62. การตื่นจากความโอหังของผม
ผมเริ่มทำงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐในปี 2015 และประสบความสำเร็จอยู่บ้างภายใต้การทรงนำของพระเจ้า บางครั้ง คนที่ผมประกาศด้วยก็มีมโนคติอันหลงผิดหนักหน่วง และไม่อยากสืบค้นเกี่ยวกับข่าวประเสริฐเพิ่มเติม ดังนั้นผมจึงอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้า สามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างอดทน พวกเขาจะได้ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าอย่างรวดเร็ว หลังจากประสบความสำเร็จในหน้าที่ของผมมาบ้าง ผมก็รู้สึกเก่งกว่าพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ราวกับว่าผมเป็นผู้มีพรสวรรค์อันหาตัวจับยากอะไรสักอย่าง
จากนั้น ผมกับเลียมที่เป็นคู่ทำงานของผมต่างก็ทำงานให้น้ำให้แก่คริสตจักร คริสตจักรที่ผมทำงานมีขนาดใหญ่และมีสมาชิกค่อนข้างมาก ดังนั้นตอนที่ผมเริ่มงาน ผมจึงอธิษฐาน พึ่งพาพระเจ้า และหารือถึงสิ่งต่างๆ กับพี่น้องชายหญิงเสมอ ไม่นานนักสิ่งต่างๆ ก็เริ่มไปได้ด้วยดี พี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่เข้าร่วมการชุมนุมเป็นประจำและทำหน้าที่อย่างขันแข็งมาก ผมค่อนข้างพอใจกับตัวเองทีเดียว ผมคิดไปว่าถึงจะเป็นคริสตจักรขนาดใหญ่ที่มีสมาชิกมากมาย ผมก็ทำผลงานได้อย่างรวดเร็ว จึงดูเหมือนผมต้องมีขีดความสามารถอยู่บ้าง ผมยังเห็นด้วยว่างานให้น้ำของเลียมดำเนินไปได้ไม่ดีนัก ผู้ให้น้ำบางคนในคริสตจักรของเขาไม่เหมาะกับงาน และต้องมีการปรับเปลี่ยนหน้าที่ของพวกเขา และบางคนก็ต้องการการสามัคคีธรรมเพราะพวกเขาอยู่ในสภาวะที่เป็นลบ ดังนั้น ผมจึงค่อนข้างดูแคลนเขาและคิดว่าเขาต้องให้ผมช่วยจึงจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ หลังจากนั้น ผมเริ่มเข้าไปมีส่วนร่วมในงานของเขา สรุปข้อบกพร่องและผิดพลาดต่างๆ กับทุกคนในงานชุมนุม สามัคคีธรรมตามพระวจนะของพระเจ้าเพื่อช่วยเหลือเรื่องสภาวะที่เป็นลบของคนอื่นๆ และปรับเปลี่ยนหน้าที่ของบรรดาสมาชิกที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสม งานกระเตื้องขึ้นอย่างรวดเร็วทีเดียว พอเห็นว่าตัวเองแก้ปัญหาของพวกเราได้รวดเร็วแค่ไหน ผมก็ยิ่งรู้สึกเป็นบุคคลที่จำเป็นอย่างยิ่ง และเป็นเหมือนผู้มีพรสวรรค์ที่หาตัวจับยาก หลังจากเหตุการณ์นี้ ความโอหังของผมก็มีแต่โตขึ้นเรื่อยๆ ผมจะแสดงความไม่พอใจบ่อยครั้งเรื่องที่พี่น้องชายหญิงไม่ตั้งใจทำหน้าที่และดุด่าพวกเขาว่า “งานให้น้ำล่าช้าไปมากนะ มีใครสักคนสนใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและทำงานอย่างถูกต้องเหมาะสมบ้างไหม? พวกคุณช่างเหลวไหลและไม่มีความรับผิดชอบเอาเสียเลย ดีนะที่สองสัปดาห์มานี้มีความคืบหน้าอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นใครจะรับผิดชอบที่งานล่าช้าไหว?” ไม่มีใครกล้าพูดสักคำ ผมนึกสงสัยว่าปฏิกิริยาของผมไม่เหมาะสมหรือเปล่า แต่แล้วก็คิดว่าถ้าผมไม่พูดแรงๆ พวกเขาก็คงไม่สนใจ เนื่องจากผมดูแคลนพี่น้องชายหญิงอยู่บ่อยๆ ดุว่าพวกเขา และให้พวกเขาทำตามที่ผมบอกเมื่อผมพบปัญหาและความเบี่ยงเบนในงานของพวกเขา เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็ทำตัวห่างเหินและแทบไม่คุยอะไรกับผมเลยยกเว้นเรื่องที่เกี่ยวกับงาน บางครั้งพวกเขาก็จะพูดคุยเฮฮากัน แต่ทันทีที่ผมปรากฏตัว พวกเขาก็แตกกระเจิงราวกับกลัวผม ด้วยความที่พวกเขากลัวทำผิดพลาดและถูกดุว่า เวลามีอะไรพวกเขาก็จะถามผมก่อน และรอการตัดสินใจของผม เมื่อเห็นสถานการณ์แบบนั้นผมก็รู้สึกค่อนข้างไม่สบายใจจริงๆ ผมนึกสงสัยว่าตัวเองกำลังทำตัวเผด็จการและกำลังเดินบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์หรือเปล่า แต่แล้วผมก็คิดว่าผมต้องเด็ดขาดในการทำงาน ถ้าผมไม่เข้มงวดกับพวกเขาสักหน่อยคงไม่มีใครฟัง แล้วเราจะไปถึงไหนได้อย่างไร? ผมรู้สึกเหมือนการพูดถึงปัญหาโดยตรงคือการที่ผมมีสำนึกของความชอบธรรม หลังจากนั้น ความโอหังของผมก็ยิ่งหนักข้อมากขึ้นจนผมต้องได้เป็นคนมีสิทธิ์ชี้ขาดในทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก และต้องติดตามว่าสมาชิกได้รับการจัดสรรและจัดวางอย่างไร เพราะผมรู้สึกเหมือนว่าไม่มีใครในทีมมีความสามารถเท่าผม แม้ว่าตอนที่ผมหารือสิ่งต่างๆ กับพวกเขา เราก็มักจะจบลงด้วยการทำตามที่ผมต้องการเสมอ ดังนั้นผมจึงคิดว่าถ้าผมตัดสินใจไปเลย พวกเราก็ประหยัดเวลาไปได้ บางครั้งผู้นำของผมมาที่งานชุมนุม ซึ่งผมก็ไม่เห็นความสำคัญโดยคิดว่า “คุณเป็นผู้นำแล้วยังไง? คุณแบ่งปันข่าวประเสริฐและเป็นพยานได้ไหม? คุณทำงานนี้ให้ออกมาดีสักด้านได้หรือเปล่า? ถ้าคุณทำได้แค่สามัคคีธรรมในการชุมนุม โดยไม่ทำให้งานที่สัมพันธ์กับชีวิตสำเร็จเลย คุณก็สู้ผมไม่ได้สักนิด” ดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่ผู้นำคนนี้ถามผมว่างานไปถึงไหนแล้ว ผมก็จะเล่าให้ฟังมากขึ้นเวลาที่ผมรู้สึกอยากบอก แต่เวลารู้สึกไม่อยากบอกผมก็จะแค่ตอบเขาไปสองสามคำเท่านั้น ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องพูดอะไร เพราะสุดท้ายก็มีแต่ผมที่ทำงานนั้นอยู่ดี ผู้นำเปิดโปงความโอหังของผม เขาพูดว่าผมชี้ขาดในเรื่องต่างๆ เสมอ และพูดว่าผมเข้ากับพี่น้องชายหญิงไม่ได้ พอถูกตัดแต่งแบบนี้ ผมก็ยอมรับต่อหน้าเขาว่าผมโอหัง แต่ไม่ได้สำนึกจริงๆ เลย ผมคิดว่าตัวเองมีขีดความสามารถดีและมีฝีมือ ดังนั้น ตราบใดที่ผมทำงานของผมได้ดี การโอหังนิดหน่อยจะเป็นอะไรไป? อีกอย่าง ผมเป็นคนรับผิดชอบงานส่วนใหญ่ของคริสตจักร ดังนั้นพวกเขาจะทำอย่างไร ไล่ผมออกหรือ? ผมไม่ได้ยอมรับการตัดแต่งของผู้นำเลยสักนิด และทำหน้าที่ในแบบที่ผมพอใจต่อไป ซึ่งคือควบคุมทุกอย่าง จนกระทั่งพระเจ้าทรงเปิดโปงผม
ครั้งหนึ่ง คริสตจักรซึ่งเพิ่งเปิดใหม่ต้องการคนให้น้ำเพิ่ม ผมจัดเตรียมให้น้องสาวคนหนึ่งไปช่วยพวกเขาโดยไม่หารือกับเลียมและคนอื่นเลย ผมคิดว่าโดยทั่วไปแล้วพวกเขาเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของผม ดังนั้นผมตัดสินใจเองก็ไม่เป็นไร แต่ผมก็ประหลาดใจเมื่อพบว่า เพราะความเข้าใจความจริงของน้องสาวคนนี้ผิวเผินเกินไป เธอจึงไม่สามารถทำงานนี้และไม่สามารถแก้ปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ นี่เป็นอุปสรรคต่องานของคริสตจักรอย่างร้ายแรง และต่อมาเธอก็ต้องได้รับมอบหมายให้ไปทำหน้าที่อื่น แต่ผมก็ยังไม่ทบทวนตัวเอง หลังจากนั้น เพราะความโอหังอย่างไม่ลดละและความล้มเหลวในการแสวงหาหลักธรรมความจริงในหน้าที่ของผม หรือความล้มเหลวในการนำคนอื่นให้ทำตามหลักธรรมในหน้าที่ของพวกเขา ทุกคนจึงแค่ง่วนอยู่กับการวิ่งวุ่นไปมาโดยไม่เกิดผลลัพธ์จริงใดๆ เลย มันขัดขวางความคืบหน้าของงานเราจริงๆ แม้จะเป็นอย่างนั้น ผมก็ยังไม่ตระหนักถึงปัญหาของตัวเองเลย ผมเพียงแค่โทษคนอื่นที่ไม่ยอมแบกรับภาระของตัวเอง ผมรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไม่สามารถอธิบายได้อยู่ระยะหนึ่ง ราวกับว่าจะมีเรื่องแย่ๆ เกิดขึ้น ผมไม่รู้จะพูดอะไรในการชุมนุมหรือในการอธิษฐาน และง่วงนอนในการประชุมงานบ่อยครั้ง ไม่มีความเข้าใจถ่องแท้ในเรื่องอะไรเลย ผมรู้สึกสับสนและไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรทั้งสิ้น มีแต่อยากพักผ่อนเท่านั้น ผมรู้เลยว่าได้สูญเสียงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่าทำไม ผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอพระองค์ทรงช่วยให้ผมได้เข้าใจตัวเอง
สองสามวันต่อมา ผู้นำของผมมาที่งานชุมนุม ตัดแต่งผม และตีแผ่พฤติกรรมของผม เขาพูดว่า “คุณโอหังมาตลอด วางท่าว่ากล่าวคนอื่นเสมอ บีบบังคับพวกเขา และโอ้อวดความอาวุโสของคุณบ่อยครั้ง คุณไม่ฟังใครและทำงานด้วยได้ยาก ยิ่งกว่านั้น คุณทำตามที่ตัวเองต้องการโดยไม่หารือกับใครเลย คุณเผด็จการและทำตามอำเภอใจ จากพฤติกรรมของคุณ พวกเราจึงตัดสินใจว่าจะปลดคุณออก” คำพูดของเขาทุกคำเสียดแทงใจผม ผมคิดย้อนไปว่าผมกระทำตัวอย่างไร ผมทำตามใจตัวเองมาตลอดเท่านั้นและยึดอำนาจเบ็ดเสร็จ นั่นไม่เหมือนศัตรูของพระคริสต์หรอกหรือ? ความคิดนั้นทำให้ผมกลัวจริงๆ และผมก็คิดกับตัวเองว่า “ฉันกำลังถูกพระเจ้าทรงเปิดโปงและกำจัดออกไปอยู่หรือเปล่า? ความเชื่อตลอดหลายปีของฉันจะจบลงแบบนี้หรือ?” ผมรู้สึกเหมือนผีดิบตัวหนึ่งอยู่สองสามวัน เต็มไปด้วยความกลัวตั้งแต่ตื่นนอน และไม่รู้จะเผชิญวันนั้นอย่างไร ผมอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ทราบว่าน้ำพระทัยอันเมตตาของพระองค์อยู่ในเรื่องนี้ แต่ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าจะผ่านมันไปได้อย่างไร ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์หดหู่เหลือเกิน ขอทรงให้ความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์เพื่อให้รู้น้ำพระทัยของพระองค์ด้วยเถิด” จากนั้น ผมก็อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าที่ว่า “พระเจ้าไม่สนพระทัยว่าในแต่ละวันเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า หรือเจ้าทำงานมากเพียงใด เจ้าทุ่มเทพยายามมากแค่ไหน—สิ่งที่พระองค์ทอดพระเนตรคือท่าทีของเจ้าต่อสิ่งเหล่านี้เป็นเช่นไร แล้วท่าทีที่เจ้ามีในการทำสิ่งเหล่านี้ กับหนทางที่เจ้าทำสิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับสิ่งใด? เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการที่เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ อีกทั้งเกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิตของเจ้าด้วย พระเจ้าทอดพระเนตรการเข้าสู่ชีวิตของเจ้า พระองค์ทอดพระเนตรเส้นทางที่เจ้าเดิน หากเจ้าเดินบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง และเจ้ามีการเข้าสู่ชีวิต เจ้าจะสามารถร่วมมืออย่างปรองดองกับผู้อื่นในยามที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตน และเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางที่ดีพออย่างง่ายดาย แต่หากขณะปฏิบัติหน้าที่ของตนเจ้าเน้นย้ำตลอดเวลาว่าเจ้ามีทุน ว่าเจ้าเข้าใจสายงานของตนเอง ว่าเจ้ามีประสบการณ์ คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า และไล่ตามเสาะหาความจริงมากกว่าใคร จากนั้นหากเจ้าคิดว่าเพราะสิ่งเหล่านี้ เจ้าจึงมีคุณสมบัติที่จะตัดสินชี้ขาด และเจ้าไม่พูดคุยหารือเรื่องใดกับใครทั้งสิ้น ทั้งยังทำตามอำเภอใจตนเองอยู่เสมอ มีส่วนในการบริหารจัดการของตนเอง และต้องการเป็น ‘ดอกไม้ดอกเดียวที่เบ่งบาน’ อยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วเจ้าเดินอยู่บนเส้นทางของการเข้าสู่ชีวิตใช่หรือไม่? ไม่ใช่—นี่คือการไล่ตามไขว่คว้าสถานะ เป็นการเดินบนเส้นทางของเปาโล นี่ไม่ใช่เส้นทางของการเข้าสู่ชีวิต” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, อะไรคือการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ?) “มีบุคคลที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐมาสองถึงสามปีและพอมีประสบการณ์กับการเผยแผ่อยู่บ้าง พวกเขาทนทุกข์กับความยากลำบากมากมายในขณะที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ และถึงกับถูกจองจำและถูกตัดสินจำคุกอยู่หลายปี หลังจากออกมาพวกเขาก็เผยแผ่ข่าวประเสริฐต่อและชนะใจผู้คนหลายร้อยคน ในบรรดาคนเหล่านั้นมีบางคนที่กลายเป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างมีนัยสำคัญ บางคนได้รับเลือกให้เป็นผู้นำหรือคนทำงานด้วยซ้ำ ผลลัพธ์ก็คือบุคคลนี้เชื่อว่าตนเองสมควรได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติอันยิ่งใหญ่ และใช้เรื่องนี้เป็นทุนเพื่อคุยโวไม่ว่าพวกเขาไปที่ใด พลางอวดตนและเป็นพยานยืนยันแก่ตนเองว่า ‘ฉันติดคุกถึงแปดปีและฉันตั้งมั่นในคำพยานของฉัน ฉันชนะใจผู้คนมากมายในขณะที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ ตอนนี้บางคนในบรรดาผู้คนเหล่านั้นเป็นผู้นำหรือคนทำงานไปแล้ว ในพระนิเวศของพระเจ้าฉันสมควรได้รับความดีความชอบ ฉันมีส่วนช่วย’ ไม่ว่าพวกเขาไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐที่ไหน แน่นอนว่าพวกเขาย่อมคุยโวให้ผู้นำหรือคนทำงานในท้องถิ่นนั้นฟัง พวกเขาจะกล่าวด้วยว่า ‘พวกคุณต้องฟังสิ่งที่ฉันพูด แม้แต่ผู้นำอาวุโสของพวกคุณก็ต้องสุภาพเวลาพวกเขาพูดคุยกับฉัน ฉันจะสั่งสอนบทเรียนให้คนที่ไม่สุภาพ!’ บุคคลนี้คือผู้ที่ชอบข่มเหงรังแกผู้อื่นมิใช่หรือ? หากบุคคลเช่นนี้ไม่ได้เผยแผ่ข่าวประเสริฐและไม่ได้ชนะใจคนเหล่านั้น พวกเขาจะกล้าโอ้อวดมากเพียงนี้หรือไม่? ที่จริงพวกเขาย่อมจะกล้า การที่พวกเขาสามารถโอ้อวดได้มากขนาดนี้พิสูจน์ว่าสิ่งนี้อยู่ในธรรมชาติของพวกเขา นี่คือแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา พวกเขากลายเป็นคนโอหังมากจนไร้เหตุผลใดๆ หลังจากเผยแผ่ข่าวประเสริฐและชนะใจคนได้ไม่กี่คน ธรรมชาติอันโอหังของพวกเขาก็พองขึ้น และพวกเขากลายเป็นคนโอ้อวดยิ่งกว่าเดิม ผู้คนเช่นนั้นคุยโวถึงทุนของตนไม่ว่าพวกเขาไปที่ใด พวกเขาพยายามเรียกร้องความดีความชอบไม่ว่าพวกเขาไปที่ใด และถึงกับกดดันผู้นำในระดับต่างๆ โดยพยายามจะเป็นผู้ที่ทัดเทียมกับพวกเขา และคิดว่าตัวพวกเขาเองควรที่จะเป็นผู้นำอาวุโสด้วยซ้ำ จากสิ่งที่สำแดงออกมาด้วยพฤติกรรมของคนประเภทนี้ พวกเราทุกคนควรเข้าใจให้ชัดเจนว่าพวกเขามีธรรมชาติประเภทใด และจุดจบของพวกเขาส่อแววว่าจะเป็นเช่นไร เมื่อปีศาจแทรกซึมเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็ออกแรงทำงานเล็กน้อยก่อนที่จะแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา ไม่ว่าใครจะตัดแต่งพวกเขา พวกเขาก็ไม่ฟัง และพวกเขายืนหยัดต่อสู้กับพระนิเวศของพระเจ้า ธรรมชาติของการกระทำของพวกเขาคืออะไร? ในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น พวกเขากำลังรนหาที่ตาย และจะไม่หยุดพักจนกว่าพวกเขาจะฆ่าตนเองไปแล้ว นี่เป็นหนทางเดียวที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้ได้อย่างเหมาะสม” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเผยแพร่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ที่ผู้เชื่อทุกคนมีภาระผูกพันด้วยเกียรติ) การอ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าทำให้ผมสั่นเทาด้วยความกลัว รู้สึกราวกับว่าพระเจ้ากำลังทรงเปิดโปงผมซึ่งหน้า ทรงเปิดเผยสภาวะของผม และความลับที่อยู่ลึกที่สุดที่ผมไม่เคยบอกใครแม้แต่คนเดียว ตลอดหลายปีที่แบ่งปันข่าวประเสริฐ ผมได้ผลลัพธ์อยู่บ้าง ผมจึงคิดว่าตัวเองได้สร้างคุณูปการอันใหญ่หลวง เป็นผู้มีพรสวรรค์ที่หาตัวจับยาก และผมมักจะเก็บแต้มทุกสิ่งที่ได้ทำอยู่ในใจ ผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองสมควรได้รับความดีความชอบอยู่บ้าง แล้วผมก็เป็นเสาหลักคนหนึ่งในคริสตจักร ผมถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นต้นทุนส่วนตัว ดูแคลนทุกคนอย่างโอหัง อีกทั้งยังชอบดุด่าทุกคนอย่างเหยียดหยัน ซึ่งเป็นสิ่งที่บีบคั้นสำหรับบรรดาพี่น้องชายหญิง ผมต้องเป็นคนชี้ขาดในทุกเรื่องและไม่ให้ความร่วมมือในหน้าที่ แต่กลับเผด็จการและทำตามอำเภอใจ ขัดขวางและทำให้งานของคริสตจักรล่าช้าอย่างร้ายแรง แม้แต่ตอนที่ผู้นำตัดแต่งผม ผมก็ไม่ได้ใส่ใจ ถึงกับโอ้อวดความอาวุโสของตัวเอง ผมดูแคลนเขาและคิดว่าเขาไม่ได้ดีไปกว่าผมเลย ผมไม่อยากยอมรับการดูแลหรือการชี้แนะแนวทางของเขา ผมอยากตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเอง ผมว่ากล่าวพี่น้องชายหญิงเมื่อพวกเขาไม่ได้เป็นไปอย่างที่ผมคาดหวัง พูดสิ่งต่างๆ อย่าง “คุณจะถูกปลดและกำจัดออกไปถ้าคุณไม่ทำหน้าที่ให้ดี” นั่นทำให้พวกเขาหมกมุ่นกับงาน กลัวจะถูกตัดแต่งหรือสูญเสียหน้าที่ถ้าพวกเขาทำพลาด และอยู่ในสภาวะที่ไม่ถูกต้อง นั่นเป็นการทำหน้าที่ตรงไหน? นั่นไม่ใช่การทำชั่วและต่อต้านพระเจ้าหรือ? ความคิดนั้นทำให้ผมกลัวจริงๆ ผมไม่เคยคาดคิดว่าตัวเองจะทำชั่วและสร้างบาดแผลให้เหล่าพี่น้องชายหญิงอย่างมาก ไม่เคยคิดว่าผมจะขัดขวางและทำให้งานของเราหยุดชะงักจนถึงระดับนั้น ผมกำลังต่อสู้กับพระเจ้า แต่ผมคิดว่ากำลังทำหน้าที่เพื่อทำให้พระองค์พอพระทัย ผมช่างมืดบอด ไม่รู้ความ และไร้เหตุผลอย่างมาก! ผมเห็นในพระวจนะของพระเจ้าว่าการทำตัวแบบนั้นคือการรนหาที่ตาย ในวลีของพระเจ้าที่ว่า “รนหาที่ตาย” ผมรู้สึกได้ว่าพระเจ้าทรงรังเกียจ ขยะแขยง และคลื่นเหียนโดยคนแบบนั้นแค่ไหน มันบีบคั้นหัวใจราวกับว่าพระเจ้าได้ทรงกล่าวโทษผมจนตาย ผมคิดว่าผมสามารถเสียสละทุกอย่างเพื่อหน้าที่ได้ คิดว่าผมทำประสบความสำเร็จในหน้าที่มาตลอด ดังนั้นพระเจ้าจึงต้องทรงเห็นชอบในตัวผมแน่นอน และความโอหังเล็กน้อยก็แทบไม่สลักสำคัญเลย แต่แล้วผมก็ตระหนักว่าถ้าผมไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าผมจะพลีอุทิศมากเท่าใดหรือประสบความสำเร็จในหน้าที่มากขนาดไหน ผมก็เป็นแต่เพียงคนออกแรงทำงานเท่านั้น การพิพากษาและการเปิดเผยแห่งพระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ผมเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมที่ไม่อาจล่วงเกินได้ของพระองค์ ผมเห็นว่าพระเจ้าทรงมีหลักธรรมอย่างสมบูรณ์ในการกระทำของพระองค์ ถ้าคนเราทำบางสิ่งบางอย่างได้สำเร็จในโลกภายนอก พวกเขาก็อาจจะมีต้นทุนและอำนาจต่อรองอยู่บ้าง แต่ในพระนิเวศของพระเจ้า ความจริงและความชอบธรรมเป็นใหญ่ การใช้ต้นทุนและอำนาจต่อรองในคริสตจักรคือการฆ่าตัวตายและล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า
ต่อมา ผมได้ใคร่ครวญว่าทำไมผมจึงรู้สึกว่าตัวเองมีต้นทุนและเริ่มไม่ยั้งคิด โอหัง และเผด็จการหลังจากประสบความสำเร็จในหน้าที่อยู่สองสามเรื่อง ธรรมชาติแบบไหนที่กำลังควบคุมผมอยู่? ผมอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “หากเจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริงในหัวใจของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะรู้วิธีปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้า และก็เป็นธรรมดาที่จะเริ่มออกเดินไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง หากเส้นทางที่เจ้าเดินเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะไม่ผละจากเจ้าไป—ซึ่งในกรณีนี้ย่อมจะมีโอกาสน้อยลงเรื่อยๆ ที่เจ้าจะทรยศพระเจ้า หากปราศจากความจริง ย่อมง่ายดายที่จะทำชั่ว และเจ้าจะทำสิ่งนั้นไปทั้งที่เจ้าไม่ตั้งใจ ตัวอย่างเช่น หากเจ้ามีอุปนิสัยที่โอหังและทะนงตน เช่นนั้นแล้วการถูกบอกให้ไม่ต่อต้านพระเจ้าก็คงไม่สร้างความแตกต่างอะไร เจ้าไม่อาจห้ามตัวเองได้มันอยู่เหนือการควบคุมของตัวเจ้า เจ้าคงจะไม่ทำสิ่งนั้นโดยมีจุดประสงค์ เจ้าคงจะทำสิ่งนั้นไปภายใต้การครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของเจ้า ความโอหังและความทะนงตนของเจ้าคงจะทำให้เจ้าดูแคลนพระเจ้าและเห็นพระองค์ทรงไร้ค่าไม่สำคัญ สิ่งเหล่านั้นคงจะเป็นเหตุให้เจ้ายกย่องตัวเจ้าเอง นำเสนอตัวเจ้าเองอยู่เนืองนิตย์ สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เจ้าสบประมาทผู้อื่น สิ่งเหล่านั้นจะไม่ปล่อยให้หัวใจของเจ้ามีผู้ใดนอกจากตัวเจ้าเอง ความโอหังและความทะนงตนจะปล้นที่ทางของพระเจ้าในหัวใจของเจ้าไป และในท้ายที่สุดก็จะเป็นเหตุให้เจ้านั่งแทนที่พระเจ้าและเรียกร้องให้ผู้คนนบนอบเจ้า และทำให้เจ้าเทิดทูนความคิด แนวคิด และมโนคติอันหลงผิดของตนเองว่าเป็นความจริง ผู้คนที่อยู่ภายใต้ภาวะครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและหยิ่งทะนงของตนนั้นทำความชั่วไปมากมายเหลือเกิน!” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้) “มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหลายประเภทที่รวมอยู่ในอุปนิสัยของซาตาน แต่ประเภทที่เห็นได้ชัดที่สุดและโดดเด่นที่สุดคืออุปนิสัยอันโอหัง ความโอหังคือรากเหง้าของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ ยิ่งผู้คนโอหังมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งไม่มีเหตุผลมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งพวกเขาไม่มีเหตุผลมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ย่อมหมิ่นเหม่ที่จะขัดขืนพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น ปัญหานี้รุนแรงเพียงใด? ผู้คนที่มีอุปนิสัยอันโอหังไม่เพียงเชื่อว่าคนอื่นๆ อยู่ต่ำกว่าพวกเขาเท่านั้น แต่ที่แย่ที่สุดในบรรดาทั้งหมดก็คือ พวกเขาถึงขั้นวางท่ายโสต่อพระเจ้า และพวกเขาไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า แม้ผู้คนบางคนอาจจะดูเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระองค์ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อพระองค์เฉกเช่นพระเจ้าแต่อย่างใด พวกเขารู้สึกเสมอว่า พวกเขามีความจริงและหลงรักตัวเองเหลือเกิน นี่คือแก่นแท้และรากเหง้าของอุปนิสัยโอหัง และนั่นมาจากซาตาน เพราะฉะนั้น ปัญหาเรื่องความโอหังจึงต้องได้รับการแก้ไข ความรู้สึกว่าคนคนหนึ่งดีกว่าคนอื่น—นั่นเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว ประเด็นปัญหาที่วิกฤติก็คืออุปนิสัยโอหังของคนเรากีดกันคนเราจากการนบนอบพระเจ้า อธิปไตยของพระองค์ และการจัดการเตรียมการของพระองค์ บุคคลเช่นนี้รู้สึกเอนเอียงที่จะแข่งขันกับพระเจ้าเพื่ออำนาจและควบคุมผู้อื่นอยู่เสมอ บุคคลประเภทนี้ไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าแม้น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการรักพระเจ้าหรือการนบนอบพระองค์ ผู้คนซึ่งโอหังและทะนงตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่โอหังมากจนถึงขนาดสูญเสียเหตุผลของตนไป ไม่สามารถนบนอบพระเจ้าในการเชื่อในพระองค์ของพวกเขา และถึงขั้นยกย่องและเป็นคำพยานให้ตนเอง ผู้คนประเภทนี้ขัดขืนพระเจ้ามากที่สุด และไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าโดยสิ้นเชิง หากผู้คนปรารถนาที่จะไปถึงจุดที่พวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พวกเขาต้องแก้ไขอุปนิสัยอันโอหังของตนเสียก่อน ยิ่งเจ้าแก้ไขอุปนิสัยอันโอหังของเจ้าได้อย่างถ้วนทั่วมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งจะมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น และเมื่อนั้นเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถนบนอบพระองค์ และได้มาซึ่งความจริงและรู้จักพระองค์ เฉพาะบรรดาผู้ที่ได้รับความจริงเท่านั้นที่เป็นมนุษย์อย่างแท้จริง” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) พระวจนะของพระเจ้าสอนผมว่ารากเหง้าของการท้าทายและต่อต้านพระเจ้าคือความโอหัง เมื่อผู้คนมีธรรมชาติอันโอหัง พวกเขาย่อมไม่อาจห้ามตัวให้ไม่ต่อต้านพระเจ้าและทำความชั่วได้ เมื่อทบทวนถึงสิ่งที่ผมได้เปิดเผยระหว่างช่วงเวลานี้ ก็พบว่ามันเป็นเรื่องของการควบคุมของธรรมชาติอันโอหัง ผมกำลังมีความสุขมากๆ หลังจากบรรลุสิ่งต่างๆ สองสามอย่าง คิดไปว่าผมมีขีดความสามารถที่ดี มีฝีมือ คิดว่าตัวเองเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่หาตัวจับยาก และคริสตจักรขาดผมไม่ได้ ผมดูแคลนบรรดาพี่น้องชายหญิง มักจะใช้ตำแหน่งของตัวเองต่อว่าและบีบคั้นพวกเขา ไม่เห็นค่าพวกเขาแม้แต่นิดเดียว ผมเผด็จการและทำตามอำเภอใจในหน้าที่ ไม่หารืออะไรกับใครทั้งสิ้น ผมรู้สึกราวกับว่าผมทำเองได้ และตัดสินใจอยู่ฝ่ายเดียวได้ ผมโอหังอย่างเหลือเชื่อและไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าเลย เมื่อผู้นำตัดแต่งผม ผมยอมรับความโอหังของตัวเอง แต่ไม่ได้ใส่ใจจริงๆ เลย ถึงกับรู้สึกเหมือนว่าความโอหังไม่ได้ผิดอะไร คิดไปว่าการถูกเรียกว่าโอหังแปลว่าผมพอมีทักษะ ถ้าผมไม่มีต้นทุนอยู่บ้าง ทำไมผมถึงโอหังล่ะ? ผมไร้เหตุผลอย่างน่าเหลือเชื่อและไร้ยางอายโดยสิ้นเชิง ผมใช้ชีวิตตามน้ำพิษของซาตานที่ว่า “ทั่วทั้งจักรวาลนี้ เราเท่านั้นที่ครองราชย์สูงสุด” ทำตัวเหมือนราชาแห่งขุนเขาในคริสตจักร และมีเพียงผมที่มีสิทธิ์ชี้ขาดในทุกเรื่อง แล้วผมจะแตกต่างจากความเผด็จการของพญานาคใหญ่สีแดงอย่างไร? พญานาคใหญ่สีแดงโอหังและไม่เคารพกฎหมาย หันไปใช้มาตรการการปราบปรามขั้นรุนแรงที่คาดไม่ถึงกับคนที่ไม่ฟังมัน ผมเผด็จการและหัวแข็งในคริสตจักร ไม่ยอมรับการกำกับดูแลของใครเลย อุปนิสัยแบบนั้นเหมือนกับพญานาคใหญ่สีแดงไม่ใช่หรือ? ตอนนั้นเองที่ผมตระหนักว่าตัวเองโอหังแค่ไหน ผมไม่สนใจใครหรือแม้แต่พระเจ้า ผมเป็นปรปักษ์กับความจริงโดยไม่รู้ตัว แข่งขันกับพระเจ้า และอยู่บนเส้นทางที่ต่อต้านพระเจ้า หากไม่กลับใจ ผมคงลงเอยด้วยการถูกพระเจ้าทรงสาปแช่งและลงโทษเหมือนกับพญานาคใหญ่สีแดงอย่างแน่นอน จากนั้นมันก็เห็นได้ชัดเจนจริงๆ ว่าผลสืบเนื่องของธรรมชาติอันโอหังของผมนั้นร้ายแรงแค่ไหน เห็นว่าปัญหาของผมไม่ได้เรียบง่ายอย่างการเปิดเผยความเสื่อมทรามเพียงเล็กน้อยอย่างที่ผมเคยคิด ความคิดนั้นย้ำเตือนผมถึงตอนที่ผมต่อว่าและดูแคลนคนอื่นๆ และยกระดับตัวเอง ว่าผมพูดและแสดงตัวราวกับว่าไม่มีใครในโลกนี้เทียบผมได้ ผมรู้สึกคลื่นไส้และรังเกียจตัวเอง ผมตั้งปณิธานว่าผมต้องเริ่มไล่ตามเสาะหาความจริงให้ถูกต้องเหมาะสม แสวงหาหลักธรรมในทุกสิ่ง มีหัวใจที่เคารพพระเจ้า เลิกใช้ชีวิตตามธรรมชาติอันโอหังของตัวเองและเลิกต่อต้านพระเจ้า
หลังจากนั้น เมื่อผมกําลังแสวงหาวิธีเข้าหาความสำเร็จใดๆ ที่อาจมีในหน้าที่อย่างเหมาะสม ผมจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ระหว่างปฏิบัติหน้าที่นั้น พวกเจ้าสัมผัสถึงการทรงนำของพระเจ้าและการให้ความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้หรือไม่? (สัมผัสได้) หากเจ้าสามารถสัมผัสได้ถึงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ยังคงคิดยกย่องตนเอง และคิดว่าเจ้ามีความเป็นจริง เช่นนั้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้น? (เมื่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเราเกิดผลลัพธ์อยู่บ้าง พวกเราย่อมคิดว่าความดีความชอบครึ่งหนึ่งเป็นของพระเจ้า และอีกครึ่งหนึ่งเป็นของพวกเรา พวกเราเชิดชูการให้ความร่วมมือของตนเองอย่างไร้ขอบเขต คิดไปว่าไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่าความร่วมมือของพวกเรา และคิดว่าหากไร้ซึ่งสิ่งนี้ การให้ความรู้แจ้งของพระเจ้าก็ย่อมเป็นไปไม่ได้) แล้วเหตุใดพระเจ้าจึงทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า? พระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งแก่ผู้อื่นเช่นกันได้หรือไม่? (ได้) เมื่อพระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งแก่ใครบางคน สิ่งนี้ย่อมเป็นเพราะพระคุณของพระเจ้า แล้วความร่วมมืออันน้อยนิดในส่วนของเจ้าสิ่งใด? สิ่งนั้นเป็นความดีความชอบที่เจ้าสมควรได้ หรือเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของเจ้า? (เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของพวกเรา) เมื่อเจ้าตระหนักว่านี่เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมมีชุดความคิดที่ถูกต้อง และจะไม่คิดที่จะพยายามเอาความดีความชอบจากการนั้น หากเจ้าคิดอยู่เสมอว่า ‘นี่คือการมีส่วนช่วยของฉัน หากฉันไม่ร่วมมือ การให้ความรู้แจ้งของพระเจ้าจะเป็นไปได้หรือไม่? งานนี้พึงต้องมีความร่วมมือจากมนุษย์ ความร่วมมือของพวกเราทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์มากมาย’ เช่นนั้นเจ้าย่อมคิดผิด หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าและหากไม่มีผู้ใดสามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงกับเจ้า เจ้าจะร่วมมือกันได้อย่างไร? เจ้าย่อมจะไม่รู้ว่าพระเจ้ามีพระประสงค์ในเรื่องใด และจะไม่รู้เส้นทางปฏิบัติ ต่อให้เจ้าอยากนบนอบพระเจ้าและให้ความร่วมมือ เจ้าก็จะไม่รู้วิธี ‘การร่วมมือกัน’ นี้ของเจ้าเป็นเพียงคำพูดอันว่างเปล่ามิใช่หรือ? หากไร้ซึ่งการให้ความร่วมมือโดยแท้จริง เจ้าก็รังแต่จะทำตามแนวคิดของเจ้าเอง–ซึ่งในกรณีนี้ เจ้าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ให้ถึงตามมาตรฐานได้หรือ? แน่นอนว่าไม่ได้ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่มีอยู่ ปัญหาที่ว่านั้นคืออะไร? ไม่ว่าบุคคลหนึ่งจะปฏิบัติหน้าที่ใด ไม่ว่าพวกเขาจะสัมฤทธิ์ผลหรือไม่ ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ตามมาตรฐานและได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับการกระทำของพระเจ้า ต่อให้เจ้าลุล่วงความรับผิดชอบและหน้าที่ของเจ้า หากพระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจ หากพระเจ้าไม่ประทานความรู้แจ้งและไม่ทรงนำเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะไม่รู้เส้นทางของเจ้า ทิศทางของเจ้า หรือเป้าหมายของเจ้า ในท้ายที่สุดแล้วสิ่งใดคือผลของการนั้น? หลังจากตรากตรำทำงานหนักมาตลอดเวลานั้น เจ้าย่อมจะไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสมและย่อมจะไม่ได้รับความจริงและชีวิต—ทั้งหมดย่อมจะสูญเปล่า ดังนั้น การที่หน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติจะถึงมาตรฐานหรือไม่ ทำให้พี่น้องชายหญิงเจริญใจและได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าหรือไม่ จึงขึ้นอยู่กับพระเจ้าทั้งสิ้น! ผู้คนสามารถทำได้เพียงสิ่งเหล่านั้นซึ่งพวกเขาสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ซึ่งพวกเขาควรที่จะทำ และซึ่งอยู่ภายในขีดความสามารถประจำตัวของพวกเขาเท่านั้น—ไม่สามารถทำได้มากไปกว่านั้น เช่นนั้นแล้วในท้ายที่สุด การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้อย่างมีประสิทธิผลจึงขึ้นอยู่กับการนำแห่งพระวจนะของพระเจ้า รวมถึงการประทานความรู้แจ้งและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถเข้าใจความจริงและทำพระบัญชาของพระเจ้าให้เสร็จสิ้นได้ตามเส้นทางที่พระองค์ประทานแก่เจ้า และตามหลักธรรมที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ นี่คือพระคุณและพรจากพระเจ้า และหากผู้คนไม่สามารถมองเห็นสิ่งนี้ พวกเขาก็มืดบอด” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หลักการที่คนเราควรมีในการประพฤติตน) จากพระวจนะของพระเจ้า ผมเข้าใจว่าการที่ผมบรรลุอะไรบางอย่างในหน้าที่ล้วนเป็นเพราะพระคุณของพระเจ้า และความรู้แจ้งกับการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงแสดงความจริงเพื่อให้น้ำและจัดหาให้มนุษย์ ทรงสามัคคีธรรมตามหลักธรรมความจริงในทุกๆ ด้านอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม ตอนนั้นเองที่ผมเข้าใจความจริงบางอย่าง ได้รับทิศทางในหน้าที่ และมีเส้นทางปฏิบัติ ซึ่งทั้งหมดไม่ใช่เพราะผมมีขีดความสามารถที่ดีหรือทำงานได้บ้างเลยสักนิด หากไม่มีการทรงนำของพระวจนะของพระเจ้าหรือความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ว่าขีดความสามารถหรือผมจะพูดดีแค่ไหน ผมก็ไม่มีทางบรรลุอะไรได้เลย และงานเล็กน้อยที่ผมได้ทำนี้ก็คือผมกำลังทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง มันคือความรับผิดชอบของผม ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่อะไร ก็คือสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำ อะไรก็ตามที่บรรลุผลเป็นแค่สิ่งที่ควรทำ และไม่ควรเป็นคุณูปการหรือต้นทุนส่วนตัวของเรา อย่างไรก็ตาม ผมไม่รู้ว่าพรสวรรค์ที่แท้จริงของผมคืออะไร ผมคิดไปว่าความสำเร็จสองสามอย่างแปลว่าผมมีขีดความสามารถที่ดีและเก่งในสิ่งที่ตัวเองทำ และถือว่านั่นเป็นสิ่งที่ผมใช้ประโยชน์ได้ ผมพอใจในตัวเองมาก พยายามขโมยพระเกียรติของพระเจ้า ผมช่างโอหังและไร้เหตุผลเหลือเกิน! อันที่จริง พอมองย้อนกลับไป ตอนที่ผมทำงานจากความโอหังของตัวเอง นอกจากผมจะไม่บรรลุสิ่งใดแล้ว บ่อยครั้งผมยังทำให้งานของพวกเราล่าช้าด้วย ดังเช่นครั้งที่ผมซี้ซั้วให้คนที่ไม่เหมาะสมทำตำแหน่งให้น้ำ ซึ่งทิ้งให้ผู้มาใหม่มากมายไม่สามารถได้รับการให้น้ำและการบำรุงเลี้ยงที่จำเป็นได้ทันเวลา ทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงักอย่างร้ายแรง ในขณะเดียวกัน ผมไม่ได้เข้าสู่หลักธรรมความจริงหรือนำคนอื่นให้ติดตามหลักธรรมในหน้าที่ของพวกเขา นั่นแปลว่าเราไม่บรรลุสิ่งต่างๆ ในงานของพวกเราและมันทำให้ความคืบหน้าของเราล่าช้า แต่ผมไม่เคยทบทวนสิ่งทั้งหมดนั้นเลย แต่ผมกลับยินดีกับตัวเองและโอหังมากขึ้น รู้สึกว่างานของคริสตจักรไม่สามารถขาดผมได้ แต่หากพระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งแก่ผมได้ แน่นอนว่าพระองค์ก็ย่อมทรงให้ความรู้แจ้งแก่คนอื่นได้เช่นกัน ดังนั้น งานของคริสตจักรจะไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ตามปกติหลังจากผมถูกปลดออกงั้นหรือ? ผมคิดว่าคริสตจักรขาดผมไม่ได้ก็เพราะผมโอหังและไม่รู้ความ ผมนึกถึงเปาโลในยุคพระคุณ เขาคิดว่าตัวเองพอมีต้นทุนหลังจากได้ทำงานมาบ้าง และไม่คิดถึงคนอื่นเลย เขาพูดออกมาตรงๆ ว่าตนเองไม่ได้ด้อยไปกว่าสาวกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อีกทั้งยังดูถูกเปโตรอยู่บ่อยครั้ง สุดท้าย เขาก็พยายามใช้งานของตนเองเพื่อร้องขอมงกุฎเป็นบำเหน็จจากพระเจ้า เขาโอหังจนถึงขั้นสูญสิ้นเหตุผล ผมก็เหมือนเปาโลไม่ใช่หรือ? ผมอยู่บนเส้นทางเดียวกับเขา หากไม่มีการพิพากษาและการเปิดเผยแห่งพระวจนะของพระเจ้า ผมก็จะยังคงไม่ตระหนักถึงปัญหาของตัวเอง คิดไปว่าตัวเองยอดเยี่ยม พอเห็นทั้งหมดนี้ ผมก็เกลียดตัวเองจริงๆ ผมอยากสารภาพบาปและกลับใจต่อพระเจ้า
แล้วผมก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “มีใครรู้บ้างว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจอยู่ท่ามกลางมนุษยชาติและสิ่งทรงสร้างทั้งปวงมานานกี่ปีแล้ว? จำนวนปีที่ชัดเจนในการที่พระเจ้าทรงพระราชกิจและบริหารจัดการมนุษยชาติทั้งปวงนั้นไม่มีใครรู้ ไม่มีใครสามารถให้ตัวเลขที่แน่ชัดได้ และพระเจ้าก็ไม่ได้ตรัสบอกให้มนุษยชาติรู้เรื่องเหล่านี้ อย่างไรก็ดีถ้าซาตานจะทำบางสิ่งบางอย่างเช่นนี้ มันจะบอกให้รู้หรือไม่? มันจะพูดแน่นอน มันอยากอวดตัวเพื่อชักพาให้ผู้คนหลงผิดมากขึ้นและทำให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นรู้ถึงคุณูปการที่มันทำ ทำไมพระเจ้าถึงไม่ตรัสบอกเรื่องเหล่านี้? แก่นแท้ของพระเจ้ามีแง่มุมที่ถ่อมใจและซ่อนเร้นอยู่ สิ่งที่ตรงข้ามกับการถ่อมใจและซ่อนเร้นคืออะไร? คือการโอหังและอวดตน… ขณะที่ทรงนำมวลมนุษย์ พระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ และพระองค์ทรงกำกับดูแลทั้งจักรวาล สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก กระนั้นก็ตาม พระองค์กลับไม่เคยตรัสว่า ‘อำนาจของเราพิเศษเหนือธรรมดา’ พระองค์ยังคงซ่อนเร้นท่ามกลางสรรพสิ่ง โดยทรงกำกับดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง บำรุงเลี้ยงและจัดเตรียมให้แก่มนุษยชาติ เปิดโอกาสให้มนุษยชาติคงอยู่ต่อไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า จงดูอากาศและแสงอาทิตย์เป็นตัวอย่างเถิด หรือวัตถุสิ่งของทั้งปวงที่จำเป็นต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์บนแผ่นดินโลก—สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ไหลเวียนไปอย่างไม่หยุดยั้ง การที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับมนุษย์นั้นไม่ต้องสงสัยเลย หากซาตานทำบางสิ่งที่ดี มันจะเก็บสิ่งนั้นไว้เงียบๆ และดำรงตนเป็นวีรบุรุษที่ไม่เป็นที่รู้จักอยู่กระนั้นหรือ? ไม่มีวัน นั่นก็เป็นเหมือนการที่มีพวกศัตรูของพระคริสต์บางคนในคริสตจักรซึ่งก่อนหน้านี้เคยทำงานที่มีอันตราย เคยละทิ้งสิ่งต่างๆ และสู้ทนความทุกข์ และอาจเคยเข้าคุกตารางมาแล้วด้วยซ้ำ ทั้งยังมีบางคนที่เคยมีคุณูปการต่องานด้านหนึ่งในพระนิเวศของพระเจ้าอีกด้วย พวกเขาไม่เคยลืมสิ่งเหล่านี้เลย พวกเขาคิดว่าพวกเขาสมควรได้รับความดีความชอบไปชั่วชีวิตสำหรับสิ่งเหล่านี้ พวกเขาคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือต้นทุนชั่วชีวิตของตน—ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้คนต่ำต้อยเพียงใด! แท้จริงแล้วผู้คนต่ำต้อย และซาตานก็ไร้ยางอาย” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เจ็ด: พวกเขาเลว เคลือบแฝง และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง (ภาคที่สอง)) “พระเจ้าทรงรักมวลมนุษย์ ใส่พระทัยมวลมนุษย์ และทรงแสดงความห่วงใยต่อมวลมนุษย์ ตลอดจนการจัดเตรียมให้มนุษย์อย่างต่อเนื่องและไม่หยุดหย่อน พระองค์ไม่มีวันทรงรู้สึกในพระทัยของพระองค์ว่านี่เป็นพระราชกิจเพิ่มเติม หรือบางสิ่งที่สมควรได้รับความเชื่อถือมากมาย พระองค์ไม่ทรงรู้สึกว่าการช่วยมนุษยชาติให้รอด การหล่อเลี้ยงพวกเขา และการประทานทุกสิ่งทุกอย่างแก่พวกเขา เป็นการมีส่วนร่วมสนับสนุนมวลมนุษย์อย่างมหาศาล พระองค์เพียงทรงจัดเตรียมให้มวลมนุษย์อย่างเงียบๆ และสงบ ด้วยวิธีของพระองค์เองและโดยผ่านทางแก่นแท้ของพระองค์เอง และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น ไม่สำคัญว่ามวลมนุษย์ได้รับการจัดเตรียมมากเพียงใด และความช่วยเหลือมากเพียงใดจากพระองค์ พระเจ้าก็ไม่มีวันทรงนึกถึงหรือทรงพยายามที่จะได้รับความเชื่อถือ การนี้ถูกกำหนดโดยแก่นแท้ของพระเจ้า และยังเป็นการแสดงออกที่แท้จริงถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างแม่นยำอีกด้วย” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1) ผมใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า และเห็นว่าพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระองค์นั้นเปี่ยมเมตตาแค่ไหน! พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างผู้ทรงปกครองและค้ำจุนทุกสรรพสิ่งโดยสมบูรณ์ พระองค์ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง ทรงแสดงความจริงเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ทรงยอมลำบากหนักหนาเพื่อเรา อย่างไรก็ตาม พระองค์ไม่เคยทรงคิดว่านี่เป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่แก่มวลมนุษย์ พระองค์ไม่เคยทรงคุยโวโอ้อวดอะไรทั้งสิ้น พระองค์เพียงแต่ทรงพระราชกิจของพระองค์เองอย่างเงียบๆ แก่นแท้พระชนม์ชีพของพระเจ้านั้นเปี่ยมเมตตาและไร้ซึ่งความโอหังหรืออวดตัวใดๆ พระองค์ทรงควรค่าแก่ความรักและการสรรเสริญชั่วกาลนานของพวกเรา ผมเป็นมนุษย์ที่ไม่มีนัยสำคัญใดๆ แต่ผมก็ยังโอหังมาก ต้องการมีสิทธิ์ชี้ขาดในสิ่งต่างๆ เสมอ ผมหน้ามืดกับความสำเร็จที่เล็กน้อยที่สุด ราวกับว่ามันเป็นศิลปะชิ้นเอก เป็นผลงานอันยิ่งใหญ่อะไรสักอย่าง ผมดูแคลนทุกคนและเอาแต่ใจ ผมช่างไร้เหตุผล และตื้นเขินยิ่งนัก พระเจ้าถ่อมพระทัยและซ่อนเร้น อีกทั้งทรงมีแก่นแท้อันเปี่ยมเมตตา ซึ่งทำให้ผมรู้สึกรุนแรงขึ้นไปอีกว่าอุปนิสัยอันโอหังของผมนั้นนั้นน่าคลื่นเหียนและน่ารังเกียจเพียงใด และทำให้ผมถวิลหาที่จะเรียนรู้ความจริงอย่างแท้จริงเพื่อกำจัดมันไปโดยเร็ว เพื่อใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์
จากนั้น ระหว่างการชุมนุมครั้งหนึ่ง ผมได้อ่านบทตอนนี้ในพระวจนะ พระเจ้าตรัสว่า “วันนี้ พระเจ้าทรงพิพากษาพวกเจ้า ตีสอนพวกเจ้า และกล่าวโทษพวกเจ้า แต่เจ้าต้องรู้ว่าประเด็นของการกล่าวโทษพวกเจ้าคือ เพื่อให้เจ้ารู้จักตัวเอง พระองค์ทรงกล่าวโทษ สาปแช่ง พิพากษา และตีสอน ก็เพื่อที่เจ้าอาจจะรู้จักตัวเจ้าเอง เพื่อที่อุปนิสัยของเจ้าอาจจะเปลี่ยนแปลง และที่ยิ่งไปมากกว่านั้นก็คือ เพื่อที่เจ้าอาจจะรู้คุณค่าของเจ้าเอง และมองเห็นว่าการกระทำทั้งหมดของพระเจ้านั้นชอบธรรมและเป็นไปโดยสอดคล้องกับพระอุปนิสัยของพระองค์และข้อพึงประสงค์ทั้งหลายแห่งพระราชกิจของพระองค์ มองเห็นว่าพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจโดยสอดคล้องกับแผนการของพระองค์เพื่อความรอดของมนุษย์ และมองเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ชอบธรรม ผู้ซึ่งทรงรัก ทรงช่วยให้รอด ทรงพิพากษา และทรงตีสอนมนุษย์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรละมือจากพรเกี่ยวกับสถานะและทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าเรื่องการนำความรอดมาสู่มนุษย์) พออ่านพระวจนะบทตอนนี้ ผมก็ตื้นตันใจอย่างมากและเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ดีขึ้นเล็กน้อย ผมกำลังทำหน้าที่โดยพึ่งพาอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ทำให้งานหยุดชะงัก จึงถูกคริสตจักรปลดออกตามหลักธรรมทั้งหลาย ผมคิดว่าพระเจ้ากำลังทรงเปิดโปงและกำจัดผมออกไป คิดว่าพระองค์กำลังทรงกล่าวโทษผมและผมไม่อาจถูกช่วยให้รอดได้ ในที่สุดผมก็ตระหนักว่าการถูกปลดไม่ใช่การถูกเปิดโปงหรือกำจัดออกไป ว่าการปลดช่วยยับยั้งก้าวย่างอันชั่วร้ายของผมในเวลาที่เหมาะสม ทำให้ผมตระหนักรู้อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตัวเอง และแสดงให้ผมเห็นว่าผมอยู่บนเส้นทางที่ผิด นี่คือความรอดและความรักที่จริงแท้ที่สุดที่พระเจ้าทรงมีให้ผม
หลังจากนั้น ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง ผมได้เปิดโปงและชำแหละตัวเองว่าก่อนหน้านี้ผมโอหังในหน้าที่อย่างไร ผมทำร้ายพี่น้องชายหญิงอย่างไร และหลังจากถูกปลดผมได้ทบทวนอย่างไร ตอนแรกผมคิดว่า ทุกคนคงรังเกียจและไม่อยากข้องแวะกับผมอีกเมื่อได้เห็นว่าที่ผ่านมาผมขาดความเป็นมนุษย์แค่ไหน แต่ก็ต้องประหลาดใจที่พวกเขาไม่ได้ติเตียนผมอย่างรุนแรง ผมรู้สึกติดค้างพวกเขายิ่งขึ้นไปอีก ผมทำร้ายทุกคนด้วยอุปนิสัยเสื่อมทรามและไร้ความเป็นมนุษย์อย่างมากมาตลอด ต่อมา เมื่อผมทำหน้าที่ร่วมกับพี่น้องชายหญิงอีกครั้ง ผมก็สงบเสงี่ยมขึ้นมาก ผมเลิกดูแคลนพี่น้องชายหญิงหรือไม่ยอมรับข้อผิดพลาดของพวกเขา และสามารถปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเหมาะสมได้ ผมยังตั้งสติรับฟังข้อเสนอแนะต่อปัญหาต่างๆ ของผู้อื่น เลิกเชื่อมั่นในตัวเองเกินไป และเลิกทำตัวตามอำเภอใจอีกด้วย หลังจากนั้นไม่นาน สภาวะของผมก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี และได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้างานอีกครั้ง ลึกๆ แล้วผมรู้ว่านั่นคือการที่พระเจ้าทรงยกระดับและประทานพระคุณแก่ผม ผมนึกย้อนไปถึงเมื่อก่อนที่เคยโอหังในหน้าที่ อีกทั้งขัดขวางและทำให้งานของคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงหยุดชะงัก และคริสตจักรก็ยังคงให้โอกาสผมทำหน้าที่ที่สำคัญเช่นนั้นอีกครั้ง ผมได้ประสบกับพระเมตตากรุณาของพระเจ้าอย่างแท้จริง ในหน้าที่ของผมหลังจากนั้น ผมเลิกพึ่งพาอุปนิสัยโอหังของตัวเองเพื่อทำตามอำเภอใจ แต่ผมมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าอยู่บ้าง และอธิษฐานต่อพระองค์ในหน้าที่ของผมอยู่ตลอด เมื่อประสบกับปัญหาที่จัดการไม่ได้ ผมก็หารือกับคนอื่นเพื่อให้เราสามารถแสวงหาหลักธรรมความจริงร่วมกันได้ หลังจากทำแบบนั้นได้สักพัก ผมก็ตระหนักว่าผลงานของทั้งทีมเราดีขึ้นอย่างมาก ตอนที่ผมทำทุกอย่างด้วยตัวเอง และไม่จับคู่หรือหารือสิ่งต่างๆ กับคนอื่น ผมเหน็ดเหนื่อยจริงๆ มีหลายอย่างที่ผมไม่ได้นำมาคิดพิจารณาอย่างเต็มที่ เราจึงไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี แต่ตอนนี้ที่ผมหารือประเด็นปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับพี่น้องชายหญิง และเราชดเชยจุดอ่อนของอีกฝ่ายด้วยจุดแข็งของกันและกัน ก็แก้ไขปัญหาได้ง่ายขึ้นมาก ด้วยการร่วมมือกับคนอื่น ผมเห็นได้ว่าพวกเขามีจุดแข็งอยู่บ้างจริงๆ บางคนให้ความสนใจแสวงหาความจริงในหน้าที่และปฏิบัติงานตามหลักธรรม บางคนอาจจะไม่มีขีดความสามารถมากมาย แต่พวกเขาอุตสาหะและค้ำจุนงานของคริสตจักร สิ่งเหล่านั้นเป็นจุดแข็งที่ผมไม่มี ก่อนหน้านั้น ผมติดเสมอว่าผมเหนือกว่าและแกร่งกว่าคนอื่น ยกย่องตัวเองและต่อว่าพวกเขาบ่อยครั้ง ทำให้ทุกคนรู้สึกถูกบีบคั้นและหมางเมินผม ซึ่งเจ็บปวดสำหรับผมมาก ตอนนี้ผมรู้ว่าผมเป็นเพียงแค่สิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เป็นมนุษย์ที่เสื่อมทราม และไม่มีอะไรที่ทำให้ผมโดดเด่นจากคนอื่นๆ ผมปฏิสัมพันธ์ตามปกติและร่วมมือกับพี่น้องชายหญิงอย่างปรองดอง ผมได้เรียนรู้จากจุดแข็งของพี่น้องชายหญิงเพื่อชดเชยข้อบกพร่องของตัวเอง นั่นเป็นหนทางใช้ชีวิตที่เป็นอิสระและง่ายดายขึ้นมาก
หนึ่งปีต่อมา ในการชุมนุมทุกคนสามัคคีธรรมถึงสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้และได้รับประสบการณ์มาตลอดปีนั้น ผมฟังอย่างเงียบๆ คิดย้อนไปว่าปีนั้นผมได้รับอะไรมาบ้าง จากนั้นผมก็ตระหนักว่าพระเจ้าได้ทรงช่วยผมให้รอดด้วยการทำให้ผมถูกแทนที่ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น ผมก็จะยังคงไม่เห็นว่าธรรมชาติอันโอหังของผมร้ายแรงแค่ไหน ไม่เห็นว่าผมนั้นใจแคบและทำตามอำเภอใจเพียงเพราะมีพรสวรรค์อยู่บ้าง และคงยังไม่ตระหนักว่าผมต่อต้านพระเจ้าอยู่ การบ่มวินัยของพระเจ้าและการเปิดเผยแห่งพระวจนะของพระเจ้าคือสิ่งที่ทำให้ผมรู้จักธรรมชาติอันโอหังของตัวเอง เรื่องนี้ยังสอนผมนิดหน่อยเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า และทำให้ผมมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าขึ้นบ้าง ผมขอบคุณสำหรับความรอดของพระเจ้าอย่างยิ่งครับ!