เจ้าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าที่แท้จริงหรือไม่?

เจ้าอาจได้เดินบนเส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้ามานานกว่าหนึ่งหรือสองปีแล้ว และบางทีเจ้าได้สู้ทนต่อความยากลำบากอย่างมากในชีวิตของเจ้าในระหว่างหลายปีมานี้ หรือบางทีเจ้าไม่ได้สู้ทนต่อความยากลำบากอย่างมาก และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับได้รับพระคุณอย่างมาก อาจเป็นไปได้อีกด้วยว่าเจ้าไม่ได้ผ่านประสบการณ์ทั้งความยากลำบากและพระคุณ แต่มีชีวิตที่ค่อนข้างธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นแบบใดที่กล่าวมาเจ้าก็ยังคงเป็นสาวกของพระเจ้า ดังนั้นพวกเราจงมาร่วมสามัคคีธรรมกันในหัวข้อของการติดตามพระเจ้ากันเถิด อย่างไรก็ตามเราต้องเตือนความจำผู้คนทุกคนที่อ่านวจนะเหล่านี้ว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นถูกชี้ตรงไปยังบรรดาผู้ที่ยอมรับและติดตามพระองค์ ไม่ใช่ไปยังผู้คนทุกคนโดยไม่ว่าพวกเขาจะยอมรับพระองค์หรือไม่ หากเจ้าเชื่อว่าพระเจ้าตรัสต่อผองชน ต่อผู้คนทั้งหมดในโลก เช่นนั้นแล้วพระวจนะของพระเจ้าก็ย่อมจะไม่ส่งผลใดต่อเจ้าเลย ดังนั้นแล้วเจ้าควรจดจำพระวจนะเหล่านี้ทั้งหมดไว้ในหัวใจของเจ้า และไม่แยกตัวเจ้าเองออกจากพระวจนะเหล่านี้ตลอดเวลา ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม พวกเรามาพูดถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในบ้านของพวกเรากันเถิด

บัดนี้พวกเจ้าทุกคนควรเข้าใจความหมายที่แท้จริงของความเชื่อในพระเจ้า ความหมายของความเชื่อในพระเจ้าซึ่งเราได้เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการเข้าสู่ในเชิงบวกของพวกเจ้า วันนี้แตกต่างออกไป กล่าวคือ วันนี้เราต้องการชำแหละแก่นแท้ของความเชื่อในพระเจ้าของพวกเจ้า แน่นอนว่า นี่เป็นการชี้นำพวกเจ้าจากแง่มุมเชิงลบ หากเราไม่ได้ทำเช่นนั้น พวกเจ้าก็คงไม่มีทางรู้จักใบหน้าที่แท้จริงของพวกเจ้าเอง และคงจะอวดตัวในความเคร่งครัดศรัทธาและความสัตย์ซื่อของเจ้าไปตลอดกาล มันยุติธรรมที่จะพูดว่าหากเราไม่ได้เปิดโปงความน่าเกลียดในส่วนลึกของหัวใจของพวกเจ้าออกมา เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าแต่ละคนก็คงจะวางมงกุฎไว้บนหัวของเจ้าและเก็บความรุ่งโรจน์ทั้งหมดไว้เพื่อตัวพวกเจ้าเอง ธรรมชาติอันโอหังและทะนงตนของพวกเจ้าขับดันพวกเจ้าให้ทรยศต่อมโนธรรมของเจ้าเอง ให้ต่อต้านและเป็นกบฏต่อพระคริสต์ และเปิดเผยความอัปลักษณ์ของพวกเจ้าออกมา ด้วยเหตุนั้น เจตนา มโนคติที่หลงผิด ความอยากอันฟุ้งเฟ้อและดวงตาที่เต็มไปด้วยความโลภของพวกเจ้าจึงถูกนำมาเผยให้รู้ทั่วกัน และกระนั้นพวกเจ้าก็ยังคงพูดพร่ำต่อไปเกี่ยวกับความปรารถนาอันแรงกล้าของเจ้าที่มีมาตลอดชีวิตเพื่อพระราชกิจของพระคริสต์ และพร่ำพูดความจริงที่พระคริสต์ตรัสไว้นานมาแล้วซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่คือ “ความเชื่อ” ของพวกเจ้า—“ความเชื่อที่ปราศจากราคี” ของพวกเจ้า เราได้ยึดมนุษย์ไว้กับมาตรฐานที่เคร่งครัดมาโดยตลอด หากความจงรักภักดีของเจ้ามาพร้อมกับเจตนาและสภาพเงื่อนไขนานาสารพัน เช่นนั้นแล้วเราน่าจะอยู่โดยปราศจากสิ่งที่เรียกว่าความจงรักภักดีของเจ้าจะดีเสียกว่า เพราะเราชิงชังพวกที่หลอกลวงเราผ่านเจตนาทั้งหลายของพวกเขาและบีบคั้นเราด้วยสภาพเงื่อนไขนานาสารพัน เราหวังเพียงให้มนุษย์นั้นจงรักภักดีต่อเราอย่างบริบูรณ์ และให้ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประโยชน์—และเพื่อพิสูจน์—คำๆเดียว นั่นก็คือความเชื่อ เราดูหมิ่นการใช้คำประจบสอพลอทั้งหลายของพวกเจ้าเพื่อพยายามทำให้เราชื่นบาน เพราะเรานั้นปฏิบัติต่อพวกเจ้าด้วยความจริงใจเสมอมา และดังนั้นจึงหวังให้พวกเจ้าปฏิบัติต่อเราด้วยความเชื่อที่แท้จริงเช่นเดียวกัน เมื่อพูดถึงความเชื่อคนจำนวนมากอาจคิดว่าพวกเขาติดตามพระเจ้าเพราะพวกเขามีความเชื่อ และหากไม่เช่นนั้นแล้ว คงจะไม่สู้ทนต่อความทุกข์เช่นนั้น ดังนั้นเราจึงถามคำถามนี้กับเจ้าว่าหากเจ้าเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า เหตุใดเจ้าจึงไม่ยำเกรงพระองค์? หากเจ้าเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า ทำไมจึงไม่มีความพรั่นพรึงต่อพระองค์แม้แต่น้อยในหัวใจของเจ้า? เจ้ายอมรับว่าพระคริสต์คือการประสูติเป็นมนุษย์มนุษย์ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว ทำไมเจ้าจึงถือว่าพระองค์น่าเหยียดหยาม? เหตุใดเจ้าจึงปฏิบัติต่อพระองค์อย่างไม่เคารพ? เหตุใดเจ้าจึงตัดสินพระองค์อย่างเปิดเผย? เหตุใดเจ้าจึงคอยสอดแนมความเคลื่อนไหวของพระองค์เสมอ? เหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมนบนอบการจัดการเตรียมการต่างๆ ของพระองค์?  เหตุใดเจ้าจึงไม่ปฏิบัติอย่างสอดคล้องกับพระวจนะของพระองค์? เหตุใดเจ้าจึงรีดไถและปล้นเครื่องบูชาของพระองค์ไปจากพระองค์? เหตุใดเจ้าจึงพูดแทนพระคริสต์? เหตุใดเจ้าจึงตัดสินว่าพระราชกิจของพระองค์และพระวจนะของพระองค์นั้นถูกต้องหรือไม่? เหตุใดเจ้าจึงกล้าหมิ่นประมาทพระองค์ลับหลังพระองค์? สิ่งเหล่านี้และสิ่งอื่นๆ คือสิ่งที่ประกอบขึ้นเป็นความเชื่อของเจ้าอย่างนั้นหรือ?

ในวาจาและพฤติกรรมของพวกเจ้านั้นคือองค์ประกอบของความไม่เชื่อในพระคริสต์ของพวกเจ้าที่ถูกเปิดเผยออกมา ความไม่เชื่อแผ่ซ่านไปทั่วสิ่งจูงใจและวัตถุประสงค์ทั้งหลายของทั้งหมดที่พวกเจ้าทำ แม้แต่บุคลิกลักษณะของการเพ่งมองของเจ้าก็ยังบรรจุไปด้วยความไม่เชื่อในพระคริสต์ อาจกล่าวได้ว่าในทุกๆ นาที พวกเจ้าแต่ละคนเก็บงำองค์ประกอบของความไม่เชื่อเอาไว้ นี่หมายความว่าในทุกชั่วขณะพวกเจ้าอยู่ในอันตรายจากการทรยศต่อพระคริสต์ เพราะโลหิตที่แล่นไปทั่วร่างกายของพวกเจ้านั้นซึมซ่านไปด้วยความไม่เชื่อในพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์มนุษย์ เพราะฉะนั้นเราจึงกล่าวว่ารอยเท้าที่พวกเจ้าทิ้งไว้บนเส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้าไม่เป็นจริง ขณะที่พวกเจ้าเดินไปบนเส้นทางของความเชื่อในพระเจ้า เจ้าไม่ได้วางเท้าของเจ้าบนพื้นดินอย่างหนักแน่น—เจ้าเพียงแค่ทำท่าไปอย่างนั้น พวกเจ้าไม่เคยเชื่อในพระวจนะของพระคริสต์อย่างสุดใจและไม่สามารถนำพระวจนะไปปฏิบัติได้ในทันที นี่คือเหตุผลที่พวกเจ้าไม่มีความเชื่อในพระคริสต์ การมีมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระองค์เสมอเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พวกเจ้าไม่มีความเชื่อในพระองค์ การเคลือบแคลงสงสัยตลอดกาลเกี่ยวกับพระราชกิจของพระคริสต์ การปล่อยให้พระวจนะของพระคริสต์เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา การแสดงความเห็นเกี่ยวกับพระราชกิจอะไรก็ตามที่พระคริสต์ทรงกระทำและการไม่สามารถเข้าใจพระราชกิจของพระองค์ได้อย่างถูกต้อง การดิ้นรนที่จะกันเก็บมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเอาไว้ไม่ว่าเจ้าจะได้รับการอธิบายใดก็ตาม เป็นต้น ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นองค์ประกอบของความไม่เชื่อที่ระคนอยู่ภายในใจของพวกเจ้า แม้ว่าพวกเจ้าจะติดตามพระราชกิจของพระคริสต์และไม่เคยล้าหลังเลยก็ตาม แต่หัวใจของพวกเจ้าก็มีความเป็นกบฏผสมอยู่มากเกินไป  ความเป็นกบฏนี้เป็นสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ในการเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้า บางทีพวกเจ้าไม่ได้คิดว่านี่เป็นกรณีปัญหา แต่หากเจ้าไม่สามารถระลึกรู้เจตนาของพวกเจ้าซึ่งมาจากภายในสิ่งนี้ได้ ถ้าอย่างนั้นแล้วเจ้าก็มีแนวโน้มที่จะไปอยู่ท่ามกลางพวกที่พินาศ เพราะพระเจ้าทรงทำให้มีความเพียบพร้อมเฉพาะบรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์อย่างแท้จริงเท่านั้น ไม่ใช่บรรดาผู้ที่เคลือบแคลงสงสัยในพระองค์ และที่น้อยที่สุดก็คือบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์อย่างอิดออดทั้งที่ไม่เคยเชื่อว่าพระองค์คือพระเจ้า

บางคนไม่รักความจริง และยิ่งไม่รักการพิพากษา  แต่กลับรักอำนาจและความร่ำรวย ผู้คนเช่นนี้ได้ชื่อว่าเป็นนักแสวงหาอำนาจ  พวกเขาค้นหาแต่นิกายที่มีอำนาจในโลก ค้นหาแต่ศิษยาภิบาลและคณาจารย์ที่มาจากโรงเรียนสอนศาสนา  แม้พวกเขาจะยอมรับหนทางแห่งความจริงแล้ว แต่ก็เชื่อเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ไม่สามารถมอบหัวใจและจิตใจทั้งดวงของตน ปากของพวกเขากล่าวคำว่าสละตนเพื่อพระเจ้า แต่สายตาของพวกเขากลับจดจ่ออยู่ที่ศิษยาภิบาลและคณาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ชายตามองพระคริสต์เป็นคำรบสอง  จิตใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความคิดเรื่องชื่อเสียง ผลประโยชน์ และความรุ่งโรจน์  พวกเขานึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนตัวเล็กๆ เช่นนี้จะสามารถพิชิตได้มากขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาเช่นนี้จะสามารถทำให้มนุษย์เพียบพร้อมได้  พวกเขาคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนนอกสายตาที่อยู่กลางฝุ่นและกองขยะเหล่านี้จะเป็นประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  พวกเขาเชื่อว่าถ้าผู้คนดังกล่าวคือเป้าหมายที่พระเจ้าจะทรงช่วยให้รอด เช่นนั้นสวรรค์และแผ่นดินโลกก็คงจะพลิกกลับด้าน และทุกคนก็คงจะหัวเราะกันจนท้องคัดท้องแข็ง  พวกเขาเชื่อว่าหากพระเจ้าทรงเลือกสรรผู้คนดังกล่าวมาทำให้เพียบพร้อม เช่นนั้นแล้วมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายก็คงจะกลายเป็นพระเจ้าพระองค์เอง  มุมมองของพวกเขามีความไม่เชื่อเจืออยู่ และที่ยิ่งกว่าการไม่เชื่อก็คือ พวกเขาเป็นเพียงสัตว์ป่าที่ไร้สำนึก เพราะให้ค่าแต่สถานะ เกียรติ และอำนาจเท่านั้น ยกย่องนับถือเฉพาะกลุ่มและนิกายใหญ่โตเท่านั้น และไม่ได้นับถือคนที่พระคริสต์ทรงนำแม้แต่น้อย  พวกเขาเป็นเพียงคนทรยศที่หันหลังให้พระคริสต์ ความจริง และชีวิต

สิ่งที่เจ้าเลื่อมใสนั้นไม่ใช่ความถ่อมใจของพระคริสต์ แต่เจ้ากลับเคารพผู้เลี้ยงเทียมเท็จที่มีตำแหน่งอันโดดเด่น  เจ้าไม่ได้ชื่นชมบูชาความดีงามหรือพระปัญญาของพระคริสต์ แต่เจ้าชื่นชอบพวกคนเสเพลที่คล้อยตามความโสมมของโลก  เจ้าเอาแต่เยาะเย้ยความเจ็บปวดของพระคริสต์เพราะไม่มีที่จะวางพระเศียร แต่กลับเลื่อมใสซากศพที่ตามล่าของถวายและใช้ชีวิตอยู่กับความเสเพลพวกนั้น  เจ้าไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์เคียงข้างพระคริสต์ แต่เจ้ากลับยินดีที่จะโผเข้าสู่อ้อมแขนของศัตรูของพระคริสต์ที่เอาแต่ใจและไม่ยั้งคิดเหล่านั้น ทั้งที่พวกเขามีให้เจ้าเพียงแค่เนื้อหนัง คำพูด และการควบคุม  แม้กระทั่งในเวลานี้ หัวใจของเจ้าก็ยังคงหันไปหาพวกเขา หาความมีหน้ามีตาของพวกเขา สถานะของพวกเขา กลุ่มคนของพวกเขา  กระนั้นเจ้าก็ยังคงมีท่าทีว่าพระราชกิจของพระคริสต์นั้นยากที่จะยอมรับ และไม่เต็มใจที่จะยอมรับพระราชกิจนั้น  เพียงเพราะเหตุนี้ เราจึงกล่าวว่าเจ้าขาดความเชื่อที่จะยอมรับพระคริสต์  เหตุผลที่เจ้าได้ติดตามพระองค์มาจนถึงวันนี้ก็เพียงเพราะเจ้าไม่มีทางเลือกอื่น  ภาพลักษณ์อันสูงส่งมากมายตั้งตระหง่านอยู่ในหัวใจของเจ้าตลอดไป เจ้าไม่อาจลืมทุกคำพูดและทุกการกระทำของพวกเขา รวมถึงคำพูดกับมือที่มีอิทธิพลของพวกเขา  ในหัวใจของพวกเจ้า พวกเขาคือผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาลและเป็นวีรบุรุษไป  แต่หาได้เป็นเช่นนั้นสำหรับพระคริสต์ในวันนี้ไม่  ในหัวใจของเจ้า พระองค์ยังคงไร้ความสำคัญตลอดไปและไม่คู่ควรที่จะได้รับความยำเกรงตลอดกาล  เพราะพระองค์ทรงธรรมดามากเกินไป ทรงมีอิทธิพลน้อยเกินไป และยังห่างไกลจากความสูงส่ง

ไม่ว่าในกรณีใด เราขอบอกว่าทุกคนที่ไม่เห็นค่าของความจริงคือผู้ไม่เชื่อและเป็นคนที่ทรยศความจริง  พวกมนุษย์เช่นนั้นจะไม่มีวันได้รับความเห็นชอบจากพระคริสต์  บัดนี้เจ้าระบุออกมาหรือยังว่ามีความไม่เชื่ออยู่ในตัวเจ้ามากเท่าใด และเจ้ามีการทรยศพระคริสต์อยู่มากเท่าใด?  เราจะเตือนสติเจ้าดังนี้ว่า ในเมื่อเจ้าเลือกหนทางแห่งความจริงไปแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ควรอุทิศตนอย่างสุดหัวใจ จงอย่าลังเลหรือทำตัวเหลาะแหละ  เจ้าควรเข้าใจว่าพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าของโลกหรือของใครคนหนึ่ง แต่เป็นพระเจ้าของทุกคนที่เชื่อในพระองค์อย่างแท้จริง ทุกคนที่นมัสการพระองค์ รวมทั้งทุกคนที่อุทิศตนและสัตย์ซื่อต่อพระองค์

วันนี้ความไม่เชื่อมากมายยังคงมีอยู่ภายในตัวพวกเจ้า จงมองภายในตัวของพวกเจ้าเองอย่างตั้งใจ แล้วเจ้าจะพบคำตอบของเจ้าอย่างแน่นอน เมื่อเจ้าพบคำตอบที่แท้จริง เมื่อนั้นเจ้าจะยอมรับว่าเจ้าไม่ใช่ผู้ที่เชื่อในพระเจ้า แต่ตรงกันข้ามเป็นผู้ที่หลอกลวง หมิ่นประมาท และทรยศพระองค์ และผู้ที่ไม่จงรักภักดีต่อพระองค์ เมื่อนั้นเจ้าจะตระหนักว่าพระคริสต์ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นพระเจ้า เมื่อวันนั้นมาถึง เจ้าจะยำเกรง พรั่นพรึง และรักพระคริสต์อย่างแท้จริง ณ ปัจจุบัน มีเพียงสามสิบในร้อยส่วนของหัวใจของพวกเจ้าที่ถูกเติมด้วยความเชื่อ ในขณะที่อีกเจ็ดสิบในร้อยส่วนนั้นเต็มไปด้วยความกังขา ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระคริสต์ทรงกระทำและตรัสนั้นมีแนวโน้มที่จะให้พวกเจ้าได้มีมโนคติที่หลงผิดและความคิดเห็นเกี่ยวกับพระองค์ มโนคติที่หลงผิดและความคิดเห็นที่ก่อเกิดขึ้นมาจากความไม่เชื่อในพระองค์โดยสิ้นเชิงของพวกเจ้า พวกเจ้าเลื่อมใสและพรั่นพรึงต่อพระเจ้าในสวรรค์เท่านั้นที่ไม่มีผู้ใดมองเห็นเท่านั้น และไม่ได้มีความสนใจให้กับพระคริสต์ผู้ทรงพระชนม์ชีพบนแผ่นดินโลก นี่ไม่ใช่ความไม่เชื่อของพวกเจ้าเช่นกันหรอกหรือ?  พวกเจ้าโหยหาแต่พระเจ้าที่ได้ทรงพระราชกิจในอดีตเท่านั้น แต่ไม่ยอมเผชิญหน้ากับพระคริสต์ในวันนี้ ทั้งหมดนี้คือ “ความเชื่อ” ที่คลุกเคล้าอยู่ในหัวใจของพวกเจ้าตลอดกาล ความเชื่อที่ไม่เชื่อในพระคริสต์ของวันนี้ เราไม่ได้กำลังประเมินพวกเจ้าผิดไปแต่ประการใดเลย เพราะความไม่เชื่อนั้นมีอยู่มากเกินไปภายในพวกเจ้า มีส่วนที่ไม่บริสุทธิ์มากเกินไปในตัวพวกเจ้าและจะต้องถูกชำแหละออกมาดู ความไม่บริสุทธิ์เหล่านี้เป็นสัญญาณว่าพวกเจ้าไม่มีความเชื่อเลยแม้แต่น้อย ความไม่บริสุทธิ์เหล่านี้เป็นเครื่องหมายของการปฏิเสธพระคริสต์ของพวกเจ้า และความไม่บริสุทธิ์เหล่านี้ตีตราพวกเจ้าว่าเป็นคนทรยศต่อพระคริสต์ ความไม่บริสุทธิ์เหล่านี้คือม่านบางบดบังความรู้เกี่ยวกับพระคริสต์ของพวกเจ้า คือเครื่องขวางกั้นอย่างหนึ่งต่อการถูกรับไว้โดยพระคริสต์ของพวกเจ้า คืออุปสรรคอย่างหนึ่งต่อการเข้ากันได้กับพระคริสต์ของพวกเจ้า และคือข้อพิสูจน์ว่าพระคริสต์ไม่ยอมรับพวกเจ้า บัดนี้เป็นเวลาที่จะตรวจดูทุกๆ ส่วนของชีวิตของพวกเจ้าแล้ว!  การทำเช่นนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้าในทุกหนทางเท่าที่จะจินตนาการได้!

ก่อนหน้า: เจ้าควรแสวงหาหนทางแห่งการเข้ากันได้กับพระคริสต์

ถัดไป: พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger