การเข้าใจว่าการเป็นคนดีหมายถึงอะไร
ตั้งแต่เด็ก พ่อแม่สอนให้ฉันเป็นธรรม มีเหตุผล ใจดีต่อผู้อื่น เข้าใจความยากลำบากของคนอื่น และไม่คิดเล็กคิดน้อย พวกท่านว่านั่นคือการเป็นคนดี และผู้อื่นก็จะเคารพนับถือ ฉันเองก็คิดว่าดีที่จะเป็นแบบนั้น และมักเตือนตัวเองให้มีเมตตาและมีความเห็นอกเห็นใจ ฉันไม่เคยขัดแย้งกับใครเลยทั้งในครอบครัวและกับชาวบ้านคนอื่นๆ และฉันกังวลมากว่าคนอื่นๆ จะมองฉันยังไง คนในหมู่บ้านมักสรรเสริญฉัน ว่าฉันเป็นคนดี และเข้าใจคน ไม่ต่อปากต่อคำ ยามถูกพวกเขาล่วงเกิน การสรรเสริญแบบนี้ทำให้ฉันสุขใจมาก ฉันคิดว่า ฉันควรเป็นคนที่เป็นมิตรแบบนั้น และฉันควรเข้าอกเข้าใจ แม้เมื่อใครบางคนทำผิด ฉันรู้สึกแน่ใจว่านี่คือมาตรฐานในการเป็นคนดี หลังเป็นผู้เชื่อ ฉันก็ยังทำสิ่งต่างๆ แบบนั้นเช่นกัน
จากนั้นในเดือนพฤศจิกายนปี 2021 ฉันได้รับเลือกเป็นมัคนายก และเริ่มเผยแผ่ข่าวประเสริฐกับพี่น้องอีกสองสามคน หนึ่งในนั้นคือพี่น้องชายหวังซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกับฉัน เขามีขีดความสามารถ มีเหตุผลชัดเจน ยามสามัคคีธรรมและเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เขาใช้ตัวอย่างอธิบาย ให้ผู้กำลังสืบค้นหนทางที่แท้จริงได้เข้าใจ แต่ฉันพบว่าเขาค่อนข้างโอหังและไม่ชอบยอมรับข้อเสนอแนะของคนอื่น อีกอย่าง บ่อยครั้งที่เขาไม่ทำตามหลักธรรมในหน้าที่ ไม่ยกย่อง และไม่เป็นพยานต่อพระเจ้าในงานข่าวประเสริฐ แต่กลับพูดบ่อยมากว่าเขาทำให้คนรับเชื่อมาเยอะแค่ไหน พี่น้องล้วนชอบฟังเขาประกาศและพากันสรรเสริญเยินยอเขา ครั้งหนึ่งคนที่สืบค้นหนทางที่แท้จริงอยู่สรรเสริญเขาที่ประกาศได้ดี ตอนนั้น ฉันสังเกตว่าเขายกย่องตัวเองและอวดตัวอยู่ไม่น้อย และเขาไม่มุ่งเน้นเป็นพยานให้งานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า หรือแก้ไขมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาของผู้คน ฉันอยากเอ่ยเรื่องนี้กับพี่น้องหวัง แต่หลังจากคิดๆ ดู ฉันตัดสินใจรอต่ออีกนิด ฉันอยากให้พี่น้องหวังรู้ว่า ฉันเป็นคนใจดีและมีเหตุผล ที่ไม่ดึงความสนใจไปที่ทุกปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่ฉันเห็น ฉันคิดว่าควรหนุนใจ ช่วยเหลือเขามากขึ้น ต่อมา ผู้นำมักจะส่งหลักธรรมที่ตรงประเด็นให้เราสำหรับแบ่งปันข่าวประเสริฐ ฉันจึงสามัคคีธรรมอ้อมๆ ไปนิดหน่อยในสิ่งที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของพี่น้องหวัง ฉันหวังว่าเขาจะมองเห็นประเด็นปัญหาของตัวเองผ่านสามัคคีธรรมนั้น ฉันอยากเอ่ยถึงปัญหาต่างๆ ของเขาอีก แต่ฉันก็คิดว่า ในเมื่อเขาเป็นคนค่อนข้างโอหัง เขาอาจจะไม่ยอมรับคำแนะนำของฉัน ฉันกลัวเขาจะคิดว่าฉันไม่มีเหตุผล และใจร้าย และจะเกิดความประทับใจที่ไม่ดีกับฉัน ถ้าความสัมพันธ์ของเรามาถึงทางตันและทำงานเข้ากันไม่ได้ ภาพลักษณ์คนดีของฉันก็จะเสียหาย พอคิดแบบนี้ ฉันก็กลืนคำพูดของตัวเองลงไป ตอนนั้น ฉันรู้สึกค่อนข้างแย่ทีเดียว ฉันจึงมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์ ขอความเข้มแข็งจากพระองค์เพื่อปฏิบัติความจริง หลังจากนั้น ฉันกับพี่น้องหวัง และพี่น้องอีกสองสามคน พากันไปแบ่งปันข่าวประเสริฐที่หมู่บ้านหนึ่ง ฉันสังเกตว่าพี่น้องหวังยังอวดตัวในการสามัคคีธรรม พูดถึงการที่เขาไม่สนใจเรื่องเงิน และทำงานหนักเพื่อพระเจ้า แต่ไม่มุ่งเน้นสามัคคีธรรมความจริง ระหว่างทางกลับบ้าน ฉันรวบรวมความกล้าพูดกับเขาไปว่า “คุณไม่ได้เข้าสู่หลักธรรมในการประกาศและคำพยานของคุณ คุณต้องมุ่งสามัคคีธรรมความจริงกับผู้มีโอกาสรับเชื่อ มุ่งที่จะนำพวกเขามาอยู่เฉพาะพระพักตร์—” ก่อนที่ฉันจะพูดจบ เขาตอบกลับด้วยการพูดว่า “สามัคคีธรรมของผมไม่มีอะไรผิด คุณคิดมากเกินไป” หากฉันพูดต่อก็กลัวเขาเสียความภูมิใจและเป็นการทำลายสายสัมพันธ์ของเรา กังวลว่าเขาจะมองฉันไม่ดี และภาพลักษณ์ของฉันจะเสียไป ฉันจึงไม่พูดอะไรต่อ ฉันรู้สึกว่านั่นดีพอแล้ว และเขาจะค่อยๆ มองเห็นได้เอง ฉันมารู้เอาตอนหลังว่า แม้เรามีธุระยุ่งตลอด แต่งานข่าวประเสริฐของเราก็ไม่ได้รับผลดี บางคนในหมู่บ้านนั้นให้ความสนใจ แต่พี่น้องหวังสามัคคีธรรมไปสองสามครั้งแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจ อีกอย่าง พวกเขาเชื่อข่าวลือ มีมโนคติอันหลงผิด และไม่อยากสืบค้นต่อ บางคนยกย่องเชิดชูพี่น้องหวังจริงๆ และอยากฟังสามัคคีธรรมของเขาเท่านั้น แต่ไม่อยากฟังสามัคคีธรรม ของใครคนอื่นเลย การได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำให้ฉันอึดอัด และรู้สึกผิด ปัญหาเหล่านี้มีเหตุมาจากพี่น้องหวังอย่างมาก ถ้าฉันเอ่ยถึงปัญหาแต่เนิ่นๆ เขาก็อาจได้มองเห็นและเปลี่ยนแปลง แล้วงานข่าวประเสริฐของเราก็จะไม่เสียหาย แต่หลังจากนั้น พอฉันอยากเอ่ยถึงเรื่องนี้จริงๆ ฉันก็รู้สึกขัดแย้ง กังวลอีกว่าจะเสียสายสัมพันธ์ ฉันคิดว่า ฉันอาจคุยกับผู้นำ ให้เธอสามัคคีธรรมกับเขาก็ได้ แบบนั้นจะไม่กระทบความร่วมมือในหน้าที่ของเรา และเรายังเป็นมิตรต่อกัน ฉันจึงคุยกับผู้นำเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่น้องหวัง เธอหาพระวจนะที่ตรงประเด็นให้เราเข้าสู่ด้วยกัน และดูเหมือนพี่น้องหวังก็เปลี่ยนไปไม่น้อย ดังนั้นฉันจึงปล่อยผ่านไป
ครั้งหนึ่ง ฉันเอ่ยถึงเรื่องนี้กับพี่น้องหญิงอีกคน ที่ชี้ให้เห็นว่าฉันปกป้องความสัมพันธ์ของฉันกับคนอื่นเสมอ และนั่นเป็นสัญญาณของการชอบเอาใจคน แต่ตอนแรกฉันไม่มองแบบนั้น ฉันคิดว่าฉันไม่มีทางเป็นคนชอบเอาใจคน เพราะพวกนั้นฉลาดแกมโกง และฉันไม่เคยทำอะไรฉลาดแกมโกง แล้วฉันจะเป็นพวกนั้นได้ยังไง? ตอนนั้น ฉันไม่อยากยอมรับคำติของเธอ แต่ก็รู้ด้วยว่า สิ่งที่เธอพูดนั้น มีบทเรียนที่ฉันต้องเรียนรู้ ฉันอธิษฐานให้พระเจ้าทรงนำให้ฉันรู้จักตัวเอง ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะที่ว่า “พฤติกรรมของผู้คนและการปฏิบัติต่อผู้อื่นต้องมีพื้นฐานตามพระวจนะของพระเจ้า นี่คือหลักธรรมขั้นพื้นฐานที่สุดสำหรับการประพฤติปฏิบัติของมนุษย์ ผู้คนจะปฏิบัติความจริงได้อย่างไรหากพวกเขาไม่เข้าใจหลักธรรมแห่งการประพฤติปฏิบัติของมนุษย์? การปฏิบัติความจริงไม่ใช่การพูดคำพูดที่ว่างเปล่าและการท่องวลีที่กำหนดตายตัว ไม่ว่าคนเราอาจเผชิญสิ่งใดในชีวิต ตราบเท่าที่นั่นเกี่ยวข้องกับหลักธรรมแห่งการประพฤติปฏิบัติของมนุษย์ มุมมองที่มีต่อเหตุการณ์ หรือเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาย่อมเผชิญกับการเลือก และพวกเขาควรแสวงหาความจริง พวกเขาควรค้นหาพื้นฐานและหลักธรรมในพระวจนะของพระเจ้า แล้วจากนั้นพวกเขาก็ควรค้นหาเส้นทางปฏิบัติ ผู้ที่สามารถปฏิบัติในหนทางนี้ได้คือผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง การสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงในหนทางนี้ไม่ว่าคนเราจะประสบกับความลำบากยากเย็นมากมายเพียงใด ก็คือการเดินบนเส้นทางของเปโตรและเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง ตัวอย่างเช่น ควรติดตามหลักธรรมใดเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น? ทัศนคติดั้งเดิมของเจ้าคือว่า เจ้าไม่ควรล่วงเกินผู้ใดเลย แต่ควรธำรงไว้ซึ่งสันติสุขและหลีกเลี่ยงการทำให้ผู้ใดก็ตามเสียหน้า เพื่อให้ทุกคนสามารถไปกันได้ในอนาคต หากถูกทัศนคตินี้ตีกรอบเอาไว้ เมื่อเจ้าเห็นใครบางคนทำบางสิ่งที่ไม่ดี ทำความผิดพลาด หรือทำกระทำการปฏิบัติตนที่สวนทางกับหลักธรรม เจ้าก็จะทนยอมรับการนั้นแทนที่จะนำมาพูดคุยกับบุคคลนั้น เมื่อถูกจำกัดโดยทัศนคติของเจ้า เจ้ากลายเป็นไม่ชอบล่วงเกินผู้ใดเลย ไม่ว่าเจ้าจะคบค้าสมาคมกับใคร เมื่อเจ้าถูกขัดขวางดังที่เป็นอยู่โดยความคิดเกี่ยวกับหน้าตา เกี่ยวกับภาวะอารมณ์ หรือเกี่ยวกับความรู้สึกที่ได้เติบโตขึ้นในช่วงหลายปีแห่งการมีปฏิสัมพันธ์ เจ้าย่อมจะพูดสิ่งที่ดีอยู่เสมอเพื่อทำให้บุคคลนั้นมีความสุข ตรงที่มีสิ่งทั้งหลายที่เจ้าพบว่าไม่น่าพึงพอใจ เจ้าก็พลอยทนยอมรับไปด้วย เจ้าเพียงระบายความโกรธเล็กน้อยเป็นการส่วนตัว ใส่ไคล้ไปสองสามข้อ แต่เมื่อเจ้าพบปะพวกเขาซึ่งหน้า เจ้ากลับไม่สะกิดเตือนและยังคงรักษาความสัมพันธ์กับพวกเขาต่อไป เจ้าคิดอย่างไรกับการประพฤติปฏิบัติดังกล่าว? นี่ไม่ใช่การประพฤติปฏิบัติของคนที่เห็นดีเห็นงามตามผู้อื่นหรอกหรือ? นี่ตลบตะแลงมากมิใช่หรือ? นี่ละเมิดหลักธรรมที่ใช้ประพฤติปฏิบัติ ดังนั้นการปฏิบัติตนในลักษณะเช่นนี้ไม่ต่ำต้อยหรอกหรือ? พวกที่ปฏิบัติตนเยี่ยงนี้ไม่ใช่ผู้คนที่ดี อีกทั้งพวกเขาก็ไม่สูงศักดิ์ ไม่สำคัญว่าเจ้าได้ทนทุกข์มามากเพียงใด และไม่ว่าเจ้าได้ลงทุนลำบากไปเท่าใด หากเจ้าประพฤติปฏิบัติตนโดยไม่มีหลักธรรม เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมล้มเหลวไปแล้ว และจะไม่พบกับการเห็นชอบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า อีกทั้งจะไม่ได้รับการทรงจดจำโดยพระองค์ อีกทั้งจะไม่ทำให้พระองค์ทรงยินดี” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีนั้น คนเราต้องมีมโนธรรมและเหตุผลเป็นอย่างน้อย) ฉันทบทวนตัวเองจากพระวจนะ ฉันเคยคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนชอบเอาใจคน แต่จริงๆ ฉันทำตัวยังไงล่ะ? ช่วงเวลานั้น ฉันเห็นว่าพี่น้องหวังอวดตัวอย่างมากในงานข่าวประเสริฐ และฉันควรชี้ให้เห็นปัญหานั้น เพื่อช่วยให้เขารู้จักตัวเอง และทำหน้าที่โดยยึดตามหลักธรรม แต่ฉันกลัวว่าถ้าพูดตรงจะผิดใจกัน ฉันจึงรักษาน้ำใจเขา และไม่กล้าพูดอะไรตรงๆ ฉันถึงกับอยากหนุนใจเขามากขึ้นด้วยซ้ำ เพื่อให้เขาประทับใจว่าฉันเป็นคนดี และนึกถึงฉันในแง่ดี แต่ว่าที่จริงแล้ว ฉันรู้ว่าเวลาร่วมมือกับพี่น้องในหน้าที่ เมื่อเราสังเกตเห็นปัญหา เราต้องชี้ให้เห็น ชดเชยจุดอ่อนของคนอื่น และค้ำจุนงานของคริสตจักรด้วยกัน แต่ฉันจงใจทำผิด ไม่ปฏิบัติความจริง ส่งผลให้พี่น้องหวังไม่เห็นประเด็นปัญหาของตัวเอง และอวดตัวต่อไปโดยไม่มุ่งเน้นความจริงตอนแบ่งปันข่าวประเสริฐ ไม่ได้แก้มโนคติอันหลงผิดของคนที่กำลังค้นหนทางที่แท้จริง และบางคนก็เลิกมาชุมนุมเมื่อถูกรบกวน ฉันเห็นผลกระทบต่องาน และค่อนข้างรู้สึกผิด แต่ฉันกลัวว่าถ้าฉันพูดตรงๆ เขาจะมีอคติต่อฉัน แล้วเราจะหมางใจกัน ฉันจึงใช้ความเจ้าเล่ห์ให้ผู้นำคริสตจักรสามัคคีธรรมกับเขา เพื่อที่ฉันจะได้ไม่ต้องล่วงเกินเขา ฉันพยายามรักษาความสัมพันธ์และเอาใจผู้อื่นในหน้าที่ของฉัน ฉันไม่ค้ำจุนผลประโยชน์ของคริสตจักร ไร้ความชอบธรรม และไม่มีหลักธรรมแม้แต่น้อย ฉันไม่ใช่คนที่ปฏิบัติความจริงเลย คนชอบเอาใจก็ทำตัวแบบนั้นเลยไม่ใช่หรือคะ? แล้วฉันก็ได้อ่านพระวจนะเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์ว่า “จากรูปลักษณ์ที่ปรากฏให้เห็นทั้งหมด คำพูดของพวกศัตรูของพระคริสต์ดูเหมือนใจดี มีวัฒนธรรม และโดดเด่นแตกต่างเป็นพิเศษ ใครก็ตามที่ละเมิดหลักธรรม ก้าวก่ายและรุกล้ำงานของคริสตจักร ไม่ถูกเปิดโปงหรือวิพากษ์วิจารณ์ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร ศัตรูของพระคริสต์ย่อมแสร้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ปล่อยให้ผู้คนคิดว่าพวกเขาเอื้อเฟื้อในทุกเรื่อง ทุกความเสื่อมทรามและความประพฤติที่น่าเกลียดน่าชังของผู้คน ต้องได้ประสบกับการทำความดีและการทนยอมรับ พวกเขาไม่โกรธหรือบันดาลโทสะ พวกเขาจะไม่ขุ่นเคืองและติเตียนผู้คนเมื่อผู้คนทำบางสิ่งผิดและทำให้ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเสียหาย ไม่ว่าผู้ใดจะทำชั่วและรบกวนงานในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็ไม่สนใจ ราวกับว่านี่ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขา และพวกเขาจะไม่มีวันล่วงเกินผู้คนเพราะสิ่งนี้ พวกเขากังวลสนใจในสิ่งใดมากที่สุด? จำนวนผู้คนที่ยอมรับนับถือพวกเขา และจำนวนผู้คนที่มองเห็นพวกเขาเมื่อพวกเขาทนทุกข์ และเลื่อมใสที่พวกเขาทนทุกข์ ศัตรูของพระคริสต์เชื่อว่าความทุกข์ต้องไม่มีวันสูญเปล่า ไม่ว่าพวกเขาจะสู้ทนความยากลำบากอันใด จ่ายราคาใด ทำความดีอะไร ดูแลห่วงใย คำนึงถึงผู้อื่น และเปี่ยมรักต่อผู้อื่นเพียงใด พวกเขาก็ต้องดำเนินการทั้งหมดนี้ต่อหน้าผู้อื่น ต้องมีผู้คนจำนวนมากขึ้นได้เห็น และจุดมุ่งหมายของพวกเขาในการทำเช่นนี้คืออะไร? เพื่อชนะใจผู้คน การทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความเลื่อมใสและความเห็นชอบต่อการกระทำของพวกเขา ต่อพฤติกรรมของพวกเขา ต่อบุคลิกลักษณะของพวกเขา” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า: พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่สิบ)) ฉันรู้สึกผิดมาก หลังจากอ่านพระวจนะ ราวกับพระเจ้าทรงเปิดโปงอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของฉันอยู่ตรงหน้า ฉันคิดทบทวนว่า ฉันพยายามเป็นคนใจดีที่เห็นอกเห็นใจคนเสมอ เพราะฉันรู้สึกว่าการทำแบบนั้น จะทำให้ผู้อื่นเคารพสรรเสริญฉัน และผู้คนจะชอบฉัน ฉันเป็นแบบนั้นเวลาทำหน้าที่กับพี่น้องชายหญิงคนอื่นด้วย ฉันจะไม่พูดอะไรโจ่งแจ้งเพื่อเปิดโปงปัญหาของพี่น้องหวัง เพราะกลัวทำลายชื่อเสียงเขา แล้วเราจะไม่ลงรอยกัน แต่ที่จริง ทุกอย่างที่ฉันทำก็เพื่อปกป้องชื่อและสถานะของตัวเอง ฉันใช้ความใจดีภายนอกเพื่อประจบประแจง และอำพรางตัวเอง ให้ดูดี ผู้คนจะได้คิดว่าฉันรักผู้อื่น ใจเย็น และอดทน ว่าฉันเป็นคนดี และอ่อนโยน แต่ฉันไม่เอาใจใส่ว่างานของคริสตจักรหรือ ชีวิตของพี่น้องจะเสียหายหรือไม่ ตอนนั้นเองที่ฉันเห็นว่าฉันตลบแตลงและฉลาดแกมโกงแค่ไหน ดูเหมือนฉันไม่เคยล่วงเกินใคร เหมือนฉันเป็นคนดี แต่ที่จริงฉันมีเหตุจูงใจอันเลวทรามอยู่เบื้องหลัง ฉันหลอกลวงผู้คน เล่นไม่ซื่อกับพระเจ้า ฉันเห็นว่าฉันมีอุปนิสัยเดียวกันกับศัตรูของพระคริสต์ ที่ค้ำจุนภาพลักษณ์และสถานะของตนแลกกับความเสียหายของงานคริสตจักร และการคงอยู่บนเส้นทางนั้นจะเป็นอันตรายใหญ่หลวง ฉันจะห่างจากพระเจ้ามาก และถูกพระองค์ขับออก! พอตระหนักเรื่องนี้ ฉันก็ดูหมิ่นตัวเอง รู้สึกเสียใจมากทีเดียว ฉันกล่าวอธิษฐานว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์อำพรางให้ตัวเองดูดีเสมอ มุ่งเน้นที่การสร้างภาพลักษณ์ด้านบวก ข้าพระองค์ไม่อยากคงอยู่บนเส้นทางนี้ โปรดทรงนำข้าฯ ให้ละทิ้งอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเอง”
จากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะเพิ่มเติมว่า “มาตรฐานที่มนุษย์ใช้ตัดสินมนุษย์คนอื่นๆ อยู่บนพื้นฐานของพฤติกรรมของพวกเขา กล่าวคือ บรรดาผู้ที่ความประพฤติของเขานั้นดีก็เป็นคนชอบธรรม ในขณะเดียวกัน บรรดาผู้ที่ความประพฤติของเขาน่าสะอิดสะเอียนก็เป็นคนชั่ว ส่วนมาตรฐานที่พระเจ้าทรงใช้พิพากษามนุษย์นั้นอยู่บนพื้นฐานของแก่นแท้ของพวกเขาว่านบนอบต่อพระองค์หรือไม่ กล่าวคือ บุคคลผู้ซึ่งนบนอบต่อพระเจ้าคือคนชอบธรรม ในขณะที่บุคคลผู้ซึ่งไม่นบนอบเป็นศัตรูและเป็นคนชั่ว โดยไม่คำนึงถึงว่าพฤติกรรมของบุคคลผู้นี้ดีหรือชั่ว และโดยไม่คำนึงถึงว่าวาทะของพวกเขาถูกหรือผิด” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน) “อาจเป็นไปได้ว่าตลอดหลายปีที่เจ้ามีความเชื่อในพระเจ้า เจ้าไม่เคยสาปแช่งใคร หรือกระทำความประพฤติเลวร้ายใดๆ แต่ในการคบหาสมาคมกับพระคริสต์ของเจ้า เจ้าไม่สามารถพูดความจริง กระทำการอย่างซื่อสัตย์ หรือเชื่อฟังพระวจนะของพระคริสต์ ในกรณีเช่นนั้น เราบอกเลยว่าเจ้าเป็นบุคคลที่ชั่วร้ายและมุ่งร้ายที่สุดในโลก เจ้าอาจมีอัธยาศัยดีและอุทิศตนเป็นพิเศษต่อบรรดาญาติ เพื่อน ภรรยา (หรือสามี) บุตรชายหญิง และบิดามารดาของเจ้า และไม่เคยเอาเปรียบผู้อื่น แต่หากเจ้าไม่สามารถเข้ากันได้กับพระคริสต์ หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะมีปฏิสัมพันธ์อย่างปรองดองกับพระองค์ได้แล้วไซร้ ต่อให้เจ้าสละทั้งหมดที่มีให้กับเพื่อนบ้านของเจ้า หรือดูแลเอาใจใส่บิดามารดาและสมาชิกในครัวเรือนของเจ้าอย่างพิถีพิถัน เราก็จะบอกว่าเจ้ายังคงเลวร้าย และยิ่งกว่านั้น ยังเต็มไปด้วยเพทุบายอันเจ้าเล่ห์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พวกที่เข้ากันไม่ได้กับพระคริสต์คือปรปักษ์ของพระเจ้าอย่างแน่นอน) ฉันเห็นได้จากพระวจนะว่า ผู้คนชี้วัดผู้อื่นโดยขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาประพฤติดีแค่ไหน คนที่ประพฤติดีเป็นคนดี ส่วนคนประพฤติชั่วเป็นคนชั่ว แต่มาตรฐานชี้วัดของพระเจ้าขึ้นอยู่กับการที่เขาเดินตามทางพระองค์หรือไม่ และขึ้นกับแก่นแท้และท่าทีของพวกเขาที่มีต่อการนบนอบพระเจ้า มันไม่ควรถูกกำหนดไปตามการที่เขาดูประพฤติดีแค่ไหน การเปิดเผยของพระวจนะกระทบใจฉันตรงๆ ตั้งแต่ยังเล็ก ทั้งกับสมาชิกครอบครัวและคนอื่น ฉันไม่เคยโต้เถียงหรือเริ่มขัดแย้งกับใคร ต่อให้มีคนเริ่มโต้เถียงกับฉัน ฉันก็จะหาทางออกด้วยการปลอบโยนพวกเขา คนในหมู่บ้านชื่นชมว่าฉันเป็นคนดีเสมอ และฉันก็คิดว่าการเป็นแบบนั้นแปลว่าฉันทำได้ตามมาตรฐานของคนดีแล้ว ตอนนี้ฉันเห็นแล้วว่า ดูเหมือนฉันไม่ได้ทำชั่ว แต่คำพูดและความประพฤติของฉันไม่ซื่อสัตย์ ฉันเห็นว่าพี่น้องหวังทำหน้าที่โดยไม่มีหลักธรรม และอวดตัวอยู่เสมอ ซึ่งกระทบต่อประสิทธิผลในงานของเรา และเพื่อปกป้องภาพลักษณ์ในฐานะคนดีของฉัน ฉันไม่เปิดโปง ไม่ช่วยเขา ไม่ค้ำจุนผลประโยชน์คริสตจักร ดังนั้นแม้ว่าคนอื่นจะคิดว่าฉันเป็นคนดี ตอนอยู่เฉพาะพระพักตร์ ฉันก็ยังค้านพระองค์และความจริง และทุกอย่างที่ฉันทำคือการทำชั่ว ฉันเห็นว่าการตัดสินว่าใครดีหรือชั่วตามพฤติกรรมภายนอก ไม่ใช่มาตรฐานที่ถูกต้อง บางคนดูเหมือนทำดีมากมาย แต่พวกเขาต่อต้านและกล่าวโทษงานและพระวจนะของพระเจ้าอย่างหนัก พวกเขาคือคนทำชั่ว ฉันนึกถึงพี่น้องหญิงที่ฉันเคยทำงานด้วย เท่าที่ฉันบอกได้ เธอไม่สนเรื่องการใช้คำพูดที่อบอุ่นหรืออ่อนโยน แต่เธอยอมรับความจริงได้ และหาวิธีทำหน้าที่ตามหลักธรรมของความจริง เธอพูดสิ่งที่จำเป็นเมื่อเธอเห็นคนอื่นไม่ทำตัวตามความจริง เธอมีความชอบธรรมและชี้ให้คนอื่นเห็นปัญหาได้ พอคิดเรื่องนี้ ฉันก็ตกลงใจได้ ที่จะเลิกทำตามมุมมองผิดๆ ของตัวเองในการพยายามดูเหมือนคนใจดี แต่ฉันต้องใช้ชีวิตตามความจริงแห่งพระวจนะ และไล่ตามการเป็นคนดีที่แท้จริง
ฉันอ่านพระวจนะบทตอนหนึ่งที่ให้เส้นทางปฏิบัติแก่ฉันค่ะ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “สิ่งที่ผู้คนควรเพียรพยายามที่จะสัมฤทธิ์ที่สุดคือการทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานของพวกเขา และทำให้ความจริงเป็นเกณฑ์กำหนดของตน เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถมีชีวิตอยู่ในความสว่างและใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ที่ปกติ หากเจ้าปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ในความสว่าง เจ้าควรกระทำการตามความจริง หากเจ้าคิดจะซื่อสัตย์ เจ้าก็ควรกล่าวคำที่ซื่อสัตย์ และทำสิ่งที่ซื่อสัตย์ เฉพาะเมื่อมีหลักธรรมของความจริงเท่านั้น การประพฤติปฏิบัติของเจ้าจึงจะมีพื้นฐาน ทันทีที่ผู้คนสูญเสียหลักธรรมของความจริงและมุ่งเน้นที่พฤติกรรมอันดีงามเท่านั้น นี่ย่อมก่อให้เกิดความเทียมเท็จและการเสแสร้งอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ หากไม่มีหลักธรรมในการประพฤติปฏิบัติของผู้คน เช่นนั้นแล้วไม่ว่าพฤติกรรมของพวกเขาจะดีงามเพียงใด พวกเขาก็คือคนหน้าซื่อใจคด พวกเขาอาจสามารถหลอกผู้อื่นให้หลงกลได้ชั่วระยะหนึ่ง แต่จะไม่มีวันไว้วางใจพวกเขาได้ เฉพาะเมื่อผู้คนกระทำการและประพฤติปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น พวกเขาจึงจะมีรากฐานที่แท้จริง หากพวกเขาไม่ประพฤติปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้า และมุ่งเน้นเพียงการเสแสร้งว่าประพฤติดีเท่านั้น นี่จะส่งผลให้พวกเขาสามารถกลายเป็นคนดีได้กระนั้นหรือ? แน่นอนที่สุดว่าไม่ได้ พฤติกรรมที่ดีงามไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ของผู้คนได้ มีเพียงความจริงและพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย ความคิด และข้อคิดเห็นของผู้คน และกลายเป็นชีวิตของพวกเขาได้…บางครั้งจำเป็นที่จะต้องชี้ให้เห็นและวิพากษ์วิจารณ์ข้อบกพร่อง ความขาดพร่อง และข้อผิดพลาดของผู้อื่นโดยตรง นี่เป็นประโยชน์ต่อผู้คนอย่างใหญ่หลวง เป็นการช่วยเหลือพวกเขาอย่างแท้จริงและอย่างสร้างสรรค์มิใช่หรือ? ยกตัวอย่าง สมมุติว่าเจ้าดื้อรั้นและโอหังเป็นพิเศษ เจ้าไม่เคยตระหนักรู้เรื่องนี้ แต่ใครบางคนที่รู้จักเจ้าดีย่อมจะบอกปัญหาแก่เจ้าตามตรง เจ้าคิดกับตนเองว่า ‘ฉันดื้อรั้นหรือ? ฉันโอหังหรือ? คนอื่นไม่กล้าบอกฉัน แต่พวกเขาเข้าใจฉัน การที่พวกเขาพูดแบบนั้นได้ก็แสดงว่านั่นเป็นเรื่องจริงโดยแท้ ฉันต้องใช้เวลาคิดทบทวนเรื่องนี้บ้างแล้ว’ หลังจากนั้นเจ้าก็พูดกับบุคคลนั้นว่า ‘คนอื่นพูดแต่สิ่งดีๆ ให้ฉันฟัง พวกเขาสรรเสริญฉัน ไม่มีใครเคยเปิดอกพูดกับฉัน ไม่มีใครเคยชี้ให้เห็นข้อบกพร่องและประเด็นปัญหาเหล่านี้ในตัวฉัน มีเพียงคุณเท่านั้นที่สามารถบอกฉัน เปิดอกพูดกับฉัน นี่เยี่ยมมาก ช่วยฉันได้มากเหลือเกิน’ นี่คือการเปิดอกพูดมิใช่หรือ? อีกฝ่ายสื่อสารให้เจ้ารู้ทีละเล็กทีละน้อยถึงสิ่งที่อยู่ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา สิ่งที่พวกเขาคิดเกี่ยวกับตัวเจ้า และประสบการณ์ของพวกเขาว่าพวกเขามีมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน ความเป็นลบ และความอ่อนแอในเรื่องนี้อย่างไร และสามารถหลีกหนีโดยแสวงหาความจริงอย่างไร นี่คือการเปิดอกพูด คือการเข้าสนิทของดวงจิตทั้งหลาย และสรุปแล้วหลักธรรมเบื้องหลังการพูดคืออะไร? คือดังนี้ จงพูดสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้า และจงพูดถึงประสบการณ์จริงของเจ้าและสิ่งที่เจ้าคิดจริงๆ คำพูดเหล่านี้เป็นประโยชน์แก่ผู้คนมากที่สุด ให้สิ่งที่ผู้คนต้องการ ช่วยเหลือพวกเขาและเป็นบวก จงอย่ายอมกล่าวคำพูดเทียมเท็จเหล่านั้น คำพูดเหล่านั้นที่ไม่เป็นประโยชน์หรือไม่ได้สอนใจผู้คน นี่ย่อมจะหลีกเลี่ยงการทำร้ายพวกเขาหรือทำให้พวกเขาสะดุดล้ม การผลักพวกเขาลงสู่ความเป็นลบและการก่อให้เกิดผลลบ เจ้าต้องพูดสิ่งที่เป็นบวก เจ้าต้องเพียรพยายามช่วยเหลือผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่เจ้าจะทำได้ เพียรพยายามที่จะเป็นประโยชน์แก่พวกเขา จัดหาให้แก่พวกเขา สร้างความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าในตัวพวกเขา และเจ้าต้องเปิดโอกาสให้ผู้คนได้รับความช่วยเหลือและได้รับให้มากจากประสบการณ์ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าและหนทางที่เจ้าใช้แก้ปัญหา และเปิดโอกาสให้พวกเขาสามารถเข้าใจเส้นทางของการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและการเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง เปิดโอกาสให้พวกเขาเข้าสู่ชีวิตและทำให้ชีวิตของพวกเขาเติบโต—ซึ่งล้วนเป็นผลจากการที่คำพูดของเจ้ามีหลักธรรมและสอนใจผู้คน” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, สิ่งใดคือการไล่ตามเสาะหาความจริง (3)) ในพระวจนะ ฉันได้พบหลักธรรมสำหรับการประพฤติตน เราต้องเป็นคนซื่อสัตย์ตามพระวจนะ เมื่อเห็นปัญหาของคนอื่น เราควรชี้ให้เห็นและช่วยเหลือ เพื่อประโยชน์ของพวกเขา เราควรเกื้อหนุนงานของคริสตจักร และให้ความเจริญแก่ผู้อื่น พอเข้าใจเส้นทางนี้ ฉันก็อยากนำความจริงมาปฏิบัติทันที อยากเปิดใจกับพี่น้องหวัง เอ่ยถึงปัญหาของเขา ฉันรู้ว่านี่ก็เพื่อให้เขาสามารถแก้ไขท่าทีต่อหน้าที่ให้ถูกต้อง รวมทั้งเรียนรู้อุปนิสัยเสื่อมทรามและข้อบกพร่องในหน้าที่ของเขา การนี้ก็เพื่อช่วยเขา ฉันจึงไปหาเขา พร้อมที่จะคุยถึงปัญหาของเขา จู่ๆ ฉันก็เป็นกังวลขึ้นมาอีก วิตกว่าเขาจะคิดกับฉันยังไง แต่ฉันนึกถึงการที่ที่ผ่านมาฉันไม่ปฏิบัติความจริงเลย จนงานของเราเกิดผลเสีย และฉันรู้สึกผิดจริงๆ ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงสำรวจความคิดและความประพฤติของฉัน และฉันต้องเป็นคนซื่อสัตย์ ฉันไม่อาจปกป้องภาพลักษณ์และหันหลังให้ความจริงได้อีกต่อไป ความคิดนี้ ทำให้ฉันกล้าละทิ้งอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเอง และคุยกับพี่น้องหวังถึงปัญหาของเขาอย่างซื่อตรง ฉันประหลาดใจที่เขารับฟังและยอมรับมันได้ เขาพูดว่า “ผมยังไม่เข้าใจบางหลักธรรมดีนัก ต่อไปถ้าเห็นปัญหา ก็ช่วยบอกผมด้วยนะ เราช่วยกัน และทำหน้าที่ร่วมกันให้ดีได้” เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉันก็ตื่นเต้นมาก และขอบคุณพระเจ้า ฉันยังรู้สึกอับอายและเสียใจที่ไม่ได้นำความจริงมาปฏิบัติก่อนหน้านี้ ถ้าฉันเอ่ยถึงเรื่องนี้กับเขาแต่แรก เราก็คงปรับปรุงผลงานของเราให้ดีขึ้นได้เร็วกว่านี้ และเขาก็คงได้เรียนรู้อุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเองเร็วขึ้น ตอนนั้นฉันได้ลิ้มรสเลยว่า การปฏิบัติความจริงส่งผลดีต่อผู้อื่น ตัวคุณเอง และหน้าที่ของคุณ ตอนนี้ เวลาฉันเห็นปัญหาของพี่น้องชายหญิง ฉันก็จะชี้ให้เห็นอย่างไม่รีรอ เพราะฉันรู้ว่านี่คือการปฏิบัติความจริง และเป็นการช่วยเหลือพวกเขา ฉันยังได้ประสบการณ์ด้วยว่า-การใช้ชีวิตตามที่พระเจ้าพึงประสงค์-ทำตามหลักธรรมของความจริง เป็นทางเดียวที่จะปฏิบัติความจริง และเป็นคนดี
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ