ผมแก้ไขความฉลาดแกมโกงและเล่ห์ลวงของตนอย่างไร

วันที่ 31 เดือน 10 ปี 2024

โดย แฟรงก์, ประเทศฟิลิปปินส์

ผมคิดเสมอว่า ตัวผมเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์คนหนึ่ง  ผมคิดว่าผมไว้วางใจได้ในคำพูดและความประพฤติ และผู้คนที่รู้จักผม ต่างก็พูดถึงผมแบบนั้นเหมือนกัน  ผมรู้สึกเหมือนผมเป็นผู้ชายที่ซื่อสัตย์ พึ่งได้  หลังที่ผมได้รับความเชื่อ ผมแทบไม่เคยโกหกพี่น้องชายหญิง หรือจงใจหลอกลวงใครเลย  ดังนั้นผมจึงเชื่อเสมอว่า ถึงแม้ผมไม่ใช่บุคคลที่ซื่อสัตย์โดยสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ใช่บุคคลที่ฉลาดแกมโกงและมีเล่ห์ลวง  และแล้วต่อมา ผมก็ได้รับความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติที่ฉลาดแกมโกงของผม รวมทั้งได้เห็นหน้าตาที่แท้จริงของตัวเองผ่านทางสิ่งที่ข้อเท็จจริงเผยให้เห็น

มาวันหนึ่ง พี่น้องหญิงแอชลีย์ที่เป็นคู่ทำงานของผมได้ส่งข้อความมาถามผมว่าได้ติดตามผลของงานชิ้นหนึ่งหรือเปล่า  ผมจึงรู้ตัวขึ้นมาตอนนั้นเองว่าผมไม่ได้ตามแกะรอยงานชิ้นนั้นเลยในช่วงระยะหลังมานี้ ผมจึงไม่รู้รายละเอียดของความคืบหน้าใดเลย  ตอนแรกทีเดียวนั้น ผมคิดจะตอบเธอไปแบบนั้น แต่แล้วก็ลังเลว่า “ผมได้ให้ภาพประทับใจไว้ว่าเป็นคนที่พึ่งพาได้เสมอ ดังนั้นหากผมบอกไปตามตรงว่า ระยะหลังมานี่ ผมลืมติดตามผลสิ่งต่างๆ เธอย่อมจะคิดว่าผมไม่รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองใช่ไหม?  ผมย่อมจะทิ้งภาพประทับใจที่เป็นลบและจะหมดความน่าเชื่อถือในสายตาเธอ  ไม่นะ ผมตอบเธอไปตามตรงไม่ได้  ผมจะรีบไปหาพี่น้องหญิงที่เป็นคนบริหารจัดการโครงการนั้น เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ แล้วค่อยมาตอบแอชลีย์  จากนั้นก็ไม่สำคัญว่าสิ่งต่างๆ กำลังคืบหน้าไปอย่างไร อย่างน้อยนั่นก็จะแสดงว่า ผมควบคุมสิ่งต่างๆ ได้”  ผมจึงทำเป็นไม่เห็นข้อความที่ส่งมา แล้วหลังจากที่ผมติดตามผลเรียบร้อยแล้วจึงค่อยตอบไป  ตอนนั้นแอชลีย์ไม่ได้พูดอะไร แต่ผมก็ยังเก็บรู้สึกวิตกกังวลและไม่สบายใจไว้ตลอด  แล้วผมก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ความซื่อสัตย์หมายถึงการมอบหัวใจของเจ้าให้แก่พระเจ้า จริงแท้ต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง เปิดกว้างต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง ไม่เคยซ่อนเร้นข้อเท็จจริง ไม่พยายามหลอกลวงบรรดาผู้ที่อยู่สูงกว่าและต่ำกว่าเจ้า และไม่ทำสิ่งต่างๆ เพียงเพื่อหวังประจบประแจงให้พระเจ้าทรงโปรดปราน  กล่าวสั้นๆก็คือ การมีความซื่อสัตย์คือการปราศจากราคีในการกระทำและคำพูดทั้งหลาย และการไม่หลอกลวงทั้งพระเจ้าและมนุษย์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตักเตือนสามประการ)  พระวจนะของพระเจ้าทำให้ผมละอายใจ  มันไม่ได้ดูเหมือนว่าผมได้โกหกไป แต่สิ่งที่ผมเปิดเผยผ่านกระบวนการคิด และวัตถุประสงค์ในการกระทำของผมก็คือเพื่อปิดบังและซ่อนเร้นความละเลยในหน้าที่ของตัวเอง กลัวว่าแอชลีย์จะมองผมทะลุปรุโปร่ง  ในตอนที่ผมทำทีไม่เห็นข้อความของเธอ แล้วรีบไปหาพี่น้องหญิงที่เป็นคนควบคุมดูแลเพื่อทำความเข้าใจกับสถานการณ์ก่อนที่จะตอบ เพื่อให้พี่น้องหญิงหลี่ได้แนวคิดที่เข้าใจผิดไปว่า ผมได้ติดตามงานนั้น ไม่ใช่ว่าผมกำลังสร้างสรรค์ความประทับใจเทียมเท็จและกำลังหลอกลวงอยู่หรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่พฤติกรรมที่ฉลาดแกมโกงและหลอกลวงหรอกหรือ?  ในประเด็นปัญหาเล็กๆ แค่นี้ กระบวนการคิดของผมยังซับซ้อนขนาดนี้ และผมก็ได้เก็บงำความตั้งใจและนำชั้นเชิงมาใช้เพื่อซ่อนความจริง  นั่นเป็นการซื่อสัตย์ได้อย่างไร?  นั่นเป็นการพึ่งได้ได้อย่างไร?  พอตระหนักตรงนี้ ผมก็ได้เห็นว่าผมไม่ได้ซื่อสัตย์และจริงใจอย่างที่ผมคิดว่าตัวเองเป็น และได้เห็นว่าบางครั้งผมเล่นเล่ห์และหลอกลวงผู้อื่น  คราวหน้าผมจำเป็นต้องพูดความจริงและเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ และไม่เก็บซ่อนสิ่งต่างๆ เอาไว้หลอกลวงผู้อื่นอีกต่อไป

ผ่านไปแค่ไม่กี่วัน แอชลีย์ก็บอกให้ผมรู้ว่า ภายในสองวันนี้ ผู้นำของเราจะเข้ามาตรวจงาน  พอได้ยินเรื่องนี้ หัวใจผมก็เต้นตูมตามว่า “ปกติแล้ว ผู้นำจะไม่มาหาเราแบบปุบปับ แล้วทำไมเธอจึงมาหาเราเวลานี้?  เธอค้นพบว่างานของเรามีปัญหาหรือเปล่า?  ระยะหลังมานี้ ผมมัวยุ่งอยู่กับงานให้น้ำ และไม่ได้ติดตามผลหรือสัมฤทธิ์ผลมากนักในการผลิตวิดีโอที่ผมบริหารจัดการอยู่  หากผู้นำถามเรื่องนั้น ผมควรตอบว่าอย่างไรดี?”  ดังนั้น ผมจึงเดาว่าเธอน่าจะถามคำถามอะไร และอะไรที่ผมยังไม่ทันได้รู้ ผมจะได้รีบหาคำตอบให้ได้โดยเร็ว  ไม่อย่างนั้น หากเธอมีคำถามในสิ่งที่ผมตอบไม่ได้ ก็จะดูเหมือนผมไม่ได้กำลังทำงานที่สัมพันธ์กับความจริง  ผมจึงค่อนข้างกังวลและร้อนใจ  หลังจากที่คิดอยู่สักพัก ผมก็ตระหนักว่า เป็นธรรมดาสำหรับผู้นำคนหนึ่งที่จะมาตรวจงาน—ทำไมผมจึงคิดอะไรเลยเถิด?  ผมไม่เพียงกำลังคาดเดาสิ่งที่ผู้นำต้องการเท่านั้น แต่กำลังเค้นสมองว่าจะปิดบังประเด็นปัญหาของผมอย่างไร กลัวเธอจะเห็นปัญหาของผม และตัดแต่งผมสำหรับการที่ไม่ได้ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และพูดว่าผมเป็นผู้นำเทียมเท็จ  ไม่ใช่ว่าผมกำลังพยายามปลอมแปลงตนอยู่หรอกหรือ?  เป็นธรรมดามากที่ผู้นำจะถามเรื่องงาน  ผมควรเผชิญหน้าอย่างใจเย็น และทำการเปลี่ยนแปลงหากพบว่ามีปัญหา  เหตุใดผมจึงคิดเลยเถิดไปได้มากมายนัก?  ไม่ใช่ว่าผมกำลังฉลาดแกมโกงหรอกหรือ?  ผมนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เรามีความพอใจในบรรดาผู้ที่ไม่ระแวงผู้อื่น และเราชอบบรรดาผู้ที่ยอมรับความจริงอย่างไม่ลังเล เราแสดงความใส่ใจอย่างมากต่อผู้คนสองประเภทนี้ ด้วยเหตุที่ในสายตาของเราพวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, วิธีรู้จักพระเจ้าบนแผ่นดินโลก)  และองค์พระเยซูเจ้าก็ตรัสว่า “จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ คำพูดที่เกินกว่านี้มาจากความชั่ว(มัทธิว 5:37)  พระวจนะของพระเจ้าช่างชัดเจน  ผู้คนที่ซื่อสัตย์ควรพูดจาแบบตรงๆ พวกเขาควรพูดอย่างซื่อตรงเปิดเผย แต่ความคิดของผมนั้นพันพัวซับซ้อน  ผมต้องการปิดบังความจริง ผมจึงเกิดความคิดลดเลี้ยวขึ้นมา  ดังนั้นผมจึงได้อธิษฐานต่อพระเจ้า โดยขอให้พระองค์ทรงนำให้ผมปฏิบัติความจริงและซื่อสัตย์ และตรงไปตรงมาอย่างสมบูรณ์ โดยไม่สำคัญว่าผู้นำถามอะไรมา

ในการนัดพบของเรา ผู้นำถามถึงงานผลิตวิดีโอเป็นอันดับแรก งานนี้เป็นความรับผิดชอบของผมโดยตรง แต่ผมกลับใช้พลังงานและเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับงานให้น้ำ  ผมไม่ได้คอยติดตามงานวิดีโอมากเท่าใดนัก  หลังจากที่ผมอธิบายไปแบบนี้ เธอก็ตัดแต่งผมสำหรับการที่ผมไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง แล้วจากนั้นก็ถามว่า ผู้เชื่อใหม่ที่ไม่เข้าร่วมการชุมนุมเป็นประจำนั้นมีกี่คน  ผมค่อนข้างตกใจกับคำถามนั้น ผมไม่ได้คอยติดตามรายละเอียดในเรื่องนั้นเลย และผมก็ถามถึงเรื่องนั้นเป็นบางครั้ง แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไร  ผมจึงคิดว่า “ผมเพิ่งพูดไปว่า พลังงานส่วนใหญ่ของผมอุทิศให้งานให้น้ำ แล้วถ้าผมบอกผู้นำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามีผู้เชื่อใหม่กี่คนที่ไม่เข้าร่วมการชุมนุมเป็นประจำสม่ำเสมอ เธอจะคิดกับผมยังไง?  เธออาจจะถามว่าวันทั้งวันผมมัวทำอะไรอยู่ จนไม่รู้แม้แต่เรื่องนั้น และอาจถามว่า ตามที่เป็นจริงนั้น ผมทำงานที่สัมพันธ์กับความจริงบ้างไหม  ประเด็นปัญหามากมายถูกเปิดโปงออกมาในงานวิดีโอ หากเธอพบปัญหาในงานให้น้ำอีก เธอก็แค่จะปลดผมออกทันทีทันใดเลยหรือเปล่า?” ตอนนั้นผมก็เลยแค่บอกตัวเลขไปโดยประมาณ โดยคิดไปว่า ถึงตัวเลขจะคลาดเคลื่อนไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่  ถึงอย่างไร ก็ไม่ใช่ตัวเลขนั้นพอดี ฉะนั้นมันก็ไม่ใช่คำโกหกหรอก  หลังการชุมนุมของเรา ผมก็ได้ไปตรวจสอบดูรายละเอียดของเรื่องนั้น และก็กลับกลายเป็นว่า การประเมินของผมนั้นห่างไกลไปมาก  ผมกังวลใจจริงๆ เมื่อเห็นแบบนั้น  ครั้งนี้ผมได้พูดโกหกแบบหน้าด้านๆ จริงๆ  ผมช่างหลอกลวงอย่างเหิมเกริมนัก  ทำไมผมจึงห้ามตัวเองไม่ให้โกหกและหลอกลวงไม่ได้นะ?  ในการอธิษฐานนั้น ชัดเจนว่า ผมมีความเชื่อในการมีความสัตย์ซื่อ  เหตุใดเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้ ผมจึงห้ามตัวเองไม่ได้?  ผมรู้สึกแย่มากกับเรื่องนั้น  เป็นเวลาสองวันที่คำว่า “เล่ห์ลวง” คอยผุดขึ้นมาในหัวผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ผมรู้สึกเหมือนตัวเองได้ทำบางสิ่งที่เสื่อมเสียลงไปจริงๆ

ผมได้อธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อแสวงหาเกี่ยวกับปัญหาของผม  ในขณะที่กำลังทบทวนตนเอง ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “สำหรับผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงแล้ว ชีวิตย่อมเหนื่อยยากมิใช่หรือ?  พวกเขาใช้เวลาให้หมดไปกับการพูดปด จากนั้นก็พูดเรื่องโกหกมากขึ้นเพื่อปกปิดเรื่องโกหก และมีการใช้เล่ห์เหลี่ยม  พวกเขาคือคนที่ทำให้ตัวเองเหนื่อยยากเช่นนี้  พวกเขารู้ว่าการใช้ชีวิตเช่นนี้เหนื่อยยาก—แล้วทำไมพวกเขาถึงอยากจะใช้เล่ห์ลวงอยู่ดี ไม่อยากซื่อสัตย์?  พวกเจ้าเคยคิดถามเช่นนี้บ้างหรือไม่?  นี่คือผลจากการที่ผู้คนถูกธรรมชาติเยี่ยงซาตานของตนหลอกเอา มันหยุดยั้งพวกเขาไม่ให้ขจัดชีวิตเช่นนี้ อุปนิสัยแบบนี้ไปจากตัว  ผู้คนเต็มใจที่จะยอมรับการถูกหลอกแบบนี้และการใช้ชีวิตเช่นนี้ พวกเขาไม่อยากปฏิบัติความจริงและเดินบนเส้นทางที่สว่าง  เจ้าคิดว่าการใช้ชีวิตเช่นนี้เหนื่อยยากและการทำเช่นนี้ก็ไม่จำเป็น—แต่ผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงกลับคิดว่านี่จำเป็นอย่างยิ่ง  พวกเขาคิดว่าการไม่ทำเช่นนี้ย่อมจะทำให้พวกเขาถูกเหยียดหยาม ทำร้ายภาพลักษณ์ ความมีหน้ามีตา และผลประโยชน์ของพวกเขาด้วย และพวกเขาก็จะสูญเสียมากเกินไป  พวกเขาเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ล้ำค่า ชื่นชูว่าภาพลักษณ์ ความมีหน้ามีตา และสถานะของตนนั้นล้ำค่า  นี่คือโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้คนที่ไม่รักความจริง  สรุปแล้ว เมื่อผู้คนไม่เต็มใจที่จะซื่อสัตย์หรือปฏิบัติความจริง ย่อมเป็นเพราะพวกเขาไม่รักความจริง  หัวใจของพวกเขาชื่นชูสิ่งต่างๆ เช่น ความมีหน้ามีตาและสถานะว่าล้ำค่า พวกเขาชอบทำตามกระแสนิยมทางโลก และใช้ชีวิตอยู่ภายใต้พลังอำนาจของซาตาน  นี่คือปัญหาเกี่ยวกับธรรมชาติของพวกเขา  ตอนนี้มีผู้คนที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปี ฟังคำเทศนาไปก็มาก และรู้ว่าการเชื่อในพระเจ้าหมายถึงอะไรบ้าง  แต่พวกเขาก็ไม่ปฏิบัติความจริงอยู่ดี และไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย—เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เพราะพวกเขาไม่รักความจริง  ต่อให้พวกเขาพอจะเข้าใจความจริงบ้าง พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้อยู่ดี  สำหรับผู้คนแบบนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้ามากี่ปี ก็ย่อมจะสูญเปล่า(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นรากฐานสำคัญที่สุดของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์)  “ผู้คนบางคนไม่เคยพูดความจริงกับผู้ใด  พวกเขาตรึกตรองและขัดเขลาทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาก่อนที่จะพูดกับผู้คน  เจ้าไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งใดที่พวกเขาพูดนั้นจริงและสิ่งใดเท็จ  พวกเขาพูดสิ่งหนึ่งในวันนี้และอีกสิ่งหนึ่งในวันพรุ่ง พวกเขาพูดสิ่งหนึ่งกับคนหนึ่ง และสิ่งอื่นกับอีกคนหนึ่ง  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาพูดล้วนย้อนแย้ง  จะเชื่อผู้คนเหล่านี้ได้อย่างไร?  เป็นการยากมากที่จะจับความเข้าใจในข้อเท็จจริงได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และเจ้าจะไม่สามารถได้รับคำพูดที่ถูกต้องจากพวกเขา  นี่คืออุปนิสัยใด?  นี่คือความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง  อุปนิสัยเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเปลี่ยนแปลงง่ายหรือไม่?  มันเปลี่ยนแปลงยากที่สุด  สิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยทั้งหลายย่อมเกี่ยวพันกับธรรมชาติของผู้คน และไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงได้ยากเท่าสิ่งที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติของคนเรา  คำกล่าวที่ว่า ‘เสือดาวเปลี่ยนแปลงลายของมันไม่ได้’  นั้นจริงแท้แน่นอนที่สุด!  ไม่ว่าพวกเขากำลังพูดหรือทำสิ่งใด ผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงย่อมเก็บงำจุดมุ่งหมายและเจตนาของตนเองไว้เสมอ  หากพวกเขาไม่มีจุดมุ่งหมายหรือเจตนา พวกเขาก็จะไม่พูดสิ่งใด  หากเจ้าพยายามทำความเข้าใจว่าจุดมุ่งหมายและเจตนาของพวกเขาคือสิ่งใด พวกเขาก็จะปิดปากเงียบ  หากพวกเขาเผลอหลุดบางสิ่งที่แท้จริงออกมา พวกเขาก็จะพยายามขบคิดหาหนทางบิดเบือนสิ่งนั้นเพื่อทำให้เจ้าสับสน และยับยั้งเจ้าจากการรู้ความจริง  ไม่ว่าผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงกำลังทำสิ่งใด พวกเขาย่อมจะไม่ปล่อยให้ใครรู้ความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับสิ่งนั้น  ไม่ว่าผู้คนใช้เวลากับพวกเขามากเพียงใด ก็ไม่มีใครรู้ว่าที่จริงแล้วในจิตใจของพวกเขามีสิ่งใดเกิดขึ้น  นั่นคือธรรมชาติของผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง  ไม่ว่าบุคคลซึ่งเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงพูดมากมายเพียงใด ผู้อื่นก็จะไม่มีวันรู้ว่าเจตนาของพวกเขาคืออะไร ที่จริงแล้วพวกเขาคิดอะไรอยู่ หรือพวกเขากำลังพยายามทำสิ่งใดให้ลุล่วงกันแน่  แม้แต่บิดามารดาของพวกเขาก็มีช่วงเวลาอันยากลำบากที่จะรู้ถึงสิ่งนี้  การพยายามทำความเข้าใจผู้คนซึ่งเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงนั้นยากเย็นแสนเข็ญ ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่ามีสิ่งใดอยู่ในจิตใจของพวกเขา  นี่คือวิธีที่ผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงพูดและปฏิบัติตน พวกเขาไม่มีวันพูดสิ่งที่อยู่ในจิตใจหรือถ่ายทอดสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงๆ  นี่คืออุปนิสัยชนิดหนึ่งมิใช่หรือ?  เมื่อเจ้ามีอุปนิสัยอันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ไม่สำคัญว่าเจ้าพูดหรือทำสิ่งใด—อุปนิสัยนี้ย่อมมีอยู่ในตัวเจ้าเสมอ ควบคุมเจ้า ทำให้เจ้าเล่นเกมและมีส่วนร่วมในการวางอุบาย ล้อเล่นกับความรู้สึกของผู้คน ปิดบังความจริง และเสแสร้งแกล้งทำ  นี่คือความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงการรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหกประเภทเท่านั้นที่เป็นการรู้จักตนเองอย่างแท้จริง)  พระวจนะของพระเจ้าทำให้ผมเห็นว่า ผมอดไม่ได้ที่จะโกหกและหลอกลวง และปิดบังความจริง เพราะผมเจ้าเล่ห์และมองเห็นหน้าตากับสถานะของตัวเองเป็นสมบัติล้ำค่า  เพื่อที่จะปกป้องสิ่งเหล่านั้น ผมจะคิดทบทวนซ้ำๆ ในสิ่งที่ผมต้องการจะพูด คิดวนซ้ำอยู่ในหัวโดยไม่สำคัญว่านั่นจะน่าเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ผมก็ไม่ต้องการเถรตรง  ผมคิดถึงการที่ผมอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงช่วยให้ผมเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ แต่พอผู้นำถามถึงงานจริงๆ ที่ผมจับความเข้าใจไม่ได้ ผมก็กลับคิดว่า ถ้าผมบอกไปตามตรงว่าผมไม่รู้ เธอก็จะคิดว่าตลอดมานั้นผมไม่ได้ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและเชื่อถือไม่ได้ และอย่างแย่สุดก็คือ เธออาจจะปลดผมออกก็ได้  เพื่อปกป้องสถานะของตัวเอง ผมจึงไม่ต้องการให้ผู้นำเห็นปัญหาหรือการเบี่ยงเบนในหน้าที่ ดังนั้น ผมจึงคิดหาหนทางในการปิดบังความจริง  ผมไม่รู้จริงๆ ว่ามีผู้เชื่อใหม่กี่คนที่ไม่ได้มาชุมนุมเป็นประจำ แต่ผมก็ฉลาดแกมโกงกุตัวเลขขึ้นมาคร่าวๆ เพื่อที่ผู้นำจะได้คิดว่าผมเข้าใจทุกแง่มุมของงานเป็นอย่างดี และสามารถทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้บ้าง  ผมได้เห็นว่า ผมเต็มใจจะเล่นเล่ห์และมีเล่ห์ลวงเกี่ยวกับบางสิ่งที่เรียบง่ายเหลือเกินอย่างการปกป้องชื่อและสถานะ  นั่นช่างฉลาดแกมโกงเหลือเกิน!  ในข้อเท็จจริงนั้น การมีปัญหาหรือการเบี่ยงเบนในขณะที่คนเรากำลังทำหน้าที่นั้นไม่ใช่เรื่องผิดปกติ  ตราบที่สิ่งต่างๆ ได้รับการกลับลำทันท่วงทีหลังจากที่ถูกค้นพบ ก็ย่อมไม่เป็นไร  ไม่มีความจำเป็นอันใดเลยที่จะต้องปิดบังหรือมีเล่ห์ลวง แต่พอผมพยายามที่จะปกป้องชื่อเสียงและสถานะของตัวเอง ผมจึงไม่ซื่อสัตย์และมีเล่ห์ลวง รวมทั้งปิดบังปัญหาของผม อันเป็นการพลีบุคลิกลักษณะและศักดิ์ศรีของผมทิ้งไป  นี่ไม่โง่เขลาหรอกหรือ?  นี่ทำให้ผมตระหนักว่า แม้ภายนอกผมดูซื่อสัตย์ ผมก็ไม่ได้ซื่อสัตย์ในคำพูดและความประพฤติ หรือมีความคิดที่เรียบง่าย  สิ่งที่ผมได้เผยให้เห็นก็คืออุปนิสัยเยี่ยงซาตานทั้งสิ้น  ผมฉลาดแกมโกง มีเล่ห์ลวงและเสื่อมเสีย  ผมกลับกลอก โสมม และเสื่อมทรามอย่างแท้จริง  ผมถึงกับขยะแขยงตัวเอง แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงขยะแขยงผมได้อย่างไร?  ผมเคยคิดอยู่เสมอว่าตัวผมเป็นบุคคลที่สัตย์ซื่อคนหนึ่งซึ่งแทบไม่เคยมีเล่ห์ลวง  ทั้งผมก็ยังไม่เคยทำสิ่งใดเลยที่หลอกลวงหรือทำงานสวนทางกับพระเจ้าอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผย ผมจึงรู้สึกเหมือนว่า พระองค์คงจะทรงมองว่าผมเป็นคนดีและซื่อสัตย์  ผมถึงกับคิดว่าผมไม่จำเป็นต้องทำการปฏิบัติความจริงของการเป็นคนซื่อสัตย์ แต่ผมสามารถทำหน้าที่และติดตามพระเจ้าในหนทางนั้นต่อไปได้ และถึงที่สุดแล้ว ผมก็คงจะได้รับการช่วยให้รอด  ผมช่างไม่มีความรู้อะไรเลยเกี่ยวกับตัวเอง  หากไม่ได้เป็นเพราะความเป็นจริงที่แสดงให้เห็นถึงข้อเท็จจริง และเพราะการพิพากษาและการเปิดโปงแห่งพระวจนะของพระเจ้า ผมก็คงไม่ได้เข้าใจตัวเองเลย  ในที่สุดผมก็ได้เห็น ว่าผมยังอยู่ไกลโขจากการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์  ผมไม่แม้แต่จะใกล้เคียงเลยด้วยซ้ำ

หลังจากนั้น ผมก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า  “เมื่อพวกศัตรูของพระคริสต์ถูกเปิดโปงและตัดแต่ง สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือมองหาเหตุผลต่างๆ นานาเพื่อแก้ตัว มองหาข้ออ้างทุกชนิดเพื่อพยายามให้ตนเองพ้นผิด เพื่อสำเร็จลุล่วงเป้าหมายของพวกเขาในอันที่จะละเลยความรับผิดชอบของตน และสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของพวกเขาในอันที่จะได้รับการอภัยด้วยประการฉะนี้  สิ่งที่พวกศัตรูของพระคริสต์เกรงกลัวที่สุดคือการที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรรู้ทันลักษณะนิสัยของพวกเขา เห็นจุดอ่อนและข้อเสียของพวกเขา เห็นจุดตาย ขีดความสามารถที่แท้จริง และฝีมือในการทำงานของพวกเขา—ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามสร้างภาพเพื่อปกปิดข้อบกพร่อง ประเด็นปัญหา และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนอย่างสุดความสามารถ  เมื่อการทำชั่วของพวกเขาถูกค้นพบและเปิดโปง สิ่งแรกที่พวกเขาทำไม่ใช่การสารภาพหรือยอมรับข้อเท็จจริงนี้ หรือชดเชยและชดใช้ความผิดเหล่านั้นอย่างสุดความสามารถของตน พวกเขากลับพยายามคิดหาหนทางที่จะใช้ปิดความผิดเหล่านั้นให้มิด ตบตาและทำให้ผู้ที่รู้เห็นการกระทำของพวกเขานั้นประหลาดใจสับสน ไม่ให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเรื่องนี้ ไม่ให้พวกเขารู้ว่าการกระทำของตนมีผลเสียเพียงใดต่อพระนิเวศของพระเจ้า การกระทำเหล่านั้นรบกวนและทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงักไปมากเพียงใดแล้ว  แน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขากลัวมากที่สุดคือการที่เบื้องบนมารู้เข้า เพราะทันทีที่เบื้องบนรู้ พวกเขาก็จะถูกจัดการตามหลักธรรม และพวกเขาย่อมจะจบสิ้น ไม่แคล้วถูกปลดและถูกกำจัดออกไป  ดังนั้นเมื่อการทำชั่วของศัตรูพระคริสต์ถูกเปิดโปง สิ่งแรกที่พวกเขาทำจึงไม่ใช่การคิดทบทวนว่าพวกเขาทำผิดตรงไหน พวกเขาละเมิดหลักธรรมเรื่องใด เหตุใดพวกเขาจึงทำสิ่งที่พวกเขาทำ พวกเขาถูกอุปนิสัยใดกำกับเอาไว้ เจตนาของพวกเขาคืออะไร สภาวะของพวกเขาเป็นเช่นไรในเวลานั้น ทั้งหมดเป็นเพราะความดื้อรั้นหรือเป็นเพราะเจตนาของพวกเขามีสิ่งปลอมปน  แทนที่จะชำแหละสิ่งเหล่านี้ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการคิดทบทวนสิ่งเหล่านี้ พวกเขากลับเค้นสมองคิดหาหนทางมาปกปิดข้อเท็จจริง  ขณะเดียวกันพวกเขาก็อธิบายและสร้างความชอบธรรมให้ตนเองต่อหน้าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างสุดความสามารถ เพื่อตบตาคนเหล่านั้น ทำให้ปัญหาใหญ่ดูเป็นปัญหาเล็กน้อย ส่วนปัญหาที่เล็กน้อยก็ดูเหมือนไม่เป็นปัญหาเลย พูดจาหลอกล่อเพื่อหาทางออกจากปัญหา พวกเขาจะได้สามารถคงอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าต่อไป  บุ่มบ่ามประพฤติผิดและใช้อำนาจในทางที่ผิด สามารถชักพาให้ผู้คนหลงผิดและควบคุมผู้คนต่อไป ทำให้ผู้คนยกย่องตนและทำตามที่ตนพูด เพื่อสนองความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของพวกเขา(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สิบเอ็ด)  พระวจนะของพระเจ้าปลุกเตือนผมให้ตื่นขึ้นมาจริงๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนอ่านคำว่า “พวกศัตรูของพระคริสต์” “พยายามคิดถึงหนทางที่จะปิดความผิดเหล่านั้นให้มิด” “ตบตา” และ “ทำให้ประหลาดใจสับสน” ผมรู้สึกเหมือนพระวจนะกำลังพิพากษาและเปิดโปงผมต่อหน้าต่อตาผม  ผมคิดถึงตอนที่แอชลีย์ถามว่าผมได้ติดตามผลโครงการนั้นหรือเปล่า และผมไม่ได้ยอมรับในทันทีว่าไม่ได้ตาม หรือแม้แต่จะถือโอกาสเหมาะในการทบทวนตนเอง และแสวงหาวิธีที่จะกลับตัวจากความเบี่ยงเบนของตัวเอง  ผมแสร้งทำเป็นไม่เห็นข้อความของเธอ แล้วรีบไปหาคำตอบแล้วค่อยมาตอบ  แบบนั้นแอชลีย์ก็จะไม่รู้ว่าผมไม่ได้คอยติดตามโครงการนั้น หรือไม่ได้รับภาระและไม่มีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง  เธอจะได้คิดว่าผมพึ่งพาได้ เป็นใครบางคนที่ไว้วางใจได้  และแล้วเมื่อผู้นำคนนั้นมาตรวจงานผม พบความเบี่ยงเบนและปัญหาบางอย่างในหน้าที่ของผม และตัดแต่งผม ผมไม่เพียงไม่ยอมรับการนั้นหรือทบทวนตนเองโดยการยอมรับรู้ว่า ผมไม่ได้ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง รวมทั้งเลินเล่อและขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ แต่ผมยังโกหก และมีเล่ห์ลวงและปิดบังความจริง  ผมถึงกับบอกตัวเองว่า “ในภายภาคหน้า ผมจำเป็นต้องทำงานให้หนักขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่า ผมจะสามารถตอบคำถามใดๆ ก็ตามของผู้นำได้อย่างรวดเร็ว แล้วเธอก็จะไม่พบข้อผิดพลาดหรือข้อตกหล่นในงานของผม แต่จะคิดว่าผมใส่ใจในรายละเอียดและมีความรับผิดชอบ”  ผมกรำสมองอย่างหนักเพื่อปกป้องชื่อและสถานะ กลัวแทบขาดใจว่าผู้คนจะรู้ทัน แล้วผมก็จะสูญเสียภาพลักษณ์ที่ดีในฐานะที่ “มีมโนธรรม รับผิดชอบ หนักแน่นและพึ่งพาได้”  เป้าหมายของผมก็คือการให้ผู้อื่นเห็นคุณค่าและยกย่องผมไม่ใช่หรือ?  ผมได้เห็นว่าอุปนิสัยของตัวเองที่ถูกเปิดเผยออกมานั้นเป็นอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์อย่างแท้จริง  เวลาที่ศัตรูของพระคริสต์ถูกตัดแต่งหรือเปิดโปง พวกเขาไม่นบนอบและทบทวนตนเอง แต่พวกเขากลับทำทุกทางที่จะหาเหตุผลข้ออ้างให้ตัวเอง ปัดความรับผิดชอบ และซ่อนปัญหาของตน  พวกเขาหน้าไม่อายโดยสิ้นเชิง  พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่แสดงให้เห็นความอยากที่จะยอมรับความจริงสักนิด มีก็แต่เพียงเล่ห์กระเท่ห์ในคำพูดและการกระทำของพวกเขาในหนทางที่เป็นการปกป้องสถานะและชื่อของตน  ผมก็ทำตัวแบบนั้นไม่ใช่หรือ?  ผมไม่ได้กำลังทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง หรืออุทิศตนเพื่อหน้าที่ของผม ผมจึงควรรู้สึกผิดและเป็นหนี้  แต่ผมไม่เพียงไม่รู้สึกรู้สา ผมยังพยายามที่สุดอย่างต่อเนื่องที่จะปิดบังและกำบังตัวเอง  ผมหลอกลวงและฉลาดแกมโกง น่าดูหมิ่นและชั่วอย่างแท้จริง  ผมรู้สึกเหมือนถูกตีแผ่ เปิดโปงให้คนเห็นกันทั่วอย่างหมดเปลือก และรู้สึกว่าการกระทำของผมถูกพระเจ้าทรงพิพากษาและกล่าวโทษ  ผมยังสำนึกได้ด้วยว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรมและไม่ยอมทนต่อการล่วงเกิน และผมก็รู้สึกกลัวจนตัวสั่นเทิ้มขึ้นมา  ผมรู้ว่า ผมจำเป็นต้องกลับใจและทำการเปลี่ยนแปลงโดยทันที

แล้วผมก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติมว่า “เฉพาะเมื่อผู้คนพยายามซื่อสัตย์เท่านั้น พวกเขาจึงสามารถรู้ว่าพวกเขาเสื่อมทรามลึกเพียงใด พวกเขามีสภาพเสมือนมนุษย์อย่างแท้จริงบ้างหรือไม่ และประเมินตนเองได้อย่างชัดเจนหรือมองเห็นข้อบกพร่องของตนเองอย่างชัดเจนหรือไม่  มีเพียงเมื่อพวกเขากำลังปฏิบัติความซื่อสัตย์เท่านั้น พวกเขาจึงสามารถกลายเป็นตระหนักรู้ว่าพวกเขาพูดโกหกกี่ครั้งและความหลอกลวงและความไม่ซื่อสัตย์ของพวกเขาซ่อนเร้นอยู่ลึกเพียงใด  ในขณะที่กำลังมีประสบการณ์ของการปฏิบัติการเป็นคนซื่อสัตย์เท่านั้น ผู้คนจึงสามารถค่อยๆ มารู้จักความจริงของความเสื่อมทรามของพวกเขาเอง และรู้ถึงแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาเอง และเมื่อนั้นเท่านั้นที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์อยู่เนืองนิตย์  เฉพาะในระหว่างที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขากำลังถูกชำระให้บริสุทธิ์อยู่เนืองนิตย์เท่านั้นที่ผู้คนจะมีความสามารถที่จะได้รับความจริง  จงใช้เวลาของพวกเจ้าตามสบายในการมีประสบการณ์กับพระวจนะเหล่านี้  พระเจ้าไม่ทรงทำให้พวกที่หลอกลวงมีความเพียบพร้อม  หากหัวใจของเจ้าไม่ซื่อสัตย์—หากเจ้าไม่ใช่บุคคลที่ซื่อสัตย์—เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็จะไม่ทรงรับเจ้าไว้  ในทำนองเดียวกัน เจ้าจะไม่ได้รับความจริง และจะไม่สามารถได้รับพระเจ้าอีกด้วย  การที่เจ้าไม่ได้รับพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร?  หากเจ้าไม่ได้รับพระเจ้า และเจ้ายังไม่เข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะไม่รู้จักพระเจ้า และดังนั้นก็ย่อมไม่มีทางที่เจ้าจะสามารถเข้ากันได้กับพระเจ้า ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็คือศัตรูของพระเจ้า  หากเจ้าเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า พระเจ้าก็ไม่ใช่พระเจ้าของเจ้า และหากพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าของเจ้า เจ้าย่อมไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด  หากเจ้าไม่พยายามบรรลุความรอด เหตุใดเจ้าจึงเชื่อในพระเจ้า?  หากเจ้าไม่สามารถบรรลุความรอด เจ้าก็จะเป็นศัตรูคู่อริกับพระเจ้าตลอดไป และบทอวสานของเจ้าก็จะถูกกำหนด  ด้วยเหตุนั้น หากผู้คนปรารถนาที่จะได้รับการช่วยให้รอด เช่นนั้นแล้วพวกเขาต้องเริ่มต้นด้วยการเป็นคนซื่อสัตย์  ในท้ายที่สุด บรรดาผู้ซึ่งพระเจ้าจะทรงรับไว้ย่อมได้รับการทำหมายสำคัญ  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าคือสิ่งใด?  สิ่งนี้ถูกเขียนไว้ในพระธรรมวิวรณ์ ในพระคัมภีร์ว่า ‘และในปากของพวกเขาไม่พบความเท็จ เขาเป็นคนที่ปราศจากตำหนิ’ (วิวรณ์ 14:5) ‘พวกเขา’ คือผู้ใด?  พวกเขาคือบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอด ทำให้มีความเพียบพร้อมและทรงรับไว้  พระเจ้าทรงพรรณนาผู้คนเหล่านี้ว่าอย่างไร?  สิ่งใดคือคุณลักษณะเฉพาะและการแสดงออกของการปฏิบัติตนของพวกเขา?  พวกเขาไม่มีตำหนิ  พวกเขาไม่พูดโกหก  พวกเจ้าทั้งหมดน่าจะสามารถเข้าใจและจับความได้ว่าการไม่พูดโกหกหมายถึงสิ่งใด กล่าวคือ นี่หมายถึงการเป็นคนซื่อสัตย์  คำว่า ‘ไม่มีตำหนิ’ อ้างอิงถึงสิ่งใด?  นี่หมายถึงการไม่ทำชั่ว  และการไม่ทำชั่วก่อร่างสร้างขึ้นบนรากฐานใด?  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการไม่ทำชั่วก่อร่างสร้างขึ้นบนรากฐานแห่งการยำเกรงพระเจ้า  เพราะฉะนั้น การไม่มีตำหนิจึงหมายถึงการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  พระเจ้าทรงนิยามใครบางคนที่ปราศจากตำหนิไว้เช่นไร?  ในสายพระเนตรของพระเจ้า เฉพาะผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วเท่านั้นที่เพียบพร้อม ด้วยเหตุนี้ผู้คนที่ไม่มีตำหนิจึงเป็นบรรดาผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว และเฉพาะผู้ที่เพียบพร้อมเท่านั้นที่ไม่มีตำหนิ  นี่ถูกต้องทุกประการ(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หกข้อบ่งบอกถึงการเจริญเติบโตในชีวิต)  จากพระวจนะของพระเจ้า ผมได้เห็นว่า ผู้คนที่ฉลาดแกมโกงนั้นเต็มไปด้วยคำโกหก  พวกเขาใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน และเป็นศัตรูของพระคริสต์  พวกเขาเป็นของซาตานและไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้า  ผมได้เห็นว่าคำโกหกและเล่ห์ลวงของตัวเองนั้นได้วางผมไว้ในภาวะอันตรายสาหัสขนาดไหน และได้เห็นว่าผมช่างไร้ยางอายนัก!  หากไม่ใช่เพราะการเปิดโปงกรณีเหล่านี้ ผมคงไม่มีวันได้ตระหนักถึงขอบข่ายของคำโกหกและเล่ห์ลวงของผม และความรุนแรงของอุปนิสัยเยี่ยงซาตานที่เจ้าเล่ห์และฉลาดแกมโกงของผม  ผมไม่อาจดำเนินต่อไปในหนทางนี้ได้  ผมจำเป็นต้องยอมรับความผิดพลาดทั้งหลายของผมแต่โดยดี  ปฏิบัติความจริง และเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์

ผมเตรียมพร้อมที่จะส่งข้อความหาผู้นำ เพื่อเล่าให้เธอฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ แต่ผมก็ค่อนข้างลังเลว่า “ถ้าผมบอกเธอว่าผมโกหก ผู้นำจะคิดยังไงกับผม?  เธอจะคิดว่าผมเป็นบุคคลที่ฉลาดแกมโกง คิดเลยเถิดในเรื่องเรียบง่ายแบบนั้น จนถึงขั้นโกหกเกี่ยวกับเรื่องนั้น และคิดว่าผมไว้ใจไม่ได้หรือไม่?  บางทีครั้งนี้ผมจะไม่พูดอะไร แต่คราวหน้า ผมจะตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ และนั่นจะได้นับว่าเป็นการกลับใจ”  ผมเอาแต่ชูใจตัวเองว่าผมจะไม่โกหกอีก แต่มโนธรรมของผมก็ถูกกล่าวหา และผมก็รู้สึกผิด  ผมอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “ปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงหลายประการเกิดขึ้นขณะที่ผู้คนมีประสบการณ์กับการเป็นคนซื่อสัตย์  บางครั้งพวกเขาพูดไปโดยไม่คิด พวกเขาทำพลาดไปชั่วขณะและพูดโกหกเพราะพวกเขาถูกแรงจูงใจหรือจุดมุ่งหมายที่ผิด หรือความไร้แก่นสารและความหยิ่งยโสควบคุมอยู่ และผลก็คือพวกเขาต้องพูดโกหกมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อปกปิดคำโกหกของตน  ท้ายที่สุดพวกเขาย่อมรู้สึกไม่สบายใจอยู่ในหัวใจ แต่ก็ไม่สามารถเอาคำโกหกเหล่านั้นคืนมาได้ พวกเขาไร้ซึ่งความกล้าที่จะแก้ไขความผิดพลาดของตน ไร้ซึ่งความกล้าที่จะยอมรับว่าพวกเขาพูดโกหก และในหนทางนี้ ความผิดพลาดของพวกเขาก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ  หลังจากนี้ไปย่อมเหมือนมีก้อนหินกดทับหัวใจของพวกเขาอยู่เสมอ พวกเขาต้องการหาโอกาสสารภาพทุกสิ่งทุกอย่าง ยอมรับความผิดของตนและกลับใจอยู่ตลอด แต่พวกเขาไม่เคยลงมือทำสิ่งนี้  ในท้ายที่สุดพวกเขาก็คิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นและพูดกับตนเองว่า ‘ในอนาคต เมื่อฉันปฏิบัติหน้าที่ของฉัน ฉันจะชดเชยให้’  พวกเขาพูดเสมอว่าพวกเขาจะชดเชยให้ แต่พวกเขาไม่เคยทำ  นี่ไม่เรียบง่ายเหมือนแค่การขอโทษหลังการพูดโกหก—เจ้าสามารถชดเชยความเสียหายและผลสืบเนื่องของการพูดโกหกและการหลอกลวงได้หรือไม่?  หากท่ามกลางความเกลียดชังตนเองอย่างใหญ่หลวง เจ้าสามารถสำนึกกลับใจ และไม่มีวันทำเช่นนั้นอีก เช่นนั้นเจ้าก็อาจได้รับการยอมผ่อนปรนและความกรุณาจากพระเจ้า  หากเจ้าเอ่ยคำหวานและพูดว่าเจ้าจะชดเชยให้กับคำโกหกของเจ้าในอนาคต แต่ไม่กลับใจอย่างแท้จริง และต่อมาก็พูดปดและหลอกลวง เช่นนั้นเจ้าก็ดื้อดึงเหลือเกินที่จะไม่ยอมกลับใจ และเจ้าจะถูกกำจัดออกไปอย่างแน่นอน  ผู้คนที่มีมโนธรรมและเหตุผลควรตระหนักรู้การนี้  หลังจากพูดโกหกและกระทำการหลอกลวง การคิดแต่จะชดเชยเท่านั้นย่อมไม่เพียงพอ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเจ้าต้องกลับใจอย่างแท้จริง  หากเจ้าปรารถนาที่จะซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้ว เจ้าต้องจัดการแก้ไขปัญหาของการโกหกและการหลอกลวง  เจ้าต้องพูดความจริงและทำสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  บางครั้งการพูดความจริงย่อมจะส่งผลให้เจ้าเสียหน้าและถูกตัดแต่ง แต่เจ้าก็จะได้ปฏิบัติความจริง และการนบนอบและทำให้พระเจ้าพอพระทัยในชั่วขณะหนึ่งนั้นย่อมจะคุ้มค่า และจะเป็นสิ่งที่นำความชูใจมาให้เจ้า  ไม่ว่าจะอย่างไร ในที่สุดเจ้าจะสามารถปฏิบัติความซื่อสัตย์ได้ ในที่สุดเจ้าจะสามารถพูดสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้าออกมาโดยไม่ได้พยายามปกป้องตัวเองหรือแก้ตัว และนี่คือการเติบโตที่แท้จริง  ไม่ว่าเจ้าจะถูกตัดแต่งหรือถูกแทนที่ เจ้าก็จะรู้สึกมั่นคงในหัวใจเพราะเจ้าไม่ได้โกหก เจ้าจะรู้สึกว่าในเมื่อเจ้าไม่ได้ทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสม ก็ถูกต้องแล้วที่เจ้าจะถูกตัดแต่ง และรับผิดชอบการนั้น  นี่คือสภาวะจิตใจที่เป็นบวก  แต่ถึงกระนั้นผลสืบเนื่องของการที่เจ้ากระทำการหลอกลวงจะเป็นเช่นไร?  หลังจากเจ้ากระทำการหลอกลวง เจ้าจะรู้สึกเช่นไรในหัวใจของเจ้า?  ไม่สบายใจ เจ้าจะรู้สึกว่ามีความผิดและความเสื่อมทรามในหัวใจของเจ้าเสมอ เจ้าจะรู้สึกว่าถูกกล่าวหาอยู่เสมอ และคิดว่า ‘ฉันพูดโกหกออกไปได้อย่างไร?  ฉันกระทำการหลอกลวงอีกแล้วได้อย่างไร?  เหตุใดฉันจึงเป็นเช่นนี้?’  เจ้าจะรู้สึกเหมือนเจ้าไม่สามารถเชิดหน้าได้ เหมือนว่าเจ้าละอายใจเกินกว่าที่จะเผชิญหน้าพระเจ้า  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อผู้คนได้รับพรจากพระเจ้า เมื่อพวกเขาได้รับพระคุณ ความกรุณา และการยอมผ่อนปรนจากพระเจ้า พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกมากกว่าเดิมว่าการหลอกลวงพระเจ้าเป็นสิ่งที่น่าละอาย และในหัวใจนั้น พวกเขาก็มีสำนึกติเตียนอยู่ภายในมากขึ้น อีกทั้งมีสันติสุขและความชื่นบานยินดีน้อยลง  ปัญหานี้แสดงให้เห็นถึงสิ่งใด?  แสดงให้เห็นว่าคนที่หลอกลวงนั้นเป็นการเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม คือการกบฏและแข็งขืนต่อพระเจ้า และดังนั้นย่อมจะนำความเจ็บปวดมาให้เจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงคนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง)  เป็นสภาวะของผมนั่นเองที่พระวจนะของพระเจ้าทรงเปิดเผยออกมา  ผมรู้สึกเหมือนทั้งหมดนั้นคือการที่พระเจ้ากำลังตรัสกับผมโดยตรง และผมได้เห็นว่าการเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์คือเส้นทางตรงข้ามกันแบบคนละขั้วพอดี  การเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง และนั่นไม่อยู่ภายในสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  บางคราว ผู้คนอาจจะสัมฤทธิ์เป้าหมายของพวกเขาด้วยการโกหกและเล่ห์กล แต่สิ่งที่พวกเขาสูญเสียก็คือความสัตย์สุจริตและศักดิ์ศรีของพวกเขา  นั่นจะไม่นำพาอะไรมาให้เลยนอกจากความรู้สึกผิดและไม่สบายใจ และพวกเขาก็จะดำรงชีวิตอยู่ในความมืด ถูกซาตานหลอกให้หลงกลและเยาะเย้ยถากถาง  ผมได้มองเห็นคำโกหกและเล่ห์ลวงของผมทั้งหมด ผมเก็บงำความลับอันน่าละอายที่ไม่อาจทนการเปิดเผยในที่แจ้งได้ และผมกำลังถูกซาตานใช้เป็นของเล่นอย่างเจ็บปวด!  คำโกหกและเล่ห์ลวงของผมความไม่ซื่อสัตย์ สนองความความถือดีเกินขนาดของผมได้ชั่วขณะ แต่พระเจ้าทรงรังเกียจและกล่าวโทษ และพระองค์ไม่ทรงมีความเห็นชอบ  นี่ไม่ปัญญาอ่อนหรอกหรือ?  ทุกครั้งที่ถึงจุดสำคัญยิ่งยวดที่ผมจำต้องบอกความจริง ผมกลับโอนอ่อนให้ตัวเอง โดยพูดว่า “คราวหน้าฉันจะปฏิบัติความจริง คราวหน้าก็แล้วกัน”  ผมกำลังยกโทษให้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่ปฏิบัติความจริงที่ผมเข้าใจ ผมจึงไม่เคยใช้ชีวิตตามความเป็นจริงของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ และไม่เคยละวางอุปนิสัยที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง  พระเจ้าจะช่วยใครบางคนที่เป็นแบบนี้ให้รอดได้อย่างไร?  พอคิดแบบนี้ ผมก็บอกตัวเองว่าผมจะทำแบบนั้นต่อไปไม่ได้ ว่าคนอื่นมองผมยังไงก็ไม่สำคัญเลย และว่าเหนือสิ่งอื่นใดนั้น ผมจำเป็นต้องดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์ ยอมรับการทรงพินิจพิเคราะห์ และเป็นใครบางคนที่พระองค์ทรงทรงเห็นชอบได้  นั่นเองที่เป็นกุญแจสำคัญ  ผมควรเป็นคนเรียบง่าย รวมทั้งเปิดเผยและพูดความจริง  ต่อให้บางคนมองเห็นผมชัดเจน และผมก็เสียหน้าและสถานะ การปฏิบัติความจริงและการมีความซื่อสัตย์ย่อมจะหมายถึงการได้รับความเห็นชอบของพระเจ้า และนั่นเองคือสิ่งที่สำคัญที่สุด รวมทั้งมีคุณค่าและเปี่ยมความหมายยิ่งนัก!  อีกอย่าง ผมก็กำลังปิดบังปัญหาส่วนตัวของผมอยู่เสมอ แม้ผู้อื่นอาจจะไม่รู้เกี่ยวกับปัญหาพวกนั้น และผมอาจจะไม่ถูกตัดแต่งหรือติเตียน แต่ผมก็ไม่ได้มีความรู้แท้จริงเกี่ยวกับความเสื่อมทรามและข้อเสียของผม ดังนั้นผมจึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทราม หรือทำหน้าที่ของผมให้ดีขึ้นได้  สิ่งเหล่านั้นฝังลึกอยู่ในใจผมราวกับเนื้องอกที่จะไม่หยุดเจริญเติบโตอย่างแน่นอน และก็คงจะเป็นปลายทางของผมในที่สุด  แต่พี่น้องชายหญิงซึ่งเป็นคนเปิดเผยและเรียบง่ายก็จะแค่เอาความผิดพลาดและปัญหาทั้งหลายในหน้าที่ของพวกเขามาวางบนโต๊ะอย่างเปิดเผย และบางครั้ง พวกเขาก็ถูกตัดแต่ง ติเตียน หรือถึงกับถูกปลด แต่นั่นก็ทำให้พวกเขาซึ้งแก่ใจจริงๆ  พวกเขาสามารถมองเห็นปัญหาของพวกเขาได้เร็วขึ้น และแสวงหาความจริงมาแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้ และนั่นนำพาความก้าวหน้ายิ่งใหญ่ในชีวิตมาสู่พวกเขา  แม้ว่าการเป็นคนเปิดเผยและเรียบง่ายอาจน่ากระอักกระอ่วนตลอดมา แต่พวกเขาก็ได้รับการทรงเห็นชอบจากพระเจ้าสำหรับการที่ปฏิบัติความจริง  ผมเคยคิดว่าตัวเองนั้นเปี่ยมด้วยแนวคิด ว่าตัวผมนั้นฉลาดแยบยล และการดึงผ้าลงปิดตาผู้อื่นนั้นเป็นเรื่องฉลาด แต่ผมมันโง่ที่สุด โง่เสียเต็มประดา ปัญญาอ่อนสิ้นดี!  ผมฉลาดหลักแหลมเหลือเกินเพื่อประโยชน์ของตัวเอง  ผมช่างน่าขันสิ้นดี!  พอตระหนักตรงนี้ได้ ผมจึงหยุดใส่ใจว่าผู้คนอาจจะคิดกับผมอย่างไร และแค่ต้องการปฏิบัติความจริง และทำให้ซาตานอับอาย แทนที่จะทำให้พระเจ้าทรงผิดหวังอีก  ดังนั้นผมจึงรวบรวมความกล้าบอกความจริงไปกับผู้นำ รวมถึงบอกเหตุผลที่ผมได้โกหกไปและบอกสิ่งที่เป็นความตั้งใจของผม  หลังจากที่ส่งข้อความนั้นไป ผมรู้สึกสงบและสำนึกถึงความโล่งใจ  ไม่นานหลังจากนั้น ผู้นำก็ตอบกลับมาพูดว่า “การพยายามที่จะมีความซื่อสัตย์แบบนี้ดีมากเลย  ฉันก็มีอุปนิสัยเสื่อมทรามแบบฉลาดแกมโกงเช่นกัน…”  ผมตื้นตันใจมากเมื่อเห็นแบบนั้นและก็ละอายใจจริงๆ  แค่การพยายามครั้งเดียวที่จะเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ ก็ได้แสดงให้ผมเห็นจริงๆ ว่านั่นคือหนทางเดียวที่ถูกต้องเหมาะสมในการเป็นมนุษย์

หลังจากนั้น ผมก็เริ่มพยายามปฏิบัติความซื่อสัตย์ในชีวิตประจำวันอย่างตั้งใจทั้งในคำพูดและการกระทำ และผมพบว่าผมไม่มีความถูกต้องแม่นยำหรืออยู่บนความจริงในหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมพูด  บางครั้งก็พูดจากพื้นฐานของมโนคติอันหลงผิดและการใช้จินตนาการ  และบางครั้ง ผมก็พูดเกินจริงหรือพูดไม่ถูกต้อง  บางครั้งผมก็ตั้งใจยกเมฆเรื่องของตัวเอง และมีเล่ห์ลวง  มันกลายเป็นเห็นได้ชัดขึ้นทุกทีว่า ผมเป็นคนที่โกหกจนเป็นสันดาน  ผมจำได้ว่าครั้งหนึ่ง ผู้นำส่งข้อความมาถามถึงโครงการหนึ่งว่าเป็นอย่างไรบ้าง และผมก็คิดไปโดยไม่ทันรู้สึกตัวว่า “ผมไม่ได้รู้สถานการณ์ทันเวลา แต่หากผมพูดไปว่า ‘ผมไม่รู้ ผมต้องไปถามดูก่อน’ ผู้นำก็จะคิดว่าผมไม่ปฏิบัติอย่างสมเหตุผล และทำได้เพียงโห่ร้องคำขวัญทั้งหลายหรือเปล่า?  บางทีผมอาจไม่ควรพูดอะไร แต่รีบตรวจสอบสถานการณ์แล้วค่อยตอบไป  อย่างน้อยต่อให้โครงการนั้นยังไม่เสร็จ ผู้นำก็คงจะไม่มีอะไรไม่ดีมาพูดเกี่ยวกับผม และนั่นจะแสดงให้เห็นว่า อย่างน้อยผมก็คอยติดตามสิ่งต่างๆ”  ตอนที่ผมกำลังตั้งท่าจะทำแบบนั้น ผมก็ตระหนักได้ว่า ผมกำลังหลอกลวง เพื่อเห็นแก่ความมีหน้ามีตาและสถานะของตนเองอีกแล้ว  ดังนั้นผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าฯ ต้องการละทิ้งเหตุจูงใจแบบฉลาดแกมโกง และปฏิบัติความจริงอย่างคนซื่อสัตย์  โปรดทรงนำและช่วยข้าพระองค์ที”  หลังจากที่ผมอธิษฐาน พระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าก็มาสู่จิตใจว่า “การพูดโกหกหมายถึงการขายบุคลิกและศักดิ์ศรีของคนเราจนหมด  ซึ่งริบเอาศักดิ์ศรีและบุคลิกของคนเราไป ทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัยและพระองค์ก็ทรงรังเกียจเรื่องแบบนี้  นี่คุ้มค่าหรือไม่?  ไม่คุ้มค่า(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงคนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง)  คำว่า “บุคลิกลักษณะ” และ “ศักดิ์ศรี” กระตุ้นให้ผมพูดความจริงจริงๆ  ดังนั้นผมจึงแค่ส่งคำตอบตรงๆ กลับไปว่า “ผมไม่แน่ใจเรื่องรายละเอียด ผมต้องขอไปตรวจดูก่อนครับ”  หลังจากที่ส่งข้อความนั้นไป ผมก็รู้สึกถึงสำนึกแห่งความสงบสุขในหัวใจยิ่งนัก  ผมยิ่งรู้สึกมากขึ้นทุกทีว่า การมีความซื่อสัตย์เป็นแง่มุมซึ่งเป็นรากฐานที่สุดของมนุษยชาติ เป็นบรรทัดฐานสำคัญของมนุษยชาติ  ความซื่อสัตย์เท่านั้นที่เป็นสภาพเสมือนของคนปกติ  ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงช่วยผมให้รอด

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การเรียนรู้ที่จะเป็นพยานที่ดีขึ้น

โดย หม้อหราน, ประเทศจีน เมื่อมิถุนายนปีก่อน ฉันถูกเลือกเป็นมัคนายกให้น้ำ ได้ดูแลการให้น้ำผู้ที่เพิ่งยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้าย ฉันคิดว่า...

พระวจนะของพระเจ้าได้สั่นคลอนให้จิตวิญญาณของฉันตื่นขึ้น

โดย หนานหนาน ประเทศสหรัฐอเมริกา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ช่วงระยะปัจจุบันของพระราชกิจในเรื่องเหล่านี้ของพระเจ้าในยุคสุดท้าย...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger