจ้ากำลังมีชีวิตอยู่ภายใต้การทรมานของเนื้อหนัง—แต่เนื้อหนังเป็นของเจ้าหรือไม่?  มันอยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าหรือไม่?  ทำไมจึงต้องเค้นสมองของของพวกเจ้าเพื่อมัน?  ทำไม่จึงต้องออดอ้อนพระเจ้าอย่างหมกมุ่นเพื่อเห็นแก่เนื้อหนังเน่าเหม็นของเจ้า ซึ่งถูกบรรดาวิญญาณโสโครกกล่าวโทษ สาปแช่ง และสร้างมลทินมานานแล้ว?  มีความจำเป็นอะไรหรือที่ต้องยึดพรรคพวกของซาตานให้อยู่ใกล้กับหัวใจของเจ้าเสมอ?  เจ้าไม่กังวลหรอกหรือว่าเนื้อหนังสามารถทำลายอนาคตจริงๆ ของเจ้า ความหวังอันแสนวิเศษของเจ้าและบั้นปลายที่แท้จริงของชีวิตเจ้า?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จุดประสงค์ของการบริหารจัดการมวลมนุษย์

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 314

วันนี้สิ่งที่พวกเจ้ามาเข้าใจนั้นสูงกว่าความเข้าใจของบุคคลใดๆ ในประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  ไม่ว่าจะเป็นความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับบททดสอบหรือความเชื่อในพระเจ้า ทั้งหมดนั้นสูงกว่าความรู้ของผู้เชื่อในพระเจ้าคนใด  สิ่งต่างๆ  ที่พวกเจ้าเข้าใจคือสิ่งที่พวกเจ้ามารู้ก่อนที่พวกเจ้าจะก้าวผ่านบททดสอบของสภาพแวดล้อมต่างๆ  แต่วุฒิภาวะอันแท้จริงของพวกเจ้านั้นเข้ากันไม่ได้อย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่พวกเจ้าเข้าใจ  สิ่งที่พวกเจ้ารู้นั้นสูงกว่าสิ่งที่พวกเจ้านำไปปฏิบัติ  แม้พวกเจ้าจะกล่าวว่าผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าควรรักพระเจ้า และไม่ควรเพียรพยายามเพื่อพรทั้งหลาย แต่ควรเพียรพยายามเพื่อให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าเท่านั้น แต่สิ่งที่สำแดงในชีวิตของพวกเจ้านั้นห่างไกลจากการนี้อย่างสุดกู่และด่างพร้อยอย่างมาก  ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อในพระเจ้าเพื่อสันติสุขและผลประโยชน์อื่นๆ  เจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า นอกเสียจากว่าจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้า และหากเจ้าไม่สามารถได้รับพระคุณของพระเจ้า เจ้าก็จะตกอยู่ในอารมณ์อันบูดบึ้ง  สิ่งที่เจ้าพูดมานั้นจะเป็นวุฒิภาวะอันแท้จริงของเจ้าไปได้อย่างไร?  เมื่อเป็นเรื่องของเหตุการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในครอบครัว เช่น ลูกๆ เจ็บไข้ได้ป่วย ผู้คนที่รักต้องเข้าโรงพยาบาล ได้ผลผลิตไม่ดี ถูกสมาชิกในครอบครัวข่มเหง แม้กระทั่งเรื่องราวประจำวันที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เหล่านี้ก็ยังมากเกินไปสำหรับเจ้า  เมื่อสิ่งต่างๆ เช่นนี้เกิดขึ้น เจ้าก็พลันตื่นตระหนก เจ้าไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไร—และส่วนใหญ่เจ้าจะพร่ำบ่นพระเจ้า เจ้าพร่ำบ่นว่าพระวจนะของพระเจ้าหลอกลวงเจ้า ว่าพระราชกิจของพระเจ้าเย้ยหยันเจ้า  พวกเจ้าไม่มีความคิดเช่นนี้หรอกหรือ?  เจ้าคิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ค่อยเกิดขึ้นในหมู่พวกเจ้ากระนั้นหรือ?  พวกเจ้าใช้เวลาทุกวันดำเนินชีวิตท่ามกลางเหตุการณ์เหล่านี้  เจ้าไม่คิดสักนิดถึงความสำเร็จเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า และวิธีที่จะทำให้สมดังน้ำพระทัยพระเจ้า  วุฒิภาวะอันแท้จริงของพวกเจ้ามีน้อยเกินไป น้อยยิ่งกว่าวุฒิภาวะของลูกไก่เล็กๆ  ตัวหนึ่งเสียอีก  เมื่อธุรกิจของครอบครัวเจ้าสูญเงิน เจ้าก็พร่ำบ่นพระเจ้า เมื่อเจ้าพบว่าตัวเจ้าเองอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้า เจ้าก็ยังคงพร่ำบ่นพระเจ้า และเจ้าพร่ำบ่นแม้กระทั่งเมื่อลูกไก่ของเจ้าตายสักตัวหรือวัวแก่ตัวหนึ่งในคอกล้มป่วย  เจ้าพร่ำบ่นเมื่อถึงเวลาที่บุตรชายของเจ้าจะแต่งงานแต่ครอบครัวของเจ้ามีเงินไม่พอ เจ้าต้องการทำหน้าที่เจ้าภาพ แต่รับภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหว แล้วจากนั้นเจ้าก็พร่ำบ่นอีกเช่นกัน  เจ้าเต็มไปด้วยคำพร่ำบ่น  และบางครั้งเจ้าไม่เข้าร่วมการชุมนุมหรือกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเพราะการนี้ บางครั้งกลายเป็นคิดลบอยู่นานมาก  สิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าในวันนี้ไม่มีความสัมพันธ์อันใดกับความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้หรือชะตากรรมของเจ้าเลย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ยังคงจะเกิดขึ้นเช่นกันแม้ว่าเจ้าจะไม่ได้เชื่อในพระเจ้าก็ตาม กระนั้นในวันนี้เจ้าก็โยนความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นให้แก่พระเจ้า และยืนกรานที่จะพูดว่าพระเจ้าทรงขับเจ้าออกไปแล้ว  แล้วความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าเล่า?  เจ้ามอบถวายชีวิตของเจ้าอย่างแท้จริงแล้วหรือ?  หากพวกเจ้าได้ทนทุกข์กับบททดสอบอย่างเดียวกับโยบ ย่อมไม่มีผู้ใดในหมู่พวกเจ้าที่ติดตามพระเจ้าในวันนี้สามารถตั้งมั่นได้ พวกเจ้าทั้งหมดย่อมจะล้มลง  และที่จริงแล้วมีความแตกต่างกันอย่างลิบลับระหว่างพวกเจ้ากับโยบ  วันนี้หากทรัพย์สินของพวกเจ้าถูกยึดไปครึ่งหนึ่ง พวกเจ้าก็คงจะกล้าปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้า หากบุตรหรือบุตรีของพวกเจ้าถูกพรากไปจากพวกเจ้า พวกเจ้าก็จะวิ่งร้องขอความเป็นธรรมไปตามถนน หากหนทางเดียวในการหาเลี้ยงชีพของเจ้ามาถึงทางตัน เจ้าก็จะพยายามนำเรื่องนี้มาหารือกับพระเจ้า เจ้าจะถามว่าทำไมเราจึงกล่าววจนะมากมายในตอนแรกเพื่อทำให้เจ้ากลัว  ไม่มีสิ่งใดที่พวกเจ้าจะไม่กล้าทำในเวลาเช่นนั้น  นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเจ้าไม่ได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่แท้จริงใดๆ และไม่มีวุฒิภาวะที่แท้จริง  ด้วยเหตุนี้ บททดสอบในตัวพวกเจ้าจึงใหญ่โตเกินไป เพราะพวกเจ้ารู้มากเกินไป แต่สิ่งที่พวกเจ้าเข้าใจอย่างแท้จริงกลับไม่ใช่แม้แต่หนึ่งในพันของสิ่งที่พวกเจ้าตระหนักรู้  จงอย่าหยุดอยู่ที่ความเข้าใจและความรู้เท่านั้น จะเป็นการดีที่สุดหากเจ้ามองเห็นว่าเจ้าสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงมากเพียงใด ได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผ่านทางหยาดเหงื่อจากการทำงานหนักของเจ้าเองมากเพียงใด และเจ้าได้ตระหนักถึงความมุ่งมั่นของเจ้าเองในการปฏิบัติของเจ้ามากเพียงใด  เจ้าควรจริงจังกับวุฒิภาวะและการปฏิบัติของเจ้า  ส่วนความเชื่อในพระเจ้าของเจ้านั้น เจ้าไม่ควรพยายามทำเพียงแค่พอเป็นพิธีเพื่อผู้ใด—การที่เจ้าจะสามารถได้รับความจริงและชีวิตในท้ายที่สุดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาของเจ้าเอง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (3)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 315

บางคนประดับประดาตัวพวกเขาเองอย่างสวยงาม แต่ก็เพียงผิวเผิน กล่าวคือ  พี่น้องหญิงประดับประดาตัวพวกเขาเองอย่างงดงามน่ารักดั่งดอกไม้ และพี่น้องชายก็แต่งกายเหมือนเจ้าชายหรือชายหนุ่มเจ้าสำอางผู้มั่งคั่ง  พวกเขาสนใจเฉพาะในสิ่งภายนอกเท่านั้น เช่นสิ่งทั้งหลายที่พวกเขากินและสวมใส่ ภายในนั้น พวกเขาอัตคัดและไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าแม้แต่เพียงเล็กน้อย  ความหมายใดหรือที่สามารถมีอยู่ในการนี้?  และแล้วก็มีบางคนที่แต่งกายเหมือนพวกขอทานยากจน—พวกเขาดูเหมือนทาสชาวเอเชียตะวันออกจริงๆ!  พวกเจ้าไม่เข้าใจสิ่งที่เราขอจากพวกเจ้าจริงๆ หรอกหรือ?  จงเข้าสนิทในหมู่พวกเจ้าว่า อันที่จริงแล้วพวกเจ้าได้รับสิ่งใด?  พวกเจ้าได้เชื่อในพระเจ้าตลอดหลายปีมานี้ แต่กระนั้นนี่ก็คือทั้งหมดที่พวกเจ้าได้เก็บเกี่ยวไป—พวกเจ้าไม่ตะขิดตะขวงใจหรอกหรือ?  เจ้าไม่ละอายใจหรอกหรือ?  เจ้าได้ไล่ตามเสาะหาเรื่อยมาบนหนทางที่แท้จริงตลอดหลายปีมานี้ กระนั้นในวันนี้วุฒิภาวะของเจ้าก็ยังคงต่ำกว่าของนกกระจอกอยู่เลย!  จงมองดูหมู่สาวน้อยท่ามกลางพวกเจ้า ที่งดงามดั่งรูปภาพในเสื้อผ้าและเครื่องสำอางของพวกเจ้า โดยเปรียบเทียบตัวพวกเจ้าซึ่งกันและกัน—แล้วเจ้าเปรียบเทียบสิ่งใดเล่า?  ความยินดีของเจ้าหรือ?  ข้อเรียกร้องของเจ้าหรือ?  พวกเจ้าคิดว่าเรามาเพื่อสรรหานางแบบหรือไร?  พวกเจ้าช่างไม่มีความละอายใจเอาเสียเลย!  ชีวิตของพวกเจ้าอยู่ที่ใด?  สิ่งที่พวกเจ้าไล่ตามเสาะหาไม่ใช่แค่ความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อของพวกเจ้าเองหรอกหรือ?  เจ้าคิดว่าเจ้าสวยมาก แต่แม้ว่าเจ้าอาจจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่หรูหราในทุกลักษณะ ในความเป็นจริงแล้วเจ้าไม่ใช่หนอนแมลงดิ้นกระแด่วซึ่งเกิดมาในกองมูลสัตว์หรอกหรือ?  ในวันนี้ เจ้ามีวาสนาได้ชื่นชมพรจากสวรรค์เหล่านี้ไม่ใช่เพราะหน้าตาอันงดงามของเจ้า แต่เพราะพระเจ้ากำลังทรงทำข้อยกเว้นโดยการอุ้มชูเจ้า  ยังคงไม่ชัดเจนสำหรับเจ้าอยู่อีกหรือว่าเจ้ามาจากไหน?  เมื่อพาดพิงถึงชีวิต เจ้าหุบปากของเจ้าและไม่พูดสิ่งใดเลย ใบ้เหมือนรูปปั้น กระนั้นเจ้าก็ยังคงกล้าดีที่จะแต่งกายอำพรางตน!  เจ้ายังคงเอนเอียงที่จะแต่งหน้าทาปากของเจ้า!  และจงดูพวกผู้ชายเจ้าสำอางท่ามกลางพวกเจ้าสิ พวกมนุษย์เอาแต่ใจที่ใช้เวลาทั้งวันไปกับการเดินลอยชาย เกเร ที่แสดงออกแบบทองไม่รู้ร้อนบนใบหน้าของพวกเขา  นี่หรือคือวิธีที่บุคคลหนึ่งควรประพฤติตน?  แต่ละคนท่ามกลางพวกเจ้า ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง อุทิศความเอาใจใส่ของเจ้าให้กับสิ่งใดตลอดทั้งวัน?  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเจ้าพึ่งพาอาศัยผู้ใดป้อนอาหารให้ตัวพวกเจ้า?  จงมองดูเสื้อผ้าของเจ้า จงมองดูสิ่งที่เจ้าได้เก็บเกี่ยวในมือของเจ้า จงลูบพุงของเจ้า—เจ้าได้กำไรจากราคาของโลหิตและหยาดเหงื่อที่เจ้าได้จ่ายไปตลอดหลายปีแห่งความเชื่อนี้เป็นสิ่งใดเล่า?  เจ้ายังคงคิดว่าจะไปเที่ยวเล่น เจ้ายังคงคิดว่าจะเสริมแต่งเนื้อหนังอันส่งกลิ่นเหม็นฉุนของเจ้า—ช่างเป็นการไล่ตามเสาะหาที่ไร้ค่าสิ้นดี!  เจ้าได้รับการขอให้เป็นบุคคลที่มีความเป็นปกติ ทว่าตอนนี้เจ้าก็แค่ไม่ปกติไปเสียอย่างนั้น เจ้าผิดปกติวิสัย  บุคคลเช่นนั้นสามารถอาจหาญมาอยู่เบื้องหน้าเราได้อย่างไร?  ด้วยสภาวะความเป็นมนุษย์เช่นนี้ การเดินอวดเสน่ห์ของเจ้าและการโอ้อวดเนื้อหนังของเจ้า การดำรงชีวิตอยู่ภายในตัณหาของเนื้อหนังเสมอ—เจ้าไม่ใช่พงศ์พันธุ์ของพวกปีศาจโสมมและวิญญาณชั่วหรอกหรือ?  เราจะไม่อนุญาตให้ปีศาจโสมมตนหนึ่งเช่นนั้นยังคงดำรงอยู่เป็นเวลานานนักหรอก!  และจงอย่าสันนิษฐานว่าเราไม่รู้ว่าเจ้าคิดสิ่งใดในหัวใจของเจ้า  เจ้าอาจจะเก็บตัณหาของเจ้าและเนื้อหนังของเจ้าไว้ภายใต้การควบคุมที่แน่นหนา แต่เราจะไม่สามารถรู้ความคิดที่เจ้าเก็บงำในหัวใจของเจ้าได้อย่างไร?  เราจะไม่สามารถรู้ทั้งหมดที่ดวงตาของเจ้าปรารถนาได้อย่างไร?  พวกเจ้าสาวน้อยทั้งหลายไม่ได้ทำตัวพวกเจ้าเองให้งดงามเหลือเกินเพื่อที่จะเดินอวดเนื้อหนังของพวกเจ้าหรอกหรือ?  พวกผู้ชายมีประโยชน์อันใดต่อพวกเจ้าหรือ?  พวกเขาสามารถช่วยพวกเจ้าให้รอดจากทะเลแห่งความทุกข์ร้อนได้จริงๆ หรือ?  สำหรับเรื่องพวกชายเจ้าสำอางท่ามกลางพวกเจ้า พวกเจ้าทั้งหมดแต่งกายเพื่อทำให้ตัวพวกเจ้าดูเหมือนเป็นสุภาพบุรุษและโดดเด่นแตกต่าง แต่การนี้ไม่ใช่เล่ห์กระเท่ที่ออกแบบมาเพื่อดึงความสนใจมาสู่รูปลักษณ์อันโก้หรูของพวกเจ้าหรอกหรือ?  พวกเจ้ากำลังทำการนี้เพื่อผู้ใดเล่า?  พวกผู้หญิงมีประโยชน์อันใดต่อพวกเจ้า?  พวกเขาไม่ใช่แหล่งกำเนิดของบาปของพวกเจ้าหรอกหรือ?  พวกเจ้าผู้ชายและผู้หญิงทั้งหลาย เราได้พูดกับพวกเจ้าไปมากมายหลายวจนะ กระนั้นพวกเจ้าก็ได้ทำตามวจนะเหล่านั้นไปเพียงแค่ไม่กี่คำ  หูของพวกเจ้ายากที่จะได้ยิน ตาของพวกเจ้าได้พร่ามัวขึ้น และหัวใจของพวกเจ้าแข็งกระด้างจนถึงจุดที่ไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากตัณหาอยู่ในร่างกายของพวกเจ้า จนถึงขนาดที่พวกเจ้าติดบ่วงอยู่ในนั้น ไร้ความสามารถที่จะหลีกหนี  ผู้ใดเล่าต้องการไปที่ใดก็ตามใกล้พวกเจ้าหนอนแมลงทั้งหลาย พวกเจ้าผู้ที่ดิ้นเร่าอยู่ในความโสมมและสิ่งสกปรก?  จงอย่าลืมว่าพวกเจ้าไม่ใช่สิ่งใดมากไปกว่าพวกที่เราได้ฟูมฟักมาจากกองมูลสัตว์ ว่าแต่เดิมนั้นพวกเจ้าไม่ได้ครองสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ  สิ่งที่เราขอจากพวกเจ้าก็คือสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติที่แต่เดิมนั้นพวกเจ้าไม่ได้ครอง ไม่ใช่ให้พวกเจ้าเดินอวดตัณหาของพวกเจ้าหรือให้อิสระอย่างเต็มที่แก่เนื้อหนังอันเหม็นหืนของพวกเจ้า ซึ่งได้ถูกฝึกฝนโดยมารเรื่อยมาหลายปีเหลือเกิน  เมื่อพวกเจ้าแต่งกายให้ตัวพวกเจ้าเองดังนั้น พวกเจ้าไม่เกรงกลัวว่าพวกเจ้าจะกลับกลายเป็นติดบ่วงลึกยิ่งขึ้นหรอกหรือ?  พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าแต่เดิมนั้นพวกเจ้ามีบาป?  พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือว่า ร่างกายของพวกเจ้าเต็มไปด้วยตัณหามากจนกระทั่งตัณหานั้นซึมออกจากเสื้อผ้าของพวกเจ้าเสียด้วยซ้ำ เป็นการเปิดเผยให้เห็นสภาวะของพวกเจ้าว่าเป็นปีศาจน่าเกลียดและโสมมอย่างเหลือทน?  นั่นไม่ใช่กรณีที่พวกเจ้ารู้การนี้อย่างชัดเจนกว่าผู้ใดหรอกหรือ?  หัวใจของพวกเจ้า ตาของพวกเจ้า ริมฝีปากของพวกเจ้า—สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไม่ได้ถูกปีศาจโสมมทำให้หม่นหมองหรอกหรือ?  ส่วนเหล่านี้ของเจ้าไม่โสมมหรอกหรือ?  เจ้าคิดหรือว่าตราบเท่าที่เจ้าไม่ทำอะไร เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นผู้บริสุทธิ์ที่สุด?  เจ้าคิดหรือว่าการแต่งกายในเสื้อผ้าอันสวยงามสามารถปกปิดดวงจิตอันโสโครกของพวกเจ้าได้?  นั่นจะไม่ได้ผล!  เราแนะนำให้พวกเจ้ามองจากความเป็นจริงมากกว่านี้ กล่าวคือ จงอย่าฉ้อโกงและจอมปลอม และจงอย่าเดินอวดตัวพวกเจ้าเอง  พวกเจ้าโอ้อวดตัณหาของพวกเจ้าใส่กันและกัน แต่ทั้งหมดที่พวกเจ้าจะได้รับเป็นการกลับคืนก็คือความทุกข์ชั่วนิรันดร์และการสั่งสอนอันโหดเหี้ยม!  พวกเจ้ามีความต้องการที่จำเป็นอันใดหรือในการหลิ่วตาให้กันและกันและปล่อยใจไปกับจินตนาการฝันหวาน?  การนี้เป็นมาตรวัดความซื่อสัตย์สุจริตของพวกเจ้า ขอบข่ายของความเที่ยงธรรมของพวกเจ้าหรือไม่?  เราเกลียดพวกเหล่านั้นท่ามกลางพวกเจ้าที่เข้าร่วมในเวชกรรมและเวทมนตร์ชั่ว เราเกลียดพวกผู้ชายและผู้หญิงวัยหนุ่มสาวท่ามกลางพวกเจ้าที่รักเนื้อหนังของพวกเขาเอง  พวกเจ้าจงยับยั้งตัวพวกเจ้าเองจะดีเสียกว่า เพราะบัดนี้พวกเจ้าพึงต้องครองสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ และพวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้โอ้อวดตัณหาของพวกเจ้า—แต่ทว่าพวกเจ้าก็ยังคงใช้ทุกโอกาสเหมาะที่พวกเจ้าสามารถทำได้ ด้วยเหตุที่เนื้อหนังของพวกเจ้านั้นมีล้นเหลือเกินไป และตัณหาของพวกเจ้าก็ใหญ่หลวงเกินไป!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (7)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 316

ตอนนี้ การที่การไล่ตามเสาะหาของพวกเจ้าจะมีประสิทธิภาพหรือไม่นั้นถูกประเมินวัดโดยสิ่งที่พวกเจ้าครองในปัจจุบัน  นี่คือสิ่งที่ใช้ในการกำหนดพิจารณาบทอวสานของพวกเจ้า กล่าวคือ บทอวสานของพวกเจ้าได้รับการเปิดเผยในการพลีอุทิศที่พวกเจ้าได้ทำและสิ่งทั้งหลายที่พวกเจ้าได้ทำ  บทอวสานของพวกเจ้าจะรู้ได้ก็โดยการไล่ตามเสาะหาของพวกเจ้า ความเชื่อของพวกเจ้า และสิ่งที่พวกเจ้าได้ทำ  ท่ามกลางพวกเจ้าทั้งหมด มีหลายคนที่เกินกว่าจะได้รับความรอดไปแล้ว ด้วยเหตุที่วันนี้คือวันแห่งการเปิดเผยบทอวสานของผู้คน และเราจะไม่สับสนปนเปในงานของเรา เราจะไม่นำทางพวกที่เกินกว่าจะได้รับความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์เข้าสู่ยุคถัดไป  จะมีเวลาที่งานของเราแล้วเสร็จ  เราจะไม่ทำงานกับบรรดาซากศพส่งกลิ่นเหม็นและไร้จิตวิญญาณเหล่านั้นที่ไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดเลย ตอนนี้คือยุคสุดท้ายแห่งความรอดของมนุษย์ และเราจะไม่ทำงานที่ไร้ประโยชน์  จงอย่าท้วงติงฟ้าและแผ่นดินโลก—บทอวสานของโลกกำลังมา  นั่นมิอาจหลีกเลี่ยงได้  สิ่งทั้งหลายได้มาถึงจุดนี้ และไม่มีสิ่งใดที่เจ้าในฐานะมนุษย์สามารถทำเพื่อหยุดสิ่งเหล่านั้นได้ เจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งทั้งหลายดั่งที่เจ้าปรารถนาได้  เมื่อวานนี้ เจ้าไม่ได้จ่ายราคาเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงและเจ้าไม่ได้จงรักภักดี วันนี้ เวลานั้นได้มาถึงแล้ว เจ้าเกินกว่าจะได้รับความรอด และพรุ่งนี้เจ้าจะถูกขับออกไป และจะไม่มีการเอ้อระเหยสำหรับความรอดของเจ้า  ถึงแม้ว่าหัวใจของเราจะอ่อนโยนและเรากำลังทำอย่างสุดความสามารถที่จะช่วยเจ้าให้รอด หากเจ้าไม่เพียรพยายามในนามของเจ้าเองหรือไม่คิดอะไรด้วยตัวเจ้าเอง การนี้มีอันใดหรือที่เกี่ยวข้องกับเรา?  พวกที่คิดถึงเพียงแค่เนื้อหนังของพวกเขาเท่านั้นและพวกที่ชื่นชมสิ่งชูใจ พวกที่ดูเหมือนว่าเชื่อแต่เป็นผู้ที่ไม่ได้เชื่ออย่างแท้จริง พวกที่เข้าร่วมในเวชกรรมและเวทมนตร์ชั่ว พวกที่สำส่อน กระเซอะกระเซิงและมอมแมม พวกที่ขโมยเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์และสิ่งทรงครองของพระองค์ พวกที่รักการติดสินบน พวกที่ฝันถึงการขึ้นสู่สวรรค์อย่างหาสาระไม่ได้ พวกที่โอหังและทะนงตน พวกที่เพียรพยายามเพียงเพื่อชื่อเสียงและโชคลาภส่วนตัวเท่านั้น พวกที่กระจายคำพูดล่วงเกินไม่รู้จักสูงต่ำ พวกที่หมิ่นประมาทพระเจ้าพระองค์เอง พวกที่ไม่ทำสิ่งใดเลยนอกจากทำการตัดสินต่อต้านและใส่ร้ายป้ายสีพระเจ้าพระองค์เอง พวกที่จัดตั้งหมู่คณะและแสวงหาความเป็นอิสระ พวกที่ยกย่องตัวพวกเขาเองเหนือพระเจ้า พวกผู้ชายและผู้หญิงวัยหนุ่มสาว วัยกลางคน และวัยชราหยิบหย่งเหลาะแหละเหล่านั้นที่ติดบ่วงอยู่ในความมักมากในกาม  พวกผู้ชายและผู้หญิงเหล่านั้นที่ชื่นชมชื่อเสียงและโชคลาภส่วนตัวและไล่ตามเสาะหาสถานะส่วนตัวท่ามกลางคนอื่น พวกผู้คนที่ไม่กลับใจเหล่านั้นที่ติดกับดักอยู่ในบาป—พวกเขาทั้งหมดไม่เกินกว่าจะได้รับความรอดหรอกหรือ?  ความมักมากในกาม บาปหนา เวชกรรมชั่ว เวทมนตร์ ความจ้วงจาบหยาบคาย คำพูดล่วงเกินไม่รู้จักสูงต่ำล้วนแต่วิ่งพล่านอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า และความจริงและพระวจนะแห่งชีวิตก็ถูกเหยียบย่ำในท่ามกลางพวกเจ้า และภาษาอันบริสุทธิ์ก็ถูกทำให้มัวหมองท่ามกลางพวกเจ้า  พวกเจ้าคนต่างชาติทั้งหลายที่ลำพองไปด้วยความโสมมและความไม่เชื่อฟัง!  บทอวสานสุดท้ายของพวกเจ้าจะเป็นอย่างไร?  พวกที่รักเนื้อหนัง ผู้ที่กระทำเวทมนตร์เกี่ยวกับเนื้อหนัง และผู้ที่ติดบ่วงอยู่ในบาปแบบมักมากในกามสามารถมีความกล้าบ้าบิ่นที่จะดำรงชีวิตต่อไปได้อย่างไร!  เจ้าไม่รู้หรือว่าผู้คนเช่นพวกเจ้านั้นคือบรรดาหนอนแมลงที่เกินกว่าจะได้รับความรอด?  สิ่งใดเล่าทำให้เจ้ามีสิทธิ์เรียกร้องการนี้และการนั้น?  จนถึงวันนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้เพียงเล็กน้อยในพวกที่ไม่รักความจริงและรักเพียงเนื้อหนังเท่านั้น—ผู้คนเช่นนั้นจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้อย่างไร?  พวกที่ไม่รักหนทางแห่งชีวิต ผู้ที่ไม่ยกย่องพระเจ้าและเป็นคำพยานต่อพระองค์ ผู้ที่วางอุบายเพื่อประโยชน์แห่งสถานะของพวกเขาเอง ผู้ที่สรรเสริญตัวพวกเขาเอง—แม้กระทั่งวันนี้พวกเขาไม่ใช่ยังคงเป็นเหมือนเดิมหรอกหรือ?  สิ่งใดหรือคือคุณค่าในการช่วยพวกเขาให้รอด?  การที่เจ้าจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้หรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าความอาวุโสของเจ้านั้นมีมากน้อยเพียงใดหรือว่าเจ้าได้ทำงานมาแล้วจนถึงขณะนี้เป็นเวลากี่ปีแล้ว และนับประสาอะไรที่มันจะขึ้นอยู่กับว่าเจ้าได้สร้างสมวิทยฐานะมามากน้อยเพียงใด  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มันขึ้นอยู่กับว่าการไล่ตามเสาะหาของเจ้าได้ให้ผลแล้วหรือไม่  เจ้าควรที่จะรู้ว่าบรรดาผู้ที่ได้รับการช่วยให้รอดคือ “ต้นไม้” ที่ให้ผล ไม่ใช่ต้นไม้ที่มีใบไม้เขียวชอุ่มและดอกไม้อันอุดมที่ยังไม่เคยออกผลเลย  ต่อให้เจ้าได้ใช้เวลาหลายปีร่อนเร่ไปตามท้องถนน นั่นสำคัญอะไรเล่า?  คำพยานของเจ้าอยู่ที่ใด?  ความเคารพของเจ้าที่มีต่อพระเจ้านั้นน้อยกว่าความรักของเจ้าที่มีให้ตัวเจ้าเองและความอยากได้อยากมีอันเต็มไปด้วยตัณหาของเจ้ายิ่งนัก—บุคคลประเภทนี้ไม่ใช่คนเสื่อมหรอกหรือ?  พวกเขาจะสามารถเป็นวัตถุตัวอย่างและแบบอย่างสำหรับความรอดได้อย่างไร?  ธรรมชาติของเจ้านั้นไม่สามารถแก้ไขได้ เจ้าเป็นกบฏมากเกินไป เจ้านั้นเกินกว่าที่จะได้รับความรอด!  ผู้คนเช่นนั้นไม่ใช่พวกที่จะถูกขับออกไปหรอกหรือ?  เวลาที่งานของเราแล้วเสร็จไม่ใช่เวลาแห่งการมาถึงของวันสุดท้ายของเจ้าหรอกหรือ?  เราได้ทำงานมากมายเหลือเกินและได้กล่าววจนะไปมากมายเหลือเกินท่ามกลางพวกเจ้า—สิ่งเหล่านั้นมากมายเพียงใดได้เข้าหูของพวกเจ้าอย่างแท้จริง?  สิ่งเหล่านั้นมากมายเพียงใดที่เจ้าได้เคยเชื่อฟัง?  เมื่องานของเราสิ้นสุด นั่นจะเป็นเวลาที่เจ้าหยุดต่อต้านเรา เวลาที่เจ้าหยุดยืนต้านเรา  ขณะที่เราทำงาน พวกเจ้าปฏิบัติตนต่อต้านเราอยู่เนืองนิตย์ พวกเจ้าไม่เคยปฏิบัติตามวจนะของเรา  เราทำงานของเรา และเจ้าก็ทำ “งาน” ของเจ้าเอง สร้างราชอาณาจักรน้อยของเจ้าเอง  พวกเจ้าไม่ใช่สิ่งใดนอกจากฝูงสุนัขจิ้งจอกและสุนัข ทำทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นการต่อต้านเรา!  เจ้ากำลังพยายามอยู่เนืองนิตย์ที่จะนำพาพวกที่มอบความรักอันไม่แบ่งแยกของพวกเขาให้แก่เจ้าเข้ามาสู่อ้อมกอดของเจ้า—ความเคารพของพวกเจ้าอยู่ที่ใด?  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำนั้นเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง!  เจ้าไม่มีความเชื่อฟังหรือความเคารพเลย และทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำนั้นเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและเป็นการหมิ่นประมาท!  ผู้คนเช่นนั้นสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้หรือ?  พวกมนุษย์ที่ไร้ศีลธรรมในทางเพศและบ้าตัณหาต้องการที่จะดึงดูดหญิงโสเภณียั่วสวาทเข้ามาหาพวกเขาเสมอเพื่อความชื่นชมยินดีของพวกเขาเอง  เราจะไม่ช่วยพวกปีศาจที่ไร้ศีลธรรมในทางเพศเช่นนั้นอย่างแน่นอน  เราเกลียดชังพวกเจ้าปีศาจโสมม และความบ้าตัณหาและความยั่วสวาทของพวกเจ้าจะผลักพวกเจ้าลงสู่นรก  พวกเจ้ามีสิ่งใดหรือที่จะพูดเพื่อตัวพวกเจ้าเอง?  พวกเจ้าปีศาจโสมมและวิญญาณชั่วนั้นช่างน่าอาเจียนนัก!  เจ้าช่างน่าขยะแขยงนัก!  ขยะเช่นนั้นจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้อย่างไร?  พวกเขาที่ติดบ่วงในบาปยังคงสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้หรือ?  ในวันนี้ ความจริงนี้ หนทางนี้ และชีวิตนี้ไม่ได้ดึงดูดใจพวกเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเจ้ากลับถูกดึงดูดใจโดยบาปหนา โดยเงินตรา โดยจุดยืน ชื่อเสียง และผลกำไร โดยความชื่นชมยินดีของเนื้อหนัง โดยความหล่อเหลาของพวกผู้ชายและเสน่ห์ของพวกผู้หญิง  สิ่งใดหรือที่ทำให้พวกเจ้ามีคุณสมบัติที่จะได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของเรา?  ภาพลักษณ์ของพวกเจ้ายิ่งใหญ่กว่าของพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ สถานะของพวกเจ้าสูงกว่าของพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ คงไม่ต้องพูดถึงเกียรติยศของพวกเจ้าท่ามกลางพวกมนุษย์—พวกเจ้าได้กลายเป็นรูปเคารพที่ผู้คนเคารพบูชา  เจ้าไม่ได้กลายเป็นหัวหน้าทูตสวรรค์แล้วหรอกหรือ?  เมื่อบทอวสานของผู้คนถูกเปิดเผย ซึ่งก็เป็นเวลาที่พระราชกิจแห่งความรอดจะเข้าใกล้ตอนจบด้วยเช่นกัน คนเหล่านั้นมากมายในท่ามกลางพวกเจ้าจะเป็นซากศพที่พ้นวิสัยของการได้รับความรอดและจะต้องถูกขับออกไป  ในช่วงระหว่างพระราชกิจแห่งความรอด เราใจดีและดีต่อผู้คนทั้งหมด  เมื่อพระราชกิจสรุปปิดตัวลง บทอวสานของผู้คนต่างชนิดกันจะถูกเปิดเผย และในเวลานั้น เราจะไม่เมตตาและดีงามอีกต่อไป ด้วยเหตุที่บทอวสานของผู้คนจะได้ถูกเปิดเผยแล้ว และแต่ละคนจะได้ถูกแยกชั้นไปตามประเภทของพวกเขาแล้ว และจะไม่มีประโยชน์เลยในการทำงานแห่งความรอดอันใดอีก เพราะยุคแห่งความรอดจะได้ผ่านไปแล้ว และเมื่อได้ผ่านไปแล้ว มันก็จะไม่หวนคืน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (7)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 317

มนุษย์ดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้การปกคลุมของอิทธิพลแห่งความมืดมิดเสมอมา ถูกพันธนาการด้วยอิทธิพลของซาตาน ไม่สามารถหลีกหนีไปได้ และอุปนิสัยของเขาหลังจากที่ได้ถูกซาตานแปรสภาพแล้วก็ยิ่งกลายเป็นเสื่อมทรามลงเรื่อยๆ  อาจพูดได้ว่ามนุษย์ได้ดำเนินชีวิตท่ามกลางอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานเสมอมา และไม่สามารถรักพระเจ้าได้อย่างแท้จริง  เมื่อเป็นดังนี้แล้ว หากมนุษย์ปรารถนาที่จะรักพระเจ้า เขาจะต้องปลดเปลื้องความคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ ความรู้สึกว่าตนสำคัญเหนือผู้อื่น ความโอหัง ความทะนงตน และอื่นๆ ในทำนองนั้น—ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอุปนิสัยของซาตาน  หาไม่แล้ว ความรักของมนุษย์ก็จะเป็นความรักที่ไม่บริสุทธิ์ เป็นความรักเยี่ยงซาตาน และเป็นความรักซึ่งไม่สามารถได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้าโดยสิ้นเชิง  หากไม่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม ไม่ได้รับการจัดการ ไม่ได้ถูกทำลาย ไม่ได้รับการตัดแต่ง ไม่ได้ถูกคุมวินัย ไม่ได้ถูกตีสอน และไม่ได้รับการถลุงจากพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยตรง ก็จะไม่มีใครสามารถรักพระเจ้าได้อย่างแท้จริงเลย  หากเจ้ากล่าวว่าส่วนหนึ่งของอุปนิสัยของเจ้าเป็นตัวแทนพระเจ้า และดังนั้นแล้ว เจ้าจึงสามารถรักพระเจ้าได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นใครสักคนที่มีวาจาอันโอหัง และเจ้าก็เป็นมนุษย์ที่ประหลาด  ผู้คนเช่นนั้นก็คือหัวหน้าทูตสวรรค์นั่นเอง!  ธรรมชาติของมนุษย์ที่มีมาแต่กำเนิดไม่สามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้โดยตรง เขาจะต้องสลัดทิ้งธรรมชาติโดยกำเนิดผ่านการทำให้เพียบพร้อมของพระเจ้า และมีเพียงวิธีนั้นเท่านั้น—มีเพียงการใส่ใจต่อน้ำพระทัยพระเจ้า การทำให้เจตนารมณ์ของพระเจ้าลุล่วง และยิ่งไปกว่านั้นคือ การก้าวผ่านพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น—การใช้ชีวิตของเขาจึงจะได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า  ไม่มีใครที่มีชีวิตอยู่ในเนื้อหนังจะสามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้โดยตรง นอกเสียจากว่าเขาจะเป็นมนุษย์ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งาน  อย่างไรก็ตาม แม้แต่กับบุคคลเช่นนี้ ก็ยังไม่อาจกล่าวได้ว่า อุปนิสัยของเขาและการใช้ชีวิตของเขาเป็นตัวแทนพระเจ้าได้โดยสิ้นเชิง อาจพูดได้แค่เพียงว่า การใช้ชีวิตของเขานั้นได้รับการชี้นำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  อุปนิสัยของมนุษย์เช่นนั้นไม่อาจเป็นตัวแทนพระเจ้าได้

แม้ว่าอุปนิสัยของมนุษย์จะถูกกำหนดโดยพระเจ้า—เรื่องนี้ไม่เป็นที่สงสัยเลย และอาจพิจารณาได้ว่าเป็นเรื่องที่เป็นบวก—แต่ก็ได้ถูกซาตานแปรสภาพตลอดมา และดังนั้นทั้งหมดทั้งปวงของอุปนิสัยของมนุษย์ก็คืออุปนิสัยของซาตาน  บางคนกล่าวว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้าคือการทรงทำอะไรๆ อย่างตรงไปตรงมา และกล่าวว่าอุปนิสัยเช่นนี้ก็สำแดงในพวกเขาเช่นกัน กล่าวว่าลักษณะนิสัยของพวกเขาก็เป็นแบบนี้เช่นกัน และเมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วพวกเขาจึงกล่าวว่าอุปนิสัยของพวกเขาเป็นตัวแทนพระเจ้า  ผู้คนเช่นนี้เป็นคนแบบไหนกัน?  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานเป็นตัวแทนพระเจ้าได้ด้วยหรือ?  ไม่ว่าใครก็ตามที่ประกาศว่าอุปนิสัยของตนเป็นตัวแทนพระเจ้าย่อมหมิ่นประมาทพระเจ้าและดูแคลนพระวิญญาณบริสุทธิ์!  วิธีการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปฏิบัติพระราชกิจแสดงให้เห็นว่า พระราชกิจของพระเจ้าบนโลกก็คือพระราชกิจของการพิชิตชัยเพียงประการเดียวเท่านั้น  เมื่อเป็นเช่นนั้น อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานหลายอย่างของมนุษย์จึงยังไม่ได้รับการชำระให้สะอาด การใช้ชีวิตของเขายังคงเป็นรูปลักษณ์ของซาตานอยู่ นี่คือสิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดี และสิ่งนี้เป็นตัวแทนความประพฤติต่างๆ ของเนื้อหนังมนุษย์ กล่าวให้ชัดเจนยิ่งขึ้นได้ว่า นี่เป็นตัวแทนซาตานและไม่อาจเป็นตัวแทนพระเจ้าได้อย่างแน่นอนที่สุด  แม้ว่าใครบางคนรักพระเจ้าแล้วจนถึงขนาดที่พวกเขาสามารถชื่นชมไปกับชีวิตดั่งสวรรค์บนดินได้ สามารถกล่าวถ้อยความดังเช่น “โอ พระเจ้า!  ข้าพระองค์ไม่อาจรักพระองค์ได้มากพอได้” และได้เข้าถึงอาณาจักรสูงสุดแล้ว ก็ยังคงไม่อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาใช้ชีวิตตามแบบอย่างพระเจ้าหรือเป็นตัวแทนพระเจ้า เพราะเนื้อแท้ของมนุษย์นั้นไม่เหมือนเนื้อแท้ของพระเจ้า และมนุษย์ไม่มีทางที่จะใช้ชีวิตตามแบบอย่างพระเจ้าได้ นับประสาอะไรกับการกลายเป็นพระเจ้า  สิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงชี้นำมนุษย์ในการใช้ชีวิตนั้น ก็เพียงเพื่อให้สอดคล้องกับสิ่งที่พระเจ้าทรงขอจากมนุษย์

การกระทำและความประพฤติทั้งหมดของซาตานนั้นถูกสำแดงอยู่ในมนุษย์  วันนี้ การกระทำและความประพฤติทั้งหมดของมนุษย์เป็นการแสดงออกของซาตานและดังนั้นจึงไม่สามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้  มนุษย์คือรูปจำแลงของซาตาน และอุปนิสัยของมนุษย์ไม่สามารถเป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้  บางคนนั้นมีลักษณะนิสัยที่ดี พระเจ้าอาจทรงปฏิบัติพระราชกิจบางอย่างผ่านลักษณะนิสัยของผู้คนเช่นนั้น และงานที่พวกเขาทำได้รับการชี้นำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  กระนั้นอุปนิสัยของพวกเขาก็ไร้ความสามารถที่จะเป็นตัวแทนพระเจ้าได้  พระราชกิจที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อพวกเขาไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากการทรงพระราชกิจกับมันและการแผ่ขยายบนสิ่งที่ดำรงอยู่แล้วภายใน  ไม่ว่าจะเป็นบรรดาผู้เผยพระวจนะในยุคต่างๆ ที่ผ่านมาแล้วหรือบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงใช้งาน ไม่มีใครสามารถเป็นตัวแทนพระองค์ได้โดยตรง  ผู้คนได้มารักพระเจ้าเพียงภายใต้รูปการณ์แวดล้อมที่ถูกบีบบังคับเท่านั้น และไม่มีสักคนเดียวที่เพียรพยายามที่จะให้ความร่วมมือโดยความต้องการของตนเอง  สิ่งต่างๆ ที่เป็นบวกคืออะไร?  ทุกสิ่งทุกอย่างที่มาจากพระเจ้าโดยตรงนั้นเป็นเรื่องบวก อย่างไรก็ดี อุปนิสัยของมนุษย์ได้ถูกซาตานแปรสภาพตลอดมา และไม่สามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้  มีเพียงความรัก น้ำพระทัยที่จะทนทุกข์ ความชอบธรรม ความนบนอบ ความถ่อมใจ และความซ่อนเร้นของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์เท่านั้น ที่สามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้โดยตรง  นี่เป็นเพราะว่าเมื่อพระองค์ได้เสด็จมา พระองค์ได้เสด็จมาโดยปราศจากธรรมชาติที่เต็มไปด้วยบาปและได้เสด็จมาจากพระเจ้าโดยตรง โดยที่ไม่ได้ถูกซาตานแปรสภาพ  พระเยซูทรงอยู่ในสภาพเสมือนเนื้อหนังที่มีบาปเท่านั้น และไม่ได้ทรงเป็นตัวแทนบาป ดังนั้น การกระทำ กิจการ และพระวจนะต่างๆ ของพระองค์ จนถึงช่วงเวลาก่อนที่พระองค์จะทรงทำให้พระราชกิจของพระองค์สำเร็จลุล่วงผ่านการตรึงกางเขน (รวมถึงชั่วขณะของการตรึงกางเขนของพระองค์) ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นตัวแทนพระเจ้าโดยตรง  ตัวอย่างของพระเยซูนั้นเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่า ใครก็ตามที่มีธรรมชาติที่เต็มไปด้วยบาปไม่สามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้ และพิสูจน์ว่าบาปของมนุษย์เป็นตัวแทนซาตาน  กล่าวคือ บาปไม่สามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้ และพระเจ้าทรงไร้บาป  แม้กระทั่งพระราชกิจที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปฏิบัติในมนุษย์ ก็สามารถพิจารณาได้เพียงแค่ว่า ได้รับการชี้นำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และไม่สามารถกล่าวได้ว่ากระทำโดยมนุษย์ในพระนามของพระเจ้า  แต่ เท่าที่มนุษย์จะเข้าไปเกี่ยวพัน ทั้งบาปของเขาและอุปนิสัยของเขาไม่ได้เป็นตัวแทนพระเจ้า  โดยการมองดูพระราชกิจที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงปฏิบัติกับมนุษย์จากอดีตจนถึงยุคปัจจุบัน คนเราจึงมองเห็นได้ว่ามนุษย์มีสิ่งซึ่งเขาใช้ดำเนินชีวิต  ทั้งหมดเป็นเพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงพระราชกิจกับเขา  มีน้อยคนเหลือเกินที่สามารถใช้ชีวิตตามความจริงได้หลังจากที่ถูกจัดการและบ่มวินัยโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  กล่าวคือ พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นที่เป็นปัจจุบัน ความร่วมมือในภาคส่วนของมนุษย์นั้นไม่มีอยู่  บัดนี้เจ้าเข้าใจเรื่องนี้ชัดเจนแล้วใช่หรือไม่?  เมื่อเป็นดังนี้แล้ว เจ้าจะพยายามอย่างเต็มที่อย่างไรในการร่วมมือกับพระองค์และปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปฏิบัติพระราชกิจ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มนุษย์ที่เสื่อมทรามไม่สามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 318

การเชื่อในพระเจ้าของเจ้า การไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า และแม้แต่หนทางที่เจ้าประพฤติปฏิบัติตน ทั้งหมดนี้ควรมีพื้นฐานอยู่บนความเป็นจริง กล่าวคือ ทุกสิ่งที่เจ้ากระทำควรสัมพันธ์กับชีวิตจริง และเจ้าไม่ควรไล่ตามเสาะหาสิ่งต่างๆ ที่ลวงตาและเพ้อฝัน  ไม่มีคุณค่าอันใดเลยต่อการประพฤติตนในหนทางนี้ และนอกจากนี้แล้ว ไม่มีความหมายต่อชีวิตเช่นนั้นด้วย  เพราะการไล่ตามเสาะหาและชีวิตของเจ้าถูกใช้ไปท่ามกลางสิ่งที่เป็นเพียงความเทียมเท็จและเล่ห์ลวง และเพราะเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาสิ่งต่างๆ ที่มีคุณค่าและนัยสำคัญ สิ่งเดียวที่เจ้าได้มาคือการใช้เหตุผลและคำสอนอันไร้สาระที่ไม่มีความจริง  สิ่งต่างๆ เช่นนั้นไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ เลยกับนัยสำคัญและคุณค่าแห่งการดำรงอยู่ของเจ้า และมีแต่จะนำเจ้าไปสู่อาณาจักรที่กลวงเป็นโพรงเท่านั้น  ในหนทางนี้ ทั้งชีวิตของเจ้าก็จะปราศจากคุณค่าหรือความหมายใดๆ—และหากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาชีวิตที่มีความหมาย เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็อาจมีชีวิตได้ถึงหนึ่งร้อยปีและทั้งหมดนั้นจะสูญเปล่า  นั่นจะสามารถเรียกว่าเป็นชีวิตมนุษย์ได้อย่างไร?  อันที่จริงแล้วมันไม่ใช่ชีวิตของสัตว์ตัวหนึ่งหรอกหรือ?  ในทำนองเดียวกัน หากพวกเจ้าพยายามที่จะติดตามเส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้า แต่ไม่พยายามที่จะไล่ตามเสาะหาพระเจ้าที่สามารถมองเห็นได้และกลับนมัสการพระเจ้าองค์หนึ่งที่ไม่ทรงปรากฏแก่ตาและไม่อาจจับต้องได้แทน เช่นนั้นแล้ว การไล่ตามเสาะหาดังกล่าวไม่เปล่าประโยชน์มากยิ่งกว่าเสียอีกหรือ?  สุดท้ายแล้ว การไล่ตามเสาะหาของเจ้าก็จะกลายเป็นซากปรักหักพังกองหนึ่ง  การไล่ตามเสาะหาเช่นนั้นเป็นประโยชน์อันใดต่อเจ้าเล่า?  ปัญหาที่ใหญ่โตที่สุดกับมนุษย์ก็คือว่าเขารักแต่สิ่งต่างๆ ที่เขาไม่สามารถเห็นหรือแตะต้องได้ สิ่งต่างๆ ที่ล้ำลึกและน่าอัศจรรย์อย่างสูงสุด และที่มนุษย์ไม่อาจจินตนาการได้และที่มนุษย์ซึ่งต้องตายมิอาจบรรลุได้  ยิ่งสิ่งเหล่านี้ไม่สมจริงมากขึ้นเท่าใด ผู้คนก็ยิ่งวิเคราะห์พวกมันมากขึ้นเท่านั้น และผู้คนถึงขนาดไล่ตามเสาะหาพวกมันโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น และพยายามที่จะได้รับพวกมันมา  ยิ่งพวกมันไม่สมจริงมากขึ้นเท่าใด ผู้คนก็ยิ่งพินิจพิเคราะห์และวิเคราะห์พวกมันอย่างใกล้ชิดมากขึ้นเท่านั้น โดยถึงขั้นรังสรรค์ความคิดต่างๆ แบบละเอียดยิบของพวกเขาเองเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นด้วยซ้ำ  ในทางตรงกันข้าม ยิ่งสิ่งต่างๆ สมจริงมากขึ้นเท่าใด ผู้คนก็ยิ่งไม่แยแสต่อพวกมันมากขึ้นเท่านั้น พวกเขาแค่มองสิ่งเหล่านั้นแบบดูถูก และถึงขั้นเหยียดหยามพวกมันด้วยซ้ำ  นี่ไม่ใช่ท่าทีของพวกเจ้าที่มีต่องานที่สมจริงที่เรากระทำวันนี้อย่างแน่นอนหรอกหรือ?  ยิ่งสิ่งเหล่านั้นสมจริงมากขึ้นเท่าใด พวกเจ้าก็ยิ่งมีอคติต่อพวกมันมากขึ้นเท่านั้น  เจ้าไม่สละเวลาเลยที่จะตรวจดูพวกมัน แต่เพิกเฉยต่อพวกมันไปเสียอย่างนั้น  เจ้าดูหมิ่นข้อพึงประสงค์ที่สมจริงและมาตรฐานต่ำเหล่านี้ และถึงขั้นเก็บงำมโนคติที่หลงผิดหลายอย่างเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ทรงเป็นจริงมากที่สุดพระองค์นี้ และไม่สามารถที่จะยอมรับความเป็นจริงและความเป็นปกติของพระองค์ได้เลยจริงๆ  ในหนทางนี้ พวกเจ้าไม่ใช่ยึดมั่นกับการเชื่อที่คลุมเครือหรอกหรือ?  พวกเจ้ามีความเชื่อที่ไม่สั่นคลอนในพระเจ้าที่คลุมเครือแห่งอดีตกาล และไม่สนใจในพระเจ้าแท้จริงแห่งวันนี้  นี่ไม่ใช่เพราะว่าพระเจ้าแห่งวันวานและพระเจ้าแห่งวันนี้ทรงมาจากสองยุคสมัยที่แตกต่างกันหรอกหรือ?  นั่นไม่ใช่เพราะว่าพระเจ้าแห่งวันวานทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงเป็นที่ยกย่องแห่งฟ้าสวรรค์ ในขณะที่พระเจ้าแห่งวันนี้ทรงเป็นมนุษย์ตัวเล็กจิ๋วบนแผ่นดินโลกด้วยหรอกหรือ?  นอกจากนี้ นั่นไม่ใช่เพราะว่าพระเจ้าที่มนุษย์นมัสการนั้นเป็นองค์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยมโนคติที่หลงผิดต่างๆ ของเขา ในขณะที่พระเจ้าแห่งวันนี้ทรงเป็นผู้ที่มีเนื้อหนังแท้จริง ซึ่งถูกสร้างขึ้นบนแผ่นดินโลกหรอกหรือ?  เมื่อพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างแล้วนั้น นั่นไม่ใช่เพราะว่าพระเจ้าแห่งวันนี้ทรงเป็นจริงมากเกินไปจนมนุษย์ไม่ไล่ตามเสาะหาพระองค์หรอกหรือ?  เพราะสิ่งที่พระเจ้าแห่งวันนี้ทรงขอจากผู้คนแท้ที่จริงแล้วก็คือสิ่งที่ผู้คนไม่เต็มใจที่จะกระทำมากที่สุด และเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกละอายใจ  นี่ไม่ได้กำลังทำให้สิ่งต่างๆ ยากลำบากสำหรับผู้คนหรอกหรือ?  นี่ไม่ได้ตีแผ่แผลเป็นของผู้คนหรอกหรือ?  ในหนทางนี้ ผู้คนจำนวนมากไม่ไล่ตามเสาะหาพระเจ้าที่แท้จริง พระเจ้าที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และดังนั้นพวกเขาจึงกลายเป็นศัตรูของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ซึ่งหมายความถึงศัตรูของพระคริสต์  นี่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏชัดหรอกหรือ?  ในอดีตนั้น เมื่อพระเจ้ายังไม่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ เจ้าอาจจะเป็นคนสำคัญทางศาสนา หรือเป็นผู้เชื่อคนหนึ่งซึ่งนับถือพระเจ้า  หลังจากพระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ผู้เชื่อที่นับถือพระเจ้าเช่นนั้นจำนวนมากได้กลายเป็นเหล่าศัตรูของพระคริสต์ไปโดยไม่รู้ตัว  เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ณ ที่นี้?  ในความเชื่อของเจ้าในพระเจ้า เจ้าไม่จดจ่ออยู่กับความเป็นจริงหรือไล่ตามเสาะหาความจริง แต่กลับหมกมุ่นอยู่กับความเทียมเท็จต่างๆ แทน—นี่ไม่ใช่แหล่งกำเนิดอันแจ่มชัดที่สุดของความเป็นปฏิปักษ์ของเจ้าต่อพระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์หรอกหรือ?  พระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ทรงได้รับการเรียกขานว่าพระคริสต์ ดังนั้นพวกเขาเหล่านั้นทั้งหมดที่ไม่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์จะมิใช่เหล่าศัตรูของพระคริสต์หรอกหรือ?  ดังนั้น พระองค์ผู้ที่เจ้าเชื่อและรักอย่างแท้จริงทรงเป็นพระเจ้าในเนื้อหนังพระองค์นี้ใช่หรือไม่?  ใช่พระเจ้าพระองค์นี้จริงๆ หรือไม่ที่ทรงพระชนม์ชีพอยู่ ทรงมีลมหายใจอยู่ ซึ่งเป็นพระเจ้าพระองค์จริงมากที่สุดและเป็นปกติอย่างเหนือธรรมดา?  แท้ที่จริงแล้วอะไรคือวัตถุประสงค์ของการไล่ตามเสาะหาของเจ้ากันแน่?  มันอยู่ในสวรรค์หรือบนแผ่นดินโลก?  มันเป็นมโนคติที่หลงผิดอย่างหนึ่งหรือเป็นความจริง?  มันเป็นพระเจ้าหรือมันเป็นบางสิ่งที่เหนือธรรมชาติ?  อันที่จริงแล้ว ความจริงเป็นคำสุภาษิตของชีวิตที่เป็นจริงมากที่สุด และเป็นภาษิตซึ่งสูงส่งที่สุดในบรรดาภาษิตเช่นนั้นท่ามกลางมวลมนุษย์ทั้งปวง  เพราะเป็นข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงกำหนดต่อมนุษย์ และเป็นพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำด้วยพระองค์เอง ด้วยเหตุนี้ จึงถูกเรียกว่า “ภาษิตแห่งชีวิต”  มันไม่ใช่ภาษิตที่ถูกสรุปย่อจากบางสิ่ง และไม่ใช่คำคมอันโด่งดังจากบุคคลสำคัญ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับเป็นถ้อยดำรัสถึงมวลมนุษย์จากองค์เจ้านายแห่งฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่ง มันไม่ใช่คำพูดบางคำที่มนุษย์สรุปขึ้นมา แต่เป็นพระชนม์ชีพประจำพระองค์ของพระเจ้า  และดังนั้นจึงถูกเรียกว่า “ที่สุดแห่งภาษิตชีวิตทั้งปวง”  การไล่ตามเสาะหาของผู้คนในการนำความจริงไปปฏิบัติคือการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา—กล่าวคือ มันเป็นการไล่ตามเสาะหาการสนองข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า  แก่นแท้ของข้อพึงประสงค์นี้เป็นจริงมากที่สุดในบรรดาความจริงทั้งมวล แทนที่จะเป็นคำสอนที่ว่างเปล่าที่ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถสัมฤทธิ์ผลได้  หากการไล่ตามเสาะหาของเจ้าไม่ใช่สิ่งใดนอกจากคำสอนและไม่บรรจุความเป็นจริงใดอยู่เลย เจ้าไม่ได้กบฏต่อความจริงหรอกหรือ?  เจ้าไม่ใช่ใครบางคนที่โจมตีความจริงหรอกหรือ?  บุคคลเช่นนั้นจะสามารถเป็นใครบางคนที่พยายามที่จะรักพระเจ้าได้อย่างไร?  ผู้คนที่ปราศจากความเป็นจริงคือบรรดาผู้ที่ทรยศความจริง และพวกเขาล้วนเป็นกบฏโดยธรรมชาติกันทุกคน!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่รู้จักพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์เท่านั้นที่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 319

พวกเจ้าทุกคนปรารถนาที่จะได้รับบำเหน็จรางวัลเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า ทุกคนหวังว่าจะได้สิ่งต่างๆ เหล่านั้นเมื่อพวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้า ด้วยเหตุที่ทุกคนหมกมุ่นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาสิ่งต่างๆ ที่สูงกว่า และไม่มีใครต้องการที่จะล้าหลังผู้อื่น  ผู้คนก็เป็นอย่างนี้นี่เอง  ด้วยเหตุผลนี้เลยทีเดียวที่ผู้คนจำนวนมากท่ามกลางพวกเจ้ากำลังพยายามอยู่ตลอดเวลาที่จะประจบประแจงพระเจ้าบนสวรรค์ แต่กระนั้นในความเป็นจริง ความจงรักภักดีและความมีน้ำใสใจจริงของพวกเจ้าต่อพระเจ้านั้นน้อยกว่าความจงรักภักดีและความมีน้ำใสใจจริงของเจ้าต่อตัวพวกเจ้าเองมากนัก  ทำไมเราจึงพูดเรื่องนี้?  เพราะเราไม่รับรู้ความจงรักภักดีของพวกเจ้าต่อพระเจ้าเลย และยิ่งไปกว่านั้น เพราะเราปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้าซึ่งอยู่ในหัวใจของพวกเจ้า  กล่าวคือ พระเจ้าซึ่งพวกเจ้านมัสการ พระเจ้าผู้คลุมเครือซึ่งพวกเจ้าเลื่อมใส ไม่ได้ดำรงอยู่เลย  เหตุผลที่เราสามารถพูดเรื่องนี้ได้อย่างเด็ดขาดมากก็คือว่า พวกเจ้านั้นอยู่ไกลเกินไปจากพระเจ้าที่แท้จริง  เหตุผลสำหรับความจงรักภักดีของพวกเจ้าก็คือรูปเคารพภายในหัวใจของพวกเจ้า ในขณะเดียวกัน สำหรับเราแล้ว พวกเจ้าแค่รับรู้พระเจ้าผู้ซึ่งพวกเจ้าพิจารณาว่าไม่ยิ่งใหญ่และไม่เล็กด้วยถ้อยคำเท่านั้น  เมื่อเราพูดว่าพวกเจ้าอยู่ไกลจากพระเจ้า เราหมายความว่าพวกเจ้าอยู่ห่างไกลจากพระเจ้าที่แท้จริง ในขณะที่พระเจ้าซึ่งคลุมเครือดูเหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อม  เมื่อเราพูดว่า “ไม่ยิ่งใหญ่” มันเป็นการอ้างอิงถึงว่า พระเจ้าซึ่งพวกเจ้าเชื่อในวันนี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นแค่บุคคลคนหนึ่งที่ไม่มีความสามารถอันยิ่งใหญ่ บุคคลคนหนึ่งที่ไม่สูงส่งมาก ได้อย่างไร  และเมื่อเราพูดว่า “ไม่เล็ก” นี่หมายถึงว่า แม้ว่าบุคคลคนนี้ไม่สามารถเรียกลมและสั่งฝนได้ กระนั้นพระองค์ยังสามารถเรียกพระวิญญาณของพระเจ้าให้ปฏิบัติพระราชกิจซึ่งสั่นสะเทือนฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกได้ ทิ้งให้ผู้คนสับสนอย่างสิ้นเชิง  จากภายนอก พวกเจ้าทั้งหมดดูเหมือนว่าจะเชื่อฟังอย่างสูงต่อพระคริสต์บนแผ่นดินโลกองค์นี้ กระนั้นในธาตุแท้แล้ว พวกเจ้าไม่มีความเชื่อในพระองค์ อีกทั้งเจ้าก็ไม่ได้รักพระองค์  กล่าวคือ หนึ่งเดียวที่พวกเจ้าเชื่ออย่างแท้จริงก็คือพระเจ้าซึ่งคลุมเครือจากความรู้สึกของพวกเจ้าเอง และหนึ่งเดียวที่พวกเจ้ารักอย่างแท้จริงก็คือพระเจ้าซึ่งพวกเจ้าโหยหาทั้งวันทั้งคืน กระนั้นก็ไม่เคยได้เห็นตัวตน  ต่อพระคริสต์องค์นี้ ความเชื่อของพวกเจ้านั้นมีแต่จะเป็นเศษเล็กเศษน้อย และความรักของเจ้าไม่มีค่าอะไรเลย  ความเชื่อหมายถึงการเชื่อและการไว้วางใจ ความรักหมายถึงการรักบูชาและความเลื่อมใสในหัวใจของคนเรา ไม่เคยแยกกัน  กระนั้นความเชื่อและความรักของพวกเจ้าในพระคริสต์ของวันนี้ก็ห่างไกลจากสิ่งนี้มาก  เมื่อพูดถึงความเชื่อ พวกเจ้ามีความเชื่อในพระองค์อย่างไร?  เมื่อพูดถึงความรัก พวกเจ้ารักพระองค์แบบไหน?  พวกเจ้าไม่มีความเข้าใจในพระอุปนิสัยของพระองค์จริงๆ เจ้ายิ่งรู้จักเนื้อแท้ของพระองค์น้อยกว่านั้นอีก ดังนั้นแล้วพวกเจ้ามีความเชื่อในพระองค์อย่างไร?  ความเป็นจริงของความเชื่อของพวกเจ้าในพระองค์อยู่ที่ไหน?  พวกเจ้ารักพระองค์อย่างไร?  ความเป็นจริงของความรักของพวกเจ้าสำหรับพระองค์อยู่ที่ไหน?

ผู้คนจำนวนมากได้ติดตามเราโดยปราศจากความลังเลมาจนถึงวันนี้  ดังนั้น พวกเจ้าก็ได้ทนทุกข์จากความเหนื่อยล้าอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเช่นกัน  เราได้จับใจความลักษณะนิสัยโดยกำเนิดและนิสัยของเจ้าแต่ละคนอย่างแจ่มแจ้ง การมีปฏิสัมพันธ์กับเจ้าทุกๆ คนนั้นยากลำบากอย่างมากมายมหาศาล  น่าเสียดายที่ แม้ว่าเราจะได้จับใจความมากมายเกี่ยวกับพวกเจ้า แต่พวกเจ้าไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับเราเลย  ไม่แปลกใจเลยที่ผู้คนพูดว่าพวกเจ้าหลงเชื่อว่าเล่ห์เพทุบายของใครบางคนเป็นเรื่องจริงในระหว่างชั่วขณะของความสับสน  ที่จริงแล้ว พวกเจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับอุปนิสัยของเรา นับประสาอะไรกับการที่ว่าเจ้าจะสามารถหยั่งรู้ได้ว่าอะไรอยู่ในจิตใจเรา  วันนี้ ความเข้าใจผิดต่างๆ ของพวกเจ้าเกี่ยวกับเรานั้นกำลังเพิ่มทวีขึ้น และความเชื่อของพวกเจ้าในเรายังคงเป็นความเชื่อที่สับสนอยู่  แทนที่จะพูดว่าพวกเจ้ามีความเชื่อในเรา คงจะเหมาะกว่าหากจะพูดว่าพวกเจ้าทั้งหมดกำลังพยายามที่จะประจบประแจงเราและสอพลอเรา  แรงจูงใจต่างๆ ของพวกเจ้านั้นธรรมดามาก: ฉันจะติดตามใครก็ตามที่สามารถให้บำเหน็จรางวัลกับฉันได้ และฉันจะเชื่อใครก็ตามที่ยอมให้ฉันหลีกหนีความวิบัติอันใหญ่หลวงต่างๆ ได้ ไม่ว่าเขาจะเป็นพระเจ้าหรือพระเจ้าองค์หนึ่งองค์ใดก็ตาม  ไม่มีสิ่งใดเลยในเรื่องนี้ที่ทำให้เราเป็นห่วง  มีผู้คนเช่นนั้นจำนวนมากท่ามกลางพวกเจ้า และสภาวะนี้รุนแรงมาก  หากวันหนึ่ง มีการทดสอบว่ามีผู้คนกี่คนท่ามกลางพวกเจ้าที่มีความเชื่อในพระคริสต์เพราะความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในเนื้อแท้ของพระองค์ เช่นนั้นแล้วเราเกรงว่า ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวในพวกเจ้าจะเป็นที่น่าพึงพอใจสำหรับเรา  ดังนั้นมันคงจะไม่เสียหายหากเจ้าแต่ละคนจะพิจารณาคำถามนี้: พระเจ้าที่พวกเจ้าเชื่อนั้นแตกต่างจากเราเป็นอันมาก และเมื่อเป็นดังนี้แล้ว อะไรเล่าคือแก่นสารของความเชื่อของพวกเจ้าในพระเจ้า?  ยิ่งพวกเจ้าเชื่อในผู้ที่เรียกกันว่าพระเจ้าของพวกเจ้ามากขึ้นเท่าใด พวกเจ้าก็จะยิ่งไถลห่างจากเรามากขึ้นเท่านั้น  เช่นนั้นแล้ว อะไรเล่าคือแก่นสารของประเด็นปัญหานี้?  เป็นที่แน่นอนว่าไม่มีพวกเจ้าคนใดได้เคยพิจารณาคำถามเช่นนั้นมาก่อน แต่ความร้ายแรงของมันได้ปรากฏต่อพวกเจ้าหรือไม่?  พวกเจ้าได้คิดถึงผลสืบเนื่องของการเชื่อเยี่ยงนี้ต่อไปหรือไม่?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, วิธีรู้จักพระเจ้าบนแผ่นดินโลก

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 320

เรามีความพอใจในบรรดาผู้ที่ไม่ระแวงผู้อื่น และเราชอบบรรดาผู้ที่ยอมรับความจริงอย่างไม่ลังเล เราแสดงความใส่ใจอย่างมากต่อผู้คนสองประเภทนี้ ด้วยเหตุที่ในสายตาของเราพวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์  หากเจ้าเป็นคนหลอกลวง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ย่อมจะระมัดระวังและมีความระแวงในตัวผู้คนและเรื่องต่างๆ ทั้งมวล และด้วยเหตุนี้ความเชื่อของเจ้าในเราย่อมจะสร้างขึ้นบนรากฐานแห่งความระแวง  เราไม่มีวันสามารถรับรู้ความเชื่อเช่นนั้นได้  เมื่อขาดความเชื่อที่แท้จริง เจ้าก็ยิ่งไร้ซึ่งความรักที่แท้จริงขึ้นไปอีก  และหากเจ้ามีแนวโน้มที่จะสงสัยในพระเจ้าและคาดเดาพระองค์ตามอำเภอใจ เช่นนั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เจ้าย่อมเป็นผู้ที่หลอกลวงที่สุดในบรรดาผู้คนทั้งมวล  เจ้าคาดเดาว่าพระเจ้าสามารถเป็นเช่นมนุษย์ได้หรือไม่ กล่าวคือ มีบาปซึ่งไม่สามารถอภัยให้ได้ มีลักษณะนิสัยที่ใจแคบ ไร้ซึ่งความเที่ยงธรรมและเหตุผล ขาดสำนึกรับรู้แห่งความยุติธรรม หมกมุ่นในยุทธวิธีที่ชั่วร้าย ทรยศและเจ้าเล่ห์ พอใจในความชั่วและความมืด เป็นต้น  เหตุผลที่ผู้คนมีความคิดเช่นนั้นไม่ใช่เป็นเพราะพวกเขาไร้ซึ่งความรู้ในพระเจ้าแม้แต่เพียงเล็กน้อยหรอกหรือ?  ความเชื่อเช่นนั้นไม่ต่างอะไรจากบาป!  มีกระทั่งบางคนที่เชื่อว่าบรรดาผู้ที่ทำให้เราพอใจก็คือบรรดาผู้ที่ยกยอปอปั้นและเลียแข้งเลียขานั่นเอง และเชื่อว่าบรรดาผู้ที่ขาดทักษะต่างๆ เช่นนั้นจะไม่ได้รับการต้อนรับในพระนิเวศของพระเจ้า และจะสูญเสียที่ของพวกเขาที่นั่น  นี่คือความรู้เพียงอย่างเดียวที่พวกเจ้าได้รับเอาไว้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาหรือ?  นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าได้รับไว้หรือ?  และความรู้ของพวกเจ้าเกี่ยวกับเราไม่ได้หยุดที่ความเข้าใจผิดต่างๆ เหล่านี้ ยิ่งแย่ไปกว่านั้นคือการที่พวกเจ้าหมิ่นประมาทพระวิญญาณของพระเจ้าและกล่าวร้ายสวรรค์  นี่คือเหตุผลที่เราพูดว่า ความเชื่อเช่นเดียวกับของพวกเจ้านั้นมีแต่จะทำให้พวกเจ้าไถลห่างจากเรามากขึ้นและอยู่ในสภาวะของการต่อต้านเรามากขึ้นเท่านั้น  ตลอดหลายปีของการทำงาน พวกเจ้าได้เห็นความจริงมากมาย แต่พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าหูของเราได้ยินอะไร?  มีกี่คนท่ามกลางพวกเจ้าที่เต็มใจที่จะยอมรับความจริง?  พวกเจ้าทั้งหมดเชื่อว่าเจ้าเต็มใจที่จะจ่ายตามราคาให้กับความจริง แต่มีกี่คนในพวกเจ้าที่ได้ทนทุกข์อย่างแท้จริงเพื่อความจริง?  ไม่มีอะไรเลยนอกจากความไม่ชอบธรรมในหัวใจของพวกเจ้า ซึ่งทำให้พวกเจ้าคิดว่าทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ตาม เป็นคนที่หลอกลวงและคดโกงเท่ากัน—ถึงขั้นที่เจ้าเชื่อกระทั่งว่าพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์อาจทรงดำรงอยู่โดยปราศจากหัวใจที่มีเมตตาหรือความรักที่มีความกรุณามากมาย เฉกเช่นบุคคลปกติ  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเจ้าเชื่อว่าลักษณะนิสัยซึ่งแสดงถึงความมีคุณธรรมสูงและธรรมชาติซึ่งแสดงถึงความเมตตาและความกรุณามากมาย ดำรงอยู่แค่ภายในพระเจ้าบนสวรรค์เท่านั้น  พวกเจ้าเชื่อว่าวิสุทธิชนเช่นนี้ไม่ดำรงอยู่จริง เชื่อว่าความมืดและความชั่วปกครองแผ่นดินโลก ในขณะที่พระเจ้าทรงเป็นบางอย่างซึ่งผู้คนให้ความไว้วางใจการถวิลหาสิ่งที่ดีและสิ่งที่สวยงามของพวกเขา เป็นบุคคลในตำนานคนหนึ่งซึ่งพวกเขาสรรค์สร้างขึ้น  ในจิตใจของพวกเจ้า พระเจ้าบนสวรรค์นั้นทรงซื่อตรง ชอบธรรม และยิ่งใหญ่มาก ทรงคู่ควรกับการนมัสการและความเลื่อมใส ในขณะเดียวกัน พระเจ้าบนแผ่นดินโลกองค์นี้ทรงเป็นแต่เพียงตัวแทน และเป็นเครื่องมือของพระเจ้าบนสวรรค์  เจ้าเชื่อว่าพระเจ้าองค์นี้ไม่สามารถเทียบเท่ากับพระเจ้าบนสวรรค์ได้ นับประสาอะไรกับการถูกเอ่ยถึงในขณะเดียวกันกับพระองค์  เมื่อพูดถึงความยิ่งใหญ่และพระเกียรติของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้เป็นของพระสิริของพระเจ้าบนสวรรค์ แต่เมื่อพูดถึงธรรมชาติและความเสื่อมทรามของมนุษย์ สิ่งเหล่านี้คือคุณลักษณะซึ่งพระเจ้าบนแผ่นดินโลกทรงเป็นส่วนหนึ่ง  พระเจ้าบนสวรรค์ทรงสูงส่งชั่วนิรันดร์ ในขณะที่พระเจ้าบนแผ่นดินโลกทรงไม่สำคัญ อ่อนแอ และไร้ความสามารถตลอดกาล  พระเจ้าบนสวรรค์ไม่ทรงหมกมุ่นในอารมณ์ เพียงแค่ความชอบธรรมเท่านั้น ในขณะที่พระเจ้าบนแผ่นดินโลกทรงมีแรงจูงใจอันเห็นแก่ตัวและทรงปราศจากความเที่ยงธรรมหรือเหตุผลใดๆ  พระเจ้าบนสวรรค์ไม่ทรงมีความคดโกงแม้แต่น้อยและทรงสัตย์ซื่อตลอดกาล ในขณะที่พระเจ้าบนแผ่นดินโลกทรงมีด้านที่ไม่ซื่อสัตย์เสมอ  พระเจ้าบนสวรรค์ทรงรักมนุษย์อย่างสุดซึ้ง ในขณะที่พระเจ้าบนแผ่นดินโลกทรงแสดงให้มนุษย์เห็นถึงการใส่ใจที่ไม่เพียงพอ กระทั่งละเลยเขาอย่างสิ้นเชิง  ความรู้ที่ผิดนี้ได้ถูกเก็บไว้ภายในหัวใจของพวกเจ้ามานานและยังอาจถูกทำให้อยู่อย่างถาวรในอนาคตเช่นกัน  พวกเจ้าคำนึงถึงกิจการทั้งหมดของพระคริสต์จากจุดยืนของผู้ไม่ชอบธรรมและประเมินพระราชกิจของพระองค์ทั้งหมด รวมทั้งพระอัตลักษณ์และเนื้อแท้ของพระองค์ จากมุมมองของคนชั่ว  พวกเจ้าได้ทำความผิดมหันต์และได้ทำสิ่งซึ่งไม่เคยถูกทำมาก่อนโดยบรรดาผู้ที่มาก่อนหน้าเจ้า  กล่าวคือ พวกเจ้ารับใช้เพียงพระเจ้าผู้สูงส่งบนสวรรค์ผู้ซึ่งมีมงกุฎบนพระเศียรของพระองค์ และไม่เคยเอาใจใส่พระเจ้าผู้ซึ่งเจ้าคำนึงถึงว่าไม่สำคัญมากจนกระทั่งพวกเจ้ามองไม่เห็นพระองค์  นี่ไม่ใช่บาปของพวกเจ้าหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่ตัวอย่างชั้นเยี่ยมของการกระทำผิดของพวกเจ้าต่อพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรอกหรือ?  พวกเจ้านมัสการพระเจ้าบนสวรรค์  พวกเจ้ารักบูชาฉายาอันสูงส่งและเคารพยกย่องบรรดาผู้ที่โดดเด่นเพราะการมีคารมคมคายของพวกเขา  เจ้ายินดีถูกบัญชาโดยพระเจ้าผู้ซึ่งเติมเต็มความมั่งคั่งร่ำรวยในมือเจ้า และกระหายในพระเจ้าผู้ซึ่งสามารถเติมเต็มความอยากทุกอย่างของเจ้า  องค์หนึ่งเดียวเท่านั้นที่เจ้าไม่นมัสการคือพระเจ้าองค์นี้ผู้ซึ่งไม่ทรงสูงส่ง สิ่งเดียวที่เจ้าเกลียดคือการสมาคมกับพระเจ้าองค์นี้ผู้ซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดสามารถคำนึงถึงอย่างสูงส่ง  สิ่งเดียวที่เจ้าไม่เต็มใจทำคือการรับใช้พระเจ้าองค์นี้ผู้ซึ่งไม่เคยทรงให้เจ้าแม้สักสตางค์แดงเดียว และองค์หนึ่งเดียวผู้ซึ่งไม่สามารถทำให้เจ้าโหยหาในพระองค์ได้ก็คือพระเจ้าซึ่งไม่น่ารักองค์นี้  พระเจ้าองค์นี้ไม่สามารถที่จะทำให้เจ้าเปิดโลกทัศน์ของเจ้าให้กว้างขึ้นได้ เพื่อที่จะได้รู้สึกราวกับว่าเจ้าได้พบขุมทรัพย์แล้ว นับประสาอะไรกับการทำสิ่งที่เจ้าปรารถนาให้ลุล่วง  เช่นนั้นแล้ว ทำไมเจ้าจึงติดตามพระองค์?  เจ้าได้คิดถึงคำถามต่างๆ เยี่ยงนี้หรือไม่?  สิ่งที่เจ้าทำ ไม่ได้เพียงทำให้พระคริสต์องค์นี้ทรงขุ่นเคืองเท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้นคือ มันทำให้พระเจ้าบนสวรรค์ทรงขุ่นเคือง  เราคิดว่านี่ไม่ใช่จุดประสงค์ของความเชื่อของพวกเจ้าในพระเจ้า!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, วิธีรู้จักพระเจ้าบนแผ่นดินโลก

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 321

พวกเจ้าถวิลหาพระเจ้าให้ทรงปีติยินดีในตัวเจ้า กระนั้นพวกเจ้ายังห่างไกลพระองค์  ปัญหาตรงนี้คืออะไร?  พวกเจ้ายอมรับเพียงพระวจนะของพระองค์ แต่ไม่ยอมรับการจัดการของพระองค์หรือการตัดแต่งของพระองค์ นับประสาอะไรกับการที่เจ้าสามารถยอมรับการจัดการเตรียมการทุกอย่างของพระองค์ เพื่อมีความเชื่อที่ครบถ้วนบริบูรณ์ในพระองค์  ถ้าเช่นนั้นแล้ว ปัญหาตรงนี้คืออะไร?  ในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย ความเชื่อของพวกเจ้าคือเปลือกไข่ว่างเปล่าชิ้นหนึ่ง เปลือกไข่ซึ่งไม่มีวันสามารถผลิตลูกไก่หนึ่งตัวได้  ด้วยเหตุที่ความเชื่อของพวกเจ้าไม่ได้นำความจริงมาสู่พวกเจ้าหรือให้ชีวิตแก่เจ้า แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับได้ให้พวกเจ้าได้มีสำนึกรับรู้อันลวงตาในความค้ำจุนและความหวัง  สำนึกรับรู้แห่งความค้ำจุนและความหวังนี้เองที่เป็นจุดมุ่งหมายของพวกเจ้าในการเชื่อพระเจ้า ไม่ใช่ความจริงและชีวิต  ด้วยเหตุนี้เราจึงพูดว่า แนวทางปฏิบัติของความเชื่อของพวกเจ้าในพระเจ้าไม่ได้เป็นอะไรนอกไปจากการพยายามที่จะประจบประแจงพระเจ้า ผ่านทางการยอมรับใช้และความไร้ยางอาย และไม่มีทางสามารถถูกถือได้ว่าเป็นความเชื่อที่แท้จริง  ลูกไก่ตัวหนึ่งจะสามารถเกิดมาจากความเชื่อเช่นนี้ได้อย่างไร?  กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความเชื่อเช่นนี้สามารถทำสิ่งใดให้สำเร็จลุล่วงได้หรือ?  จุดประสงค์ของความเชื่อของพวกเจ้าในพระเจ้าคือการใช้พระองค์เพื่อสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของพวกเจ้าเอง  นี่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมของการทำให้ขุ่นเคืองของพวกเจ้าต่อพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรือ?  พวกเจ้าเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าบนสวรรค์และปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก กระนั้นเราไม่ระลึกรู้ถึงทรรศนะต่างๆ ของพวกเจ้า เราชมเชยเพียงบรรดาผู้คนที่อยู่กับความเป็นจริงและรับใช้พระเจ้าบนแผ่นดินโลกเท่านั้น แต่ไม่เคยชมเชยบรรดาผู้ที่ไม่เคยยอมรับรู้ถึงพระคริสต์ผู้ซึ่งทรงดำรงอยู่บนแผ่นดินโลก  ไม่สำคัญว่าผู้คนเช่นนั้นจงรักภักดีต่อพระเจ้าบนสวรรค์เพียงใด ในท้ายที่สุดพวกเขาจะหลีกหนีไม่พ้นมือของเราที่ลงโทษคนชั่ว  ผู้คนเหล่านี้เป็นคนชั่ว พวกเขาเป็นเหล่ามารร้ายผู้ซึ่งต่อต้านพระเจ้าและไม่เคยยินดีที่จะเชื่อฟังพระคริสต์  แน่นอนว่า จำนวนของพวกเขานั้นรวมถึงบรรดาผู้ที่ไม่รู้จักและยิ่งไปกว่านั้น ไม่ยอมรับรู้ถึงพระคริสต์  เจ้าเชื่อว่าเจ้าสามารถปฏิบัติตัวต่อพระคริสต์อย่างที่เจ้าพอใจตราบเท่าที่เจ้าจงรักภักดีต่อพระเจ้าบนสวรรค์ได้หรือ?  ผิด!  ความไม่รู้เท่าทันของเจ้าในพระคริสต์คือความไม่รู้เท่าทันในพระเจ้าบนสวรรค์  ไม่สำคัญว่าเจ้าจงรักภักดีต่อพระเจ้าบนสวรรค์เพียงใด มันเป็นเพียงการพูดลอยๆ และการเสแสร้งเท่านั้น ด้วยเหตุที่พระเจ้าบนแผ่นดินโลกไม่เพียงทรงมีส่วนสำคัญในการที่มนุษย์จะได้รับความจริงและมีความรู้อันลุ่มลึกยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่มากไปกว่านั้นก็คือ ทรงมีส่วนสำคัญในการกล่าวโทษมนุษย์และภายหลังต่อมาในการยึดถือข้อเท็จจริงต่างๆ เพื่อลงโทษคนชั่ว  เจ้าได้เข้าใจผลลัพธ์อันเป็นประโยชน์และอันเป็นโทษในที่นี้หรือยัง?  เจ้าได้รับประสบการณ์กับผลลัพธ์เหล่านั้นหรือยัง?  เราปรารถนาให้พวกเจ้าได้เข้าใจความจริงนี้ในวันหนึ่งในไม่ช้า กล่าวคือ เพื่อที่จะรู้จักพระเจ้า เจ้าจะต้องรู้จักไม่เพียงพระเจ้าบนสวรรค์เท่านั้น แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ พระเจ้าบนแผ่นดินโลก  จงอย่าสับสนไปกับเรื่องสำคัญเร่งด่วนต่างๆ ของเจ้าหรือยอมให้เรื่องรองมาแทนที่เรื่องหลัก  ด้วยวิธีนี้เท่านั้นเจ้าจึงสามารถสร้างความสัมพันธ์อันดีกับพระเจ้าได้อย่างแท้จริง กลายเป็นใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น และนำหัวใจของเจ้าเข้าใกล้พระองค์มากขึ้น  หากเจ้าได้อยู่ในความเชื่อมาเป็นเวลาหลายปีและได้สมาคมกับเรามานานแล้ว แต่ก็ยังคงอยู่ห่างจากเรา เช่นนั้นแล้วเราย่อมพูดว่า มันจะต้องเป็นว่าเจ้ากระทำให้ขุ่นเคืองต่อพระอุปนิสัยของพระเจ้าบ่อยๆ และปลายทางของเจ้าจะพิจารณาได้ยากมาก  หากเวลาหลายปีในการสมาคมกับเราไม่ได้เพียงล้มเหลวในการเปลี่ยนเจ้าให้เป็นบุคคลคนหนึ่งซึ่งมีสภาวะความเป็นมนุษย์และความจริงเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ได้ฝังหนทางอันชั่วร้ายของเจ้าแน่นอยู่ในธรรมชาติของเจ้า และเจ้าไม่เพียงมีความโอหังเป็นสองเท่าของก่อนหน้านี้เท่านั้น แต่ความเข้าใจผิดต่างๆ ของเจ้าเกี่ยวกับเรายังได้ทวีคูณด้วยเช่นกัน ถึงขั้นที่ว่าเจ้ามาคำนึงถึงเราว่าเป็นผู้ช่วยตัวน้อยของเจ้า เช่นนั้นแล้วเราก็ย่อมพูดว่าความทุกข์ร้อนของเจ้าไม่ได้อยู่เพียงแค่ผิว อีกต่อไปแล้ว แต่กลับได้เจาะเข้าไปถึงกระดูกที่แท้จริงของเจ้าแล้ว  ทั้งหมดที่เหลืออยู่ก็เพื่อให้เจ้าได้รอที่จะจัดการเตรียมงานศพของเจ้า  เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอ้อนวอนเราให้เป็นพระเจ้าของเจ้า ด้วยเหตุที่เจ้าได้กระทำบาปอย่างหนึ่งซึ่งสมควรแก่ความตาย บาปอันไม่สามารถยกโทษให้ได้  ต่อให้เราอาจปรานีต่อเจ้า พระเจ้าบนสวรรค์จะทรงยืนกรานที่จะเอาชีวิตเจ้า ด้วยเหตุที่การกระทำให้ขุ่นเคืองของพวกเจ้าต่อพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นไม่ใช่ปัญหาธรรมดา แต่เป็นปัญหาซึ่งมีลักษณะร้ายแรงมาก  เมื่อเวลานั้นมาถึง จงอย่าตำหนิเราที่ไม่ได้บอกเจ้าก่อนล่วงหน้า  ทุกอย่างจะกลับมาสู่จุดนี้ กล่าวคือ เมื่อเจ้าสมาคมกับพระคริสต์—พระเจ้าบนแผ่นดินโลก—ในฐานะสามัญชนคนหนึ่ง กล่าวคือ เมื่อเจ้าเชื่อว่าพระเจ้าองค์นี้ไม่ใช่อะไรนอกจากบุคคลคนหนึ่ง เมื่อนั้นก็เป็นเวลาที่เจ้าจะพินาศ  นี่คือการตักเตือนเพียงครั้งเดียวของเราต่อเจ้าทุกคน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, วิธีรู้จักพระเจ้าบนแผ่นดินโลก

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 322

ในมนุษย์มีเพียงถ้อยคำที่ไม่แน่นอนเกี่ยวกับความเชื่อ กระนั้นมนุษย์ก็ยังไม่รู้ว่าความเชื่อประกอบขึ้นด้วยอะไร นับประสาอะไรที่จะรู้ว่าเหตุใดเขาจึงมีความเชื่อ  มนุษย์เข้าใจน้อยเกินไป และมนุษย์เองขาดพร่องมากเกินไป ความเชื่อในเราของเขาเป็นแต่เพียงเรื่องไร้เหตุผลและไม่รู้เท่าทัน  ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าความเชื่อคืออะไร อีกทั้งไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงมีความเชื่อในเรา แต่เขายังคงเชื่อในเราอย่างหมกมุ่น  สิ่งที่เราขอจากมนุษย์ไม่ใช่เพียงให้เขาเรียกหาเราอย่างหมกมุ่นในหนทางนี้ หรือให้เชื่อในเราแบบจับจด เพราะงานที่เราทำคือทำเพื่อให้มนุษย์อาจจะมองเห็นเราได้ และรู้จักเรา ไม่ใช่เพื่อให้มนุษย์ประทับใจและมองมาที่เราในความสว่างแบบใหม่  ครั้งหนึ่ง เราได้สำแดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ทั้งหลายและได้ทำการอัศจรรย์ทั้งหลายมากมาย และชาวพวกอิสราเอลในสมัยนั้นได้แสดงความเลื่อมใสอย่างมากต่อเราและเคารพความสามารถพิเศษของเราในการรักษาคนป่วยและไล่ปีศาจอย่างยิ่ง  ในสมัยนั้น พวกยิวคิดว่าฤทธานุภาพแห่งการรักษาของเราเป็นความเก่งกาจ พิเศษเหนือธรรมดา—และเนื่องจากกิจการมากมายของเรา  พวกเขาเคารพเราทุกคน และรู้สึกเลื่อมใสอย่างยิ่งต่อฤทธานุภาพทั้งปวงของเรา  ด้วยเหตุนี้ ทุกคนที่ได้เห็นเราทำการอัศจรรย์ได้ติดตามเราอย่างใกล้ชิด จนถึงขนาดที่มีคนหลายพันรายล้อมเราเพื่อดูเรารักษาคนป่วย  เราได้สำแดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์มากมายหลายประการ ทว่าผู้คนเพียงมองว่าเราเป็นแพทย์ที่เก่งกาจเท่านั้น ดังนั้น เราจึงได้พูดถ้อยคำแห่งการสอนมากมายแก่ผู้คนในสมัยนั้นด้วยเช่นกัน ทว่าพวกเขาก็เพียงถือว่าเราเป็นครูที่เหนือกว่าศิษย์ของเขาเท่านั้น  แม้แต่ปัจจุบัน หลังจากที่พวกมนุษย์ได้เห็นบันทึกทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับงานของเรา พวกเขาก็ยังคงแปลความหมายให้เป็นว่าเราคือแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่รักษาคนป่วย และเป็นครูของคนที่ไม่รู้เท่าทัน  และพวกเขาได้นิยามเราว่าเป็นองค์พระเยซูคริสต์เจ้าผู้ทรงเมตตา  บรรดาผู้ที่แปลความหมายคัมภีร์อาจมีทักษะเหนือกว่าทักษะของเราในการรักษา หรือแม้แต่อาจจะเป็นศิษย์ที่ตอนนี้เก่งเกินกว่าครูของพวกเขา ทว่าพวกมนุษย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเช่นนั้น ซึ่งมีผู้รู้จักชื่อของเขาไปทั่วโลก ก็พิจารณาเราอย่างต่ำต้อยว่าเป็นแค่แพทย์คนหนึ่งเท่านั้น  กิจการของเรามีมากกว่าจำนวนของเม็ดทรายบนชายหาด และปัญญาของเราเหนือกว่าบุตรชายทั้งหมดของซาโลมอน กระนั้นผู้คนก็เพียงคิดว่าเราเป็นแพทย์ที่ไม่มีความสำคัญและเป็นครูที่ไม่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของมนุษย์เท่านั้น  ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่เราอาจจะได้รักษาพวกเขาเท่านั้น  ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่เราอาจจะได้ใช้ฤทธานุภาพของเราขับวิญญาณสกปรกออกจากร่างของพวกเขาเท่านั้น และผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงแค่ว่าพวกเขาอาจจะได้รับสันติสุขและความชื่นบานยินดีจากเรา  ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อเรียกร้องทรัพย์สมบัติทางวัตถุจากเราให้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น  ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตนี้อย่างสันติสุขและเพื่อที่จะอยู่อย่างปลอดภัยคลายกังวลในโลกที่จะมาถึง  ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์จากนรกและเพื่อได้รับพรจากสวรรค์  ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อสิ่งชูใจชั่วคราวเท่านั้น แต่ไม่ได้พยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งใดในโลกที่จะมาถึง  เมื่อเราได้ปล่อยความโกรธเคืองต่อมนุษย์ของเราออกมาและได้ยึดเอาความชื่นบานยินดีและสันติสุขที่พวกเขาเคยมีไป มนุษย์ก็กลับคลางแคลงใจ  เมื่อเราได้ให้ความทุกข์จากนรกแก่มนุษย์และได้เอาพรจากสวรรค์กลับคืน ความละอายของมนุษย์ก็เปลี่ยนเป็นความโกรธ  เมื่อมนุษย์ได้ขอให้เรารักษาเขา แต่เราไม่ได้ให้ความสนใจและรู้สึกชิงชังต่อเขา มนุษย์ได้ออกห่างจากเราเพื่อแสวงหาวิธีการของยาและวิทยาคมอันชั่วร้ายแทน  เมื่อเราได้เอาทุกอย่างที่มนุษย์เรียกร้องจากเรากลับไป ทุกคนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย  ด้วยเหตุนี้ เราจึงบอกว่ามนุษย์มีความเชื่อในเราเพราะเราให้พระคุณมากเกินไป และมีมากเกินไปที่จะได้รับ  พวกยิวได้เชื่อในเราเนื่องจากพระคุณของเราและได้ติดตามเราไม่ว่าเราจะไปที่ใด คนที่ไม่รู้เท่าทันที่มีความรู้และประสบการณ์จำกัดเหล่านี้พยายามเพียงแค่จะได้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่เราสำแดงออกมาเท่านั้น  พวกเขาถือว่าเราเป็นหัวหน้าวงศ์ของพวกยิวผู้ที่สามารถทำการอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ที่สุดได้  และดังนั้น เมื่อเราได้ขับไล่ปีศาจออกจากพวกมนุษย์ นั่นทำให้เกิดการสนทนากันมากในหมู่พวกเขา นั่นคือ พวกเขาได้พูดกันว่าเราคือเอลียาห์ ว่าเราคือโมเสส ว่าเราคือผู้เผยพระวจนะคนเก่าแก่ที่สุดในบรรดาผู้เผยพระวจนะทั้งปวง ว่าเราคือแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาแพทย์ทั้งปวง นอกเหนือจากที่ตัวเราเองพูดว่า เราคือชีวิต คือวิถี คือความจริงแล้วนั้น ไม่มีใครสามารถรู้จักการเป็นอยู่ของเราหรือตัวตนของเราได้เลย  นอกเหนือจากที่ตัวเราเองพูดว่า ฟ้าสวรรค์คือสถานที่ซึ่งพระบิดาของเราดำรงพระชนม์แล้วนั้น ไม่มีใครได้รู้เลยว่าเราคือบุตรของพระเจ้า และคือพระเจ้าพระองค์เองด้วย  นอกเหนือจากที่ตัวเราเองพูดว่า เราจะนำการไถ่มาให้แก่มวลมนุษย์ทั้งปวงและไถ่มวลมนุษย์แล้วนั้น ไม่มีใครได้รู้เลยว่าเราคือพระผู้ไถ่ของมวลมนุษย์ และพวกมนุษย์ได้รู้จักเราว่าเป็นคนใจบุญและมีความเมตตาเท่านั้น  และนอกเหนือจากที่ตัวเราเองสามารถอธิบายสิ่งทั้งปวงที่มีเกี่ยวกับเราแล้วนั้น ไม่มีใครได้รู้จักเรา และไม่มีใครได้เชื่อว่าเราคือบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์  ด้วยเหตุนี้คือความเชื่อของผู้คนในตัวเรา และวิธีที่พวกเขาพยายามจะหลอกลวงเรา พวกเขาจะสามารถเป็นพยานต่อเราได้อย่างไรในเมื่อพวกเขามีทรรศนะเช่นนั้นกับเรา?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความเชื่อ?

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 323

ผู้คนเชื่อในพระเจ้ามานาน ถึงกระนั้นพวกเขาส่วนใหญ่ไม่มีความเข้าใจว่าคำว่า “พระเจ้า” หมายถึงอะไร และเพียงติดตามด้วยความว้าวุ่นสับสนเท่านั้น  พวกเขาไม่รู้เลยว่าเหตุใดกันแน่ที่มนุษย์ควรเชื่อในพระเจ้า หรือว่าพระเจ้าทรงเป็นอะไร  หากผู้คนรู้เพียงที่จะเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระองค์เท่านั้น แต่ไม่รู้ในสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็น และหากพวกเขาไม่รู้จักพระเจ้าด้วยแล้วไซร้ เช่นนี้จะไม่นับเป็นเรื่องชวนขันขนานใหญ่หรอกหรือ?  แม้ว่าได้มาไกลถึงขนาดนี้แล้ว ผู้คนได้เคยเป็นพยานถึงข้อความล้ำลึกแห่งสวรรค์หลายอย่าง ทั้งยังเคยได้ยินเรื่องความรู้อันลุ่มลึกที่มนุษย์ไม่เคยเข้าใจมาแล้วก็มาก แต่พวกเขาก็รู้ไม่เท่าทันถึงความจริงพื้นฐานที่สุดหลายประการซึ่งมนุษย์ไม่เคยไตร่ตรองมาก่อน  บางคนอาจกล่าวว่า “พวกเราเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี  เราจะไม่รู้ในสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็นได้อย่างไร?  คำถามนี้ไม่ดูเบาพวกเราไปหน่อยหรือ?”  อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงนั้น แม้ผู้คนจะติดตามเราในวันนี้ พวกเขากลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับงานใดๆ ของเราในวันนี้เลย ทั้งยังล้มเหลวในการจับความเข้าใจแม้แต่คำถามที่ชัดเจนและง่ายที่สุด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคำถามต่างๆ ที่ซับซ้อนมากๆ อย่างบรรดาคำถามที่เกี่ยวกับพระเจ้าเลย  จงรู้เถิดว่าบรรดาคำถามที่เจ้าไม่ใส่ใจ ที่เจ้าไม่เคยระบุถึงนั้นคือคำถามที่สำคัญที่สุดซึ่งเจ้าต้องเข้าใจ นั่นเพราะว่าเจ้ารู้จักแต่การติดตามหมู่คนเท่านั้น โดยไม่สนใจและไม่ใส่ใจว่าเจ้าควรจะเตรียมตนเองให้พร้อมในเรื่องใดบ้าง  เจ้ารู้อย่างแท้จริงหรือว่าเหตุใดเจ้าจึงควรมีความเชื่อในพระเจ้า?  เจ้ารู้จริงๆ หรือในสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็น?  เจ้ารู้อย่างแท้จริงหรือในสิ่งที่มนุษย์เป็น?  ในฐานะบุคคลหนึ่งซึ่งมีความเชื่อในพระเจ้า หากเจ้าล้มเหลวที่จะเข้าใจในสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เจ้าก็ไม่ได้หมดสิ้นศักดิ์ศรีของผู้เชื่อในพระเจ้าหรอกหรือ?  งานของเราในวันนี้คือ การทำให้ผู้คนเข้าใจแก่นแท้ของพวกเขา เข้าใจสิ่งทั้งสิ้นที่เราทำ และรู้จักพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า  นี่เป็นปฏิบัติการปิดท้ายของแผนการบริหารจัดการของเรา ช่วงระยะสุดท้ายของงานของเรา  นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราจึงบอกพวกเจ้าล่วงหน้าเรื่องความล้ำลึกทั้งสิ้นของชีวิต เพื่อที่พวกเจ้าจะสามารถยอมรับมันจากเราได้  เมื่อสิ่งนี้คืองานแห่งยุคสุดท้าย เราจึงต้องบอกพวกเจ้าถึงความจริงชีวิตทั้งปวงที่พวกเจ้าไม่เคยเปิดใจรับมาก่อน แม้ว่าพวกเจ้าไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจหรือทนรับสิ่งนี้ได้เนื่องจากการที่เพียงขาดตกบกพร่องเกินไปและมีความพร้อมในตัวน้อยเกินไป  เราจะสรุปปิดตัวงานของเรา นั่นก็คือเราจะทำงานที่เราควรทำให้เสร็จสิ้นเสียก่อน และจะบอกพวกเจ้าถึงเรื่องทั้งหมดที่เราได้บัญชาให้พวกเจ้าทำ เพื่อไม่ให้พวกเจ้าหลงผิดและพลัดตกลงไปในกลอุบายของมารอีกเมื่อความมืดมิดเคลื่อนตัวลงมา  มีหลายหนทางที่พวกเจ้าไม่เข้าใจ หลายเรื่องที่พวกเจ้าไม่มีความรู้เอาเสียเลย  พวกเจ้าช่างไม่รู้เท่าทันยิ่งนัก เรารู้อยู่เต็มเปี่ยมถึงวุฒิภาวะของพวกเจ้าและข้อบกพร่องต่างๆ ของพวกเจ้า  เพราะฉะนั้น แม้มีหลายถ้อยคำที่พวกเจ้าไม่สามารถเข้าใจ เราก็ยังเต็มใจจะบอกพวกเจ้าถึงความจริงทั้งหมดเหล่านี้ที่พวกเจ้าไม่เคยเปิดใจรับมาก่อน นั่นเพราะเรากังวลอยู่ตลอดเวลาว่าด้วยวุฒิภาวะของพวกเจ้าในขณะนี้ พวกเจ้าจะสามารถยืนหยัดในคำพยานของเจ้าที่มีต่อเราได้หรือไม่  หาใช่ว่าเราคิดว่าพวกเจ้ามีค่าเพียงเล็กน้อยไม่ พวกเจ้าทั้งหมดคือสัตว์ร้ายที่ยังต้องก้าวผ่านการฝึกฝนอย่างเป็นทางการของเรา และเรามิอาจมองเห็นได้โดยสิ้นเชิงว่ามีเกียรติยศมากเพียงใดภายในพวกเจ้า  แม้ว่าเราได้สละพลังงานไปอย่างมากในการทำงานกับพวกเจ้า ดูเหมือนว่าองค์ประกอบที่เป็นบวกในพวกเจ้านั้นจะไม่มีอยู่จริงในทางปฏิบัติ และองค์ประกอบที่เป็นลบก็มีเพียงนับนิ้วได้และเป็นได้แค่คำพยานที่ทำให้ซาตานละอายใจเท่านั้น  อย่างอื่นแทบทุกอย่างในตัวพวกเจ้าคือพิษของซาตาน  พวกเจ้ามองดูเราราวกับว่าพวกเจ้าอยู่เหนือความรอด  เมื่อเรื่องราวต่างๆ ยืนยันเช่นนี้ เรามองดูการแสดงออกและอากัปกิริยานานาสารพันของพวกเจ้า แล้วในที่สุดเราก็รู้วุฒิภาวะที่แท้จริงของพวกเจ้า  นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราจึงวิตกกังวลในเรื่องพวกเจ้าอยู่เสมอ เมื่อถูกทิ้งให้ใช้ชีวิตตามลำพังแบบนี้ มนุษย์จะดีขึ้นกว่าวันนี้จริงๆ หรือแค่พอๆ กับที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้หนอ?  วุฒิภาวะดุจทารกของพวกเจ้าไม่ทำให้พวกเจ้ากระวนกระวายเลยหรอกหรือ?  พวกเจ้าจะสามารถเป็นเหมือนคนอิสราเอลที่เราเลือกสรร—คนที่จงรักภักดีต่อเรา และต่อเราเพียงผู้เดียวตลอดเวลาได้จริงๆ หรือไม่?  สิ่งที่ถูกเปิดเผยในพวกเจ้านั้นหาใช่ความประพฤติผิดของเด็กๆ ที่ได้หลงผิดไปจากพ่อแม่ไม่ แต่เป็นความเดียรัจฉานที่ระเบิดออกมาจากสัตว์ที่แส้ของนายมันเฆี่ยนไม่ถึง  พวกเจ้าพึงรู้จักธรรมชาติของตนเอง อันเป็นจุดอ่อนที่พวกเจ้ามีร่วมกัน มันคือความเจ็บป่วยที่พวกเจ้าทุกคนรู้จักกันดี  ดังนั้น การเตือนสติเดียวที่เราจะมอบแก่พวกเจ้าในวันนี้คือ จงยืนหยัดในคำพยานที่เจ้ามีต่อเราไม่ว่าจะอยู่ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมใดๆ จงอย่าให้ความเจ็บป่วยเดิมกำเริบขึ้นมาอีก  การเป็นคำพยานนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด—มันคือหัวใจแห่งงานของเรา  พวกเจ้าควรยอมรับวจนะของเราเช่นเดียวกับที่มารีย์ยอมรับวิวรณ์ของพระยาห์เวห์ที่มาถึงเธอในความฝันโดยการเชื่อและตามด้วยการเชื่อฟัง  เพียงเช่นนี้เท่านั้นจึงมีคุณสมบัติของการเป็นผู้รักษาพรหมจรรย์  เนื่องจากพวกเจ้าเป็นผู้ที่ได้ยินวจนะของเรามากที่สุด จึงเป็นผู้ที่ได้รับพรจากเรามากที่สุด  เราได้มอบสิ่งครองที่มีค่าทั้งหมดที่เรามีให้แก่พวกเจ้า เราได้มอบทุกสิ่งแก่พวกเจ้าไปแล้ว ถึงกระนั้นพวกเจ้าช่างมีสถานภาพที่แตกต่างอย่างมหาศาลเหลือเกินกับคนอิสราเอล พวกเจ้าช่างต่างกันคนละโลกเลยทีเดียว  แต่เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขาแล้ว พวกเจ้าได้รับมากกว่าอย่างมากมาย ในขณะที่พวกเขาเฝ้ารอคอยการปรากฏของเราอย่างแทบขาดใจ พวกเจ้ากลับผ่านวันอันน่ายินดีไปกับเรา และแบ่งปันความไพบูลย์ของเรา  ในเมื่อมีความแตกต่างกันมากเช่นนี้ เจ้ามีสิทธิ์อันใดหรือที่จะพร่ำบ่นปาวๆ และต่อล้อต่อเถียงกับเรา และเรียกร้องส่วนแบ่งในสิ่งที่เราครอง?  พวกเจ้ายังได้รับไม่มากหรอกหรือ?  เราให้พวกเจ้ามากมาย แต่สิ่งที่พวกเจ้าตอบแทนเรามีแต่ความโศกเศร้าร้าวใจและความวิตกกังวล ความคับแค้นใจและความไม่พอใจที่มิอาจข่มได้เท่านั้นเอง  พวกเจ้าช่างน่ารังเกียจเดียดฉันท์เหลือเกิน—แต่ทว่าก็น่าสงสารอยู่เช่นกัน ดังนั้น เราจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกล้ำกลืนความคับแค้นใจทั้งหมดของเราเอาไว้และเปล่งเสียงแสดงความโต้แย้งของเราต่อเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า  กว่าหลายพันปีของงาน เราไม่เคยท้วงติงตัดพ้อต่อมวลมนุษย์ เพราะเราได้ค้นพบว่า ตลอดพัฒนาการของมนุษยชาตินั้น มีเพียง “กลลวง” ท่ามกลางพวกเจ้าเท่านั้นที่กลายมาเป็นที่รู้จักมากที่สุด เสมือนมรดกล้ำค่าที่ตกทอดมาสู่พวกเจ้าโดยบรรพบุรุษผู้มีชื่อเสียงในบรรพกาล  เราเกลียดชังพวกลูกผสมสุกรและสุนัขที่คล้ายมนุษย์เต็มที  พวกเจ้าช่างไร้มโนธรรมอะไรเช่นนี้หนอ!  พวกเจ้าช่างมีบุคลิกลักษณะที่ต่ำช้าเกินไป!  หัวใจของพวกเจ้าช่างแข็งกระด้างเกินไป!  หากเราเอาวจนะเหล่านั้นและงานที่เราทำไปให้แก่คนอิสราเอล เราคงได้รับสง่าราศีไปเนิ่นนานแล้ว  ทว่าท่ามกลางพวกเจ้า เรื่องนี้กลับมิอาจบรรลุถึงได้ ท่ามกลางพวกเจ้านั้น มีเพียงความเพิกเฉยอย่างโหดร้าย มีเพียงท่าทียักไหล่อย่างไม่นำพาของพวกเจ้าและข้ออ้างมากมายของพวกเจ้า พวกเจ้าช่างไร้ความรู้สึกเกินไปและไร้ค่าอย่างถึงที่สุด!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, อะไรคือความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้า?

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 324

บัดนี้พวกเจ้าทุกคนควรเข้าใจความหมายที่แท้จริงของความเชื่อในพระเจ้า ความหมายของความเชื่อในพระเจ้าซึ่งเราได้เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการเข้าสู่ในเชิงบวกของพวกเจ้า วันนี้แตกต่างออกไป: วันนี้เราต้องการวิเคราะห์เนื้อแท้ของความเชื่อในพระเจ้าของพวกเจ้า แน่นอนว่า นี่เป็นการชี้นำพวกเจ้าจากแง่มุมเชิงลบ หากเราไม่ได้ทำเช่นนั้น พวกเจ้าก็คงไม่มีทางรู้จักใบหน้าที่แท้จริงของพวกเจ้าเอง และคงจะอวดตัวในความเคร่งครัดศรัทธาและความสัตย์ซื่อของเจ้าไปตลอดกาล มันยุติธรรมที่จะพูดว่าหากเราไม่ได้เปิดโปงความน่าเกลียดในส่วนลึกของหัวใจของพวกเจ้าออกมา เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าแต่ละคนก็คงจะวางมงกุฎไว้บนหัวของเจ้าและเก็บความรุ่งโรจน์ทั้งหมดไว้เพื่อตัวพวกเจ้าเอง ธรรมชาติอันโอหังและทะนงตนของพวกเจ้าขับดันพวกเจ้าให้ทรยศต่อมโนธรรมของเจ้าเอง ให้ต่อต้านและเป็นกบฏต่อพระคริสต์ และเปิดเผยความอัปลักษณ์ของพวกเจ้าออกมา ด้วยเหตุนั้น เจตนา มโนคติที่หลงผิด ความอยากอันฟุ้งเฟ้อและดวงตาที่เต็มไปด้วยความโลภของพวกเจ้าจึงถูกนำมาเผยให้รู้ทั่วกัน และกระนั้นพวกเจ้าก็ยังคงพูดพร่ำต่อไปเกี่ยวกับความปรารถนาอันแรงกล้าของเจ้าที่มีมาตลอดชีวิตเพื่อพระราชกิจของพระคริสต์ และพร่ำพูดความจริงที่พระคริสต์ตรัสไว้นานมาแล้วซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่คือ “ความเชื่อ” ของพวกเจ้า—“ความเชื่อที่ปราศจากราคี” ของพวกเจ้า เราได้ยึดมนุษย์ไว้กับมาตรฐานที่เคร่งครัดมาโดยตลอด หากความจงรักภักดีของเจ้ามาพร้อมกับเจตนาและสภาพเงื่อนไขนานาสารพัน เช่นนั้นแล้วเราน่าจะอยู่โดยปราศจากสิ่งที่เรียกว่าความจงรักภักดีของเจ้าจะดีเสียกว่า เพราะเราชิงชังพวกที่หลอกลวงเราผ่านเจตนาทั้งหลายของพวกเขาและบีบคั้นเราด้วยสภาพเงื่อนไขนานาสารพัน เราหวังเพียงให้มนุษย์นั้นจงรักภักดีต่อเราอย่างบริบูรณ์ และให้ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประโยชน์—และเพื่อพิสูจน์—คำๆเดียว นั่นก็คือความเชื่อ เราดูหมิ่นการใช้คำประจบสอพลอทั้งหลายของพวกเจ้าเพื่อพยายามทำให้เราชื่นบาน เพราะเรานั้นปฏิบัติต่อพวกเจ้าด้วยความจริงใจเสมอมา และดังนั้นจึงหวังให้พวกเจ้าปฏิบัติต่อเราด้วยความเชื่อที่แท้จริงเช่นเดียวกัน เมื่อพูดถึงความเชื่อคนจำนวนมากอาจคิดว่าพวกเขาติดตามพระเจ้าเพราะพวกเขามีความเชื่อ และหากไม่เช่นนั้นแล้ว คงจะไม่สู้ทนต่อความทุกข์เช่นนั้น ดังนั้นเราจึงถามคำถามนี้กับเจ้าว่าหากเจ้าเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า เหตุใดเจ้าจึงไม่เคารพพระองค์? หากเจ้าเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า ทำไมจึงไม่มีความยำเกรงพระองค์แม้แต่น้อยในหัวใจของเจ้า? เจ้ายอมรับว่าพระคริสต์คือพระเจ้าที่จุติมาบังเกิด เช่นนั้นแล้ว ทำไมเจ้าจึงถือว่าพระองค์น่าเหยียดหยาม? เหตุใดเจ้าจึงปฏิบัติต่อพระองค์อย่างไม่เคารพ? เหตุใดเจ้าจึงตัดสินพระองค์อย่างเปิดเผย? เหตุใดเจ้าจึงคอยสอดแนมความเคลื่อนไหวของพระองค์เสมอ? เหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมนบนอบต่อการจัดการเตรียมการต่างๆ ของพระองค์? เหตุใดเจ้าจึงไม่ปฏิบัติอย่างสอดคล้องกับพระวจนะของพระองค์? เหตุใดเจ้าจึงพยายามที่จะบีบคั้นพระองค์และปล้นเครื่องบูชาของพระองค์ไปจากพระองค์? เหตุใดเจ้าจึงพูดแทนพระคริสต์? เหตุใดเจ้าจึงตัดสินว่าพระราชกิจของพระองค์และพระวจนะของพระองค์นั้นถูกต้องหรือไม่? เหตุใดเจ้าจึงกล้าหมิ่นประมาทพระองค์ลับหลังพระองค์? สิ่งเหล่านี้และสิ่งอื่นๆ คือสิ่งที่ประกอบขึ้นเป็นความเชื่อของเจ้าอย่างนั้นหรือ?

ในวาจาและพฤติกรรมของพวกเจ้านั้นคือองค์ประกอบของความไม่เชื่อในพระคริสต์ของพวกเจ้าที่ถูกเปิดเผยออกมา ความไม่เชื่อแผ่ซ่านไปทั่วสิ่งจูงใจและวัตถุประสงค์ทั้งหลายของทั้งหมดที่พวกเจ้าทำ แม้แต่บุคลิกลักษณะของการเพ่งมองของเจ้าก็ยังบรรจุไปด้วยความไม่เชื่อในพระคริสต์ อาจกล่าวได้ว่าในทุกๆ นาที พวกเจ้าแต่ละคนเก็บงำองค์ประกอบของความไม่เชื่อเอาไว้ นี่หมายความว่าในทุกชั่วขณะพวกเจ้าอยู่ในอันตรายจากการทรยศต่อพระคริสต์ เพราะโลหิตที่แล่นไปทั่วร่างกายของพวกเจ้านั้นซึมซ่านไปด้วยความไม่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นเราจึงกล่าวว่ารอยเท้าที่พวกเจ้าทิ้งไว้บนเส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้าไม่เป็นจริง ขณะที่พวกเจ้าเดินไปบนเส้นทางของความเชื่อในพระเจ้า เจ้าไม่ได้วางเท้าของเจ้าบนพื้นดินอย่างหนักแน่น—เจ้าเพียงแค่ทำท่าไปอย่างนั้น พวกเจ้าไม่เคยเชื่อในพระวจนะของพระคริสต์อย่างสุดใจและไม่สามารถนำพระวจนะไปปฏิบัติได้ในทันที นี่คือเหตุผลที่พวกเจ้าไม่มีความเชื่อในพระคริสต์ การมีมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระองค์เสมอเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พวกเจ้าไม่มีความเชื่อในพระองค์ การเคลือบแคลงสงสัยตลอดกาลเกี่ยวกับพระราชกิจของพระคริสต์ การปล่อยให้พระวจนะของพระคริสต์เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา การแสดงความเห็นเกี่ยวกับพระราชกิจอะไรก็ตามที่พระคริสต์ทรงกระทำและการไม่สามารถเข้าใจพระราชกิจของพระองค์ได้อย่างถูกต้อง การดิ้นรนที่จะกันเก็บมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเอาไว้ไม่ว่าเจ้าจะได้รับการอธิบายใดก็ตาม เป็นต้น ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นองค์ประกอบของความไม่เชื่อที่ระคนอยู่ภายในใจของพวกเจ้า แม้ว่าพวกเจ้าจะติดตามพระราชกิจของพระคริสต์และไม่เคยล้าหลังเลยก็ตาม แต่ก็มีความเป็นกบฏเคล้าอยู่ในใจของพวกเจ้ามากเกินไป ความเป็นกบฏนี้เป็นราคีอย่างหนึ่งในความเชื่อของเจ้าในพระเจ้า บางทีพวกเจ้าไม่ได้คิดว่านี่เป็นกรณีปัญหา แต่หากเจ้าไม่สามารถระลึกรู้เจตนาของพวกเจ้าซึ่งมาจากภายในสิ่งนี้ได้ ถ้าอย่างนั้นแล้วเจ้าก็มีแนวโน้มที่จะไปอยู่ท่ามกลางพวกที่พินาศ เพราะพระเจ้าทรงทำให้มีความเพียบพร้อมเฉพาะบรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์อย่างแท้จริงเท่านั้น ไม่ใช่บรรดาผู้ที่เคลือบแคลงสงสัยในพระองค์ และที่น้อยที่สุดก็คือบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์อย่างอิดออดทั้งที่ไม่เคยเชื่อว่าพระองค์คือพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าที่แท้จริงหรือไม่?

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 325

ผู้คนบางคนไม่ได้ชื่นบานในความจริง นับประสาอะไรกับคำพิพากษา แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับชื่นบานในอำนาจและความมั่งคั่ง ผู้คนเช่นนั้นเรียกกันว่าผู้แสวงหาอำนาจ พวกเขาค้นหาเฉพาะบรรดานิกายในโลกที่มีอิทธิพล และพวกเขาก็ค้นหาเฉพาะบรรดาศิษยาภิบาลและคณาจารย์ที่มาจากโรงเรียนสอนศาสนาทั้งหลาย แม้ว่าพวกเขาจะได้ยอมรับหนทางแห่งความจริงแล้ว พวกเขาก็เชื่อเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถให้หัวใจและจิตใจของพวกเขาได้ทั้งหมด ปากของพวกเขาพูดถึงการสละตัวพวกเขาเองเพื่อพระเจ้า แต่สายตาของพวกเขากลับจดจ่ออยู่ที่บรรดาศิษยาภิบาลและคณาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ และพวกเขาก็ไม่ได้ชายตามองมาที่พระคริสต์อีกเลย หัวใจของพวกเขาหมกมุ่นอยู่กับชื่อเสียง ความมีโชคและความรุ่งโรจน์ พวกเขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่บุคคลตัวเล็กๆ เช่นนั้นจะสามารถพิชิตได้มากมายขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาไม่มีอะไรน่าสนใจอย่างนั้นจะสามารถทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมได้ พวกเขาคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่พวกนอกสายตาเหล่านี้ท่ามกลางฝุ่นและกองขยะจะเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พวกเขาเชื่อว่าหากผู้คนเช่นนั้นคือวัตถุแห่งความรอดของพระเจ้า ถ้าอย่างนั้นแล้วสวรรค์และโลกก็คงจะกลับด้านกัน และผู้คนทุกคนก็คงจะหัวเราะจนท้องแข็ง พวกเขาเชื่อว่าหากพระเจ้าทรงเลือกสรรพวกนอกสายตานั้นเพื่อที่จะทำให้มีความเพียบพร้อมถ้าอย่างนั้นแล้วบรรดามนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายก็คงจะกลายเป็นพระเจ้าไปเสียเอง มุมมองของพวกเขานั้นด่างพร้อยไปด้วยการไม่เชื่อเกินกว่าที่กำลังไม่เชื่อ พวกเขาเป็นแค่สัตว์ป่าที่วิปริตผิดแปลก เพราะว่าพวกเขาเห็นคุณค่าเฉพาะสถานภาพเกียรติยศและอำนาจเท่านั้น และพวกเขาก็เคารพนับถือเฉพาะบรรดากลุ่มและนิกายใหญ่ๆ เท่านั้น พวกเขาไม่ได้มีความนับถือสำหรับบรรดาผู้ที่ได้รับการทรงนำโดยพระคริสต์แม้แต่น้อย พวกเขาเป็นแค่เหล่าคนทรยศที่หันหลังให้กับพระคริสต์ กับความจริง และกับชีวิต

สิ่งที่เจ้าเลื่อมใสนั้นไม่ใช่ความถ่อมใจของพระคริสต์ แต่เป็นบรรดาผู้เลี้ยงเทียมเท็จที่มีตำแหน่งอันโดดเด่นเหล่านั้น เจ้าไม่ได้ชื่นชมบูชาความดีงามหรือพระปัญญาของพระคริสต์ แต่เป็นพวกคนหลงระเริงที่เกลือกกลิ้งในความโสมมของโลก เจ้าหัวเราะให้กับความเจ็บปวดของพระคริสต์ที่ไม่มีที่จะวางพระเศียรของพระองค์ แต่เจ้ากลับเลื่อมใสบรรดาซากศพเหล่านั้นที่ตามล่าหาของถวายและใช้ชีวิตอยู่กับความเสเพล เจ้าไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์เคียงข้างพระคริสต์ แต่เจ้ากลับเปรมปรีดิ์ที่จะโผเข้าสู่อ้อมแขนของพวกต่อต้านพระคริสต์ที่บ้าบิ่นสิ้นคิดเหล่านั้น แม้พวกเขาจะจัดหาให้เจ้าเพียงแค่เนื้อหนัง คำพูดและการควบคุม แม้ว่าบัดนี้หัวใจของเจ้ายังคงหันเข้าหาพวกเขา เข้าหาความมีหน้ามีตาของพวกเขา เข้าหาสถานภาพของพวกเขา เข้าหาอิทธิพลของพวกเขา และกระนั้นเจ้าก็ยังคงสงวนท่าทีที่ทำให้เจ้าพบว่าพระราชกิจของพระคริสต์นั้นยากที่จะกลืนลง และเจ้าก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับพระราชกิจนั้น  นี่คือเหตุผลที่ทำไมเราจึงกล่าวว่าเจ้าขาดความเชื่อที่จะยอมรับพระคริสต์ เหตุผลที่เจ้าได้ติดตามพระองค์มาจนถึงวันนี้ก็เพียงเพราะเจ้าไม่มีทางเลือกอื่น  ภาพลักษณ์อันสูงส่งเป็นชุดๆ ตั้งตระหง่านอยู่ในหัวใจของเจ้าตลอดกาล เจ้าไม่อาจลืมทั้งวาจาและความประพฤติทุกอย่างของพวกเขา และคำพูดกับมือที่มีอิทธิพลของพวกเขาได้ ในหัวใจของพวกเจ้านั้น พวกเขาคือผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดตลอดกาลและเหล่าวีรบุรุษตลอดกาล แต่นี่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นสำหรับพระคริสต์ในวันนี้ พระองค์ไม่มีนัยสำคัญตลอดกาลในหัวใจของเจ้าและไม่คู่ควรที่จะได้รับความเคารพตลอดกาล เพราะพระองค์นั้นทรงมีความเป็นธรรมดาเกินไปมาก ทรงมีอิทธิพลน้อยเกินไปมาก และห่างไกลจากคำว่าสูงส่ง

ไม่ว่าในกรณีใด เราพูดเลยว่า ผู้คนทุกคนที่ไม่ได้เห็นคุณค่าของความจริงคือพวกที่ไม่เชื่อและพวกที่หักหลังความจริง  พวกมนุษย์เช่นนั้นจะไม่มีวันได้รับการยอมรับจากพระคริสต์  บัดนี้เจ้าได้ระบุหรือยังว่ามีความไม่เชื่อมากเพียงใดอยู่ภายในตัวเจ้า และเจ้ามีการทรยศต่อพระคริสต์มากเพียงใด? เราเคี่ยวเข็ญเจ้าดังนี้ว่า เนื่องจากเจ้าได้เลือกหนทางแห่งความจริงเช่นนั้นแล้วเจ้าจึงควรอุทิศตัวเจ้าเองโดยสุดหัวใจ จงอย่าลังเลหรือไม่เต็มใจ  เจ้าควรเข้าใจว่าพระเจ้าไม่ได้เป็นของโลกหรือบุคคลหนึ่งบุคคลใด แต่เป็นของผู้คนทุกคนที่เชื่อในพระองค์อย่างแท้จริง ผู้คนทุกคนที่นมัสการพระองค์ และผู้คนทุกคนที่อุทิศตนและสัตย์ซื่อต่อพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าที่แท้จริงหรือไม่?

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 326

ในความเชื่อของพวกเขานั้น ผู้คนพยายามทำให้พระเจ้าประทานบั้นปลายที่เหมาะสมและพระคุณทั้งหมดที่พวกเขาจำเป็นต้องมีให้แก่พวกเขา ทำให้พระองค์เป็นผู้รับใช้ของพวกเขา ทำให้พระองค์ทรงธำรงรักษาสัมพันธภาพอันสงบสุขเป็นมิตรกับพวกเขา เพื่อให้ไม่มีวันมีความขัดแย้งอันใดเลยระหว่างพวกเขาไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม นั่นก็คือ การเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาเรียกร้องให้พระองค์ทรงสัญญาที่จะสนองตอบข้อพึงประสงค์ทั้งหมดของพวกเขา และประทานสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาอธิษฐานขอให้แก่พวกเขา โดยเป็นไปตามพระวจนะที่พวกเขาได้อ่านในพระคัมภีร์ว่า “เราจะรับฟังคำอธิษฐานทั้งหมดของพวกเจ้า” พวกเขาคาดหวังให้พระเจ้าไม่ทรงพิพากษาหรือจัดการผู้ใด เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเยซู พระผู้ช่วยให้รอดผู้เปี่ยมปรานีเสมอมา ผู้ซึ่งรักษาสัมพันธภาพอันดีกับผู้คนในทุกเวลาและทุกสถานที่  วิธีที่ผู้คนเชื่อในพระเจ้าอยู่ตรงนี้ กล่าวคือ พวกเขาเพียงสร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้าอย่างหน้าไม่อาย โดยเชื่อว่า ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นกบฏหรือเชื่อฟังก็ตาม พระองค์คงจะทรงแค่ปิดพระเนตรพระกรรณประทานทุกสิ่งให้พวกเขา พวกเขาก็แค่ “เก็บหนี้” จากพระเจ้าเรื่อยไป โดยเชื่อว่าพระองค์ต้องทรง “ชดใช้คืน” ให้แก่พวกเขาโดยปราศจากการต้านทานอันใด—และที่มากกว่านั้นก็คือ จ่ายเป็นสองเท่า—พวกเขาคิดว่า ไม่ว่าพระเจ้าทรงได้รับสิ่งใดจากพวกเขาหรือไม่ก็ตาม พระองค์ทรงสามารถทำได้เพียงให้พวกเขาบงการเท่านั้น และพระองค์ไม่ทรงสามารถจัดวางเรียบเรียงผู้คนไปตามพระทัยได้ นับประสาอะไรที่จะทรงสามารถเปิดเผยพระปรีชาญาณและพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ซึ่งซ่อนเร้นอยู่นานปีต่อผู้คนยามใดก็ตามที่พระองค์ทรงต้องประสงค์และโดยปราศจากการอนุญาตของพวกเขา พวกเขาก็เพียงสารภาพบาปของพวกเขาต่อพระเจ้า โดยเชื่อว่าพระเจ้าก็คงจะแค่ทรงอภัยบาปให้พวกเขา และเชื่อว่าพระองค์คงจะไม่ทรงเบื่อหน่ายกับการทำเช่นนั้น และเชื่อว่าการนี้จะดำเนินต่อไปตลอดกาล  พวกเขาก็แค่ออกคำสั่งกับพระเจ้า โดยเชื่อว่าพระองค์ก็คงจะแค่ทรงเชื่อฟังพวกเขา เพราะมีบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ว่าพระเจ้าไม่ได้เสด็จมาเพื่อให้พวกมนุษย์รับใช้ แต่เพื่อรับใช้มนุษย์ และที่พระองค์ทรงอยู่ที่นี่ก็เพื่อเป็นผู้รับใช้ของพวกเขา  พวกเจ้าไม่ได้เชื่อในหนทางนี้เสมอมาหรอกหรือ?  เมื่อใดก็ตามที่พวกเจ้าไม่สามารถได้รับบางสิ่งจากพระเจ้า เจ้าก็ปรารถนาที่จะวิ่งหนี เมื่อเจ้าไม่เข้าใจบางสิ่ง เจ้าก็เกิดคับแค้นใจยิ่งนัก และไปไกลถึงขั้นทุ่มคำผรุสวาททุกชนิดใส่พระองค์  พวกเจ้าก็แค่จะไม่ยอมให้พระเจ้าพระองค์เองทรงแสดงพระปรีชาญาณและการมหัศจรรย์ของพระองค์อย่างเต็มที่ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเจ้ากลับแค่ต้องการชื่นชมความสบายและความชูใจชั่วครู่ชั่วยาม  จนถึงตอนนี้ ท่าทีของพวกเจ้าในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเจ้าก็แค่ประกอบด้วยทรรศนะเก่าแก่แบบเดิมเท่านั้น  หากพระเจ้าทรงแสดงให้พวกเจ้าเห็นแค่พระบารมีเพียงแผ่วบาง พวกเจ้าก็กลายเป็นไม่มีความสุข ตอนนี้พวกเจ้ามองเห็นหรือไม่ว่าวุฒิภาวะของพวกเจ้าอยู่ที่ระดับใดกันแน่?  อย่าทึกทักว่าพวกเจ้าทั้งหมดจงรักภักดีต่อพระเจ้า เมื่อในข้อเท็จจริงนั้น ทรรศนะเก่าแก่ทั้งหลายของพวกเจ้ายังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป  เมื่อไม่มีสิ่งใดบังเกิดแก่เจ้า เจ้าก็เชื่อว่าทุกอย่างกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น และความรักที่เจ้ามีแด่พระเจ้าก็ไปถึงจุดสูงส่งจุดหนึ่ง  เมื่อมีบางสิ่งที่เล็กน้อยเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าก็ร่วงหล่นลงไปในแดนคนตาย  นี่คือการจงรักภักดีต่อพระเจ้าอย่างนั้นหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรละวางพรเกี่ยวกับสถานะลงและทำความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าในการนำพาความรอดมาสู่มนุษย์

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 327

ในการแสวงหาของพวกเจ้านั้น พวกเจ้ามีมโนคติที่หลงผิด ความหวัง และอนาคตของแต่ละคนมากเกินไป  พระราชกิจปัจจุบันเป็นไปเพื่อที่จะจัดการกับความอยากของพวกเจ้าที่มีต่อสถานะและความอยากอันฟุ้งเฟ้อของพวกเจ้า  ความหวัง สถานะ และมโนคติที่หลงผิดทั้งหมดเป็นตัวแทนชั้นเยี่ยมของอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน  เหตุผลที่สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในหัวใจของผู้คนนั้นเป็นเพราะพิษของซาตานที่คอยกัดกร่อนความคิดของผู้คนอยู่ตลอดเวลาโดยทั้งสิ้น และผู้คนมักจะไร้ความสามารถที่จะสลัดการทดลองเหล่านี้ของซาตานอยู่ตลอดเวลา  พวกเขากำลังใช้ชีวิตในท่ามกลางบาปแต่กระนั้นก็ยังไม่เชื่อว่ามันเป็นบาป และพวกเขายังคงคิดว่า  “พวกเราเชื่อในพระเจ้า ดังนั้นพระองค์ต้องประทานพระพรแก่พวกเราและทรงจัดการเตรียมการทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับพวกเราอย่างเหมาะสม พวกเราเชื่อในพระเจ้า ดังนั้นพวกเราต้องเหนือกว่าคนอื่น และพวกเราต้องมีสถานะที่มากกว่าและอนาคตที่มากกว่าใครอื่น  เนื่องจากพวกเราเชื่อในพระเจ้า พระองค์ต้องทรงมอบพระพรอันไร้ขีดจำกัดแก่พวกเรา  มิฉะนั้นแล้ว มันก็คงจะไม่ได้เรียกว่าการเชื่อในพระเจ้า”  เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว ความคิดที่ผู้คนได้พึ่งพาเพื่อการอยู่รอดของพวกเขาได้กัดกร่อนหัวใจของพวกเขาเรื่อยมาจนถึงจุดที่ว่า พวกเขาได้กลายเป็นทรยศ ขี้ขลาด และน่ารังเกียจ  ไม่เพียงแค่พวกเขาขาดพร่องพลังจิตและความแน่วแน่เท่านั้น แต่พวกเขายังได้กลายเป็นโลภมาก โอหัง และเอาแต่ใจตัวเองด้วยเช่นกัน  พวกเขาขาดพร่องความแน่วแน่ใดๆ ซึ่งอยู่เหนือตนเองโดยสิ้นเชิง และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่มีความกล้าหาญแม้แต่น้อยที่จะสลัดการควบคุมของอิทธิพลมืดเหล่านี้  ความคิดและชีวิตของผู้คนนั้นเน่าเปื่อยมากจนกระทั่งมุมมองของพวกเขาต่อการเชื่อในพระเจ้ายังคงน่าขยะแขยงอย่างไม่สามารถทนได้ และแม้กระทั่งเมื่อผู้คนพูดถึงมุมมองของพวกเขาต่อการเชื่อในพระเจ้า ก็ไม่สามารถทนฟังได้อย่างแน่นอน  ผู้คนทั้งหมดล้วนขี้ขลาด ไร้ความสามารถ น่ารังเกียจ และบอบบาง  พวกเขาไม่รู้สึกถึงความขยะแขยงที่มีต่อกองกำลังของความมืด และพวกเขาไม่รู้สึกถึงความรักที่มีต่อความสว่างและความจริง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับทำอย่างสุดความสามารถที่จะขับไล่สิ่งเหล่านั้น  ความคิดและมุมมองปัจจุบันของพวกเจ้าไม่ได้เป็นเช่นนี้หรอกหรือ?  “ในเมื่อข้าพระองค์เชื่อในพระเจ้า ข้าพระองค์ก็แค่ควรได้รับการหลั่งพระพรและควรจะได้รับการทำให้มั่นใจว่าสถานะของข้าพระองค์จะไม่มีวันหลุดไป และว่ามันจะยังคงสูงกว่าสถานะของบรรดาผู้ปราศจากความเชื่อ”  เจ้าไม่ได้เก็บงำมุมมองประเภทนั้นภายในตัวพวกเจ้ามาเป็นเวลาแค่หนึ่งหรือสองปีเท่านั้น แต่เป็นเวลาหลายปี  วิธีการคิดแบบแลกเปลี่ยนกันของพวกเจ้านั้นได้พัฒนามากเกินไป  ถึงแม้ว่าพวกเจ้าได้มาถึงขั้นตอนนี้ในวันนี้ พวกเจ้ายังคงไม่ได้ปล่อยวางสถานะแต่ดิ้นรนต่อสู้อยู่ตลอดเวลาเพื่อสอบถามถึงมัน และสังเกตการณ์มันในแต่ละวัน ด้วยความเกรงกลัวลึกๆ ว่าวันหนึ่งสถานะของพวกเจ้าจะสูญหายไปและชื่อของพวกเจ้าจะย่อยยับ  ผู้คนไม่เคยได้วางความอยากมีความสะดวกสบายของพวกเขาลงไว้ก่อน  ดังนั้น ขณะที่เราพิพากษาพวกเจ้าด้วยประการฉะนี้ในวันนี้ พวกเจ้าจะมีความเข้าใจระดับใดในที่สุด?  พวกเจ้าจะกล่าวว่า ถึงแม้ว่าสถานะของพวกเจ้านั้นไม่สูง แต่อย่างไรก็ตามพวกเจ้าก็ได้ชื่นชมการยกให้สูงขึ้นของพระเจ้า  เพราะพวกเจ้ามีกำเนิดที่ต่ำต้อยพวกเจ้าจึงไม่มีสถานะ แต่พวกเจ้าได้รับสถานะเพราะพระเจ้าทรงยกพวกเจ้าให้สูงขึ้น—นี่คือบางสิ่งที่พระองค์ได้ประทานแก่พวกเจ้า  วันนี้เจ้ามีความสามารถที่จะรับการฝึกฝนของพระเจ้า การตีสอนของพระองค์ และการพิพากษาของพระองค์ได้ด้วยตนเอง  นี่คือการยกให้สูงขึ้นของพระองค์มากกว่าเสียด้วยซ้ำ  พวกเจ้ามีความสามารถที่จะรับการชำระให้บริสุทธิ์และการแผดเผาของพระองค์ได้ด้วยตนเอง  นี่คือความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า  ตลอดหลายยุคหลายสมัยไม่เคยมีสักคนหนึ่งที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และการแผดเผาของพระองค์ และไม่มีสักคนหนึ่งที่มีความสามารถที่จะถูกทำให้มีความเพียบพร้อมได้โดยพระวจนะของพระองค์  บัดนี้พระเจ้ากำลังตรัสกับพวกเจ้าแบบเผชิญหน้ากัน ทรงชำระพวกเจ้าให้บริสุทธิ์ ทรงเปิดเผยความเป็นกบฏภายในของพวกเจ้า—นี่คือการยกให้สูงขึ้นของพระองค์อย่างแท้จริง  ผู้คนมีความสามารถใด?  กล่าวโดยสรุป ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นบุตรของดาวิดหรือพงศ์พันธุ์ของโมอับ ผู้คนคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างผู้ซึ่งไม่มีสิ่งใดเลยที่ควรค่าแก่การอวดตัว  ในเมื่อพวกเจ้าเป็นสิ่งทรงสร้างทั้งหลายของพระเจ้า พวกเจ้าต้องปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งทรงสร้าง  ไม่มีข้อพึงประสงค์อื่นจากพวกเจ้า นี่คือวิธีที่พวกเจ้าควรอธิษฐาน กล่าวคือ  “โอ พระเจ้า!  ไม่ว่าข้าพระองค์จะมีสถานะหรือไม่ ตอนนี้ข้าพระองค์เข้าใจตัวเองแล้ว  หากสถานะของข้าพระองค์สูง นั่นก็เป็นเพราะการยกให้สูงขึ้นของพระองค์ และหากมันต่ำต้อย นั่นก็เป็นเพราะการลิขิตของพระองค์  ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์  ข้าพระองค์ไม่มีทั้งตัวเลือกใดๆ และการพร่ำบ่นใดๆ  พระองค์ได้ทรงลิขิตว่าข้าพระองค์จะถือกำเนิดในประเทศนี้และท่ามกลางผู้คนนี้ และว่าทั้งหมดที่ข้าพระองค์ควรทำก็คือการเชื่อฟังอย่างครบบริบูรณ์ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงลิขิต  ข้าพระองค์ไม่ได้นึกถึงสถานะ จะว่าไปแล้ว ข้าพระองค์เป็นเพียงแค่สิ่งทรงสร้างสิ่งหนึ่ง  หากพระองค์ทรงวางข้าพระองค์ในบาดาลลึก ในบึงไฟและกำมะถัน ข้าพระองค์ก็ไม่ใช่สิ่งใดนอกจากสิ่งทรงสร้างสิ่งหนึ่ง  หากพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็เป็นสิ่งทรงสร้างสิ่งหนึ่ง  หากพระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์มีความเพียบพร้อม กระนั้นข้าพระองค์ก็ยังเป็นสิ่งทรงสร้างสิ่งหนึ่ง  หากพระองค์ไม่ได้ทรงทำให้ข้าพระองค์มีความเพียบพร้อม ข้าพระองค์จะยังคงรักพระองค์เพราะข้าพระองค์ไม่ได้เป็นมากไปกว่าสิ่งทรงสร้างสิ่งหนึ่ง  ข้าพระองค์ไม่ได้เป็นมากไปกว่าสิ่งทรงสร้างขนาดจิ๋วสิ่งหนึ่งซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างได้ทรงสร้างขึ้น ก็แค่สิ่งทรงสร้างหนึ่งท่ามกลางพวกมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นทั้งมวล  เป็นพระองค์นั่นเองที่ได้ทรงสร้างข้าพระองค์ขึ้น และตอนนี้พระองค์ได้ทรงวางข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์อีกครั้งหนึ่งเพื่อทำกับข้าพระองค์ตามที่พระองค์จะทรงทำ  ข้าพระองค์เต็มใจที่จะเป็นเครื่องมือของพระองค์และตัวประกอบเสริมความเด่นของพระองค์เพราะทุกสิ่งทุกอย่างคือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงลิขิตไว้  ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้  ทุกสรรพสิ่งและเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์”  เมื่อเวลานั้นมาถึงที่เจ้าจะไม่นึกถึงสถานะอีกต่อไป เมื่อนั้นเจ้าจะเป็นอิสระจากมัน  เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถแสวงหาได้อย่างมั่นใจและอย่างกล้าหาญ และเมื่อนั้นเท่านั้นหัวใจของเจ้าจึงจะกลายเป็นอิสระจากข้อจำกัดใดๆ  ทันทีที่ผู้คนได้ถูกทำให้หลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ เมื่อนั้นพวกเขาจะไม่มีความกังวลอีกต่อไป  อะไรคือความกังวลสำหรับพวกเจ้าส่วนใหญ่ในขณะนี้?  เจ้าถูกจำกัดโดยสถานะอยู่เสมอและเป็นกังวลเรื่องความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเจ้าเองอยู่เนืองนิตย์  เจ้าพลิกหน้าถ้อยดำรัสของพระเจ้าอยู่เสมอ ปรารถนาที่จะอ่านคำกล่าวที่เกี่ยวข้องกับบั้นปลายของมวลมนุษย์ และต้องการที่จะรู้ว่าความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเจ้าคือสิ่งใดและบั้นปลายของเจ้าจะเป็นอย่างไร  เจ้าสงสัยว่า “ฉันมีความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ใดๆ จริงๆ หรือไม่?  พระเจ้าได้ทรงเอาสิ่งเหล่านั้นไปแล้วหรือ?  พระเจ้าเพียงตรัสว่าฉันเป็นตัวประกอบเสริมความเด่น เช่นนั้นแล้ว ความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของฉันคือสิ่งใด?”  มันยากที่พวกเจ้าจะวางความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้และลิขิตชีวิตของพวกเจ้าลงไว้ก่อน  บัดนี้พวกเจ้าเป็นผู้ติดตาม และพวกเจ้าได้รับความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับช่วงระยะนี้ของพระราชกิจ  อย่างไรก็ตาม พวกเจ้ายังคงไม่ได้วางความอยากได้สถานะของพวกเจ้าลงไว้ก่อน  เมื่อสถานะของเจ้าสูงเจ้าแสวงหาอย่างดี แต่เมื่อสถานะของเจ้าต่ำต้อยเจ้าไม่แสวงหาอีกต่อไป  พระพรแห่งสถานะอยู่ในจิตใจของเจ้าเสมอ  เหตุใดจึงเป็นว่าผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถเอาตัวพวกเขาเองออกจากการคิดลบได้?  คำตอบนั้นไม่เป็นเพราะความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้อันสิ้นหวังเสมอไปหรอกหรือ?  ทันทีที่ถ้อยดำรัสของพระเจ้าได้ถูกเปล่งออกมาพวกเจ้าก็รีบเร่งที่จะได้เห็นว่าสถานะและอัตลักษณ์ของพวกเจ้าคือสิ่งใด  พวกเจ้าให้ความสำคัญกับสถานะและอัตลักษณ์ และผลักไสนิมิตไปอยู่ลำดับที่สอง  ในลำดับที่สามก็คือ บางสิ่งบางอย่างที่เจ้าควรเข้าสู่ และในลำดับที่สี่ก็คือน้ำพระทัยปัจจุบันของพระเจ้า  ก่อนอื่นเจ้าดูที่ว่าชื่อเรียกที่พระเจ้าทรงมีสำหรับเจ้าว่า “ตัวประกอบเสริมความเด่น” นั้นได้เปลี่ยนแปลงแล้วหรือไม่  เจ้าอ่านแล้วก็อ่าน และเมื่อเจ้าเห็นว่าชื่อเรียก “ตัวประกอบเสริมความเด่น” ได้ถูกลบออกไปแล้ว เจ้าก็กลายเป็นมีความสุขและขอบพระทัยพระเจ้าและสรรเสริญฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์อย่างมากมาย  แต่หากเจ้าเห็นว่าพวกเจ้ายังคงเป็นตัวประกอบเสริมความเด่นอยู่ เจ้าก็กลายเป็นอารมณ์เสียและแรงขับเคลื่อนในหัวใจของเจ้าก็ค่อยๆ สลายไปทันที  ยิ่งเจ้าแสวงหาในหนทางนี้มากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งเก็บเกี่ยวได้น้อยลงเท่านั้น  ยิ่งความอยากได้สถานะของบุคคลหนึ่งมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งจะต้องได้รับการจัดการอย่างจริงจังมากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาก็ยิ่งจะต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุงที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่านั้น  ผู้คนเช่นนั้นไร้ค่า!  พวกเขาต้องได้รับการจัดการและได้รับการพิพากษาอย่างพอเพียงเพื่อที่พวกเขาจะได้ปล่อยวางสิ่งเหล่านี้อย่างถ้วนทั่ว  หากพวกเจ้าไล่ตามเสาะหาหนทางนี้จนกระทั่งถึงที่สุด พวกเจ้าจะไม่ได้เก็บเกี่ยวสิ่งใดเลย  พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาชีวิตไม่สามารถได้รับการแปลงสภาพ และพวกที่ไม่ได้กระหายความจริงไม่สามารถได้รับความจริง  เจ้าไม่ได้มุ่งเน้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาการแปลงสภาพและการเข้าสู่ส่วนบุคคล แต่กลับมุ่งเน้นอยู่กับความอยากอันฟุ้งเฟ้อและสิ่งต่างๆ ที่จำกัดความรักของเจ้าที่มีต่อพระเจ้าและป้องกันเจ้าจากการเข้าใกล้พระองค์  สิ่งเหล่านั้นสามารถแปลงสภาพเจ้าได้หรือไม่?  สิ่งเหล่านั้นสามารถนำพาเจ้าเข้าไปสู่ราชอาณาจักรได้หรือไม่?  หากเป้าหมายในการไล่ตามเสาะหาของเจ้าไม่ใช่การแสวงหาความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็อาจหาประโยชน์จากโอกาสนี้และหวนคืนสู่โลกเพื่อทำมันจนสำเร็จอีกด้วย  การเสียเวลาของเจ้าแบบนี้ไม่ควรค่าเลยจริงๆ—เหตุใดจึงทรมานตัวเจ้าเองเล่า?  มันไม่จริงหรอกหรือที่เจ้าอาจชื่นชมสิ่งต่างๆ ทุกประเภทข้างนอกในโลกอันสวยงาม?  เงินทอง ผู้หญิงสวย สถานะ ความฟุ้งเฟ้อ ครอบครัว ลูกหลาน และอื่นๆ—ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ของโลกไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดที่เจ้าอาจชื่นชมได้หรอกหรือ?  จะมีประโยชน์อันใดที่จะเดินไปเดินมาตรงนี้โดยมองหาสถานที่ที่เจ้าสามารถมีความสุขได้?  บุตรมนุษย์ไม่ทรงมีที่ใดที่จะวางพระเศียรของพระองค์ ดังนั้นเจ้าจะสามารถมีสถานที่ที่สะดวกสบายได้อย่างไร?  พระองค์จะสามารถสร้างสถานที่ที่สะดวกสบายอันสวยงามเพื่อเจ้าได้อย่างไร?  นั่นเป็นไปได้หรือ?  นอกจากการพิพากษาของเรา วันนี้เจ้าสามารถเพียงรับคำสอนเกี่ยวกับความจริงเท่านั้น  เจ้าไม่สามารถได้รับสิ่งชูใจจากเราและเจ้าไม่สามารถได้รับชีวิตที่สุขสบายที่เจ้าถวิลหารอคอยทั้งวันทั้งคืน  เราจะไม่มอบความมั่งคั่งของโลกให้แก่เจ้า  หากเจ้าไล่ตามเสาะหาอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเราก็เต็มใจที่จะมอบทางแห่งชีวิตในความครบถ้วนบริบูรณ์ของมันแก่เจ้า ที่จะให้เจ้าเป็นดั่งปลาที่ได้กลับไปอยู่ในน้ำ  หากเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาอย่างแท้จริง เราจะเอามันทั้งหมดกลับคืน  เราไม่เต็มใจที่จะมอบคำพูดจากปากของเราให้แก่พวกที่โลภอยากได้สิ่งชูใจ ผู้ที่เป็นดั่งสุกรและสุนัข!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เหตุใดเจ้าจึงไม่เต็มใจที่จะเป็นตัวประกอบเสริมความเด่น?

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 328

จงมองเข้าไปในตัวของพวกเจ้าเองเพื่อดูว่าเจ้ามีความชอบธรรมในทุกสิ่งที่เจ้าทำหรือไม่ และการกระทำทุกอย่างของเจ้ามีพระเจ้าคอยเฝ้าดูอยู่หรือไม่  นี่คือหลักการซึ่งบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าใช้ในการปฏิบัติกิจธุระต่างๆ ของพวกเขา  เจ้าจะได้รับการเรียกขานว่ามีความชอบธรรมเพราะพวกเจ้าสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ และเพราะเจ้ายอมรับการดูแลและการปกป้องจากพระเจ้า  ในสายพระเนตรของพระเจ้า ทุกคนที่ยอมรับการดูแล การปกป้อง และความเพียบพร้อมจากพระเจ้า และผู้ที่พระองค์ได้ทรงรับไว้นั้น มีความชอบธรรม และพระองค์ทรงถือว่าพวกเขาทั้งหมดมีค่า  ยิ่งเจ้ายอมรับพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้ามากขึ้นเท่าไร เจ้าก็จะยิ่งสามารถได้รับและเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น และดังนั้นแล้ว เจ้าก็จะยิ่งสามารถใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าและสนองต่อข้อพึงประสงค์ของพระองค์ได้มากขึ้นเท่านั้น  นี่คือพระบัญชาของพระเจ้าสำหรับพวกเจ้า และมันเป็นสิ่งที่พวกเจ้าทั้งหมดควรที่จะสามารถสัมฤทธิ์ผลได้  หากเจ้าใช้มโนคติอันหลงผิดของเจ้าเองเพื่อวัดและจำกัดเขตพระเจ้า ราวกับว่าพระเจ้าทรงเป็นรูปปั้นดินเหนียวที่ไม่เปลี่ยนแปลง และหากเจ้าจำกัดเขตพระเจ้า ให้อยู่ภายในขอบเขตของพระคัมภีร์และจำกัดวงพระองค์ไว้ภายในวงเขตงานที่จำกัดอย่างสิ้นเชิง เช่นนั้นแล้วนี่ก็พิสูจน์ว่าพวกเจ้าได้กล่าวโทษพระเจ้า  เพราะพวกยิวในยุคพันธสัญญาเดิมรับเอาพระเจ้าเป็นรูปเคารพในรูปสัณฐานตายตัวที่พวกเขายึดถือไว้ในหัวใจของพวกเขา ราวกับว่าพระเจ้าทรงรับการเรียกขานได้ว่าพระเมสสิยาห์เท่านั้น และพระองค์ที่ทรงได้รับการเรียกขานว่าพระเมสสิยาห์เท่านั้นที่อาจเป็นพระเจ้าได้ และเพราะมนุษยชาติได้รับใช้และนมัสการพระเจ้าราวกับว่าพระองค์ทรงเป็นรูปปั้นดินเหนียว (ที่ไร้ชีวิต) พวกเขาจึงได้ตอกตรึงพระเยซูในเวลานั้นไว้บนกางเขน ตัดสินโทษพระองค์ด้วยการประหารชีวิต—พระเยซูผู้ไร้ความผิดจึงได้รับโทษประหารด้วยเหตุดังนี้  พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ต่อการกระทำผิดใดๆ กระนั้นมนุษย์ก็ยังปฏิเสธที่จะละเว้นไม่ทำร้ายพระองค์ และยืนกรานที่จะตัดสินโทษพระองค์ด้วยการประหารชีวิต และดังนั้นพระเยซูจึงทรงถูกตรึงกางเขน  มนุษย์เชื่อเสมอว่าพระเจ้าไม่ทรงเปลี่ยนแปลง และนิยามพระองค์บนพื้นฐานของหนังสือเล่มเดียว นั่นคือพระคัมภีร์ ประหนึ่งว่ามนุษย์มีความเข้าใจบริบูรณ์ในการบริหารจัดการของพระเจ้า ประหนึ่งว่ามนุษย์กำทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำไว้ในฝ่ามือของเขา  ผู้คนนั้นไร้สาระอย่างที่สุด โอหังอย่างที่สุด และพวกเขาทั้งหมดมีพรสวรรค์ในการพูดเกินจริง  ไม่ว่าความรู้ในเรื่องพระเจ้าของเจ้าจะมากมายเพียงใด เรายังคงพูดว่าเจ้าไม่รู้จักพระเจ้า พูดว่าเจ้าเป็นใครบางคนที่ต่อต้านพระเจ้ามากที่สุด และพูดว่าเจ้าได้กล่าวโทษพระเจ้า  เพราะเจ้าไม่มีความสามารถอย่างที่สุดในการเชื่อฟังพระราชกิจของพระเจ้าและเดินบนเส้นทางแห่งการถูกทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า  ทำไมพระเจ้าไม่เคยพึงพอพระทัยกับการกระทำต่างๆ ของมนุษย์เล่า?  เพราะมนุษย์ไม่รู้จักพระเจ้า  เพราะเขามีมโนคติอันหลงผิดมากเกินไป และเพราะความรู้ของเขาในเรื่องพระเจ้าไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงแต่อย่างใดเลย แต่กลับทวนซ้ำอรรถบทเดิมอย่างน่าเบื่อหน่ายโดยปราศจากความเปลี่ยนแปลง และใช้วิธีเข้าหาแบบเดิมกับทุกสถานการณ์  และดังนั้น หลังจากที่ได้เสด็จมายังแผ่นดินโลกในวันนี้ พระเจ้าจึงทรงถูกมนุษย์ตอกตรึงกับกางเขนอีกครั้ง  มนุษยชาติช่างโหดร้าย!  การรู้เห็นเป็นใจและเล่ห์เพทุบาย การคว้ากระชากและฉกฉวยสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากคนอื่น การแก่งแย่งชื่อเสียงและความมั่งคั่ง การเข่นฆ่ากันและกัน—เมื่อไรมันจะสิ้นสุดเสียที?  ถึงแม้ว่าจะมีพระวจนะนับหลายแสนคำที่พระเจ้าตรัส ไม่มีใครที่คิดได้สักคน  ผู้คนปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของครอบครัว ลูกชายและลูกสาวของตน เพื่ออาชีพการงาน ความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในภายภาคหน้า ตำแหน่งหน้าที่ ความเหลิงในลาภยศ และเงินทองของตน เพื่ออาหาร เสื้อผ้า และเนื้อหนัง  แต่มีใครสักคนหรือไม่ที่มีการกระทำต่างๆ ซึ่งเป็นไปเพื่อพระเจ้าอย่างแท้จริง?  แม้แต่ในท่ามกลางผู้ที่ปฏิบัติเพื่อพระเจ้า ก็มีเพียงไม่กี่คนที่รู้จักพระเจ้า  มีผู้คนสักกี่คนที่ไม่ได้ปฏิบัติบนผลประโยชน์ของตนเอง?  มีสักกี่คนที่ไม่กดขี่หรือกีดกันบุคคลอื่นๆ เพื่อที่จะปกป้องตำแหน่งหน้าที่ของตนเอง?  และดังนั้น พระเจ้าจึงทรงถูกตัดสินประหารชีวิตโดยพลการเกินจะนับครั้งได้ และบรรดาผู้พิพากษาป่าเถื่อนจำนวนนับไม่ถ้วนได้กล่าวโทษพระเจ้าและได้ตอกตรึงพระองค์กับกางเขนอีกครั้ง  จะมีสักกี่คนที่สามารถเรียกได้ว่าชอบธรรมเพราะการที่พวกเขาปฏิบัติเพื่อพระเจ้าอย่างแท้จริง?

เป็นการง่ายอย่างนั้นเชียวหรือที่จะถูกทำให้มีความเพียบพร้อมเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในฐานะวิสุทธิชนหรือคนชอบธรรม?  มันเป็นถ้อยแถลงที่แท้จริงว่า “ไม่มีผู้ชอบธรรมบนแผ่นดินโลกนี้ ผู้ชอบธรรมไม่ได้อยู่ในโลกนี้”  เมื่อพวกเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า จงพิจารณาสิ่งที่พวกเจ้ากำลังสวมใส่ จงพิจารณาทุกถ้อยคำและการกระทำของพวกเจ้า ทุกความคิดและแนวคิดของพวกเจ้า และแม้กระทั่งบรรดาความฝันที่พวกเจ้าฝันอยู่ทุกวัน—สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของเจ้าเองทั้งสิ้น  นี่ไม่ใช่รูปการณ์แวดล้อมที่แท้จริงหรอกหรือ?  “ความชอบธรรม” ไม่ได้หมายถึงการให้ทานแก่ผู้อื่น มันไม่ได้หมายถึงการรักเพื่อนบ้านของเจ้าเสมือนตัวเจ้าเอง และมันไม่ได้หมายถึงการละเว้นจากการทะเลาะเบาะแว้งและข้อโต้แย้งหรือการจี้ปล้นและการลักขโมย  ความชอบธรรมหมายถึง การรับเอาพระบัญชาของพระเจ้าดุจหน้าที่ของเจ้า และการเชื่อฟังการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าเป็นดุจการทรงเรียกซึ่งถูกส่งมาจากสวรรค์ โดยไม่คำนึงถึงเวลาหรือสถานที่ เสมือนทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้ถูกกระทำโดยองค์พระเยซูเจ้า  นี่คือความชอบธรรมซึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้  โลทผู้นั้นอาจถูกเรียกได้ว่าชอบธรรมก็เป็นเพราะเขาได้ช่วยทูตสวรรค์สองตนที่พระเจ้าทรงส่งมาโดยไม่ได้พิจารณาส่วนได้ส่วนเสียของเขาเอง อาจกล่าวได้เพียงแค่ว่าสิ่งที่เขาได้ทำในเวลานั้นอาจเรียกได้ว่าชอบธรรม แต่ไม่อาจเรียกเขาว่าเป็นคนชอบธรรมได้  มันเป็นเพียงเพราะว่าโลทได้เห็นพระเจ้าแล้ว เขาจึงได้มอบลูกสาวสองคนของเขาเพื่อแลกกับทูตสวรรค์ แต่พฤติกรรมในอดีตของเขานั้นไม่ใช่ทั้งหมดที่เป็นตัวแทนของความชอบธรรม  และดังนั้นเราจึงกล่าวว่า “ไม่มีผู้ชอบธรรมบนแผ่นดินโลกนี้”  แม้กระทั่งในบรรดาผู้ที่อยู่ในกระแสแห่งการฟื้นคืน ก็ไม่มีใครที่สามารถเรียกได้ว่าชอบธรรม  ไม่สำคัญว่าการกระทำต่างๆ ของเจ้าจะดีเพียงใด  ไม่สำคัญว่าเจ้าจะดูเหมือนว่าถวายพระเกียรติแด่พระนามของพระเจ้าอีกทั้งไม่มีการชกต่อยและสาปแช่งผู้อื่น และไม่มีการจี้ปล้นและไม่ปล้นสะดมจากผู้อื่น เจ้าก็ยังคงไม่อาจถูกเรียกว่าชอบธรรมได้ เพราะนี่คือสิ่งที่บุคคลธรรมดาสามารถมีได้  สิ่งสำคัญในขณะนี้ก็คือว่าเจ้าไม่รู้จักพระเจ้า  อาจกล่าวได้เพียงแค่ว่า ณ ปัจจุบันนี้ เจ้ามีความเป็นมนุษย์ที่ปกติอยู่เล็กน้อย แต่ไม่มีองค์ประกอบของความชอบธรรมที่พระเจ้าได้ตรัสถึง และดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดเลยที่เจ้าทำสามารถพิสูจน์ได้ว่าเจ้ารู้จักพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คนชั่วจะถูกลงโทษอย่างแน่นอน

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 329

ก่อนหน้านั้น คราที่พระเจ้าสถิตอยู่ในสวรรค์ มนุษย์ได้ปฏิบัติตัวในแบบที่เป็นการหลอกลวงต่อพระเจ้า  วันนี้ พระเจ้าประทับอยู่ท่ามกลางมนุษย์—ไม่มีใครรู้ว่ามันผ่านมากี่ปีแล้ว—กระนั้นในการทำสิ่งต่างๆ มนุษย์ก็ยังคงทำไปอย่างพอเป็นพิธีและพยายามที่จะหลอกพระองค์  มิใช่ว่ามนุษย์มีความคิดล้าหลังมากเกินไปหรอกหรือ?  เป็นเช่นเดียวกันกับยูดาส: ก่อนที่พระเยซูเสด็จมา ยูดาสจะพูดเรื่องโกหกเพื่อหลอกบรรดาพี่น้องชายหญิงของเขา และแม้กระทั่งหลังจากที่พระเยซูเสด็จมาแล้ว เขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขาไม่รู้จักพระเยซูแม้แต่น้อย และในท้ายที่สุด เขาก็ทรยศพระเยซู  นี่ไม่ใช่เพราะเขาไม่รู้จักพระเจ้าหรอกหรือ?  หากวันนี้ พวกเจ้ายังคงไม่รู้จักพระเจ้า เช่นนั้นแล้วคงเป็นไปได้ที่พวกเจ้าอาจกลายเป็นยูดาสอีกคนหนึ่ง และที่กำลังตามมาหลังจากนี้ก็คือ โศกนาฏกรรมของการตรึงกางเขนของพระเยซูในยุคพระคุณเมื่อสองพันปีก่อนจะถูกเล่นซ้ำอีกครั้ง  พวกเจ้าไม่เชื่อเรื่องนี้หรอกหรือ?  มันคือข้อเท็จจริง!  ในปัจจุบัน ผู้คนส่วนใหญ่อยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน—เราอาจจะพูดเรื่องนี้เร็วเกินไปสักหน่อย—และผู้คนดังกล่าวก็กำลังแสดงบทบาทของยูดาสอยู่  เราไม่ได้กำลังพูดเรื่องไร้สาระ แต่พูดบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง—และเจ้าไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากเชื่อ  แม้ว่าผู้คนจำนวนมากจะทำการเสแสร้งแสดงความถ่อมใจ แต่ในหัวใจของพวกเขาไม่มีอะไรนอกจากสระที่มีน้ำที่นิ่งไม่ขยับ คูน้ำที่มีน้ำเน่าเหม็น  ในขณะนี้มีผู้คนเยี่ยงนี้มากเกินไปในคริสตจักร และพวกเจ้าก็คิดว่าเราไม่ตระหนักรู้เรื่องนี้โดยสิ้นเชิง  วันนี้ วิญญาณของเราตัดสินใจแทนเรา และกล่าวคำพยานแทนเรา  เจ้าคิดว่าเราไม่รู้อะไรเลยหรือ?  เจ้าคิดว่าเราไม่เข้าใจอะไรเลยอย่างนั้นหรือเรื่องความคิดคดภายในหัวใจของพวกเจ้า สิ่งต่างๆ ที่เจ้าเก็บไว้ภายในหัวใจของเจ้า?  มันง่ายอย่างนั้นเชียวหรือที่จะเอาชนะพระเจ้า?  เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถปฏิบัติต่อพระองค์แบบไหนก็ได้ตามใจชอบของเจ้าอย่างนั้นหรือ?  ในอดีต เราเป็นกังวลด้วยเกรงว่าพวกเจ้าจะกลายเป็นถูกบังคับ ดังนั้นเราจึงให้ความเป็นอิสระแก่พวกเจ้าเรื่อยมา แต่มนุษยชาติก็ไร้ความสามารถที่จะบอกได้ว่าเราดีต่อพวกเขา และเมื่อเราให้หนึ่งคืบ พวกเขาก็เอาหนึ่งศอก  จงถามไปรอบๆ ท่ามกลางพวกเจ้าเอง: เราแทบไม่เคยจัดการกับใครเลย และแทบไม่เคยตำหนิติเตียนใครเลยสักเล็กน้อย—กระนั้นเราก็เข้าใจอย่างชัดเจนมากเกี่ยวกับแรงจูงใจและมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์  เจ้าคิดว่าพระเจ้าพระองค์เอง ผู้ที่พระเจ้าทรงกล่าวคำพยานให้ ทรงเป็นผู้โง่เขลากระนั้นหรือ?  ในกรณีนั้น เราพูดว่าเจ้าตามืดบอดเกินไป!  เราจะไม่ตีแผ่เจ้า แต่พวกเรามาดูกันว่าเจ้าจะชั่วช้าได้เพียงใด  พวกเรามาดูกันว่าบรรดากุศโลบายเล็กๆ อันแยบยลของเจ้าจะสามารถช่วยเจ้าให้รอดได้หรือไม่ หรือการพยายามอย่างเต็มความสามารถของเจ้าเพื่อที่จะรักพระเจ้านั้นจะสามารถช่วยเจ้าให้รอดได้หรือไม่  วันนี้ เราจะไม่กล่าวโทษเจ้า พวกเรามารอกันจนกระทั่งถึงเวลาของพระเจ้าเพื่อที่จะได้เห็นว่าพระองค์จะทรงลงทัณฑ์อันสาสมแก่เจ้าอย่างไร  เราไม่มีเวลาสำหรับการคุยเล่นอย่างเปล่าประโยชน์กับเจ้าในขณะนี้ และเราก็ไม่เต็มใจที่จะเลื่อนงานที่ยิ่งใหญ่กว่าของเราออกไปเพียงเพื่อเจ้าเท่านั้น  หนอนแมลงเยี่ยงเจ้าไม่คู่ควรกับเวลาที่พระเจ้าต้องใช้เพื่อจัดการกับเจ้า—ดังนั้น พวกเรามาดูกันว่าเจ้าจะเหลวไหลได้เพียงใด  ผู้คนเยี่ยงนี้ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความรู้เรื่องพระเจ้าแม้แต่น้อย และพวกเขาก็ไม่มีความรักให้กับพระองค์แม้แต่น้อย และพวกเขาก็ยังคงเฝ้าปรารถนาให้พระเจ้าทรงเรียกพวกเขาว่าชอบธรรม—การนี้ไม่ใช่เรื่องตลกหรอกหรือ?  เนื่องจากผู้คนที่ซื่อสัตย์จริงๆ นั้นมีจำนวนน้อย เราจึงจะมุ่งเน้นเฉพาะการจัดเตรียมชีวิตให้แก่มนุษย์ต่อไปเท่านั้น  เราจะทำเพียงสิ่งที่เราควรทำให้เสร็จสิ้นจนเสร็จสิ้นในวันนี้เท่านั้น แต่ในอนาคต เราจะนำการลงทัณฑ์อันสาสมมาสู่แต่ละคนตามสิ่งที่พวกเขาได้ทำลงไป  เราได้พูดทั้งหมดที่มีให้พูดไปแล้ว เพราะแน่นอนว่านี่คืองานที่เราทำ  เราทำเพียงสิ่งที่เราควรทำเท่านั้น และไม่ใช่สิ่งที่เราไม่ควรทำ  อย่างไรก็ตาม เราหวังว่าพวกเจ้าจะใช้เวลามากขึ้นในการคิดทบทวนว่า: จริงๆ แล้วความรู้ของเจ้าในเรื่องพระเจ้ามีมากเพียงใดที่เป็นจริง?  เจ้าคือใครบางคนที่ได้ตอกตรึงพระเจ้ากับกางเขนอีกครั้งหรือไม่  ถ้อยคำสุดท้ายของเราคือสิ่งนี้: ความวิบัติจงบังเกิดแก่พวกที่ตรึงกางเขนพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คนชั่วจะถูกลงโทษอย่างแน่นอน

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 330

เมื่อเจ้าเดินบนเส้นทางของวันนี้ อะไรคือประเภทของการไล่ตามเสาะหาที่เหมาะสมที่สุด?  ในการไล่ตามเสาะหาของเจ้า เจ้าควรมองว่าตัวเจ้าเองเป็นบุคคลประเภทใด?  มันทำให้เจ้าต้องรู้ว่าเจ้าควรเข้าหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเจ้าในวันนี้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบหรือความยากลำบากทั้งหลาย หรือการตีสอนและการสาปแช่งอย่างไร้ความปรานี  เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว เจ้าควรทบทวนสิ่งเหล่านี้อย่างพิถีพิถันในทุกกรณี  เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้?  เราพูดเช่นนี้เพราะว่าในที่สุดแล้ว สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับเจ้าในวันนี้คือการทดสอบที่อุบัติขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในช่วงเวลาสั้นๆ บางที ตามความเห็นของเจ้าแล้วการทดสอบเหล่านี้ไม่ได้รบกวนจิตวิญญาณเป็นพิเศษ และดังนั้นเจ้าจึงปล่อยให้สิ่งต่างๆ ล่องลอยไปตามครรลองธรรมชาติของพวกมัน และไม่คำนึงถึงว่าการทดสอบเหล่านั้นเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าในการไล่ตามเสาะหาความก้าวหน้า  เจ้าช่างไร้ความคิดนัก!  ไร้ความคิดมากเสียจนเจ้าคิดถึงสินทรัพย์ที่มีค่านี้ราวกับว่าเป็นเมฆที่ลอยอยู่ต่อหน้าต่อตาเจ้า และเจ้าไม่ทะนุถนอมความล้ำค่าของการโบยตีที่เกรี้ยวกราดซึ่งกระหน่ำลงมาครั้งแล้วครั้งเล่าเหล่านี้—การโบยตีที่สั้นและดูเหมือนจะมีน้ำหนักน้อยนิดสำหรับเจ้า—แต่กลับมองการโบยตีเหล่านี้ด้วยความวางเฉยที่เย็นชา ไม่นำพาใส่ใจ และปฏิบัติต่อการโบยตีเหมือนเป็นเพียงการตีถูกโดยบังเอิญเท่านั้น  เจ้าช่างโอหังเหลือเกิน!  กับการโจมตีที่ดุดันเหล่านี้ การโจมตีที่คล้ายพายุที่มาครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าแสดงให้เห็นเพียงการมองข้ามแบบไร้มารยาทเท่านั้น บางครั้งเจ้าก็ไปไกลถึงขั้นยิ้มให้อย่างเยือกเย็นด้วยซ้ำ โดยเผยให้เห็นการแสดงความไม่แยแสโดยสิ้นเชิง—เพราะเจ้าไม่เคยคิดกับตัวเจ้าเองเลยสักครั้งว่าเหตุใดเจ้าจึงต้องทนทุกข์กับ “โชคร้ายต่างๆ” เช่นนี้อยู่ร่ำไป  เป็นไปได้หรือว่าเราไม่เป็นธรรมกับมนุษย์เหลือเกิน?  เราหาเรื่องจ้องจับผิดเจ้ากระนั้นหรือ?  ถึงแม้ว่าปัญหาในวิธีการคิดของเจ้าอาจจะไม่รุนแรงเท่ากับที่เราได้พรรณนาไป แต่เจ้าก็ได้แต่งแต้มภาพเขียนของโลกภายในของเจ้าให้สมบูรณ์แบบมานานแล้วโดยผ่านทางความสำรวมภายนอกของเจ้า  ไม่มีความจำเป็นสำหรับเราแต่อย่างใดที่จะต้องบอกเจ้าว่า สิ่งเดียวที่ถูกซ่อนเร้นไว้ในส่วนลึกของหัวใจของเจ้าคือคำผรุสวาทหยาบช้าและร่องรอยอันเลือนรางของความเศร้าใจที่คนอื่นแทบจะมองไม่เห็น  เจ้าด่าทอเพราะเจ้ารู้สึกว่าการทนทุกข์กับการทดสอบเช่นนี้ช่างไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง และเจ้าเต็มไปด้วยความหดหู่ใจเพราะการทดสอบต่างๆ ทำให้เจ้ารู้สึกถึงความอ้างว้างของโลก  แทนที่จะมองว่าการโบยตีซ้ำๆ เหล่านี้และการกระทำเพื่อบ่มวินัยเป็นการคุ้มครองปกป้องที่ดีที่สุด เจ้ากลับเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการสร้างปัญหาอย่างไร้สติของฟ้าสวรรค์ หรือไม่ก็เป็นการลงทัณฑ์อันสาสมที่เหมาะกับเจ้า  เจ้าช่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์เหลือเกิน!  เจ้ากักเก็บเวลาดีๆ ไว้ในความมืดอย่างไร้ปรานี ครั้งแล้วครั้งเล่าเจ้ามองดูการทดสอบและการกระทำเพื่อบ่มวินัยที่น่าอัศจรรย์เป็นดั่งการโจมตีจากศัตรูของเจ้า  เจ้าไม่รู้วิธีที่จะปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของเจ้า และเจ้าเต็มใจที่จะพยายามทำเช่นนั้นน้อยลงไปอีกด้วยซ้ำเพราะเจ้าไม่เต็มใจที่จะได้รับสิ่งใดจากการตีสอนซ้ำๆ นี้ ซึ่งก็โหดร้ายด้วยสำหรับเจ้า  เจ้าไม่พยายามที่จะสำรวจค้นหรือท่องสำรวจด้วยเช่นกัน และเพียงแค่ปล่อยตัวเองให้เป็นไปตามชะตากรรมของเจ้า ไปที่ใดก็ตามที่มันนำทางเจ้าไป  สิ่งที่อาจดูเหมือนว่าเป็นการกระทำเพื่อตีสอนที่โหดร้ายสำหรับเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงหัวใจของเจ้า อีกทั้งไม่ได้เข้ายึดครองหัวใจของเจ้า แต่กลับทิ่มแทงหัวใจของเจ้าแทน  เจ้ามอง “การตีสอนที่โหดร้าย” นี้ว่าเป็นแค่เพียงศัตรูของเจ้าในชีวิตนี้เท่านั้น และดังนั้นเจ้าจึงไม่ได้รับอะไรเลย  เจ้าช่างมองตนเองเป็นฝ่ายถูกเสมอเสียเหลือเกิน!  เจ้าไม่ค่อยจะเชื่อว่าเจ้าทนทุกข์กับการทดสอบต่างๆ เช่นนี้ก็ด้วยเหตุแห่งความน่าเหยียดหยามของเจ้าเอง แต่เจ้ากลับมองตัวเจ้าเองว่าโชคร้าย โดยพูดมากยิ่งขึ้นไปอีกว่าเราคอยจับผิดเจ้าอยู่เสมอ  และบัดนี้ที่สิ่งทั้งหลายได้มาถึงทางผ่านนี้แล้ว เจ้ารู้จริงเกี่ยวกับสิ่งที่เราพูดและทำมากเพียงใด?  จงอย่าคิดว่าเจ้าเป็นอัจฉริยบุคคลที่มีพรสวรรค์แต่กำเนิด ซึ่งต่ำกว่าฟ้าสวรรค์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่สูงกว่าแผ่นดินโลกอย่างไม่สิ้นสุด  เจ้าห่างไกลจากการเป็นคนฉลาดกว่าผู้ใดอื่น—และอาจกล่าวได้ด้วยซ้ำว่าการที่เจ้าโง่กว่าผู้คนใดๆ ที่มีเหตุผลบนแผ่นดินโลกอย่างมากก็ดูน่ารักดี เพราะเจ้าคิดถึงตัวเองอย่างอวดดีเกินไปและไม่เคยได้มีสำนึกรับรู้ของความด้อยกว่าเลย ราวกับว่าเจ้าสามารถมองทะลุการกระทำของเราลงไปถึงรายละเอียดที่เล็กกระจิดริดที่สุด  ในประเด็นที่เป็นข้อเท็จจริงนั้น เจ้าคือใครสักคนที่โดยพื้นฐานแล้วขาดพร่องเหตุผล เพราะเจ้าไม่รู้เลยสักนิดว่าเราตั้งใจที่จะทำอะไร และเจ้ายิ่งตระหนักรู้น้อยลงไปใหญ่ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ในตอนนี้  และดังนั้นเราจึงพูดว่าเจ้าไม่แม้แต่จะทัดเทียมกับชาวนาเฒ่าที่กำลังตรากตรำทำงานบนผืนดิน ชาวนาที่ไม่ได้มีการล่วงรู้ถึงชีวิตมนุษย์แม้แต่น้อย แต่ก็ยังมอบความไว้วางใจทั้งหมดของเขาไว้กับพรแห่งฟ้าสวรรค์เมื่อเขาทำการเพาะปลูกบนแผ่นดิน  เจ้าไม่เจียดความคิดแม้เพียงวินาทีเดียวให้กับชีวิตของเจ้า เจ้าไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับชื่อเสียง และเจ้ายิ่งมีความรู้จักตัวเองน้อยกว่านั้นอีก  เจ้าช่าง “อยู่เหนือเรื่องทั้งหมด” เหลือเกิน!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พวกที่ไม่เรียนรู้และยังคงไม่รู้เท่าทัน: พวกเขาไม่ใช่สัตว์เดียรัจฉานหรอกหรือ?

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 331

สำหรับคำสอนที่เราได้มอบให้พวกเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่านั้น พวกเจ้าได้ผลักไสมันไปไว้ที่ด้านหลังของจิตใจของเจ้ามานานแล้ว  กระทั่งถึงจุดที่ปฏิบัติต่อคำสอนเหล่านั้นเหมือนของเล่นไว้ฆ่าเวลาในยามว่างของพวกเจ้า ทั้งหมดเหล่านี้พวกเจ้ามักจะคำนึงถึงในแง่ที่เป็น “ยันต์” ส่วนตัวของพวกเจ้าเองเสมอ  เมื่อถูกซาตานกล่าวหา เจ้าก็อธิษฐาน เมื่อมีความคิดเชิงลบ เจ้าก็ตกอยู่ในการหลับลึก เมื่อมีความสุข เจ้าก็วิ่งวุ่นไปมาอย่างลำพอง เมื่อเราดุด่าเจ้า เจ้าก็พินอบพิเทา และแล้ว ทันทีที่เจ้าไปจากเบื้องหน้าเรา เจ้าก็หัวเราะด้วยความเริงร่าอันน่าชัง  เจ้ารู้สึกว่าอยู่เหนือผู้อื่นทั้งปวง แต่เจ้าไม่เคยมองเห็นตัวเจ้าเองว่าโอหังที่สุด และมีแต่จะยิ่งอวดดี ลำพองใจ และหยิ่งผยองเกินคำบรรยายมากขึ้นทุกทีเท่านั้น  เหล่า “สุภาพบุรุษหนุ่ม” “สาวน้อย” “ท่านขุนนาง” และ “ท่านผู้หญิง” ที่ไม่เรียนรู้และยังคงไม่รู้เท่าทัน จะสามารถคำนึงถึงวจนะของเราว่าเป็นสมบัติล้ำค่าได้อย่างไร?  เราขอถามเจ้าอีกครั้งว่า เจ้าได้เรียนรู้อะไรกันแน่จากวจนะของเราและงานของเราตลอดเวลาอันยาวนานเช่นนี้?  เป็นอันว่าเจ้ามีทักษะในการหลอกลวงของเจ้ามากยิ่งขึ้นใช่หรือไม่?  หรือมีความเจนจัดในเนื้อหนังของเจ้ามากยิ่งขึ้น?  หรือมีความไม่เคารพในท่าทีที่เจ้ามีต่อเรามากยิ่งขึ้น?  เราบอกเจ้าตรงๆ ว่า เป็นงานทั้งหมดนี้ที่เราได้ทำไปนี่เองที่ได้ทำให้เจ้าผู้เคยมีความกล้าของหนูตัวหนึ่ง เกิดมีใจกล้ามากขึ้น  ความประหวั่นพรั่นใจที่เจ้ารู้สึกต่อเราลดน้อยลงในแต่ละวันที่ผ่านไป เพราะเราเปี่ยมปรานีเกินไปและไม่เคยกำหนดใช้บทลงโทษกับเนื้อหนังของเจ้าโดยวิธีการที่รุนแรง  บางทีในสายตาของเจ้า เราอาจเพียงแค่กำลังพูดวจนะที่แข็งกร้าว—แต่มีบ่อยครั้งกว่ามากที่เราแสดงให้เจ้าเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และเราแทบไม่เคยติเตียนเจ้าใส่หน้าเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้นเรายอมให้อภัยความอ่อนแอของเจ้าตลอดมา และเป็นเพราะการนี้ทั้งสิ้นที่เจ้าปฏิบัติต่อเราเฉกเช่นงูที่ปฏิบัติต่อชาวนาผู้ใจดี  เราเลื่อมใสทักษะและความเฉียบแหลมระดับสูงสุดในพลังการสังเกตการณ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ยิ่งนัก!  เราขอบอกความจริงประการหนึ่งกับเจ้าว่า วันนี้มันสำคัญน้อยมากว่าเจ้ามีหัวใจแห่งความเคารพหรือไม่ เราทั้งไม่ร้อนใจและไม่วิตกกังวลเกี่ยวกับการนั้น  แต่เราก็ต้องบอกเจ้าเช่นนี้ด้วยว่า เจ้า “บุคคลที่มีความสามารถพิเศษ” ผู้ไม่เรียนรู้และยังคงไม่รู้เท่าทันนี้ ในท้ายที่สุดจะถูกความฉลาดหยุมหยิมที่หลงตัวเองของเจ้าทำให้พังครืน—เจ้าจะเป็นผู้ที่ทนทุกข์และถูกตีสอน  เราจะไม่โง่พอที่จะร่วมทางกับเจ้าในขณะที่เจ้ายังทนทุกข์ต่อไปในนรก เพราะเราไม่ใช่ประเภทเดียวกับเจ้า  จงอย่าลืมว่าเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างซึ่งถูกเราสาปแช่งแล้ว แต่ก็ยังถูกเราสอนและช่วยให้รอดด้วยเช่นกัน  และไม่มีอะไรเลยในตัวเจ้าที่เราจะลังเลใจที่จะผละจาก  ในเวลาใดก็ตามที่เราทำงานของเรา เราไม่เคยถูกจำกัดโดยบุคคล อุบัติการณ์ หรือวัตถุใดๆ  ท่าทีของเราและทรรศนะของเราเกี่ยวกับมวลมนุษย์ยังคงเหมือนเดิมตลอดมา เราไม่ได้มีไมตรีให้เจ้าเป็นการเฉพาะเพราะเจ้าคือรยางค์หนึ่งของการบริหารจัดการของเรา และห่างไกลจากการเป็นสิ่งพิเศษกว่าชีวิตอื่นใด  นี่คือคำแนะนำของเราต่อเจ้า กล่าวคือ เจ้าต้องจำไว้ตลอดเวลาว่าเจ้าไม่ใช่อะไรมากไปกว่าสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า!  ถึงแม้ว่าเจ้าอาจแบ่งปันการดำรงอยู่ของเจ้าร่วมกันกับเรา เจ้าก็ควรรู้จักอัตลักษณ์ของเจ้าเอง จงอย่าคิดเข้าข้างตัวเจ้าเองเกินไป  ต่อให้เราไม่ดุว่าเจ้า หรือจัดการกับเจ้า แต่ทักทายเจ้าด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม นี่ก็ไม่พอที่จะพิสูจน์ว่าเจ้าเป็นประเภทเดียวกันกับเรา เจ้า—เจ้าควรรู้ตัวเจ้าเองว่าเป็นฝ่ายไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ใช่ความจริงเป็นฝ่ายไล่ตามเสาะหาเจ้า!  เจ้าต้องพร้อมตลอดเวลาที่จะเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับวจนะของเรา  เจ้าไม่สามารถหลีกหนีการนี้ได้  ในระหว่างเวลาที่มีค่านี้ เมื่อเจ้ามีโอกาสที่หายากนี้ เราเร่งเร้าให้เจ้าพยายามเรียนรู้บางสิ่งบางอย่าง  จงอย่าหลอกเรา เราไม่จำเป็นต้องให้เจ้าใช้คำเยินยอมาพยายามหลอกลวงเรา  เมื่อเจ้าแสวงหาเรา นั่นไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของเราเลย แต่เพื่อประโยชน์ของเจ้าเองต่างหาก!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พวกที่ไม่เรียนรู้และยังคงไม่รู้เท่าทัน: พวกเขาไม่ใช่สัตว์เดียรัจฉานหรอกหรือ?

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 332

ตอนนี้ แต่ละวันที่พวกเจ้าใช้ชีวิตผ่านไปนั้นมีความสำคัญยิ่งยวด และมีความสำคัญสูงสุดต่อบั้นปลายของพวกเจ้าและชะตากรรมของพวกเจ้า  ดังนั้น พวกเจ้าจะต้องทะนุถนอมทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเจ้ามีวันนี้ และหวงแหนความล้ำค่าของแต่ละนาทีที่ผ่านไป  เจ้าต้องใช้เวลามากที่สุดเท่าที่เจ้าสามารถทำได้เพื่อให้ตัวเจ้าได้รับประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพื่อที่ว่าเจ้าจะได้ไม่ใช้ชีวิตนี้ไปโดยไร้ค่า  พวกเจ้าอาจรู้สึกสับสนว่าทำไมเราจึงกล่าววจนะเช่นนั้น  ว่ากันตามตรง เราไม่พอใจแม้แต่น้อยกับพฤติกรรมของพวกเจ้าไม่ว่าคนใดก็ตาม เนื่องจากความหวังที่เราเคยมีในตัวพวกเจ้านั้นไม่ใช่อย่างที่พวกเจ้าเป็นในปัจจุบัน  ด้วยเหตุนี้ เราจึงพูดได้ว่า: พวกเจ้าแต่ละคนอยู่บนขอบแห่งอันตราย และเสียงร้องขอความช่วยเหลือในอดีตและความทะเยอทะยานอยากที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและแสวงหาความสว่างในครั้งก่อนของพวกเจ้ากำลังใกล้จะถึงบทอวสานแล้ว  นี่คือการแสดงการตอบสนองรอบสุดท้ายของพวกเจ้า และเป็นบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่เคยคาดหวัง  เราไม่ปรารถนาที่จะพูดตรงกันข้ามกับข้อเท็จจริง เพราะว่าพวกเจ้าได้ทำให้เราผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง  บางทีพวกเจ้าคงไม่ปรารถนาที่จะยอมรับเรื่องนี้โดยจำนน ไม่ปรารถนาที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง—กระนั้น เราต้องถามเรื่องนี้กับพวกเจ้าอย่างจริงจังว่า ในช่วงหลายปีมานี้ หัวใจของพวกเจ้าเต็มไปด้วยอะไรกันแน่?  หัวใจของพวกเจ้าจงรักภักดีต่อใคร?  จงอย่าพูดว่าคำถามเหล่านี้เกิดขึ้นโดยไร้ที่มา และจงอย่าถามเราว่าทำไมเราจึงได้ถามถึงเรื่องเหล่านั้น  จงรู้ไว้ว่า เป็นเพราะว่าเรารู้จักพวกเจ้าดีเกินไป ใส่ใจพวกเจ้ามากเกินไป และได้ลงทุนหัวใจของเรามากเกินไปในความประพฤติและการกระทำทั้งหลายของพวกเจ้าที่เราได้เรียกร้องให้พวกเจ้าอธิบายโดยไม่หยุดหย่อน และได้แบกรับความยากลำบากที่ขมขื่นยิ่งขึ้น  กระนั้น พวกเจ้าก็ไม่ได้ตอบแทนเราด้วยสิ่งใดมากไปกว่าความไม่แยแสและการยอมจำนนที่เกินทน พวกเจ้าสะเพร่าต่อเราเหลือคณา  เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะไม่รู้สิ่งใดในเรื่องนี้เลย?  หากนี่คือสิ่งที่พวกเจ้าเชื่อ มันก็เป็นการพิสูจน์ข้อเท็จจริงต่อไปอีกว่าพวกเจ้าไม่ได้ปฏิบัติต่อเราด้วยความมีน้ำใจอย่างแท้จริง  และดังนั้น เราจึงกล่าวว่า พวกเจ้ากำลังฝังหัวของพวกเจ้าไว้ในทราย  พวกเจ้าทั้งหมดฉลาดมากเสียจนไม่รู้แม้กระทั่งว่าพวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่—เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าจะใช้อะไรเพื่อให้คำอธิบายแก่เราเล่า?

คำถามที่น่าเป็นห่วงที่สุดสำหรับเราก็คือ แท้จริงแล้วหัวใจของพวกเจ้าจงรักภักดีต่อใคร  เราหวังอีกด้วยว่า พวกเจ้าแต่ละคนจะพยายามรวบรวมความคิด  และถามตัวของพวกเจ้าเองว่าพวกเจ้าจงรักภักดีต่อใครและพวกเจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อใคร  บางทีพวกเจ้าคงไม่เคยพิจารณาคำถามเหล่านี้อย่างถี่ถ้วน ดังนั้น หากเราเปิดเผยคำตอบให้พวกเจ้ารู้ พวกเจ้าคิดเห็นเช่นไร?

ใครก็ตามที่มีความทรงจำจะยอมรับข้อเท็จจริงนี้ที่ว่า มนุษย์มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเขาเองและจงรักภักดีต่อตัวเขาเอง  เราไม่เชื่อว่าคำตอบของพวกเจ้านั้นถูกต้องทั้งหมด เนื่องจากพวกเจ้าแต่ละคนนั้นดำรงอยู่ในชีวิตของพวกเจ้าแต่ละคน และแต่ละคนก็กำลังต่อสู้ดิ้นรนกับความทุกข์ของพวกเจ้าเอง  เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเจ้าจึงจงรักภักดีต่อผู้คนที่พวกเจ้ารักและสิ่งต่างๆ ที่ทำให้พวกเจ้าพอใจ  พวกเจ้าไม่ได้จงรักภักดีต่อตัวพวกเจ้าเองโดยสิ้นเชิง  เพราะพวกเจ้าแต่ละคนได้รับอิทธิพลจากผู้คน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และวัตถุสิ่งของทั้งหลายรอบๆ ตัวพวกเจ้า พวกเจ้าจึงไม่ได้จงรักภักดีต่อตัวพวกเจ้าเองอย่างแท้จริง  เรากล่าววจนะเหล่านี้ไม่ใช่เพื่อลงนามรับรองการจงรักภักดีต่อตัวพวกเจ้าเอง แต่เพื่อตีแผ่ให้เห็นถึงความจงรักภักดีของพวกเจ้าต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด  เนื่องจากตลอดช่วงระยะเวลายาวนานหลายปีนั้น เรายังไม่เคยได้รับความรักภักดีจากพวกเจ้าคนใดเลย  พวกเจ้าได้ติดตามเรามาตลอดช่วงหลายปีนี้ กระนั้นก็ยังไม่เคยมอบความจงรักภักดีให้เราแม้เพียงสักนิดเดียว  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเจ้ากลับวนเวียนอยู่กับผู้คนที่พวกเจ้ารักและสิ่งต่างๆ ที่ทำให้พวกเจ้าพอใจ—มากถึงขนาดที่ว่าตลอดเวลานั้น และไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใดก็ตาม เจ้าเก็บผู้คนและสิ่งเหล่านั้นไว้ใกล้หัวใจเจ้าและไม่เคยทอดทิ้งผู้คนและสิ่งเหล่านั้นเลย  เมื่อใดก็ตามที่พวกเจ้ากลายเป็นกระหายหรือกระตือรือร้นในสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่พวกเจ้ารัก มันเกิดขึ้นในขณะที่พวกเจ้ากำลังติดตามเรา หรือแม้แต่ในขณะที่พวกเจ้ากำลังฟังวจนะของเรา  ดังนั้น เราจึงบอกว่าพวกเจ้ากำลังใช้ความจงรักภักดีที่เราขอจากพวกเจ้า ไปจงรักภักดีและทะนุถนอม “สัตว์เลี้ยง” ของพวกเจ้าแทน  แม้ว่าพวกเจ้าอาจพลีอุทิศสิ่งหนึ่งหรือสองสิ่งให้เรา มันก็ไม่ได้เป็นตัวแทนถึงทั้งหมดของพวกเจ้า และไม่ได้แสดงว่าเราคือผู้ที่พวกเจ้าจงรักภักดีอย่างแท้จริง  พวกเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจการต่างๆ ที่พวกเจ้าหลงใหล คนบางคนจงรักภักดีต่อบุตรชายและบุตรสาว คนอื่นๆ จงรักภักดีต่อสามี ภรรยา ความร่ำรวย การงาน ผู้บังคับบัญชา สถานภาพ หรือผู้หญิง  พวกเจ้าไม่เคยรู้สึกเหนื่อยล้าหรือรำคาญใจกับสิ่งต่างๆ ที่พวกเจ้าจงรักภักดี แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเจ้ากลับกระหายมากยิ่งขึ้นกว่าที่เคยเพื่อที่จะครอบครองสิ่งเหล่านี้ในปริมาณที่มากขึ้น และคุณภาพที่สูงขึ้น และพวกเจ้าก็ไม่เคยล้มเลิก  เราและวจนะของเรามักจะถูกผลักไปอยู่หลังสิ่งต่างๆ ที่พวกเจ้ากระตือรือร้น และพวกเจ้าก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องจัดลำดับวจนะของเราไว้ท้ายสุด  มีแม้กระทั่งผู้ที่เว้นตำแหน่งสุดท้ายนี้ไว้เพื่อสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาจงรักภักดีซึ่งพวกเขายังไม่ค้นพบ  ไม่เคยมีร่องรอยของเราในหัวใจของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย  พวกเจ้าอาจคิดว่าเราขอจากพวกเจ้ามากเกินไป หรือเรากล่าวหาพวกเจ้าอย่างผิดๆ—แต่พวกเจ้าเคยคิดสักครั้งหรือไม่ถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ในขณะที่พวกเจ้ากำลังใช้เวลาอย่างมีความสุขกับครอบครัวของพวกเจ้าอยู่นั้น พวกเจ้าไม่เคยจงรักภักดีต่อเราเลยแม้แต่สักครั้งเดียว?  ในช่วงเวลาอย่างนี้ มันไม่ทำให้พวกเจ้าเจ็บปวดหรอกหรือ?  เมื่อหัวใจของพวกเจ้าเต็มไปด้วยความชื่นบานยินดี และได้รับบำเหน็จรางวัลสำหรับการลงแรงของพวกเจ้า พวกเจ้าไม่รู้สึกท้อใจที่ไม่ได้จัดหาความจริงที่เพียงพอให้กับตัวพวกเจ้าเองหรอกหรือ?  พวกเจ้าร่ำไห้ให้กับการไม่ได้รับการรับรองจากเราเมื่อใด?  พวกเจ้าบีบเค้นสมองของพวกเจ้าและยอมรับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสเพื่อบุตรชายและบุตรสาวของพวกเจ้า  กระนั้นพวกเจ้าก็ยังคงไม่พึงพอใจ ยังคงเชื่อว่าพวกเจ้ายังไม่ได้ขยันหมั่นเพียรแทนพวกเขา ยังไม่ได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเจ้าสามารถทำได้เพื่อพวกเขา  อย่างไรก็ตาม กับเราแล้ว พวกเจ้าจะสะเพร่าและไม่ระมัดระวังอยู่เสมอ เราอยู่ในความทรงจำของพวกเจ้าเท่านั้น แต่เราไม่ได้คงอยู่ในหัวใจของพวกเจ้า  พวกเจ้าไม่รู้สึกถึงการอุทิศและความพยายามของเราตลอดไป และพวกเจ้าก็ไม่เคยมีความขอบคุณกับสิ่งเหล่านั้นเลย  เจ้าเพียงแค่พิจารณาไตร่ตรองเป็นเวลาสั้นๆ และเชื่อว่าการทำเช่นนี้จะเพียงพอแล้ว  “ความจงรักภักดี” เช่นนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราโหยหามาแสนนาน แต่เป็นสิ่งซึ่งเราดูหมิ่นมาตลอด  แต่กระนั้น ไม่ว่าเราจะพูดอะไร พวกเจ้าก็ยังคงยอมรับเพียงแค่หนึ่งหรือสองเรื่องเท่านั้น พวกเจ้าไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้ทั้งหมด เนื่องจากพวกเจ้าทุกคน “มั่นใจ” มาก และพวกเจ้าก็มักจะเลือกเฟ้นว่าจะยอมรับอะไรจากวจนะที่เราได้กล่าวไว้  หากพวกเจ้ายังคงเป็นอย่างนี้อยู่ในวันนี้ เรามีวิธีการบางอย่างสำหรับการจัดการกับความมั่นใจในตัวเองของพวกเจ้า—และที่มากกว่านั้นคือ เราจะทำให้พวกเจ้ารับรู้ว่าวจนะของเราทั้งหมดนั้นเป็นจริงแท้ และว่าไม่มีวจนะใดของเราที่บิดเบือนข้อเท็จจริง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าจงรักภักดีต่อใคร?

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 333

หากเราจะวางเงินจำนวนหนึ่งตรงหน้าพวกเจ้าตอนนี้ และให้พวกเจ้ามีอิสระในการเลือก—และหากเราไม่กล่าวโทษพวกเจ้าเนื่องจากตัวเลือกของพวกเจ้า—เมื่อนั้น พวกเจ้าส่วนใหญ่คงจะเลือกเงินและละทิ้งความจริง  คนที่ดีกว่าในหมู่พวกเจ้าคงจะยอมละทิ้งเงินและเลือกความจริงอย่างลังเล ในขณะที่ผู้ที่อยู่ระหว่างกลางคงจะหยิบฉวยเงินไว้ในมือข้างหนึ่งและความจริงไว้ในมืออีกข้างหนึ่ง  เช่นนั้นแล้ว ธาตุแท้ของพวกเจ้าจะไม่ปรากฏให้เห็นเด่นชัดหรอกหรือ?  เมื่อต้องเลือกระหว่างความจริงและสิ่งใดก็ตามที่พวกเจ้าจงรักภักดี พวกเจ้าจะเลือกตัวเลือกนี้กันทุกคน และทัศนคติของพวกเจ้าก็จะยังคงเป็นเหมือนเดิม  ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหรือ?  มีผู้คนไม่มากนักในหมู่พวกเจ้าที่ได้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาระหว่างถูกและผิดมิใช่หรือ?  ในการแข่งกันระหว่างด้านบวกกับด้านลบ ดำและขาว พวกเจ้าตระหนักรู้อย่างแน่นอนถึงตัวเลือกที่พวกเจ้าได้เลือกระหว่างครอบครัวกับพระเจ้า ลูกๆ กับพระเจ้า สันติสุขกับการแตกแยก ความร่ำรวยกับความยากจน สถานภาพกับความธรรมดาสามัญ การได้รับการสนับสนุนกับการถูกทิ้งขว้าง เป็นต้น  ระหว่างครอบครัวที่สงบสุขกับครอบครัวที่แตกแยก พวกเจ้าได้เลือกอย่างแรก และเลือกเช่นนั้นโดยไม่ลังเล  ระหว่างความร่ำรวยและหน้าที่ พวกเจ้าได้เลือกอย่างแรกอีกครั้ง และยิ่งขาดความตั้งใจที่จะกลับเข้าฝั่ง[ก] ระหว่างความหรูหราฟุ่มเฟือยกับความยากจน พวกเจ้าได้เลือกอย่างแรก เมื่อต้องเลือกระหว่างบุตรชาย บุตรสาว ภรรยาและสามีของพวกเจ้า กับเรา พวกเจ้าได้เลือกอย่างแรก  และระหว่างมโนคติอันหลงผิดกับความจริง พวกเจ้าได้เลือกอย่างแรกอีกครั้งหนึ่ง  เมื่อได้เผชิญกับการกระทำอันชั่วร้ายทั้งหลายในทุกรูปแบบของพวกเจ้า เราก็เพียงหมดความเชื่อในตัวพวกเจ้าแล้วเท่านั้น  เราเพียงประหลาดใจเท่านั้นที่หัวใจของพวกเจ้าต้านทานการทำให้อ่อนลงยิ่งนัก  ชัดเจนแล้วว่าหลายปีแห่งการมอบอุทิศและความพยายามนั้นไม่ได้นำพาอะไรมาให้เรามากไปกว่าการทอดทิ้งและความสิ้นหวังของพวกเจ้า แต่ความหวังของเราที่มีต่อพวกเจ้าเติบโตไปพร้อมกับแต่ละวันที่ผ่านไป เนื่องจากวันของเราได้ถูกแผ่วางต่อหน้าทุกคนอย่างสมบูรณ์แล้ว  กระนั้น พวกเจ้าก็ยังยืนกรานที่จะแสวงหาสิ่งที่มืดมนและชั่วร้ายทั้งหลาย และปฏิเสธที่จะคลายมือของเจ้าที่ยึดจับสิ่งเหล่านั้นไว้  เช่นนั้นแล้ว บทอวสานของพวกเจ้าจะเป็นอย่างไร?  พวกเจ้าเคยให้การคิดคำนึงถึงเรื่องนี้อย่างรอบคอบหรือไม่?  หากพวกเจ้าถูกขอให้เลือกอีกครั้ง แล้วจุดยืนของพวกเจ้าจะเป็นอย่างไร?  มันจะยังคงเป็นอย่างแรกอยู่อีกหรือไม่?  พวกเจ้ายังจะนำความผิดหวังและความโศกเศร้าที่น่าเวทนามาสู่เราอยู่หรือไม่?  หัวใจของพวกเจ้ายังจะมีความอบอุ่นอันน้อยนิดเพียงอย่างเดียวอยู่หรือไม่?  พวกเจ้ายังจะไม่ตระหนักรู้ว่าต้องทำอะไรเพื่อชูใจเราอยู่หรือไม่?  ณ เวลานี้ พวกเจ้าจะเลือกอะไร?  เจ้าจะนบนอบต่อวจนะของเราหรือจะเหนื่อยล้าต่อวจนะเหล่านั้น?  วันของเราได้ถูกแผ่วางต่อสายตาของพวกเจ้าแล้ว และสิ่งที่พวกเจ้าเผชิญคือชีวิตใหม่และจุดเริ่มต้นใหม่  อย่างไรก็ตาม เราต้องบอกพวกเจ้าว่าจุดเริ่มต้นนี้ไม่ใช่การเริ่มต้นของงานใหม่ที่ผ่านมา แต่เป็นการสรุปปิดตัวของงานเก่า  นั่นคือ นี่เป็นฉากสุดท้าย  เราคิดว่าพวกเจ้าทุกคนสามารถเข้าใจได้ว่าสิ่งใดที่ผิดปกติเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นนี้  อย่างไรก็ตาม วันหนึ่งในไม่ช้า พวกเจ้าจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของจุดเริ่มต้นนี้ ดังนั้น เรามาเคลื่อนผ่านมันไปด้วยกันและต้อนรับฉากสุดท้ายที่จะมาถึงกันเถิด!  อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เรายังกังวลต่อไปเกี่ยวกับพวกเจ้าก็คือว่า เมื่อเผชิญหน้ากับความอยุติธรรมและความยุติธรรม พวกเจ้ามักจะเลือกอย่างแรกอยู่เสมอ  แต่กระนั้น นั่นเป็นเรื่องในอดีตของพวกเจ้าไปหมดแล้ว  เราก็หวังที่จะลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอดีตของพวกเจ้าเช่นกัน  แม้ว่านี่จะเป็นสิ่งที่ทำได้ลำบากยากเย็นอย่างมากก็ตาม  ไม่ว่าอย่างไร เรามีวิธีที่ดียิ่งในการลืม นั่นก็คือ จงปล่อยให้อนาคตมาแทนที่อดีต และยอมให้เงาแห่งอดีตของพวกเจ้ามลายหายไปเพื่อแลกกับตัวตนที่แท้จริงของพวกเจ้าในวันนี้  ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องรบกวนพวกเจ้าให้ตัดสินใจเลือกอีกครั้ง นั่นคือ จริงๆ แล้วพวกเจ้าจงรักภักดีต่อใครกันแน่?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าจงรักภักดีต่อใคร?

เชิงอรรถ:

ก. กลับเข้าฝั่ง: สุภาษิตจีน หมายถึง “กลับมาจากหนทางชั่วร้ายของเรา”


พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 334

เมื่อใดก็ตามที่พาดพิงถึงเรื่องของบั้นปลาย พวกเจ้าปฏิบัติต่อมันด้วยความจริงจังเป็นพิเศษ  ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นบางสิ่งที่พวกเจ้าทุกคนล้วนมีความรู้สึกอ่อนไหวด้วยเป็นพิเศษ  ผู้คนบางคนรอไม่ไหวที่จะโขกศีรษะของพวกเขากับพื้น หมอบคารวะเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อให้ได้มาซึ่งบั้นปลายที่ดี  เรารู้สึกได้อย่างเข้าใจในความกระหายร้อนรนของพวกเจ้าโดยไม่จำเป็นต้องแสดงออกมาเป็นคำพูดใด  มันไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่พวกเจ้าไม่ต้องการให้เนื้อหนังของพวกเจ้าตกไปอยู่ในความวิบัติ และที่เจ้าไม่ปรารถนายิ่งกว่านั้นก็คือการคล้อยเคลื่อนลงไปสู่การลงโทษชั่วนิรันดร์กาลในภายภาคหน้า  พวกเจ้าหวังเพียงเปิดโอกาสให้ตัวพวกเจ้าได้ดำรงชีวิตอย่างเป็นอิสระขึ้นอีกสักนิดและง่ายขึ้นอีกสักหน่อย  ฉะนี้พวกเจ้าจึงรู้สึกอึดอัดปั่นป่วนเป็นพิเศษเมื่อใดก็ตามที่มีการพาดพิงถึงเรื่องของบั้นปลาย โดยกลัวอยู่ลึกๆ ว่าหากเจ้าไม่ใส่ใจให้มากพอ เจ้าอาจทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคือง และด้วยเหตุนั้นจึงต้องรับการลงทัณฑ์อันสาสมตามที่เจ้าสมควรได้รับ  พวกเจ้าไม่ลังเลเลยที่จะยอมประนีประนอมเพื่อประโยชน์ของบั้นปลายของพวกเจ้า และถึงขนาดที่พวกเจ้าหลายคนซึ่งครั้งหนึ่งเคยลดเลี้ยวและกะล่อนเหลวไหลกลับกลายเป็นสุภาพและจริงใจเป็นพิเศษในบัดดล การปรากฏด้วยความจริงใจของพวกเจ้าทำให้ผู้คนจับใจจนเข้ากระดูกดำ  แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ตาม พวกเจ้าทุกคนต่างมีหัวใจอัน “ซื่อสัตย์” และพวกเจ้าก็ได้เปิดเผยความลับในใจพวกเจ้ากับเราอย่างสม่ำเสมอโดยไม่เก็บสิ่งใดไว้เบื้องหลังเลย ไม่ว่าจะเป็นข้อข้องใจ เล่ห์ลวง หรือการอุทิศตน  โดยรวมแล้ว พวกเจ้าได้ “สารภาพ” สิ่งทั้งหลายอันมีสาระสำคัญที่นอนอยู่ภายในซอกมุมซึ่งลึกที่สุดของความเป็นอยู่ของพวกเจ้าต่อเราอย่างซื่อสัตย์ตรงไปตรงมายิ่งนัก  แน่นอนว่าเราไม่เคยหาทางเลี่ยงอ้อมสิ่งเหล่านี้เลย เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนกลายเป็นความคุ้นชินเกินไปเสียแล้วสำหรับเรา  พวกเจ้าคงเลือกเข้าสู่ทะเลเพลิงเพื่อประโยชน์ของบั้นปลายสุดท้ายของเจ้ามากกว่าจะเลือกเสียผมสักเส้นเพื่อให้ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  ไม่ใช่ว่าเราเคร่งครัดในหลักการกับพวกเจ้าจนเกินไป หากแต่เป็นเพราะพวกเจ้าขาดหัวใจแห่งการอุทิศตนจนเกินกว่าที่จะมาเผชิญหน้าโดยตรงกับทุกอย่างที่เราทำ  พวกเจ้าอาจไม่เข้าใจสิ่งที่เราเพิ่งเอ่ยไป ฉะนั้น ให้เราจัดเตรียมคำอธิบายอย่างง่ายให้แก่พวกเจ้าว่า สิ่งที่พวกเจ้าต้องการหนักหนาไม่ใช่ความจริงหรือชีวิต  ทั้งยังไม่ใช่หลักการทั้งหลายเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติของพวกเจ้า นับประสาอะไรที่จะใช่งานอันอุตสาหะของเรา  หากแต่สิ่งที่พวกเจ้าต้องการนักหนาก็คือทุกสิ่งที่พวกเจ้าครองในเนื้อหนัง นั่นก็คือ ความอุดมด้วยโภคทรัพย์ สถานะ ครอบครัว ชีวิตสมรส และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน  พวกเจ้าไม่ได้ให้ความสำคัญกับงานและคำพูดของเราโดยสิ้นเชิง ดังนั้นเราจึงสามารถสรุปรวบรวมความเชื่อของพวกเจ้าได้เป็นคำหนึ่งคำ นั่นก็คือ ขอไปที  พวกเจ้าจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้สัมฤทธิ์ในสิ่งทั้งหลายที่พวกเจ้าอุทิศตัวให้อย่างสมบูรณ์ แต่เราได้ค้นพบแล้วว่าพวกเจ้าจะไม่ทำแบบเดียวกันเพื่อประโยชน์ในเรื่องทั้งหลายที่เกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้าของพวกเจ้า  พวกเจ้ากลับเพียงแค่อุทิศตัวมากกว่าคนอื่นและจริงจังแน่วแน่กว่าคนอื่นเมื่อเทียบกัน  นี่คือเหตุที่เรากล่าวว่าคนที่ขาดหัวใจแห่งความจริงใจสุดซึ้งคือคนที่ล้มเหลวในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา  จงคิดให้ถ้วนถี่เถิด—มีความล้มเหลวอยู่มากมายท่ามกลางพวกเจ้าหรือไม่?

พวกเจ้าควรที่จะรู้ว่าความสำเร็จในเรื่องการเชื่อในพระเจ้านั้น สัมฤทธิ์ได้ด้วยผลแห่งการกระทำของตัวผู้คนเอง เมื่อผู้คนทำไม่สำเร็จ แต่กลับล้มเหลว นั่นก็เป็นเพราะการกระทำของพวกเขาเองเช่นกัน และไม่มีปัจจัยอื่นใดเลยที่มีบทบาทเกี่ยวข้อง  เราเชื่อว่าพวกเจ้าคงจะทำสิ่งใดก็ตามที่จำเป็นเพื่อให้สัมฤทธิ์บางสิ่งซึ่งลำบากยากเย็นกว่าและพ่วงความทุกข์มาด้วยยิ่งกว่าการเชื่อในพระเจ้า และเชื่อว่าพวกเจ้าคงจะปฏิบัติต่อสิ่งนั้นอย่างจริงจังนัก จริงจังมากเสียจนพวกเจ้าคงจะไม่เต็มใจยอมผ่อนปรนในความผิดพลาดอันใดก็ตาม เหล่านี้คือความพยายามอันไม่ย่นย่อหลายประเภทที่พวกเจ้าทั้งปวงนำมาใส่ให้กับชีวิตของตัวเอง  พวกเจ้าถึงกับมีความสามารถที่จะหลอกลวงเนื้อหนังของเราได้ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมที่พวกเจ้าคงจะไม่หลอกลวงสมาชิกคนใดในครอบครัวของเจ้าเองเลย  นี่คือพฤติกรรมอันสม่ำเสมอของพวกเจ้า และเป็นหลักการในการดำรงชีวิตของพวกเจ้า  พวกเจ้าไม่ได้ยังคงกำลังฉายภาพโฉมหน้าอันจอมปลอมมาหลอกลวงเราเพื่อประโยชน์ในบั้นปลายของพวกเจ้า เพื่อที่บั้นปลายของพวกเจ้าจะได้สวยงามเพียบพร้อมและเป็นไปตามที่พวกเจ้าอยากได้อยากมีทั้งหมดหรอกหรือ?  เราตระหนักรู้ว่าการอุทิศตนของพวกเจ้าเป็นไปแบบชั่วคราว เช่นเดียวกับความจริงใจของเจ้านั่นเอง  มิใช่หรอกหรือที่ว่าความแน่วแน่ของพวกเจ้าและราคาที่พวกเจ้าจ่ายไปนั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์ของชั่วขณะปัจจุบันเท่านั้น หาใช่เพื่ออนาคตไม่?  พวกเจ้าต้องการเพียงทุ่มเทความพยายามเฮือกสุดท้ายเพื่อเพียรพยายามที่จะรักษาบั้นปลายอันสวยงามเอาไว้ ด้วยจุดมุ่งหมายในการต่อรองแลกเปลี่ยนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  พวกเจ้าไม่ได้พยายามครั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการกลายเป็นหนี้ความจริงและยิ่งไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งการชดใช้คืนให้แก่เราสำหรับราคาที่เราได้จ่ายไป  กล่าวให้สั้นก็คือ พวกเจ้าเต็มใจแค่นำกุศโลบายอันฉลาดแยบยลมาใช้เพื่อให้ได้สิ่งที่พวกเจ้าต้องการ แต่จะไม่สู้รบแบบเปิดเผยเพื่อการนั้น  นี่มิใช่ความปรารถนาจากใจจริงของพวกเจ้าหรอกหรือ?  พวกเจ้าต้องไม่อำพรางตัวเอง และต้องไม่ทำให้สมองของพวกเจ้าวนเวียนอยู่กับเรื่องของบั้นปลายจนถึงขนาดที่พวกเจ้ากินไม่ได้นอนไม่หลับ  ไม่จริงหรอกหรือว่าบทอวสานของพวกเจ้าจะได้ถูกกำหนดพิจารณาไว้เรียบร้อยแล้วในตอนสุดท้าย?  พวกเจ้าแต่ละคนควรทำหน้าที่ของตนเองอย่างสุดความสามารถ ด้วยหัวใจอันเปิดกว้างและซื่อสัตย์ และเต็มใจจะจ่ายราคาใดก็ตามที่จำเป็น  ดังที่พวกเจ้าได้พูดกันไว้ว่า  เมื่อวันนั้นมาถึง พระเจ้าจะไม่ทรงบกพร่องต่อใครก็ตามที่ได้ทนทุกข์หรือได้ยอมจ่ายราคาเพื่อพระองค์  ความเชื่อมั่นเช่นนี้คือสิ่งที่ควรค่าแก่การยึดมั่นไว้ และถูกต้องแล้วที่พวกเจ้าไม่ควรจะลืมมันไป  ในหนทางนี้เท่านั้น เราจึงจะสามารถสบายใจได้ในเรื่องเกี่ยวกับพวกเจ้า  มิเช่นนั้น พวกเจ้าก็จะเป็นผู้คนที่ทำให้เราไม่อาจสบายใจได้เลยตลอดกาล และเจ้าจะกลายเป็นวัตถุทั้งหลายที่เราไม่พิสมัยไปตลอดกาล  หากพวกเจ้าทุกคนสามารถทำตามมโนธรรมของตัวเองและทำเพื่อเราอย่างสุดความสามารถโดยไม่เหลือเผื่อแรงเผื่อใจไปจากงานของเรา และอุทิศแรงกายแรงใจของเจ้าให้กับงานข่าวประเสริฐของเราไปชั่วชีวิต เช่นนี้แล้ว มีหรือที่ใจของเราจะไม่ลิงโลดบ่อยครั้งเพราะความชื่นบานในเรื่องของพวกเจ้า?  เช่นนี้แล้ว เราจึงจะสามารถโล่งใจในเรื่องของพวกเจ้าได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ใช่หรือไม่?  ช่างเป็นความอดสูที่สิ่งที่พวกเจ้าทำได้นั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวอันน้อยนิดจนน่าเวทนาของสิ่งที่เราคาดหวัง  เมื่อเป็นกรณีนี้  พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรจึงมาแสวงหาสิ่งที่พวกเจ้าหวังเอาจากเรา?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ว่าด้วยบั้นปลาย

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 335

บั้นปลายและชะตากรรมของพวกเจ้ามีความสำคัญยิ่งต่อพวกเจ้า—เป็นสิ่งที่สร้างความกังวลมหันต์  พวกเจ้าเชื่อว่า หากเจ้าไม่ทำสิ่งทั้งหลายด้วยความระมัดระวังยิ่งแล้ว ย่อมจะหมายความว่าพวกเจ้าจบแล้วที่จะได้มีบั้นปลาย และเจ้าได้ทำลายชะตากรรมของตัวเจ้าเองไปแล้ว  แต่พวกเจ้าเคยเห็นหรือไม่ว่า ผู้คนที่สละความพยายามเพื่อประโยชน์ของบั้นปลายของพวกเขาแต่เพียงอย่างเดียวนั้น เป็นการตรากตรำโดยเปล่าประโยชน์?  ความพยายามเหล่านั้นไม่จริงแท้—หากแต่เป็นความจอมปลอมและเล่ห์ลวง หากเป็นกรณีนี้แล้ว พวกที่ทำงานเพียงเพื่อเห็นแก่บั้นปลายของพวกเขานั้น ย่อมอยู่บนธรณีประตูที่จะก้าวไปสู่ความปราชัยนัดสุดท้ายของพวกเขา ด้วยว่าความล้มเหลวในความเชื่อในพระเจ้าของคนเรานั้นมีเหตุมาจากเล่ห์ลวง  เราได้กล่าวไปก่อนหน้านี้แล้วว่าเราไม่ชอบที่จะได้รับการยกยอหรือป้อยอ หรือการปฏิบัติต่อเราด้วยความตื่นเต้นกุลีกุจอ  เราชอบคนซื่อสัตย์ที่เชิดหน้าเผชิญกับความจริงของเราและความคาดหวังของเรา  ที่ยิ่งมากไปกว่านั้นก็คือ เราชอบเวลาที่ผู้คนสามารถแสดงให้เห็นความอาทรและความคำนึงถึงหัวใจของเราเป็นที่สุด และชอบเวลาที่พวกเขาสามารถถึงขั้นเลิกล้มทุกสิ่งทุกอย่างได้เพื่อประโยชน์ของเรา  เฉพาะในหนทางนี้เท่านั้นหัวใจของเราจึงสามารถได้รับความชูใจ  ณ ตอนนี้ เรื่องเกี่ยวกับพวกเจ้าที่เราไม่ชอบนั้นมีมากเพียงใดกันเล่า?  เรื่องที่เราชอบเกี่ยวกับพวกเจ้าล่ะมีมากเพียงใด?  เป็นไปได้หรือไม่ที่ไม่มีพวกเจ้าคนใดเลยได้ตระหนักถึงการสำแดงความอัปลักษณ์สารพัดทั้งหมดที่พวกเจ้าทุ่มออกมาด้วยหวังประโยชน์ในบั้นปลายของพวกเจ้า?

ในหัวใจของเรา เราไม่ปรารถนาที่จะทำร้ายหัวใจดวงใดที่คิดบวกและใฝ่สูง และเรายิ่งไม่ปรารถนาจะบั่นทอนแรงกายแรงใจของใครก็ตามที่กำลังทำหน้าที่ของตนโดยสัตย์ซื่อ  กระนั้น เราก็ต้องย้ำเตือนพวกเจ้าแต่ละคนถึงความไม่พอเพียงทั้งหลายของพวกเจ้าและดวงจิตอันโสมมที่นอนอยู่ในซอกมุมที่ลึกที่สุดของหัวใจพวกเจ้า  เราทำเช่นนี้ด้วยหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถมอบถวายหัวใจที่แท้จริงได้จนหมดเมื่ออยู่ต่อหน้าวจนะแห่งเรา  เพราะสิ่งที่เราเกลียดชังที่สุดนั้นคือเล่ห์ลวงที่ผู้คนมีต่อเรา  เราหวังเพียงว่า ในช่วงระยะสุดท้ายแห่งงานของเรา พวกเจ้าจะให้ผลงานที่ดีเด่นที่สุด และพวกเจ้าจะอุทิศตัวของพวกเจ้าโดยหมดทั้งดวงใจ หาใช่เพียงครึ่งใจอีกต่อไปไม่  แน่นอนว่าเราเองก็หวังให้พวกเจ้าทุกคนสามารถมีบั้นปลายที่ดี แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น เราก็ยังมีข้อพึงประสงค์ของเรา นั่นคือ พวกเจ้าต้องตัดสินใจให้ดีที่สุดในการมอบถวายการอุทิศครั้งสุดท้ายและครั้งเดียวเท่านั้นของเจ้าให้แก่เราจนหมดสิ้น  หากบางคนไม่มีการอุทิศตนครั้งเดียวนั้น เขาผู้นั้นย่อมเป็นสมบัติอันล้ำค่าที่ซาตานครองอยู่อย่างแน่นอน และเราจะไม่เก็บเขาไว้ใช้งานอีกต่อไป แต่จะส่งเขากลับบ้านไปให้พ่อแม่ของเขาดูแล  งานของเราคือความช่วยเหลืออันยิ่งใหญ่สำหรับพวกเจ้า สิ่งที่เราหวังจะได้จากพวกเจ้าคือหัวใจที่ซื่อสัตย์และที่ใฝ่สูง แต่จนบัดนี้แล้ว มือของเราก็ยังว่างเปล่าอยู่  จงตรองดูเถิด หากวันหนึ่งเรายังโศกสลดเป็นนักหนาเกินกว่าวงเขตที่จะหาวาจามาบอกกล่าวแล้ว ท่าทีของเราที่มีต่อพวกเจ้าจะเป็นอย่างไร?  ถึงตอนนั้น เราจะยังเป็นมิตรต่อเจ้าเหมือนที่เราเป็นในตอนนี้หรือไม่?  ถึงตอนนั้นแล้ว ใจของเราจะยังสงบนิ่งได้เท่าตอนนี้หรือไม่?  พวกเจ้าเข้าใจความรู้สึกของบุคคลหนึ่งซึ่งได้ไถพรวนผืนนาไปอย่างอุตสาหะ แต่ก็ยังเก็บเกี่ยวข้าวไม่ได้แม้สักเม็ดหรือไม่?  พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าหัวใจของบุคคลหนึ่งจะบาดเจ็บสาหัสเพียงใดเมื่อเขาถูกจัดการด้วยการฟาดตบที่รุนแรง?  พวกเจ้าสามารถลิ้มรสชาติความขมขื่นของบุคคลหนึ่งซึ่งครั้งหนึ่งเคยเปี่ยมด้วยความหวัง แต่ต้องจากไปด้วยความร้าวฉานหรือไม่?  พวกเจ้าเคยเห็นความโกรธเกรี้ยวที่ถูกปล่อยออกมาจากบุคคลหนึ่งซึ่งถูกยั่วยุอารมณ์หรือไม่?  พวกเจ้าสามารถรู้ถึงความกระหายร้อนรนต่อการล้างแค้นของบุคคลหนึ่งซึ่งได้รับการปฏิบัติด้วยความเป็นปฏิปักษ์และเล่ห์ลวงหรือไม่?  หากพวกเจ้าเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของผู้คนเหล่านี้แล้ว เราก็คิดว่าคงไม่ลำบากยากเย็นนักสำหรับพวกเจ้าที่จะจินตนาการถึงท่าทีที่พระเจ้าจะมีต่อพวกเจ้าในเวลาแห่งการลงทัณฑ์อันสาสมของพระองค์!  สุดท้ายนี้ เราหวังให้พวกเจ้าทุกคนทุ่มเทความพยายามจริงจังเพื่อประโยชน์แห่งบั้นปลายของพวกเจ้าเอง แต่กระนั้น เจ้าก็จงอย่านำวิถีทางที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงมาใช้ในความพยายามนั้น มิฉะนั้นแล้ว ใจของเราก็จะยังผิดหวังในตัวพวกเจ้าต่อไป  และความผิดหวังเช่นนี้นำไปสู่สิ่งใดหรือ?  พวกเจ้าไม่ได้กำลังหลอกตัวเองอยู่หรอกหรือ?  พวกที่ขบคิดถึงบั้นปลายของตัวเองแต่ก็ยังทำให้มันล่มจมลงไปนั้น เป็นผู้คนที่สามารถได้รับการช่วยให้รอดน้อยที่สุด  ต่อให้เขาจะกลายเป็นฉุนเฉียวและบันดาลโทสะขึ้นมา ใครเล่าจะใส่ใจเวทนาบุคคลเช่นนี้?  สรุปโดยรวมแล้ว เรายังคงหวังให้พวกเจ้าได้มีบั้นปลายที่ดีและเหมาะสม และยิ่งไปกว่านั้น เราหวังว่าจะไม่มีพวกเจ้าคนใดต้องตกไปอยู่ในความวิบัติ

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ว่าด้วยบั้นปลาย

ก่อนหน้า: การเปิดโปงความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์

ถัดไป: การเปิดโปงความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ 2

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger