หนทางเดียวเท่านั้นที่จะมีชีวิตเหมือนคนที่แท้จริง
โดย ซินเฉิง ประเทศจีน ฉันเคยอ่านนิยายของนักเขียนญี่ปุ่น ที่เป็นเรื่องราว ของพนักงานขายที่สามารถขาย เซรั่มปลูกผม ยาย้อมผม แว็กซ์จัดทรงผม...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
ฉันไม่ใช่คนพูดมากสักเท่าไหร่ และไม่บ่อยนักที่ฉันเปิดใจและพูดจากหัวใจ ฉันคิดอยู่เสมอว่าเป็นเพราะฉันมีประเภทบุคลิกภาพแบบเก็บตัว แต่แล้วหลังจากที่ฉันก้าวผ่านบางสิ่งและเห็นสิ่งที่ถูกเปิดเผยในพระวจนะของพระเจ้า ฉันจึงตระหนักว่า การที่ไม่แสดงออกเสมอและการไม่แบ่งปันความคิดเห็นของฉันโดยง่ายเลย ไม่ใช่การเป็นคนเก็บตัว และนั่นไม่ใช่การกระทำการด้วยเหตุผล ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในการนั้นคืออุปนิสัยเยี่ยงซาตานที่มีความเจ้าเล่ห์
นานมาแล้ว ฉันได้เริ่มปฏิบัติหน้าที่ด้านการบรรณาธิกร ฉันเห็นว่า บรรดาพี่น้องชายหญิงที่ฉันทำงานด้วยในหน้าที่ด้านการบรรณาธิกร มีประสบการณ์มาก พวกเขาเข้าใจหลักธรรมและมีขีดความสามารถดีพอดู ทุกคนมีการหยั่งรู้อยู่บ้างในเรื่องที่ว่าใครเข้าใจความจริง และใครครองทักษะที่แท้จริงและการเรียนรู้ที่มีมาตรฐานดี นี่ทำให้ฉันรู้สึกกังวลเล็กน้อย ฉันมีขีดความสามารถปานกลางและไม่ได้มีความเป็นจริงของความจริง ดังนั้นแล้ว หากฉันแค่แสดงออกถึงความคิดเห็นของฉันโดยง่ายในการเสวนาของพวกเรา นั่นจะไม่เป็นเหมือนการลองพยายามที่จะสอนปลาว่ายน้ำหรอกหรือ? นั่นคงจะไม่เป็นปัญหาหากฉันกลับกลายเป็นว่าถูก แต่มิฉะนั้นแล้ว ทุกคนคงจะคิดว่าฉันกำลังเดินอวดตัวฉันเอง ทั้งๆ ที่ฉันมีความเข้าใจอันตื้นเขินเกี่ยวกับความจริง ฉันรู้สึกเหมือนว่านั่นคงจะน่าตะขิดตะขวงใจจริงๆ ฉันเตือนตัวฉันเองอยู่เป็นนิตย์ให้ไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ ให้ฟังมากกว่าที่ฉันพูด และดังนั้นแล้ว เมื่อพวกเราทั้งหมดสำรวจค้นประเด็นปัญหาทั้งหลายด้วยกัน ฉันจึงแทบจะไม่เคยได้แบ่งปันในสิ่งที่ฉันคิดเลย มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉันได้ให้ข้อเสนอแนะ และทุกคนเห็นพ้องว่าข้อเสนอแนะนั้นไม่ใช่วิธีเข้าหาที่ถูกต้อง—ฉันรู้สึกว่าถูกดูหมิ่นเหยียดหยามเหลือเกิน และเหมือนว่าฉันไม่ควรบุ่มบ่ามทำให้ตัวฉันเองต้องลำบาก ณ ที่นั้นจริงๆ มิฉะนั้นแล้วฉันก็คงจะมีแววว่าจะปากพล่อย ทำให้ตัวฉันเองต้องอับอายขายหน้า ฉันรู้สึกเหมือนว่า ฉันจำเป็นต้องดำเนินหน้าไปด้วยความระมัดระวังและเก็บตัว ในการเสวนาหลังจากนั้น ฉันตั้งใจที่จะไม่สมัครใจเสนอสิ่งที่ฉันคิด โดยปล่อยให้ผู้คนอื่นๆ ได้พูดก่อน
ต่อมาพี่น้องหญิงคนหนึ่ง ผู้ซึ่งมีขีดความสามารถดีพอดูและมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกจริงๆ ได้เข้าร่วมทีมของพวกเรา และเธอได้รับมอบหมายให้ทำงานกับฉัน ครั้งหนึ่งขณะที่พวกเรากำลังพูดคุยกันถึงประเด็นปัญหาหนึ่ง ฉันมีแนวคิดบางอย่างที่ฉันต้องการที่จะแบ่งปัน แต่แล้วฉันก็วิตกกังวลว่า หากความคิดของฉันนั้นผิดปกติ และสิ่งที่ฉันพูดไม่สามารถนำขึ้นมาพินิจพิเคราะห์ได้ พี่น้องหญิงคนใหม่คนนี้อาจจะคิดว่าฉันนั้นเซ่อและไร้เดียงสา และฉันก็คงจะถูกเปิดโปงในสิ่งที่ฉันเป็นจริงๆ เช่นนั้นแล้วฉันจะทำอย่างไรหากเธอเริ่มดูแคลนฉัน? ฉันตัดสินใจที่จะลืมเรื่องนี้ และแค่ฟังสิ่งที่เธอจะพูด ขณะที่พวกเราหาทางแก้ปัญหานี้ในช่วงสองวันถัดมา ฉันแทบจะไม่ได้แบ่งปันมุมมองของฉันเองเลย แต่แค่เลือกที่จะเห็นด้วยกับมุมมองของเธอ โดยคิดว่านั่นคงจะช่วยฉันให้รอดจากความอับอายบางอย่างซึ่งอาจเป็นไปได้และทำสิ่งทั้งหลายให้ง่ายขึ้น เนื่องจากฉันไม่ได้พูดมากนัก สภาพแวดล้อมในความร่วมมือของพวกเราจึงรู้สึกน่าเบื่อพอดู บางครั้งที่เธอเผชิญกับปัญหาและฉันจะไม่ได้แบ่งปันความคิดเห็นของฉัน พวกเราก็จะแค่ติดอยู่กับปัญหานั้น ผลิตภาพของพวกเราต่ำจริงๆ และความก้าวหน้าในงานทั่วไปของพวกเราก็กำลังถูกทำให้ล่าช้าออกไป เมื่อเวลาผ่านไป ฉันพูดน้อยลงทุกที และต่อให้ฉันมีความคิดเห็น ฉันก็จะแค่คิดเรื่องนั้นในจิตใจของฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยคิดนานและหนักก่อนที่จะเปิดปากของฉัน ฉันรู้สึกซึมเศร้าจริงๆ และฉันไม่ได้สัมฤทธิ์อะไรมากนักในหน้าที่ของฉัน ฉันแค่ติดอยู่กับสภาวะนั้น โดยรู้สึกมืดมัวและทุกข์ยากลำบากอย่างพิกล เป็น ณ เวลานี้นั่นเองที่ฉันได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐาน โดยพูดว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่สามารถรู้สึกได้ถึงความรู้แจ้งใดๆ ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในหน้าที่ของข้าพระองค์ทุกวันนี้เลย และข้าพระองค์แทบจะไม่สร้างความคืบหน้าอันใดในงานเลย ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดที่ข้าพระองค์ใช้ชีวิตอยู่ภายในที่ทำให้พระองค์ทรงรังเกียจ—ขอทรงโปรดนำข้าพระองค์ให้รู้จักตัวข้าพระองค์เองด้วยเถิด” วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังทำการทบทวนตัวเองบางอย่างอยู่ในการเฝ้าเดี่ยวของฉัน คำว่า “ลื่นไถล” จู่ๆ ก็ผลุดเข้ามาในหัวของฉัน ฉันพบบทตอนนี้ในการค้นหาพระวจนะที่เกี่ยวข้องกันจากพระเจ้า ความว่า “ใครบางคนอาจจะไม่เคยเปิดกว้างและสื่อสารสิ่งที่พวกเขาคิดกับผู้อื่น และในทุกอย่างที่พวกเขาทำ พวกเขาไม่เคยปรึกษาผู้อื่น แต่กลับปิดกั้นตนเอง ดูเหมือนว่าจะระแวดระวังผู้อื่นในทุกโอกาส พวกเขาห่อหุ้มตัวพวกเขาเองอย่างแน่นหนาเท่าที่จะเป็นไปได้ นี่ไม่ใช่บุคคลที่เจ้าเล่ห์หรอกหรือ? ตัวอย่างเช่น พวกเขามีแนวคิดที่พวกเขารู้สึกว่าเฉลียวฉลาด และคิดว่า ‘ฉันจะเก็บแนวคิดนี้ไว้กับตัวฉันเองในตอนนี้ หากฉันแบ่งปันแนวคิดนี้ พวกคุณอาจใช้แนวคิดนี้และแย่งความสนใจไปจากฉัน ฉันจะระงับไว้ก่อน’ หรือหากมีบางสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจอย่างเต็มที่ พวกเขาก็จะคิดว่า ‘ฉันจะไม่พูดออกมาตอนนี้ แล้วถ้าฉันพูด และใครบางคนพูดบางสิ่งที่อยู่ในระดับสูงกว่าล่ะ ฉันจะไม่ดูเหมือนคนโง่เขลาหรอกหรือ? ทุกคนจะมองฉันทะลุปรุโปร่ง มองเห็นจุดอ่อนของฉันในการนี้ ฉันไม่ควรพูดอะไรเลย’ ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าจะใช้มุมมองหรือการใช้เหตุผลเช่นใด ไม่ว่าสิ่งจูงใจพื้นฐานจะเป็นอย่างไร พวกเขาก็กลัวว่าทุกคนจะมองพวกเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่ง พวกเขาเข้าหาหน้าที่ของพวกเขาเองและผู้คน สิ่งทั้งหลาย และเหตุการณ์ ด้วยมุมมองและท่าทีประเภทนี้เสมอ นี่คืออุปนิสัยประเภทใดกัน? อุปนิสัยที่คดโกง เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และชั่ว” (“คนเราสามารถครองสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติได้โดยการปฏิบัติความจริงเท่านั้น” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) การอ่านบทตอนนี้ทิ้งให้ฉันอยู่กับหัวใจที่หนักอึ้ง พระวจนะของพระเจ้าได้เปิดโปงสภาวะที่แท้จริงของฉันอย่างสมบูรณ์แบบ และคำว่า “อุปนิสัยที่คดโกง เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และชั่ว” ก็ทำให้ฉันสะเทือนอารมณ์และไม่สบายใจจริงๆ ฉันคิดเรื่องที่ว่า ในข้อเท็จจริงนั้น ฉันเต็มไปด้วยการวางแผนการอย่างไร โดยการไม่พูดตรงๆ หรือแสดงออกถึงความคิดเห็นของฉันโดยง่าย ถึงแม้ว่าจะรู้สึกเหมือนว่าฉันอ่อนไหวเป็นอย่างยิ่งก็ตาม ฉันมีมุมมองและความคิดเห็นของฉันเองว่าด้วยประเด็นปัญหาที่พวกเราเผชิญหน้า แต่เมื่อฉันไม่ได้รู้สึกว่าอยู่เหนือสิ่งทั้งหลายอย่างครบบริบูรณ์ ฉันกลัวว่าสิ่งที่ฉันพูดจะถูกบอกปัด กลัวการเสียหน้า และกลัวการถูกผู้อื่นดูแคลน ดังนั้นแล้ว ฉันจึงหน่วงเหนี่ยวตัวฉันเอง โดยก่อนอื่นได้รับสำนึกถึงสิ่งที่ผู้อื่นคิด และแล้วจึงรับเอาสิ่งทั้งหลายจากตรงนั้น นั่นไม่ใช่การลื่นไถลและการเจ้าเล่ห์หรอกหรือ? ฉันได้คิดอยู่เสมอว่า การนั้นใช้ได้กับบรรดาผู้คนเหล่านั้นในสังคมผู้ซึ่งวางอุบายอยู่เป็นนิตย์ ผู้ซึ่งคิดคดทรยศและฉลาดแกมโกงเท่านั้น บรรดาเพื่อนและเพื่อนร่วมงานทั้งหมดของฉันที่อยู่ในโลกนี้เห็นพ้องว่า ฉันเป็นบุคคลที่ไร้เล่ห์มายา ว่าฉันไม่ได้เก็บงำสิ่งจูงใจแอบแฝงใดๆ ในการกระทำของฉัน ฉันได้เกลียดชังผู้คนที่ลื่นไถลอย่างปลาไหลเสมอมาจริงๆ ผู้ที่ลองพยายามอยู่เป็นนิตย์ที่จะมองว่าลมพัดไปหนทางใด ฉันไม่เคยได้คิดว่าตัวฉันเองเป็นอะไรเช่นนั้นเลย แต่แล้วฉันก็ได้เห็นว่า ถึงแม้ว่าฉันไม่ได้พูดโกหกซึ่งหน้าใดๆ และฉันไม่ได้ทำสิ่งทั้งหลายเหมือนผู้คนเหล่านั้นอย่างแน่ชัด แต่ฉันก็ยังคงถูกขับเคลื่อนโดยธรรมชาติอันเจ้าเล่ห์ของฉัน ฉันระมัดระวังที่จะตระหนักถึงท่าทีของผู้คนในทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันพูดและทำ และฉันก็แค่จะไปตามกระแส ด้วยกลัวการที่ดูเหมือนไร้ความสามารถและการที่ผู้คนจะมองฉันทะลุปรุโปร่ง ฉันไม่จริงใจทุกหนแห่ง โดยอำพรางตัวฉันเองเพื่อปกป้องความมีหน้ามีตาของฉัน ในยามที่เผชิญหน้ากับความลำบากยากเย็นใดๆ ในหน้าที่ของฉัน ฉันไม่เคยแบ่งปันสิ่งที่ฉันคิดโดยง่ายเลยจริงๆ แต่ฉันเจ้าเล่ห์และหลอกลวง โดยปกปิดความคิดเห็นของฉันและแทบจะไม่คิดถึงผลประโยชน์อันใดของพระนิเวศของพระเจ้าเลย ในที่สุดแล้วฉันได้ตระหนักว่า อันที่จริงแล้วฉันเป็นบุคคลที่ลื่นไถลและเจ้าเล่ห์ ฉันได้คิดเสมอว่า การไม่เป็นคนพูดมากก็แค่เป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพของฉัน—ฉันยังไม่ได้วิเคราะห์อุปนิสัยเยี่ยงซาตานซึ่งอยู่เบื้องหลังบุคลิกภาพของฉันจริงๆ เมื่อนั้นเท่านั้นฉันจึงได้เห็นว่า ฉันรู้จักตัวฉันเองไม่ดีพอเพียงใด
มีพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งที่ฉันได้อ่าน ซึ่งได้ช่วยชี้แจงสิ่งทั้งหลายให้ชัดเจนสำหรับฉันจริงๆ พระเจ้าตรัสว่า “ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามโดยผ่านทางการศึกษาและอิทธิพลของพวกรัฐบาลแห่งชาติกับของผู้มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่ คำพูดฝ่ายผีปีศาจของพวกเขาได้กลายเป็นธรรมชาติชีวิตของมนุษย์ไปแล้ว ‘ทุกคนทำเพื่อตนเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’ เป็นหนึ่งคติพจน์เยี่ยงซาตานอันเป็นที่รู้จักกันดีที่ได้ถูกปลูกฝังเข้าไปในทุกคนและที่ได้กลายเป็นชีวิตของมนุษย์ไปแล้ว ยังมีคำพูดอื่นๆ ของปรัชญาทั้งหลายสำหรับการดำรงชีวิตที่เป็นเหมือนคติพจน์นี้อยู่อีก ซาตานใช้วัฒนธรรมตามประเพณีอันประณีตของแต่ละชนชาติในการให้การศึกษาผู้คน เป็นเหตุให้มวลมนุษย์ตกลงไปและถูกกลืนกินโดยนรกขุมลึกแห่งการทำลายล้างซึ่งไร้พรมแดน และในตอนสุดท้ายแล้ว ผู้คนก็ถูกพระเจ้าทรงทำลายเพราะพวกเขารับใช้ซาตานและต้านทานพระเจ้า…ยังคงมีพิษซาตานอีกมากมายในชีวิตของผู้คน ในการประพฤติปฏิบัติและพฤติกรรมของพวกเขา พวกเขาแทบจะไม่ครองความจริงแต่อย่างใดเลย ตัวอย่างเช่น ปรัชญาทั้งหลายของพวกเขาสำหรับการดำรงชีวิต หนทางของพวกเขาในการทำสิ่งทั้งหลาย และคำคมสารพันล้วนเต็มไปด้วยสารพัดพิษของพญานาคใหญ่สีแดง และพวกมันทั้งหมดล้วนมาจากซาตาน ด้วยเหตุนั้น ทุกสรรพสิ่งซึ่งไหลเวียนผ่านกระดูกและเลือดของผู้คนเป็นสรรพสิ่งของซาตาน…มวลมนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลุ่มลึก น้ำพิษของซาตานไหลเวียนผ่านเลือดของทุกบุคคล และสามารถเห็นได้ว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเสื่อมทราม ชั่ว และเป็นปฏิกิริยานิยม เต็มอิ่มและชุ่มแช่อยู่ในปรัชญาทั้งหลายของซาตาน—ในความครบถ้วนบริบูรณ์ของมันนั้น มันคือธรรมชาติหนึ่งซึ่งทรยศพระเจ้า นี่คือเหตุผลที่ผู้คนต้านทานพระเจ้าและยืนหยัดอยู่ในการต่อต้านพระเจ้า” (“วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าพูดกับซอกหลืบส่วนลึกที่สุดในหัวใจของฉันอย่างแน่ชัด ฉันได้เห็นว่าฉันได้ค้ำจุนปรัชญาเยี่ยงซาตานมาโดยตลอด นั่นคือ “เปิดหูให้กว้างแล้วปิดปากให้สนิท” และ “ความเงียบมีค่าดุจทองคำ พูดมากย่อมผิดมาก” โดยการเป็น “เครื่องรับวิทยุ” แทนที่จะเป็น “โทรโข่ง” กับผู้อื่น ฉันจะไม่จำเป็นที่จะต้องแสดงจุดอ่อนของฉันหรือดูโง่เขลา โดยการปิดกั้นสิ่งที่ฉันต้องการพูด แนวคิดที่เข้าใจผิดมากมายของฉันไม่เคยปรากฏขึ้น ดังนั้นแล้ว จึงเป็นที่แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดเลยที่สามารถชี้ชัดถึงความผิดของฉันหรือไม่เห็นด้วยกับฉันได้ ในหนทางนั้นฉันสามารถรักษาหน้าได้ และนั่นทำให้ฉันเชื่อมากขึ้นไปอีกว่า การติดตามแนวคิดที่ว่า “ความเงียบมีค่าดุจทองคำ” และ “เปิดหูให้กว้างแล้วปิดปากให้สนิท” เป็นหนทางที่มีปัญญาที่สุดที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปในโลกนี้ หลังจากยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย ฉันยังคงอดไม่ได้ที่จะปล่อยให้สิ่งเหล่านี้บงการการมีปฏิสัมพันธ์ของฉันกับบรรดาพี่น้องชายหญิงอยู่ต่อไป ฉันรู้สึกว่า ตราบเท่าที่ฉันไม่พูดมากหรือปิดปากของฉัน คงจะไม่มีใครค้นหาจนพบความล้มเหลวและข้อบกพร่องส่วนบุคคลของฉัน และฉันจะสามารถปกป้องภาพลักษณ์ของฉันได้ ฉันใช้ชีวิตตามปรัชญาเยี่ยงซาตานเหล่านี้ และเมื่อใดก็ตามที่ฉันต้องการที่จะแบ่งปันมุมมองของฉันเอง ฉันคำนวณผลขาดทุนหรือผลกำไรของฉันเองและสิ่งที่ผู้คนอื่นๆ จะคิดเสมอ หากฉันคิดว่ามีโอกาสที่ฉันจะทำให้ตัวฉันเองอับอายขายหน้า ฉันก็จะเลือกที่จะไปในเส้นทางที่ปลอดภัย โดยไม่พูดหรือทำอะไรเลย พิษเยี่ยงซาตานเหล่านี้ได้ทำให้ฉันลื่นไถลและฉลาดแกมโกงมากขึ้นทุกที และได้ทำให้ฉันคาดเดาและระแวดระวังผู้อื่นมากขึ้นตลอดเวลา ฉันจะไม่ริเริ่มที่จะสัมพันธ์สนิทและเปิดใจ และงานของฉันกับผู้อื่นน่าหดหู่และน่าเบื่อหน่ายจริงๆ ไม่มีทางเลยที่ฉันจะสามารถทำงานที่ดีในหน้าที่ของฉันในหนทางนั้นได้
เมื่อระลึกได้ถึงการนี้ ฉันจึงมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในการอธิษฐาน โดยขอให้พระองค์ทรงนำฉันในการแก้ไขแง่มุมนี้ของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉัน หลังจากนั้น ฉันได้ทำความพยายามโดยรู้สึกตัวในการเสวนากับบรรดาพี่น้องชายหญิง เพื่อหันไปจากสิ่งจูงใจส่วนบุคคลของฉันเอง และเริ่มสมัครใจเสนอความคิดของฉันเอง โดยที่ไม่วิตกกังวลเกี่ยวกับว่านั่นจะทำให้ฉันดูเป็นอย่างไร ด้วยแนวคิดซึ่งยังไม่ได้พัฒนาดีมาก ฉันจะนำเสนอแนวคิดเหล่านั้นแก่บรรดาพี่น้องชายหญิงเพื่อการโต้เถียงและการสนทนา เมื่อพวกเราพบพานความลำบากยากเย็นใดๆ ในหน้าที่ของพวกเรา ทุกคนจะอธิษฐานและแสวงหาด้วยกัน โดยที่ทั้งหมดสัมพันธ์สนิทซึ่งกันและกัน พวกเราสามารถหาหนทางต่อไปข้างหน้าได้ในหนทางนี้ แต่ตั้งแต่ที่ฉันได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างดิ่งลึก ยังคงมีหลายครั้งที่ฉันอดไม่ได้ที่จะปฏิบัติตนตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉัน ครั้งหนึ่งในการเสวนาเกี่ยวกับประเด็นปัญหาหนึ่งในหน้าที่ของพวกเรา หัวหน้างานสองคนเผอิญอยู่ที่นั่นด้วย ฉันคิดกับตัวเองว่า “การพิจารณาแนวคิดทั้งหลายกับบรรดาพี่น้องชายหญิงล้วนแต่เป็นไปด้วยดี แต่ด้วยหัวหน้างานที่อยู่ ณ ที่นี้ พวกเขาจะคิดถึงขีดความสามารถของฉันอย่างไร หากความคิดของฉันผิด หากความเข้าใจของฉันผิดปกติ? ถ้าหากพวกเขาคิดว่าฉันไม่เหมาะกับหน้าที่นี้ และพวกเขาดึงฉันออกจากทีมล่ะ—คนอื่นๆ จะคิดถึงฉันอย่างไร? ฉันคงจะไม่มีความสามารถที่จะภูมิใจได้อีกเลย” เมื่อถูกบีบเค้นไปด้วยความวิตกกังวลเหล่านี้ ฉันจึงไม่ได้พูดอะไรสักคำตลอดทั้งการเสวนา ขณะที่พวกเรากำลังสรุปสิ่งเหล่านี้ หนึ่งในหัวหน้างานก็ถามฉันว่า เหตุใดฉันจึงยังไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่น้อย ฉันรู้สึกอึดอัดใจและรู้สึกผิดจริงๆ และฉันก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรตอบกลับไปเช่นกัน ท้ายที่สุด ฉันจึงพูดว่า “นั่นคือการแสดงออกอีกอย่างหนึ่งถึงอุปนิสัยอันเจ้าเล่ห์ของฉัน ฉันกลัวว่า หากฉันพูดมากไป ฉันคงจะไม่แคล้วที่จะทำพลาด ดังนั้นแล้ว ฉันจึงไม่กล้าเปิดปากของฉัน” แต่หลังจากข้อเท็จจริงนั้นแล้ว ฉันยังคงรู้สึกไม่สบายใจ ถึงแม้ว่าฉันได้ยอมรับรู้ไปแล้วถึงความเสื่อมทรามที่ฉันกำลังแสดงให้เห็นอยู่นั้น ฉันจะยังคงทำสิ่งเดียวกันหรือไม่ในครั้งถัดไปที่ฉันพบว่าตัวฉันเองอยู่ในสถานการณ์ประเภทนั้น? เมื่อทบทวนถึงการนี้ ฉันได้เห็นว่า ถึงแม้ว่าฉันได้มีการรู้จักตนเองอยู่บ้าง และฉันได้เทียบตัวฉันเองกับพระวจนะของพระเจ้าแล้วในการเปิดโปงปัญหานี้ แต่ฉันยังคงอดไม่ได้ที่จะใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนี้ ในยามที่เผชิญกับความท้าทาย ฉันยังไม่ได้กลับใจและเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ฉันได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐาน โดยขอให้พระองค์ทรงนำฉันให้รู้จักตัวฉันเองอย่างแท้จริง
ต่อมาฉันได้อ่านบทตอนนี้ของพระวจนะของพระเจ้า ความว่า “บรรดาศัตรูของพระคริสต์เชื่อว่า หากพวกเขาชอบพูดคุยและเปิดหัวใจของพวกเขาให้กว้างกับผู้อื่นอยู่เสมอ ทุกคนจะมองพวกเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่งและเห็นว่าพวกเขาไม่มีความลึกซึ้งอันใด แต่เป็นแค่ผู้คนธรรมดา และเช่นนั้นแล้วย่อมจะไม่เคารพนับถือพวกเขาอีกต่อไป เมื่อผู้อื่นไม่เคารพนับถือพวกเขา นั่นหมายความว่าอย่างไร? นั่นหมายความว่า พวกเขาไม่มีที่อันสูงส่งในหัวใจของผู้อื่นอีกต่อไป และว่าพวกเขาดูเหมือนค่อนข้างสามัญ ค่อนข้างเรียบง่าย ค่อนข้างธรรมดา นี่คือสิ่งที่พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่เต็มใจที่จะมอง นั่นคือสาเหตุที่เมื่อพวกเขามองเห็นอีกคนหนึ่งในกลุ่มที่ตีแผ่ตัวเองเสมอและพูดว่าตนได้คิดลบและเป็นกบฏต่อพระเจ้ามาตลอด และตนได้ทำผิดพลาดในเรื่องใดไปเมื่อวันวาน และว่าวันนี้ตนกำลังทนทุกข์และเจ็บปวดด้วยเหตุที่เป็นบุคคลไม่ซื่อสัตย์ พวกศัตรูของพระคริสต์ย่อมไม่มีวันพูดสิ่งทั้งหลายเช่นนั้นเลย แต่กลับซ่อนเร้นสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ลึกๆ ข้างในต่อไป มีบางคนที่พูดน้อยเพราะพวกเขามีขีดความสามารถอ่อนด้อยและมีความรู้สึกนึกคิดที่เรียบง่าย และไม่มีความคิดมากมาย ดังนั้นคำพูดที่พวกเขากล่าวจึงมีน้อย ลูกหลานของพวกศัตรูของพระคริสต์ก็พูดน้อยเช่นกัน แต่นี่ไม่ใช่สาเหตุ—ตรงกันข้าม สาเหตุคือปัญหาด้านอุปนิสัยของพวกเขา พวกเขาพูดน้อยเมื่อพวกเขามองเห็นผู้อื่น และเมื่อผู้อื่นพูดถึงเรื่องหนึ่งๆ พวกเขาจะไม่เสนอความคิดเห็นง่ายๆ เหตุใดเล่าพวกเขาจึงไม่เสนอความคิดเห็นของพวกเขา? ก่อนอื่น แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีความจริง และไม่สามารถมองแก่นของเรื่องอันใดออก ทันทีที่พวกเขาพูด พวกเขาก็ผิดพลาด และผู้อื่นย่อมจะมองเห็นพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาเป็น ดังนั้นพวกเขาจึงแสร้งทำตัวเงียบๆ และลึกซึ้ง เพื่อให้ผู้อื่นไม่สามารถประเมินวัดพวกเขาได้อย่างแม่นยำ และถึงขั้นทำให้ผู้อื่นคิดว่าพวกเขาปราดเปรื่องและยอดเยี่ยม ในหนทางนี้ ไม่มีใครเลยที่จะคิดว่าพวกเขาไม่สลักสำคัญ เมื่อได้เห็นอากัปกิริยาที่สงบเยือกเย็นและสำรวมของพวกเขา ผู้คนจะนึกถึงพวกเขาในแง่ดี และไม่กล้าสบประมาทพวกเขา นี่คือความเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกและความชั่วของพวกศัตรูของพระคริสต์ การที่พวกเขาไม่เสนอความคิดเห็นง่ายๆ เป็นส่วนสำคัญของอุปนิสัยนี้ของพวกเขา พวกเขาไม่เสนอความคิดเห็นโดยง่าย ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่มีความคิดเห็น—พวกเขามีความคิดเห็นที่ไม่ถูกต้องและบิดเบี้ยวบางอย่าง เป็นความคิดเห็นที่ไม่สอดคล้องกับความจริงแต่อย่างใด และมีแม้กระทั่งความคิดเห็นบางอย่างที่ไม่สามารถเผยให้รู้ได้—กระนั้น ไม่ว่าพวกเขามีความคิดเห็นแบบใด พวกเขาไม่เสนอความคิดเห็นเหล่านั้นอย่างอิสระ การที่พวกเขาไม่เสนอความคิดเห็นอย่างอิสระ ไม่ใช่เพราะพวกเขากลัวว่าผู้อื่นอาจจะรับเอาความชอบเกี่ยวกับความคิดเห็นเหล่านั้นไป แต่เพราะพวกเขาต้องการที่จะซ่อนเร้นความคิดเห็นเหล่านั้น พวกเขาไม่กล้าเผยให้เห็นความคิดเห็นของพวกเขาตรงๆ ด้วยกลัวว่าสิ่งที่พวกเขาเป็นจะถูกมองเห็น...พวกเขารู้จักขีดจำกัดของพวกเขาเอง และพวกเขามีเหตุจูงใจอื่น สิ่งที่น่าอับอายที่สุดเหนืออื่นใดก็คือ พวกเขาปรารถนาที่จะได้รับการยอมรับนับถือว่าสูงส่ง นั่นไม่น่าเดียดฉันท์ที่สุดหรอกหรือ?” (“สำหรับเหล่าผู้นำและคนทำงาน การเลือกสรรเส้นทางคือความสำคัญสูงสุด (4)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าทุกวจนะซัดกระหน่ำฉันไปจนถึงแก่น ฉันยึดติดกับแนวคิดที่ว่า “ความเงียบมีค่าดุจทองคำ” และ “พูดมากย่อมผิดมาก” อยู่เสมอ ดูเหมือนว่าฉันเพียงแค่กำลังปกป้องภาพลักษณ์ของฉันเองอยู่ ด้วยกลัวว่าจะพูดสิ่งที่ผิดและถูกหัวเราะเยาะและถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม แต่ประเด็นสำคัญของประเด็นปัญหานี้ก็คือว่า ฉันต้องการที่จะได้รับสถานะในสายตาของผู้อื่น ฉันต้องการให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันพูด ความคิดเห็นที่ฉันได้แสดงออกทั้งหมดได้รับความเลื่อมใสและการรับรองจากผู้อื่น ได้รับ “การยกนิ้วให้” จากพวกเขา เพื่อที่จะให้บรรลุเป้าหมายนั้น ฉันไม่จริงใจและอำพรางตัวฉันเอง บีบเค้นสมองของฉันอยู่เสมอ ย้ำคิดกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันพูดและทำ เพื่อที่ฉันจะได้ดูเหมือนว่า เป็นบุคคลที่เปี่ยมไปด้วยความคิดและเปี่ยมไปด้วยความรู้ความเข้าใจเชิงลึก ในการเสวนากับหัวหน้างาน ฉันหมกมุ่นเป็นอย่างยิ่งกับการปกป้องภาพลักษณ์และสถานะของฉัน ดังนั้นแล้ว ฉันจึงไม่กล้าแบ่งปันความคิดเห็นของฉัน โดยคิดว่าหากฉันคิดถูก นั่นคงจะไม่เป็นปัญหา แต่หากฉันไม่ได้คิดถูก ฉันคงจะเปิดเผยการขาดพร่องความเข้าใจของฉัน เช่นนั้นแล้ว หากหัวหน้างานไม่ประทับใจและฉันสูญเสียหน้าที่ของฉัน สถานะของฉันท่ามกลางคนอื่นทุกคนก็คงจะพังทลายอย่างสิ้นเชิง เมื่อเก็บงำสิ่งจูงใจอันมุ่งร้ายเหล่านี้ ฉันก็แค่ปิดปากของฉัน ด้วยกลัวว่าจะเปิดใจเกี่ยวกับความคิดและความคิดเห็นของฉัน ไม่กล้าที่จะเปล่งถ้อยคำที่เรียบง่ายว่า “ฉันไม่แน่ใจว่าฉันเข้าใจการนี้” ด้วยซ้ำ นั่นน่าดูหมิ่น น่าเวทนายิ่งนัก! ฉันตระหนักว่า ในความร่วมมือของฉันกับผู้อื่นในหน้าที่ของฉัน และในการมีปฏิสัมพันธ์วันต่อวันของฉันกับบรรดาพี่น้องชายหญิง ฉันเงียบและดูภายนอกเหมือนว่าซื่อสัตย์ แต่ภายในนั้น ฉันกำลังเก็บงำความเจ้าเล่ห์อยู่ ฉันกำลังซ่อนเร้นความน่าเกลียดของฉัน ปลอมแปลงตัวฉันเอง และทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด และแม้แต่ในการชุมนุมเมื่อพวกเรากำลังสามัคคีธรรมว่าด้วยความจริงและพูดคุยเรื่องปัญหาทั้งหลาย ฉันก็ยังคงลองพยายามที่จะไปกับกระแส โดยหวังที่จะคุ้มภัยสถานะและภาพลักษณ์ของฉันในสายตาของผู้อื่น ฉันรักภาพลักษณ์และความมีหน้ามีตาของฉันเองมากกว่าที่ฉันรักความจริงและความชอบธรรมมาก—นี่คืออุปนิสัยเจ้าเล่ห์และชั่วทั้งสิ้นของศัตรูของพระคริสต์ที่ฉันกำลังเปิดเผย ณ จุดนี้ในการทบทวนของฉัน ฉันได้เห็นว่าสภาวะของฉันอันตรายเพียงใด ฉันคิดเรื่องที่ว่า ในยุคพระคุณพระเจ้าได้ตรัสอย่างไรกับพวกที่ล้มเหลวที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์: “เมื่อนั้นเราจะกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’” (มัทธิว 7:23) ฉันมีความเชื่อ แต่ฉันไม่ได้นำพระวจนะของพระเจ้าไปสู่การปฏิบัติ และฉันไม่ได้กระทำการซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงเพื่อที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย ฉันไม่มีความสามารถที่จะเปิดใจต่อบรรดาพี่น้องชายหญิงในการสามัคคีธรรมและซื่อสัตย์ได้ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ฉันปิดบังด้านที่ไม่น่าพึงปรารถนาของฉันอยู่เสมอ โดยลองพยายามทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของฉัน และทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด เพื่อที่พวกเขาจะได้เชิดชูบูชาฉัน ฉันกำลังดิ้นรนต่อสู้กับพระเจ้าเพื่อสถานะ และฉันอยู่บนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ในการต่อต้านพระเจ้า ฉันรู้ว่าหากฉันไม่ได้กลับใจ ในท้ายที่สุดแล้วฉันคงจะถูกพระเจ้าทรงกำจัดทิ้ง การเข้าใจการนี้ในที่สุดแล้วได้เติมเต็มฉันด้วยความรู้สึกขยะแขยงต่อธรรมชาติอันเสื่อมทรามของฉัน และยังได้ทำให้ฉันเห็นอีกด้วยว่า การยังอยู่ในการไล่ตามเสาะหาประเภทนั้นต่อไปจะเป็นอันตรายเพียงใด ฉันจำเป็นที่จะต้องมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและกลับใจโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ละทิ้งเนื้อหนัง และนำพระวจนะของพระเจ้าไปสู่การปฏิบัติ
เมื่อฉันได้เปิดใจต่อบรรดาพี่น้องชายหญิงเกี่ยวกับสถานะของฉันหลังจากนั้น พี่น้องหญิงคนหนึ่งได้ส่งพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งมาให้ฉัน ความว่า “เมื่อผู้คนทำหน้าที่ของพวกเขาหรืองานใดๆ เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า หัวใจของพวกเขาต้องบริสุทธิ์ประดุจน้ำชามหนึ่ง—ใสกระจ่าง—ท่าทีของพวกเขาต้องถูกต้อง ท่าทีประเภทใดที่ถูกต้อง? ไม่ว่าเจ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่ เจ้าสามารถแบ่งปันสิ่งใดก็ตามที่อยู่ในหัวใจของเจ้า แนวคิดใดก็ตามที่เจ้าอาจมี กับผู้อื่น หากพวกเขาพูดว่าแนวคิดของเจ้าจะใช้ไม่ได้ผล และให้คำแนะนำที่แตกต่างออกไป เจ้าจงฟังและพูดว่า ‘เป็นแนวคิดที่ดี ลองทำตามแนวคิดนั้นกันเถิด แนวคิดของฉันนั้นไม่ดี ขาดพร่องความรู้ความเข้าใจเชิงลึก ยังไม่ได้พัฒนา’ จากคำพูดและความประพฤติของเจ้า ทุกคนจะเห็นว่าเจ้ามีหลักธรรมที่ชัดเจนมากในการประพฤติของเจ้า ไม่มีความมืดในหัวใจของเจ้า และเจ้ากระทำการและพูดอย่างจริงใจ โดยอาศัยท่าทีที่ซื่อสัตย์ เจ้าเรียกพลั่วว่าพลั่ว หากมันใช่ มันก็ใช่ หากไม่ใช่ ก็ย่อมไม่ใช่ ไม่มีเล่ห์กล ไม่มีความลับ แค่บุคคลที่โปร่งใสมากคนหนึ่ง นั่นไม่ใช่ท่าทีประเภทหนึ่งหรอกหรือ? นี่คือท่าทีต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย ซึ่งแสดงถึงอุปนิสัยของบุคคลคนนี้ ในทางกลับกัน” (“คนเราสามารถครองสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติได้โดยการปฏิบัติความจริงเท่านั้น” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้เช่นกัน ความว่า “พระเจ้าตรัสบอกผู้คนไม่ให้เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง แต่ให้ซื่อสัตย์ ให้พูดอย่างซื่อสัตย์ และทำสิ่งทั้งหลายที่ซื่อสัตย์ นัยสำคัญของการที่พระเจ้าตรัสการนี้คือ การเปิดโอกาสให้ผู้คนมีสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง เพื่อให้พวกเขาไม่มีสภาพเสมือนของซาตานที่พูดเหมือนงูเลื้อยไปตามพื้น พูดกำกวมอยู่เสมอ บดบังความจริงในเรื่องนั้น กล่าวคือ พระเจ้าตรัสบอกเช่นนั้นเพื่อให้ผู้คนสามารถใช้ชีวิตที่มีศักดิ์ศรีและเที่ยงตรงได้ทั้งในคำพูดและความประพฤติ โดยปราศจากด้านมืด ปราศจากสิ่งที่น่าอับอาย ด้วยหัวใจที่สะอาด ด้วยสิ่งภายนอกที่สอดคล้องกับสิ่งภายใน พวกเขาพูดสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาคิดในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาไม่เล่นไม่ซื่อกับผู้ใดหรือเล่นไม่ซื่อกับพระเจ้า โดยไม่ปิดบังสิ่งใด ด้วยหัวใจดุจดังผืนดินที่บริสุทธิ์ของพวกเขา นี่คือวัตถุประสงค์ของพระเจ้าในการพึงประสงค์ให้ผู้คนเป็นผู้คนที่ซื่อสัตย์” (“มนุษย์เป็นผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุดของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันได้เห็นในบทตอนเหล่านี้ว่า พระเจ้าโปรดผู้คนที่ซื่อสัตย์ บุคคลที่ซื่อสัตย์นั้นเรียบง่ายและตรงไปตรงมา ปราศจากเล่ห์ลวงหรือความเจ้าเล่ห์ต่อพระเจ้า และพวกเขาไร้เล่ห์มายากับผู้อื่น พวกเขาพูดสิ่งที่อยู่ในหัวใจของพวกเขาออกมาโดยปราศจากการบิดเบือนสิ่งนั้น เพื่อที่ทั้งพระเจ้าและมนุษย์จะสามารถเห็นหัวใจที่แท้จริงของพวกเขาได้ นี่คือวิธีที่บุคคลควรนำเสนอตัวพวกเขาเอง—เที่ยงธรรมและเปิดเผย บุคคลที่ซื่อสัตย์รักความจริงและรักสิ่งทั้งหลายด้านบวก ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงได้รับความจริงและสามารถได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้าได้ง่ายกว่า ในทางกลับกัน ฉันไม่สามารถพูดคำพูดที่แท้จริงจากหัวใจได้สักคำ ในการมีปฏิสัมพันธ์และความร่วมมือของฉันกับผู้อื่น ไม่มีความโปร่งใสในวาทะและการกระทำของฉัน—ฉันเคลือบแคลงและฉลาดแกมโกง และไม่มีทางที่ฉันจะมีความสามารถที่จะเข้าใจและได้รับความจริงได้ ในข้อเท็จจริงนั้น พระเจ้าทรงรู้ขีดความสามารถของฉันทั้งข้างในและข้างนอก ตลอดจนว่าความเข้าใจของฉันเกี่ยวกับความจริงนั้นลึกซึ้งเพียงใด การปลอมแปลงตัวฉันเองอาจมีความสามารถที่จะหลอกผู้คนอื่นๆ ได้ แต่นั่นจะไม่มีวันหลอกพระเจ้าได้ พระเจ้าสามารถทรงเห็นว่า การที่ฉันเล่นเกมและไม่ซื่อสัตย์อยู่เสมอนั้น ชั่วและน่ารังเกียจเพียงใด ดังนั้นแล้ว จึงไม่มีทางที่พระองค์จะทรงพระราชกิจเพื่อนำฉัน อย่างไรก็ตาม การนำความจริงไปสู่การปฏิบัติตามที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ และการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ การเปิดใจต่อผู้อื่นไม่ว่าฉันจะเข้าใจผิดหรือไม่ในมุมมองของฉัน ก็จะไม่เป็นการเหนื่อยล้ามากสำหรับฉัน และนั่นนำพาความชื่นบานมาสู่พระเจ้าเช่นกัน นอกเหนือไปจากนั้น โดยการเปิดปากของฉันเท่านั้น ฉันจึงจะสามารถเรียนรู้ได้ว่าฉันเข้าใจผิดตรงไหน เช่นนั้นแล้ว ผู้คนอื่นๆ ก็สามารถมอบเครื่องชี้ให้ฉันและช่วยเหลือฉันได้ ซึ่งเป็นหนทางเดียวสำหรับฉันที่จะสร้างความก้าวหน้า แม้ว่านั่นจะหมายความว่าฉันเสียหน้าเล็กน้อย แต่นั่นเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับความเข้าใจของฉันเกี่ยวกับความจริงและการเติบโตของฉันในชีวิต
ก่อนหน้านั้น ฉันไม่รู้เลยจริงๆ ว่าจะประพฤติตัวเองอย่างไร แต่ทันทีที่พระเจ้าได้ทรงจับมือพวกเราเพื่อสอนวิธีพูดและปฏิบัติตนแก่พวกเรา พวกเราก็สามารถใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ได้ ฉันได้มาเข้าใจเจตนารมณ์อันจริงจังตั้งใจของพระเจ้า และฉันได้รู้สึกว่าได้รับการหนุนใจจริงๆ และยังได้รับเส้นทางแห่งการปฏิบัติด้วยเช่นกัน หลังจากนั้น เมื่อทำงานกับบรรดาพี่น้องชายหญิงหรือสัมพันธ์สนิทกับหัวหน้างานในหน้าที่ของฉัน ฉันเริ่มหาทางที่จะเปิดใจและไม่มีความลับ ที่จะหยุดปกป้องความมีหน้ามีตาและสถานะของฉัน ฉันได้ลองพยายามที่จะแบ่งปันสิ่งที่ฉันคิดอย่างแท้จริง ลองพยายามที่จะตรงไปตรงมากับบรรดาพี่น้องชายหญิง ฉันสามารถบอกบรรดาพี่น้องชายหญิงได้อย่างเปิดเผยว่า แนวคิดของฉันไม่ได้ผ่านการคิดมาอย่างดีมากนัก ว่าความเข้าใจของฉันตื้นเขิน หรือการคิดของฉันนั้นง่ายเกินไป และพวกเขาได้รับอนุญาตให้แก้ไขสิ่งที่ขาดพร่องให้ถูกต้อง การปฏิบัติการทำสิ่งนี้เป็นการปลดปล่อยให้เป็นอิสระสำหรับฉันจริงๆ นอกเหนือไปจากการนั้น การพูดบางสิ่งที่ผิดไม่ใช่การดูหมิ่นเหยียดหยาม ในข้อเท็จจริงนั้น นั่นคือการปลอมแปลงตัวฉันเองอยู่เป็นนิตย์ และเป็นการสร้างด้านหน้าที่เทียมเท็จเพื่อให้ผู้อื่นเลื่อมใสฉัน ซึ่งหน้าซื่อใจคดและไร้ยางอาย ในไม่ช้า ฉันได้เริ่มทำงานเคียงข้างพี่น้องหญิงคนนั้นที่ได้อยู่ในทีมมายาวนานที่สุด เธอทำได้ดีพอดูในงานของพวกเราและในการสามัคคีธรรมว่าด้วยความจริง ดังนั้นแล้ว ฉันจึงลังเลที่จะแสดงทรรศนะของฉันในงานของฉันกับเธอ เพื่อที่ฉันจะได้ไม่เปิดเผยข้อบกพร่องของฉัน และฉันก็จะดูเหมือนว่ามีไหวพริบมากขึ้น เมื่อแนวคิดนั้นปรากฏตัวออกมา ฉันก็ตระหนักในทันทีว่า ฉันกำลังต้องการที่จะปลอมแปลงตัวฉันเองอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นแล้ว ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าและละทิ้งตัวฉันเอง ในการเสวนางานของฉันกับพี่น้องหญิงคนนั้นตั้งแต่นั้นมา ฉันไม่ได้หน่วงเหนี่ยวตัวฉันเองอีกต่อไป แต่ได้สมัครใจเสนอเพื่อแบ่งปันมุมมองของฉัน การเสวนาร่วมกันเหล่านี้ได้ช่วยให้ฉันเห็นว่า มุมมองของฉันใช้ได้จริงๆ หรือไม่ และตรงไหนที่มันอาจจะมีข้อตำหนิ เธอมีความสามารถที่จะเห็นจุดอ่อนของฉันและให้คำแนะนำแก่ฉันอย่างสอดคล้องกันได้ ความร่วมมือประเภทนี้ได้เปิดโอกาสให้ฉันสร้างความก้าวหน้าในงานของฉัน และในอาณาจักรของการจับความเข้าใจหลักธรรม ประสบการณ์ของฉันก็คือว่า โดยการสัมพันธ์สนิทอย่างสมัครใจ และการมีการสนทนากับผู้อื่น การเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ และโดยการทำหน้าที่ของฉันโดยเผชิญหน้าพระเจ้าโดยตรง ความมืดมิดในหัวใจของฉันเลือนไปมากทีเดียว และฉันรู้สึกสบายใจมากขึ้นมาก ฉันยังเริ่มทำได้ดีมากขึ้นมากในหน้าที่ของฉันด้วยเช่นกัน ฉันมอบคำขอบคุณอันจริงใจสำหรับการทรงนำของพระเจ้า!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย ซินเฉิง ประเทศจีน ฉันเคยอ่านนิยายของนักเขียนญี่ปุ่น ที่เป็นเรื่องราว ของพนักงานขายที่สามารถขาย เซรั่มปลูกผม ยาย้อมผม แว็กซ์จัดทรงผม...
โดย เสี่ยวเชี่ยน, ฮ่องกง เมื่อปีก่อน ฉันให้น้ำผู้เชื่อใหม่ในคริสตจักร ในขณะเดียวกัน ฉันต้องเลือกบางคนที่สามารถบ่มเพาะได้...
โดย หยาง ฟาน, ประเทศจีน สมัยที่เริ่มเป็นหมอ ฉันพยายามจะเป็นหมอที่ใจดีและเป็นมืออาชีพ ทำดีกับคนไข้ และวินิจฉัยโรคอย่างแม่นยำ ในไม่ช้า...
โดย เว่ยจง ประเทศจีน เมื่อสองสามปีก่อน ผมเปิดร้านซ่อมอุปกรณ์เครื่องใช้ ผมอยากเป็นนักธุรกิจที่มีความซื่อสัตย์...