คืนที่ฉันถูกจับกุม
วันนั้นเป็นเดือนเมษายนปี 2011ตอนสองทุ่มกว่าค่ะ พี่หลิวกับฉันกำลังอ่านพระวจนะของพระเจ้าในห้องของเรา จู่ๆ ตอนนั้น เราก็ได้ยินเสียงทุบประตู แล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนก็กรูกันเข้ามา สองคนในนั้นคว้าตัวฉันแล้วบิดแขนฉันไพล่หลังอย่างแรง ส่วนเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ก็รื้อค้นไปทั่วห้อง พวกมันเจอหนังสือพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์และเครื่องเล่นเอ็มพีสี่ ฉันกลัวมาก ไม่รู้ว่าพวกเจ้าหน้าที่จะทำอะไรกับฉันบ้าง ที่ผ่านมา ฉันไม่เคยทนทุกข์กับความลำบากจริงๆ เลย ถ้าตำรวจทรมานฉัน ฉันจะสามารถทนไหวหรือ? ฉันอธิษฐานในหัวใจตลอดเวลานั้น ว่า “โอ พระเจ้า! วุฒิภาวะของข้าพระองค์น้อยนัก โปรดประทานความเชื่อและความแข็งแกร่ง และทรงนำข้าพระองค์ให้ทานทนการทรมานโหดร้ายด้วยเถิด” หลังอธิษฐาน ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจชัดเจนว่า ฉันยอมตายดีกว่าเป็นยูดาสที่ทรยศพระเจ้า ประมาณ 10 โมง ตำรวจนำตัวพี่หลิวกับฉันไปที่สถานีตำรวจที่พวกมันสอบสวนพวกเราแยกกัน เจ้าหน้าที่สองคนตะคอกฉันว่า “แกเป็นผู้นำใช่มั้ย? แกออกไปเผยแผ่ศาสนาบ่อยหรือเปล่า? แกมาจากไหน?” ฉันไม่ได้พูดอะไรสักคำ ฉันแค่คิดในหัวใจว่า “ถ้าฉันเพียงไม่ยอมรับว่าเป็นผู้นำคริสตจักร พวกมันอาจจะไม่ทรมานฉันรุนแรงนักก็ได้ อีกไม่นานพวกมันก็จะปล่อยฉันไป” ฉันตกใจเมื่อเจ้าหน้าที่คนหนึ่งสั่งฉันคุกเข่าลง ฉันไม่ยอม เขาเลยเตะข้อพับอย่างแรงจนขาฉันพับลง แล้วเขาก็สอบสวนฉันต่อในท่าคุกเข่า 20 นาทีผ่านไป ฉันก็เริ่มเจ็บหัวเข่า ฉันเลยขยับตัวถ่ายน้ำหนักนิดหนึ่ง เจ้าหน้าที่นั่นก็เอาหนังสือตบหน้าฉัน ฉันปวดแสบปวดร้อนไปทั้งหน้า ฉันหูอื้อ และลืมตาไม่ขึ้น ไม่นาน ขาทั้งสองข้างของฉันก็ชา พอทนไหวอีกต่อไปแล้ว ฉันก็ย่อตัวลงเล็กน้อย พวกมันก็เลยเตะเข้าที่แผ่นหลังของฉัน ฉันคุกเข่าอยู่อย่างนั้นประมาณสองชั่วโมง ระหว่างที่พวกมันตบฉันครั้งแล้วครั้งเล่าเกิน 10 ครั้ง ฉันมึนไปหมดจากการถูกตบอย่างแรงจนแทบร่วงลงไปกอง ขาทั้งสองข้างชาจนไม่เหลือความรู้สึกเลย แล้วฉันก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของพี่หลิวดังมาจากอีกห้องหนึ่ง ฉันเป็นห่วงเธอมาก และฉันก็ไม่รู้ว่าพวกมันทรมานเธอยังไงบ้าง เธอจะสามารถทนการทรมานอันโหดร้ายนี่ได้หรือเปล่า? ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าในใจเงียบๆ ขอพระองค์ประทานความเชื่อและความแข็งแกร่งมาให้ความแข็งแกร่ง และทรงนำทางพวกเราให้ยืนหยัดเป็นพยานด้วย สักพักตำรวจก็บอกฉันว่า “แกรู้มั้ยว่าทำไมแกถึงถูกสอบสวนเป็นคนสุดท้าย? ก็เพราะเราเก็บการทรมานที่รุนแรงที่สุดไว้ให้แกน่ะสิ อยากรู้นักว่าแกจะปิดปากสนิทได้สักแค่ไหน! แกไปเผยแผ่ศาสนาทุกที่ ก็ต้องเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมแน่ๆ” พอได้ยินเขาพูดแบบนั้นฉันก็กลัวมาก พวกมันเห็นว่าฉันเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมเสียแล้ว ดังนั้นพวกมันไม่ปล่อยฉันไปแน่ ฉันไม่รู้ว่าพวกมันจะใช้วิธีโหดร้ายอะไรมาทรมานฉัน ฉันนึกถึงประสบการณ์ที่พี่น้องชายหญิงคนอื่นถูกจับ พวกตำรวจจะใช้ชั้นเชิงทรมานที่โหดร้ายทุกรูปแบบ และฉันก็กลัวว่านั่นก็กำลังจะเกิดกับฉันเหมือนกัน… ยิ่งคิด ฉันก็ยิ่งกลัวค่ะ ฉันได้แต่วิงวอนพระเจ้าอยู่ในใจอย่างสิ้นหวัง ฉันพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ข้าพระองค์กลัวว่าพวกตำรวจอาจทรมานและฆ่าข้าพระองค์ได้ทุกเมื่อ โปรดทรงนำทาง และประทานความเชื่อให้ข้าพระองค์ที” หลังจากอธิษฐาน ฉันก็นึกถึงพระวจะที่ว่า “เจ้าไม่ควรกลัวสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่สำคัญว่าเจ้าอาจเผชิญความยากลำบากและภยันตรายมากเพียงใด เจ้าสามารถจะยังคงมั่นคงอยู่ต่อหน้าเราได้ โดยไร้อุปสรรคใดๆ กีดขวาง เพื่อที่เจตจำนงของเราจะได้รับการดำเนินการโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้น นี่คือหน้าที่ของเจ้า… จงอย่ากลัวเลย ด้วยการสนับสนุนของเรา ใครเล่าจะสามารถขวางกั้นถนนสายนี้ได้?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 10) ใช่ ถ้าพระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน ฉันจะต้องเกรงกลัวอะไร? ชีวิตและความตายของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต ซาตานก็ขโมยชีวิตไปจากฉันไม่ได้ พอคิดแบบนั้น ฉันก็ไม่กลัวมากขนาดนั้นอีกต่อไป ฉันยังรู้สึกแน่วแน่ที่จะพลีชีวิตยืนหยัดเป็นพยานแด่พระเจ้าค่ะ
แล้วตำรวจก็เค้นถามเรื่องคริสตจักรอีกครั้ง พอฉันไม่ตอบ พวกมันก็เตะฉันลงไปกองกับพื้นอีกค่ะ พวกมันห้าหรือหกคนรุมล้อมฉัน ทุบตีและเตะฉัน พวกมันซัดเข้าที่เอว หัว และที่น่องฉัน พร้อมกับแผดเสียงตะคอกใส่ ฉันถูกทุบตีรุนแรงจนวิงเวียนหัวหมุน ระหว่างทุบตีฉันพวกมันตะคอกว่า “เงียบเป็นเป่าสากเลยนะ แต่พนันเลยว่าฉันจัดการแกได้แน่!” พูดจบ พวกมันก็สวมกุญแจมือฉัน และบังคับให้ฉันกอดเข่าขณะนั่งยองอยู่บนพื้น เจ้าหน้าที่สองคนเอาแท่งเหล็กมาสอดใต้เข่าของฉันและพูดข่มขู่ว่า “ถ้าแกไม่พูด เราจะจับแกแขวนแล้วทรมานให้ตาย!” ฉันรู้สึกถึงความกังวลและความกลัวที่มากขึ้นในใจ ฉันจะทนการทรมานและการปฏิบัติอย่างโหดร้ายของพวกมันได้ไหม? ฉันได้แต่รีบร้องหาพระเจ้าอยู่ในใจ ฉันพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า! โปรดช่วยข้าพระองค์เอาชนะการปฏิบัติอย่างโหดร้ายนี้ ไม่ว่าข้าพระองค์ต้องทนแค่ไหน ก็จะไม่ยอมให้ซาตานแน่นอน” แล้วพวกตำรวจก็สอดแท่งเหล็กเข้าใต้เข่าฉัน ให้ปลายด้านหนึ่งพาดกับขอบหน้าต่างและอีกด้านหนึ่งพาดกับโต๊ะ ทิ้งให้ฉันห้อยอยู่แบบนั้น โดยที่ตัวฉันห่อคู้เป็นลูกบอล เจ้าหน้าที่คนหนึ่งผลักฉัน จนฉันแกว่งไปมา แล้วฉันก็รู้สึกปวดแปล๊บ ราวกับข้อมือของฉันเพิ่งจะแตกละเอียด เลือดทั้งหมดวิ่งไปที่หัวของฉัน หน้าฉันบวมเป่งเหมือนลูกโป่ง ตาบวมจนปิด ฉันลืมตาไม่ขึ้นเลยค่ะ แต่พวกมันก็ยังไม่หยุดแกว่งฉันไปมา ฉันคลื่นไส้ อยากจะอาเจียน หัวใจฉันเต้นแรง หายใจหอบ รู้สึกเหมือนหัวใจจะกระดอนออกมาจากอก ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจะหยุดหายใจ พวกมันแกว่งฉันต่อไปแบบนั้น ฉันทนต่อไปไม่ไหวจริงๆ จึงกรีดร้องว่า “ไม่ไหวแล้ว! ปล่อยฉันลงเถอะ!” หนึ่งในพวกนั้นข่มขู่ฉันว่า “ไม่ไหวเหรอ? งั้นก็สารภาพมาสิ ถ้าไม่พูด แกก็ตาย!” เจ้าหน้าที่อีกคนตะคอกว่า “แกวิ่งพล่านทำเพื่อพระเจ้าของแกตลอด ตอนนี้ทำไมพระเจ้าไม่มาช่วยแกล่ะ?” พูดจบ พวกมันก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง สีหน้าท่าทางอำมหิตของพวกมันทำฉันโกรธจัด ฉันเกลียดที่ตัวเองไม่มีความใจถึง ฉันเสียใจที่ร้องขอความกรุณาจากพวกมัน พวกมันแกว่งยังคงแกว่งฉันไปมาต่อไป ฉันรู้สึกเวียนหัวจะเป็นลม ในใจได้แต่ร้องหาพระเจ้าไม่หยุด ฉันพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ช่วยข้าพระองค์ให้รอดด้วย! ข้าพระองค์ไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้ว! โปรดทรงอารักขาข้าพระองค์…” ราวครึ่งชั่วโมงต่อมา พวกตำรวจก็ปล่อยฉันลง แต่เพราะแท่งเหล็กยังคาอยู่ ฉันจึงได้แต่นั่งตัวงอขยับไม่ได้เลยค่ะ ขาของฉันชาไม่มีความรู้สึก ตัวฉันก็อ่อนแรงกระปลกกระเปลี้ยไปหมด ตำรวจยังคงเค้นรีดข้อมูลเรื่องคริสตจักร แต่ฉันก็ยังไม่พูดอะไรเลย พวกมันชกเข้าที่หัวและหลังของฉันอีก และเตะฉัน ทุบตีและสอบสวนฉันไม่หยุด ฉันเจ็บไปทั้งตัว เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งตะคอกว่า “แกจะพูดหรือไม่พูด? ถ้าไม่พูด เรามีวิธีของเราที่จะจัดการแกนะ! เราจะจับแกแขวนอีกจนกว่าแกจะเปิดปาก” บอกตามตรงนะคะ แค่คิดว่าจะถูกจับแขวนอีกฉันก็ตื่นตระหนกแล้ว ฉันไม่อยากโดนแบบนั้นอีกแล้วจริงๆ ฉันขัดแย้งในใจมากค่ะ ฉันควรพูดหรือเงียบต่อไปดีนะ? ถ้าไม่พูด ตำรวจพวกนี้ไม่มีทางปล่อยฉันแน่ เป็นไปได้ที่ฉันจะตายอยู่ที่นั่นในคืนนั้นเลย แต่การพูดจะเป็นการหันหลังให้พระเจ้า เวลานั้นเอง ฉันก็นึกถึงพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้าค่ะ “กับบรรดาผู้ที่ไม่ได้แสดงให้เราเห็นความจงรักภักดีแม้แต่น้อยในระหว่างช่วงเวลาของความทุกข์ลำบาก เราจะไม่ปรานีอีกต่อไป เพราะความปรานีของเราขยายเวลามาเพียงถึงตอนนี้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่มีความชอบให้กับใครก็ตามที่ครั้งหนึ่งเคยทรยศเรา นับประสาอะไรที่เราจะชอบเชื่อมสัมพันธ์กับบรรดาผู้ที่ขายผลประโยชน์ของผองเพื่อนของตน นี่คืออุปนิสัยของเรา ไม่ว่าบุคคลคนนั้นอาจเป็นใครก็ตาม” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า) ฉันรู้สึกได้เลยว่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าจะไม่ทนการล่วงเกินใดเลย พระเจ้าจะไม่ทรงยินดีกับใครก็ตามที่ทรยศเพื่อน ถ้าฉันทรยศพระเจ้าและหันหลังให้พี่น้องชายหญิง เพื่อหนีความเจ็บปวดชั่วคราวทางกาย ย่อมเป็นการล่วงเกินพระอุปนิสัยและถูกพระเจ้าทรงดูหมิ่น ฉันก็จะถูกลงโทษและสาปแช่งเหมือนยูดาส ฉันจะกลายเป็นคนชนิดนี้ไม่ได้เด็ดขาด ต่อให้ถูกทรมานจนตาย ฉันก็ยังจำเป็นต้องยืนหยัดเป็นพยานแด่พระเจ้า
ความคิดเหล่านี้เสริมพลังให้กับฉัน และฉันรู้เลยว่าฉันสามารถทนความเจ็บปวดนั้นได้ค่ะ พวกมันจับฉันแขวนอีก แล้วก็แกว่งฉันไปรอบๆ เหมือนชิงช้า ฉันรู้สึกเหมือนข้อมือกับเข่าของฉันจะหัก แล้วฉันก็เจ็บปวดจนร้องออกมา ฉันคิดว่า “ไม่มีใครใจหินหรอก ถ้าฉันร้องไห้ พวกมันอาจจะปล่อยฉันลงด้วยความสงสารก็ได้” แต่ฉันก็ต้องใจหาย เมื่อพวกมันยิ่งแกว่งฉันรุนแรงขึ้นอีก ฉันคลื่นไส้อยากอาเจียน รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกเลยค่ะ มันทุกข์ทรมานมากค่ะ พอเห็นว่าพวกมันอำมหิตแค่ไหน มุ่งร้ายแค่ไหน ฉันก็ตระหนักว่าฉันโง่เขลาและขาดวิจารณญาณแค่ไหน ตอนแรก ฉันคิดว่าถ้าแค่ไม่ยอมรับว่าเป็นผู้นำคริสตจักร พวกมันอาจจะไม่ทรมานฉันรุนแรงนัก ฉันยังพยายามใช้น้ำตาเพื่อให้พวกมันเห็นใจด้วย สุดท้ายฉันได้รู้ว่าพวกมันไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์สักนิด พวกมันดูเหมือนมนุษย์ แต่ที่แท้คือปีศาจที่มีหัวใจมุ่งร้าย! พวกตำรวจแกว่งฉันต่อไปพลางก็ตะคอกว่า “สารภาพซะ! ถ้าแกพูด เราจะปล่อยแกลงมา แกจะห้อยอยู่จนกว่าจะพูด ถ้ายังเงียบ แกก็ตายที่นี่แหละ!” พอได้ยินแบบนี้ฉันหวาดหวั่นมาก และก็คิดว่า “ฉันยังสาว เพิ่งจะ 30 เอง ฉันจะถูกทรมานจนตายไปในคืนนี้จริงๆ หรือ?” ตลอดเวลานั้น ฉันวิงวอนต่อพระเจ้าอยู่ในใจ ว่า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้รอดที ข้าพระองค์ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว! ข้าพระองค์กลัวมากว่าจะเสียความแน่วแน่วและทรยศพระองค์ โปรดช่วยข้าพระองค์เอาชนะการทรมานนี้ด้วยเถิด” หลังอธิษฐาน ฉันก็นึกถึงพระวจนะที่ว่า “อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่สามารถฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวพระองค์ผู้ทรงสามารถทำลายทั้งจิตวิญญาณและกายในนรกได้” (มัทธิว 10:28) พระวจนะของพระเจ้าให้ความเชื่อและความแข็งแกร่งแก่ฉัน ใช่ ตำรวจฆ่าได้เพียงร่างกายของฉัน แต่พวกมันจะไม่สามารถทำลายดวงจิตของฉันได้ การเป็นอยู่ทั้งหมดของฉันอยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า ไม่ว่าคนพวกนี้ทรมานฉันยังไง พวกมันก็ฆ่าฉันไม่ได้ถ้าพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต ฉันตระหนักด้วยว่าเพราะฉันรักชีวิตของตัวเองมากเกินไป ซาตานกำลังใช้ความอ่อนแอของฉันต่อต้านฉัน กดดันให้ฉันทรยศพระเจ้า ถ้าฉันทรยศพระเจ้า กลายเป็นยูดาส ฉันจะถูกกล่าวโทษไปตลอดกาล แต่ถ้าฉันยืนหยัดเป็นพยานให้แก่พระเจ้า ถึงแม้ฉันจะถูกทรมานจนตาย นั่นจะเป็นการข่มเหงเพื่อความชอบธรรม และความตายของฉันก็จะมีความหมาย เมื่อฉันคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็ไม่กลัวอีกต่อไป พวกตำรวจเห็นว่าฉันคอพับคออ่อน และฉันไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้เลย ด้วยกลัวว่าจะต้องรับผิดชอบความตายของฉัน พวกมันจึงปล่อยฉันลงมาค่ะ ฉันอ่อนเปลี้ยไปทั้งตัว รู้สึกเหมือนอยู่บนปากเหวแห่งความตาย แต่พวกมันก็ยังเค้นคำตอบเรื่องคริสตจักรอยู่ ฉันหวาดกลัวมากค่ะ กลัวว่าพวกมันจะจับฉันแขวนอีก ความคิดเรื่องนี้เลวร้ายอย่างที่สุด และความกลัวก็เกาะกุมหัวใจของฉันค่ะ ฉันได้เห็นว่าพวกมันโหดร้ายและชั่วช้าแค่ไหน และฉันจำไม่ได้เลยว่าพวกมันแขวนฉันมากี่ครั้งแล้ว ถ้าพวกมันทำอย่างนั้นต่อไป ฉันคงไม่มีชีวิตต่อไปเห็นวันพรุ่งนี้แน่ พออธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยทุกอย่างที่ฉันมี เพลงสรรเสริญแห่งประสบการณ์ก็ผุดขึ้นในใจฉันค่ะ “ฉันจะมอบถวายความรักและความจงรักภักดีของฉันต่อพระเจ้า และทำภารกิจของฉันจนครบบริบูรณ์ในการถวายพระเกียรติแด่พระองค์ ฉันมุ่งมั่นที่จะตั้งมั่นในคำพยานของฉันต่อพระเจ้า และไม่มีวันยอมให้ซาตาน โอ แม้ว่าศีรษะของพวกเราอาจแตกและเลือดของพวกเราอาจไหลหลั่ง แต่กระดูกสันหลังของประชากรของพระเจ้าก็ไม่สามารถทำให้งอได้ ด้วยคำเตือนสติของพระเจ้าซึ่งรัดรึงหัวใจของฉัน ฉันมุ่งมั่นที่จะดูหมิ่นซาตานมารร้าย ความเจ็บปวดและความยากลำบากได้ถูกพระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้า ฉันจะสัตย์ซื่อและเชื่อฟังพระองค์จนตาย ฉันจะไม่มีวันเป็นเหตุให้พระเจ้าทรงร่ำไห้อีก และไม่มีวันเป็นเหตุให้พระองค์ทรงกังวลอีกเลย…” (ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ, ฉันปรารถนาที่จะเห็นวันแห่งพระสิริของพระเจ้า) พอเริ่มร้องเพลงนี้ในใจ ฉันก็ตกลงใจแน่วแน่ ว่าฉันจะไม่เป็นคนขี้ขลาดอย่างเด็ดขาด ฉันต้องใจถึงดังหนึ่งในประชากรของพระเจ้า และไม่ยอมอ่อนข้อให้ซาตาน ไม่ว่าฉันต้องทนแค่ไหน ฉันก็จะยืนหยัดเป็นพยานแด่พระเจ้า ฉันคิดถึงเรื่องที่ฉันได้ชื่นชมการให้น้ำและการจัดเตรียมของพระวจนะตลอดหลายปีในความเชื่อ พระเจ้าได้ทรงจ่ายราคาอันใหญ่หลวงเพื่อแปลงสภาพและชำระฉันให้บริสุทธิ์ แต่พอถูกคาดหวังให้ทนทุกข์เหน็ดเหนื่อยในหน้าที่ ฉันก็เอาแต่คำนึงถึงเนื้อหนัง ฉันไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ลุล่วงค่ะ ในหัวใจฉัน ฉันรู้สึกเป็นหนี้พระเจ้าค่ะ ถ้ารอดไปได้ ฉันจะต้องทำหน้าที่ให้ลุล่วงและชดใช้คืนความรักของพระองค์ค่ะ
ครั้งที่สามที่ตำรวจแขวนตัวฉัน ฉันรู้สึกราวกับหัวของฉันกำลังจะแยกเปิดออก ความเจ็บปวดแปลบซ่านไปทั่วแขนและขาของฉัน ตอนนั้นเอง สารวัตรตำรวจก็พูดอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “พูดออกมา ถ้าแกบอกทุกอย่างที่รู้ ฉันรับประกันว่าจะไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นกับแก” ฉันไม่ตอบเขา เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเอาแท่งเหล็กมาฟาดที่ข้อเท้าฉัน ฉันกรีดร้องเพราะความเจ็บปวดค่ะ พวกมันแกว่งฉันไปมาไม่หยุด มันเจ็บปวดมากค่ะ เป็นชะตากรรมที่แย่กว่าความตาย ฉันทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ และฉันก็คิดถึงความตายค่ะ ฉันถวิลหาความตายเพื่อปลดปล่อยฉันจากกความทุกข์แสนสาหัสนี้ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเห็นว่าฉันหลับตาอยู่ เขาก็พูดว่า “ดูมันอธิษฐานต่อพระเจ้าของมันสิ!” พอได้ยินแบบนี้ฉันก็ได้สติ และฉันคิดว่า “ทำไมฉันไม่คิดพึ่งพาพระเจ้าล่ะ?” ฉันรีบมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า อธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า เมื่อข้าพระองค์เป็นทุกข์ ข้าพระองค์เพียงต้องการให้มันจบ ข้าพระองค์ถึงกับขอพระองค์ให้ทรงปลิดชีวิตข้าพระองค์เสีย ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงเตือนข้าพระองค์ด้วยคำพูดของเจ้าหน้าที่คนนี้ ข้าพระองค์จะไม่แสวงหาความตายอีกต่อไป แต่จะพึ่งพาพระองค์เพื่อประจันหน้า ไม่ว่าถัดไปจะเป็นอะไร” หลังอธิษฐาน ฉันก็นึกได้ถึงพระวจนะที่ว่า “งานของเราท่ามกลางกลุ่มผู้คนของยุคสุดท้ายเป็นวิสาหกิจที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และด้วยเหตุนั้น ผู้คนทั้งหมดต้องทนทุกข์กับความยากลำบากสุดท้ายเพื่อเรา เพื่อที่สง่าราศีของเราอาจเติมเอกภพจนเต็ม เจ้าเข้าใจเจตนารมณ์ของเราไหม? นี่เป็นความประสงค์สุดท้ายที่เรามีต่อมนุษย์ กล่าวคือเราหวังว่าผู้คนทั้งหมดสามารถกล่าวคำพยานที่กึกก้องแข็งแกร่งต่อเราเบื้องหน้าพญานาคใหญ่สีแดง ว่าพวกเขาสามารถมอบถวายตัวพวกเขาเองเพื่อเราเป็นครั้งสุดท้าย และทำให้ข้อกำหนดของเราลุล่วงเป็นคราวสุดท้าย พวกเจ้าสามารถทำการนี้ได้อย่างแท้จริงหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 34) ฉันเข้าใจว่าด้วยการทนความยากลำบากในวันนี้ น้ำพระทัยของพระเจ้าก็คือให้ฉันเป็นพยานแด่พระองค์ต่อหน้าซาตานให้ซาตานอัปยศ แต่แค่ต้องการที่จะบรรเทาทุกข์ทางกาย ฉันก็ขอให้พระเจ้าทรงเอาชีวิตฉันไป ฉันขอการปลดปล่อยผ่านทางความตาย จะไม่มีพยานในการนี้เลย ฉันรู้สึกว่าฉันได้ทำให้พระเจ้าทรงผิดหวัง ซาตานพยายามใช้การทรมานอันโหดร้ายทำลายฉัน ทำให้ฉันทรยศพระเจ้า เพื่อสุดท้าย ฉันจะได้ลงนรกถูกทำลายไปพร้อมมัน การแสวงหาความตายก็คือการตกเป็นเหยื่อกลอุบายของซาตาน การคิดถึงเรื่องนี้ทำให้ฉันตกลงใจ ว่าวันนี้ ฉันจะทำให้พระเจ้าพอพระทัยสักครั้ง ไม่ว่าตำรวจทรมานฉันยังไง ฉันจะวางใจพึ่งพาพระเจ้าเพื่อยืนหยัดเป็นพยานและทำให้ซาตานอัปยศ ฉันมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและตกลงใจว่า “ข้าแต่พระเจ้า ไม่ว่าตำรวจจะแขวนข้าพระองค์กี่ครั้ง ข้าพระองค์จะพึ่งพาพระองค์เพื่อยืนหยัดเป็นพยาน” ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา เจ้าหน้าที่พวกมันก็ปล่อยฉันลง
ต่อมา พวกตำรวจใช้เล่ห์เหลี่ยมชักนำฉัน พวกมันพูดว่า “คนที่เราจับมากับแกบอกเราทุกอย่างไปเป็นชาติแล้ว ที่นี่เหลือแต่แกแล้ว เปิดปากพูดซะ” ฉันรู้ว่าซาตานฉลาดแกมโกง มันพยายามใช้กลวิธีนี้เพื่อเล่นเล่ห์ให้ฉันทรยศพี่น้อง ฉันคิดว่า “ฉันจะไม่ทรยศพวกเขาและทำให้พวกเขาต้องทนการทรมานที่ไร้มนุษยธรรมนี้อย่างเด็ดขาด” ฉันกัดฟันแน่นไม่ปริปาก ผ่านไปสองสามนาที ฉันขอไปห้องน้ำ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งตะคอกอย่างมุ่งร้ายว่า “กลั้นไว้สิ!” เจ้าหน้าที่อีกคนหัวเราะพลางพูดว่า “ถ้าแกกลั้นไม่อยู่จริงๆ ก็ฉี่ลงพื้นเลย!” ตลอด 20 นาทีต่อมา ฉันขอเข้าห้องน้ำไปสี่ครั้ง พวกตำรวจไม่ให้ฉันไป ในที่สุด ฉันก็กลั้นไม่อยู่อีกต่อไป ฉันฉี่รดกางเกงค่ะ เจ้าหน้าที่ห้าคนรุมล้อมฉันและพูดว่า “ดูสิ! ผู้หญิงคนนี้ฉี่รดกางเกงละ!” การได้ยินการหยามหมิ่นและเย้ยหยันของพวกมันทำให้ฉันรู้สึกอัปยศอย่างที่สุด เจ้าหน้าที่คนหนึ่งหยิบหนังสือพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์มาเล่มหนึ่ง แล้วโยนลงในกองฉี่นั้น และพยายามให้ฉันเหยียบและถ่มถุยใส่พระวจนะของพระเจ้า ฉันไม่ยอมทำอย่างนั้นอย่างเด็ดขาด เขาก็เลยเหยียบขยี้ส้นเท้าของเขาไปบนหนังสือนั้น ยิ้มแสยะอย่างสัปดนต่ำช้า พูดว่า “ดูสิ! ฉันเหยียบมัน แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย! ถ้าแกเหยียบหนังสือนี่ ฉันจะปล่อยแกไป ฉันจะไม่สืบสวนแกเลยไม่ว่าแกทำอะไรกับความเชื่อของแก” พอฉันเห็นเขาเหยียบพระวจนะและหมิ่นประมาทพระเจ้า หัวใจของฉันก็เต็มไปด้วยความเกลียดชังมารซาตาน ฉันตะโกนว่า “ฉันจะไม่ถ่มถุยใส่หรือเหยียบหนังสือนี่!” เขาพูดว่า “ถ้าแกไม่ถ่มถุย แกสบถก็ได้ ฉันจะพูดหนึ่งประโยค แล้วแกก็พูดทวนตามฉัน ถ้าแกแค่สบถ ฉันจะปล่อยแกไป” ฉันพูดอย่างโกรธจัดเป็นพิเศษว่า “ฉันจะไม่สบถ!” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งตะคอกว่า “แกอยากพลีชีพหรือไง? ถ้าคนอย่างพวกแกตายใครจะสนหรือ? ถ้าแกไม่พูด แกก็จบแล้ว แกจะติดคุกแปดถึงสิบปี แกจะพูดหรือไม่พูด?” ฉันคิดว่า “ถึงแม้ฉันจะถูกตัดสินจำคุกแปดถึงสิบปี ฉันก็ยังจะไม่ทรยศพี่น้อง จะไม่หันหลังให้พระเจ้า” ทันทีที่ฉันรวบรวมความแน่วแน่ได้ อยู่ๆ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็พูดว่า “ไม่ต้องสอบสวนแล้ว” พอฉันผงกหัวขึ้นมาเห็นสีหน้าผิดหวังของพวกมัน ฉันท่วมท้นไปด้วยอารมณ์ต่างๆ นาทีที่ฉันตกลงใจไม่ทรยศพระเจ้า ต่อให้ต้องพลีอุทิศชีวิตตัวเอง ซาตานก็พ่ายแพ้และอัปยศไปอย่างสิ้นเชิงค่ะ
แค่ถูกขังสิบวันในข้อหา “รบกวนความสงบเรียบร้อยของประชาชน” ค่ะ เมื่อฉันถูกปล่อยตัว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งข่มขู่ฉันว่า “หลังจากแกออกไปแล้ว เลิกเชื่อในพระเจ้าซะ ถ้าแกถูกจับอีก แกจะถูกตัดสินจำคุก” ฉันรู้สึกขุ่นเคือง คิดว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้า และเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง พวกแกจับฉันไปทรมาน บังคับให้ฉันปฏิเสธและหันหลังให้พระเจ้า ฉันได้รับการปล่อยตัว แต่แกก็ยังไม่ให้ฉันเป็นอิสระจริงๆ แกมันชั่วและมุ่งร้ายนัก!” ฉันได้รู้ทันธรรมชาติเยี่ยงมารของพรรคคอมมิวนิสต์ ที่ต้านทานพระเจ้าทำร้ายผู้คน ฉันมีวิจารณญานมากขึ้น พวกมันจะไม่สามารถหลอกลวงฉันได้อีก ฉันสามารถได้รับประสบการณ์ความรักความรอดที่พระเจ้าทรงให้ฉันโดยตรง เมื่อฉันถูกมารพวกนี้ทรมานอย่างโหดร้าย จนร่างกายของฉันทนไม่ไหวแล้ว พระวจนะของพระเจ้านี่เองให้ความรู้แจ้งและนำฉันให้มีชัยเหนือความเหี้ยมโหดของพวกมัน ความเชื่อของฉันแข็งแกร่งขึ้นมาก ฉันได้เห็นแล้วว่าพระเจ้าทรงเปี่ยมพระปัญญาเหลือล้ำแค่ไหน พระเจ้าไม่แค่ทรงจัดหาให้เราและทรงนำเราด้วยพระวจนะเท่านั้น แต่ยังทรงจัดวางเรียบเรียงผู้คน เหตุการณ์ และรูปการณ์แวดล้อมเพื่อสอนบทเรียนให้เราด้วย ทรงใช้ความพยายามของซาตานฝึก เราให้สามารถได้รับความเข้าใจลึกซึ้งและเกิดวิจารณญาณ ฉันยังได้ลิ้มรสชาติความพยายามอันอ่อนโยนจริงจังของพระองค์ที่จะช่วยฉันให้รอด ฉันรู้สึกลึกๆ ว่าการก้าวผ่านทั้งหมดนี้คือพระพรพิเศษสำหรับฉัน ไม่ว่าสภาวะแวดล้อมอะไรที่ฉันอาจจะเผชิญในอนาคต ฉันเด็ดเดี่ยวในความเชื่อและจะติดตามพระเจ้าจนถึงปลายทาง ฉันตกลงใจที่จะทำหน้าที่ให้ลุล่วง และชดใช้คืนความรักของพระเจ้าค่ะ!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ