ใช้วัยสาวในคุก

วันที่ 27 เดือน 08 ปี 2020

โดยเฉินซี มณฑลเหอเป่ย

ทุกคนพูดว่าวัยหนุ่มสาวของเราเป็นช่วงเวลาที่แจ่มจรัสที่สุดและบริสุทธิ์ที่สุดของชีวิต บางทีสำหรับหลายคน ช่วงปีเหล่านั้นเต็มไปด้วยความทรงจำที่งดงาม แต่สิ่งที่ฉันไม่เคยคาดคิดก็คือฉันใช้วัยสาวของฉันในคุก คุณอาจจะคิดแปลกๆ กับฉันเพราะเรื่องนี้ แต่ฉันไม่เสียใจเลย ถึงแม้ว่าช่วงเวลาเบื้องหลังกรงขังจะเต็มไปด้วยความขมขื่นและน้ำตา มันก็เป็นของขวัญอันล้ำค่าที่สุดของชีวิตฉัน และฉันได้รับอะไรจากมันเยอะมาก

ฉันเกิดในครอบครัวที่มีความสุข และตอนเป็นเด็กฉันก็นมัสการพระเยซูตามแม่ของฉัน ตอนที่ฉันอายุสิบห้า ฉันกับครอบครัวเชื่อมั่นว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา และยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์ด้วยความยินดี

วันหนึ่งในเดือนเมษายนของปี ค.ศ. 2002 ตอนที่ฉันอายุสิบเจ็ดปี ฉันกับพี่น้องหญิงคนหนึ่งออกไปทำหน้าที่ทั้งหลายของเราให้ลุล่วง เวลาตีหนึ่งตอนเช้าตรู่ พวกเรากำลังหลับสนิทอยู่ที่บ้านเจ้าบ้านของเราตอนที่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงเคาะประตูที่ดังและรีบเร่ง เราได้ยินใครคนหนึ่งข้างนอกตะโกน “เปิดประตู! เปิดประตู!” ทันทีที่พี่น้องหญิงเจ้าบ้านของเราเปิดประตู ฉับพลันเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนก็ผลักประตูเปิดออกและกรูกันเข้ามา พูดอย่างเกรี้ยวกราด “เรามาจากกองความมั่นคงสาธารณะ” พอได้ยินสามคำนี้ “กอง ความมั่นคง สาธารณะ” ฉันก็วิตกขึ้นมาทันที พวกเขามาจับเราเพราะความเชื่อในพระเจ้าของเราหรือเปล่า? ฉันเคยได้ยินเรื่องที่พี่น้องชายหญิงบางคนถูกจับและข่มเหงเนื่องจากความเชื่อของพวกเขา เป็นไปได้ไหมว่ามันกำลังเกิดขึ้นกับฉัน? ตอนนั้นเองที่หัวใจของฉันเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำ ด้วยความตื่นตกใจ ฉันจึงทำอะไรไม่ถูกเลย ดังนั้นฉันจึงรีบอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์วิงวอนให้พระองค์อยู่กับข้าพระองค์ ทรงมอบศรัทธาและความกล้าหาญให้ข้าพระองค์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าพระองค์ก็พร้อมจะยืนหยัดเป็นพยานให้พระองค์เสมอ ข้าพระองค์ขอร้องให้พระองค์ทรงมอบพระปรีชาญาณของพระองค์ให้ข้าพระองค์ และประทานถ้อยคำที่ข้าพระองค์ควรพูดด้วย และโปรดหักห้ามไม่ให้ข้าพระองค์ทรยศพระองค์และไม่ให้ขายพี่น้องชายหญิงของข้าพระองค์” หลังจากอธิษฐาน หัวใจของฉันก็ค่อยๆ สงบลง ฉันเห็นนายตำรวจชั่วสี่หรือห้าคนรื้อค้นบ้านทั้งหลังเหมือนกับโจร ค้นเตียงนอน ตู้และกล่องทุกใบ ค้นถึงขนาดสิ่งที่อยู่ใต้เตียงจนในที่สุดก็ก็เจอหนังสือพระวจนะของพระเจ้ารวมถึงซีดีเพลงสรรเสริญ สารวัตรตำรวจพูดกับฉันด้วยเสียงเรียบเฉย “การที่คุณมีของเหล่านี้ในครอบครองเป็นหลักฐานว่าคุณเชื่อในพระเจ้า ตามมาให้ปากคำกับเราซะ” ฉันพูด้วยความตกใจ “ถ้าต้องให้ปากคำฉันก็ขอให้ตรงนี้เลยค่ะ ฉันไม่อยากไปกับคุณ” เขาปั้นยิ้มทันทีแล้วก็ตอบว่า “ไม่ต้องกลัว ไปให้ปากคำเดี๋ยวหนึ่งเถอะ แป๊บเดียวผมก็พาคุณกลับมาส่งแล้ว” เชื่อตามที่เขารับปาก ฉันจึงตามพวกเขาขึ้นรถตำรวจไป

ฉันไม่ได้นึกเลยว่าการเดินทางเล็กๆ นั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตในคุกของฉัน

ทันทีที่เราไปถึงลานของสถานีตำรวจ ตำรวจชั่วพวกนั้นก็เริ่มตะคอกให้ฉันออกมาจากรถ สีหน้าของพวกมันเปลี่ยนไปเร็วมาก และพวกมันก็ต่างไปจากก่อนหน้านี้เหมือนพลิกฝ่ามือ พอเราไปถึงสำนักงาน เจ้าหน้าที่หุ่นกำยำหลายคนก็เข้ามายืนกระหนาบฉัน ตอนนี้พวกมันควบคุมตัวฉันไว้แน่นหนา หัวหน้าของกลุ่มนายตำรวจชั่วนั่นแผดเสียงใส่ฉัน “แกชื่ออะไร? แกมาจากไหน? พวกแกมีกันทั้งหมดกี่คน?” ฉันเพิ่งจะเปิดปากยังไม่ทันได้ตอบดีตอนที่มันสาวเท้าเข้ามาตบหน้าฉันสองครั้ง—เผี่ย เผี่ย! ฉันตะลึงงัน นึกสงสัยกับตัวเอง “คุณตบฉันทำไม? ทำไมคุณถึงหยาบคายและป่าเถื่อน ต่างจากภาพตำรวจของประชาชนที่ฉันวาดไว้อย่างสิ้นเชิงอย่างนี้?” แล้วมันก็ถามต่อไปว่าฉันอายุเท่าไหร่ แล้วพอฉันตอบไปตามตรงว่าฉันอายุสิบเจ็ดปี มันก็ตบหน้าฉันอีกสองครั้งและด่าว่าฉันโกหก หลังจากนั้น ไม่ว่าฉันพูดอะไร มันก็ตบหน้าฉันไม่เลือกครั้งแล้วครั้งเล่าจนถึงจุดที่ฉันเห็นดาว หูอื้อตาลายไปหมด และหน้าของฉันก็แสบร้อนด้วยความเจ็บปวด ตอนนั้นเองที่ฉันเข้าใจในที่สุดว่า นายตำรวจชั่วพวกนี้ไม่ได้พาฉันไปที่นั่นเพื่อถามอะไรเลยสักนิด พวกมันแค่ต้องการใช้ความรุนแรงบังคับให้ฉันยอมตาม ฉันจำได้ว่าเคยได้ยินพี่น้องชายหญิงของฉันพูดว่าการพยายามใช้เหตุผลกับตำรวจชั่วพวกนี้ไม่เป็นผลเลย แต่จะก่อปัญหาไม่จบสิ้นแทน ตอนนี้ เมื่อได้ประสบมันด้วยตัวเอง หลังจากนั้นฉันก็ไม่พูดอะไรอีกไม่ว่าพวกมันจะถามอะไร เมื่อพวกมันเห็นว่าฉันไม่พูด พวกมันก็ตวาดใส่ฉัน "นังบ้า! ฉันจะสั่งสอนให้แกสำนึก ไม่อย่างนั้นแก่คงไม่ให้การตามความจริงแน่!" พอพูดจบ หนึ่งในพวกมันก็ต่อยอกฉันอย่างแรงสองครั้ง ทำให้ฉันเซล้มลงกับพื้นอย่างแรง แล้วมันก็เตะฉันอย่างแรงสองครั้ง ฉุดฉันลุกขึ้นจากพื้น และตะคอกให้ฉันคุกเข่าลง ฉันไม่ทำตาม มันก็เลยเตะเข่าฉันสองสามครั้ง คลื่นความเจ็บปวดรุนแรงแผ่ไปทั่วตัวฉันจนฉันทรุดลงคุกเข่ากับพื้นเสียงดังอย่างฝืนไม่ได้ มันจิกผมฉันดึงลงอย่างแรง แล้วก็กระชากหัวฉันไปข้างหลัง บังคับให้ฉันเงยหน้า มันสบถใส่ฉันพร้อมกับตบหน้าฉันอีกสองครั้ง สิ่งเดียวที่ฉันรู้สึกก็คือโลกหมุนไปหมด ในเวลานี้ ฉันร่วงลงกับพื้น ตอนนั้นเอง หัวหน้าของพวกตำรวจชั่วก็เห็นน่าฬิกาที่ข้อมือของฉัน มันจ้องมองอย่างยากได้แล้วตะคอก "นั่นแกสวมอะไรน่ะ?" หนึ่งในพวกตำรวจนั่นคว้าข้อมือฉันแล้วดึงนาฬิกาออกไปอย่างแรง แล้วก็เอาให้ "เจ้านาย" ของมัน การเห็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจแบบนี้ทำให้ฉันเต็มไปด้วยความเกลียดชังพวกมัน หลังจากนั้น พอมันถามคำถามฉันอีก ฉันก็เพียงแค่จ้องพวกมันนิ่ง ซึ่งนั่นทำให้พวกมันโกรธมากขึ้นไปอีก หนึ่งในพวกนายตำรวจชั่วคว้าคอเสื้อฉันเหมือนหยิบลูกเจี๊ยบ และยกฉันขึ้นจากพื้นเพื่อคำรามใส่ฉัน "โอ้ แกแน่มากใช่ไหม? ไม่ยอมตอบก็ต้องเจอแบบนี้!" พอมันพูดจบ มันก็ต่อยฉันอย่างแรงอีกสองครั้ง จนฉันลงไปกองกับพื้นอีก ถึงตอนนั้นฉันก็เจ็บจนทนไม่ได้ไปทั้งตัว และไม่มีพละกำลังจะดิ้นรนอีกต่อไป ฉันนอนปิดตานิ่งไม่ไหวติงอยู่กับพื้น ในหัวใจของฉัน ฉันอ้อนวอนต่อพระเจ้าอย่างเร่งด่วน: "โอ พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าพวกนายตำรวจชั่วนี่จะทำป่าเถื่อนอะไรกับข้าพระองค์อีก พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์มีวุฒิภาวะน้อยนัก และร่างกายของข้าพระองค์ก็อ่อนแอ ข้าพระองค์วิงวอนให้พระองค์ทรงปกป้องคุ้มครองข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยอมตายดีกว่าที่จะเป็นยูดาสและทรยศพระองค์" หลังจากฉันอธิษฐานจบ พระเจ้าก็ทรงมอบศรัทธาและพละกำลังให้ฉัน ฉันยอมตายโดยเร็วดีกว่าเป็นยูดาสด้วยการทรยศพระเจ้า และขายพี่น้องชายหญิงของฉัน ฉันจะยืนหยัดเป็นพยานให้พระเจ้าอย่างเด็ดเดี่ยว ตอนนั้นเอง ฉันได้ยินใครบางคนข้างๆ ฉันพูดว่า "ทำไมมันนิ่งไปเลยล่ะ? ตายหรือเปล่า?" หลังจากนั้น ใครบางคนก็จงใจใช้เท้าเหยียบบี้ลงบนมือฉันอย่างแรงพร้อมกับแผดเสียงใส่ฉันอย่างป่าเถื่อน "ลุกขึ้น! พวกเราจะพาแกไปที่อื่น ถ้าไปถึงที่นั่นแล้วแกยังไม่พูดอีก แกจะโดนหนักกว่านี้แน่!" เพราะว่าพระเจ้าประทานศรัทธาและพละกำลังให้ฉันแล้ว ฉันจึงไม่กลัวคำขู่ของพวกมันเลยสักนิด ในหัวใจของฉัน ฉันเตรียมใจสู้กับซาตานแล้ว

ต่อมา ฉันถูกควบคุมตัวไปยังกองความมั่นคงสาธารณะประจำเขต เมื่อเราไปถึงห้องสอบสวน หัวหน้าของพวกนายตำรวจชั่วนั่นและอีกสองคนก็ล้อมฉันและถามฉันซ้ำแล้วซ้ำอีก สาวเท้าเข้าออกตรงหน้าฉันและพยายามบังคับให้ฉันขายบรรดาผู้นำของคริสตจักรของฉันและพี่น้องชายหญิงของฉัน เมื่อพวกมันเห็นว่าฉันยังไม่ยอมตอบสิ่งที่พวกมันต้องการได้ยิน พวกมันสามคนก็ผลัดกันตบหน้าฉันซ้ำแล้วซ้ำอีก ฉันไม่รู้ว่าฉันโดนตบไปกี่ครั้ง ฉันได้ยินแต่เสียงฉาดตอนที่พวกมันตบฉัน เสียงที่ดูเหมือนจะอื้ออึงตัดกับความเงียบยามดึกสงัด พวกตำรวจชั่วเจ็บมือจนเริ่มตบฉันด้วยหนังสือแทน พวกมันตบฉันจนในที่สุดฉันก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอีกต่อไปด้วยซ้ำ ใบหน้าของฉันแค่รู้สึกบวมชา สุดท้าย เมื่อพวกมันเห็นว่าไม่สามารถเค้นข้อมูลที่มีค่าจากฉันได้ พวกนายตำรวจชั่วก็หยิบสมุดเบอร์ติดต่อออกมา และพูดด้วยความพอใจกับตัวเองว่า "เราเจอนี่ในกระเป๋าของแก ถึงแกจะไม่ยอมบอกอะไรเรา เราก็ยังมีไพ่ในมืออยู่หรอกน่า!" ทันใดนั้นฉันก็รู้สึกกังวลอย่างมาก: ถ้าพี่น้องชายหญิงของฉันคนไหนรับโทรศัพท์ ก็อาจจะทำให้พวกเขาถูกจับได้ และยังอาจจะสาวไปถึงคริสตจักร ซึ่งผลที่ตามมาอาจจะเลวร้ายมากได้ ตอนนั้นเองที่ฉันนึกถึงบทตอนหนึ่งของพระวจนะของพระเจ้า: “จากทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในจักรวาล ไม่มีสิ่งใดในนั้นเลยที่เราไม่ได้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย มีสิ่งใดที่ไม่ได้อยู่ในมือของเราหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 1) "ใช่แล้ว" ฉันคิดกับตัวเอง "สรรพสิ่งและทุกเหตุการณ์เรียบเรียงจัดวางและจัดการเตรียมการในพระหัตถ์ของพระเจ้า แม้แต่เรื่องจะโทรติดหรือไม่ก็ขี้นอยู่กับการตัดสินใจของพระเจ้าทั้งหมด ฉันเต็มใจยำเกรงและวางใจในพระเจ้าและนบนอบต่อการเรียบเรียงจัดวางของพระองค์" ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีก วิงวอนให้พระองค์ทรงปกป้องคุ้มครองบรรดาพี่น้องชายหญิงเหล่านี้ ผลก็คือ พวกมันโทรตามเบอร์โทรศัพท์พวกนั้นหนึ่งรอบ และบางสายก็ดังแต่ไม่มีคนรับ ในขณะที่สายอื่นโทรไม่ติดเลย สุดท้าย พวกตำรวจชั่วก็พ่นคำสบถด้วยความหัวเสีย โยนสมุดเบอร์ติดต่อลงบนโต๊ะและเลิกพยายาม นี่เป็นตัวอย่างที่แท้จริงถึงพระมหิทธิฤทธิ์และอำนาจอธิปไตยของพระเจ้า และกิจการอันอัศจรรย์ของพระองค์ ฉันอดไม่ได้ที่จะแสดงความขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้า

แต่อย่างไรก็ตาม พวกมันก็ยังไม่ยอมแพ้ และยังคงสอบสวนฉันเรื่องการงานของคริสตจักรต่อไป ฉันไม่ตอบ พวกมันปั่นป่วนและฉุนเฉียว พวกมันใช้วิธีที่เลวทรามยิ่งขึ้นไปอีกเพื่อพยายามทำให้ฉันเป็นทุกข์: หนึ่งในพวกนายตำรวจชั่วบังคับให้ฉันนั่งยองลงครึ่งเข่า และฉันต้องยืนแขนออกไปในระดับไหล่และไม่ได้รับอนุญาตให้ขยับเขยือนเลย ไม่นาน ขาของฉันก็เริ่มสั่นและฉันไม่สามารถยื่นแขนให้ตรงได้อีกต่อไป และร่างกายของฉันก็เริ่มยืนกลับขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ นายตำรวจนั่นหยิบแท่งเหล็กมาและจ้องฉันเหมือนเสือจ้องมองเหยื่อ พอฉันยืนขึ้นมันก็ตีขาฉันอย่างอย่างโหดร้ายทันที มันเจ็บมากจนฉันเกือบทรุดกลับลงไปคุกเข่าอีก ตลอดครึ่งชั่วโมงต่อจากนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่ขาหรือแขนของฉันขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว มันจะใช้ท่อนเหล็กตีฉันทันที ฉันไม่รู้ว่ามันตีฉันกี่ครั้ง เนื่องจากต้องอยู่ในท่านั่งยองครึ่งเข่าเป็นเวลานาน ขาทั้งสองข้างของฉันจึงบวมขึ้นอย่างมาก และเจ็บจนทนไม่ไหวราวกับกระดูกแตก เมื่อเวลาผ่านไป ขาของฉันก็สั่นหนักขึ้นไปอีก และฟันของฉันก็กระทบกันไม่หยุด ตอนนั้นเอง มันรู้สึกเหมือนพละกำลังของฉันกำลังจะหมดไป และฉันอาจจะเป็นลม แต่ทว่า ตำรวจชั่วนั่นก็แค่เยาะเย้ยถากถางฉันจากข้างหนึ่ง ยิ้มเยาะและหัวเราะเยาะฉันอย่างชั่วร้ายตลอดเวลา เหมือนผู้คนพยายามทำให้ลิงเล่นตลกอย่างโหดร้าย ยิ่งฉันมองใบหน้าอัปลักษณ์น่ารังเกียจของพวกมันมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกเกลียดชังนายตำรวจชั่วพวกนี้มากเท่านั้น ฉันผุดยืนขึนแล้วพูดกับพวกมันเสียงดังว่า "ฉันจะไม่นั่งยองอีกต่อไปแล้ว จะฆ่าจะแกงกันก็เชิญเลย!" วันนี้ฉันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว! ฉันไม่กลัวตายด้วยซ้ำ ดังนั้นฉันจะกลัวพวกแกได้ยังไง? พวกแกเป็นผู้ชายอกสามศอก แต่ดูเหมือนพวกแกจะรู้แค่วิธีรังแกเด็กผู้หญิงอย่างฉันนะ!" แล้วฉันก็ต้องประหลาดใจ หลังจากที่ฉันพูดแบบนี้ กลุ่มตำรวจชั่วก็ตะโกนคำสบถอีกสองสามคำแล้วก็หยุดสอบสวนฉัน ตอนนั้นฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก และฉันเข้าใจว่าสรรพสิ่งและทุกเหตุการณ์ได้รับการเรียบเรียงจัดวางในพระหัตถ์ของพระเจ้า: เมื่อฉันกำจัดความกลัวออกไปจากหัวใจของฉัน สถานการณ์ของฉันก็เปลี่ยนตามไปด้วย ลึกในหัวใจของฉัน ฉันตระหนักอย่างแท้จริงถึงนัยสำคัญของพระวจนะของพระเจ้า: “‘The king’s heart is in the hand of Jehovah, as the rivers of water: He turns it wherever He will’; then how much more so with those nobodies?(“Only by Knowing God’s Almightiness Can You Have a True Belief” in Records of Christ’s Talks). ฉันเข้าใจว่าวันนี้ พระเจ้าได้ทรงอนุญาตให้การข่มเหงของซาตานเกิดขึ้นกับฉัน ไม่ใช่เพื่อทรงจงใจทำให้ฉันเป็นทุกข์ แต่ใช้มันเพื่อเปิดโอกาสให้ฉันตระหนักถึงฤทธานุภาพของพระวจนะของพระเจ้า ทรงนำฉันให้ปลดเปลื้องจากการควบคุมของอิทธิพลมืดของซาตาน และยิ่งไปกว่านั้น เพื่อให้ฉันเรียนรู้ที่จะไว้ใจและยำเกรงพระเจ้าในสถานการณ์อันตรายนี้ต่างหาก

เจ้านายตำรวจชั่วฝูงนี้ได้ทรมานฉันมาเกือบทั้งคืน พอถึงตอนที่พวกมันเลิก ฟ้าก็สว่างแล้ว พวกมันให้ฉันเซ็นชื่อแล้วบอกว่าพวกมันจะขังฉัน หลังจากนั้น นายตำรวจสูงอายุคนหนึ่งก็แสร้งพูดกับฉันอย่างเอื้ออารีว่า "หนู ฟังนะ หนูยังเด็กมาก—อยู่ในวัยแรกแย้ม—ดังนั้นหนูรีบบอกสิ่งที่รู้ทั้งหมดกับพวกเราดีกว่า ลุงรับประกันเลยนะว่าลุงจะให้พวกเขาปล่อยตัวหนู ถ้าหนูมีปัญหาอะไร บอกลุงได้เลย ฟังนะ หน้าหนูบวมฉึ่งเป็นขนมปังแถวแล้ว ยังทรมานมาไม่พออีกเหรอ?" ได้ยินมันพูดแบบนี้ ฉันรู้ว่ามันแค่พยายามล่อให้ฉันสารภาพอะไรสักอย่างหนึ่ง ฉันยังนึกถึงบางอย่างที่พี่น้องชายหญิงของฉันพูดไว้ระหว่างการชุมนุม: เพื่อให้ได้สิ่งที่พวกมันต้องการ พวกตำรวจชั่วจะใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็งและใช้กลอุบายทุกรูปแบบเพื่อหลอกลวงผู้คน พอคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็ตอบนายตำรวจเฒ่าคนนั้นว่า "อย่าทำเหมือนเป็นคนดีเลย พวกแกมันก็พวกเดียวกันนั่นแหละ อยากให้ฉันสารภาพอะไรงั้นเหรอ? สิ่งที่พวกแกกำลังทำน่ะเรียกว่าการขู่เข็ญให้สารภาพ นี่เป็นการลงโทษอย่างผิดกฎหมาย!" เมื่อได้ยินแบบนี้ มันก็ตีหน้าซื่อแล้วแย้งว่า "แต่ลุงยังไม่เคยทำร้ายหนูเลยนะ พวกเขาต่างหากที่ซ้อมหนู" ฉันขอบคุณการทรงนำและการปกป้องคุ้มครองของพระเจ้า ซึ่งอนุญาตให้ฉันชนะการทดลองของซาตานอีกครั้งหนึ่ง

หลังจากออกจากกองความมั่นคงสาธารณะประจำเขต พวกมันก็ขังฉันในสถานกักกันทันที ทันทีที่เราเดินเข้าประตูหน้าไป ฉันก็เห็นว่าที่นั่นล้อมรอบไปด้วยกำแพงสูงลิบพร้อมกับรั้วลวดหนามไฟฟ้าบนขอบกำแพง และในทั้งสี่มุมก็มีสิ่งที่ดูเหมือนหอรักษาการณ์ ซึ่งมีนายตำรวจติดอาวุธยืนเฝ้ายามอยู่ภายใน ทั้งหมดนั่นรู้สึกชั่วร้ายและแย่มาก หลังจากผ่านประตูเหล็กบานแล้วบานเล่า ฉันก็ไปถึงห้องขัง พอฉันเห็นผ้าคลุมเตียงลินินที่คร่ำคร่าบนเตียงอิฐที่เย็นยะเยือก ซึ่งทั้งมืดและสกปรก และได้กลิ่นฉุนชวนคลื่นไส้โชยมาจากพวกมัน ฉันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงคลื่นความขยะแขยงวาบผ่านฉันไป ตามด้วยคลื่นแห่งความเศร้าสลดอย่างรวดเร็ว ฉันคิดกับตัวเอง: "คนจะอยู่ที่นี่ได้ยังไง? นี่ไม่ใช่อะไรมากไปกว่าเล้าหมูเลย" พอถึงเวลาอาหาร นักโทษแต่ละคนได้รับแค่หมั่นโถวชิ้นเล็กๆ ที่เปรี้ยวและครึ่งสุกครึ่งดิบ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน แต่การเห็นอาหารนี่ทำให้ฉันกินอะไรไม่ลงจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น ใบหน้าของฉันก็บวมมากจากการถูกตำรวจพวกนั้นซ้อม และมันรู้สึกตึงราวกับถูกเทปพันไว้ แม้แต่แค่จะเปิดปากพูดยังเจ็บเลย เรื่องกินยิ่งไม่ต้องพูดถึง ภายใต้สภาวะการณ์เหล่านี้ ฉันอยู่ในอารมณ์เศร้าหมองมากและรู้สึกว่าถูกรังแก ความคิดที่ว่าฉันจะต้องอยู่ที่นี่จริงๆ และทนกับการดำรงอยู่อย่างไม่ใช่มนุษย์เช่นนี้ทำให้ฉันสะเทือนใจมากจนน้ำตาไหลอย่างกลั้นไม่อยู่ ตอนนั้นเอง ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้า: “กล่าวได้ว่าเมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญกับสิ่งซึ่งไม่ตรงกับมโนคติที่หลงผิดของเจ้า และสิ่งที่พึงประสงค์ให้เจ้าวางตัวเองลงเสียก่อน สิ่งเหล่านั้นคือการทดสอบของเจ้า ก่อนที่น้ำพระทัยของพระเจ้าได้รับการเปิดเผยออกมา ทุกคนก้าวผ่านบททดสอบอันเข้มงวดกวดขัน และการทดสอบอันมหาศาล เจ้าสามารถหยั่งลึกถึงการนี้หรือไม่?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เฉพาะการนำความเป็นจริงมาปฏิบัติเท่านั้นที่เป็นการครองความเป็นจริง) ขณะที่ฉันใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า พระองค์ได้ทรงอนุญาตให้สภาพแวดล้อมนี้เกิดขึ้นกับฉัน และนี่คือพระองค์กำลังทรงทดสอบและทดลองฉันเพื่อดูว่าฉันสามารถยืนหยัดเป็นพยานให้พระองค์ได้หรือไม่ ในเวลาชั่วร้ายดำมืดเช่นนี้ หากฉันไม่โชคดีพอที่จะถูกพระเจ้าทรงยกขึ้นเพื่อที่ฉันจะสามารถติดตามพระองค์ได้ เช่นนั้นก็บอกไม่ได้ว่าฉันจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน หรือฉันจะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าด้วยซ้ำ การที่ฉันรู้สึกว่าถูกรังแกและเสียใจกับความทุกข์เพียงเล็กน้อยนี้ และไม่เต็มใจยอมรับมัน แสดงให้เห็นว่าฉันขาดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและเหตุผลอย่างแท้จริง เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ ฉันก็เลิกรู้สึกว่าถูกรังแก และภายในตัวฉัน ฉันก็เริ่มตกลงใจกับตัวเองที่จะทนความทุกข์ยากของฉัน

สองสัปดาห์ผ่านไป และหัวหน้าของนายตำรวจชั่วพวกนั้นก็มาสอบสวนฉันอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าฉันสงบนิ่ง โดยไม่มีความกลัวเลย มันก็ตะโกนชื่อฉันและแผดเสียงว่า "บอกฉันมาตามตรง: แกเคยถูกจับที่ไหนมาก่อนอีก? นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของแกในคุกแน่นอน ไม่อย่างนั้น แกจะสามารถวางท่าทีสงบและคุ้ยเคยนักราวกับแกไม่กลัวสักนิดได้ยังไง?" พอฉันได้ยินมันพูดแบบนี้ ฉันก็อดไม่ได้ที่จะขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าในหัวใจของฉัน พระเจ้าได้ทรงปกป้องคุ้มครองฉันและประทานความกล้าหาญแก่ฉัน เช่นนี้จึงเปิดโอกาสให้ฉันเผชิญนายตำรวจชั่วพวกนี้โดยไม่เกรงกลัวอย่างสิ้นเชิง ตอนนั้นเอง ความโกรธก็ปะทุขึ้นจากภายในหัวใจของฉัน แกกำลังใช้อำนาจในทางที่ผิดด้วยการข่มเหงผู้คนเพราะความเชื่อทางศาสนาของพวกเขา และแกจับกุม กลั่นแกล้ง และทำร้ายบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าโดยไม่มีเหตุผล แกไม่ทำตามกฎหมาย ไม่ว่าของแผนดินโลกหรือฟ้าสวรรค์ ฉันเชื่อในพระเจ้าและเดินบนทางที่ถูกต้อง และฉันไม่ได้ฝ่าฝืนกฎหมาย ทำไมฉันถึงควรจะกลัวแกด้วยล่ะ? ฉันจะไม่ยอมจำนนต่อกองกำลังชั่วของพวกแก! แล้วฉันก็โต้ตอบว่า "แกคิดว่าที่อื่นมันน่าเบื่อมากจนฉันอยากมาที่นี่จริงน่ะเหรอ? ต่อจากนี้แกจะพยายามขู่เข็ญให้ฉันสารภาพหรือใส่ร้ายฉันยังไงก็เปล่าประโยชน์!" พอได้ยินแบบนี้ มันก็โกรธมากจนดูเหมือนควันกำลังจะออกหู มันแผดเสียง "แกมันดื้อรั้นเกินกว่าจะบอกอะไรพวกเรา แกจะไม่พูดใช่ไหม? ฉันจะให้แกติดคุกสามปี แล้วเราจะได้เห็นกันว่าแกจะเริ่มให้ความร่วมมือหรือเปล่า ดื้อรั้นไปให้ได้ตลอดก็แล้วกัน!" ถึงตอนนั้นฉันรู้สึกยิ่งเสียยิ่งกว่าเดือดดาล ด้วยตอบเสียงดังว่า "ฉันยังเด็กอยู่ สามปีจะเป็นอะไรไป พริบตาเดียวฉันก็ออกจากคุกแล้ว" เจ้านายตำรวจชั่วนั่นผุดลุกขึ้นด้วยความโกรธและคำรามใส่พวกขี้ข้าของมัน "ฉันไม่เอาแล้ว พวกแกสอบสวนมันต่อก็แล้วกัน" แล้วมันก็กระแทกปิดประตูออกไป ได้เห็นว่าเพิ่งเกิดอะไรขึ้น นายตำรวจสองคนนั่นไม่ได้ถามอะไรฉันอีก พวกมันเพิ่งจะเขียนคำแถลงให้ฉันเซ็นเสร็จแล้วก็เดินออกไป การได้เห็นว่าพวกตำรวจชั่วสิ้นท่ายังไงทำให้ฉันมีความสุขมาก และในหัวใจของฉัน ฉันสรรเสริญชัยชนะเหนือซาตานของพระเจ้า

ระหว่างการสอบสวนรอบที่สอง พวกมันเปลี่ยนกลยุทธิ์ ทันทีที่พวกมันเดินเข้าประตูมา พวกมันก็แแสร้งเป็นห่วงเป็นใยฉัน: "แกอยู่ที่นี่มานานแล้วนะ ทำไมไม่เห็นมีคนในครอบครัวมาเยี่ยมแกเลยล่ะ? พวกนั้นคงจะทิ้งแกแล้ว แกลองโทรบอกพวกเขาให้มาเยี่ยมแกด้วยตัวเองดีไหม?" การได้ยินแบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกผะอืดผะอมและหงุดหงิด แล้วก็นึกสงสัยว่า "เป็นไปได้ไหมที่พ่อกับแม่เลิกห่วงใยฉันแล้วจริงๆ? นี่ก็สองสัปดาห์แล้ว และแน่นอนว่าพวกท่านรู้เรื่องที่ฉันถูกจับ ใจของพวกท่านทำด้วยอะไรถึงปล่อยให้ฉันทนทุกข์อยู่ในนี้โดยไม่มาเยี่ยมฉันเลยด้วยซ้ำ?" ยิ่งฉันคิดเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวและไร้ที่พึ่งมากขึ้นเท่านั้น ฉันคิดถึงบ้านและพ่อแม่ และความปรารถนาอิสรภาพของฉันก็รุนแรงมากขึ้นตามลำดับ ฉันน้ำตารื้นอย่างห้ามไม่อยู่ แต่ฉันไม่อยากร้องไห้ต่อหน้าเจ้าพวกนายตำรวจชั่วกลุ่มนี้ ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบเชียบว่า "โอพระเจ้า ตอนนี้ข้าพระองค์รู้สึกไร้ที่พึ่งอย่างมาก ข้าพระองค์วิงวอนให้พระองค์ทรงหยุดยั้งน้ำตาของข้าพระองค์ไม่ให้ไหล เพราะข้าพระองค์ไม่อยากให้ซาตานเห็นความอ่อนแอของข้าพระองค์ แต่ทว่าตอนนี้ข้าพระองค์ข้าพระองค์ไม่สามารถเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ ขอให้พระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำข้าพระองค์ด้วย" หลังจากอธิษฐาน ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจฉัน: นี่เป็นเล่ห์เพทุบายของซาตาน พวกตำรวจหว่านเมล็ดแห่งความขัดแย้ง พยายามบิดเบือนมุมมองที่ฉันมีต่อพ่อแม่และก่อความเกลียดชังพวกท่าน เพื่อที่ฉันอาจจะไม่สามารถต้านแรงลมนี้ได้แล้วทรยศพระเจ้าด้วยเหตุนั้น ยิ่งไปกว่านั้น การพยายามทำให้ฉันติดต่อครอบครัวของฉันอาจจะเป็นกลอุบายเพื่อให้พวกเขานำค่าไถ่มาให้ แล้วบรรลุเป้าหมายของพวกมันที่จะกอบโกยเงิน หรือบางทีพวกมันอาจจะรู้แล้วว่าคนในครอบครัวของฉันทั้งหมดเชื่อในพระเจ้าแล้วก็ต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อจับกุมพวกเขา นายตำรวจชั่วพวกนี้เต็มไปด้วยแผนชั่วจริงๆ หากไม่ใช่เพราะการทรงให้ความรู้แจ้งของพระเจ้า ฉันก็อาจจะโทรกลับบ้านไปแล้ว แบบนั้นฉันจะไม่ได้เป็นยูดาสทางอ้อมหรอกเหรอ? ดังนั้นฉันจึงลอบประกาศต่อซาตานว่า "เจ้ามารชั่ว ฉันจะไม่ยอมให้แกหลอกลวงฉันสำเร็จแน่ จากนี้ไป ไม่ว่าจะเป็นพระพรหรือมหันตภัยที่เกิดขึ้นกับฉัน ฉันจะรับมันไว้คนเดียว ฉันไม่ยอมดึงคนในบ้านเข้ามาเกี่ยว และจะไม่แทรกแซงศรัทธาของพ่อแม่ฉันหรือการทำหน้าที่ของพวกท่านให้ลุล่วงอย่างเด็ดขาด" ในขณะเดียวกัน ฉันยังวิงวอนต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ให้ยับยั้งไม่ให้พ่อแม่มาเยี่ยมฉัน ด้วยเกรงว่าพวกท่านจะติดกับที่พวกนายตำรวจชั่วนี่วางเอาไว้ แล้วฉันก็พูดอย่างเมินเฉย "ฉันไม่รู้ว่าทำไมคนในครอบครัวของฉันถึงไม่มาเยี่ยมฉัน ฉันไม่สนไม่ว่าแกจะทำอะไรกับฉัน!" พวกตำรวจชั่วไม่เหลือไพ่ในมือแล้ว หลังจากนั้น พวกมันก็ไม่สอบสวนฉันอีก

หนึ่งเดือนผ่านไป อยู่มาวันหนึ่ง ลุงของฉันมาเยี่ยมฉัน พูดว่าท่านกำลังพยายามเอาฉันออกจากที่นั่น และพูดว่าฉันน่าจะถูกปล่อยตัวในอีกสองสามวัน ฉันรู้สึกมีความสุขสุดขีดตอนที่เดินออกจากห้องเยี่ยม ฉันคิดว่าในที่สุดฉันก็จะสามารถเห็นแสงตะวันได้อีกครั้ง รวมถึงพี่น้องชาย พี่น้องหญิง และคนที่ฉันรักด้วย ดังนั้นฉันจึงเริ่มฝันกลางวันและตั้งตารอให้ลุงมารับ ทุกวัน ฉันคอยเงี่ยหูฟังเสียงพวกผู้คุมเรียกฉันได้เวลาออกไปแล้ว แน่นอนว่าหนึ่งสัปดาห์ต่อมาผู้คุมคนหนึ่งก็มาเรียกฉันจริงๆ หัวใจของฉันรู้สึกเหมือนจะกระดอนออกมาจากอกตอนที่ฉันไปถึงห้องเยี่ยมอย่างเบิกบาน แต่ทว่าเมื่อฉันเห็นลุง ท่านคอตก ผ่านไปเนินนานก่อนที่ท่านจะพูดด้วยน้ำเสียงหดหู่ "พวกเขาสรุปคดีของหลานแล้ว หลานถูกตัดสินจำคุกสามปี" พอฉันได้ยินแบบนั้น ฉันก็ตะลึงงันคิดอะไรไม่ออกโดยสิ้นเชิง ฉันกลั้นน้ำตาไม่ให้ร้องให้จนสำเร็จ มันเหมือนฉันไม่สามารถได้ยินอะไรที่ลุงพูดหลังจากนั้นได้เลย ฉันซวนเซออกจากห้องเยี่ยมอย่างเหม่อลอย เท้าของฉันรู้สึกราวกับพวกมันเต็มไปด้วยตะกั่ว แต่ละก้าวหนักขึ้นและหนักขึ้น ฉันไม่รู้ตัวว่าเดินกับไปถึงห้องขังของฉันได้ยังไง พอไปถึงฉันก็ทรุดฮวบลงกับพื้น ฉันคิดกับตัวเองว่า "แต่ละวันที่อยู่อย่างไม่เหมือนมนุษย์ตลอดหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมามันรู้สึกเหมือนนานเป็นปี ฉันจะสามารถผ่านพ้นสามปีอันยาวนานของอะไรแบบนี้ไปได้ยังไง?" ยิ่งฉันกังวลเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรวดร้าวมากขึ้นไปอีก และอนาคตของฉันก็เริ่มดูเลือนลางและยากหยั่งถึงมากขึ้นเท่านั้น ฉันร้องไห้โฮอย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ในหัวใจของฉัน ฉันรู้อย่างไม่สงสัยว่าไม่มีใครสามารถช่วยฉันได้อีกต่อไป ฉันสามารถพึ่งพาพระเจ้าได้เท่านั้น ในความเศร้าโศกของฉัน ฉันมาเฉพาะพระพักต์พระเจ้าอีกครั้ง ฉันเปิดใจพูดกับพระองค์ว่า "โอ พระเจ้า ข้าพระองค์รู้ว่าสรรพสิ่งและทุกเหตุการณ์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ แต่ตอนนี้หัวใจของข้าพระองค์รู้สึกเหมือนมันถูกควักออกมา ข้าพระองค์รู้สึกเหมือนกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ข้าพระองค์คิดว่ามันจะยากลำบากมากสำหรับข้าพระองค์ที่จะทนสามปีของความทุกข์ในคุก โอ พระเจ้า ขอพระองค์ทรงเปิดเผยน้ำพระทัยของพระองค์แก่ข้าพระองค์ และข้าพระองค์วิงวอนให้พระองค์ประทานศรัทธาและพละกำลังแก่ข้าพระองค์เพื่อที่ข้าพระองค์จะสามารถนบนอบต่อพระองค์อย่างสมบูรณ์และยอมรับสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับข้าพระองค์อย่างกล้าหาญ" ตอนนั้นเอง ฉันคิดถึงพระวจนะของพระเจ้า: “สำหรับทุกผู้คน กระบวนการถลุงเป็นความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส และลำบากยากเย็นมากที่จะยอมรับ—ทว่าในระหว่างกระบวนการถลุงนี้นี่เองที่พระเจ้าทรงทำให้พระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระองค์เข้าใจได้ง่ายขึ้นสำหรับมนุษย์ และทรงทำให้ข้อพึงประสงค์ของพระองค์เป็นที่รู้ทั่วกันสำหรับมนุษย์ และทรงจัดเตรียมความรู้แจ้งที่มากขึ้น การจัดการและการตัดแต่งจริงที่มากขึ้น ผ่านการเปรียบเทียบระหว่างข้อเท็จจริงกับความจริง พระองค์ทรงมอบความรู้ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเกี่ยวกับพระองค์และความจริงให้แก่มนุษย์ และทรงมอบความเข้าใจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าให้แก่มนุษย์ ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นการเปิดโอกาสให้มนุษย์มีความรักที่จริงแท้ยิ่งขึ้นและบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นต่อพระเจ้า นั่นคือจุดมุ่งหมายของพระเจ้าในการดำเนินการกระบวนการถลุง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มนุษย์สามารถมีความรักแท้จริงได้ โดยการได้รับประสบการณ์กับกระบวนการถลุงเท่านั้น)ในระหว่างวันสุดท้ายเหล่านี้พวกเจ้าต้องเป็นคำพยานต่อพระเจ้า ไม่สำคัญว่าความทุกข์ของเจ้าจะมากมายเพียงใด เจ้าควรต้องเดินไปจนถึงวาระสิ้นสุด และแม้กระทั่งถึงลมหายใจสุดท้ายของพวกเจ้า พวกเจ้ายังคงต้องสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าและนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้า การนี้เท่านั้นคือการรักพระเจ้าอย่างแท้จริง และการนี้เท่านั้นคือคำพยานที่หนักแน่นและดังกึกก้อง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น) ขอบคุณการทรงให้ความรู้แจ้งและการทรงนำของพระเจ้า ฉันเริ่มทบทวนตัวเอง และค้นพบข้อบกพร่องของฉันอย่างค่อยเป็นค่อยไป ฉันเห็นว่าความรักของฉันต่อพระเจ้านั้นไม่บริสุทธิ์ และฉันยังไม่ได้ถวายความนบนอบอย่างสมบูรณ์ของฉันต่อพระเจ้า ตั้งแต่ฉันถูกจับกุม และระหว่างการดิ้นรนต่อสู้ของฉันกับตำรวจชั่วพวกนั้น ฉันได้แสดงความกล้าหาญและความไม่เกรงกลัว และฉันไม่มีน้ำตาสักหยดตลอดการทรมานเหล่านั้น แต่ทว่านั่นไม่ใช่วุฒิภาวะจริงของฉัน ทั้งหมดเป็นศรัทธาและความกล้าหาญที่พระวจนะของพระเจ้ามอบให้แก่ฉันที่ทำให้ฉันเอาชนะการทดลองและการจู่โจมของซาตานได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันยังเห็นด้วยว่าฉันยังไม่ได้เข้าใจแก่นแท้ของพวกตำรวจชั่วอย่างครบถ้วน ฉันเคยคิดว่าตำรวจพรรคคอมมิวนิสต์จีนปฏิบัติตามกฎหมาย และในฐานะผู้เยาว์ ฉันจะไม่ถูกตัดสินโทษ หรืออย่างมากก็ถูกขังไว้สองสามเดือนเท่านั้น ฉันเคยคิดว่าฉันแค่ต้องทนความเจ็บปวดและความทุกข์ยากอีกเล็กน้อย และฟันฝ่ามันไปนานขึ้นอีกหน่อย แล้วมันก็จะจบลง ฉันไม่เคยนึกเลยว่าฉันอาจจะต้องใช้เวลาสามปีใช้ชีวิตอย่างไม่เหมือนมนุษย์ในนี้จริงๆ ตอนนั้น ฉันไม่ต้องการเป็นทุกข์หรือนบนอบต่อการเรียบเรียงจัดวางและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าต่อไป ผลลัพธิ์นี้ไม่ใช่สิ่งที่ฉันนึกไว้เลย และมันเปิดเผยวุฒิภาวะที่แท้จริงของฉันอย่างเที่ยงตรง ตอนนั้นเองที่ฉันตระหนักว่าพระเจ้าทอดพระเนตรลึกเข้าไปในหัวใจของผู้คนจริงๆ และพระปรีชาญาณของพระองค์ก็ได้รับการบริหารอย่างแท้จริงตามแผนการเจ้าเล่ห์ของซาตาน ซาตานปรารถนาที่จะทรมานฉันและทำให้ฉันยอมจำนนอย่างหมดท่าด้วยคำตัดสินจำคุกนี้ แต่พระเจ้าได้ทรงใช้โอกาสนี้เพื่อเปิดโอกาสให้ฉันค้นพบข้อบกพร่องของตัวเอง และหมายรู้ความขาดแคลนของฉัน ด้วยแบบนี้ทำให้ฉันสามารถนบนอบได้อย่างแท้จริง และเปิดโอกาสให้ชีวิตของฉันคีบหน้าอย่างรวดเร็วขึ้น การให้ความรู้แจ้งของพระเจ้าได้ทรงนำฉันออกจากสถานการณ์ลำบากของฉันและให้พละกำลังที่ไม่มีสิ้นสุดแก่ฉัน ทันใดนั้นหัวใจของฉันก็รู้สึกสดใสและอิ่มเต็ม ฉันเข้าใจพระประสงค์ที่ดีของพระเจ้า และฉันไม่รู้สึกทุกข์ทรมานอีกต่อไป ฉันตกลงใจที่จะทำตามตัวอย่างของเปโตรโดยอนุญาตให้พระเจ้าทรงเรียบเรียงจัดวางทุกอย่าง โดยไม่ตัดพ้อ และเผชิญอะไรก็ตามที่อาจจะตามมาอย่างสงบตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป

สองเดือนต่อมา ฉันถูกย้ายไปค่ายใช้แรงงาน เมื่อฉันได้รับเอกสารคำพิพากษาและเซ็นพวกมัน ฉันค้นพบว่าโทษจำคุกสามปีได้ลดเหลือหนึ่งปี ในหัวใจของฉัน ฉันขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า พระเจ้าทรงเรียบเรียงจัดวางทั้งหมดนี้ และภายในนั้นฉันสามารถเห็นความรักอันมหาศาลและการปกป้องคุ้มครองที่พระองค์ทรงมีให้ฉัน

ในค่ายใช้แรงงาน ฉันเห็นด้านที่ร้ายกาจและโหดเหี้ยมยิ่งขึ้นของพวกตำรวจชั่ว เวลาเช้ามืดเราจะลุกขึ้นไปทำงาน และเรามีงานต้องทำล้นมือในแต่ละวัน และบางครั้งก็จะทำงานทั้งวันทั้งคืนนานนานหลายวันติดต่อกัน นักโทษบางคนล้มป่วยและจำเป็นต้องจิ้มสายน้ำเกลือ และต้องปรับอัตราการหยดให้เร็วที่สุดเพื่อที่ทันทีที่ให้น้ำเกลือเสร็จ พวกเธอจะได้สามารถกลับไปที่ห้องทำงานอย่างรวดเร็วและกลับไปทำงาน นี่ทำให้ต่อมาผู้กระทำผิดส่วนใหญ่เป็นโรคที่รักษาได้ยาก เพราะพวกเธอทำงานช้า บางคนจึงถูกพวกผู้คุมด่าทออยู่บ่อยครั้ง ภาษาน่ารังเกียจของพวกเขานั้นทนฟังไม่ได้เลย บางคนฝ่าฝืนกฎในขณะที่ทำงาน พวกเธอจึงถูกลงโทษ ตัวอย่างเช่น พวกเธอจะถูก "มัดด้วยเชือก" ซึ่งแปลว่าพวกเธอต้องคุกเข่ากับพื้นและถูกมัดมือไพล่หลัง แขนของพวกเธอถูกจับยกขึ้นให้อยู่ระดับเดียวกับคออย่างเจ็บปวด คนอื่นถูกผูกกับต้นไม้ด้วยเก้าอี้เหล็กเหมือนสุนัขและถูกแส้เฆี่ยนอย่างไร้ความปรานี บางคน ไม่สามารถทนการทรมานผิดมนุษย์นี้ได้ ก็จะพยายามอดอาหารฆ่าตัวตาย เพียงเพื่อจะถูกพวกผู้คุมชั่วใส่กุญแจทั้งข้อเท้าและข้อมือของพวกเธอ แล้วกดร่างกายของพวกเธอลงแน่น บังคับสอดท่อให้อาหารและกรอกของเหลวลงท้องพวกเธอ พวกมันกลัวว่านักโทษพวกนี้อาจจะตาย ไม่ใช่เพราะพวกมันเห็นคุณค่าของชีวิต แต่เป็นเพราะพวกมันวิตกว่าจะเสียแรงงานราคาถูกที่พวกเธอให้ การกระทำชั่วร้ายที่พวกผู้คุมเรือนจำทำมีมากเกินกว่าจะนับจริงๆ รวมถึงความรุนแรงน่าสยดสยองและเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้น ทั้งหมดนี้ทำให้ฉันเห็นชัดเจนมากว่ารัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นร่างจำแลงบนแผ่นดินโลกของซาตานซึ่งอาศัยอยู่ในโลกวิญญาณ มันโฉดชั่วที่สุดของมารทั้งหมดและเรือนจำภายใต้ระบอบการปกครองของมันเป็นนรกบนดิน—ไม่แค่ในนาม แต่ในความเป็นจริงด้วย ฉันจำได้ถึงถ้อยคำบนกำแพงในสำนักงานซึ่งฉันถูกสอบสวน: "ห้ามไม่ให้ซ้อมผู้คนโดยไม่มีกฎเกณฑ์หรือลงโทษพวกเขาอย่างผิดกฎหมาย และยิ่งเป็นการห้ามที่จะได้มาซึ่งคำสารภาพผ่านการทรมาน" แต่อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง การกระทำของพวกมันผิดกับกฎเหล่านี้อย่างเปิดเผย พวกมันซ้อมฉันอย่างบ้าคลั่ง เด็กสาวที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ด้วยซ้ำ และลงโทษฉันอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย ยิ่งกว่านั้น พวกมันได้ตัดสินโทษฉันแค่เพราะความเชื่อในพระเจ้าของฉัน ทั้งหมดนี้ได้ทำให้ฉันสามารถเห็นอย่างชัดเจนถึงเล่ห์กลที่รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์ใช้เพื่อตบตาประชาชนในขณะที่นำเสนอภาพลักษณ์จอมปลอมของสันติสุขและความเจริญรุ่งเรือง เหมือนดังที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “มารมัดร่างของมนุษย์ทั้งหมดอย่างแน่นหนา มันควักดวงตาสองข้างของเขาออก และปิดผนึกริมฝีปากของเขาแน่น ราชาแห่งพวกมารได้อาละวาดมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้วจนกระทั่งถึงทุกวันนี้เมื่อมันยังคงเฝ้าดูเมืองผีนี้อย่างใกล้ชิด ราวกับเป็นวังของพวกปีศาจที่ไม่อาจผ่านเข้าไปได้ […] เหล่าบรรพบุรุษแต่โบราณกาลหรือ? บรรดาผู้นำผู้เป็นที่รักหรือ? พวกเขาทั้งหมดต่อต้านพระเจ้า! การก้าวก่ายของพวกเขาได้ทำให้ทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์อยู่ในสภาวะแห่งความมืดและความวุ่นวาย! เสรีภาพทางศาสนาหรือ? สิทธิและผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองทั้งหลายหรือ? สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดเป็นเพทุบายเพื่อปิดบังบาป!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8)) หลังจากประสบการข่มเหงของพวกนายตำรวจชั่ว ฉันก็เชื่อมันอย่างที่สุดถึงบทตอนนี้ของพระวจนะที่พระเจ้าทรงตรัสไว้ และตอนนี้ก็มีความรู้และประสบการณ์จริงในเรื่องนี้: รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นกองทหารเยี่ยงปีศาจที่แท้จริงซึ่งเกลียดและต่อต้านพระเจ้า และสนับสนุนความชั่วและความรุนแรง และการใช้ชีวิตภายใต้การปราบปรามของระบอบเยี่ยงซาตานก็ไม่ต่างจากการใช้ชีวิตในนรกของมนุษย์ ในขณะเดียวกัน ในค่ายใช้แรงงาน ฉันได้เห็นด้วยตาตัวเองถึงความอัปลักษณ์ของผู้คนทุกรูปแบบ: ใบหน้าน่ารังเกียจของพวกงูฉวยโอกาสที่พูดจนรื่นหูซึ่งประจบประแจงพวกหัวหน้าผู้คุม ใบหน้าเยี่ยงมารของพวกคนรุนแรงอย่างโหดร้อยซึ่งระรานกลั่นแกล้งคนอ่อนแอ เป็นต้น สำหรับฉัน ซึ่งยังไม่ได้เริ่มชีวิตในฐานะผู้ใหญ่ ระหว่างใช้ชีวิตในคุกหนึ่งปีนี้ ในที่สุดฉันก็เห็นชัดเจนถึงความเสื่อมทรามของมนุษยชาติ ฉันประจักษ์ความไร้สัตย์ในหัวใจของผู้คน และตระหนักว่าโลกมนุษย์สามารถชั่วร้ายได้อย่างไร ฉันยังได้เรียนรู้ที่จะแยกแยะระหว่างบวกกับลบ ดำกับขาว ถูกและผิด ดีและเลว และระหว่างว่าอะไรยอดเยี่ยมและอะไรน่ารังเกียจด้วย ฉันเห็นชัดเจนว่าซาตานนั้นอัปลักษณ์ ชั่วร้าย โหดร้าย และพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และความชอบธรรม พระเจ้าเท่านั้นทรงเป็นสัญลักษณ์ของความงามและความดี พระเจ้าเท่านั้นทรงเป็นความรักและความรอด ได้รับการเฝ้ามองและคุ้มครองโดยพระเจ้า หนึ่งปีที่ลืมไม่ลงนั้นผ่านไปรวดเร็วมากสำหรับฉัน

ตอนนี้ เมื่อมองย้อนกลับไป แม้ว่าฉันจะก้าวผ่านความทุกข์ทางกายมาบ้างระหว่างชีวิตในคุกหนึ่งปีนั้น พระเจ้าทรงใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อทรงนำและทรงชี้แนะฉัน จึงทำให้ชีวิตของฉันสุกงอม ฉันรู้สึกขอบคุณลิขิตของพระเจ้า ที่ฉันสามารถก้าวเท้าลงบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตเป็นพระคุณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและพระพรที่พระเจ้าประทานให้ฉัน และฉันจะติดตามและนมัสการพระองค์ไปตลอดชีวิตที่เหลือ!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

เมื่อแม่ถูกจองจำ

โดย โจว เจี๋ย, ประเทศจีน ฉันอายุ 15 ตอนที่ฉันกับแม่หนีจากบ้าน ฉันจำได้ว่าเราออกมากลางดึกคืนหนึ่งในปี 2002 อยู่ๆ...

ปาฏิหาริย์ของชีวิต

โดย Yang Li, ประเทศจีน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พลังชีวิตของพระเจ้าสามารถพิชิตพลังอำนาจใดๆ ยิ่งไปกว่านั้น...

เมื่อฉันอายุสิบแปดปี

โดย Yilian, ประเทศจีน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “บางทีพวกเจ้าทุกคนอาจจำคำพูดเหล่านี้ได้ ความว่า...

ชีวิตบนขอบเหว

โดย หวังฟาง, ประเทศจีนในปี ค.ศ. 2008 ฉันรับผิดชอบการขนส่งงานตีพิมพ์ของคริสตจักร...

Leave a Reply

1 ความเห็น

ติดต่อเราผ่าน Messenger