ตอนนี้ฉันพูดจากใจได้แล้ว

วันที่ 02 เดือน 01 ปี 2025

โดย มัทธิว, ฝรั่งเศส

เวลาที่ผมปฏิบัติหน้าที่กับพี่น้องชายหญิงสักคน ผมรู้ดีว่าถ้าเห็นข้อบกพร่องส่วนตัว หรือเห็นพวกเขาทำสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับความจริง ผมก็ควรที่จะตักเตือน หรือช่วยเหลือ แต่ผมก็คอยเลี่ยงเรื่องพวกนี้ตลอด เพราะพยายามจะไม่ล่วงเกินใคร ไม่นานมานี้ ก็เพิ่งมีบางอย่าง ที่ทำให้ผมตระหนักถึงความเสียหายและผลของพฤติกรรมเช่นนั้น และช่วยให้ผมกลับตัวได้

ไม่นานมานี้ ช่วงเลิกการชุมนุมของวันหนึ่ง พี่น้องหญิงที่ดูแลบอกเราว่า เราต้องเตรียมตัวเลือกคนที่ทำงานให้น้ำสักสองสามคนไปประกาศข่าวประเสริฐ แถมยังเน้นย้ำความสำคัญของทั้งงานให้น้ำและงานข่าวประเสริฐ เธอขอให้เราพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจังตามหลักธรรม จับกลุ่มหารือกัน แล้วค่อยตัดสินใจ ผมแปลกใจ พี่เจมส์ที่ทำหน้าที่ร่วมกับผม ได้โทรหาผมเป็นอย่างแรกในเช้าวันรุ่งขึ้น และบอกผมว่า เขาได้เลือกพี่น้องชายหญิงมาบ้างแล้ว และจัดให้พวกเขาไปด้วยกัน พี่เจมส์มาขอให้ผมไปร่วมสามัคคีธรรม เรื่องการเปลี่ยนหน้าที่ของพี่น้องกลุ่มนี้ พอฟังเขาพูด ผมก็คิดในใจว่า “แบบนี้คือการที่คุณผลีผลามตัดสินใจไปเองไม่ใช่หรือ? เราทุกคนยังไม่ได้หารือกันเลย อีกอย่าง ตอนนี้ทุกคนต่างก็กำลังทำหน้าที่ของตัวเอง ถ้าคุณหลับหูหลับตาเปลี่ยน และกลายเป็นว่ามันไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกต้อง มันจะไม่กระทบต่องานของคริสตจักรหรือ?” ผมอยากบอกสิ่งที่ผมคิดจริงๆ ให้พี่เจมส์ทราบ แต่ผมเริ่มรู้สึกขัดแย้งในใจ ตอนได้ยินว่า เสียงเขาที่ปลายสายฟังดูตื่นเต้นแค่ไหน เขาอาจจะหัวเสียถ้าผมบอกไปว่า เขาตัดสินใจแบบผลีผลามเกินไป และไม่ควรทำอะไรโดยไม่คิดให้ถี่ถ้วน ถ้าผมปฏิเสธคำชวนของเขา เขาจะไม่รู้สึกเหมือนผมปัดตกแนวคิดของเขา และคิดว่าผมโอหังหรือ? ความคิดพวกนั้นยั้งผมเอาไว้ ผมเลยไม่พูดอะไรออกไป ถึงจะรู้สึกกังวลกับสิ่งที่เขาเสนอ ผมก็ยังตอบรับคำเชิญของเขา และตกลงที่จะจัดการชุมนุม เพื่อสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงร่วมกับเขา

หลังจากวางสายไป ผมก็เห็นพระวจนะบทตอนนี้ ถูกแบ่งปันในกลุ่มบนวอทส์แอป พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เจ้าต้องไม่เห็นด้วยกับผู้อื่นอย่างมืดบอดโดยปราศจากแนวคิดของตัวเจ้าเอง ในทางตรงกันข้าม เจ้าต้องมีความกล้าหาญที่จะยืนหยัดและคัดค้านสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นที่ไม่สอดคล้องกับความจริง  หากเจ้ารู้ชัดเจนว่ามีบางสิ่งผิดปกติ แต่ขาดความกล้าที่จะเปิดโปง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่ใช่บุคคลหนึ่งซึ่งปฏิบัติความจริง(“บทที่ 12” ของ ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  รู้ไหม ผมรู้สึกเหมือนพระวจนะเหล่านั้น พูดกับผมโดยตรง การที่พระเจ้าทรงเห็นลึกเข้าไปในใจเราจริงๆ เป็นประสบการณ์ที่ลึกซึ้งมาก ผมเป็นคนอย่างที่พระวจนะเปิดโปง คือรู้ชัดว่ามีเรื่องไม่ถูกต้อง แต่กลับเงียบไม่ใช่หรือ? ไม่ได้ ผมไม่ควรเป็นคนแบบนั้นอีกต่อไป ผมเลยรวบรวมความกล้า และตั้งใจจะพูดออกไป แต่พอนึกถึงว่า พี่เจมส์ดูกระตือรือร้นแค่ไหน ผมก็กลัวเขาจะรู้สึกเหมือน ผมขัดความคิดเขา ถ้าผมเข้าไปขวางทาง หลังจากขัดแย้งอยู่ในใจสักพัก ผมก็ปลอบตัวเอง ว่าผมจะมั่นใจว่าตัวเองถูกไม่ได้ มันอาจจะมีบางอย่างที่ผมไม่เห็น ผมก็เลย ละทิ้งความจริง ไม่สนใจการตำหนิจากพระเจ้า และไม่ได้พูดอะไรให้พี่เจมส์ฟัง จากนั้นผมก็ทำตามแผนของพี่เจมส์ และเริ่มจัดการงาน

ตอนนั้นผมก็ เล่าเรื่องนี้ให้พี่สาวที่รับผิดชอบฟัง พอฟังผมเล่าเรื่องนี้แล้ว เธอก็เรียกผมกับพี่เจมส์มาพบทางออนไลน์ และต่อว่าพวกเราอย่างแรงว่า “การวางแผนและจัดเตรียมการเปลี่ยนแปลงเจ้าหน้าที่ มีความต้องการเฉพาะ ผู้คนต้องได้รับการเลือกไปตามจุดแข็งส่วนบุคคล ว่าจะเผยแผ่ข่าวประเสริฐหรือทำงานให้น้ำ จะได้ไม่ขัดขวางงานของคริสตจักร แต่พวกคุณกลับให้คนกลุ่มหนึ่งไปแบ่งปันข่าวประเสริฐตามอำเภอใจ นี่คือการทำให้งานของคริสตจักรเกิดความวุ่นวายไม่ใช่หรือ? คุณไม่แสวงหาหลักธรรมความจริง หรือหารือกับทุกคน แบบนี้ โดยแก่นแท้แล้ว คือการทำอะไรแผลงๆ” รู้ไหม พอได้ยินเธอพูดแบบนี้ ผมก็เสียใจและรู้สึกผิดมากๆ ผมรู้ว่าพระเจ้าทรงตัดแต่งและจัดการผม และเธอก็พูดถูกต้องที่สุด พวกเราทำตัวพิเรนทร์ และไม่ทำตามหลักธรรม ผ่านการทบทวนตัวเอง ในที่สุดผมก็ตระหนักว่าผมควรปฏิเสธ และหยุดทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อคริสตจักร และถึงผมจะไม่ได้เข้าใจบางเรื่องโดยถ่องแท้ ผมก็ยังควรพูดสิ่งที่คิด เข้าไปแสวงหา และสามัคคีธรรมร่วมกับทุกคน ผมจะไหลตามไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ เพราะมันอาจทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก แต่ด้วยความพยายามที่จะปกป้องความสัมพันธ์กับพี่เจมส์ และทำให้แน่ใจว่าเขาจะไม่มองผมไม่ดี ผมเลยพร้อมขัดขวางงานของคริสตจักร ก่อนจะชี้ให้เห็นปัญหาของเขา ถึงกับยอมหันหลังใส่การให้ความรู้แจ้งและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผมได้เห็นว่าผมเจ้าเล่ห์ เห็นแก่ตัว และน่ารังเกียจแค่ไหน ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ ผมยิ่งรู้สึกโง่เขลา เต็มไปด้วยความรังเกียจและชังตัวเอง

หลังจากนั้นพอมาทบทวนตัวเอง ผมก็สงสัยว่า แทนที่จะปกป้องความจริง ทำไมผมปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองเสมอ ด้วยความทุกข์ใจ ผมเลยมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์ว่า “พระเจ้า ข้าฯ ทำสิ่งต่างๆ ด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ขนาดเห็นอย่างชัดเจนก็ยังไม่ปฏิบัติความจริง ข้าฯ ได้เห็นว่าตัวเองถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามมากแค่ไหน พระเจ้า โปรดช่วยข้าฯ ที” และจากนั้น ผมก็เห็นพระวจนะบทตอนนี้ “ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงแท้คือบรรดาผู้ที่เต็มใจที่จะนำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติและเต็มใจที่จะปฏิบัติความจริง  ผู้คนที่สามารถตั้งมั่นอย่างแท้จริงในคำพยานของตนต่อพระเจ้าคือบรรดาผู้ที่เต็มใจที่จะนำพระวจนะของพระองค์มาปฏิบัติและสามารถยืนอยู่ในฝ่ายของความจริงได้อย่างจริงแท้อีกด้วย  ผู้คนที่อาศัยเล่ห์เหลี่ยมและความไม่เป็นธรรมล้วนขาดพร่องความจริง และพวกเขาล้วนนำความอัปยศอดสูมาสู่พระเจ้า(“คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  “พระวงศ์ของพระเจ้าไม่ยอมให้พวกที่ไม่ปฏิบัติความจริงหลงเหลืออยู่ อีกทั้งไม่ยอมให้หลงเหลือผู้ที่จงใจรื้อทำลายคริสตจักรอยู่เลย  อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะทำงานแห่งการขับไล่ ผู้คนเช่นนั้นจะเพียงแค่ถูกเปิดโปงและถูกกำจัดไปในที่สุด  งานที่ไร้ประโยชน์จะไม่ถูกนำมาใช้กับผู้คนเหล่านี้อีกแล้ว พวกที่เป็นของซาตานไม่สามารถยืนอยู่ในฝ่ายของความจริงได้ แต่ทว่าบรรดาผู้ที่แสวงหาความจริงสามารถทำได้  พวกที่ไม่ปฏิบัติความจริงไม่คู่ควรกับการได้ยินเรื่องหนทางแห่งความจริง และไม่คู่ควรกับการเป็นพยานต่อความจริง  ความจริงนั้นไม่ใช่สำหรับหูของพวกเขาอย่างแน่นอน แต่ทว่า มันมุ่งตรงไปที่บรรดาผู้ปฏิบัติความจริง(“คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  รู้ไหม สำหรับผม พระวจนะนั้นเจ็บปวดอย่างเหลือเชื่อ ผู้เชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า ย่อมเต็มใจที่จะปฏิบัติพระวจนะ พอเจอปัญหา พวกเขาก็แสวงหาความจริงและนำมาปฏิบัติ รวมถึงยืนอยู่ข้างพระเจ้าได้ ได้ ส่วนพวกที่ไม่ปฏิบัติความจริง ย่อมทำตามอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน ยืนอยู่ข้างซาตาน และบ่อนทำลายคริสตจักร ผมตระหนักได้ว่า การที่ผมเป็นคนชอบเอาใจผู้อื่นและ ปฏิบัติความจริงไม่ได้ คือการยืนอยู่ข้างซาตาน ทุกครั้งที่เจอสถานการณ์ที่ผมต้องยืนหยัดปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักร ผมก็ไม่ยอมนำความจริงมาปฏิบัติ เพราะกลัวล่วงเกินคนอื่น หรือเสียที่ในหัวใจพวกเขาไป ผมรู้ว่าถ้าเป็นแบบนั้นต่อไป ผมคงลงเอยด้วยการถูกพระเจ้าเดียดฉันท์ และขับออก รู้ไหม ตอนนั้นผมแค่ตระหนักถึงธรรมชาติของสิ่งที่คนชอบเอาอกเอาใจทำ แต่ยังแทบไม่เข้าใจรากเหง้าของความเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของตัวเองเลย ผมเพิ่งได้รู้จักตัวเองมากขึ้น หลังจากพี่ชายคนหนึ่งชี้ให้ผมเห็นข้อเสียของตัวเอง

ผมจำได้ว่า ตอนที่ผมกับพี่ไมเคิลทำงานให้น้ำด้วยกัน เขาก็เปิดใจ บอกว่า “น้องแมทธิว ช่วงนี้เราทำงานร่วมกันได้ดีน้อยลงเรื่อยๆ คุณแทบไม่ชี้ข้อบกพร่องของผมเลย แถมเวลาเห็นผมทำสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับความจริง คุณก็ไม่พูดอะไรเลย แบบนั้นผมจะเติบโตได้ยังไง? ผมต้องการความช่วยเหลือเพื่อให้เห็นปัญหา และต้องถูกตัดแต่งและจัดการเพื่อให้เกิดความก้าวหน้า” รู้ไหม ตอนเขาพูดแบบนั้น ผมรู้สึกแย่มาก ในหัวมีแต่ภาพการปฏิสัมพันธ์ของเรา ช่วงนั้นผมสังเกตเห็นว่า เขาทำหน้าที่ของตัวเองไปตามความเคยชิน ชุมนุมกับเหล่าผู้เชื่อใหม่อย่างขอไปที เขาสามัคคีธรรมตามประเด็นที่เราวางแผนกันไว้ โดยไม่ปรับเปลี่ยนตามปัญหาและความยากลำบากจริงของเหล่าพี่น้อง ตามหลักธรรมของการแก้ไขปัญหาและสร้างประโยชน์ ผลของการชุมนุมไม่เป็นไปตามคาด และปัญหาของผู้มาใหม่บางคนก็ไม่ถูกแก้ไขอย่างทันท่วงที แต่ผมก็ไม่ได้พูดเรื่องพวกนั้นกับเขา เพราะกลัวจะล่วงเกิน และทำให้เขาอคติกับผม ผมจัดการปัญหาพวกนั้นแบบอ้อมๆ คุณรู้ไหม พี่ไมเคิลพูดถูก ผมเห็นปัญหาแต่กลับไม่เคยบอกเขาเลย ผมเป็นคนชอบเอาใจผู้อื่น ทำตัวเป็นเพื่อนซี้ของทุกคน ผมรู้ว่าความคิดแบบคนที่ชอบเอาใจผู้อื่นยังควบคุมผมอยู่ คอยกันไม่ให้ผมปฏิบัติความจริง ผมไม่แน่ใจว่าควรทำยังไง เลยอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “พระเจ้า โปรดทรงนำให้ข้าฯ รู้ถึงธรรมชาติอันเสื่อมทรามของตัวเอง และละทิ้งพันธนาการแห่งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานได้ด้วยเถิด”

หลังจากนั้น ผมได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่ง พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า  “เจ้าเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์อย่างไรหรือ?  สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการที่จะหยั่งรู้การนั้นจากมุมมองของทรรศนะทางโลกของมนุษย์ ทรรศนะชีวิต และค่านิยมทั้งหลาย  พวกที่เป็นมารร้ายล้วนดำรงชีวิตเพื่อตัวพวกเขาเอง  โดยหลักแล้วทรรศนะชีวิตและคำคมทั้งหลายของพวกเขามาจากคติพจน์ของซาตาน อาทิ ‘ทุกคนจงทำเพื่อตนเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารร้ายพาไปตามยถากรรม’  คำพูดสารพัดที่กล่าวโดยพวกกษัตริย์มาร พวกตัวที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย และบรรดานักปรัชญาของแผ่นดินโลกนั้นได้กลายมาเป็นชีวิตจริงของมนุษย์ไปแล้ว…ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามโดยผ่านทางการศึกษาและอิทธิพลของพวกรัฐบาลแห่งชาติกับของผู้มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่  คำพูดฝ่ายผีปีศาจของพวกเขาได้กลายเป็นชีวิตและธรรมชาติของมนุษย์ไปแล้ว  ‘ทุกคนทำเพื่อตนเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’ เป็นหนึ่งคติพจน์เยี่ยงซาตานอันเป็นที่รู้จักกันดีที่ได้ถูกปลูกฝังเข้าไปในทุกคนและที่ได้กลายเป็นชีวิตของมนุษย์ไปแล้ว  ยังมีคำพูดอื่นๆ ของปรัชญาทั้งหลายสำหรับการดำรงชีวิตที่เป็นเหมือนคติพจน์นี้อยู่อีก  ซาตานใช้วัฒนธรรมตามประเพณีของแต่ละชนชาติในการให้การศึกษาผู้คน หลอกลวงผู้คน และทำให้ผู้คนเสื่อมทราม เป็นเหตุให้มวลมนุษย์ตกลงไปและถูกกลืนกินโดยนรกขุมลึกแห่งการทำลายล้างซึ่งไร้พรมแดน และในตอนสุดท้ายแล้ว ผู้คนก็ถูกพระเจ้าทรงทำลายเพราะพวกเขารับใช้ซาตานและต้านทานพระเจ้า  ผู้คนบางคนทำหน้าที่เป็นข้าราชการในสังคมมาหลายทศวรรษ  จงจินตนาการถึงการตั้งคำถามต่อไปนี้กับพวกเขาว่า ‘พวกคุณทำงานได้ดียิ่งในหน้าที่นี้ อะไรหรือคือคติพจน์หลักซึ่งมีชื่อเสียงที่พวกคุณใช้ดำรงชีวิต?’  พวกเขาอาจกล่าวว่า ‘สิ่งเดียวที่ฉันเข้าใจก็คือ “ข้าราชการไม่โขกสับพวกที่ให้ของกำนัล และพวกที่ไม่ประจบย่อมไม่สำเร็จลุล่วงอันใดเลย”’  นี่คือปรัชญาเยี่ยงซาตานที่พวกเขาใช้เป็นพื้นฐานของอาชีพการงาน  คำพูดเหล่านี้มิได้แสดงถึงธรรมชาติของผู้คนเหล่านี้หรอกหรือ?  การใช้วิถีทางใดก็ตามอย่างขาดหลักศีลธรรมเพื่อได้มาซึ่งตำแหน่งได้กลายเป็นธรรมชาติของพวกเขา วงการข้าราชการและความสำเร็จในอาชีพการงานคือเป้าหมายของพวกเขา  ยังคงมีพิษซาตานอีกมากมายในชีวิตของผู้คน ในการประพฤติปฏิบัติและพฤติกรรมของพวกเขา  ตัวอย่างเช่น ปรัชญาทั้งหลายของพวกเขาสำหรับการดำรงชีวิต หนทางของพวกเขาในการทำสิ่งทั้งหลาย และคำคมสารพันล้วนเต็มไปด้วยสารพัดพิษของพญานาคใหญ่สีแดง และพวกมันทั้งหมดล้วนมาจากซาตาน  ด้วยเหตุนั้น ทุกสรรพสิ่งซึ่งไหลเวียนผ่านกระดูกและเลือดของผู้คนเป็นสรรพสิ่งของซาตาน(“วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  รู้ไหม พระวจนะเหล่านี้ทำให้ผมเห็นรากเหง้าของปัญหา ผมมักจะทำตัวเป็น “คนดี” เสมอ เพราะซาตานใช้สังคมและการศึกษาทางการของเรา ทำให้ผมจมจ่อมอยู่ในหลักปรัชญาของการใช้ชีวิตและความเข้าใจผิด อย่างเช่น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “ในเมื่อพูดตรงไม่เป็นที่ชอบใจ ก็จงกล่าวคำพูดเอออวยเอาใจไปกับความรู้สึกและเหตุผลของผู้อื่นเสียเถิด” และอื่นๆ คำพวกนั้น กลายเป็นหลักที่ผมใช้ประพฤติตัว ที่จริงแล้ว ตอนผมเป็นเด็ก ผมค่อนข้างทำและพูดอย่างตรงไปตรงมา เห็นอะไรก็จะพูดออกไป ถ้าผมเห็นเพื่อนร่วมชั้นถูกแกล้งที่โรงเรียน ผมก็จะลุกขึ้นปกป้องพวกเขา จนกลายเป็นเป้าที่โดนรังควานเสียเอง เวลาเห็นข้อบกพร่องส่วนตัวของญาติมิตร หรือเห็นพวกเขาทำเรื่องไม่ดี ผมก็จะพูดออกไปทันที โดยทั่วไปแล้ว พวกเขาก็จะไม่พอใจมากและหัวเสีย หรือถึงกับทำตัวเย็นชาใส่ผม ด้วยความพยายามจะทำให้สิ่งต่างๆ ราบรื่น ผมก็จะขอโทษ และขอให้พวกเขายกโทษให้ ผลของประสบการณ์พวกนี้ ทำให้ผมเริ่มรู้สึกเหมือน การจะอยู่รอดในโลกนี้ โดยแท้แล้ว การพูดตรงๆ ไม่ใช่เรื่องดี แถมจะเอาปัญหาที่ไม่จำเป็นมาให้ผม จากนั้นมา ผมเลยกลายเป็นคนกลับกลอก และหลบเลี่ยง เวลาเห็นใครทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ผมก็เอาแต่ปิดปาก เพื่อปกป้องความสัมพันธ์ของเราไว้ พอทำแบบนั้น ผมก็พบว่า ความสัมพันธ์ของผมกับผู้อื่น “ปรองดอง” ขึ้นมาก ผมเข้ากันได้กับเกือบทุกคน บางคนถึงกับยกย่องผมด้วยซ้ำ แล้วผมก็ ค่อยๆ ยอมรับหลักปรัชญาเยี่ยงซาตาน อย่างเช่น “เมื่อเจ้ารู้ว่าบางสิ่งบางอย่างผิดไป จงพูดให้น้อยลงเสียจะดีกว่า” “ความเงียบมีค่าดุจทองคำ” “ในเมื่อพูดตรงไม่เป็นที่ชอบใจ ก็จงกล่าวคำพูดเอออวยเอาใจไปกับความรู้สึกและเหตุผลของผู้อื่นเสียเถิด” และ “ผู้คนที่มีไหวพริบนั้น เก่งในการปกป้องตัวเอง ด้วยการแค่พยายามหลีกเลี่ยงปัญหาเท่านั้น” ผมเอาคำพูดในการดำเนินชีวิตพวกนี้ มาเป็นหลักในการนำพฤติกรรมของตัวเอง รู้ไหม ในโลกใบนี้ พวกคนที่ใช้คำพูดจาประจบสอพลอ คนที่พยายามดูทิศทางลมเสมอ และคนที่ตีสองหน้า จะค่อนข้างประสบความสำเร็จ พวกเขามักถูกยกย่องว่า เป็นต้นแบบของคนที่มีสติปัญญาและความฉลาดทางอารมณ์ แต่นักรายงานที่คอยพูดความจริง หรือคนที่เปิดโปงความเหลื่อมล้ำทางสังคม มักจะลงเอยแบบจบไม่สวย ดีที่สุดคือตกงาน ส่วนแย่ที่สุดคือโดนแก้แค้น และชีวิตของพวกเขาก็ถึงกับตกอยู่ในอันตราย ทั้งสังคมบูชาความคิดและการโต้แย้งเยี่ยงซาตาน ผมเลยยิ่งมั่นใจว่า การติดตามหลักปรัชญาพวกนี้ในการดำเนินชีวิตคือเรื่องจำเป็น แล้วพอ เราเชื่อและยอมรับความนอกรีตและความเข้าใจผิดเยี่ยงซาตาน รวมถึงหลักปรัชญาทางโลกพวกนี้ มุมมองในชีวิต และโลกของเราก็บิดเบี้ยวไป หลังจากได้มาเชื่อ ผมก็ได้รู้ว่าพระเจ้าประสงค์ให้เราเป็นคนซื่อสัตย์ แต่เพราะยังถูกหลักปรัชญาเยี่ยงซาตานพวกนี้ควบคุม ผมเลยยังไม่ปฏิบัติความจริงที่เข้าใจแจ่มแจ้ง บางเรื่องผมก็ไม่เต็มใจจะพูด และไม่เต็มใจค้ำจุนชีวิตคริสตจักร เวลาที่เห็นพี่ไมเคิลทำสิ่งต่างๆ ราวกับหุ่นยนต์ และยอมลดประสิทธิภาพของการชุมนุม ผมรู้ว่าพี่เจมส์กำลังดำเนินการฝ่ายเดียว และจะทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก แต่ผมกลับไม่หยุดเขา แทนที่จะช่วยเหลือเขา ผมกลับหันหลังให้การทรงให้ความรู้แจ้ง ของพระเจ้าอย่างใจร้าย จะได้ไม่ล่วงเกิน หรือทำให้เขามองผมในทางไม่ดี ผมเห็นว่า ผมใช้ชีวิตโดยหลักในการเอาตัวรอดของซาตาน กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ ปลิ้นปล้อน และคดเคี้ยวขึ้นเรื่อยๆ ผมคุ้มกันผลประโยชน์ของคริสตจักรไม่ได้เลย แถมไร้สำนึกของความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง วิธีที่ผมใช้ชีวิตช่างเลวทราม ผมอธิษฐานถึงพระเจ้า และขอพระองค์ ให้ช่วยผมเป็นอิสระจากโซ่ตรวนของซาตาน และนำพระวจนะมาปฏิบัติ เพราะมันยากเกินไปที่ผมจะทำได้ด้วยตัวเอง

พออธิษฐาน ผมก็รู้สึกสงบใจขึ้นมาก แล้วผมก็เปิดใจถึงประสบการณ์นี้กับเหล่าพี่น้อง และรู้ไหม จู่ๆ พระวจนะสองบทตอนก็ผุดขึ้นมาในใจว่า “ราชอาณาจักรของเราพึงประสงค์บรรดาผู้ที่ซื่อสัตย์ บรรดาผู้ที่ไม่หน้าซื่อใจคดหรือหลอกลวง  ผู้คนที่มีความจริงใจและซื่อสัตย์ไม่ได้เป็นที่นิยมในโลกไม่ใช่หรอกหรือ?  เรากลับตรงกันข้าม  การที่ผู้คนที่ซื่อสัตย์มาหาเราเป็นสิ่งที่ยอมรับได้  เราปีติยินดีในบุคคลประเภทนี้  และเราจำเป็นต้องมีบุคคลประเภทนี้ด้วยเช่นกัน สิ่งนี้คือความชอบธรรมของเราอย่างแน่นอน(“บทที่ 33” ของ ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  “พวกเจ้าควรที่จะรู้ว่าพระเจ้าโปรดบรรดาผู้ที่มีความซื่อสัตย์  โดยเนื้อแท้แล้ว พระเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยความสัตย์ซื่อ และดังนั้น พระวจนะของพระเจ้าสามารถเชื่อถือไว้วางใจได้เสมอ ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การกระทำของพระองค์นั้นไร้ข้อผิดและมิอาจตั้งคำถามได้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่า เหตุใดพระเจ้าจึงชอบคนจำพวกที่มีความซื่อสัตย์ต่อพระองค์โดยสมบูรณ์(“การตักเตือนสามประการ” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  รู้ไหม พระเจ้าทรงมีแก่นแท้ที่บริสุทธิ์และชอบธรรม ทุกสิ่งที่ตรัสและทรงทำนั้นไว้วางใจได้ ไม่มีอะไรที่ปนเปื้อนหลักปรัชญาเยี่ยงซาตาน สำหรับพระเจ้า ขาวคือขาวและดำคือดำ ไม่มีส่วนตรงกลาง! สิ่งนี้ทำให้ผมนึกถึงสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ คำพูดที่เกินกว่านี้มาจากความชั่ว(มัทธิว 5:37)  พระเจ้าประสงค์ให้เราเป็นคนซื่อสัตย์เสมอ และนี่คือความจริง ในโลกนี้ คนซื่อสัตย์จะไม่ยอมรับสิ่งที่เป็นของซาตานโดยดี แถมยังผ่านมันไปได้ยาก แต่นั่นย่อมไม่ใช่สิ่งที่เกิดในพระนิเวศ พระเจ้าประสงค์ให้คนที่ซื่อสัตย์ ซื่อตรง คนที่มีสำนึกความยุติธรรมนั้น กล้าหาญพอที่จะเปิดโปงความจริง และเป็นคนที่นำความจริงมาปฏิบัติได้ มีแค่พวกเขาที่พระเจ้าทรงเห็นชอบ มีแค่พวกเขาที่พระเจ้าทรงรักและยอมรับ สิ่งนี้ทำให้ผมนึกถึงเรื่องของผู้ชนะในหนังสือวิวรณ์ “และในปากของพวกเขาไม่พบความเท็จ เขาเป็นคนที่ปราศจากตำหนิ(วิวรณ์ 14:5)  จากพระวจนะ เราได้เข้าใจว่าพระเจ้าทรงรักคนที่ซื่อสัตย์ และทรงรังเกียจคนไม่ตรงไปตรงมา ปลิ้นปล้อน และรู้แต่วิธีประจบผู้อื่น สุดท้ายคนเช่นนั้นจะถูกพระเจ้าขับออกอย่างแน่นอน นี่คือความแตกต่างระหว่างโลกกับพระนิเวศของพระเจ้า ในที่สุดผมก็เข้าใจว่า ความจริงนั้นมีอำนาจเหนือทุกสิ่งในพระนิเวศ ผมเลยไม่ควรคว้าน้ำเหลวในการปฏิบัติความจริง เพราะกลัวล่วงเกินใครได้ กลับกัน ผมควรกลัวที่จะล่วงเกินพระเจ้า เพราะติดตามซาตานและไม่อาจปฏิบัติความจริง การถูกใครอีกคนปฏิเสธหรือกล่าวโทษ ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว สิ่งที่คนอื่นคิดกับผม ไม่ได้กำหนดจุดจบสุดท้ายของผม มีเพียงพระเจ้าที่ทรงกำหนดได้ เรื่องเดียวที่ผมควรสนใจ คือสิ่งที่พระเจ้าคิดกับผม และความสัมพันธ์ของผมกับพระเจ้า ไม่ใช่ความสัมพันธ์ของผมกับคนอื่นๆ ผมเคยปกป้องความสัมพันธ์กับผู้อื่นเสมอ หันหลังให้ความจริงครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ในที่สุดผมก็เข้าใจว่า สิ่งที่ผมต้องไล่ตามคือการทรงเห็นชอบของพระเจ้า รวมถึงการปฏิบัติพระวจนะ เป็นคนซื่อสัตย์ เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผยกับพี่น้องชายหญิง ที่จริง จากประสบการณ์ของพี่น้องชายหญิง เราจะเห็นได้ว่า การคอยเตือนหรือให้ผลตอบรับกับคนอื่น ไม่ได้ล่วงเกินพวกเขาอย่างที่คิด ถ้าอีกฝ่ายคือผู้แสวงหาความจริง ต่อให้มันจะทำลายความภูมิใจของพวกเขาในตอนนั้น แต่พวกเขาจะเรียนรู้บทเรียนจากการแสวงหาความจริงได้ และพี่น้องชายหญิง ก็จะสนิทกันมากยิ่งขึ้น มีแค่สิ่งนี้ ที่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลตามปกติ

รู้ไหม หลังจากนั้น ผมก็เริ่มปฏิบัติการพูดความจริงและเป็นคนซื่อสัตย์ ต่อมา ผมก็พบว่าพี่ชายชื่อทอม ไม่จัดการชุมนุมกับเหล่าผู้มาใหม่ให้จริงจัง กลับทำแบบขอไปที ผมอยากพูดเรื่องปัญหาของเขาในการสามัคคีธรรม แต่ก็เกิดรู้สึกขัดแย้งขึ้นมา ถ้าผมพูดถึงปัญหาของเขา เขาอาจคิดว่าผมคาดหวังในตัวเขามากไป และจะไม่ชอบผมอีก ผมสงสัยว่า มันจะกระทบกับปฏิสัมพันธ์ของเราหลังจากนี้ไหม พอเกิดความคิดพวกนี้ขึ้นมา ผมก็คิดย้อนถึงความล้มเหลวในอดีตทันที เลยอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้ทรงนำผมปฏิบัติความจริง วันหนึ่งหลังจากชุมนุม ผมก็ไปหาพี่ทอมและชี้ให้เขาเห็นถึงการขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ รวมถึงวิธีชุมนุมแบบลวกๆ ของเขา จากนั้น เราก็สามัคคีธรรมถึงหลักธรรมของชีวิตคริสตจักร จะได้เข้าใจน้ำพระทัยเรื่องหน้าที่ของเราได้ดีขึ้น ผมประหลาดใจกึ่งยินดี ที่นอกจากเขาจะไม่หัวเสียแล้ว เขากลับขอบคุณผมที่ช่วยให้เขาเห็นข้อเสียของตัวเอง แถมเขายังพบเส้นทางปฏิบัติด้วย ต่อมา เขาได้พูดถึงในการชุมนุมว่า “การที่เหล่าพี่น้องให้ข้อเสนอ ชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องหรือข้อผิดพลาดนั้น เป็นประโยชน์กับเรามากจริงๆ” หลังจากนั้น ผมก็สังเกตว่าเขามีความรับผิดชอบในการชุมนุมมากขึ้น ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก ผมตระหนักได้ว่า คนที่ไล่ตามความจริงอย่างแท้จริง จะไม่โกรธผมที่พูดความจริง ผมฉลาดแกมโกงเกินไป คอยคาดเดา และคิดดูถูกคนอื่นเสมอ ผมยังได้เข้าใจอย่างแท้จริงด้วยว่า การเป็นคนซื่อสัตย์ และการพูดความจริง เป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของเหล่าพี่น้อง และต่องานของพระนิเวศอย่างเหลือเชื่อ

ประสบการณ์ครั้งนั้น ช่วยให้ผมเข้าใจน้ำพระทัย และไม่กลัวว่าการเป็นคนซื่อสัตย์ จะทำให้ถูกปฏิเสธอีกต่อไป ผมรู้สึกขอบคุณการให้ความรู้แจ้งและการนำของพระวจนะ ที่ทำให้ผมเข้าใจธรรมชาติที่ฉลาดแกมโกงของตัวเอง และปัญญาแยกแยะเรื่องหลักปรัชญาของซาตานขึ้นบ้าง แถมยังเปิดตาผม ถึงแก่นแท้อันชอบธรรมและบริสุทธิ์ของพระเจ้าขึ้นบ้างด้วย ผมขอบคุณพระเจ้าจากใจ และเต็มใจที่จะแสวงหาให้เป็นคนซื่อสัตย์ที่พระเจ้าทรงรัก ไม่พยายามจะหลอกพระเจ้าหรือหลอกใครอีก! อาเมน ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

จงอย่าให้เสน่หามาบังจิตใจเรา

โดย ซิน จิ้ง, ประเทศจีน ย้อนไปมิถุนายนปี 2015 ฉันไปทำหน้าที่มัคนายกข่าวประเสริฐที่คริสตจักร ผู้หญิงชื่อหลี่เจี๋ยอยู่ในทีมให้น้ำ...

ได้รับอันตรายจากความเข้าใจผิดและความระแวดระวังของฉัน

โดย ซูสิ่ง ประเทศจีน นานมาแล้ว ผู้นำคริสตจักรของพวกเราเสียตำแหน่งของเธอไปเพราะเธอไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง...

ติดต่อเราผ่าน Messenger