ปัญหาที่ร้ายแรงมาก: การทรยศ (2)

ธรรมชาติของมนุษย์ค่อนข้างแตกต่างจากเนื้อแท้ของเรา เพราะธรรมชาติอันเสื่อมทรามของมนุษย์กำเนิดขึ้นจากซาตานทั้งสิ้น ธรรมชาติของมนุษย์ถูกซาตานแปรสภาพและทำให้เสื่อมทรามมาตลอด  นั่นคือ มนุษย์ใช้ชีวิตภายใต้อิทธิพลของความชั่วร้ายและความอัปลักษณ์ของมัน  มนุษย์ไม่ได้เติบโตในโลกของความจริงหรือสภาพแวดล้อมอันบริสุทธิ์ และมนุษย์ที่อาศัยในความสว่างยังคงมีน้อยกว่านั้น  ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครมีความจริงภายในธรรมชาติของพวกเขาตั้งแต่ชั่วขณะของการถือกำเนิด และใครก็ตามที่สามารถเกิดมาพร้อมแก่นแท้ที่เกรงกลัวและนบนอบพระเจ้าก็ยิ่งน้อยกว่านั้นอีก  ในทางกลับกัน ผู้คนมีธรรมชาติที่ต้านทานพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า และไม่มีความรักให้กับความจริง  ธรรมชาตินี้คือปัญหาที่เราต้องการจะหารือ—การทรยศ  การทรยศคือแหล่งกำเนิดของการต้านทานพระเจ้าในแต่ละคน  นี่คือปัญหาที่มีอยู่เฉพาะในมนุษย์เท่านั้น และไม่ใช่ในเรา  บางคนจะถามว่า ในเมื่อมนุษย์ทั้งปวงดำเนินชีวิตในแผ่นดินโลกนี้เหมือนอย่างพระคริสต์ เหตุใดมนุษย์ทั้งปวงจึงมีธรรมชาติที่ทรยศพระเจ้า แต่พระคริสต์ไม่ทรงมีเล่า?  นี่คือปัญหาที่ต้องอธิบายให้ชัดเจนแก่พวกเจ้า

พื้นฐานของการดำรงอยู่ของมวลมนุษย์คือการกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ของวิญญาณซ้ำไปมา  พูดอีกอย่างก็คือ ทุกคนได้รับชีวิตแบบมนุษย์ในเนื้อหนังเมื่อวิญญาณของพวกเขากลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่  หลังจากร่างกายของบุคคลหนึ่งถือกำเนิด ชีวิตของร่างนั้นก็ดำเนินไปจนกระทั่งเนื้อหนังถึงขีดจำกัดของมันในท้ายที่สุด ซึ่งเป็นชั่วขณะสุดท้าย เมื่อวิญญาณไปจากเปลือกของมัน  กระบวนการนี้เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยที่วิญญาณของบุคคลหนึ่งไปมาเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า และด้วยเหตุนี้ การดำรงอยู่ของมวลมนุษย์จึงได้รับการคงรักษาไว้  ชีวิตของเนื้อหนังก็คือชีวิตของวิญญาณมนุษย์ด้วยเช่นกัน และวิญญาณของมนุษย์สนับสนุนการดำรงอยู่ของเนื้อหนังของมนุษย์  กล่าวคือ ชีวิตของแต่ละคนมาจากวิญญาณของพวกเขา และชีวิตไม่ใช่สิ่งประจำตัวของเนื้อหนัง ด้วยเหตุนี้ ธรรมชาติของมนุษย์จึงมาจากวิญญาณ ไม่ใช่จากเนื้อหนัง  มีเพียงวิญญาณของแต่ละคนเท่านั้นที่รู้ว่าพวกเขาได้รับประสบการณ์กับการทดลอง ความทุกข์ร้อน และความเสื่อมทรามของซาตานอย่างไร  เนื้อหนังของมนุษย์มิอาจรู้สิ่งเหล่านี้ได้  ดังนั้น มวลมนุษย์จึงกลายเป็นมืดมิดกว่าเดิมทุกที โสมมกว่าเดิมทุกที และชั่วร้ายกว่าเดิมทุกทีโดยไม่รู้ตัว ขณะที่ระยะห่างระหว่างมนุษย์กับตัวเราขยายใหญ่ขึ้นทุกที และชีวิตกลายเป็นมืดมิดกว่าเดิมสำหรับมวลมนุษย์  ซาตานยึดเหล่าวิญญาณของมวลมนุษย์ไว้ในกำมือของมัน ดังนั้น เป็นที่แน่นอนว่า เนื้อหนังของมนุษย์ก็ได้ถูกซาตานครอบงำ  ไปแล้วเช่นกัน  เนื้อหนังเช่นนั้นกับมวลมนุษย์เช่นนั้น จะสามารถไม่ต่อต้านพระเจ้าได้อย่างไร?  พวกเขาจะสามารถเข้ากันได้กับพระองค์โดยกำเนิดได้อย่างไร?  เหตุผลที่เราได้โยนซาตานไปในกลางอากาศก็เพราะมันได้ทรยศเรา  เช่นนั้นแล้ว พวกมนุษย์จะสามารถเป็นอิสระจากความเกี่ยวข้องของพวกเขาได้อย่างไร?  นี่คือเหตุผลว่า ทำไมการทรยศจึงเป็นธรรมชาติของมนุษย์  เราเชื่อว่าทันทีที่พวกเจ้าเข้าใจเหตุผลนี้แล้ว พวกเจ้าก็ควรจะมีการเชื่อบางระดับในแก่นแท้ของพระคริสต์ด้วยเช่นกัน  เนื้อหนังที่พระวิญญาณของพระเจ้าสวมใส่นั้นคือเนื้อหนังของพระเจ้าเอง  พระวิญญาณของพระเจ้ายิ่งใหญ่ที่สุด พระองค์ทรงมหิทธิฤทธิ์ บริสุทธิ์ และชอบธรรม  ในทำนองเดียวกัน เนื้อหนังของพระองค์ก็ยิ่งใหญ่ที่สุด ทรงมหิทธิฤทธิ์ บริสุทธิ์ และชอบธรรมเช่นกัน  เนื้อหนังเช่นนั้นสามารถทำได้เพียงสิ่งที่ชอบธรรมและให้คุณแก่มวลมนุษย์ สิ่งที่บริสุทธิ์ รุ่งโรจน์ และทรงฤทธิ์ พระองค์ไม่สามารถทำสิ่งใดที่ฝ่าฝืนความจริง ที่ฝ่าฝืนศีลธรรมและความยุติธรรม และนับประสาอะไรที่พระองค์จะสามารถทำสิ่งใดที่จะทรยศต่อพระวิญญาณของพระเจ้า  พระวิญญาณของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์ และด้วยเหตุนี้ เนื้อหนังของพระองค์จึงมิอาจถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามได้  เนื้อหนังของพระองค์คือเนื้อแท้ที่แตกต่างจากเนื้อหนังของมนุษย์  เพราะผู้ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามคือมนุษย์ มิใช่พระเจ้า และซาตานไม่อาจสามารถทำให้เนื้อหนังของพระเจ้าพระองค์เองเสื่อมทรามได้เลย  ด้วยเหตุนี้ แม้จะมีข้อเท็จจริงที่ว่ามนุษย์กับพระคริสต์พำนักอยู่ภายในพื้นที่เดียวกัน ก็มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่สามารถถูกครอบครองและถูกใช้โดยซาตาน และทำร้ายโดยกลอุบายของซาตาน ในทางกลับกัน พระคริสต์ไม่ได้รับผลกระทบจากความเสื่อมทรามของซาตานชั่วนิรันดร์ เพราะซาตานจะไม่มีวันที่จะสามารถขึ้นไปถึงสถานที่สูงที่สุดได้ และจะไม่มีวันสามารถเข้าใกล้พระเจ้าได้  วันนี้ พวกเจ้าทั้งหมดควรเข้าใจว่า ผู้ที่ทรยศเรา มีเพียงมวลมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างที่เป็นอยู่เท่านั้น  การทรยศจะไม่มีวันที่จะเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพระคริสต์แม้แต่น้อย

วิญญาณทั้งหมดที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามนั้นถูกจับเป็นทาสอยู่ในอำนาจของซาตาน  มีเพียงบรรดาผู้ที่เชื่อในพระคริสต์เท่านั้นที่ได้ถูกแยกไว้ ได้รับการช่วยให้รอดจากค่ายของซาตาน และถูกนำพาเข้าไปสู่ราชอาณาจักรของวันนี้  ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตานอีกต่อไป  ถึงกระนั้น ธรรมชาติของมนุษย์ก็ยังคงฝังรากอยู่ในเนื้อหนังของมนุษย์ กล่าวคือ ถึงแม้วิญญาณของพวกเจ้าจะได้รับการช่วยให้รอดแล้ว แต่ธรรมชาติของพวกเจ้าก็ยังคงเป็นเหมือนที่เคยเป็นก่อนหน้านี้ และโอกาสที่พวกเจ้าจะทรยศเราก็ยังคงมีอยู่เต็มร้อย  นี่คือเหตุผลว่าทำไมงานของเราจึงกินเวลานานเหลือเกิน เพราะธรรมชาติของพวกเจ้านั้นดื้อด้าน  บัดนี้ พวกเจ้าทั้งหมดกำลังก้าวผ่านความยากลำบากอย่างสุดความสามารถของพวกเจ้าขณะที่พวกเจ้าลุล่วงหน้าที่ของพวกเจ้าให้สำเร็จลุล่วง ถึงกระนั้น พวกเจ้าแต่ละคนก็ยังสามารถทรยศเราและกลับสู่อำนาจของซาตาน กลับสู่ค่ายของมัน และกลับไปสู่ชีวิตเก่าของพวกเจ้าได้—นี่คือข้อเท็จจริงที่มิอาจปฏิเสธได้  เวลานั้น จะเป็นไปไม่ได้ที่พวกเจ้าจะแสดงเศษเสี้ยวของความเป็นมนุษย์หรือสภาพเหมือนมนุษย์ ดังเช่นที่เจ้าทำอยู่ตอนนี้  ในกรณีที่ร้ายแรง เจ้าจะถูกทำลาย และที่มากกว่านั้นคือ เจ้าจะจบสิ้นชั่วนิรันดร์ ถูกลงโทษอย่างรุนแรง ไม่มีวันได้เกิดเป็นมนุษย์ใหม่อีก  นี่คือปัญหาที่วางตรงหน้าพวกเจ้า  เรากำลังเตือนพวกเจ้าในหนทางนี้ อันดับแรก เพื่อที่งานของเราจะไม่สูญเปล่า และอันดับสอง เพื่อที่พวกเจ้าทั้งหมดจะได้ใช้ชีวิตในวันแห่งความสว่าง  ในความจริง การที่งานของเราจะสูญเปล่าหรือไม่นั้นไม่ใช่ปัญหาสำคัญยิ่งยวด  สิ่งที่สำคัญยิ่งยวดคือการที่พวกเจ้าสามารถมีชีวิตที่มีความสุขและอนาคตที่น่ามหัศจรรย์ต่างหาก  งานของเราคืองานแห่งการช่วยวิญญาณของผู้คนให้รอด  หากวิญญาณของเจ้าร่วงลงไปอยู่ในมือของซาตาน ร่างกายของเจ้าจะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสันติสุข  หากเรากำลังคุ้มครองร่างกายของเจ้า วิญญาณของเจ้าก็จะอยู่ภายใต้การดูแลของเราด้วยเช่นกันอย่างแน่นอน  หากเราเกลียดชังเจ้าจริงๆ ร่างกายและวิญญาณของเจ้าจะตกสู่มือของซาตานโดยทันที  เช่นนั้นแล้วเจ้าสามารถจินตนาการสถานการณ์ของเจ้าได้หรือไม่?  หากวันหนึ่งถ้อยคำของเราไม่มีผลกับพวกเจ้า เช่นนั้นเราก็จะส่งมอบพวกเจ้าทั้งหมดให้ซาตาน ซึ่งจะนำพวกเจ้าไปสู่การทรมานที่เจ็บปวดรุนแรง จนกว่าความโกรธของเราจะหมดไปโดยสิ้นเชิง หรือเราจะลงโทษพวกเจ้าพวกมนุษย์ที่มิอาจไถ่ได้ด้วยตัวเราเอง เพราะหัวใจของพวกเจ้าที่ทรยศเราจะไม่มีวันเปลี่ยน

ตอนนี้พวกเจ้าทั้งหมดควรตรวจสอบตัวเองให้เร็วที่สุดเท่าที่เจ้าจะทำได้ เพื่อดูว่ายังมีการทรยศต่อเราหลงเหลืออยู่ภายในตัวพวกเจ้ามากเพียงใด  เรากำลังตั้งตารอคำตอบจากพวกเจ้า  จงอย่าทำกับเราอย่างสุกเอาเผากิน  เราไม่เคยเล่นเกมกับผู้คน  หากเราพูดว่าเราจะทำบางสิ่งบางอย่าง เช่นนั้นแล้วเราก็จะทำสิ่งนั้นอย่างแน่นอน  เราหวังว่าพวกเจ้าแต่ละคนจะเป็นใครบางคนที่ถือถ้อยคำของเราเป็นจริงเป็นจัง และไม่คิดราวกับว่าถ้อยคำเหล่านั้นเป็นนิยายวิทยาศาสตร์  สิ่งที่เราต้องการคือการกระทำที่เป็นรูปธรรมจากพวกเจ้า ไม่ใช่การจินตนาการต่างๆ ของพวกเจ้า  ถัดจากนั้น พวกเจ้าต้องตอบคำถามของเรา ซึ่งมีดังต่อไปนี้  

1. หากเจ้าเป็นคนปรนนิบัติที่แท้จริง เจ้าสามารถทำการปรนนิบัติเราอย่างรักภักดี โดยไม่มีส่วนประกอบของความสุกเอาเผากินหรือความคิดด้านลบใดเลยได้หรือไม่?

2. หากเจ้าค้นพบว่าเราไม่เคยซึ้งคุณค่าเจ้าเลย เจ้าจะยังคงสามารถอยู่และทำการปรนนิบัติเราไปตลอดชีวิตได้หรือไม่?

3. หากเรายังคงเย็นชาต่อเจ้ามากแม้ว่าเจ้าจะกำลังใช้ความพยายามมากมาย เจ้าจะสามารถทำงานให้เราต่อโดยไม่เป็นที่รู้จักได้หรือไม่?

4. หากหลังจากเจ้าได้ใช้จ่ายเพื่อเราแล้ว เราไม่พึงพอใจกับข้อเรียกร้องไม่กี่อย่างของเจ้า เจ้าจะกลายเป็นท้อแท้ใจและผิดหวังในตัวเรา หรือกระทั่งกลายเป็นโกรธแค้นและตะโกนด่าทอหรือไม่?

5. หากเจ้าจงรักภักดีอย่างมากมาโดยตลอด มีความรักมากมายให้เรา กระนั้นเจ้าก็ยังทนทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บ ความตึงเครียดทางการเงิน และการทอดทิ้งของผองเพื่อนและญาติมิตรของเจ้า หรือหากเจ้าทนฝ่าโชคร้ายอื่นใดในชีวิต ความจงรักภักดีและความรักของเจ้าที่มีต่อเราจะยังคงดำเนินต่อไปหรือไม่?

6. หากสิ่งที่เราได้ทำไม่ตรงกับสิ่งที่เจ้าได้จินตนาการไว้ในหัวใจของเจ้าเลยสักอย่าง เจ้าควรเดินตามเส้นทางอนาคตของเจ้าอย่างไร?

7. หากเจ้าไม่ได้รับสิ่งใดเลยจากสิ่งต่างๆ ที่เจ้าหวังไว้ว่าจะได้รับ เจ้าจะสามารถเป็นผู้ติดตามของเราต่อไปได้หรือไม่?

8. หากเจ้าไม่เคยเข้าใจจุดประสงค์และนัยสำคัญของงานเราเลย เจ้าจะสามารถเป็นบุคคลที่นบนอบผู้ที่ไม่ทำการตัดสินและสรุปเองโดยพลการได้หรือไม่?

9. เจ้าจะสามารถหวงแหนความล้ำค่าของถ้อยคำทั้งหมดที่เราได้พูดไปและงานทั้งหมดที่เราได้ทำไปในขณะที่เราอยู่ร่วมกันกับมวลมนุษย์ได้หรือไม่?

10. เจ้าสามารถเป็นผู้ติดตามที่จงรักภักดีของเรา เต็มใจที่จะทนฝ่าความทุกข์ชั่วชีวิตเพื่อเรา แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้รับสิ่งใดเลย ได้หรือไม่?

11. เพื่อประโยชน์ของเรา เจ้าสามารถยกเลิกการพิจารณา การวางแผน หรือการตระเตรียมสำหรับเส้นทางเพื่อการอยู่รอดในอนาคตของเจ้าได้หรือไม่?

คำถามเหล่านี้เป็นตัวแทนข้อพึงประสงค์สุดท้ายของเราที่มีต่อพวกเจ้า และเราหวังว่าพวกเจ้าทั้งหมดจะสามารถให้คำตอบเราได้  หากเจ้าได้ปฏิบัติสักหนึ่งหรือสองอย่างที่คำถามพวกนี้ถามเจ้าให้สำเร็จลุล่วง เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องเพียรพยายามต่อไป  หากเจ้าไม่สามารถทำข้อพึงประสงค์เหล่านี้ให้สำเร็จได้สักข้อเดียว เจ้าก็เป็นคนประเภทที่จะถูกโยนลงไปในนรกอย่างแน่นอน  กับผู้คนเช่นนั้น เราไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งใดอีก เพราะพวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่สามารถเห็นพ้องกับเราได้อย่างแน่นอน  เราจะสามารถเก็บใครบางคนที่อาจทรยศเราภายใต้รูปการณ์แวดล้อมใดๆ ก็ได้ไว้ในบ้านของเราได้อย่างไร?  สำหรับพวกที่ยังคงสามารถทรยศเราได้ในรูปการณ์แวดล้อมส่วนใหญ่ เราจะสังเกตการณ์การปฏิบัติของพวกเขาก่อนทำการจัดการเตรียมการอย่างอื่น  อย่างไรก็ดี ทุกคนที่สามารถทรยศเราได้ ไม่สำคัญว่าจะอยู่ภายใต้เงื่อนไขใดๆ เราจะไม่มีวันลืมเลย เราจะจำพวกเขาในหัวใจของเรา และรอโอกาสที่จะตอบแทนความประพฤติชั่วของพวกเขา  ข้อพึงประสงค์ที่เราได้ยกมาคือปัญหาทั้งหมดที่พวกเจ้าต้องตรวจดูในตัวพวกเจ้าเอง  เราหวังว่าพวกเจ้าทั้งหมดจะสามารถพิจารณาปัญหาเหล่านั้นได้อย่างจริงจัง และไม่ติดต่อกับเราแบบพอเป็นพิธี  ในอนาคตอันใกล้ เราจะตรวจคำตอบที่พวกเจ้าให้เรามาโดยเทียบกับข้อพึงประสงค์ของเรา  เมื่อถึงเวลานั้น เราจะไม่พึงประสงค์สิ่งใดจากพวกเจ้าอีก และจะไม่ให้คำตักเตือนที่จริงจังจริงใจอีก  แต่เราจะใช้สิทธิอำนาจของเราแทน  บรรดาผู้ที่ควรได้รับการรักษาไว้ก็จะได้รับการรักษาไว้ บรรดาผู้ที่ควรได้รับบำเหน็จก็จะได้รับบำเหน็จ พวกที่ควรถูกยกให้ซาตานก็จะถูกยกให้ซาตาน พวกที่ควรถูกลงโทษอย่างรุนแรงก็จะถูกลงโทษอย่างรุนแรง และพวกที่ควรพินาศจะถูกทำลาย  ด้วยเหตุนี้ จะไม่มีใครรบกวนเราในวันของเราอีกต่อไป  เจ้าเชื่อถ้อยคำของเราหรือไม่?  เจ้าเชื่อในการลงทัณฑ์อันสาสมหรือไม่?  เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าเราจะลงโทษพวกคนชั่วเหล่านั้นทั้งหมดที่หลอกลวงและทรยศเรา?  เจ้าหวังให้วันนั้นมาถึงเร็วขึ้นหรือช้าลง?  เจ้าเป็นใครบางคนที่หวาดกลัวต่อการลงโทษ หรือเป็นใครบางคนที่จะต้านทานเรา แม้ว่าพวกเขาต้องทนฝ่าต่อการลงโทษก็ตาม?  เมื่อวันนั้นมาถึง เจ้าสามารถจินตนาการได้หรือไม่ว่า เจ้าจะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความรื่นเริงและเสียงหัวเราะ หรือว่าเจ้าจะร่ำไห้และขบฟัน?  บทอวสานแบบใดที่เจ้าหวังว่าจะเจอ?  เจ้าเคยพิจารณาอย่างจริงจังหรือไม่ว่า เจ้าเชื่อในเราร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือสงสัยเราร้อยเปอร์เซ็นต์?  เจ้าเคยพิจารณาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่ว่า การกระทำกับพฤติกรรมของเจ้าจะทำให้เจ้าพบกับผลที่ตามมาและบทอวสานแบบใด?  เจ้าหวังอย่างแท้จริงหรือไม่ว่าถ้อยคำทั้งหมดของเราจะได้รับการทำให้สำเร็จลุล่วงตามลำดับ หรือเจ้าหวาดกลัวว่าถ้อยคำของเราจะได้รับการทำให้สำเร็จลุล่วงตามลำดับ?  หากเจ้าหวังให้เราจากไปโดยเร็วเพื่อที่จะทำให้ถ้อยคำของเราสำเร็จลุล่วง เจ้าควรปฏิบัติอย่างไรกับถ้อยคำและการกระทำของเจ้าเอง?  หากเจ้าไม่ได้หวังให้เราจากไป และไม่ได้หวังให้ถ้อยคำของเราได้รับการทำให้สำเร็จลุล่วงในทันที เหตุใดเจ้าจึงเชื่อในเราทั้งหมด?  เจ้ารู้อย่างแท้จริงหรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าจึงกำลังติดตามเรา?  หากเหตุผลของเจ้ามีเพียงแค่เปิดโลกของเจ้าให้กว้าง ก็ไม่จำเป็นที่เจ้าต้องสร้างปัญหาให้ตัวเจ้าเองอย่างนี้  หากมันเป็นไปเพื่อให้ได้รับพรและเลี่ยงหนีความวิบัติที่กำลังมาถึง เหตุใดเจ้าจึงไม่กังวลเรื่องการประพฤติของเจ้าเอง?  เหตุใดเจ้าไม่ถามตัวเจ้าเองว่าเจ้าสามารถทำให้สมดังสิ่งที่เราพึงประสงค์ได้หรือไม่?  เหตุใดเจ้าไม่ถามตัวเองด้วยว่าเจ้ามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้รับพรทั้งหลายที่จะมาถึงหรือไม่?

ก่อนหน้า: ปัญหาที่ร้ายแรงมาก: การทรยศ (1)

ถัดไป: พวกเจ้าควรจะพิจารณาความประพฤติทั้งหลายของพวกเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger