เมื่อแม่ถูกจองจำ
โดย โจว เจี๋ย, ประเทศจีน ฉันอายุ 15 ตอนที่ฉันกับแม่หนีจากบ้าน ฉันจำได้ว่าเราออกมากลางดึกคืนหนึ่งในปี 2002 อยู่ๆ...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พลังชีวิตของพระเจ้าสามารถพิชิตพลังอำนาจใดๆ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมากล้นเกินกว่าพลังอำนาจใดๆ ชีวิตของพระองค์เป็นนิรันดร์ ฤทธานุภาพของพระองค์นั้นพิเศษกว่าความธรรมดาสามัญ และพลังชีวิตของพระองค์ก็ไม่สามารถถูกสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดหรือกองกำลังศัตรูใดเอาชนะได้ พลังชีวิตของพระเจ้านั้นดำรงอยู่และแผ่รัศมีเฉิดฉายไม่ว่าจะเป็นเวลาใดหรือสถานที่ใด สวรรค์และแผ่นดินโลกอาจผ่านการเปลี่ยนแปลงต่างๆ อันมากมายใหญ่หลวง แต่ชีวิตของพระเจ้าเป็นเช่นเดิมตลอดกาล ทุกสรรพสิ่งอาจล้มหายตายจาก แต่ชีวิตของพระเจ้าจะยังคงอยู่ตามเดิม เพราะพระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดของการดำรงอยู่ของทุกสรรพสิ่งและรากฐานของการดำรงอยู่ของสิ่งเหล่านั้น ชีวิตของมนุษย์มีกำเนิดที่มาจากพระเจ้า การมีอยู่ของสวรรค์ก็เพราะพระเจ้า และการมีอยู่ของแผ่นดินโลกก็มีต้นกำเนิดมาจากพลังอำนาจของชีวิตของพระเจ้า ไม่มีวัตถุอันใดที่ครอบครองพลังชีวิตสามารถอยู่เหนืออำนาจอธิปไตยของพระเจ้า และไม่มีสิ่งอันใดที่มีเรี่ยวแรงสามารถหลบหลีกจากอำนาจครอบครองของพระเจ้า เช่นนี้แล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร ทุกคนต้องหมอบราบภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้า ทุกคนจำต้องใช้ชีวิตภายใต้การบัญชาของพระเจ้า และไม่มีใครสามารถหลีกหนีจากพระหัตถ์ของพระองค์ได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้) สำหรับฉัน พระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าน่าซาบซึ้งใจเหลือเกิน ตอนที่ฉันถูกจับและถูกตำรวจพรรคคอมมิวนิสต์จีนทรมานอย่างโหดเหี้ยมเพราะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ พระวจนะของพระเจ้าได้นำให้ฉันมีชัยเหนือการทำลายของเหล่าปีศาจ และรอดพ้นจากรังของพวกมันมาได้ ฉันได้รับประสบการณ์เรื่องสิทธิอำนาจแห่งพระวจนะของพระเจ้า และได้รับความเชื่อเพื่อติดตามพระองค์มากขึ้นจริงๆ ค่ะ
ตอนนั้นเป็นเวลาทุ่มกว่าๆ ของวันที่ 23 พฤศจิกายนปี 2005 ฉันกำลังชุมนุมอยู่กับพี่สาวสองคน ตอนที่จู่ๆ เจ้าหน้าที่ห้าคนก็บุกเข้ามาแล้วล้อมเราไว้ พวกเขาทำลายสถานที่เละเทะราวกับพวกกองโจร และยึดกระเป๋ากับหนังสือพระวจนะของพระเจ้าของเราไป จากนั้นก็ใส่กุญแจมือเราแล้วพาเราไปที่สถานีตำรวจ ฉันกลัวมากค่ะ ฉันเรียกหาพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า วอนขอให้พระองค์ทรงคุ้มครองเรา แล้วฉันก็นึกถึงพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าขึ้นมา: “เจ้ารู้ว่าทุกอย่างในสิ่งแวดล้อมรอบตัวเจ้าล้วนมีอยู่เพราะการยอมอนุญาตของเรา ทุกอย่างเราเป็นคนวางแผนไว้ทั้งหมด จงมองให้ชัดเจนและทำให้เราพึงพอใจในสภาพแวดล้อมที่เรามอบให้เจ้า จงอย่ากลัว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จอมทัพจะอยู่กับเจ้าอย่างแน่นอน พระองค์ทรงอยู่เบื้องหลังพวกเจ้า และพระองค์คือโล่ของเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 26) พระวจนะของพระเจ้าได้มอบความเชื่อและความเข้มแข็งให้แก่ฉัน ฉันรู้ว่าทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เพราะฉะนั้นถ้ามีพระเจ้าทรงหนุนหลังอยู่ ฉันต้องกลัวอะไรอีกคะ สิ่งนี้ทำให้ฉันมั่นใจในการยืนหยัดเป็นพยานด้วยการพึ่งพาพระเจ้าค่ะ หลังไปถึงสถานีแล้ว ตำรวจก็ใส่กุญแจมือเราเข้ากับเก้าอี้โลหะ เจ้าหน้าที่ราวหนึ่งโหลได้จับคู่ผลัดกันมาสอบปากคำพวกเรา พวกเขาต้องการรู้ชื่อและที่อยู่ของผู้นำคริสตจักร แต่ไม่ว่าพวกเขาจะถามอะไร ฉันก็ไม่ยอมตอบสักคำ พวกตำรวจพาเราทั้งสามคนไปที่สถานกักกันในค่ำวันถัดมา คืนนั้นหิมะตกหนักมากๆ เลย แต่พวกเขาเอาเสื้อคลุมของเราไป ปล่อยให้เราใส่เสื้อผ้าบางๆ พวกเราตัวสั่นเพราะความหนาวกันไปตลอดทางเลยค่ะ
พวกตำรวจพาเราไปที่คุกใต้ดิน เป็นที่ที่ฉันสามารถได้ยินเสียงนักโทษถูกทุบตีและร้องโหยหวน ฉันขนหัวลุก มันเหมือนกับนรกบนดินเลยค่ะ ตำรวจผลักพวกเราเข้าไปในห้องขัง แล้วบอกนักโทษคนอื่นๆ ให้ทรมานเรา ให้ “ต้อนรับเราอย่างดี” หน่อย โดยไม่ทันรู้ตัว นักโทษที่เป็นหัวโจกก็เตะฉันล้มลงกับพื้น แล้วก็เตะฉันต่อไม่หยุด มันเจ็บมากจนฉันไม่สามารถหยุดกลิ้งไปมาบนพื้นและร้องไห้ออกมาได้ จากนั้น พวกเขาก็ฉีกทึ้งเสื้อผ้าของเราออกหมด แล้วลากพวกเราไปที่ห้องน้ำเพื่อให้อาบน้ำเย็นเฉียบ น้ำที่หนาวไปถึงกระดูกราดลงบนตัวฉัน ฉันตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้และฟันก็กระทบกันกึกกัก มันเจ็บปวดมากราวกับเนื้อหนังของฉันถูกเฉือนออกไปจากร่างกาย ในไม่ช้าฉันก็หมดสติและเป็นลมไป พอฉันได้สติพวกเขาก็เริ่มทุบตีฉันอีกครั้ง พอเหนื่อยก็จับฉันโยนทิ้งทันที จิตวิญญาณของฉันเริ่มอ่อนแอ และฉันก็สงสัยว่า พวกเขาจะทำอะไรกับฉันอีก และฉันจะรับไหวไหม ในความเจ็บปวดของฉัน พระเจ้าได้ทรงให้ความรู้แจ้งแก่ฉันให้นึกถึงเพลงสรรเสริญแห่งพระวจนะของพระองค์เพลงนี้: “ภายใต้การนำแห่งความสว่างของพระเจ้า พวกเจ้าจะฝ่าพ้นอำนาจกดขี่แห่งกำลังบังคับของความมืดอย่างแน่นอน พวกเจ้าจะไม่สูญเสียความสว่างที่นำทางพวกเจ้าในท่ามกลางความมืดอย่างแน่นอน… พวกเจ้าจะตั้งมั่นและไม่หวั่นไหวอย่างแน่นอนในแผ่นดินแห่งซีนิม พวกเจ้าจะสืบทอดพรของพระเจ้าโดยผ่านทางความทุกข์ที่พวกเจ้าทนฝ่า และจะฉายพระสิริของพระองค์ไปทั่วทั้งจักรวาลอย่างแน่นอน” (“บทเพลงแห่งผู้ชนะ” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) ฉันร้องเพลงนี้เงียบๆ กับตัวเองซ้ำไปซ้ำมา รู้สึกมีกำลังใจมากขึ้นเรื่อยๆ ซาตานทำร้ายฉันได้ก็จริง แต่ตราบใดที่ฉันยังคงมองไปยังพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์อย่างแท้จริง พระองค์ก็จะทรงนำฉันให้มีชัยเหนือการทรมานของพวกปีศาจ และทำให้ฉันตั้งมั่นต่อไปได้ นั่นคือความพยายามของซาตานที่จะทำให้ฉันปฏิเสธและทรยศพระเจ้า ฉันรู้ว่าฉันยอมให้อุบายของมันสำเร็จไม่ได้ แต่ฉันต้องยืนหยัดเป็นพยานแก่พระเจ้าและสร้างความอัปยศแก่ซาตานค่ะ
หลังจากอยู่ที่นั่นได้ 21 วัน ตำรวจก็ย้ายฉันไปอยู่ที่สำนักความมั่นคงสาธารณะประจำจังหวัด พวกเขาให้ฉันนั่งที่เก้าอี้โลหะเพื่อสอบสวน พอเห็นว่าฉันคงจะไม่ยอมพูด เย็นวันนั้นพวกเขาจึงจับฉันใส่กุญแจมือแล้วห้อยฉันลงมาจากลูกกรงของหน้าต่าง แขวนฉันไว้จนนิ้วเท้าของฉันแทบจะเอื้อมแตะพื้นไม่ถึงด้วยซ้ำ หนึ่งในพวกเขาพูดว่า “ฉันมีความอดทนมากเชียวละ ฉันจะทำให้แกขอร้องฉันแล้วเสนอชื่อของผู้นำคริสตจักรของแกมาเอง” ผ่านไปสักพักข้อมือฉันก็เจ็บเกินกว่าจะทนไหว ฉันอธิษฐานซ้ำแล้วซ้ำเล่า วอนขอการทรงนำของพระเจ้าเพื่อที่ฉันจะได้ไม่มีวันก้มหัวให้ซาตาน ฉันยังคงเงียบ พวกเขาจึงเอาตัวฉันไปที่ห้องสอบสวน จังหวะที่ฉันเข้าไปในห้องนั้น ฉันก็เห็นเครื่องทรมานทุกชนิดวางเรียงอยู่ มีกระบองของตำรวจทุกขนาดแขวนเรียงกันเป็นแถวอยู่บนผนัง และมีแท่งหนัง แส้ รวมถึงม้านั่งเสือวางพิงอยู่กับผนัง ตำรวจสองสามนายใช้กระบองไฟฟ้าและแส้ฟาดผู้ชายคนหนึ่งที่อายุยี่สิบกว่าๆ เนื้อหนังของเขาฉีกขาดจากการตี จนถึงจุดที่จำสภาพเดิมแทบไม่ได้ ตอนนั้นเองก็มีเจ้าหน้าที่หญิงเดินเข้ามาและเตะฉันอย่างร้ายกาจเลวทรามโดยไม่พูดอะไรสักคำ แล้วเธอก็คว้าเข้าที่ผมของฉันแล้วผลักหัวฉันกระแทกเข้ากับกำแพง ฉันหัวหมุนไปหมด มันเหมือนหัวจะแตกออกเป็นสองเสี่ยงเลยค่ะ ขณะที่เธอยังคงทุบตีฉันต่อไป เธอก็พูดอย่างร้ายกาจเลวทรามว่า “ถ้าแกไม่ยอมบอกในสิ่งที่เราอยากรู้ แกตายแน่!” เจ้าหน้าที่อีกสองคนก็เข้ามาร่วมขู่ว่า “เรามีคนที่มาจากสถานีอื่นด้วย เราน่ะมีเวลาเหลือเฟือเลย จะหนึ่งเดือน สองเดือนก็ช่าง—เราไม่สนว่าจะนานแค่ไหน เราจะถามจนกว่าแกจะยอมพูด” พอได้ยินพวกเขาพูดแบบนั้น บวกกับพิจารณาถึงกลยุทธ์ป่าเถื่อนที่พวกเขาใช้กับฉัน และวิธีที่พวกเขาทรมานผู้ชายคนนั้นเมื่อกี้ มันก็ทำให้ฉันกลัว หัวใจฉันเต้นรัว ฉันกลัวว่าตัวเองจะทนรับการทรมานใดๆ ที่รอฉันอยู่ไม่ไหวค่ะ ฉันเลยอธิษฐานต่อพระเจ้าโดยด่วน ทันใดนั้นเอง ฉันก็คิดถึงสิ่งนี้จากพระวจนะของพระองค์ขึ้นมา: “เมื่อผู้คนพร้อมที่จะพลีอุทิศชีวิตของพวกเขา ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลายเป็นไม่สลักสำคัญ และไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะพวกเขาได้ สิ่งใดจะสามารถสำคัญกว่าชีวิตได้? ด้วยเหตุนั้น ซาตานจึงกลายเป็นไม่สามารถทำสิ่งใดมากขึ้นอีกในผู้คน ไม่มีสิ่งใดที่มันสามารถทำกับมนุษย์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 36) พระวจนะของพระเจ้าช่วยให้ฉันตระหนักได้ ว่าซาตานใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนอย่างการกลัวความตายเพื่อทำให้เราทรยศต่อพระเจ้า ชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า แล้วซาตานจะมาควบคุมว่าฉันจะเป็นหรือตายได้ยังไง ฉันต้องถวายชีวิต ยืนหยัดเป็นพยานแก่พระเจ้าและสร้างความอัปยศแก่ซาตาน! ความคิดนี้มอบความเชื่อและความเข้มแข็งให้ฉันค่ะ เจ้าหน้าที่โกรธที่ฉันเงียบ เลยตะโกนว่า “ฉันจะทำให้แกเห็นเองว่าอะไรเป็นอะไร คิดว่าฉันจัดการแกไม่ได้เหรอ” พวกเขาจับฉันห้อยจากหน้าต่างด้วยกุญแจมือนั่นอีกครั้ง และเริ่มใช้กระบองไฟฟ้ากระทุ้งฉัน คลื่นไฟฟ้าแรงสูงไหลไปทั่วร่างกายจนทำให้ฉันชักกระตุกไปทุกส่วน ยิ่งฉันดิ้นมากเท่าไหร่ กุญแจมือก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งรู้สึกเหมือนมือของฉันกำลังจะขาด มันเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วทั้งตัว เจ้าหน้าที่อีกสองคนก็ผลัดเข้ามาใช้กระบองของพวกเขาตีฉัน ฉันกล้ามเนื้อกระตุกและเริ่มรู้สึกชาไปโดยสิ้นเชิง สติของฉันเริ่มเลือนราง จนในที่สุดฉันก็สลบไป ฉันถูกความหนาวเหน็บปลุกให้ตื่นขึ้นในจุดหนึ่ง ตัวแข็งหนาวยะเยือกจากลมที่พัดเข้ามา ฉันเริ่มสูญเสียสติสัมปชัญญะไปอีกครั้ง แต่ฉันไม่สงสัยเลยค่ะ ฉันแพ้ไม่ได้ ฉันจะต้องยืนหยัดเป็นพยานแม้มันจะหมายถึงความตายของฉันก็ตาม ฉันคิดถึงตอนที่องค์พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อทำการไถ่ให้แก่มนุษยชาติ พระองค์ทรงถูกเฆี่ยนตีจนได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง จากนั้นก็ทรงถูกจับตรึงกางเขนทั้งเป็นแล้วทิ้งไว้อย่างนั้นจนกระทั่งพระโลหิตหยดสุดท้ายของพระองค์ไหลริน พระเจ้าทรงยอมมอบอะไรมากมายเพื่อความรอดของมนุษยชาติ การคิดถึงความรักของพระเจ้าทำให้ฉันตื้นตันใจมาก ฉันได้เอ่ยคำอธิษฐานนี้ว่า “โอ้พระเจ้า! พระองค์ได้ประทานลมหายใจนี้แด่ข้าพระองค์ หากพระองค์จะทรงให้ข้าพระองค์ตาย ข้าพระองค์ก็จะนบนอบ แม้ซาตานจะทำการข่มเหงข้าพระองค์จนถึงแก่ความตาย ข้าพระองค์ก็จะยืนหยัดเป็นพยานแก่พระองค์และทำให้ซาตานอับอาย!” ฉันเริ่มรู้สึกสมองปลอดโปร่งขึ้นมาเล็กน้อย และคิดถึงการที่อัครฑูตอย่างเปโตรและสเทเฟนถูกทำมรณสักขี ฉันก็ไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้ร้องเพลงสรรเสริญที่ฉันรู้จักดีอย่างเงียบๆ ได้: “ด้วยการทรงกำจัดของพระเจ้าและการจัดการเตรียมการของพระองค์ ข้าพระองค์ได้ประสบกับความทุกข์ยากและก้าวผ่านการทดสอบ ข้าพระองค์จะสูญสิ้นหัวใจไปได้อย่างไร จะหลบซ่อนตัวได้อย่างไร พระสิริของพระเจ้านั้นมาก่อนสิ่งใด ในความทุกข์ยาก พระวจนะของพระเจ้านั้นนำข้าพระองค์ และความเชื่อของข้าพระองค์ก็ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม ข้าพระองค์ขออุทิศตนเพื่อพระเจ้าอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าข้าพระองค์จะตายเพราะเรื่องใด น้ำพระทัยของพระเจ้าก็อยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง ไม่ใส่ใจซึ่งอนาคต ไม่คำนึงว่าได้หรือเสีย ข้าพระองค์ของเพียงให้พระเจ้าพอพระทัยเท่านั้น ข้าพระองค์เป็นพยานที่ดังกึกก้องและนำความอัปยศมาสู่ซาตาน แด่พระสิริที่แสนยิ่งใหญ่ของพระเจ้า” (ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) การร้องเพลงนี้ช่างน่าตื้นตันใจและเป็นกำลังใจให้ฉันมากค่ะ ฉันตัดสินใจได้ ว่าฉันต้องยืนหยัดเป็นพยานแก่พระเจ้า ไม่ว่าฉันจะถูกทรมานหนักแค่ไหนก็ตาม
เช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็พูดอย่างน่ากลัวว่า “แกมันโชคดีที่ไม่แข็งตายไปตั้งแต่เมื่อคืน แต่ถ้าวันนี้แกไม่ยอมพูด แม้แต่พระเจ้าของแกก็ช่วยแกไม่ได้!” เจอแบบนี้ฉันก็คิดว่า “พระเจ้าทรงสร้างและปกครองทุกสรรพสิ่ง โชคชะตาของพวกเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ แกไม่มีสิทธิ์มาสั่งการอะไรกับชีวิตฉัน—เรื่องนั้นขึ้นอยู่กับพระเจ้า!” เจ้าหน้าที่เอากระบองไฟฟ้าของเขากระทุ้งฉันอีกครั้ง และกระแสไฟฟ้าแรงสูงก็ช็อตฉันไปทั้งตัว ฉันเจ็บปวดอย่างเหลือเชื่อและทำได้เพียงดิ้นพล่านและร้องออกมา แต่พวกเขาทั้งหมดก็เอาแต่หัวเราะเอิ๊กอ๊าก แถมยังพูดจาดูหมิ่นศาสนามากมาย ฉันไม่พอใจเลย คนพวกนั้นคือฝูงปีศาจบ้าคลั่งของซาตานที่ต่อต้านพระเจ้า! พวกเขายังใช้ไฟดูดฉันต่อไป ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองจะทนต่อไปได้อีกไม่นานและรู้สึกอ่อนแอมาก ฉันเลยวอนขอการทรงคุ้มครองของพระเจ้าด้วยทุกสิ่งที่ฉันมี ตอนนั้นเอง ฉันก็คิดถึงพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ขึ้นมา: “พลังชีวิตของพระเจ้าสามารถพิชิตพลังอำนาจใดๆ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมากล้นเกินกว่าพลังอำนาจใดๆ ชีวิตของพระองค์เป็นนิรันดร์ ฤทธานุภาพของพระองค์นั้นพิเศษกว่าความธรรมดาสามัญ และพลังชีวิตของพระองค์ก็ไม่สามารถถูกสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดหรือกองกำลังศัตรูใดเอาชนะได้ พลังชีวิตของพระเจ้านั้นดำรงอยู่และแผ่รัศมีเฉิดฉายไม่ว่าจะเป็นเวลาใดหรือสถานที่ใด สวรรค์และแผ่นดินโลกอาจผ่านการเปลี่ยนแปลงต่างๆ อันมากมายใหญ่หลวง แต่ชีวิตของพระเจ้าเป็นเช่นเดิมตลอดกาล ทุกสรรพสิ่งอาจล้มหายตายจาก แต่ชีวิตของพระเจ้าจะยังคงอยู่ตามเดิม เพราะพระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดของการดำรงอยู่ของทุกสรรพสิ่งและรากฐานของการดำรงอยู่ของสิ่งเหล่านั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้) พระวจนะของพระเจ้าได้มอบความเข้มแข็งให้ฉันมากมายเลยค่ะ องค์พระเยซูเจ้าทรงคืนชีพลาซารัสด้วยพระวจนะ แล้วลาซารัสก็ได้เดินออกไปจากสุสานของเขา ถ้าวันนั้นพระเจ้าไม่ประสงค์ให้ฉันตาย ซาตานก็ไม่สามารถแตะต้องฉันได้ไม่ว่ามันจะอำมหิตแค่ไหนก็ตาม ฉันยินดีที่จะทำทุกอย่างที่จะนำมาซึ่งพระสิริของพระเจ้า ไม่ว่ามันจะหมายถึงความตายของฉันหรือไม่ก็ตาม พอฉันไม่มัวคิดถึงชีวิตหรือความตายของตัวเอง ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นค่ะ ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ไฟดูดฉันมากแค่ไหน ฉันก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือไม่สบายตัวเลย แถมยังรู้สึกตื่นตัวมากด้วย ฉันรู้ดีว่านี่คือความใส่พระทัยและการทรงคุ้มครองของพระเจ้าค่ะ ฉันได้รับประสบการณ์ในสิทธิอำนาจแห่งพระวจนะของพระเจ้าด้วยตัวเอง และความเชื่อของฉันก็ได้รับการหนุนนำค่ะ
คืนนั้น ตำรวจได้พบวิธีใหม่ในการทรมานฉัน พวกเขาใส่กุญแจมือฉันไว้ข้างหน้าหน้าต่าง และผลัดเวรกันเพื่อดูให้แน่ใจว่าฉันไม่ได้นอนหลับ พวกเขาจะตีฉันทันทีที่ฉันหลับตา ฉันไม่ได้กินหรือดื่มอะไรเลยเป็นเวลาสองวัน ฉันหมดเรี่ยวแรงแล้วจริงๆ แถมตาสองข้างก็ปูดบวม สายลมที่พัดมากระทบตัวทำให้ฉันตัวสั่นเทา การเห็นตำรวจนั่งไขว่ห้างในเสื้อคลุมตัวยาวพลางจ้องเขม็งมาที่ฉันอย่างดุร้าย ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเห็นปีศาจจากแดนคนตาย ฉันโกรธมากค่ะ พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ ดังนั้นการนมัสการพระองค์ย่อมเป็นสิ่งที่ถูกต้องและเป็นธรรมชาติ แต่พรรคคอมมิวนิสต์จีนกลับไม่อนุญาตให้ทำ มันต่อต้านพระเจ้าอย่างบ้าคลั่ง และข่มเหงผู้ที่เชื่ออย่างทารุณด้วยวิธีที่น่ารังเกียจ ฉันจำพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งได้: “ที่นี่ได้เป็นแผ่นดินแห่งความโสโครกมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว มันสกปรกเหลือทน ความทุกข์ระทมดาษดื่น พวกผีวิ่งอาละวาดไปทั่วทุกแห่งหน ลวงล่อและหลอกลวง ตั้งข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูล[1] เหี้ยมโหดและชั่วช้า เหยียบย่ำเมืองผีนี้และทิ้งให้มันกลาดเกลื่อนไปด้วยศพ กลิ่นสาบสางของซากที่เสื่อมสลายปกคลุมแผ่นดินและตลบอบอวลในอากาศ และมันถูกพิทักษ์อย่างแน่นหนา[2] ผู้ใดจะสามารถมองเห็นพิภพเหนือโพ้นฟ้าได้?…เสรีภาพทางศาสนาหรือ? สิทธิและผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองทั้งหลายหรือ? สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดเป็นเพทุบายเพื่อปิดบังบาป!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8)) พระวจนะของพระเจ้าช่วยให้ฉันเห็นถึงเนื้อแท้ที่ชั่วร้ายในการต่อต้านพระเจ้าของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ชัดเจนขึ้น ฉันสาบานด้วยชีวิตว่าฉันจะละทิ้งมัน ในใจนั้น ฉันตะโกนร้องว่า “ไอ้พวกปีศาจ! กล้าดียังไงมาคิดว่าฉันจะทรยศต่อพระเจ้าน่ะ” ภายในคืนที่ห้า สองมือของฉันก็คั่งไปด้วยเลือด แถมยังชาโดยสิ้นเชิงและบวมมาก มันเหมือนกับทั้งตัวของฉันได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ มันรู้สึกเหมือนมีแมลงนับไม่ถ้วนกำลังกัดแทะภายในของฉันอยู่ ไม่มีทางอธิบายความเจ็บปวดนั้นออกมาได้เลย หลังจากที่ไม่ได้กินอาหารหรือน้ำอยู่หลายวันฉันก็หิวโหยและคอแห้งผาก ฉันตัวสั่นเทาจากความหนาวและไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองคงทนต่อไปได้อีกไม่นาน ฉันคิดว่าถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปฉันคงจะตายเพราะความหิวหรือกระหายแน่ ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าอย่างไม่หยุดพัก วอนขอให้พระองค์ประทานพละกำลังให้ฉันได้มีชัยเหนือการทรมานที่แสนโหดร้ายของซาตานไปได้ ทันใดนั้น พระเจ้าก็ทรงให้ความรู้แจ้งกับฉันด้วยพระวจนะของพระองค์: “ชีวิตของมนุษย์มีกำเนิดที่มาจากพระเจ้า การมีอยู่ของสวรรค์ก็เพราะพระเจ้า และการมีอยู่ของแผ่นดินโลกก็มีต้นกำเนิดมาจากพลังอำนาจของชีวิตของพระเจ้า ไม่มีวัตถุอันใดที่ครอบครองพลังชีวิตสามารถอยู่เหนืออำนาจอธิปไตยของพระเจ้า และไม่มีสิ่งอันใดที่มีเรี่ยวแรงสามารถหลบหลีกจากอำนาจครอบครองของพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้) ฉันก็คิดว่า “จริงด้วย ชีวิตของฉันมาจากพระเจ้า และมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถพรากลมหายใจนี้ไปได้ การทรมานใดของซาตานก็ฆ่าฉันไม่ได้ทั้งนั้น” พอความคิดนั้นผุดขึ้นมา ฉันก็รู้สึกละอายใจที่ความเชื่อและความเข้าใจที่ฉันมีต่อพระเจ้านั้นช่างเล็กน้อยเหลือเกิน ฉันยังได้เห็น ว่าพระเจ้าประสงค์ให้ฉันเรียนรู้จากสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายนั้น ว่า “มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” (มัทธิว 4:4) ฉันกล่าวคำอธิษฐานเงียบๆ ว่า: “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ชีวิตของข้าพระองค์นั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะนบนอบต่อการเรียบเรียงจัดวางและการจัดการเตรียมการของพระองค์ ไม่ว่าข้าพระองค์จะอยู่หรือตายก็ตาม!” หลังอธิษฐาน ฉันก็รู้สึกได้ว่าพละกำลังบางส่วนคืนกลับมา และฉันก็ไม่ได้รู้สึกหิวหรือกระหายเลยค่ะ พวกตำรวจกลับมาตอนสองทุ่มของคืนนั้น พอเห็นว่าฉันยังคงไม่พูด พวกเขาก็ทุบตีฉันจนกระทั่งหมดแรงไปเอง หลังจากนั้นพวกเขาก็ยิ่งจับตาดูฉันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ทำงานกันเป็นกะเพื่อที่ฉันจะได้ไม่มีทางคลาดสายตาพวกเขาไปได้ ถ้าเปลือกตาของฉันเริ่มหลุบลง พวกเขาก็จะฟาดฉันให้ตื่นด้วยม้วนนิตยสาร ฉันรู้ว่าพวกเขาพยายามทำให้จิตวิญญาณของฉันแตกสลาย เพื่อที่ฉันจะได้หลุดปากเรื่องคริสตจักรออกมาบ้างระหว่างที่งุนงงอยู่ ฉันหมดแรงกายโดยสิ้นเชิงและอยู่ในสภาพที่มึนงง ฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะรอดไปได้อีกนานแค่ไหน ฉันกลัวมากค่ะ ว่าฉันจะรับความเจ็บปวดไม่ไหวจนทรยศต่อพระเจ้าทั้งที่ฉันเองไม่ได้อยากทำเลย ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์คิดว่าตัวเองคงทนต่อไปได้อีกไม่นาน ข้าพระองค์กลัวว่าจะทรยศต่อพระองค์ ได้โปรดทรงคุ้มครองข้าพระองค์ด้วย ข้าพระองค์ยอมตายเสียดีกว่าเป็นยูดาส” ความคิดของฉันฝ้ามัวมากขึ้น จนฉันบอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองยังอยู่หรือตายไปแล้ว ในม่านหมอก ฉันรู้สึกว่าตัวเบาขึ้นและกุญแจมือก็คลายออก เช้าตรู่ของวันที่หก มีตำรวจเข้ามาฟาดฉันให้ตื่นและตะคอกใส่ฉันว่า “แกนี่มันหาเรื่องวุ่นวายให้เราจริงๆ เราทุกคนอยู่เป็นเพื่อนแกที่นี่ ไม่ได้ไปนอนหลับดีๆ ด้วยซ้ำ ถ้าวันนี้แกยังไม่ยอมเปิดปาก ฉันจะทำให้แกไม่ได้เปิดอีกตลอดไปแน่! ฉันจะทำให้แกเสียสติ ฉันจะบอกทุกคนว่าการเชื่อในพระเจ้าของแกครอบงำแกไปแล้ว พวกเขาจะได้ล้มเลิกเรื่องพระองค์เสียที!” ฉันโกรธมากที่ได้ยินคำโกหกพวกนี้ มาจากปีศาจที่อัปรีย์ชั่วร้าย! ทันใดนั้นพวกเขาก็เอาชามที่มีน้ำหมึกสีดำเข้ามา และหัวใจของฉันก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม พวกเขาอยากให้ฉันกินยาบางอย่างเพื่อทำให้ฉันเป็นบ้า ฉันร้องหาพระเจ้าอย่างลนลาน วอนขอการทรงคุ้มครองของพระองค์ ทันใดนั้นฉันก็คิดถึงพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ขึ้นมา: “กิจการของพระองค์นั้นปรากฏพร้อมทุกแห่งหน ฤทธานุภาพของพระองค์นั้นปรากฏพร้อมทุกแห่งหน พระปรีชาญาณของพระองค์นั้นปรากฏพร้อมทุกแห่งหน และสิทธิอำนาจของพระองค์นั้นปรากฏพร้อมทุกแห่งหน…ทุกสรรพสิ่งดำรงอยู่ภายใต้การเขม้นมองของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้น ทุกสรรพสิ่งมีชีวิตอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระองค์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 3: มนุษย์สามารถได้รับการช่วยให้รอดท่ามกลางการบริหารจัดการของพระเจ้าเท่านั้น) พระวจนะของพระเจ้าเติมเต็มความเชื่อและความแข็งแกร่งให้ฉันอีกครั้ง พระเจ้าทรงปกครองทุกสรรพสิ่ง ทุกอย่างในจักรวาลนี้ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ซาตานสร้างความเสียหายแก่เนื้อหนังของเราได้ก็จริง แต่ไม่มีวันปกครองชีวิตของเราได้ ตอนที่โยบถูกทดสอบ ซาตานก็ทำร้ายเขาได้แค่เพียงร่างกาย พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้มันทำอันตรายต่อชีวิตของโยบได้ทั้งสิ้น ซาตานอยากให้ฉันกินยานั่นเพื่อที่ฉันจะได้กลายเป็นคนฟั่นเฟือน เป็นคนบ้า เพื่อทำให้ฉันทรยศและปฏิเสธพระเจ้า นำความอัปยศมาสู่พระนามของพระองค์ แต่สิ่งนั้นเกิดขึ้นไม่ได้หากไร้ซึ่งการทรงอนุญาตจากพระเจ้า ความคิดนี้ทำให้ฉันสงบลงค่ะ เจ้าหน้าที่โรคจิตคนหนี่งจับคางฉันเอาไว้ แล้วกรอกยาพิษที่ขมและเปรี้ยวทั้งชามเข้ามาในปากของฉัน มันออกฤทธิ์เร็วมากค่ะ ฉันรู้สึกเหมือนอวัยวะภายในถูกบีบรัดและถูกฉีกออกเป็นส่วนๆ มันเจ็บปวดมากจนเหลือเชื่อเลยค่ะ ฉันเริ่มหายใจลำบาก และฉันก็อ้าปากพะงาบเพื่อหายใจ ฉันขยับลูกตาไม่ได้ เห็นภาพซ้อนกัน หลังจากนั้นฉันก็เสียสติสัมปชัญญะไปทันที ฉันไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ฉันได้ยินใครบางคนพูดแว่วๆ ว่า “หลังจากกินยานั่นเข้าไปเธอจะเสียสติทันทีแน่นอน” ในตอนนั้นฉันก็รู้ว่าตัวเองทำได้แล้ว สำหรับฉันมันเป็นความประหลาดใจที่มีความสุขค่ะ ที่ฉันไม่ได้โดนครอบงำและฉันยังคงสมองปลอดโปร่งอยู่ มันคือพระมหิทธิฤทธิ์และความมหัศจรรย์ของพระเจ้าอย่างแท้จริงค่ะ พระเจ้าทรงช่วยฉันให้รอดจากอันตรายอีกครั้ง! ฉันรู้สึกได้อย่างแท้จริงถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้า พระเจ้าทรงอยู่ตรงนั้นเพื่อฉันเสมอ ในถ้ำของปีศาจที่มืดมิดนั้น พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้นำฉันและช่วยฉันให้รอดจากความตายครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันร้องเพลงเพื่อสรรเสริญพระองค์อย่างเงียบๆ และฉันได้ตัดสินใจจะยืนหยัดเป็นพยานแก่พระเจ้าให้มากขึ้นค่ะ
ตำรวจได้ทรมานฉันอยู่หกวันหกคืน ฉันกำลังจะทรุดลงไปโดยไม่มีอาหารหรือน้ำใดๆ เลย พอเห็นว่าฉันใกล้ตามเต็มที พวกเขาก็จับฉันกลับไปขังในห้องขัง ไม่กี่วันหลังจากนั้น พวกเขาพยายามจะดึงข้อมูลเรื่องคริสตจักรจากฉันอีกครั้ง แต่ฉันปฏิเสธ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเลยตะโกนด้วยความโกรธว่า “แกนี่มันเหลือเกินนะ! ฉันแทบจะไม่ได้ปิดตาหลับเลยหกวัน แต่ฉันก็ไม่ได้อะไรจากแกอยู่ดี” พวกเขาส่งฉันกลับไปยังห้องขัง ฉันตื่นเต้นมากที่ได้เห็นว่าซาตานมันพ่ายแพ้ไปจริงๆ ฉันขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากสี่เดือนแห่งการควบคุมตัว รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ตั้งข้อหาฉันว่า “ใช้องค์กรลัทธิเพื่อบ่อนทำลายการบังคับใช้กฎหมาย” และพิพากษาจำคุกฉัน 18 เดือน
ฉันถูกส่งตัวไปยังเรือนจำหญิงในเดือนมีนาคมปี 2006 เพื่อชดใช้ในข้อกล่าวหา มันคือนรกบนดินสำหรับฉันเลยค่ะ ฉันเป็นเป้าหมายของการทรมานอย่างโหดเหี้ยม ฉันก้าวผ่านวันคืนที่ยากเย็นในคุกเหล่านั้นมาได้ และก้าวออกมาจากขุมนรกมา ด้วยการใส่พระทัยและการทรงคุ้มครองของพระเจ้า รวมถึงการทรงนำของพระวจนะของพระองค์เท่านั้นเลยค่ะ หลังจากที่ฉันถูกรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนข่มเหงอย่างโหดร้ายทารุณ ฉันก็ได้เห็นถึงเนื้อแท้เยี่ยงปีศาจแห่งการต่อต้านพระเจ้าอย่างบ้าคลั่งของมัน ฉันยังได้รับประสบการณ์ด้านสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพแห่งพระวจนะของพระเจ้าด้วยค่ะ ในความเจ็บปวดและความอ่อนแอของฉัน พระวจนะของพระเจ้าได้มอบความเชื่อและความเข้มแข็งให้ อีกทั้งยังนำให้ฉันชนะภัยอันตรายแห่งปีศาจเหล่านั้นและได้ยืนหยัดเป็นพยาน ฉันได้รับประสบการณ์ด้วยตัวเองว่าพระเจ้าทรงเป็นสิ่งค้ำจุนแก่ชีวิตของพวกเรา ว่าพระองค์ทรงอยู่ตรงนั้นเพื่อช่วยเราเสมอ และความเชื่อในการติดตามพระเจ้าของฉันก็แข็งแกร่งกว่าครั้งใดเลยค่ะ!
เชิงอรรถ:
1. “ตั้งข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูล” อ้างอิงถึงวิธีการที่มารใช้เพื่อทำอันตรายผู้คน
2. “พิทักษ์อย่างแน่นหนา” บ่งบอกว่า วิธีการที่มารใช้ก่อความทุกข์ร้อนให้ผู้คนนั้นชั่วช้าเป็นพิเศษ และควบคุมผู้คนมากเสียจนพวกเขาไม่มีที่ให้ขยับ
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย โจว เจี๋ย, ประเทศจีน ฉันอายุ 15 ตอนที่ฉันกับแม่หนีจากบ้าน ฉันจำได้ว่าเราออกมากลางดึกคืนหนึ่งในปี 2002 อยู่ๆ...
โดย ซ่งผิง, ประเทศจีนวันหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013 ฉันกับพี่น้องหญิงคนหนึ่งนัดกันไปชุมนุม ประมาณบ่ายสองโมง...
โดย ฉู่ฮุ่ย, ประเทศจีนปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2018 ฉันถูกจับเพราะเชื่อในพระเจ้าและประกาศข่าวประเสริฐ วันหนึ่งในเดือนตุลาคม...
โดย หลีว อี้, ประเทศจีน การจับกุมครั้งแรกคือเดือนธันวาคม ค.ศ.2002 ขณะที่ไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐนอกเมืองกับเหล่าผู้นับถือศาสนา...