ทุกสิ่งสัมฤทธิ์ได้ด้วยพระวจนะของพระเจ้า

พระเจ้าตรัสพระวจนะของพระองค์และทรงพระราชกิจของพระองค์โดยสอดคล้องกับยุคที่แตกต่างกัน และในยุคที่แตกต่างกัน พระองค์ตรัสพระวจนะที่แตกต่างกัน  พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ หรือทรงกระทำซ้ำพระราชกิจเดียวกัน หรือทรงรู้สึกอาลัยอาวรณ์ต่อสิ่งทั้งหลายที่เป็นอดีตไปแล้ว พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าองค์หนึ่งผู้ทรงใหม่อยู่เสมอและไม่มีวันเก่า และพระองค์ตรัสพระวจนะใหม่ๆ ทุกวัน  เจ้าควรปฏิบัติตามสิ่งซึ่งควรได้รับการปฏิบัติตามในวันนี้ นี่คือความรับผิดชอบและหน้าที่ของมนุษย์  เป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวดที่การฝึกฝนปฏิบัตินั้นจะต้องมีศูนย์กลางอยู่รอบความสว่างและพระวจนะของพระเจ้าในปัจจุบัน  พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ และสามารถตรัสออกมาจากมุมมองทั้งหลายอันแตกต่างออกไปเพื่อให้พระปัญญาและฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระองค์นั้นเข้าใจได้ง่ายขึ้น  ไม่สำคัญว่าพระองค์ตรัสออกมาจากมุมมองของพระวิญญาณ หรือของมนุษย์ หรือของบุคคลที่สาม—พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเสมอ และเจ้าไม่สามารถพูดได้ว่าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้าด้วยเหตุจากมุมมองของมนุษย์ซึ่งพระเจ้าทรงใช้ในการตรัสออกมา  ท่ามกลางผู้คนบางคนได้มีมโนคติที่หลงผิดอุบัติขึ้นโดยเป็นผลมาจากมุมมองทั้งหลายอันแตกต่างกันซึ่งพระเจ้าทรงใช้ในการตรัสออกมา  ผู้คนเช่นนั้นไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า และไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระราชกิจของพระองค์  หากพระเจ้าได้ตรัสออกมาจากหนึ่งมุมมองเสมอ มนุษย์จะไม่วางกฎเกณฑ์ทั้งหลายเกี่ยวกับพระเจ้าออกมาหรอกหรือ?  พระเจ้าจะสามารถยอมให้มนุษย์ปฏิบัติในหนทางเช่นนั้นหรือ?  ไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสออกมาจากมุมมองด้านใด พระองค์ทรงมีจุดมุ่งหมายต่างๆ ในการทำเช่นนั้น  หากพระเจ้าจะต้องตรัสออกมาจากมุมมองของพระวิญญาณเสมอ เจ้าจะสามารถเข้าเชื่อมความสัมพันธ์กับพระองค์ได้หรือ?  ด้วยเหตุนี้ บางครั้งพระองค์จึงตรัสในฐานะบุคคลที่สามเพื่อทรงจัดเตรียมพระวจนะของพระองค์ให้กับเจ้าและทรงนำเจ้าเข้าสู่ความเป็นจริง  ทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งพระเจ้าทรงทำนั้นเหมาะสม  สรุปสั้นๆ ทุกสิ่งล้วนทรงกระทำโดยพระเจ้าทั้งสิ้น และเจ้าไม่ควรสงสัยในการนี้  พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และด้วยเหตุนี้จึงไม่สำคัญว่าพระองค์ตรัสออกมาจากมุมมองด้านใด พระองค์จะทรงเป็นพระเจ้าเสมอ  นี่คือความจริงอันมิอาจเปลี่ยนแปลงได้ประการหนึ่ง  ไม่ว่าพระองค์จะทรงพระราชกิจอย่างไร พระองค์ก็ยังคงเป็นพระเจ้า และแก่นแท้ของพระองค์จะไม่เปลี่ยนแปลง!  เปโตรรักพระเจ้ามากยิ่งนักและเป็นมนุษย์ที่ทำได้ตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงเป็นพยานให้เขาในฐานะองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือพระคริสต์ ด้วยเหตุที่แก่นแท้ของสิ่งมีชีวิตก็คือสิ่งที่มันเป็น และมันไม่มีวันสามารถเปลี่ยนแปลงได้  ในพระราชกิจของพระองค์ พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ แต่ทรงใช้วิธีการอันแตกต่างสารพันเพื่อทำให้พระราชกิจของพระองค์มีประสิทธิภาพและทำให้ความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับพระองค์ลึกซึ้งยิ่งขึ้น  ทุกๆ วิธีการในการทรงพระราชกิจของพระองค์ช่วยมนุษย์ให้รู้จักพระองค์ และเป็นไปเพื่อที่จะทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม  ไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงใช้วิธีการใดในการทรงพระราชกิจ แต่ละวิธีการเป็นไปเพื่อที่จะสร้างมนุษย์และทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม  แม้ว่าหนึ่งในวิธีการในการทรงพระราชกิจของพระองค์อาจยืนยงอยู่ได้เป็นเวลานานมาก นี่ก็เป็นไปเพื่อที่จะกล่อมเกลาความเชื่อของมนุษย์ที่มีในพระองค์  ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ควรมีความสงสัยเคลือบแคลงในหัวใจของเจ้า  เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นขั้นตอนทั้งหลายของพระราชกิจของพระเจ้า และพวกเจ้าจะต้องนบนอบขั้นตอนเหล่านี้

สิ่งที่พูดถึงกันวันนี้คือการเข้าสู่ความเป็นจริง—ไม่ใช่การขึ้นสู่สวรรค์ หรือการปกครองในฐานะกษัตริย์ทั้งหลาย ทั้งหมดที่พูดถึงกันคือการไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ความเป็นจริง  ไม่มีการไล่ตามเสาะหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากไปกว่านี้แล้ว และการพูดเรื่องการปกครองในฐานะกษัตริย์ทั้งหลายก็ใช่จะสัมพันธ์กับชีวิตจริง  มนุษย์มีความอยากรู้อยากเห็นมากมายใหญ่หลวง และเขายังคงประเมินพระราชกิจของพระเจ้าวันนี้ตามมโนคติที่หลงผิดในทางศาสนาของเขา  เมื่อได้รับประสบการณ์กับวิธีการทั้งหลายในการทรงพระราชกิจของพระเจ้าไปก็มากมายหลายวิธีแล้ว มนุษย์ก็ยังคงไม่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้า ยังคงแสวงหาหมายสำคัญและการอัศจรรย์อยู่ และยังคงดูว่าพระวจนะของพระเจ้าได้รับการทำให้ลุล่วงแล้วหรือไม่  นี่ไม่ใช่ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์อันชวนให้อึ้งหรอกหรือ?  หากปราศจากการปฏิบัติจนลุล่วงตามพระวจนะของพระเจ้า เจ้าจะยังคงเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าหรือไม่?  วันนี้ ผู้คนเช่นนั้นจำนวนมากมายในคริสตจักรกำลังรอที่จะได้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์  พวกเขากล่าวว่าหากพระวจนะของพระเจ้าได้รับการทำให้ลุล่วง เช่นนั้นแล้วพระองค์ก็ย่อมทรงเป็นพระเจ้า หากพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้รับการทำให้ลุล่วง เช่นนั้นแล้วพระองค์ก็ย่อมไม่ทรงเป็นพระเจ้า  เช่นนั้นแล้วเจ้าเชื่อในพระเจ้าเพราะการปฏิบัติจนลุล่วงตามพระวจนะของพระองค์ หรือเพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง?  ทรรศนะของมนุษย์เกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้าจะต้องได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง!  เมื่อเจ้าเห็นว่าพระวจนะของพระเจ้ายังไม่ได้รับการทำให้ลุล่วง เจ้าก็จ้ำอ้าวจากไป—นี่หรือคือการเชื่อในพระเจ้า?  เมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าจะต้องปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างให้อยู่ในความกรุณาของพระเจ้าและนบนอบต่อพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้า  พระเจ้าตรัสพระวจนะมากมายยิ่งนักในภาคพันธสัญญาเดิม—พระวจนะใดในบรรดาเหล่านั้นหรือ ที่เจ้าได้เห็นกับตาของเจ้าเองว่าได้รับการทำให้ลุล่วงไป?  เจ้าสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าพระยาห์เวห์ไม่ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้เพราะเจ้าไม่ได้เห็นการนั้น?  ถึงแม้ว่าพระวจนะหลายถ้อยคำได้รับการทำให้ลุล่วงแล้ว แต่มนุษย์ก็ไม่สามารถเห็นการนั้นได้อย่างชัดเจนเพราะมนุษย์ไม่มีความจริงและเข้าใจสิ่งใดเลย  บางคนก็ปรารถนาที่จะวิ่งหนีไปเมื่อพวกเขารู้สึกว่าพระวจนะของพระเจ้ายังไม่ได้รับการทำให้ลุล่วง  ลองดูที  ดูทีว่าเจ้าสามารถหนีไปได้หรือไม่  ครั้นได้หนีจากไปแล้ว เจ้าก็จะยังคงกลับมา  พระเจ้าทรงควบคุมเจ้าด้วยพระวจนะของพระองค์ และหากเจ้าทิ้งคริสตจักรและพระวจนะของพระเจ้าไป เจ้าจะไม่มีทางที่จะมีชีวิตต่อไป  หากเจ้าไม่เชื่อในการนี้ จงลองดูด้วยตัวเจ้าเอง—เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถแค่จากไปได้เฉยๆ อย่างนั้นหรือ?  พระวิญญาณของพระเจ้าทรงควบคุมเจ้า  เจ้าไม่สามารถจากไปได้  นี่เป็นกฎการปกครองของพระเจ้า!  หากผู้คนบางคนต้องการที่จะลองดู พวกเขาก็สามารถทำได้!  เจ้ากล่าวว่าบุคคลผู้นี้ไม่ใช่พระเจ้า ถ้าเช่นนั้นแล้วจงกระทำบาปต่อพระองค์แล้วดูทีว่าพระองค์จะทรงทำสิ่งใด  เป็นไปได้ที่เนื้อหนังของเจ้าจะไม่ตายลงและเจ้าจะยังคงสามารถกินอาหารและสวมใส่เสื้อผ้าให้ตัวเจ้าเองได้ แต่ในทางจิตใจแล้วมันย่อมเกินจะทานทน เจ้าจะรู้สึกเครียดและถูกทรมาน ไม่มีอะไรที่เจ็บปวดยิ่งกว่า  มนุษย์ไม่สามารถทนความทรมานและความร้างเปล่าทางจิตใจได้—บางทีเจ้าอาจสามารถสู้ทนความทุกข์ของเนื้อหนังได้ แต่เจ้าไม่สามารถสู้ทนความเครียดทางจิตใจและความทรมานที่คงอยู่เป็นเวลานานได้อย่างถึงที่สุด  วันนี้ผู้คนบางคนได้กลับกลายเป็นมีความคิดในเชิงลบเพราะพวกเขายังไม่สามารถเห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ใดๆ กระนั้นก็ตามไม่มีผู้ใดกล้าหนีไปไม่ว่าพวกเขาจะมีความคิดในเชิงลบเพียงใด ด้วยเหตุที่พระเจ้าทรงควบคุมมนุษย์ด้วยพระวจนะของพระองค์  ทั้งๆ ที่ยังไม่มีการมาถึงของข้อเท็จจริงทั้งหลาย—กระนั้นก็ตามไม่มีผู้ใดสามารถหนีไปได้  เหล่านี้ไม่ใช่การกระทำของพระเจ้าหรอกหรือ?  วันนี้ พระเจ้าได้เสด็จมายังแผ่นดินโลกเพื่อจัดเตรียมชีวิตให้มนุษย์  พระองค์หาได้ทรงหว่านล้อมเจ้าด้วยการแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เพื่อที่จะได้มั่นพระทัยได้ถึงสัมพันธภาพอันสันติสุขระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ดังที่ผู้คนจินตนาการ  ทุกคนซึ่งไม่มีสมาธิของตนอยู่กับชีวิต และผู้ซึ่งกลับจดจ่ออยู่กับการทำให้พระเจ้าทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ เป็นพวกฟาริสี!  และเป็นพวกฟาริสีนั่นเองที่ได้ตรึงพระเยซูบนกางเขน  หากเจ้าประเมินพระเจ้าโดยสอดคล้องกับทรรศนะของเจ้าเองในการเชื่อในพระเจ้า เชื่อในพระเจ้าหากพระวจนะของพระองค์ได้รับการทำให้ลุล่วง และสงสัยและกระทั่งหมิ่นประมาทพระเจ้าหากพระวจนะของพระองค์ไม่ได้รับการทำให้ลุล่วง เช่นนั้นแล้วเจ้าไม่ตรึงพระองค์บนกางเขนหรอกหรือ?  ผู้คนเยี่ยงนี้ละเลยหน้าที่ของพวกเขา และเสวยสุขอย่างตะกละตะกลาม!

ในทางกลับกัน ปัญหาใหญ่ที่สุดกับมนุษย์ก็คือว่า เขาไม่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้า  แม้ว่าท่าทีของมนุษย์ไม่ใช่ท่าทีของการปฏิเสธ แต่มันก็เป็นท่าทีของการเคลือบแคลงสงสัย  มนุษย์ไม่ปฏิเสธ แต่เขายังไม่ยอมรับอย่างสุดใจเช่นกัน  หากผู้คนมีความรู้อันละเอียดถี่ถ้วนเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาจะไม่หนีไป  ปัญหาอื่นก็คือว่า มนุษย์ไม่รู้จักความเป็นจริง  วันนี้ เป็นพระวจนะของพระเจ้านั่นเองที่แต่ละบุคคลได้เข้าเชื่อมความสัมพันธ์ด้วย ที่จริงแล้ว ในภายภาคหน้า เจ้าไม่ควรคิดที่จะได้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์  เราขอบอกแก่เจ้าอย่างตรงๆ นั่นคือ ในระหว่างช่วงระยะปัจจุบัน ทั้งหมดที่เจ้าสามารถมองเห็นก็คือพระวจนะของพระเจ้า และถึงแม้ว่าไม่มีข้อเท็จจริงทั้งหลาย แต่พระชนม์ชีพของพระเจ้ายังคงสามารถกอปรขึ้นเป็นมนุษย์ได้  นี่คือพระราชกิจซึ่งเป็นพระราชกิจหลักของอาณาจักรพันปี และหากเจ้าไม่สามารถล่วงรู้พระราชกิจนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมจะกลายเป็นอ่อนแอและล้มคว่ำลง  เจ้าจะลงไปอยู่ท่ามกลางการทดสอบทั้งหลาย และที่ยิ่งสาหัสกว่านั้นก็คือ ถูกซาตานจองจำ  พระเจ้าได้เสด็จมายังแผ่นดินโลกเพื่อตรัสพระวจนะของพระองค์เป็นหลัก สิ่งที่เจ้าเข้าเชื่อมความสัมพันธ์ด้วยก็คือพระวจนะของพระเจ้า สิ่งที่เจ้าเห็นก็คือพระวจนะของพระเจ้า สิ่งที่เจ้าได้ยินก็คือพระวจนะของพระเจ้า สิ่งที่เจ้าปฏิบัติตามก็คือพระวจนะของพระเจ้า สิ่งที่เจ้าได้รับประสบการณ์ด้วยก็คือพระวจนะของพระเจ้า และการประสูติเป็นมนุษย์นี้ของพระเจ้าก็ใช้พระวจนะเป็นหลักในการทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม  พระองค์ไม่ทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ทรงพระราชกิจซึ่งพระเยซูได้ทรงทำในอดีต  แม้ว่าพระองค์ทั้งสองทรงเป็นพระเจ้า และทั้งสองทรงเป็นเนื้อหนัง พันธกิจทั้งหลายของพระองค์ทั้งสองไม่ใช่อย่างเดียวกัน  เมื่อพระเยซูได้เสด็จมา พระองค์ยังได้ทรงส่วนหนึ่งของพระราชกิจของพระเจ้าและได้ตรัสพระวจนะบางถ้อยคำ—แต่สิ่งใดกันแน่ที่เป็นพระราชกิจหลักซึ่งพระองค์ได้ทรงสำเร็จลุล่วง?  สิ่งที่พระองค์ได้ทรงสำเร็จลุล่วงโดยหลักก็คือพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขน  พระองค์ได้ทรงกลายเป็นสภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาปเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนให้แล้วเสร็จและไถ่มนุษยชาติทั้งมวล และที่พระองค์ได้ทรงทำหน้าที่ในฐานะเครื่องบูชาลบล้างบาปอย่างหนึ่งนั้นก็เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งบาปของมนุษยชาติทั้งมวล  นี่คือพระราชกิจหลักซึ่งพระองค์ได้ทรงสำเร็จลุล่วง  ท้ายที่สุด พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมเส้นทางแห่งกางเขนเพื่อทรงนำบรรดาผู้ที่ได้มาในภายหลัง  ในตอนที่พระเยซูได้เสด็จมา ในเบื้องต้นก็เพื่อทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ให้แล้วเสร็จ  พระองค์ได้ทรงไถ่มนุษยชาติทั้งมวล และได้ทรงนำพาข่าวประเสริฐแห่งอาณาจักรสวรรค์มาสู่มนุษย์ และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ได้ทรงให้กำเนิดเส้นทางสู่อาณาจักรสวรรค์  ผลก็คือ ทุกคนที่ได้มาในภายหลังกล่าวว่า “เราควรเดินไปบนเส้นทางแห่งกางเขน และพลีอุทิศตัวพวกเราเองเพื่อกางเขน”  แน่นอนว่า ในตอนเริ่มแรก พระเยซูยังได้ทรงพระราชกิจอื่นบางอย่างและได้ตรัสพระวจนะบางถ้อยคำเช่นกันเพื่อทำให้มนุษย์กลับใจและสารภาพบาปของเขา  แต่พันธกิจของพระองค์นั้นยังคงเป็นการถูกตรึงกางเขน และช่วงเวลาสามปีครึ่งที่พระองค์ได้ทรงใช้ไปในการประกาศหนทางนั้น ก็เป็นไปเพื่อการตระเตรียมสำหรับการถูกตรึงกางเขนซึ่งตามมาในภายหลัง  หลายครั้งคราวที่พระเยซูได้ทรงอธิษฐานก็ยังเป็นไปเพื่อประโยชน์ของการถูกตรึงกางเขนเช่นกัน  ชีวิตของมนุษย์ปกติคนหนึ่งซึ่งพระองค์ได้ทรงดำเนินไปและช่วงเวลาสามสิบสามปีครึ่งที่พระองค์ได้ทรงพระชนม์ชีพอยู่บนแผ่นดินโลกนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของการทรงพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนให้แล้วเสร็จเป็นหลัก ปีทั้งหลายนั้นก็เพื่อจะมอบความแข็งแกร่งให้แก่พระองค์ในการรับปฏิบัติพระราชกิจนี้ซึ่งผลที่ตามมาจากการนี้ก็คือ พระเจ้าได้ทรงไว้วางพระทัยมอบพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนให้แก่พระองค์  พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์จะทรงสำเร็จลุล่วงพระราชกิจใดวันนี้?  ในวันนี้ พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์โดยประการสำคัญแล้วก็เพื่อทรงพระราชกิจแห่ง “พระวจนะซึ่งทรงปรากฏเป็นมนุษย์” ให้เสร็จสมบูรณ์ เพื่อทรงใช้พระวจนะทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม และทรงทำให้มนุษย์ยอมรับการตัดแต่งของพระวจนะและกระบวนการถลุงพระวจนะ  ในพระวจนะของพระองค์ พระองค์ทรงทำให้เจ้าได้รับการจัดเตรียมและได้รับชีวิต ในพระวจนะของพระองค์ เจ้าเห็นพระราชกิจและกิจการของพระองค์  พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อตีสอนและถลุงเจ้า และด้วยเหตุนี้ หากเจ้าทนทุกข์จากความยากลำบาก มันก็เป็นเพราะพระวจนะของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  ในวันนี้ พระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจด้วยข้อเท็จจริงทั้งหลาย แต่ด้วยพระวจนะ  เพียงหลังจากที่พระวจนะของพระองค์ได้มาถึงเจ้าแล้วเท่านั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงสามารถทรงพระราชกิจภายในตัวเจ้าได้และทำให้เจ้าทนทุกข์จากความเจ็บปวดหรือรู้สึกถึงความหวานชื่น  มีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถนำพาเจ้าไปสู่ความเป็นจริงได้ และมีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อมได้  และดังนั้น อย่างน้อยที่สุดเจ้าจะต้องเข้าใจการนี้ นั่นคือ พระราชกิจซึ่งปฏิบัติสำเร็จโดยพระเจ้าในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายโดยประการสำคัญแล้วคือ การใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อทรงทำให้บุคคลทุกคนมีความเพียบพร้อมและเพื่อทรงนำมนุษย์  พระราชกิจทั้งหมดซึ่งพระองค์ทรงปฏิบัตินั้นทำโดยผ่านทางพระวจนะ พระองค์ไม่ทรงใช้ข้อเท็จจริงทั้งหลายเพื่อตีสอนเจ้า  มีบางเวลาที่ผู้คนบางคนต้านทานพระเจ้า  พระเจ้าไม่ทรงทำให้เจ้าได้รับความไม่สบายใหญ่หลวง เนื้อหนังของเจ้าไม่ได้ถูกตีสอน อีกทั้งเจ้าไม่ได้ทนทุกข์จากความยากลำบาก—แต่ทันทีที่พระวจนะของพระองค์มาถึงเจ้า และถลุงเจ้า มันก็ทนไม่ไหวแล้วสำหรับเจ้า มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกหรือ?  ในช่วงระหว่างเวลาของพวกคนปรนนิบัติ พระเจ้าได้ตรัสว่าจะโยนมนุษย์เข้าไปในบาดาลลึก  มนุษย์ได้มาถึงยังบาดาลลึกจริงๆ หรือไม่?  แค่โดยผ่านทางการใช้พระวจนะเพื่อถลุงมนุษย์ มนุษย์ก็ได้เข้าสู่บาดาลลึกไปแล้ว  และดังนั้น ในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงใช้พระวจนะเป็นหลักเพื่อสำเร็จลุล่วงในทุกสิ่งและทำให้ทุกสิ่งชัดเจน  ด้วยพระวจนะของพระองค์เท่านั้นเจ้าจึงสามารถเห็นสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น ด้วยพระวจนะของพระองค์เท่านั้นเจ้าจึงสามารถเห็นได้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง  เมื่อพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์เสด็จมายังแผ่นดินโลก พระองค์ไม่ทรงพระราชกิจอื่นใดเว้นเสียแต่การตรัสถึงพระวจนะ—ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีความจำเป็นสำหรับข้อเท็จจริงทั้งหลาย พระวจนะทั้งหลายนั้นเพียงพอแล้ว  นั่นเป็นเพราะพระองค์ได้เสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจนี้เป็นหลัก เพื่อยอมให้มนุษย์ได้เห็นฤทธานุภาพของพระองค์และมไหศวรรย์ในพระวจนะของพระองค์ เพื่อยอมให้มนุษย์ได้เห็นในพระวจนะของพระองค์ว่าพระองค์ทรงซ่อนเร้นพระองค์เองโดยถ่อมพระทัยอย่างไร และเพื่อยอมให้มนุษย์ได้รู้จักความครบถ้วนบริบูรณ์ในพระวจนะของพระองค์  ทั้งหมดที่พระองค์ทรงมีและทั้งหมดที่พระองค์ทรงเป็นนั้นอยู่ในพระวจนะของพระองค์  พระปัญญาและความมหัศจรรย์ของพระองค์นั้นอยู่ในพระวจนะของพระองค์  ในการนี้เจ้าถูกทำให้เห็นวิธีการมากมายซึ่งพระเจ้าทรงใช้ในการตรัสพระวจนะของพระองค์  พระเจ้าทรงพระราชกิจมานานมาก ส่วนใหญ่เป็นการจัดหาเสบียงให้แก่มนุษย์ เปิดโปงหรือตัดแต่งเขา  พระเจ้าไม่ทรงสาปแช่งใครโดยง่าย และแม้คราที่พระองค์ทรงทำเช่นนั้น พระองค์ก็ทรงสาปแช่งพวกเขาโดยผ่านทางพระวจนะ  และดังนั้น ในยุคพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นี้ จงอย่าพยายามที่จะมองให้เห็นว่าพระเจ้าทรงรักษาคนป่วยและขับไล่บรรดาปีศาจอีก และจงหยุดมองหาหมายสำคัญทั้งหลายอยู่ตลอดเวลา—ไม่มีประโยชน์ใดเลย!  หมายสำคัญทั้งหลายเหล่านั้นไม่สามารถทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมได้!  หากจะพูดอย่างตรงๆ แล้วก็คือ ในวันนี้ พระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงพระองค์เองซึ่งอยู่ในเนื้อหนังมนุษย์ไม่ทรงกระทำการ พระองค์เพียงตรัสเท่านั้น  นี่คือความจริง!  พระองค์ทรงใช้พระวจนะเพื่อทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม และทรงใช้พระวจนะเพื่อป้อนอาหารและน้ำให้เจ้า  พระองค์ยังทรงใช้พระวจนะเพื่อทรงพระราชกิจเช่นกัน และพระองค์ทรงใช้พระวจนะแทนข้อเท็จจริงทั้งหลายเพื่อทำให้เจ้ารู้จักความสัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์  หากเจ้าสามารถล่วงรู้ลักษณะนี้ของพระราชกิจของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วมันก็ย่อมเป็นการยากที่จะมีความคิดในเชิงลบ  แทนที่จะจดจ่ออยู่กับสิ่งทั้งหลายที่เป็นลบ เจ้าควรมุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่เป็นบวกเท่านั้น—กล่าวคือ ไม่ว่าพระวจนะของพระเจ้าได้รับการทำให้ลุล่วงหรือไม่ก็ตาม หรือไม่ว่ามีการมาถึงของข้อเท็จจริงทั้งหลายหรือไม่ก็ตาม พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์ได้รับชีวิตจากพระวจนะของพระองค์ และนี่คือหมายสำคัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาหมายสำคัญทั้งหมด และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ มันคือข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถโต้แย้งได้ประการหนึ่ง  นี่คือหลักฐานที่ดีที่สุดที่ใช้ในการทำความรู้จักพระเจ้า และเป็นหมายสำคัญหนึ่งซึ่งยิ่งใหญ่กว่าบรรดาหมายสำคัญทั้งหลาย  มีเพียงพระวจนะเหล่านี้เท่านั้นที่สามารถทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมได้

ทันทีที่ยุคอาณาจักรได้เริ่มต้นขึ้น พระเจ้าก็ทรงเริ่มแสดงพระวจนะของพระองค์ ในภายภาคหน้า พระวจนะเหล่านี้จะค่อยๆ ได้รับการทำให้ลุล่วง และ ณ เวลานั้น ชีวิตมนุษย์ย่อมจะเติบโตมากพอ  การใช้พระวจนะของพระเจ้าเพื่อเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์นั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น และจำเป็นมากขึ้น และพระองค์ไม่ทรงใช้สิ่งใดเลยนอกจากพระวจนะในการทรงพระราชกิจของพระองค์เพื่อที่จะทำให้ความเชื่อของมนุษย์มีความเพียบพร้อม ด้วยเหตุที่วันนี้คือยุคพระวจนะ และมันพึงจำเป็นต้องมีความเชื่อ ปณิธาน และความร่วมมือจากมนุษย์  พระราชกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์แห่งยุคสุดท้ายคือการใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อรับใช้และจัดเตรียมให้แก่มนุษย์  เพียงภายหลังจากที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ได้ทรงเสร็จสิ้นการตรัสพระวจนะของพระองค์แล้วเท่านั้น พระวจนะจึงจะได้รับการทำให้ลุล่วง  ในช่วงระหว่างเวลาซึ่งพระเจ้าตรัส พระวจนะของพระองค์ไม่ได้รับการทำให้ลุล่วง เพราะเมื่อพระองค์ทรงอยู่ในช่วงระยะของเนื้อหนัง พระวจนะของพระองค์ไม่สามารถได้รับการทำให้ลุล่วงได้  นี่เป็นเช่นนั้นก็เพื่อที่ มนุษย์อาจได้เห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นมนุษย์และไม่ใช่วิญญาณ เพื่อที่มนุษย์อาจได้เห็นความสัมพันธ์กับชีวิตจริงแห่งพระเจ้าด้วยตาของเขาเอง  ในวันที่พระราชกิจของพระองค์เสร็จสมบูรณ์ เมื่อพระวจนะทุกคำซึ่งควรถูกตรัสโดยพระองค์บนแผ่นดินโลกได้ถูกตรัสออกมาแล้ว พระวจนะของพระองค์จะเริ่มได้รับการทำให้ลุล่วง  ตอนนี้ไม่ใช่ยุคของการทำให้พระวจนะของพระเจ้าลุล่วง เพราะพระองค์ยังตรัสพระวจนะของพระองค์ไม่เสร็จสิ้น  ดังนั้น เมื่อเจ้าเห็นว่าพระเจ้ายังคงกำลังตรัสพระวจนะของพระองค์บนแผ่นดินโลก จงอย่ามัวรอการทำให้พระวจนะของพระเจ้าลุล่วง เมื่อพระเจ้าหยุดตรัสพระวจนะของพระองค์ และเมื่อพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลกได้ถูกทำให้เสร็จสมบูรณ์แล้ว นั่นจึงจะเป็นเวลาที่พระวจนะของพระองค์เริ่มได้รับการทำให้ลุล่วง  ในพระวจนะที่พระองค์ตรัสบนแผ่นดินโลกนั้น ในด้านหนึ่ง มีการจัดเตรียมชีวิต และในอีกด้านหนึ่ง มีการเผยพระวจนะ—การเผยพระวจนะเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายซึ่งจะมา เกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายซึ่งจะถูกทำให้เสร็จสิ้น และเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายซึ่งยังไม่ได้ถูกทำให้สำเร็จลุล่วง  ในพระวจนะของพระเยซูก็เคยมีการเผยพระวจนะด้วยเช่นกัน  ในด้านหนึ่ง พระองค์ได้ทรงจัดหาชีวิต และในอีกด้านหนึ่ง พระองค์ได้ตรัสการเผยพระวจนะ  มาวันนี้ ไม่มีการพูดเรื่องการดำเนินการตามพระวจนะและข้อเท็จจริงทั้งหลายในเวลาเดียวกัน เพราะมีความแตกต่างมากเกินไประหว่างสิ่งซึ่งสามารถเห็นได้ด้วยตาของมนุษย์เองและสิ่งซึ่งถูกทำให้สำเร็จโดยพระเจ้า  อาจกล่าวได้แค่เพียงว่าทันทีที่พระราชกิจของพระเจ้าได้ถูกทำให้เสร็จสมบูรณ์แล้ว พระวจนะของพระองค์จะได้รับการทำให้ลุล่วง และข้อเท็จจริงทั้งหลายจะมาภายหลังจากพระวจนะ  ในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงปฏิบัติพันธกิจแห่งพระวจนะบนแผ่นดินโลก และในการปฏิบัติพันธกิจแห่งพระวจนะนั้น พระองค์เพียงแค่ตรัสพระวจนะเท่านั้น และไม่ใส่พระทัยในเรื่องอื่นๆ  ทันทีที่พระราชกิจของพระเจ้าเปลี่ยนแปลง พระวจนะของพระองค์จะเริ่มได้รับการทำให้ลุล่วง  ในวันนี้ พระวจนะถูกใช้เพื่อทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อมก่อนเป็นอย่างแรก เมื่อพระองค์ทรงได้รับพระสิริโดยตลอดทั่วทั้งจักรวาล พระราชกิจของพระองค์จะครบถ้วนบริบูรณ์—พระวจนะทั้งหมดซึ่งควรถูกตรัสจะได้ถูกตรัสออกมาแล้ว และพระวจนะทั้งหมดจะได้กลายเป็นข้อเท็จจริงทั้งหลาย  พระเจ้าได้เสด็จมายังแผ่นดินโลกในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายเพื่อทรงปฏิบัติพันธกิจแห่งพระวจนะ เพื่อที่มวลมนุษย์อาจได้รู้จักพระองค์ และเพื่อที่มวลมนุษย์อาจได้เห็นสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และเห็นพระปัญญาของพระองค์และทั้งหมดของกิจการอันมหัศจรรย์ของพระองค์จากพระวจนะของพระองค์  ในช่วงระหว่างยุคแห่งราชอาณาจักร พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อพิชิตมวลมนุษย์ทั้งปวงเป็นหลัก  ในภายภาคหน้า พระวจนะของพระองค์ยังจะมาถึงทุกๆ ศาสนา ภาคส่วน ชนชาติ และนิกายด้วยเช่นกัน  พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อพิชิต เพื่อทำให้มนุษย์ทั้งหมดเห็นว่าพระวจนะของพระองค์มีสิทธิอำนาจและมหิทธิฤทธิ์—และดังนั้นในวันนี้ พวกเจ้าจึงเผชิญหน้ากับพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น

พระวจนะซึ่งตรัสโดยพระเจ้าในยุคนี้แตกต่างไปจากพระวจนะซึ่งถูกตรัสในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติ และพระวจนะเหล่านั้นก็แตกต่างไปจากพระวจนะซึ่งถูกตรัสในช่วงระหว่างยุคพระคุณเช่นกัน  ในยุคพระคุณ พระเจ้าไม่ได้ทรงพระราชกิจของพระวจนะ แต่แค่ได้ทรงปรารภว่าพระองค์จะถูกตรึงกางเขนเพื่อทรงไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวง  พระคัมภีร์เพียงพรรณนาเหตุผลที่พระเยซูทรงต้องถูกตรึงกางเขน และความทุกข์ซึ่งพระองค์ทรงต้องได้รับบนกางเขน และวิธีการที่มนุษย์ควรถูกตรึงกางเขนเพื่อพระเจ้าเท่านั้น  ในช่วงระหว่างยุคนั้น พระราชกิจทั้งหมดซึ่งปฏิบัติสำเร็จโดยพระเจ้านั้นไปรวมอยู่ที่การถูกตรึงกางเขน  ในระหว่างยุคแห่งราชอาณาจักร พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ตรัสพระวจนะเพื่อพิชิตทุกคนผู้ซึ่งเชื่อในพระองค์  นี่คือ “พระวจนะซึ่งทรงปรากฏเป็นมนุษย์”  พระเจ้าได้เสด็จมาในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายเพื่อทรงพระราชกิจนี้ กล่าวคือ พระองค์ได้เสด็จมาเพื่อสำเร็จลุล่วงนัยสำคัญที่แท้จริงของพระวจนะซึ่งทรงปรากฏเป็นมนุษย์  พระองค์เพียงตรัสพระวจนะเท่านั้น และแทบจะไม่มีการมาถึงของข้อเท็จจริงทั้งหลาย  นี่คือแก่นแท้จริงๆ ของพระวจนะซึ่งทรงปรากฏเป็นมนุษย์ และเมื่อพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ตรัสพระวจนะของพระองค์ นี่เป็นการทรงปรากฏของพระวจนะในมนุษย์ และเป็นพระวจนะซึ่งกำลังทรงมาเป็นมนุษย์  “ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า และพระวาทะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์”  นี่ (พระราชกิจแห่งการทรงปรากฏของพระวจนะเป็นมนุษย์) คือพระราชกิจซึ่งพระเจ้าจะทรงสำเร็จลุล่วงในยุคสุดท้าย และเป็นบทสุดท้ายของแผนการบริหารจัดการทั้งสิ้นทั้งมวลของพระองค์ และดังนั้นพระเจ้าได้เสด็จมายังแผ่นดินโลกและทรงสำแดงพระวจนะของพระองค์ในมนุษย์  สิ่งซึ่งถูกทำให้สำเร็จวันนี้ สิ่งซึ่งจะถูกทำให้สำเร็จในภายภาคหน้า สิ่งซึ่งจะถูกทำให้สำเร็จลุล่วงโดยพระเจ้า บั้นปลายสุดท้ายของมนุษย์ บรรดาผู้ที่จะได้รับการช่วยให้รอด พวกที่จะถูกทำลาย เป็นต้น—ทั้งหมดของพระราชกิจนี้ซึ่งควรถูกทำให้สัมฤทธิ์ผลในท้ายที่สุดได้ถูกระบุไว้แล้วทั้งหมดอย่างชัดเจน และเป็นไปทั้งหมดก็เพื่อที่จะสำเร็จลุล่วงนัยสำคัญที่แท้จริงของพระวจนะซึ่งทรงปรากฏเป็นมนุษย์  กฎการปกครองและธรรมนูญซึ่งถูกบัญญัติขึ้นก่อนหน้านั้น พวกที่จะถูกทำลาย บรรดาผู้ที่จะเข้าสู่การหยุดพัก—พระวจนะเหล่านี้ทั้งหมดจะต้องถูกทำให้ลุล่วง  นี่คือพระราชกิจซึ่งถูกทำให้สำเร็จลุล่วงเป็นหลักโดยพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย  พระองค์ทรงทำให้ผู้คนเข้าใจว่าบรรดาผู้ที่ถูกกำหนดชะตาไว้ล่วงหน้าโดยพระเจ้าเป็นของที่แห่งใด  และพวกที่ไม่ได้ถูกกำหนดชะตาไว้ล่วงหน้าโดยพระเจ้าเป็นของที่แห่งใด ประชากรและบรรดาบุตรของพระองค์จะถูกแยกประเภทอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นต่ออิสราเอล จะเกิดอะไรขึ้นต่ออียิปต์—ในภายภาคหน้า ทุกๆ คำของพระวจนะเหล่านี้จะถูกทำให้สำเร็จลุล่วง  ก้าวย่างของพระราชกิจของพระเจ้ากำลังเร่งความเร็วขึ้น  พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเป็นวิถีทางที่จะเปิดเผยต่อมนุษย์ถึงสิ่งซึ่งจะต้องถูกทำให้เสร็จสิ้นในทุกยุค สิ่งซึ่งจะต้องถูกทำให้เสร็จสิ้นโดยพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย และพันธกิจของพระองค์ซึ่งจะต้องได้รับการปฏิบัติ และพระวจนะเหล่านี้เป็นไปทั้งหมดเพื่อที่จะสำเร็จลุล่วงนัยสำคัญที่แท้จริงของพระวจนะซึ่งทรงปรากฏเป็นมนุษย์

เราได้พูดไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า “บรรดาผู้ที่จดจ่ออยู่กับการได้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์จะถูกทอดทิ้ง พวกเขาไม่ใช่บรรดาผู้ที่จะถูกทำให้มีความเพียบพร้อม”  เราได้กล่าวถ้อยคำไว้มากมายนัก กระนั้นมนุษย์ก็ยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระราชกิจนี้เลยแม้เพียงแผ่วบาง และเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว ผู้คนก็ยังคงถามหาหมายสำคัญและการอัศจรรย์  การเชื่อของเจ้าในพระเจ้าไม่ได้เป็นอะไรที่มากไปกว่าการไล่ตามเสาะหาหมายสำคัญและการอัศจรรย์หรอกหรือ หรือว่ามันเป็นไปเพื่อที่จะได้รับชีวิต?  พระเยซูได้เคยตรัสพระวจนะไว้มากมายเช่นกัน และบางพระวจนะในพระวจนะเหล่านั้นก็ยังไม่ได้ถูกทำให้ลุล่วง  เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพระเยซูไม่ทรงเป็นพระเจ้า?  พระเจ้าได้ทรงเป็นพยานว่าพระองค์ได้ทรงเป็นพระคริสต์และพระบุตรของพระเจ้าอันเป็นที่รัก  เจ้าสามารถปฏิเสธการนี้ได้หรือ?  ในวันนี้ พระเจ้าเพียงแต่ตรัสพระวจนะเท่านั้น และหากเจ้าไม่รู้การนี้อย่างถ้วนทั่ว เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมไม่สามารถยืนหยัดมั่นคงอยู่ได้  เจ้าเชื่อในพระองค์เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าหรือไม่ หรือเจ้าเชื่อในพระองค์โดยขึ้นอยู่กับว่าพระวจนะของพระองค์ได้รับการทำให้ลุล่วงหรือไม่?  เจ้าเชื่อในหมายสำคัญและการอัศจรรย์ หรือเจ้าเชื่อในพระเจ้า?  ในวันนี้ พระองค์ไม่ทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์—พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าจริงๆ หรือ?  หากพระวจนะซึ่งพระองค์ตรัสไม่ได้รับการทำให้ลุล่วง พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าจริงๆ หรือ?  แก่นแท้ของพระเจ้าถูกกำหนดพิจารณาจากการที่ว่า พระวจนะซึ่งพระองค์ตรัสนั้นได้รับการทำให้ลุล่วงหรือไม่ อย่างนั้นหรือ?  เหตุใดผู้คนบางคนจึงกำลังรอคอยเสมอให้พระวจนะของพระเจ้าลุล่วงก่อนที่พวกเขาจะเชื่อในพระองค์?  นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่รู้จักพระองค์หรอกหรือ?  ทุกคนผู้ซึ่งมีมโนคติที่หลงผิดเช่นนั้นคือพวกที่ปฏิเสธพระเจ้า  พวกเขาใช้มโนคติที่หลงผิดเพื่อประเมินพระเจ้า หากพระวจนะของพระเจ้าได้รับการทำให้ลุล่วง พวกเขาเชื่อในพระองค์ และหากพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้รับการทำให้ลุล่วง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ย่อมไม่เชื่อในพระองค์ และพวกเขาไล่ตามเสาะหาหมายสำคัญและการอัศจรรย์อยู่เสมอ  ผู้คนเหล่านี้ไม่ใช่พวกฟาริสีของยุคใหม่ๆ หรอกหรือ?  การที่เจ้าสามารถตั้งมั่นได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าเจ้ารู้จักพระเจ้าผู้สัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่—นี่สำคัญยิ่งยวด!  ยิ่งความเป็นจริงของพระวจนะของพระเจ้าในตัวเจ้ายิ่งใหญ่มากขึ้นเท่าใด ความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้าก็ยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่านั้น และเจ้าก็ยิ่งสามารถที่จะยืนหยัดมั่นคงในระหว่างการทดสอบทั้งหลายได้มากขึ้นเท่านั้น  ยิ่งเจ้าจดจ่ออยู่กับหมายสำคัญและการอัศจรรย์มากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งสามารถตั้งมั่นได้น้อยลงเท่านั้น และเจ้าจะล้มลงท่ามกลางการทดสอบทั้งหลาย  หมายสำคัญและการอัศจรรย์ไม่ใช่รากฐาน เพียงความสัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นชีวิต  ผู้คนบางคนไม่รู้จักผลกระทบทั้งหลายซึ่งจะต้องได้รับการทำให้สัมฤทธิ์โดยพระราชกิจของพระเจ้า  พวกเขาใช้วันเวลาในความสับสนงุนงง ไม่ไล่ตามเสาะหาความรู้เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า  จุดมุ่งหมายของการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาคือ เพียงทำให้พระเจ้าทรงทำให้ความอยากของพวกเขาลุล่วงตลอดไปเท่านั้น และเมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะจริงจังในการเชื่อของพวกเขา  พวกเขากล่าวว่าพวกเขาจะไล่ตามเสาะหาชีวิตหากพระวจนะของพระเจ้าได้รับการทำให้ลุล่วง แต่ว่าหากพระวจนะของพระองค์ไม่ได้รับการทำให้ลุล่วง เช่นนั้นแล้วก็ย่อมไม่มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะไล่ตามเสาะหาชีวิต  มนุษย์คิดว่าการเชื่อในพระเจ้าคือการไล่ตามเสาะหาการได้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และการไล่ตามเสาะหาการได้ขึ้นสู่สวรรค์และสวรรค์ชั้นที่สาม  ไม่มีพวกเขาคนใดกล่าวว่าการเชื่อของพวกเขาในพระเจ้าคือการไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ความเป็นจริง การไล่ตามเสาะหาชีวิต และการไล่ตามเสาะหาการได้รับการทรงรับไว้โดยพระเจ้า  อะไรคือคุณค่าของการไล่ตามเสาะหาเช่นนี้?  พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าและการทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยคือพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้า พวกเขาคือผู้ซึ่งหมิ่นประมาทพระเจ้า!

บัดนี้พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าการเชื่อในพระเจ้าคืออะไร?  การเชื่อในพระเจ้าหมายความถึงการได้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ใช่หรือไม่?  มันหมายความถึงการขึ้นสู่สวรรค์ใช่หรือไม่?  การที่เชื่อในพระเจ้าไม่ง่ายเลยแม้แต่น้อย  การฝึกฝนปฏิบัติทางศาสนาเหล่านั้นควรถูกกวาดล้าง การไล่ตามเสาะหาการรักษาคนป่วยและการขับไล่บรรดาปีศาจ การจดจ่ออยู่กับหมายสำคัญและการอัศจรรย์ การละโมบอยากได้พระคุณจากพระเจ้า สันติสุข และความชื่นบานมากยิ่งขึ้น การไล่ตามเสาะหาความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้และความสุขสบายของเนื้อหนัง—เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นการฝึกฝนปฏิบัติทางศาสนา และการฝึกฝนปฏิบัติทางศาสนาเช่นนั้นเป็นการเชื่อประเภทที่คลุมเครือ  อะไรคือการเชื่อแท้จริงในพระเจ้าในวันนี้?  มันคือการยอมรับพระวจนะของพระเจ้าว่าเป็นความเป็นจริงชีวิตของเจ้าและการรู้จักพระเจ้าจากพระวจนะของพระองค์เพื่อที่จะสัมฤทธิ์ในความรักที่แท้จริงสำหรับพระองค์  กล่าวให้ชัดเจนก็คือ การเชื่อในพระเจ้าเป็นไปเพื่อที่เจ้าอาจนบนอบพระเจ้า รักพระเจ้า และลุล่วงหน้าที่ซึ่งควรได้รับการลุล่วงโดยสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  นี่คือจุดมุ่งหมายของการเชื่อในพระเจ้า  เจ้าจะต้องสัมฤทธิ์ในความรู้หนึ่งเกี่ยวกับความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้า เกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงคู่ควรเพียงใดต่อความเคารพ เกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งความรอดในบรรดาสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์และการทำให้พวกเขามีความเพียบพร้อม—เหล่านี้คือสาระจำเป็นอันประจักษ์แจ้งของการเชื่อของเจ้าในพระเจ้า  การเชื่อในพระเจ้าโดยหลักแล้วเป็นการสลับเปลี่ยนจากชีวิตหนึ่งของเนื้อหนังไปสู่ชีวิตหนึ่งของการรักพระเจ้า จากการใช้ชีวิตภายในความเสื่อมทรามไปสู่การใช้ชีวิตภายในชีวิตของพระวจนะของพระเจ้า  มันคือการออกมาจากภายใต้อำนาจของซาตานและการใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การดูแลเอาพระทัยใส่และการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้า มันคือการที่สามารถจะสัมฤทธิ์ความนบนอบต่อพระเจ้าและความไม่นบนอบต่อเนื้อหนัง มันคือการยอมให้พระเจ้าทรงได้รับหมดทั้งหัวใจของเจ้า ยอมให้พระเจ้าทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม และปลดปล่อยตัวเจ้าเองเป็นอิสระจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน  การเชื่อในพระเจ้าโดยหลักแล้วเป็นไปเพื่อที่ฤทธานุภาพและพระสิริของพระเจ้าอาจได้รับการสำแดงในตัวเจ้า เพื่อที่เจ้าอาจติดตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และทำให้แผนของพระเจ้าสำเร็จลุล่วง และสามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้าได้ต่อหน้าซาตาน  การเชื่อในพระเจ้าไม่ควรวนเวียนอยู่กับความอยากที่จะได้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ อีกทั้งไม่ควรเป็นไปเพื่อประโยชน์ของเนื้อหนังส่วนตัวของเจ้า  มันควรเป็นเรื่องเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาการรู้จักพระเจ้า และการสามารถนบนอบพระเจ้า และ เช่นเดียวกับเปโตร การนบนอบพระองค์จนกระทั่งคนเราถึงแก่ความตาย  เหล่านี้คือจุดมุ่งหมายหลักของการเชื่อในพระเจ้า  พวกเจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเพื่อที่จะรู้จักพระเจ้าและทำให้พระองค์พึงพอพระทัย  การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าช่วยให้เจ้ามีความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับพระเจ้า เพียงหลังจากนั้นแล้วเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถนบนอบพระองค์ได้  ด้วยความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าเท่านั้น เจ้าจึงสามารถรักพระองค์ได้ และนี่คือเป้าหมายที่มนุษย์ควรมีในการเชื่อของเขาในพระเจ้า  ในการเชื่อของเจ้าในพระเจ้า หากเจ้ากำลังพยายามที่จะได้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์อยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วทัศนคติของการเชื่อนี้ในพระเจ้าก็ย่อมผิด  การเชื่อในพระเจ้าโดยหลักแล้วคือการยอมรับพระวจนะของพระเจ้าว่าเป็นความเป็นจริงชีวิต  จุดมุ่งหมายของพระเจ้านั้นบรรลุได้ด้วยการนำพระวจนะของพระเจ้าจากพระโอษฐ์ของพระองค์ไปฝึกฝนปฏิบัติและยึดถือพระวจนะไว้ภายในตัวเจ้าเท่านั้น  ในการเชื่อในพระเจ้า มนุษย์ควรเพียรพยายามให้ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า เพื่อสามารถนบนอบพระเจ้า และเพื่อความนบนอบอันครบบริบูรณ์ต่อพระเจ้า  หากเจ้าสามารถนบนอบพระเจ้าได้โดยปราศจากคำพร่ำบ่น คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า สัมฤทธิ์วุฒิภาวะของเปโตร และมีลีลาแบบเปโตรตามที่พระเจ้าได้ตรัสถึง เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมจะเป็นเวลาที่เจ้าได้สัมฤทธิ์ความสำเร็จในการเชื่อในพระเจ้าแล้ว และมันจะมีนัยสำคัญว่าเจ้าได้รับการทรงรับไว้โดยพระเจ้าแล้ว

พระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์โดยตลอดทั่วทั้งจักรวาล  ทุกคนผู้ซึ่งเชื่อในพระองค์จะต้องยอมรับพระวจนะของพระองค์ และกินและดื่มพระวจนะของพระองค์ ไม่มีผู้ใดสามารถได้รับการทรงรับไว้โดยพระเจ้าด้วยการมองเห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ซึ่งพระเจ้าทรงแสดง  ตลอดหลายยุคหลายสมัย พระเจ้าได้ทรงใช้พระวจนะมาโดยตลอดในการที่จะทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม  ด้วยเหตุนี้พวกเจ้าจึงไม่ควรอุทิศความใส่ใจของเจ้าทั้งหมดไปกับหมายสำคัญและการอัศจรรย์ แต่ควรเพียรพยายามที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า  ในยุคธรรมบัญญัติแห่งภาคพันธสัญญาเดิม พระเจ้าได้ตรัสบางพระวจนะไว้ และในยุคพระคุณ พระเยซูก็ได้ตรัสไว้หลายพระวจนะเช่นกัน  ภายหลังจากที่พระเยซูได้ตรัสพระวจนะมากมายแล้ว บรรดาอัครทูตและบรรดาสาวกภายหลังได้ทำให้ผู้คนฝึกฝนปฏิบัติโดยสอดคล้องกับพระบัญญัติทั้งหลายซึ่งออกโดยพระเยซู และได้รับประสบการณ์โดยสอดคล้องกับพระวจนะและหลักธรรมทั้งหลายซึ่งพระเยซูได้ตรัสถึง  ในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมเป็นหลัก  พระองค์ไม่ทรงใช้หมายสำคัญและการอัศจรรย์เพื่อบีบคั้นมนุษย์ หรือโน้มน้าวมนุษย์ การนี้ไม่สามารถทำให้ฤทธานุภาพของพระเจ้าเป็นที่เข้าใจได้ง่ายขึ้น  หากพระเจ้าเพียงได้แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เท่านั้น เช่นนั้นแล้วมันก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ความสัมพันธ์กับความจริงของพระเจ้าเป็นที่เข้าใจได้ง่ายขึ้น และด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม  พระเจ้าไม่ทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมโดยหมายสำคัญและการอัศจรรย์ แต่ทรงใช้พระวจนะเพื่อให้น้ำและเลี้ยงดูมนุษย์ ซึ่งหลังจากนั้น ความนบนอบอันครบบริบูรณ์ของมนุษย์และความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับพระเจ้าจึงสัมฤทธิ์ผล  นี่คือจุดมุ่งหมายของพระราชกิจซึ่งพระองค์ทรงปฏิบัติและพระวจนะซึ่งพระองค์ตรัส  พระเจ้าไม่ทรงใช้วิธีการแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม—พระองค์ทรงใช้พระวจนะ และทรงใช้วิธีการอันแตกต่างหลากหลายของพระราชกิจในการทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม  ไม่ว่าจะเป็นการถลุง การตัดแต่ง หรือการจัดเตรียมพระวจนะ พระเจ้าตรัสจากมุมมองอันแตกต่างหลากหลายเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม และเพื่อให้มนุษย์มีความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับพระราชกิจ พระปัญญา และความอัศจรรย์ของพระเจ้า  เมื่อมนุษย์ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม ณ เวลาซึ่งพระเจ้าทรงสรุปปิดตัวยุคในยุคสุดท้าย เมื่อนั้นเขาย่อมจะมีคุณวุฒิที่จะเฝ้ามองหมายสำคัญและการอัศจรรย์  เมื่อเจ้ามารู้จักพระเจ้าและสามารถนบนอบต่อพระเจ้าไม่ว่าพระองค์จะทรงทำสิ่งใดก็ตาม เจ้าจะไม่มีมโนคติที่หลงผิดอันใดเกี่ยวกับพระเจ้าอีกต่อไปเมื่อเจ้าเห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์  ขณะนี้ เจ้าเสื่อมทรามและไม่สามารถนบนอบต่อพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์—เจ้าคิดว่าเจ้ามีคุณวุฒิที่จะเห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ในสภาวะนี้อย่างนั้นหรือ?  ในเวลาที่พระเจ้าทรงแสดงให้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ นั่นเป็นเวลาที่พระเจ้าทรงลงโทษมนุษย์ และเป็นเวลาเปลี่ยนยุคด้วยเช่นกัน และยิ่งไปกว่านั้น เป็นเวลาที่ยุคสรุปปิดตัวลง  เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าถูกดำเนินการไปตามปกติ พระองค์ไม่ทรงแสดงให้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์  การแสดงให้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์นั้นง่ายมากสำหรับพระองค์ แต่นั่นไม่ใช่หลักการของพระราชกิจของพระเจ้า อีกทั้งมันไม่ใช่จุดมุ่งหมายของการบริหารจัดการมนุษย์ของพระเจ้า  หากมนุษย์ได้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และหากร่างกายฝ่ายวิญญาณของพระเจ้าจะต้องปรากฏแก่มนุษย์ ผู้คนทั้งหมดจะไม่เชื่อในพระเจ้าหรอกหรือ?  เราได้พูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าผู้ชนะกลุ่มหนึ่งถูกรับไว้จากทิศตะวันออก ซึ่งเป็นบรรดาผู้ชนะที่มาจากท่ามกลางความทุกข์ลำบากอันใหญ่หลวง  วจนะเหล่านี้หมายความว่าอย่างไร?  วจนะเหล่านี้หมายความว่า ผู้คนที่ถูกรับไว้แล้วนี้นบนอบอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อก้าวผ่านการพิพากษา การตีสอน การตัดแต่ง และการถลุงทุกประเภทแล้วเท่านั้น  การเชื่อของผู้คนเหล่านี้ไม่คลุมเครือและเป็นนามธรรม แต่เป็นความจริงแท้  พวกเขายังไม่ได้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ใดๆ หรือปาฏิหาริย์ใดๆ พวกเขาไม่พูดถึงคำพูดและคำสอนที่เข้าใจยาก หรือความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่ลุ่มลึก แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับมีความเป็นจริงและพระวจนะของพระเจ้าและความรู้แท้จริงเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับความจริงของพระเจ้า  กลุ่มแบบนี้ย่อมสามารถทำให้ฤทธานุภาพของพระเจ้าเป็นที่ชัดแจ้งได้มากกว่ามิใช่หรือ  พระราชกิจของพระเจ้าในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายคือพระราชกิจที่สัมพันธ์กับความจริง  ในช่วงระหว่างยุคของพระเยซู พระองค์ไม่ได้ทรงมาเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม แต่เพื่อไถ่มนุษย์ และดังนั้นพระองค์จึงได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์บางอย่างเพื่อทำให้ผู้คนติดตามพระองค์  ด้วยเหตุที่พระองค์ได้เสด็จมาเพื่อทำให้พระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนแล้วเสร็จเป็นหลัก และการแสดงหมายสำคัญไม่ใช่ส่วนหนึ่งของพระราชกิจแห่งพันธกิจของพระองค์  หมายสำคัญและการอัศจรรย์เช่นนั้นเป็นพระราชกิจซึ่งได้ทำไปเพื่อให้พระราชกิจของพระองค์เกิดประสิทธิภาพ หมายสำคัญและการอัศจรรย์เป็นพระราชกิจพิเศษ และไม่ได้เป็นตัวแทนพระราชกิจของยุคสมัยทั้งยุค  ในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติแห่งภาคพันธสัญญาเดิม พระเจ้ายังได้ทรงแสดงให้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์บางอย่างเช่นกัน—แต่พระราชกิจซึ่งพระเจ้าทรงปฏิบัติวันนี้เป็นพระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และพระองค์คงจะไม่ทรงแสดงให้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ในขณะนี้อย่างแน่นอน  หากพระองค์ได้ทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ พระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์ก็คงจะถูกขัดจังหวะให้เกิดความสับสนไม่เป็นระเบียบ และพระองค์ก็คงจะไม่สามารถทรงพระราชกิจใดได้อีก  หากพระเจ้าได้ตรัสว่าจะใช้พระวจนะเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม แต่ก็ได้ทรงแสดงให้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์เช่นกัน เช่นนั้นแล้วจะเป็นไปได้หรือไม่ว่า มันทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นว่า มนุษย์เชื่อในพระองค์อย่างแท้จริง?  ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าไม่ทรงทำสิ่งทั้งหลายเช่นนั้น  มีศาสนามากเกินไปภายในมนุษย์ พระเจ้าได้เสด็จมาในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายเพื่อขับไล่มโนคติที่หลงผิดทางศาสนาและสิ่งทั้งหลายที่เกินธรรมชาติทั้งหมดภายในมนุษย์ออกไป และทำให้มนุษย์รู้จักความสัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้า  พระองค์ได้เสด็จมาเพื่อถอดพระฉายาหนึ่งของพระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งเป็นนามธรรมและเพ้อฝันออกไป—พระฉายาหนึ่งของพระเจ้าองค์หนึ่ง ผู้ซึ่งอีกนัยหนึ่งไม่ได้ดำรงอยู่เลย  และดังนั้น บัดนี้สิ่งเดียวซึ่งล้ำค่าก็คือการที่เจ้ามีความรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์กับชีวิตจริง!  ความจริงสำคัญกว่าทุกสิ่ง  เจ้ามีความจริงมากเพียงใดกันในวันนี้?  ทุกอย่างที่แสดงให้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์คือพระเจ้าอย่างนั้นหรือ?  บรรดาวิญญาณชั่วก็สามารถแสดงให้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ได้เช่นกัน พวกมันทั้งหมดใช่พระเจ้าหรือไม่?  ในการเชื่อของเขาในพระเจ้า สิ่งซึ่งมนุษย์ค้นหาก็คือความจริง และสิ่งซึ่งเขาไล่ตามเสาะหาก็คือชีวิต แทนที่จะเป็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์  นี่ควรเป็นเป้าหมายของทุกคนผู้ซึ่งเชื่อในพระเจ้า

ก่อนหน้า: ยุคแห่งราชอาณาจักรคือยุคพระวจนะ

ถัดไป: บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger