การต่อสู้เพื่อเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์

วันที่ 28 เดือน 01 ปี 2021

โดย เว่ยจง ประเทศจีน

เมื่อสองสามปีก่อน ผมเปิดร้านซ่อมอุปกรณ์เครื่องใช้ ผมอยากเป็นนักธุรกิจที่มีความซื่อสัตย์ และมีรายได้นิดหน่อยเพื่อที่ครอบครัวของผมจะมีเพียงพอ แต่หลังจากใช้เวลายุ่งกับงานตลอดเวลาไปสักพัก ผมก็เห็นว่าผมทำเงินมากพอให้ครอบครัวประทังชีวิตเท่านั้น และไม่มีทางเก็บออมเงินเลย บางครั้งรายได้ต่อเดือนของผมก็น้อยยิ่งกว่าคนงานแรกเข้าเสียอีก ภรรยาบ่นกับผมเรื่องนี้เสมอ พูดว่าผมซื่อสัตย์เกินไปและไม่รู้วิธีการทำธุรกิจ พี่เขยของผมก็วิพากษ์วิจารณ์ผมเหมือนกัน เขาพูดว่า “เราอยู่ในยุคของเงิน และไม่ว่านายจะทำอย่างไร นายก็ต้องทำให้คนยื่นเงินให้ เพื่อให้คนมองว่านายมีความสามารถ” เขายังพูดเรื่องอย่าง “ไม่มีความอุดมโภคทรัพย์ใดปราศจากเล่ห์กล” และ “เงินทำให้โลกหมุนไป” เพื่อให้ผมตื่นและทำตามกระแส ทำธุรกิจเหมือนคนอื่นและไม่ดื้อรั้นให้มาก ผมคิดว่าที่พวกเขาพูดก็ถูก แต่ผมก็ไม่สามารถทำให้ตัวเองโกงลูกค้าได้ ผมรู้สึกว่าผมไม่มีทางทำให้มันลงรอยกับมโนธรรมของผมได้

ต่อมาผมสังเกตว่าคุณเฉียน เจ้าของร้านซ่อมอุปกรณ์เครื่องใช้ใกล้ร้านของผม แทบไม่มีทักษะทางเทคนิคเลย เขาสามารถซ่อมได้แค่ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่เขามีป้ายอันใหญ่แขวนอยู่หน้าร้าน เขียนว่า “การซ่อมชั้นหนึ่งสำหรับอุปกรณ์เครื่องใช้ทุกชนิด” เขาได้งานมากมายด้วยวิธีนั้น เขาจะรับงานและซ่อมเองถ้าเป็นงานง่ายๆ นอกนั้นเขาจะส่งไปร้านซ่อมแห่งอื่นแล้วหักส่วนแบ่งไว้เอง เขาทำเงินได้เยอะด้วยวิธีนั้น ครั้งหนึ่งตอนเราพูดคุยกัน เขาบอกผมว่าเขาทำเงินอย่างไร เขาพูดว่าเมื่อส่วนเล็กๆ ในอุปกรณ์เครื่องใช้เสีย คุณก็สามารถเปลี่ยนอะไหล่ทั้งหมดเพื่อเก็บเงินแพงขึ้นได้ พวกลูกค้าไม่รู้เรื่องอะไรหรอก เขาพูดว่าเราอยู่ในสังคมที่เงินเป็นใหญ่ และ “ไม่สำคัญหรอกว่าแมวจะตัวสีดำหรือขาว ตราบใดที่มันจับหนูได้” เขายังพูดด้วยว่าการสามารถทำเงินได้แปลว่าคุณมีความสามารถ ไม่อย่างนั้นก็ไม่สำคัญว่าคุณเป็นคนดีแค่ไหน คนก็จะดูถูกคุณอยู่ดี หลังจากได้ฟัง “ข้อคิดที่หลักแหลม” ของชายคนนี้ ผมก็คิดว่า “นี่เป็นยุคที่เราอาศัยอยู่ คนอื่นจะทำทุกอย่างเพื่อเงิน และความซื่อตรงนั้นไม่มีหรอก แล้วมันจะดีอย่างไรถ้าฉันเป็นคนซื่อสัตย์เพียงคนเดียว อีกอย่าง การทำธุรกิจของฉันอย่างซื่อสัตย์ไม่ได้ให้อะไรกับฉันเลย หมอนี่ซ่อมสิ่งของเหมือนฉันแต่กลับมีชีวิตที่ดี ทั้งครอบครัวของเขาอยู่ดีกินดี แต่ฉันแค่ทำเงินได้มากพอให้เราประทังชีวิตเท่านั้น ดูเหมือนว่าที่ผ่านมาฉันจะดันทุรังเกินไป ฉันควรหาทางทำเงินให้มากขึ้นเพื่อให้ครอบครัวสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้นได้” หลังจากนั้น ผมก็เริ่มเรียนรู้จาก “ความสำเร็จ” ของเพื่อนร่วมงาน และใช้วิธีทุจริตเพื่อโกงลูกค้าของผม ผมรู้สึกไม่สบายใจ แต่ผมก็ไม่คิดมากเพื่อที่ผมจะได้ทำเงินมากขึ้น

วันหนึ่งมีลูกค้าเอาของมาให้ซ่อม ในขณะที่ผมถอดชิ้นส่วนที่ผิดปกติออกมา ผมก็ลงมือเอาส่วนที่เป็นปกติดีออกมาสองสามชิ้นด้วย เธอจะได้คิดว่ามีส่วนที่เสียหายมากขึ้น และเธอจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเมื่อผมคิดเงินเธอแพงขึ้น คำโบราณที่ว่า “มีความผิดพอๆ กับโจร” นั้นจริงมาก ตอนแรกผมประหม่ามากจนใจเต้นโครมคราม กลัวเธอจะมองออกแล้วจับผมได้คาหนังคาเขา นั่นคงจะน่าอับอายมาก แต่ผมก็ตีสีหน้าเรียบเฉยแล้วเปลี่ยนอะไหล่พวกนั้น พอถึงเวลาจ่ายเงิน ผมก็คิดเงินเธอมากกว่าราคาที่ตั้งไว้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์อย่างหน้าด้านๆ ผมก้มหน้าก้มตาตลอดเวลา ไม่กล้าสบตาเธอ แต่ผมก็แปลกใจเมื่อเธอจ่ายโดยไม่พูดอะไรเลย ในที่สุดผมก็ถอนหายใจโล่งอกหลังจากเธอกลับไป ใบหน้ากับแผ่นหลังของผมชุ่มไปด้วยเหงื่อ และผมรู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ แต่พอผมเห็นเงินที่ผมได้เพิ่มขึ้น ความรู้สึกนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว

ตั้งแต่นั้นผมก็เริ่มคิดถึงเล่ห์กลทุกรูปแบบเพื่อคิดเงินลูกค้าแพงขึ้น ตอนแรกผมก็รู้สึกผิดอยู่ในมโนธรรม แต่ผมก็ให้กำลังใจตัวเองอย่างเงียบๆ เพื่อให้ได้เงินเพิ่มขึ้นต่อไป “ฉันจะอ่อนเกินไปไม่ได้ ‘ความใจเล็กไม่สร้างสัตบุรุษฉันใด คนจริงก็ย่อมไม่ไร้พิษสงฉันนั้น’ ฉันต้องฉลาดถ้าอยากได้เงินมากขึ้น อีกอย่าง ใครๆ เขาก็ทำกันไม่ใช่แค่ฉัน” ผ่านไปสักพักความรู้สึกผิดก็จางหายไป และผมก็เริ่มเชี่ยวชาญและเจนจัดมากขึ้นใน “ทักษะ” ทำเงินของผม ผมยังเรียนรู้วิธีอ่านผู้คนและโยนหินถามทางก่อน ปฏิบัติต่อแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผมเรียนรู้เล่ห์กลมากขึ้น เมื่อลูกค้ากระเป๋าหนักเข้ามา ผมจะเอาใจพวกเขา พูดสิ่งที่พวกเขาอยากได้ยินและยกยอพวกเขา ผมจะได้คิดเงินพวกเขาแพงๆ ได้ง่ายขึ้น เมื่อผมมีลูกค้าที่วิตกกังวลมากๆ ผมก็แสร้งทำว่าการซ่อมแซมนั้นยากและซับซ้อนมาก แล้วก็จงใจใช้เวลามากขึ้น แบบนั้นพวกเขาจะเสนอเงินให้ผมมากขึ้น ลูกค้าบางคนมีไหวพริบมากกว่า ผมก็จะคิดหาเหตุผลให้พวกเขาทิ้งอุปกรณ์เครื่องใช้เอาไว้แล้วมารับในวันถัดไป แล้วพอพวกเขากลับมาผมจะบอกว่าเจอปัญหาอื่นๆ ด้วย ผมทำเงินได้มากขึ้น และผมไม่ประหม่ามากนักตอนผมอยู่คนเดียว และดังนั้น ผมใช้สมองตลอดเวลาเพื่อคิดเงินลูกค้าแพงๆ ผมทำเงินได้มากขึ้นเยอะและใช้ชีวิตที่สุขสบายขึ้น แต่ในใจผมไม่รู้สึกมีความสุขหรือเบิกบานเลย แต่กลับเป็นว่าทุกครั้งที่ผมคิดถึงสิ่งเลวทรามและไร้จริยธรรมที่ผมทำ ผมจะรู้สึกกลัวและไม่สบายใจ บางครั้งผมคิดว่า “ฉันควรหยุดซะ ฉันไม่ควรทำเรื่องเลวๆ แบบนี้อีกต่อไป อย่างที่พูดกันว่า ‘ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด’ ฉันทำอะไรก็ได้อย่างนั้น” แต่พอผมคิดถึงเงินสดทั้งหมดในมือ ผมก็ตัดสินใจเลิกทำไม่ได้

เหมือนผมร่วงหล่นลงไปในความต่ำทรามและด้านชามากขึ้น น้องสาวของผมแบ่งปันข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับผม หลังจากยอมรับพระราชกิจของพระเจ้า ผมก็เริ่มร่วมชุมนุมกับพี่น้องชายหญิงและอ่านพระวจนะของพระเจ้าเป็นประจำ ผมอ่านพระวจนะนี้จากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง “มนุษย์ได้เดินผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ไปด้วยกันกับพระเจ้า แต่กระนั้นเขาไม่รู้หรอกว่า พระเจ้าทรงปกครองชะตากรรมของทุกสรรพสิ่งและบรรดาสิ่งที่มีชีวิตทั้งมวล ทั้งยังไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงและกำกับทุกสรรพสิ่งอย่างไร สิ่งนี้ได้คลาดแคล้วไปจากมนุษย์ตั้งแต่ครั้งโบราณกาลจวบจนปัจจุบัน สำหรับเหตุผลนั้น ไม่ใช่เป็นเพราะกิจการทั้งหลายของพระเจ้านั้นซ่อนเร้นเกินไป และไม่ใช่เป็นเพราะแผนการของพระเจ้ายังไม่ถูกทำให้เป็นจริง แต่เป็นเพราะหัวใจและจิตวิญญาณของมนุษย์นั้นอยู่ห่างไกลจากพระเจ้าเกินไป จนถึงจุดที่มนุษย์ยังคงอยู่ภายใต้การรับใช้ซาตานแม้ในขณะที่เขาติดตามพระเจ้าอยู่—และยังคงไม่รู้ตัว ไม่มีใครแสวงหาย่างพระบาทของพระเจ้าและการทรงปรากฏของพระองค์อย่างจริงจัง และไม่มีใครเต็มใจที่จะอยู่ในการดูแลและการปกปักรักษาของพระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับปรารถนาที่จะพึ่งพาการกร่อนทำลายของซาตาน ตัวมารร้าย เพื่อจะปรับตัวให้เข้ากับพิภพนี้ และเพื่อให้เข้ากับกฎเกณฑ์ของการดำรงอยู่ที่มวลมนุษย์ผู้เลวร้ายพากันติดตาม ณ จุดนี้ หัวใจและจิตวิญญาณของมนุษย์ได้กลายเป็นเครื่องบรรณาการแด่ซาตาน และกลายเป็นของกินของซาตานไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หัวใจและจิตวิญญาณของมนุษย์ได้กลายเป็นที่พักอาศัยของซาตานและเป็นสนามเด็กเล่นอันเหมาะเจาะของมัน นั่นทำให้ มนุษย์สูญเสียความเข้าใจของเขาที่มีต่อหลักการแห่งการเป็นมนุษย์ รวมถึงคุณค่าและความหมายของการดำรงอยู่เยี่ยงมนุษย์ไปโดยไม่รู้ตัว ธรรมบัญญัติของพระเจ้าและพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ค่อยๆ เลือนหายไปในหัวใจของมนุษย์ เขาจึงเลิกแสวงหาหรือใส่ใจฟังเสียงของพระเจ้า เมื่อเวลาผ่านไป มนุษย์ไม่เข้าใจอีกต่อไปแล้วว่าทำไมพระเจ้าจึงทรงสร้างพวกเขาขึ้นมา ทั้งยังไม่เข้าใจพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า รวมถึงทุกสิ่งที่มาจากพระองค์ มนุษย์เริ่มปฏิเสธธรรมบัญญัติและกฤษฎีกาของพระเจ้า และหัวใจและจิตวิญญาณของเขาจึงตายด้าน…พระเจ้าได้สูญเสียมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างมาแต่เดิม และมนุษย์ก็ได้สูญเสียรากที่เขาเคยมีแต่เดิม: นี่คือโทมนัสของเผ่าพันธุ์มนุษย์นี้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์) พระวจนะของพระเจ้าสะท้อนความเป็นจริง แม้ว่าผมจะทำเงินได้เยอะในโลกนี้ และความสุขสบายทางกายก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ในใจผมกลับว่างเปล่าและเจ็บปวด และทั้งหมดนั้นเป็นเพราะผมเหินห่างจากพระเจ้า เป็นปรปักษ์ต่อพระประสงค์สำหรับมนุษย์ของพระองค์ และใช้ชีวิตตามกฎเกณฑ์ของซาตานเพื่ออยู่รอด ตอนแรกที่ผมเปิดร้าน ผมทำเงินด้วยมโนธรรมที่ชัดเจน และแม้ว่าผมจะทำเงินได้ไม่มาก แต่ใจผมก็สงบ แต่แล้วผมก็ได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อม เมื่อเห็นคนอื่นร่ำรวยขึ้นด้วยวิธีทุจริต ผมยังเริ่มซึมซับ “ไม่มีความอุดมโภคทรัพย์ใดปราศจากเล่ห์กล” “เงินทำให้โลกหมุนไป” และ “เงินไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ถ้าไม่มีเงิน ก็จะทำอะไรไม่ได้” และกฎเพื่อการอยู่รอดข้ออื่นๆ จากซาตานด้วยเช่นกัน ผมทำตามครรลองที่ชั่วร้ายและละทิ้งหลักปฏิบัติพื้นฐานของตัวเองเพื่อทำเงิน เพิกเฉยต่อมโนธรรมของตัวเองเพื่อหลอกลูกค้าให้จ่ายเงินมากขึ้นอย่างไม่เต็มใจ เงินอยู่ในมือผม แต่ทั้งหมดได้มาอย่างทุจริต เมื่อไรก็ตามที่ผมคิดถึงสิ่งเลวทราม ไร้ศีลธรรมพวกนั้นที่ผมทำ ผมก็รู้สึกแย่กับตัวเองและไม่สามารถหาสันติสุขได้ ผมใช้ชีวิตในความกลัวถึงวันที่จะมีคนเปิดโปงผม วันที่ผมถูกประณาม อย่างเลวร้ายที่สุด ผมอาจจะถูกแจ้งตำรวจจับด้วยซ้ำ ผมหวาดหวั่นตลอดเวลา มันเป็นวิธีใช้ชีวิตที่เจ็บปวด แต่วันนั้นผมก็เข้าใจว่าทั้งหมดเป็นเพราะผมกำลังใช้ชีวิตตามปรัชญาแบบซาตาน มันเป็นผลที่ตามมาจากการถูกผูกมัดและหลอกลวงโดยกฎเกณฑ์ของซาตาน หากปราศจากการทรงนำจากพระวจนะของพระเจ้า ผมก็คงไม่มีวันได้เห็นความเป็นจริงว่าซาตานกำลังทำร้ายผมอย่างไร

แล้วน้องสาวคนหนึ่งก็อ่านสองสามบทตอนจากพระวจนะของพระเจ้าให้ผมฟัง “พวกเจ้าควรที่จะรู้ว่าพระเจ้าโปรดบรรดาผู้ที่มีความซื่อสัตย์ โดยเนื้อแท้แล้ว พระเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยความสัตย์ซื่อ และดังนั้น พระวจนะของพระเจ้าสามารถเชื่อถือไว้วางใจได้เสมอ ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การกระทำของพระองค์นั้นไร้ข้อผิดและมิอาจตั้งคำถามได้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่า เหตุใดพระเจ้าจึงชอบคนจำพวกที่มีความซื่อสัตย์ต่อพระองค์โดยสมบูรณ์ ความซื่อสัตย์หมายถึงการมอบหัวใจของเจ้าให้แก่พระเจ้า จริงแท้ต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง เปิดกว้างต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง ไม่เคยซ่อนเร้นข้อเท็จจริง ไม่พยายามหลอกลวงบรรดาผู้ที่อยู่สูงกว่าและต่ำกว่าเจ้า และไม่ทำสิ่งต่างๆเพื่อหวังประจบประแจงให้พระเจ้าทรงโปรดปราน กล่าวสั้นๆก็คือ การมีความซื่อสัตย์คือการปราศจากราคีในการกระทำและคำพูดทั้งหลาย และการไม่หลอกลวงทั้งพระเจ้าและมนุษย์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตักเตือนสามประการ)ราชอาณาจักรของเราพึงประสงค์บรรดาผู้ที่ซื่อสัตย์ บรรดาผู้ที่ไม่หน้าซื่อใจคดหรือหลอกลวง ผู้คนที่มีความจริงใจและซื่อสัตย์ไม่ได้เป็นที่นิยมในโลกไม่ใช่หรอกหรือ? เรากลับตรงกันข้าม การที่ผู้คนที่ซื่อสัตย์มาหาเราเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ เราปีติยินดีในบุคคลประเภทนี้ และเราจำเป็นต้องมีบุคคลประเภทนี้ด้วยเช่นกัน สิ่งนี้คือความชอบธรรมของเราอย่างแน่นอน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 33) แล้วเธอก็แบ่งปันการสามัคคีธรรมนี้ “แก่นแท้ของพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ พระองค์โปรดและประทานพระพรให้แก่บรรดาผู้ที่เป็นคนซื่อสัตย์ ในการรับมือกับคนอื่นของเราในโลกนี้ เราใช้ชีวิตตามกฎของซาตาน ‘อย่ากระดิกแม้แต่นิ้วเดียวหากไม่ได้รางวัล’ คำพูดและการกระทำของเราทั้งหมดก็เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และเราโกหกและหลอกลวงโดยไม่รู้สึกสำนึกผิด เราไม่รู้ว่าการเป็นคนดีหมายถึงอะไร” “แต่ความเชื่อในพระเจ้าแตกต่างไปในปัจจุบัน พระองค์มีพระประสงค์ให้เราเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ เพื่อบอกความจริง และเป็นคนที่มีความซื่อตรง พระองค์ทรงร้องขอให้เรายอมรับการทรงตรวจสอบอย่างละเอียดของพระองค์ในทุกคำพูดและการกระทำของเรา ให้เราเปิดเผยและตรงไปตรงมา และไม่พยายามหลอกลวงหรือโกงพระเจ้าหรือมนุษย์ มีเพียงคนที่มีความซื่อสัตย์เท่านั้นที่มีลักษณะของมนุษย์ที่แท้จริง และพวกเขาเท่านั้นที่สามารถเป็นพยานและถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าได้” ผมเรียนรู้จากพระวจนะของพระเจ้าว่าพระองค์โปรดคนที่มีความซื่อสัตย์ และผมต้องกระทำตัวตามข้อกำหนดของพระองค์ ผมเริ่มฝึกพูดอย่างซื่อตรงกับพี่น้องชายหญิง และไม่หลอกลวงพวกเขา แต่ผมก็ยังกังวลเวลาทำธุรกิจ ผมรู้สึกว่าการปฏิบัติตัวเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์กับพี่น้องชายหญิงนั้นง่ายกว่า แต่ถ้าผมทำแบบนั้นในธุรกิจของผม ผมจะได้เงินน้อยลงมาก จนถึงขนาดต้องปิดร้านก็ได้ แต่ถ้าผมยังโกงและหลอกลวงคนเหมือนก่อนต่อไป นั่นจะไม่ค้านกับน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือ แล้วผมควรจะปฏิบัติอย่างไร ผมคิดเป็นเวลานานจนพบทางประนีประนอม ผมจะเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ที่คริสตจักร แต่ผมจะทำธุรกิจในร้านของผมแบบเดิมต่อไป

วันหนึ่งชายสูงอายุคนหนึ่งนำโทรทัศน์มา บอกว่าภาพดูหม่นๆ ไป ผมตรวจดูแล้วเห็นหลอดสีเริ่มเก่าและต้องเปลี่ยนใหม่ แต่ผมไม่บอกความจริง ผมแค่เพิ่มขดลวดแรงดันไฟฟ้า เพื่อให้เขาสามารถใช้มันได้นานขึ้นอีกนิด แล้วพอปัญหาเดิมเกิดขึ้นมาอีกผมค่อยเปลี่ยนใหม่ แบบนั้นผมจะได้เงินค่าซ่อมเพิ่ม 30 หยวน สองสัปดาห์ต่อมา โทรทัศน์นั่นก็มีปัญหาจริงๆ และชายคนนั้นก็ขอให้ผมซ่อมให้อีกครั้ง โดยบอกว่าผมซ่อมไว้ไม่ดี ผมบอกเขาว่าหลอดสีเก่าแล้วและต้องเปลี่ยนใหม่ แล้วผมก็แปลกใจเมื่อเขามองเล่ห์กลเล็กๆ ของผมออก เขาไม่จ่ายค่าซ่อม 30 หยวนนั่นแล้วพูดอย่างตำหนิติเตียน “พ่อหนุ่ม การทำธุรกิจต้องมีความซื่อสัตย์นะ อย่าโลภมากเกินไป!” ตอนนั้นผมรู้สึกอับอายมากแต่ก็ปัดมันทิ้งไปโดยไม่เก็บไปคิด ต่อมาหญิงสูงอายุคนหนึ่งก็นำไมโครเวฟเสียเข้ามา และผมก็พบอะไหล่เล็กๆ ในนั้นเสียหาย ผมคำนวณแล้วว่าสามารถซ่อมได้แล้วเก็บค่าซ่อมที่สมเหตุสมผล แต่แล้วผมก็คิดว่าเธอกระเป๋าหนักน่าดู ดังนั้นคิดเงินเธอเพิ่มอีกหน่อยไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย น้ำขึ้นให้รีบตักนี่นา แต่เธอกลับมาที่ร้านในไม่กี่วันต่อมาและพูดว่า “คุณคิดค่าซ่อมไมโครเวฟเครื่องนั้นมากเกินควร มีมโนธรรมหน่อย สวรรค์เห็นสิ่งที่เราทำนะ!” ผมรู้สึกแย่มากหลังจากถูกเธอว่ากล่าว แล้วผมก็คิดถึงสิ่งที่ชายคนนั้นพูดอีกครั้ง ผมรู้สึกเสียใจมากทีเดียว ผมยังตระหนักด้วยว่าพระเจ้ากำลังทรงใช้สิ่งรอบตัวเพื่อเตือนผม เพื่อที่ผมจะได้ทบทวนและรู้จักตัวเอง

หลังจากนั้น ผมก็อ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้า “โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่เจ้ากำลังทำว่าเป็นเรื่องใหญ่หรือเล็ก และไม่ว่าเจ้ากำลังทำไปเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงในครอบครัวของพระเจ้าหรือไม่ หรือเพื่อเหตุผลส่วนบุคคลของเจ้าเอง เจ้าต้องพิจารณาว่าสิ่งที่เจ้ากำลังทำคล้อยตามน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ รวมทั้งเป็นบางสิ่งที่บุคคลหนึ่งควรทำกับสภาวะความเป็นมนุษย์หรือไม่ หากเจ้าแสวงหาความจริงในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำแบบนั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นบุคคลหนึ่งที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง หากเจ้าปฏิบัติต่อทุกเรื่องและทุกความจริงในหนทางนี้อย่างเปี่ยมศรัทธา เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมีความสามารถที่จะสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า ผู้คนบางคนคิดว่าเมื่อพวกเขากำลังทำบางสิ่งที่เป็นการส่วนตัว พวกเขาก็สามารถเพิกเฉยความจริงได้ ทำไปตามใจปรารถนาได้ และทำด้วยหนทางใดก็ตามที่ทำให้พวกเขามีความสุขและในลักษณะใดก็ตามที่ทำให้พวกเขาได้เปรียบ พวกเขาไม่ให้การพิจารณาแม้แต่น้อยว่านั่นอาจส่งผลกระทบต่อครอบครัวของพระเจ้าอย่างไร อีกทั้งพวกเขาไม่พิจารณาว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำเหมาะสมกับความประพฤติของวิสุทธิชนหรือไม่ ในที่สุด เมื่อพวกเขาเสร็จสิ้นเรื่องดังกล่าวแล้ว พวกเขาก็มืดมนภายในมากขึ้นและรู้สึกลำบากใจ แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด นี่มิใช่การลงทัณฑ์อันสมควรหรอกหรือ? หากเจ้าทำสิ่งทั้งหลายที่ไม่ได้รับการรับรองจากพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ได้ล่วงเกินพระเจ้าแล้ว หากใครบางคนไม่รักความจริง และทำสิ่งทั้งหลายบนพื้นฐานของเจตจำนงของตนเองเป็นนิจศีล เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะล่วงเกินพระเจ้าเป็นนิจศีล โดยทั่วไปผู้คนเช่นนี้ไม่ได้รับการรับรองในสิ่งที่พวกเขาทำโดยพระเจ้า และหากว่าพวกเขาไม่กลับใจ เช่นนั้นแล้วการลงโทษก็จะอยู่ไม่ไกลเลย(“การแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าเป็นไปเพื่อประโยชน์ของการปฏิบัติความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)ธรรมชาติของซาตานนี่เองที่กำกับดูแลและครอบงำผู้คนจากภายในจนกว่าพวกเขานั้นได้มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและได้รับความจริงแล้ว สิ่งใดหรือที่ธรรมชาตินั้นพ่วงท้ายมาด้วยเป็นพิเศษ? ตัวอย่างเช่น เหตุใดพวกเจ้าจึงเห็นแก่ตัว? เหตุใดพวกเจ้าจึงปกป้องตำแหน่งของตัวเจ้าเอง? เหตุใดพวกเจ้าจึงมีภาวะอารมณ์รุนแรงเช่นนั้น? เหตุใดพวกเจ้าจึงชื่นชมสิ่งที่ไม่ชอบธรรมเหล่านั้น? เหตุใดพวกเจ้าจึงชอบคนชั่วพวกนั้น? อะไรคือพื้นฐานของความชื่นชอบของพวกเจ้าที่มีต่อสิ่งทั้งหลายดังกล่าว? สิ่งเหล่านี้มาจากไหน? เหตุใดพวกเจ้าจึงมีความสุขยิ่งนักที่จะยอมรับสิ่งเหล่านี้ ถึงตอนนี้ พวกเจ้าล้วนได้มาเข้าใจว่า เหตุผลหลักเบื้องหลังสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดก็คือว่า พิษของซาตานอยู่ภายในตัวพวกเจ้า สำหรับสิ่งที่พิษของซาตานเป็นนั้น มันสามารถแสดงออกมาอย่างครบถ้วนด้วยคำพูด ตัวอย่างเช่น หากพวกเจ้าถามพวกคนทำชั่วว่าเหตุใดพวกเขาจึงปฏิบัติตนในหนทางที่พวกเขาทำ พวกเขาก็จะตอบว่า‘เพราะมนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’ วลีเดียวนี้แสดงถึงรากเหง้าที่แท้จริงของปัญหา ตรรกะของซาตานได้กลายมาเป็นชีวิตของผู้คนไปแล้ว พวกเขาอาจทำสิ่งทั้งหลายเพื่อจุดประสงค์นี้นั้น แต่พวกเขาก็แค่กำลังทำมันเพื่อตัวพวกเขาเอง ทุกคนคิดว่าในเมื่อ มันเป็นว่ามนุษย์ทุกคนทำเพื่อตนเองและมารก็เอาตัวคนรั้งท้ายไป ผู้คนก็ควรดำรงชีวิตเพื่อประโยชน์ของตัวพวกเขาเอง และทำทุกสิ่งทุกอย่างในอำนาจของพวกเขาเพื่อที่จะรักษาความปลอดภัยให้กับสถานภาพที่ดีเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของอาหารและเครื่องนุ่งห่มอันวิจิตร ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’—นี่คือชีวิตและปรัชญาของมนุษย์ และมันยังเป็นตัวแทนธรรมชาติของมนุษย์อีกด้วย คำพูดเหล่านี้ของซาตานเป็นพิษของซาตานอย่างแน่แท้ และเมื่อผู้คนรับมันไว้ภายใน มันจึงกลายเป็นธรรมชาติของพวกเขา ธรรมชาติของซาตานนั้นถูกเปิดโปงโดยผ่านทางคำพูดเหล่านี้ คำพูดเหล่านี้เป็นตัวแทนซาตานอย่างครบบริบูรณ์ พิษนี้กลายเป็นชีวิตของผู้คนเช่นเดียวกับเป็นรากฐานแห่งการดำรงอยู่ของพวกเขา และมนุษยชาติซึ่งถูกทำให้เสื่อมทรามก็ได้ถูกครอบงำโดยพิษนี้เป็นเวลาหลายพันปี(“วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) อ่านบทตอนนี้ ผมสามารถเห็นได้จริงๆ ว่าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงเห็นทุกอย่าง ผมไม่เคยแบ่งปันความรู้สึกลึกๆ กับใครเลย แต่มันกลับถูกเปิดเผยโดยสมบูรณ์ในพระวจนะของพระเจ้า ผมเข้าใจจากพระวจะของพระเจ้าว่าพระองค์มีพระประสงค์ให้เราถวายหัวใจของเราแด่พระองค์ ไม่ว่าเรากำลังทำหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้าหรือจัดการการงานของเราเอง เราก็ต้องปฏิบัติพระวจนะของพระองค์ แต่ผมกลับเลือกปฏิบัติความจริงในชีวิตของผม ผมเห็นพระเจ้าและพี่น้องชายหญิงชอบ เมื่อนำการเป็นคนซื่อสัตย์มาปฏิบัติในคริสตจักร ดังนั้นผมจึงเต็มใจทำแบบนั้น แต่ในธุรกิจของผม ผมคิดว่าผมจะเสียเงินและมันไม่ส่งผลดีต่อผลประโยชน์ของผม ผมจึงไม่ได้ทำ ผมเห็นว่าผมคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น ผมรู้ว่าการเป็นคนหลอกลวงนั้นไม่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่ผมก็ยังทำอะไรก็ตามที่ผมต้องการ อะไรก็ตามที่จะสนองผลประโยชน์ของผมเอง แบบนั้นจะเป็นคนที่มีความเชื่อได้อย่างไร มันทำให้ผมรู้แจ้งจริงๆ ว่า “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” และ “มนุษย์จะทำทุกอย่างเพื่อที่จะมั่งคั่ง” เป็นกฎเกณฑ์เพื่ออยู่รอดแบบซาตานที่จับผมไว้และกลายเป็นธรรมชาติของผม ผมคิดว่าผมคงไม่สามารถประทังชีวิตได้ถ้าไม่ใช้ชีวิตตามกฎพวกนี้ แต่ในความเป็นจริง ด้วยการใช้ชีวิตแบบนั้น ผมแค่ได้ผลประโยชน์ส่วนตัวบางอย่างและความเพลิดเพลินทางวัตถุ แต่มันเป็นหนทางใช้ชีวิตที่เลวทราม โดยไม่มีความมีเกียรติอะไรก็ตามทั้งสิ้น ผู้คนแค้นเคืองและรังเกียจผม แล้วพระเจ้าก็ทรงชิงชังและทรงเกลียดผมยิ่งกว่า ผมนึกถึงสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าพวกท่านไม่กลับใจและเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ก็จะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย(มัทธิว 18:3) และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “จงขีดฆ่าแนวคิดและการคำนวณเหล่านั้นของพวกเจ้าออกไปทั้งหมดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ และเริ่มปฏิบัติต่อข้อพึงประสงค์ของเราอย่างจริงจัง หาไม่แล้ว เราจะแปรทุกคนไปเป็นขี้เถ้าเพื่อให้งานของเราสิ้นสุดลงและถ้ามองในแง่เลวร้ายที่สุดก็คือ แปรช่วงเวลาหลายปีของงานและการทนทุกข์ของเราไปเป็นการไม่มีอะไรเลย เพราะเราไม่สามารถนำพาศัตรูทั้งหลายของเราและผู้คนเหล่านั้นที่เหม็นคลุ้งไปด้วยความชั่วและมีรูปลักษณ์ของซาตานเข้าสู่อาณาจักรของเราหรือพาพวกเขาเข้าไปสู่ยุคถัดไปได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฝ่าฝืนจะนำทางมนุษย์ไปสู่นรก) พระเจ้าทรงบริสุทธิ์และทรงชอบธรรม และพระองค์ทรงต้องการได้รับคนที่มีความซื่อสัตย์ พวกคนที่โกหกและหลอกลวงเสมอ พวกที่มีอุปนิสัยแบบซาตาน ซึ่งต่อต้านพระเจ้าโดยธรรมชาติและไม่ยอมกลับใจ จะถูกพระเจ้าทรงทำลาย พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ ถ้าผมยังไม่กลับใจ แต่ยังใช้ชีวิตตามปรัชญาและกฎเกณฑ์แบบซาตานต่อไป เป็นคนทุจริตและทำความผิด สุดท้ายผมจะถูกกำจัด พอคิดแบบนั้น ผมก็รีบอธิษฐานต่อพระเจ้า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! ข้าพระองค์เชื่อในพระองค์ แต่พระองค์ไม่ได้ทรงมีที่ในหัวใจของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยังใช้ชีวิตตามกฎเกณฑ์ของซาตาน ข้าพระองค์ไม่อยากเป็นคนหลอกลวงอีกต่อไป ข้าพระองค์ต้องการกลับใจและเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์”

ครั้งหนึ่งหลังจากนั้น คู่หนุ่มสาวยกโทรทัศน์มาซ่อมที่ร้านของผม ตอนที่ผมกำลังซ่อมอยู่ ก็บังเอิญได้ยินพวกเขากระซิบคุยกันอยู่ข้างนอกว่า “เราคงไม่เสียเวลาไปสองวันถ้าเรารู้ว่าที่นั่นไม่ได้เรื่อง ดูซิว่าคนนี้จะซ่อมได้ไหม” ได้ยินแบบนี้ ผมก็คิดว่า “ถ้าเจ้าของร้านคนอื่นได้ยินเข้า คงเชือดนิ่มๆ แน่ ฉันสามารถคิดเงินเพิ่ม 20 หรือ 30 หยวนได้สบายๆ คงน่าเสียดายที่จะไม่ฟันเงินหมูในอวยแบบนี้ ไว้ค่อยเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ครั้งหน้าก็ได้ พระเจ้าคงไม่ทรงคิดเล็กคิดน้อยเพราะฉันไม่ปฏิบัติความจริงแค่ครั้งเดียวหรอก” แต่แล้วผมก็จำสิ่งที่ผมตกลงใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ และผมก็คิดถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “หากใครบางคนไม่รักความจริง และทำสิ่งทั้งหลายบนพื้นฐานของเจตจำนงของตนเองเป็นนิจศีล เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะล่วงเกินพระเจ้าเป็นนิจศีล โดยทั่วไปผู้คนเช่นนี้ไม่ได้รับการรับรองในสิ่งที่พวกเขาทำโดยพระเจ้า และหากว่าพวกเขาไม่กลับใจ เช่นนั้นแล้วการลงโทษก็จะอยู่ไม่ไกลเลย(“การแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าเป็นไปเพื่อประโยชน์ของการปฏิบัติความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ผมรู้สึกว่านั่นคือพระเจ้าทรงตักเตือนผม ผมไม่สามารถเจตนาทำผิดต่อไปได้ ผมต้องกลับใจและเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ และดังนั้น พอซ่อมเสร็จผมก็เก็บเงินตามราคาปกติ เมื่อผมเห็นรอยยิ้มมีความสุขบนใบหน้าของลูกค้า ผมรู้สึกว่าการเป็นคนเปิดเผยและตรงไปตรงมาเป็นหนทางใช้ชีวิตที่เป็นอิสระจริงๆ

อีกครั้งหนึ่งตอนผมซ่อมโทรทัศน์ของคุณผู้หญิงคนหนึ่ง ค่าซ่อมคือ 50 หยวน แต่เธอให้ผม 100 หยวนโดยไม่ต้องทอน ผมปฏิเสธ แต่ผมก็รู้สึกงุนงง ทำไมเธอถึงใจกว้างแบบนี้ แล้วเธอก็บอกผมว่า “คนแรกที่ฉันไปหา บอกว่าแผงวงจรหลักเสียแล้ว และต้องการค่าเปลี่ยน 400 หยวน แต่ฉันไม่ตกลง หลังจากนั้นคนรู้จักก็แนะนำคุณให้ฉัน บอกว่าคุณเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์และจะไม่คิดเงินลูกค้าเกินราคา ตอนนี้ฉันเห็นแล้วว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ” พอได้ยินเธอพูดแบบนี้ ผมก็คิดว่า “ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนดีอะไรเลย แต่เป็นพระวจนะของพระเจ้าที่เปลี่ยนแปลงผมเพื่อให้ผมใช้ชีวิตตามลักษณะของมนุษย์ต่างหาก”

มุมมองของผมต่อสิ่งต่างๆ ก็เปลี่ยนไปด้วย จากการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและปฏิบัติตัวเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ ผมเคยคิดว่าไม่มีทางเป็นนักธุรกิจที่มีความซื่อสัตย์ได้ คิดว่าไม่สามารถทำเงินได้ คิดว่ากิจการจะขาดทุนและต้องปิดตัวลง แต่หลังจากผมเริ่มเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ตามพระวจนะของพระเจ้า ไม่เพียงกิจการของผมไม่ขาดทุนเท่านั้น แต่นับวันลูกค้าก็ยิ่งเพิ่มขึ้น บางคนถึงขนาดมาจากที่ห่างไกลมาก ทุกคนพูดว่ามีคนอื่นแนะนำมาทั้งนั้น ผมไม่เคยโฆษณาอะไร หรือขอให้คนอื่นส่งลูกค้ามาให้ผม ทั้งหมดเป็นเพราะผมปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้า เพราะผมซื่อสัตย์และมีความซื่อตรงตามพระประสงค์ของพระเจ้า ได้เงินมาอย่างสุจริตเท่านั้น ผมได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากลูกค้า มันเป็นพระพรของพระเจ้าจากการปฏิบัติความจริงจริงๆ นี่ทำให้ผมคิดถึงอีกบทตอนหนึ่งจากพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เมื่อผู้คนใช้ชีวิตในโลกนี้ภายใต้อิทธิพลแห่งความเสื่อมทรามของซาตาน ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะซื่อสัตย์ พวกเขาสามารถเพียงกลายเป็นหลอกลวงมากขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น อย่างไรก็ตาม พวกเราสามารถหรือไม่สามารถดำรงอยู่ในโลกนี้กันแน่หากพวกเรากลายเป็นซื่อสัตย์? พวกเราจะถูกผู้อื่นลดความสำคัญหรือไม่? ไม่หรอก พวกเราจะใช้ชีวิตอย่างเมื่อก่อน นี่เป็นเพราะพวกเราไม่พึ่งพาการเล่นไม่ซื่อเพื่อที่จะกินหรือหายใจ ตรงกันข้าม พวกเรามีชีวิตอยู่ด้วยลมหายใจและชีวิตที่พระเจ้าประทาน เพียงแต่ว่าพวกเราได้ยอมรับความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าและมีกฎเกณฑ์ใหม่เกี่ยวกับวิธีใช้ชีวิตและมีเป้าหมายชีวิตใหม่ๆ ซึ่งจะนำทางไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในรากฐานแห่งชีวิตของพวกเราเท่านั้นเอง เพียงแต่ว่าพวกเรากำลังเปลี่ยนแปลงวิถีทางและวิธีการที่พวกเราใช้ชีวิต เพื่อให้พวกเราสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยและสามารถแสวงหาความรอดเท่านั้นเอง การนี้ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องโดยสิ้นเชิงกับสิ่งที่พวกเรากินทางกายภาพ สิ่งที่พวกเราสวมใส่ หรือที่ที่พวกเราใช้ชีวิต แต่เป็นความจำเป็นทางจิตวิญญาณของพวกเราต่างหาก(“การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ขอบคุณพระเจ้า!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ฉันเปลี่ยนแปลงวิถีที่แสนภาคภูมิอย่างไร?

เมื่อก่อน ผมมักคิดว่าตัวเองเป็นคนฉลาดมาก คิดว่าผมทำทุกอย่างได้ โดยไม่ต้องให้ใครมาช่วย ทั้งเวลาอยู่ที่โรงเรียน และที่บ้าน เวลาใครถามอะไร...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger