สิ่งที่ผมได้รับจากการเป็นคนที่ซื่อสัตย์

วันที่ 31 เดือน 10 ปี 2024

โดย เฟลิกซ์, ประเทศเกาหลีใต้

ในการประชุมครั้งหนึ่ง ผู้นำคนหนึ่งถามผมว่าการให้น้ำผู้มาใหม่ในคริสตจักรแห่งหนึ่งที่ผมดูแลอยู่เป็นอย่างไรบ้าง  ผมชะงักไป  ผมไม่ได้ติดตามเรื่องนี้เลยในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาและไม่รู้รายละเอียด  ผมควรจะตอบว่าอย่างไร?  ถ้าบอกว่าไม่รู้ ผู้นำและเพื่อนร่วมงานคนอื่นก็จะพูดเป็นแน่ว่าผมไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และนั่นย่อมจะน่าอับอาย  ผมคิดว่าผมแบ่งปันเฉพาะสิ่งที่ตัวเองรู้อยู่ก่อนแล้วก็ได้ แล้วค่อยดูว่าจะทำอะไรได้หลังจากนั้น  ดังนั้นผมจึงตอบไปว่า “มีการจัดการเตรียมงานทั้งหมดนั้นแล้ว และพวกเราได้เพิ่มสมาชิกบางคนเข้าไปในทีมแล้ว”  ผู้นำบอกทันทีว่า “คุณไม่ได้ตอบคำถาม คุณกำลังพูดเลี่ยง  นั่นคือการทำตัวฉลาดแกมโกง  ถ้าคุณไม่รู้ก็แค่บอกมาตามนั้นและตามงานให้เร็วที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้  ทำไมคุณถึงอ้อมค้อมอย่างนั้น?  ไม่ดีเลย  ความผิดพลาดก็คือความผิดพลาด และคุณควรมีความกล้าที่จะยอมรับความผิดพลาด!”  ผมรู้สึกกระสับกระส่าย ไม่สบายใจ และร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า  สิ่งที่ผมกลัวมาตลอดได้เกิดขึ้นแล้ว  ผมรู้สึกว่าตัวเองเสียหน้าอย่างที่สุด รู้สึกว่าทุกคนมองผมออกอย่างทะลุปรุโปร่ง  ผมรู้ว่าสิ่งที่ผู้นำพูดนั้นถูกต้อง แต่ผมไม่อาจนบนอบในหัวใจของตนได้  ผมรู้สึกว่าเธอไม่ต้องพูดมากขนาดนั้นก็ได้  แค่ผมจัดการดูแลงานทันทีที่ผมทำได้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ?  ทำไมเธอต้องตัดแต่งผมต่อหน้าผู้คนทั้งหมดนั่น?  ผมไม่พอใจมาก จึงอธิษฐานถึงพระเจ้าอย่างเงียบๆ ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รู้สึกต่อต้านสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้และไม่สามารถนบนอบ  ได้โปรดประทานความรู้แจ้งเพื่อให้ข้าพระองค์รู้จักตนเองและเรียนรู้บทเรียนได้ด้วยเถิด”

ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าในภายหลัง ความว่า “ก่อนอื่นพวกเรามาดูว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าได้ตรัสถามคำถามประเภทใดกับซาตาน  ‘เจ้ามาจากไหน?’  นี่ไม่ใช่คำถามที่ตรงไปตรงมาหรอกหรือ?  มีความหมายซ่อนเร้นใดๆ หรือไม่?  ย่อมไม่มี นี่เป็นเพียงคำถามที่ตรงไปตรงมาคำถามหนึ่งเท่านั้น  หากเราจะถามพวกเจ้าว่า ‘เจ้ามาจากไหน?’  เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าจะตอบอย่างไร?  มันเป็นคำถามที่ตอบยากหรือ?  พวกเจ้าจะกล่าวว่า ‘จากไปๆ มาๆ และจากเดินไปเรื่อยๆ’ หรือไม่?  (ไม่)  พวกเจ้าคงจะไม่ตอบเยี่ยงนี้  ดังนั้นแล้วพวกเจ้ารู้สึกอย่างไรเมื่อพวกเจ้าเห็นซาตานตอบแบบนี้?  (พวกเรารู้สึกว่าซาตานกำลังไร้สาระ แต่ก็เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงด้วย)  พวกเจ้าบอกได้หรือไม่ว่าเรากำลังรู้สึกอย่างไร?  ทุกครั้งที่เรามองเห็นคำพูดเหล่านี้ของซาตาน เรารู้สึกขยะแขยง เพราะซาตานพูดคุย ทว่าคำพูดของมันก็ไม่บรรจุเนื้อหาสาระเอาไว้เลย  ซาตานได้ตอบคำถามของพระเจ้าหรือไม่?  ไม่ คำที่ซาตานพูดนั้นไม่ใช่คำตอบ คำพูดเหล่านั้นไม่ได้ให้อะไร  คำพูดเหล่านั้นไม่ใช่คำตอบต่อคำถามของพระเจ้า  ‘จากไปๆ มาๆ บนแผ่นดินโลก และจากเดินไปเรื่อยๆ บนนั้น’  พวกเจ้าเข้าใจคำพูดเหล่านี้ว่าอย่างไร?  ซาตานมาจากไหนหรือ?  พวกเจ้าได้รับคำตอบของคำถามนี้หรือไม่?  (ไม่)  นี่คือ ‘อัจฉริยภาพ’ แห่งกลอุบายฉลาดแกมโกงของซาตาน—ไม่ปล่อยให้ผู้ใดค้นพบว่าที่จริงแล้วมันกำลังพูดสิ่งใด  เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว เจ้าก็ยังคงไม่สามารถหยั่งรู้สิ่งที่มันพูดไปแล้วได้ ถึงแม้ว่ามันได้ตอบคำถามเสร็จแล้วก็ตาม  แม้กระนั้นซาตานก็เชื่อว่ามันได้ตอบคำถามอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว  เช่นนั้นแล้วเจ้ารู้สึกอย่างไร?  ขยะแขยงหรือไม่?  (ใช่)  ตอนนี้พวกเจ้าเริ่มรู้สึกขยะแขยงคำพูดเหล่านี้  คำพูดของซาตานมีลักษณะอย่างหนึ่งคือ สิ่งที่ซาตานพูดทำให้เจ้าต้องเกาศีรษะ ไร้ความสามารถที่จะล่วงรู้ที่มาของคำพูดของมัน  บางครั้งซาตานมีเหตุจูงใจและพูดอย่างจงใจ และบางครั้งเมื่อถูกธรรมชาติของมันเองกำกับควบคุม คำพูดเหล่านี้ก็หลอมรวมกันไปเองและตรงออกมาจากปากของซาตาน  ซาตานไม่ได้ใช้เวลาชั่งน้ำหนักคำพูดเหล่านี้นานนัก แต่กลับกล่าวคำพูดเหล่านี้โดยไม่คิด  เมื่อพระเจ้าตรัสถามซาตานว่ามันมาจากไหน ซาตานจึงตอบด้วยคำพูดที่กำกวมไม่กี่คำ  เจ้ารู้สึกฉงนฉงายมาก ไม่มีวันรู้อย่างแน่ชัดว่าซาตานมาจากที่ใด  มีใครในหมู่พวกเจ้าพูดเยี่ยงนี้บ้างหรือไม่?  นี่เป็นวิธีพูดประเภทใดกัน?  (มันกำกวมและไม่ให้คำตอบที่แน่ชัด)  พวกเราควรใช้คำพูดประเภทใดเพื่อบรรยายวิธีพูดแบบนี้?  นี่เป็นวิธีพูดที่ทำให้ไขว้เขวและชักนำไปในทางที่ผิด  สมมุติว่าใครบางคนไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ว่าพวกเขาทำสิ่งใดเมื่อวานนี้  เจ้าถามพวกเขาว่า ‘ฉันเห็นเธอเมื่อวานนี้ เธอกำลังไปไหนหรือ?’  พวกเขาไม่บอกเจ้าโดยตรงว่าพวกเขาไปที่ใด  ตรงกันข้าม พวกเขากล่าวว่า ‘เมื่อวานนี้เป็นวันอะไรก็ไม่รู้  ช่างน่าเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก!’  พวกเขาได้ตอบคำถามของเจ้าหรือไม่?  พวกเขาตอบ แต่พวกเขาไม่ได้ให้คำตอบที่เจ้าต้องการ  นี่คือ ‘อัจฉริยภาพ’ ที่อยู่ภายในชั้นเชิงแห่งวาทะของมนุษย์  เจ้าไม่มีวันสามารถค้นพบว่าพวกเขาหมายความถึงสิ่งใด อีกทั้งไม่สามารถล่วงรู้แหล่งที่มาหรือเจตนาของคำพูดของพวกเขา  เจ้าไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพยายามที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งใดเพราะพวกเขามีเรื่องราวของพวกเขาเองอยู่ในหัวใจของพวกเขา—นี่คือแฝงเล่ห์ร้าย(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 4)  จากสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผย ผมมองเห็นว่าคำพูดและการกระทำของซาตานล้วนมีเหตุจูงใจและเล่ห์เหลี่ยม  มันพูดจาวกวนให้ผู้คนฟังไม่รู้เรื่องเพื่อปกปิดเจตนาอันน่าละอายของมัน  มันยอกย้อนและฉลาดแกมโกงจริงๆ  ซาตานตอบคำถามของพระเจ้าด้วยคำตอบที่กำกวมและชวนให้ไขว้เขว ซึ่งน่าขยะแขยงสำหรับพระเจ้า  ส่วนผมนั้นเห็นได้ชัดว่าผมไม่รู้ว่าการให้น้ำผู้มาใหม่ดำเนินไปอย่างไร แต่ผมก็ไม่ได้ตอบตามความสัตย์จริง  ผมพูดสิ่งที่ไม่ใช่คำตอบเพื่อทำให้ผู้นำสับสน  ผมตอบคำถามโดยไม่ยอมให้ผู้นำมองเห็นความจริง  ผมพูดจาปิดบังข้อเท็จจริงอย่างไม่รู้จักอาย เพื่อหลอกลวงและทำให้พวกเขาไขว้เขว เพื่อที่จะปกป้องหน้าตาและสถานะของตนเอง เพื่อให้ผู้นำไม่รู้ว่าผมไม่ได้ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และเพื่อให้พี่น้องชายหญิงในที่นั้นไม่ดูถูกผม  ผมกำลังแสดงอุปนิสัยเยี่ยงซาตานออกมา!  เมื่อนึกย้อนกลับไป ปกติแล้วผมก็เป็นเช่นนั้นกับพี่น้องชายหญิง  เหมือนกับที่บางครั้งมีบางคนตั้งคำถามด้านทักษะบางอย่าง แต่ผมไม่มีความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ดีพอและกลัวว่าการพูดความจริงจะทำให้พวกเขาดูถูกผม ดังนั้นผมจึงตอบทำนองว่า “ถ้าปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไข เรื่องของเรื่องก็ไม่ได้อยู่ที่ระดับทักษะของคุณเท่านั้นจริงไหม?  นี่เป็นเพราะคุณสักแต่ทำหน้าที่ของคุณให้เสร็จๆ ไปไม่ใช่หรือ?  หรือเพราะคุณไม่สามารถเรียนรู้และสื่อสารได้?”  มองอย่างผิวเผินก็ดูเหมือนผมกำลังตอบคำถาม แต่ผมรู้อยู่ในหัวใจของตนเองว่าคำตอบแบบนี้ไม่ช่วยแก้ปัญหา  ผมนึกถึงว่าเวลาผมตั้งคำถามแบบนั้นกลับไป  พวกเขาก็จะทบทวนตัวเองและเลิกซักถามผมไปด้วย  เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้อบกพร่องของผมก็จะไม่ถูกเปิดโปง  ผมฉลาดแกมโกงและหลอกลวงเพื่อที่จะปกป้องชื่อเสียงและสถานะของตน  ผมเป็นสุขกับการพูดปดมากกว่าการเสียหน้า  นั่นเผยให้เห็นอย่างชัดแจ้งถึงธรรมชาติที่กลิ้งกลอกและเจ้าเล่ห์ของผมซึ่งเอือมระอาความจริง  ผมนึกว่าการโกหกและหลอกลวงนั้นฉลาดมาก แต่ที่จริงแล้วช่างเขลานัก!  ต่อให้ผมหลอกและลวงให้ทุกคนเข้าใจไขว้เขว และพวกเขายอมรับนับถือผมและคิดว่าผมจะสามารถทำงานให้เสร็จได้และทำหน้าที่ของผมได้ดี พระเจ้าก็จะไม่ทรงเห็นชอบ—พระองค์จะทรงรังเกียจผม  เมื่อนั้นความเห็นชอบของผู้คนเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร?  ในเวลานั้นผมรู้สึกว่าตัวเองไม่เหลืออะไรแล้วและน่าสมเพช  ผมมีงานยุ่งตั้งแต่เช้าจดค่ำ แต่กลับพูดความสัตย์ออกมาไม่ได้สักเรื่อง  อุปนิสัยที่ฉลาดแกมโกงของผมไม่ได้เปลี่ยนไปเลย และผมก็ไม่มีความเป็นจริงความจริงแม้แต่น้อย  การถูกผู้นำเปิดโปงและตัดแต่งอย่างรุนแรงในวันนั้นคือการเตือนผม!  ผมรู้ว่าไม่อาจเป็นเช่นนั้นต่อไปได้ และผมต้องสำนึกกลับใจต่อพระเจ้า พยายามเป็นคนที่ซื่อสัตย์ และใช้ชีวิตตามความเป็นจริงนั้น

หลังจากนั้นผมนึกสงสัยว่าตัวเองยังคงมีพฤติกรรมอะไรที่ไม่ซื่อสัตย์อีก  ผมรู้ว่าผมต้องตรวจสอบและเปลี่ยนแปลงสภาวะบางอย่างภายในตัวเอง  ผมตระหนักผ่านทางการทบทวนตัวเองว่าในบันทึกสรุปงานของผมเมื่อไม่นานมานี้มีบางส่วนที่ฉลาดแกมโกงอยู่ด้วย  ผมลงบันทึกไว้อย่างละเอียดถึงงานที่ทำได้ถี่ถ้วนกว่า สมบูรณ์กว่า  แต่งานที่ทำอย่างหยาบๆ และไม่มีประสิทธิภาพนั้น ผมกลับเขียนถึงอย่างคร่าวๆ หรือไม่ได้เขียนเลยว่ากำลังดำเนินไปอย่างไร  ผมจำได้ว่ามีโครงการหนึ่งที่ได้ผลลัพธ์ไม่ดีนัก และเมื่อถึงเวลาสรุปงาน ผมก็เริ่มคำนึงว่าทุกคนจะคิดกับผมอย่างไรถ้าผมเขียนความจริงลงไป  พวกเขาจะพูดกันหรือไม่ว่าผมทำโครงการเล็กๆ นั่นให้ดีไม่ได้ด้วยซ้ำ ว่าผมไม่มีความสามารถ?  ผมชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสีย และตัดสินใจไม่เขียนถึงความคืบหน้าของโครงการนั้น จะได้ไม่มีใครรู้ และบางทีพวกเขาอาจจะคิดว่าผมแค่ยุ่งเกินไปเลยลืมเขียนถึง  ผมวางอุบาย ไม่จริงใจ และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงครั้งแล้วครั้งเล่า  ผมเจ้าเล่ห์เหลือเกิน!  ตลอดเวลาหลายปีที่ผมมีความเชื่อ แม้ผมจะทำมาหลายหน้าที่ สู้ทนความยากลำบากและยอมจ่ายราคาได้ แต่ผมก็ไม่ได้ทุ่มเทความพยายามในการปฏิบัติความจริง  ผมเพียงคิดหาวิธีปกป้องความมีหน้ามีตาและสถานะของตัวเอง ดังนั้นผมจึงยังคงไม่พูดและไม่ทำตัวซื่อสัตย์แม้แต่น้อย  ผมไม่มีความกล้าที่จะเป็นคนที่เรียบง่ายและเปิดเผย—น่าสมเพชนัก!  บางครั้งผมก็ถามตัวเองว่าพระเจ้าตรัสกับพวกเรามามากมาย และผมก็อ่านพระวจนะของพระองค์มาพอสมควร แต่ผมใช้ชีวิตตามความเป็นจริงของพระวจนะบ้างหรือเปล่า?  ผมเขียนสรุปงานให้ถูกต้องแม่นยำไม่ได้ด้วยซ้ำ  แบบนั้นผมจะได้อะไรไว้ในท้ายที่สุด?  ผมรู้สึกเหมือนตัวเองจวนเจียนจะมีอันตราย  ถ้าไม่สำนึกกลับใจและไม่ไล่ตามเสาะหาความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย ผมย่อมจะถูกพระเจ้ากำจัดออกไปได้ทุกเมื่อ  ผมกล่าวคำอธิษฐานอยู่ในหัวใจว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำยิ่ง  ข้าพระองค์โกหกและหลอกลวงตลอดเวลาเพื่อปกป้องหน้าตาและสถานะของตัวเอง  ได้โปรดประทานความรู้แจ้งเพื่อให้ข้าพระองค์รู้จักตนเองอย่างแท้จริงด้วยเถิด”

ผมอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นหลังจากนั้น พระวจนะระบุว่า “หากพวกเจ้าเป็นผู้นำหรือคนทำงาน พวกเจ้ากลัวหรือไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะสอบถามและกำกับดูแลงานของพวกเจ้า?  พวกเจ้ากลัวหรือไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะพบความพลั้งเผลอและความผิดพลาดในงานของพวกเจ้าและตัดแต่งพวกเจ้า?  พวกเจ้ากลัวหรือไม่ว่าหลังจากที่เบื้องบนรู้ขีดความสามารถและวุฒิภาวะจริงของพวกเจ้าแล้ว พวกเขาจะมองพวกเจ้าต่างออกไปและไม่คิดจะส่งเสริมพวกเจ้า?  ถ้าเจ้ามีความกลัวเหล่านี้อยู่ ก็ย่อมพิสูจน์ว่าแรงจูงใจของเจ้าไม่ใช่เพื่องานของคริสตจักร เจ้ากำลังทำงานเพื่อความมีหน้ามีตาและสถานะ ซึ่งพิสูจน์ว่าเจ้ามีอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์  ถ้าเจ้ามีอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ เจ้าย่อมมีแนวโน้มที่จะเดินบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ และทำความชั่วทุกอย่างที่พวกศัตรูของพระคริสต์ทำ  ถ้าหัวใจของเจ้าไม่มีความยำเกรงต่อพระนิเวศของพระเจ้าที่กำกับดูแลงานของเจ้า และเจ้าสามารถตอบคำถามและข้อสงสัยของเบื้องบนได้จริงโดยไม่ซ่อนเร้นสิ่งใด และพูดเท่าที่เจ้ารู้ เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าสิ่งที่เจ้าพูดจะถูกหรือผิด ไม่ว่าเจ้าจะเผยความเสื่อมทรามอะไรออกมา—ต่อให้เจ้าเผยอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์—เจ้าก็จะไม่ถูกนิยามว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์อย่างแน่นอน  สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญก็คือว่าเจ้าสามารถรู้จักอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูพระคริสต์ของตนเองหรือไม่ และเจ้าสามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่  หากเจ้าเป็นคนที่ยอมรับความจริง อุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ของเจ้าก็ย่อมจะแก้ไขได้  ถ้าเจ้ารู้ดีแก่ใจว่าเจ้ามีอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ แต่กลับไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไข ถ้าเจ้าถึงกับพยายามปกปิดหรือพูดปดเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นและบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบ และหากเจ้าไม่ยอมรับความจริงเวลาถูกตัดแต่ง เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมจะเป็นปัญหาร้ายแรง และเจ้าก็ไม่ต่างอะไรจากศัตรูของพระคริสต์  เมื่อรู้ว่าเจ้ามีอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ เหตุใดเจ้าจึงไม่กล้าเผชิญหน้าอุปนิสัยนั้น?  เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถดำเนินการกับอุปนิสัยนั้นอย่างตรงไปตรงมาและพูดว่า ‘ถ้าเบื้องบนถามถึงงานของฉัน ฉันจะพูดทุกสิ่งที่ฉันรู้ และต่อให้สิ่งไม่ดีทั้งหลายที่ฉันทำไว้ถูกเปิดเผย และเบื้องบนไม่ใช้ฉันอีกต่อไปทันทีที่พวกเขารู้เรื่อง และฉันสูญเสียสถานะของฉัน ฉันก็จะยังคงพูดสิ่งที่ฉันต้องพูดให้ชัดเจน’?  ความกลัวของเจ้าที่จะถูกพระนิเวศของพระเจ้ากำกับดูแลและสอบถามเรื่องงานของเจ้าพิสูจน์ว่าเจ้ามองว่าสถานะของเจ้าล้ำค่ากว่าความจริง  นี่คืออุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ?  การทะนุถนอมสถานะเหนือทุกสิ่งคืออุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์  ทำไมเจ้าถึงมองสถานะว่าล้ำค่าขนาดนั้น?  เจ้าสามารถได้ประโยชน์อันใดจากสถานะ?  ถ้าสถานะนำความวิบัติ ความยากลำบาก ความอับอายขายหน้า และความเจ็บปวดมาให้เจ้า เจ้าจะยังมองว่าล้ำค่าอยู่หรือไม่?  (ไม่)  การมีสถานะมาพร้อมกับประโยชน์มากมาย เช่น ความอิจฉา ความเคารพ การยอมรับนับถือ และการยกยอปอปั้นจากผู้อื่น รวมทั้งความเลื่อมใสและความเคารพบูชาจากพวกเขา  และยังมีความรู้สึกว่าเป็นเลิศและมีอภิสิทธิ์ซึ่งสถานะของเจ้านำมาให้ ทำให้เจ้าเกิดความภาคภูมิใจและรู้สึกว่าตนมีคุณค่าอีกด้วย  นอกจากนี้เจ้ายังสามารถสุขสำราญกับสิ่งต่างๆ ที่ผู้อื่นไม่มี เช่น ประโยชน์จากสถานะและการปฏิบัติเป็นพิเศษ  เหล่านี้คือสิ่งที่เจ้าไม่กล้าแม้แต่จะนึกถึง และเป็นสิ่งที่เจ้าถวิลหาในฝันมาตลอด  เจ้ามองสิ่งเหล่านี้ว่าล้ำค่าหรือไม่?  ถ้าสถานะเป็นเพียงสิ่งที่กลวงเปล่า ไม่มีนัยสำคัญอันแท้จริง และการปกป้องสถานะก็ไม่มีประโยชน์อันใด การมองสถานะว่าล้ำค่าไม่โง่เขลาหรอกหรือ?  ถ้าเจ้าปล่อยมือจากสิ่งต่างๆ เช่น ผลประโยชน์และความสุขสำราญทางเนื้อหนังไปได้ เช่นนั้นแล้ว ชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะก็จะไม่ผูกมัดเจ้าไว้อีกต่อไป  ดังนั้นต้องแก้ไขปัญหาใดก่อนที่จะแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการมองสถานะว่าล้ำค่าและการไล่ตามไขว่คว้าสถานะ?  ก่อนอื่นจงรู้เท่าทันธรรมชาติของปัญหาเรื่องการทำชั่วและการใช้เล่ห์เหลี่ยม การกลบเกลื่อนและปิดบัง รวมทั้งการปฏิเสธการกำกับดูแล การสอบถามและการตรวจสอบจากพระนิเวศของพระเจ้า เพื่อที่จะสุขสำราญกับผลประโยชน์ที่มาพร้อมสถานะ  นี่คือการต้านทานและต่อต้านพระเจ้าอย่างโจ่งแจ้งมิใช่หรือ?  ถ้าเจ้าสามารถรู้ทันธรรมชาติและผลสืบเนื่องของการอยากได้ใคร่มีผลประโยชน์จากสถานะได้ ปัญหาเรื่องการไล่ตามไขว่คว้าสถานะก็จะได้รับการแก้ไข  ถ้าเจ้าไม่สามารถรู้ทันแก่นแท้ของการละโมบในผลประโยชน์ที่มาพร้อมสถานะ ปัญหานี้ก็จะไม่มีวันได้รับการแก้ไข(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาย่อมจะให้ผู้อื่นนบนอบเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่สอง))  พระวจนะเหล่านี้ช่วยให้ผมตระหนักว่าที่ผมไม่สามารถเลิกโกหกและหลอกลวงได้เพราะผมรักหน้าตาและสถานะของตัวเองมากเกินไป  ผมพยายามออกอุบาย ใช้เล่ห์กล ใช้คำพูดของผมชักจูงผู้นำให้ไขว้ไขวก็เพื่อปกป้องชื่อเสียงและตำแหน่งของตนเอง และเพื่อให้ผู้นำมองไม่เห็นความเป็นจริงว่าผมไม่ได้ติดตามดูงาน  ผมปิดบังข้อบกพร่องของตนในบันทึกสรุปงาน เขียนแต่เรื่องดี ไม่เขียนเรื่องไม่ดี คนอื่นจะได้นึกว่าผมเป็นผู้นำที่ทำงานสัมพันธ์กับชีวิตจริง  ผมกลัวว่าพวกเขาจะมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของผมและไม่ยอมรับนับถือผมอีกต่อไป และแล้วผมก็จะไม่ได้สุขสำราญกับความรู้สึกที่เกิดจากสถานะนั้นว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น  เมื่อผมเห็นพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “การทะนุถนอมสถานะเหนือทุกสิ่งคืออุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์” ผมจึงตระหนักในที่สุดว่านี่คือปัญหาที่ร้ายแรงขนาดไหน  ผมนึกถึงศัตรูของพระคริสต์ที่ถูกขับไล่  พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและสถานะในหน้าที่ของตนอยู่เสมอ ใช้เล่ห์กลและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงอยู่หลังฉาก  นั่นทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงักอย่างร้ายแรง พวกเขาจึงถูกเปิดโปงและถูกขับไล่  นอกจากนี้ยังมีผู้นำเทียมเท็จที่สุขสำราญกับผลประโยชน์จากสถานะ  พวกเขาเจ้าเล่ห์ในหน้าที่ของตนและปิดบังความจริงอยู่เสมอเมื่อพวกเขาไม่ทำงานจริง ซึ่งถ่วงงานของคริสตจักร  นั่นเหมือนกันเลยกับพี่น้องหญิงเฉินที่ดูแลงานข่าวประเสริฐ  ในเวลานั้นเธอรับผิดชอบงานอื่นด้วย แต่เธอก็กลิ้งกลอกและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงในทั้งสองตำแหน่ง  ในงานข่าวประเสริฐ เธอบอกว่าเธอกำลังยุ่งอยู่กับอีกงานหนึ่ง และในอีกงานหนึ่งเธอก็อ้างว่าเธอยุ่งอยู่กับงานข่าวประเสริฐ  อันที่จริงเธอไม่ได้ทำงานของเธอเลยไม่ว่าจะทางไหน และสุดท้ายเธอก็ถูกเปิดโปงและถูกกำจัดออกไป  บทเรียนจากความผิดพลาดของคนอื่นคือการตักเตือนผม  การเล่นไม่ซื่อและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเพื่อชื่อเสียงและสถานะของผมเป็นเพียงการหลอกตัวเองและคนอื่น เป็นเพียงความเขลาเท่านั้น  พระเจ้าทรงเห็นทุกอย่างและพระองค์โปรดผู้คนที่ซื่อสัตย์  มีเพียงผู้คนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่มีรากฐานอันมั่นคงในพระนิเวศของพระเจ้า ส่วนคนฉลาดแกมโกงย่อมจะถูกเปิดโปงและถูกกำจัดออกไปในไม่ช้าก็เร็ว  ในความเชื่อของผมนั้น ผมไม่ได้พยายามเป็นคนที่ซื่อสัตย์ แต่กลับเสแสร้ง ทิ้งภาพจำที่เทียมเท็จเอาไว้ และแม้ผมจะหลอกลวงคนบางคน แต่ผมก็ไม่สามารถหนีพ้นการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า  ในท้ายที่สุดพระเจ้าย่อมจะทรงเปิดโปงและกำจัดผมออกไป  ตอนนั้นเองที่ผมตระหนักถึงความสำคัญของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ และรู้ว่าการซื่อสัตย์อย่างที่พระเจ้าทรงประสงค์และการยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์ในทุกสิ่งคือหนทางเดียวที่จะได้รับความเห็นชอบจากพระองค์  ดังที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้ว่า “หากใครบางคนพูดถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจของตนโดยแท้อยู่เสมอ หากพวกเขาพูดจาซื่อสัตย์  หากพวกเขาพูดจาเรียบง่าย หากพวกเขาจริงใจ และไม่สุกเอาเผากินแต่อย่างใดเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน และหากพวกเขาสามารถปฏิบัติความจริงที่พวกเขาเข้าใจ เช่นนั้นแล้วบุคคลผู้นี้ก็มีหวังที่จะได้รับความจริง  หากบุคคลผู้หนึ่งปิดบังตนเองและปกปิดหัวใจของตนเพื่อมิให้ผู้ใดสามารถมองเห็นพวกเขาได้อย่างชัดเจน หากพวกเขาสร้างภาพจำที่เทียมเท็จเพื่อหลอกลวงผู้อื่น เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ตกอยู่ในอันตรายที่ร้ายแรง พวกเขากำลังเดือดร้อนหนัก และเป็นการยากมากที่พวกเขาจะได้รับความจริง  เจ้าสามารถเห็นได้จากชีวิตประจำวันของใครบางคน และจากคำพูดกับการกระทำของพวกเขา ว่าความสำเร็จในภายภาคหน้าของพวกเขาจะเป็นเช่นใด  หากบุคคลผู้นี้เสแสร้งตลอดเวลา วางท่าตลอดเวลา เช่นนั้นแล้วบุคคลผู้นี้ก็ไม่ใช่ใครบางคนที่ยอมรับความจริง และพวกเขาจะถูกเปิดเผยและถูกกำจัดออกไปไม่ช้าก็เร็ว… ผู้คนที่ไม่เคยเปิดหัวใจของพวกเขา พยายามซ่อนเร้นและปกปิดสิ่งทั้งหลายอยู่เสมอ เสแสร้งตลอดเวลาว่าตนน่าเคารพนับถือ  ต้องการให้ผู้คนคิดว่าพวกเขาสูงส่งอยู่เสมอ ไม่เปิดโอกาสให้ผู้อื่นประเมินพวกเขาอย่างเต็มที่  และพวกเขาก็อยากให้ผู้คนมาเลื่อมใสตน—ผู้คนเหล่านี้โง่เขลามิใช่หรือ?  ผู้คนเช่นนี้เป็นพวกโง่เขลาที่สุด!  นั่นเป็นเพราะความจริงเกี่ยวกับผู้คน  ย่อมจะถูกเปิดโปงออกมาไม่ช้าก็เร็ว  พวกเขาเดินอยู่บนเส้นทางใดด้วยท่าทีประเภทนี้?  นี่คือเส้นทางของพวกฟาริสี  พวกคนหน้าซื่อใจคดมีอันตรายหรือไม่?  คนเหล่านี้คือผู้คนที่พระเจ้าทรงรังเกียจอย่างที่สุด ดังนั้นเจ้าคิดว่าพวกเขามีอันตรายหรือไม่?  ทุกคนที่เป็นพวกฟาริสีเดินอยู่บนถนนไปสู่การทำลายล้างทั้งสิ้น!(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, เมื่อมอบหัวใจของคนเราแก่พระเจ้า คนเราย่อมจะสามารถได้มาซึ่งความจริง)  การหลบซ่อนและปกปิดอยู่เสมอ การเสแสร้งอยู่เสมอคือเส้นทางที่ผิด และถ้าคุณไม่กลับตัวกลับใจ คุณก็จะถูกทำลายในท้ายที่สุด  ผมอธิษฐานถึงพระเจ้าและตั้งปณิธานของตน พร้อมแล้วที่จะไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยและเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์

ผมนึกถึงที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้ว่า “ทุกสิ่งที่เจ้าทำ ทุกการกระทำ ทุกเจตนา และทุกปฏิกิริยาควรถูกนำมาไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  แม้กระทั่งชีวิตประจำวันทางฝ่ายวิญญาณของเจ้า—ทั้งคำอธิษฐานของเจ้า ความใกล้ชิดพระเจ้าของเจ้า วิธีที่เจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า การสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงของเจ้า และชีวิตของเจ้าภายในคริสตจักร—ทั้งหมดนี้และการรับใช้ด้วยการให้ความร่วมมือของเจ้าต้องสามารถนำมาไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์ได้  การปฏิบัติเช่นนี้นี่เองที่จะช่วยให้เจ้าสัมฤทธิ์การเจริญเติบโตในชีวิต  กระบวนการยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าคือกระบวนการชำระให้บริสุทธิ์  ยิ่งเจ้าสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าได้มากเท่าใด เจ้าก็ยิ่งได้รับการชำระให้บริสุทธิ์มากขึ้นและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น เพื่อที่เจ้าจะได้ไม่ถูกดึงดูดเข้าหาความเสเพล และหัวใจของเจ้าจะได้มีชีวิตอยู่ในการสถิตของพระองค์  ยิ่งเจ้ายอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์มากเท่าใด ซาตานก็ยิ่งถูกดูหมิ่นและเจ้าก็ยิ่งขัดขืนเนื้อหนังได้มากขึ้นเท่านั้น  ดังนั้นการยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าคือเส้นทางปฏิบัติที่ผู้คนควรติดตาม(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงทำให้ผู้ที่ทำได้ตามเจตนารมณ์ของพระองค์มีความเพียบพร้อม)  ด้วยการใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ผมจึงมีเส้นทางปฎิบัติคือ การยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า  ตราบใดที่พวกเรายอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า แรงจูงใจและแนวคิดที่กลิ้งกลอกและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของพวกเราก็ย่อมจะแก้ไขให้ถูกต้องได้ง่าย และเพราะเหตุนี้เท่านั้นหัวใจของพวกเราจึงบริสุทธิ์และซื่อสัตย์ได้มากขึ้นทุกที  และด้วยเหตุนี้เท่านั้นพวกเราจึงสามารถปฏิบัติความจริงได้ง่ายและทำงานของตนได้ดี  หลังจากเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว ผมก็เปิดใจกับพระเจ้า ไม่เสแสร้งหรือนำเสนอให้ตัวเองดูดี และยอมรับการพินิจพิเคราะห์จากพระเจ้าในทุกสิ่ง  ผมเตือนตัวเองเวลาเขียนสรุปงานหลังจากนั้นว่าให้ซื่อสัตย์และยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า และบรรยายให้ถูกต้องแม่นยำถึงงานที่ผมไม่ได้ทำให้ดี  เมื่อผู้นำถามถึงงานของผม ผมก็จะบอกเล่าความจริงอย่างมีสติ  เมื่อคนอื่นซักถามผม ผมย่อมมีความสัตย์จริงในสิ่งที่ผมไม่รู้  ถ้ารู้ ผมก็บอกว่ารู้ และถ้าไม่รู้ เช่นนั้นผมก็บอกว่าไม่รู้  หลังจากปฏิบัติเช่นนี้ ผมรู้สึกสบายใจขึ้นมาก  ผมได้ประสบการณ์ว่าการยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าอย่างมีสติคือเส้นทางเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงและปลดเปลื้องความเสื่อมทราม  ถ้าไม่ได้ถูกตัดแต่ง ผมก็คงไม่ได้ตรวจสอบอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองอย่างจริงจังและอันที่จริงก็คงไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อเข้าสู่ความเป็นจริง  และไม่ว่าผมจะมีความเชื่อมานานกี่ปี ทำมากี่หน้าที่ หรือทนทุกข์มามากเท่าใด อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผมก็คงจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปเลย  ต่อให้ยึดมั่นในความเชื่อของตนไปจนถึงปลายทาง ผมก็คงไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด และย่อมจะถูกลิขิตให้ถูกพระเจ้ากำจัดออกไป

การถูกตัดแต่งในเวลานั้นได้แสดงให้ผมเห็นถึงความสำคัญของการซื่อสัตย์ และผมก็เกิดความเข้าใจบางอย่างในอุปนิสัยที่กลิ้งกลอกและฉลาดแกมโกงเยี่ยงซาตานของตน  นั่นคือความรักและความรอดจากพระเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การโกหกมีแต่ทำให้เจ็บปวด

โดย เกิ้งซิน, เกาหลี ผมจำได้ว่าเมื่อเดือนพฤษภาคมปีนี้ เราถ่ายทำมิวสิกวิดีโอเพลงที่พี่หลิวร้อง ส่วนผมก็ทำเรื่องการจัดไฟ พี่หลิวเดินไปรอบๆ...

ผมแก้ไขความฉลาดแกมโกงและเล่ห์ลวงของตนอย่างไร

โดย แฟรงก์, ประเทศฟิลิปปินส์ ผมคิดเสมอว่า ตัวผมเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์คนหนึ่ง  ผมคิดว่าผมไว้วางใจได้ในคำพูดและความประพฤติ และผู้คนที่รู้จักผม...

ความเจ็บปวดจากการโกหก

โดย หนีเฉียง เมียนมา ในเดือนตุลาคม 2019 ผมยอมรับงานของพระองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย ในการนัดพบ...

เบื้องหลังความเงียบ

โดย หลี่จี้ ประเทศจีน ฉันไม่ใช่คนพูดมากสักเท่าไหร่ และไม่บ่อยนักที่ฉันเปิดใจและพูดจากหัวใจ...

ติดต่อเราผ่าน Messenger