สรรเสริญผ่านช่วงเวลาที่สิ้นหวัง
เดือนธันวาฯ ค.ศ. 2011 วันหนึ่งประมาณเจ็ดโมงเช้า ฉันกับน้องสาวคนหนึ่งกำลังนับทรัพย์สินของคริสตจักร จู่ๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจกว่าสิบคนก็บุกเข้ามา ตะโกนว่า “ห้ามใครขยับ!” แล้วก็เริ่มใช้อำนาจบังคับค้นตัวเราเหมือนเราเป็นกองโจร ค้นห้องทุกห้อง พลิกหาทุกซอกทุกมุม ในไม่นาน ทั้งสถานที่ก็เละเทะไม่เป็นระเบียบ และพวกเขาก็พบทรัพย์สินบางส่วนของคริสตจักร บัตรธนาคาร 3 ใบ ใบเสร็จเงินฝาก คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และพวกเขาก็ยึดไปหมด จากนั้นพวกเขาก็พาเราไปที่สถานีตำรวจ
บ่ายวันนั้น ตำรวจจับพี่น้องหญิงได้อีก 3 คน แล้วก็ขังเราทุกคนไว้ในห้องห้องหนึ่ง ไม่อนุญาตให้เราคุยกัน และไม่ปล่อยให้เราได้นอนในคืนนั้น พอฉันได้เห็นพี่น้องหญิงเหล่านั้นถูกขัง และคิดว่าคริสตจักรจะต้องสูญเสียเงินทุนไป ฉันรู้สึกแย่มาก และอธิษฐานต่อพระเจ้าเงียบๆ ว่า “พระเจ้า! ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าพระองค์ไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องทำอย่างไร โปรดทรงช่วยให้หัวใจข้าพระองค์สงบด้วยเถิด” หลังอธิษฐาน ฉันนึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่ง “เจ้ารู้ว่าทุกอย่างในสิ่งแวดล้อมรอบตัวเจ้าล้วนมีอยู่เพราะการยอมอนุญาตของเรา ทุกอย่างเราเป็นคนวางแผนไว้ทั้งหมด จงมองให้ชัดเจนและทำให้เราพึงพอใจในสภาพแวดล้อมที่เรามอบให้เจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 26) จิตใจของฉันสงบลงอย่างช้าๆ และฉันก็คิดได้ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้นได้รับอนุญาตจากพระเจ้า ฉันควรเป็นพยานเพื่อพระองค์ เมื่อเข้าใจเจตนารมณ์พระเจ้า ฉันก็อธิษฐานอีกครั้ง “พระเจ้า! ข้าฯ ขอนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียม เต็มใจเป็นพยานให้พระองค์ หากแต่วุฒิภาวะน้อย ขอทรงประทานความเชื่อและกำลังด้วยเถิด” เช้าวันที่สอง ตำรวจสอบปากคำเราทีละคน ตำรวจที่สอบปากคำฉันพูดอย่างไม่พอใจว่า “ผมรู้ว่าคุณเป็นผู้นำคริสตจักร เราติดตามคุณมาตลอดห้าเดือนที่ผ่านมา…” พอเขาอธิบายให้ฉันฟังอย่างละเอียดว่าติดตามฉันยังไง ฉันรู้สึกตกใจและคิดว่า “พรรคคอมมิวนิสต์จีนทุ่มทั้งเวลาและพลังงานเพื่อจับกุมเรา และตอนนี้ก็รู้ว่าฉันเป็นผู้นำคริสตจักร คงจะไม่ปล่อยฉันหลุดมือไปง่ายๆ แน่” ฉันอธิษฐานเงียบๆ ตั้งปณิธานว่า “ขอยอมตายดีกว่าทรยศพระเจ้าเหมือนยูดาส” พอการสอบปากคำไม่ได้ผล พวกเขาสั่งให้คนจับตาดู ไม่ปล่อยให้ฉันนอน
วันที่สามของการสอบปากคำ หัวหน้าเจ้าหน้าที่เปิดคอมพิวเตอร์ ให้ฉันดูข้อมูลที่หมิ่นประมาทและเหยียดหยามพระเจ้า เค้นถามฉันว่าเงินทุนของคริสตจักรอยู่ไหน พอฉันไม่ตอบ เขาก็โกรธจัด ทั้งสบถใส่ทั้งข่มขู่ฉันโดยพูดว่า “ถ้าไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร เราให้คุณอยู่ที่นี่ได้เท่าที่ต้องการ ทรมานคุณได้ทุกเมื่อ” ช่วงดึก ตำรวจก็เริ่มการทรมานฉัน ดึงแขนฉันข้างหนึ่งขึ้นเหนือไหล่ แล้วดึงลงไปข้างหลัง ดึงแขนอีกข้างไปข้างหลังแล้วดึงขึ้น แล้วพวกเขาก็เหยียบหลังฉันไว้ และดึงมือฉันเข้าหากันแรงๆ แล้วใส่กุญแจมือไว้ด้วยกัน ฉันกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด รู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อและกระดูกที่ไหล่กำลังถูกฉีกออกจากกัน ฉันทำได้แค่คุกเข่ากับพื้น เอาหัวแนบพื้น ขยับไม่ได้ ฉันคิดว่าบางทีถ้าฉันร้องไห้ พวกเขาอาจจะผ่อนปรนบ้าง แต่ที่ไหนได้ พวกตำรวจเอาถ้วยชามายัดไว้ระหว่างกุญแจมือกับหลังฉัน รู้สึกเหมือนกระดูกฉันกำลังหัก เจ็บจนหายใจแทบไม่ออก เหงื่อกาฬหยดลงมาตามหน้า จากนั้น เจ้าหน้าที่คนหนึ่งสบโอกาสพูดว่า “ทั้งหมดที่คุณต้องทำคือพูดชื่อเดียว แล้วเราจะปล่อยไป” ฉันเรียกหาพระเจ้าเงียบๆ ขอให้ทรงอารักขาหัวใจ ทันใดนั้นเพลงสรรเสริญก็ดังขึ้นในหัว “พระเจ้าในเนื้อหนัง พระองค์ทรงทนทุกข์ แล้วคนเสื่อมทรามอย่างฉันควรจะทนทุกข์มากกว่านั้นอีกมากเพียงใด? หากฉันยอมจำนนต่อความมืด ฉันจะมองเห็นพระเจ้าได้อย่างไร? เมื่อข้าพระองค์คิดถึงพระวจนะของพระองค์ พระวจนะเหล่านั้นทำให้ข้าพระองค์ถวิลหาพระองค์ เมื่อใดก็ตามที่ข้าพระองค์มองเห็นพระพักตร์ของพระองค์ ข้าพระองค์ก็คำนับพระองค์ด้วยความรู้สึกผิด ข้าพระองค์จะสามารถทอดทิ้งพระองค์เพื่อแสวงหาสิ่งที่เรียกว่าเสรีภาพได้อย่างไร? ข้าพระองค์อยากจะทนทุกข์เพื่อเยียวยาแก้ไขพระหทัยที่โทมนัสของพระองค์มากกว่า…” (“รอคอยข่าวดีของพระเจ้า” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) ฉันสะเทือนใจกับเพลงมาก คิดถึงที่พระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์ เสด็จมายังโลกเพื่อช่วยเรา ที่ทรงถูกข่มเหงไล่ล่าโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน ถูกมนุษย์ต้านทานและกล่าวโทษ พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ ไม่ควรต้องทรงทนทุกข์ แต่ทรงยอมทนอย่างเงียบๆ เพื่อช่วยเราทุกคนให้รอด แล้วคนที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างฉันจะทนทุกข์เล็กน้อยจะเป็นไรไป? ถ้าฉันยอมทนความเจ็บปวดไม่ได้และยอมแพ้ต่อซาตาน จะมีหน้าไปอยู่ต่อหน้าพระพักตร์หรือ? เมื่อคิดอย่างนั้นก็รู้สึกว่ามีกำลังข้างใน เจ้าหน้าที่ทรมานฉันอยู่สักหนึ่งชั่วโมงได้ สุดท้ายเมื่อพวกเขาคลายกุญแจมือ ฉันก็ทรุดลงกับพื้น แต่พวกเขาตะโกนใส่ฉันว่า “ถ้าไม่ยอมพูด จะใส่กุญแจมือไพล่หลังอีก!” ฉันมองพวกเขาแวบหนึ่ง และไม่ตอบอะไร หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็ใส่กุญแจมือไพล่หลังฉันอีก ฉันคิดถึงความเจ็บปวดแสนสาหัสที่ต้องเจอ และกลัวขึ้นมานิดๆ ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่ดึงแขนฉันไปข้างหลังแต่แขนฉันไม่ขยับเลย น่าประหลาดใจมาก และฉันไม่รู้สึกเจ็บตรงไหนเลยค่ะ พวกเขาดึงจนเหนื่อยแต่ก็ใส่กุญแจมือไม่ได้ หายใจหอบพูดว่า “มีแรงสู้ในตัวเยอะนัก!” ฉันรู้ว่านี่คือพระเจ้าทรงคุ้มกันและประทานกำลังให้ฉัน
ฉันทนไปได้จนถึงเช้าสางวันรุ่งขึ้น พอนึกย้อนไปว่าพวกเจ้าหน้าที่ทรมานฉันยังไง ยังทำให้ฉันสั่นกลัวอยู่เลย พวกเขาข่มขู่ฉัน บอกว่าถ้าฉันไม่พูด พวกเขาจะพาฉันเข้าป่าลึก และวิสามัญฉัน เวลาจับคนใหม่ได้ ก็จะบอกคนนั้นว่าฉันทรยศคริสตจักร เพื่อทำลายชื่อเสียงฉัน ให้พี่น้องชายหญิงเกลียดและทอดทิ้งฉัน ทั้งหมดนั้นทำให้ฉันรู้สึกขลาดและอ่อนแอ ฉันคิดว่า “ตายเสียน่าจะดีกว่า อย่างน้อยก็ได้ไม่ทรยศพระเจ้าเหมือนยูดาส ไม่ถูกพี่น้องชายหญิงทอดทิ้ง ได้เป็นอิสระจากความทุกข์และการทรมานเนื้อหนังด้วยซ้ำ” จากนั้น ฉันก็รอตอนที่พวกเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าฉันเผลอ แล้วฉันก็เอาหัวโขกกำแพงสุดแรง แต่ว่า ฉันแค่ทำให้ตัวเองมึนหัวเท่านั้น ไม่ถึงตาย ตอนนั้น ฉันคิดถึงพระวจนะพระเจ้าที่ว่า “เมื่อผู้อื่นตีความเจ้าผิด เจ้าก็มีความสามารถที่จะอธิษฐานต่อพระเจ้าและพูดว่า ‘โอ พระเจ้า! ข้าพระองค์ไม่ขอให้ผู้อื่นยอมผ่อนปรนให้ข้าพระองค์หรือปฏิบัติต่อข้าพระองค์อย่างดี อีกทั้งไม่ขอให้พวกเขาเข้าใจหรือเห็นชอบในตัวข้าพระองค์ ข้าพระองค์เพียงขอให้ข้าพระองค์มีความสามารถที่จะรักพระองค์ในหัวใจของข้าพระองค์ได้ ขอให้ข้าพระองค์รู้สึกสบายใจ และขอให้มโนธรรมของข้าพระองค์ชัดเจน ข้าพระองค์ไม่ได้ขอให้คนอื่นชมเชย หรือนับถือข้าพระองค์ให้สูงส่ง ข้าพระองค์เพียงพยายามจากหัวใจของข้าพระองค์ที่จะทำให้พระองค์พึงพอพระทัย…’” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มนุษย์สามารถมีความรักแท้จริงได้ โดยการได้รับประสบการณ์กับกระบวนการถลุงเท่านั้น) ใช่ค่ะ ทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจและจิตใจเรา ถ้าเจ้าหน้าที่ใส่ความฉัน และพี่น้องชายหญิงเข้าใจผิดและละทิ้งฉันเพราะว่าไม่รู้ความจริง ก็เป็นเจตนารมณ์ที่ดีของพระเจ้า ทรงทดสอบและทำให้ความเชื่อฉันเพียบพร้อม ฉันควรยอมรับการทรงพินิจพิเคราะห์ ยืนหยัดเป็นพยานให้พระองค์พอพระทัย เมื่อเห็นแผนการของปีศาจแล้ว จู่ๆ ฉันก็รู้สึกผิดและละอายมาก เห็นว่าตัวเองขาดความเชื่อในพระเจ้าแค่ไหน แค่เนื้อหนังทนทุกข์เล็กน้อย ก็ยืนหยัดไม่ได้ อยากหลีกหนีจากสถานการณ์นี้ด้วยความตาย ฉันมันอ่อนแออะไรอย่างนี้! พวกเจ้าหน้าที่ข่มขู่ฉันเพื่อทำให้ฉันทรยศพระเจ้า ถ้าพระเจ้าไม่ทรงอารักขา ฉันคงหลงอุบายซาตานไปแล้ว เมื่อนึกถึงพระวจนะ ฉันก็ได้รับความกระจ่าง ฉันไม่ได้อยากตาย ฉันอยากใช้ชีวิต ยืนหยัดเป็นพยานให้ซาตานอับอาย
เจ้าหน้าที่สองคนที่เฝ้าฉันถามว่าทำไมเอาหัวโขกกำแพง ฉันบอกว่าถูกเจ้าหน้าที่อีกคนตี เจ้าหน้าที่คนหนึ่งหัวเราะและพูดว่า “เรามาเพื่อให้การศึกษากับคุณเป็นหลัก ไม่ต้องห่วง ผมสัญญาว่าเราจะไม่ให้พวกเขาตีคุณอีก” เมื่อเขาพูดแบบนั้น ฉันคิดว่า “เจ้าหน้าที่สองคนนี้ไม่แย่นัก พวกเขาปฏิบัติกับฉันค่อนข้างดีตลอดเวลาที่ผ่านมา” ก็เลยลดความระมัดระวังลง ตอนนั้นเอง ฉันคิดถึงพระวจนะพระเจ้า “ในทุกเวลา ประชากรของเราควรเตรียมพร้อมต่อต้านกลอุบายอันเจ้าเล่ห์ของซาตาน พิทักษ์ประตูบ้านของเราเพื่อเรา…เพื่อหลีกเลี่ยงการตกอยู่ในกับดักของซาตาน ซึ่งในเวลานั้นก็คงจะสายเกินกว่าจะเสียใจ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 3) พระวจนะย้ำเตือนฉันว่า แผนของปีศาจมีหลายรูปแบบ ฉันต้องไม่ถูกหลอกโดยรูปลักษณ์ภายนอก ต้องคอยระวังตลอดเวลา น่าแปลกใจ พวกเขาแสดงเนื้อแท้อย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเริ่มพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า ส่วนอีกคนนั่งอยู่ข้างฉัน ตบเบาๆ ที่ต้นขาฉัน พลางมองฉันอย่างยั่วยวน และถามถึงเงินทุนของคริสตจักร ในตอนกลางคืน เขาถึงกับคลำหน้าอกฉันตอนผล็อยหลับ เมื่อพวกเขาเริ่มแสดงเนื้อแท้เช่นนี้ ฉันโกรธมาก ฉันได้เห็นว่าคนที่ควรเป็นตำรวจของประชาชน ก็เป็นแค่กลุ่มอันธพาล กลุ่มโจร พวกเขาทำเรื่องน่ารังเกียจแบบนั้นค่ะ!
สองสามวันถัดมา เจ้าหน้าที่เข้ากะผลัดเปลี่ยนกัน ไม่ปล่อยให้ฉันนอน แล้วยังสอบปากคำฉันถึงที่ตั้งเงินทุนคริสตจักร พอฉันไม่บอก ความขุ่นเคืองของพวกเขาก็กลายเป็นความโกรธ และหนึ่งในนั้นเริ่มตบหน้าฉันแรงๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หน้าฉันบวมขึ้นและรู้สึกชาไปหมดจากการถูกตี เพราะฉันยังไม่ให้สิ่งที่พวกเขาต้องการ พวกเขาจึงไม่เลิกทรมาน มีอยู่คืนหนึ่ง หัวหน้าเจ้าหน้าที่ตะโกนใส่ฉันว่า “เธอนี่ดื้อนักนะ พยายามทดสอบความอดทนฉันใช่ไหม? ฉันรู้ว่าฉันทำให้เธอยอมได้ ฉันจัดการกับพวกที่ดื้อกว่าเธอมาเยอะ สงสัย เราต้องเลิกเล่นแล้วถ้าอยากให้เธอพูด!” แล้วเขาก็ออกคำสั่ง และเจ้าหน้าที่หลายคนก็เริ่มการทรมาน พวกเขาให้ฉันหมอบลงกับพื้น เหยียดมือฉันข้างที่ใส่กุญแจไปด้านหน้าขา แล้วก็สอดเสาไม้เข้าไปในช่องระหว่างแขนกับขาฉัน โดยที่ตัวฉันขดเป็นลูกบอล แล้วพวกเขาก็ยกเสาขึ้น และวางไว้ระหว่างโต๊ะสองตัว ให้ตัวฉันทั้งตัวแขวนอยู่ในอากาศ โดยที่หัวฉันห้อยลง ตอนแรกที่พวกเขาจับฉันแขวน หัวฉันเริ่มปวดตุบๆ หายใจไม่ออก เหมือนกำลังจะขาดอากาศ เพราะว่าฉันถูกแขวนกลับหัว น้ำหนักตัวทั้งหมดก็เลยอยู่ที่ข้อมือ ตอนแรก เพื่อไม่ให้ร่องฟันบนกุญแจมือบาดผิวฉัน ฉันเลยดึงมือเข้าหากัน และม้วนตัวขึ้นเป็นลูกบอล ยึดแน่นอยู่ในท่านั้น แต่สักพัก ฉันก็เหนื่อยเกินจะยกตัวขึ้น มือของฉันลื่นหลุดจากข้อเท้ามาอยู่ที่เข่า ร่องฟันของกุญแจมือก็บาดลึกเข้าข้อมือ ทำให้ปวดแสบปวดร้อน หลังจากถูกแขวนอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ฉันรู้สึกเหมือนเลือดทั้งหมดในตัวลงไปอยู่ที่หัว หัวกับตาก็ปวดตุบๆ แรงจนฉันคิดว่ามันจะระเบิด กุญแจมือบาดลึกเข้าข้อมือฉัน มือฉันบวมขึ้นเหมือนลูกโป่ง ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย ร้องออกมาอย่างสิ้นหวังว่า “ทนไม่ไหวแล้ว เอาฉันลงที!” แต่เจ้าหน้าที่แค่ตะคอกว่า “ไม่มีใครช่วยเธอได้ มีแค่เธอที่ช่วยตัวเองได้ บอกเรามาชื่อเดียวเท่านั้น แล้วเราจะเอาลงมา” สุดท้าย เมื่อเห็นชัดว่าฉันอาการไม่ดีเท่านั้นพวกเขาจึงเอาฉันลง บังคับให้ฉันกลืนน้ำเชื่อมกลูโคส แล้วก็สอบปากคำต่อ ฉันทรุดลงกับพื้น หลับตาแน่นและเพิกเฉยพวกเขา ฉันตกใจที่พวกเจ้าหน้าที่จับฉันแขวนอีกรอบ ครั้งนี้แขนฉันไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่เลย ฉันจึงแค่สู้ทนไป ขณะที่กุญแจมือก็บาดข้อมือ ร่องฟันของมันเฉือนเข้าเนื้อหนังฉัน ฉันร้องออกมาด้วยความทุกข์ระทม เหนื่อยเกินจะดิ้นรนแล้ว ลมหายใจกลายเป็นแผ่วบาง ฉันคิดว่ารอบนี้ฉันคงได้ตายจริงๆ ตอนที่ใกล้จะตาย ฉันพูดกับพระเจ้าในใจว่า “พระเจ้า! ข้าพระองค์ใกล้ตายแล้วจริงๆ ข้าพระองค์รู้สึกกลัวมาก แต่ถึงจะตายคืนนี้ ข้าพระองค์ก็จะยังสรรเสริญพระองค์ พระเจ้า! ขอบคุณที่ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์จากโลกที่ชั่วร้ายและทรงพาไปอยู่หน้าพระพักตร์ ทรงพาข้าพระองค์ที่ร่อนเร่และหลงทาง เข้าสู่อ้อมกอดอบอุ่นของพระองค์ พระเจ้า! ข้าพระองค์ได้ชื่นชมพระคุณและชีวิตที่บริบูรณ์เหลือคณา แต่ตอนนี้ที่ชีวิตกำลังจะถึงจุดจบเท่านั้น จึงได้รู้ว่ายังไม่ได้ลุล่วงหน้าที่เพื่อตอบแทนความรักของพระองค์ ทำร้ายและทำให้ทรงผิดหวังหลายครั้ง ข้าพระองค์เป็นเหมือนเด็กไร้เหตุผล ที่ชื่นชมความรักของพ่อแม่เท่านั้น แต่ไม่เคยทำสิ่งใดเพื่อตอบแทนพวกท่าน ตอนนี้ สิ่งที่ข้าพระองค์เสียใจที่สุดคือ ข้าพระองค์ไม่เคยทำเพื่อพระองค์ และติดค้างพระองค์มากนัก หากมีชีวิตรอดไปจากที่นี่ได้ ข้าพระองค์จะทำหน้าที่ให้ลุล่วงแน่แท้ พระเจ้า โปรดประทานความเชื่อและกำลังให้ด้วยเถิด ขอทรงกำจัดความกลัวตาย ให้ข้าพระองค์เผชิญหน้าอย่างแน่วแน่…” น้ำตาไหลลงไปตามหน้าผากฉันเป็นสาย ทั้งหมดที่ได้ยินก็มีแค่เสียงนาฬิกาเดิน เหมือนกำลังนับถอยหลังเวลาที่ฉันเหลืออยู่ ตอนนั้นเอง มีสิ่งน่าอัศจรรย์เกิดขึ้น เหมือนความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ห่อหุ้มฉันไว้ แล้วฉันก็ค่อยๆ เลิกรู้สึกเจ็บปวดอย่างช้าๆ ค่ะ ฉันคิดถึงพระวจนะที่ว่า “ในบรรดาทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในจักรวาล ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราไม่ได้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย มีสิ่งใดหรือที่ไม่ได้อยู่ในมือของเรา?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 1) ใช่ค่ะ ทรงครองอธิปไตยเหนือชะตากรรมเรา พระเจ้าทรงตัดสินใจว่าฉันจะอยู่หรือตาย ฉันควรมอบตนไว้ในพระหัตถ์ นบนอบต่อการจัดการเตรียมการ หลังไตร่ตรองพระวจนะพระเจ้า ฉันรู้สึกสงบและมั่นคง ฉันผล็อยหลับไป โดยที่ไม่ทันรู้ตัว ตำรวจกลัวว่าฉันจะตาย จึงปล่อยฉันลงมา และรีบเอาน้ำกับกลูโคสให้ฉัน ในช่วงนั้น ขณะที่กำลังจะตาย ฉันได้เป็นพยานถึงพระราชกิจอันน่าอัศจรรย์ของพระเจ้า
ตลอดทั้งคืนนั้น พวกเจ้าหน้าที่จับฉันแขวนต่อไปเป็นระยะ สอบปากคำฉันถึงเงินทุนของคริสตจักร ฉันไม่บอกอะไรพวกเขา พวกเขาก็ทรมานฉันต่อไป ฉันนึกถึงพระวจนะที่ว่า “หลายพันปีแห่งความเกลียดชังถูกทำให้เข้มข้นอยู่ภายในหัวใจ หลายสหัสวรรษแห่งความเปี่ยมบาปถูกจารึกอยู่บนหัวใจ—การนี้จะไม่บันดาลความเกลียดได้อย่างไร? จงล้างแค้นให้พระเจ้า ดับศัตรูของพระองค์ให้สิ้น จงอย่ายอมให้มันวิ่งอาละวาดอีกต่อไป และจงอย่าอนุญาตให้มันก่อปัญหามากมายอย่างที่มันปรารถนาอีกต่อไป! บัดนี้ถึงเวลาแล้ว กล่าวคือ มนุษย์ได้รวบรวมพละกำลังทั้งหมดของเขามานานแล้ว เขาได้อุทิศความพยายามทั้งหมดของเขาและได้จ่ายทุกราคาเพื่อการนี้ เพื่อฉีกโฉมหน้าที่น่าขยะแยงของปีศาจตนนี้ออก และเปิดโอกาสให้ผู้คน ผู้ซึ่งถูกทำให้มืดบอด และผู้ซึ่งได้สู้ทนความทุกข์และความยากลำบากมาแล้วทุกรูปแบบ ได้ลุกขึ้นจากความเจ็บปวดของพวกเขาและหันหลังของพวกเขาให้แก่มารชั่วที่แก่ชราตนนี้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8)) พระวจนะปลูกฝังความมั่นใจและกำลังไว้ในตัวฉันเยอะมาก ฉันจะสู้กับซาตานจนตาย เป็นพยานให้กับพระเจ้าแม้จะตายในกระบวนการ ด้วยการนำของพระวจนะพระเจ้า ฉันเหมือนจะลืมความเจ็บปวดไป หลังจากนั้น แต่ละครั้งที่พวกเขาจับฉันแขวน พระวจนะของพระเจ้าก็หนุนใจและมอบกำลังให้ฉัน ยิ่งพวกเขาจับฉันแขวน ฉันก็ยิ่งเห็นเนื้อแท้เยี่ยงปีศาจชัด ยิ่งตั้งใจจะยืนหยัดเป็นพยานให้พระเจ้าพอพระทัย สุดท้าย พวกเขาก็หมดแรงและมารวมตัวกัน พูดว่า “คนส่วนมากทนได้ไม่ถึง 30 นาที เธอต้องเป็นตัวอย่างหนึ่งที่อึดมากแน่ๆ ถึงทนได้นานขนาดนี้!” พอได้ยินอย่างนั้น ฉันตื่นเต้นมากและคิดว่า “พระเจ้าทรงหนุนหลังฉัน พวกแกโค่นฉันไม่ได้หรอก!” ตลอดเก้าวันเก้าคืนที่สถานีตำรวจ พวกเจ้าหน้าที่ทรมานและทารุณฉันต่อเนื่อง ไม่ปล่อยให้นอน ทันทีที่ฉันหลับตาลง พวกเขาก็เริ่มเอาไม้กระบองเคาะโต๊ะถี่ๆ และบอกให้ฉันยืนขึ้น หรือวิ่ง บางครั้งก็แค่ตะโกนใส่ฉัน พวกเขาอยากให้ฉันล้า อยากทำให้ฉันเสียสติ หลังเก้าวัน ตำรวจยังไม่ได้ข้อมูลที่ต้องการ ก็เลยพาฉันไปที่โรงแรม บังคับให้ฉันเอามือที่ใส่กุญแจไปไว้ที่เท้า จากนั้นพวกเขาก็สอดคานไม้เข้ามาตรงช่องระหว่างแขนกับขาฉัน ให้ฉันอยู่ในท่านั่งขดตัวกลมอยู่บนพื้น สองสามวันจากนั้น พวกเขาให้ฉันอยู่บนพื้นในท่านั้นทั้งวัน กุญแจมือบาดลึกเข้าผิวฉัน มือกับข้อมือกลายเป็นสีม่วงและบวมเป่ง บั้นท้ายฉันเจ็บมากจนไม่กล้าไปโดน รู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนเตียงเข็ม วันหนึ่ง หัวหน้าเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเห็นว่าไม่มีอะไรคืบหน้า เขาก็เดินเลยมาหาฉันและตบฉันอย่างแรง จนฟันฉันสองซี่โยกคลอน สุดท้าย หัวหน้าส่วนสองคนจากกรมจังหวัดมา ทันทีที่มาถึง พวกเขาถอดกุญแจมือให้ฉัน อุ้มฉันขึ้นนั่งบนโซฟา และเอาน้ำให้หนึ่งแก้ว พูดด้วยน้ำเสียงเห็นใจว่า “ทุกวันนี้คุณต้องเจอหนัก พวกเขาแค่ทำตามคำสั่ง อย่าถือสาพวกเขาเลย…” ความเอื้อเฟื้อปลอมๆ ทำให้ฉันขบฟันด้วยความรังเกียจ แล้วพวกเขาก็เปิดคอมพิวเตอร์ ให้ฉันดูหลักฐานปลอม กล่าวคำหมิ่นประมาทและกล่าวหาพระเจ้ามากมาย ฉันโกรธมากและอยากโต้แย้งพวกเขา แต่ก็รู้ว่ามีแต่จะทำให้พวกเขาหมิ่นประมาทพระเจ้าอย่างลำพองกว่าเดิม ในตอนนั้น ฉันรู้สึกได้ว่าการที่พระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์ต้องเจ็บปวดแค่ไหน ทรงทนอัปยศแค่ไหนเพื่อช่วยมวลมนุษย์ และได้เห็นว่าปีศาจต่ำช้าน่ารังเกียจแค่ไหน ฉันสาบานเงียบๆ อยู่ในใจ ขอตัดขาดกับซาตานสิ้นเชิง ปฏิญาณภักดีต่อพระเจ้าตลอดไป! หลังจากนั้น ถึงพวกเขาพยายามเกลี้ยกล่อมยังไง ฉันก็เมินเฉย หัวหน้าส่วนโน้มน้าวฉันไม่ได้ และจากไปอย่างฉุนเฉียว
ตลอดสิบวันสิบคืนที่โรงแรม เจ้าหน้าที่ใส่กุญแจมือฉันไขว้ขาไว้ พร้อมให้หมอบกับพื้นเกือบตลอดเวลา นับจากที่ถูกจับกุม ตลอด 19 วันทั้งที่สถานีตำรวจและโรงแรม เจ้าหน้าที่ไม่เคยปล่อยให้ฉันนอน อย่างดีที่สุดคือฉันได้พักสักครู่ในขณะที่พวกเขาไม่ได้มอง ทันทีที่เจ้าหน้าที่สักคนเห็นว่าตาฉันปิด พวกเขาจะทุบโต๊ะดังๆ เตะฉัน หรือไม่ก็ตะโกนเสียงดังใส่ หรือสั่งให้ฉันไปวิ่ง ทุกครั้งที่ฉันสะดุ้ง หัวใจฉันสั่นรุนแรงมาก ฉันประหม่าตลอดเวลา ประกอบกับที่ถูกทรมาน ฉันสิ้นเรี่ยวสิ้นแรงไปหมด และร่างกายทั้งตัวก็บวมขึ้น มองเห็นภาพซ้อนกัน เสียงคนพูด เสียงต่างๆ ก็ฟังเหมือนอยู่ไกล การตอบสนองก็กลายเป็นช้ามากๆ ฉันผ่านความยากลำบากนักหนาสาหัสมาได้ด้วยมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้น ดังเช่นพระวจนะพระเจ้าที่ว่า “พระเจ้าไม่เคยทรงห่างหายไปจากหัวใจของมนุษย์ และพระองค์สถิตอยู่ท่ามกลางมนุษย์ตลอดเวลา พระองค์ทรงเป็นแรงขับเคลื่อนสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์ รากฐานของการดำรงอยู่ของมนุษย์ และแหล่งสะสมอันอุดมสำหรับการดำรงอยู่ของมนุษย์หลังกำเนิด พระองค์ทรงทำให้มนุษย์เกิดใหม่ และทรงทำให้เขาสามารถใช้ชีวิตในทุกบทบาทของเขาได้อย่างมุ่งมั่นไม่ท้อถอย เนื่องเพราะฤทธานุภาพของพระองค์และพลังชีวิตอันมิอาจดับมอดของพระองค์ มนุษย์ได้ใช้ชีวิตมารุ่นแล้วรุ่นเล่า ซึ่งตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาพลังแห่งชีวิตของพระเจ้าได้เป็นหลักค้ำจุนสำคัญแห่งการดำรงอยู่ของมนุษย์ และพระเจ้าได้ทรงจ่ายราคาซึ่งมนุษย์ธรรมดาไม่เคยจ่ายมาก่อน พลังชีวิตของพระเจ้าสามารถพิชิตพลังอำนาจใดๆ ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมากล้นเกินกว่าพลังอำนาจใดๆ ชีวิตของพระองค์เป็นนิรันดร์ ฤทธานุภาพของพระองค์นั้นพิเศษกว่าความธรรมดาสามัญ และพลังชีวิตของพระองค์ก็ไม่สามารถถูกเอาชนะได้โดยสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดหรือกองกำลังศัตรูใด” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้) ฉันได้เป็นพยานถึงฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้าผ่านประสบการณ์นี้ ฉันขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจ สุดท้าย เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรจากฉัน จึงส่งฉันไปที่สถานกักกัน
ระหว่างทางไปสถานกักกัน เจ้าหน้าที่สองคนพูดกับฉันว่า “คุณทำได้ดีมาก พวกคุณอาจได้อยู่ในสถานกักกัน แต่ก็ยังเป็นคนดี ที่นั่นมีคนทุกประเภท คนค้ายา ฆาตกร โสเภณี มีหมด” ฉันถามพวกเขา “ถ้ารู้ว่าเราเป็นคนดี แล้วจับเราทำไม ประเทศอ้างว่ามีเสรีภาพทางศาสนาไม่ใช่เหรอ?” พวกเขาพูดว่า “พรรคคอมมิวนิสต์จีนโกหกคุณ เรารับเงินเดือนจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน ก็ต้องทำตามพวกเขาพูด เราไม่มีอะไรต่อต้านคุณ เราแค่ต้องจับคุณเพราะคุณเชื่อในพระเจ้า” หลังคุยกับพวกเขาและคิดย้อนไปถึงทุกอย่างที่ฉันประสบ จู่ๆ ฉันก็นึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่ง “เสรีภาพทางศาสนาหรือ? สิทธิและผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองทั้งหลายหรือ? สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดเป็นเพทุบายเพื่อปิดบังบาป!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8)) จากประสบการณ์นี้ ฉันได้เห็นทางพรรคส่งเสริมตนเองโดยการหลอกลวงประชาชน พวกเขาอ้างว่าสนับสนุนเสรีภาพทางศาสนา แต่ที่จริงกลับลำพองตน จับกุม ปราบปราม และทารุณผู้เชื่อในพระเจ้า ห้ามพระราชกิจพระเจ้าโดยไร้ผล และปล้นเงินทุนของคริสตจักรไป โดยไร้ยางอายสิ้นดี ทั้งหมดนี้เปิดโปงธรรมชาติเยี่ยงปีศาจที่เกลียดความจริง เกลียดพระเจ้าอย่างถ้วนทั่ว
ในช่วงที่อยู่สถานกักกัน ฉันได้ผ่านความทุกข์และการทรมานอีกมาก แต่พระวจนะพระเจ้าหนุนใจฉันเสมอ มอบกำลังและความเชื่อให้ ตอนที่ทำงานในสถานกักกัน ฉันจะร้องเพลงสรรเสริญ ใคร่ครวญความรักของพระเจ้าเงียบๆ รู้สึกเหมือนพระเจ้าทรงใกล้ชิดฉันกว่าเดิม
ต่อมา ตำรวจถอนเงินทั้งหมดจากบัตรธนาคารสามใบที่ยึดมาได้ ฉันเสียใจมากที่เห็นเงินทุนของคริสตจักร ตกไปอยู่ในมือของพวกเขา ฉันเกลียดปีศาจพวกนั้นทั่วทุกอณูขุมขน สุดท้าย พวกเขากุข้อกล่าวหาใส่ฉันโดยไม่มีมูลว่า “รบกวนความสงบเรียบร้อย” ให้รับการศึกษาใหม่โดยใช้แรงงาน หนึ่งปีสามเดือน
การข่มเหงที่โหดร้ายของทางพรรค ทำให้ฉันเห็นแก่นแท้เยี่ยงปีศาจที่เกลียดและต้านทานพระเจ้า ฉันสาปแช่งและหันหลังให้พวกเขา ขณะเดียวกันฉันได้ประสบกับความรักและความรอดของพระเจ้า เป็นพระวจนะพระเจ้าที่นำฉันผ่านวันคืนที่ยากลำบากที่สุด ช่วยให้รอดพ้นจากการทารุณข่มเหงที่โหดร้ายของซาตาน ขอบคุณพระเจ้า!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ