การทดลองต่างๆ ในชั้นเรียนล้างสมอง
โดย ฉู่ฮุ่ย, ประเทศจีนปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2018 ฉันถูกจับเพราะเชื่อในพระเจ้าและประกาศข่าวประเสริฐ วันหนึ่งในเดือนตุลาคม...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “วิญญาณทั้งหมดที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามนั้นถูกจับเป็นทาสอยู่ในแดนครอบครองของซาตาน มีเพียงบรรดาผู้ที่เชื่อในพระคริสต์เท่านั้นที่ได้ถูกแยกไว้ ได้รับการช่วยให้รอดจากค่ายของซาตาน และถูกนำพาเข้าไปสู่อาณาจักรของวันนี้ ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตานอีกต่อไป ถึงกระนั้น ธรรมชาติของมนุษย์ก็ยังคงฝังรากอยู่ในเนื้อหนังของมนุษย์ กล่าวคือ ถึงแม้วิญญาณของพวกเจ้าจะได้รับการช่วยให้รอดแล้ว ธรรมชาติของพวกเจ้าก็ยังคงเป็นเหมือนที่เคยเป็นก่อนหน้านี้ และโอกาสที่พวกเจ้าจะทรยศเราก็ยังคงมีอยู่หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ นี่คือเหตุผลว่าทำไมงานของเราจึงกินเวลานานเหลือเกิน เพราะธรรมชาติของพวกเจ้านั้นดื้อด้าน เวลานี้ พวกเจ้าทั้งหมดกำลังก้าวผ่านความยากลำบากอย่างสุดความสามารถของพวกเจ้าขณะที่พวกเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าให้สำเร็จลุล่วง ถึงกระนั้น พวกเจ้าแต่ละคน ก็ยังสามารถทรยศเราได้และกลับสู่แดนครอบครองของซาตานได้ กลับสู่ค่ายของมัน และกลับไปสู่ชีวิตเก่าของพวกเจ้า—นี่คือข้อเท็จจริงที่มิอาจปฏิเสธได้ เวลานั้น จะเป็นไปไม่ได้ที่พวกเจ้าจะแสดงเศษเสี้ยวของสภาวะความเป็นมนุษย์หรือสภาพเหมือนมนุษย์ ดังเช่นที่เจ้าทำอยู่ตอนนี้ ในหลาย ๆ กรณีที่ร้ายแรง เจ้าจะถูกทำลาย และที่มากกว่านั้นคือ ถูกชี้ชะตากรรมชั่วนิรันดร์ ถูกลงโทษอย่างรุนแรง ไม่มีวันได้จุติเป็นมนุษย์ใหม่อีก นี่คือปัญหาที่วางตรงหน้าพวกเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ปัญหาที่ร้ายแรงมาก: การทรยศ (2)) ผมเคยคิดว่าผมเชื่อในพระเจ้ามามากกว่าทศวรรษ ผมสามารถละทิ้งทุกอย่างเพื่อติดตามพระเจ้า ทนทุกข์เพื่อหน้าที่ของผม และผมไม่ตื่นกลัวเมื่อเผชิญการกดขี่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผมจึงคิดว่าผมอุทิศตัวให้พระเจ้าและไม่มีทางสามารถทรยศพระองค์ได้ สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เคยนึกฝัน ก็คือว่าตอนที่ผมถูกตำรวจพรรคคอมมิวนิสต์จีนจับกุมและทรมานอย่างเหี้ยมโหด ผมจะเสียศักดิ์ศรีของผมและยอมแพ้ให้แก่ซาตาน ธรรมชาติในการทรยศพระเจ้าของผมถูกเปิดโปงอย่างสมบูรณ์ การคิดถึงความพ่ายแพ้ที่เลวร้ายนั้น ช่างทุกข์ทรมานแสนสาหัส และมันจะเป็นความเสียใจชั่วชีวิต
เรื่องย้อนไปเมื่อปี 2008 ตอนที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเริ่มอีกรอบหนึ่ง ของการกดขี่และจับกุมคริสเตียนทั่วประเทศขนานใหญ่ ผมจำได้ว่าวันหนึ่งในเดือนสิงหาคม มีคนแจ้งผมว่าผู้นำคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงหลายคนในหลายสถานที่ได้ถูกจับกุม ผมรีบติดต่อพี่น้องชายหญิงส่วนหนึ่งและพยายามจัดการผลที่ตามมา และย้ายสินทรัพย์ของคริสตจักร ใช้เวลามากกว่าสองสัปดาห์เพื่อจัดการการงานทั้งหมดของคริสตจักรให้เข้าที่เข้าทาง ผมรู้สึกพอใจกับตัวเองอย่างมากในตอนนั้น คิดว่าในขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังจับกุมผู้คนอย่างบ้าคลั่ง ผมสามารถเผชิญมันอย่างกล้าหาญและค้ำจุนงานของคริสตจักรได้ คิดว่าผมอุทิศตนต่อพระเจ้าที่สุด คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระองค์ที่สุด เมื่อผมได้ยินว่าบางคนที่ถูกจับกุมไปกลายเป็นยูดาส ทรยศพระเจ้าและขายพี่น้องชายหญิง ผมเต็มไปด้วยความเหยียดหยามพวกเขา แล้วผมก็ตกลงใจเงียบๆ ว่า “ถ้าถึงวันที่ฉันถูกจับเหมือนกัน ฉันจะตายก่อนได้กลายเป็นยูดาส!” ผมคิดว่าผมครอบครองความเชื่อที่ยิ่งใหญ่มาก แต่ผมก็ต้องแปลกใจ ทันทีหลังจากปีใหม่ในปี 2009 พรรคคอมมิวนิสต์จีนเริ่มปฏิบัติการจับกุมทั่วประเทศอีกครั้ง เรียกว่า “สายฟ้าสาม” มุ่งเป้าไปที่คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ วันหนึ่งขณะที่ผมอยู่ในงานชุมนุมกับพี่น้องชายหญิงสองสามคน อยู่ๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจมากกว่า 30 คนก็กรูเข้ามา พวกมันพาเราไปสถานีตำรวจนครบาล แล้วแยกเราไปสอบสวน พวกมันต้องการรู้สองเรื่อง ชื่อและที่อยู่ของบรรดาผู้นำและเพื่อนร่วมงาน และคริสตจักรมีเงินมากแค่ไหน และมันซ่อนอยู่ที่บ้านของใคร พวกมันพูดขู่เข็ญว่า “ถ้าแกไม่พูด แกจบเห่แน่!” ตอนนั้นผมไม่ได้กลัวมากนัก ผมรู้สึกว่าผมทนทุกข์มาพอสมควรตั้งแต่ผมยังเล็ก ดังนั้นถึงพวกมันจะทรมานผม ผมก็สามารถทนรับได้ และไม่ว่ากรณีใดๆ ผมก็ทำหน้าที่และภักดีต่อพระเจ้า ดังนั้นพระองค์จะทรงคุ้มครองผมอย่างแน่นอน เมื่อพวกมันเห็นว่าผมไม่ยอมพูด พวกตำรวจก็เอาภาพจากกล้องวงจรปิดและภาพถ่ายที่ผมเข้าออกบ้านของบรรดาเจ้าบ้านของผมออกมา และจดรายการสถานที่ทั้งหมดที่ผมเคยไปในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา แล้วบอกให้ผมสารภาพ การเห็นหลักฐานชัดแจ้งแบบนั้นทำให้ผมกังวล ผมคิดว่าถึงผมจะปฏิเสธ พวกมันก็จะยังไม่เชื่อผมอยู่ดี ผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าและขอให้พระองค์ทรงป้องกันไม่ให้ผมกลายเป็นยูดาส เมื่อพวกมันเห็นว่าผมยังไม่ยอมพูด เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ดูเหมือนแกจะบังคับให้เราใช้ไม้แข็งกับแกนะ!” ในขณะที่เขาผลักเก้าอี้เหล็กที่ผมถูกมัดติดอยู่จนผมล้มหงายหลัง แล้วพวกมันก็เอาหลอดฉีดยาพร้อมกับน้ำมันมัสตาร์ดผสมน้ำฮอสแรดิชออกมา แล้วเริ่มฉีดมันเข้าไปในจมูกของผม และเอามาถูตาผม มันปวดแสบมาก ผมรู้สึกเหมือนแทบจะหายใจไม่ออก ตาของผมปวดแสบมากจนลืมไม่ขึ้น ส่วนท้องของผมก็แสบร้อนไปหมด แล้วพวกมันก็เปลื้องเสื้อผ้าผมจนถึงเอว มัดมือผมไพล่หลัง แล้วใช้กำลังจับบิดขึ้น เมื่อพวกมันเหนื่อย พวกมันก็เอาลิ้นชักมาค้ำไว้ ผมทนความเจ็บปวดและไม่ปริปากพูดเลย เมื่อเห็นว่ายุทธวิธีของพวกมันไม่ได้ผล พวกมันก็ลองใช้วิธีการที่เลวทรามอีกอย่างหนึ่ง พวกมันใส่กุญแจมือผมกับเก้าอี้เหล็กอีกครั้ง เอาสายไฟออกมาสองเส้น ผูกปลายหนึ่งกับหัวแม่เท้าทั้งสองของผม ส่วนอีกปลายหนึ่งต่อเข้ากับเครื่องช็อตไฟฟ้า แล้วพวกมันก็เริ่มสาดน้ำเย็นใส่ผมพร้อมกับช็อตผมซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมถูกไฟดูดจนร่างกายกระตุกไปทั้งตัว และรู้สึกได้ว่าหัวใจผมสั่นอย่างแรง ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะตายจริงๆ พวกมันทรมานผมต่อไปจนถึงตีสอง
วันรุ่งขึ้น พวกตำรวจนำตัวผมไปยังสถานที่สอบสวนลับแห่งหนึ่ง วินาทีที่ผมเดินเข้าไป ผมเห็นได้ว่ามีรอยเลือดเปรอะไปทั่ว มันน่ากลัวมาก ผมรู้สึกกลัวทีเดียว นึกสงสัยว่าพวกมันจะทุบตีผมจนตายในนั้นหรือเปล่า ตอนนั้นเอง โดยไม่พูดสักคำ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็ดึงแขนผมให้กอดเก้าอี้เหล็กไว้ แล้วก็ผลักทั้งผมและเก้าอี้ลงไปกับพื้น ข้อมือของผมมีแผลเปิดลึกจากกุญแจมืออยู่แล้ว และมีเลือดกำลังไหลซึมออกมา และมือของผมก็บวมเป่งเหมือนลูกโป่ง จังหวะที่ผมถูกผลักลงไปกับพื้นนั้นเจ็บปวดแสนสาหัส และทั้งหมดที่ผมทำได้คืออธิษฐานต่อพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วพวกตำรวจก็สาธยายคำโกหกใส่ร้ายคริสตจักร การได้ยินคำโกหกพวกนี้ทำให้ผมคลื่นไส้และเดือดดาล เมื่อเห็นว่าผมยังไม่ยอมพูด พวกมันคนหนึ่งก็หยิบเครื่องช็อตไฟฟ้าอย่างกระฟัดกระเฟียด และช็อตผมทั่วทั้งตัว ใบหน้า และแม้แต่ปากของผม มีแสงวาบสีฟ้าและผมไม่กล้าลืมตา แต่ได้ยินแค่เสียงช็อตของที่ช็อตไฟฟ้า และได้กลิ่นเนื้อที่กำลังไหม้ของผม แล้วเจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็ดูหมดความอดทน เขาหยิบถุงพลาสติกขึ้นมาครอบหัวผม จะดึงมันออกก็ต่อเมื่อผมกำลังจะขาดอากาศหายใจเท่านั้น อีกคนหนึ่งเริ่มเตะช่วงล่างของผมซ้ำๆ อย่างโหดร้าย ในขณะที่อีกคนหนึ่งหยิบกระบองไม้ที่หนาประมาณ 4 ซม. ขึ้นมา แล้วเริ่มฟาดผมซ้ำๆ ผมรู้สึกได้ว่าทั้งหน้าของผมบวมอย่างรุนแรง ตาของผมบวมจนเกือบปิดจนผมแทบมองอะไรไม่เห็น ข้อมือของผมมีเลือดไหล และผมมีรอยไหม้ทั่วตัว ผมรู้สึกได้ว่าหัวใจของผมหดเกร็ง และผมแทบหายใจไม่ได้ ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย พร้อมกับตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “เรามีเครื่องมือทรมานมากกว่าหนึ่งร้อยอย่างที่เราจะใช้กับแกทีละชิ้นๆ ใครก็ตามที่ตายที่นี่ก็แค่ถูกโยนลงหลุม ไม่มีปัญหา! ถ้าแกไม่พูดอะไรแกจะโดนโทษแปดถึงสิบปี และแม้ว่าแกจะถูกทุบตีจนพิการ แกก็ยังต้องถูกจำคุก พอแกออกมาได้ ชีวิตที่เหลือของแกก็ไม่คุ้มค่าที่จะอยู่แล้ว!” เมื่อได้ยินแบบนั้นผมก็วิตกทีเดียว คิดว่า “ถ้าฉันถูกทุบตีหนักจนพิการ ฉันจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง ตำรวจพวกนั้นพูดว่าพวกมันได้ข้อมูลทั้งหมดจากคอมพิวเตอร์ของฉันแล้ว ดังนั้นถ้าฉันไม่พูด พอพวกมันไปจับคนอื่นก็จะพูดว่าฉันให้การซัดทอดพวกเขา ทุกคนในคริสตจักรจะเกลียดฉัน และฉันจะไม่สามารถโผล่หน้าไปได้” แล้วผมก็ได้ยินเจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูด ว่าผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์มาแล้ว และพวกมันเข้าถึงทุกอย่างในคอมพิวเตอร์ของผมแล้ว ผมเต็มไปด้วยความกลัวในทันที ผมคิดว่า “จบกันแล้ว ในนั้นมีข้อมูลของพวกผู้นำและเพื่อนร่วมงาน รวมถึงรายชื่อสมาชิกของคริสตจักรและบัญชีของคริสตจักร” ผมรู้สึกตื่นตระหนกและไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป ค่ำวันนั้น พวกเจ้าหน้าที่ติดตั้งขาตั้งสามขาในห้อง ผูกแขนผมไพล่หลังอย่างแน่นหนา และจับผมห้อยกับขาตั้งนั่น ผมถูกแขวนสูงจากพื้นสองฟุต แล้วพวกมันก็คอยแกว่งผมไปมา ทุกครั้งที่พวกมันแกว่ง แขนของผมเจ็บอย่างร้ายกาจ และเหงื่อเม็ดใหญ่ก็ไหลลงมาตามใบหน้าของผม แล้วผมก็คิดถึงสิ่งที่ตำรวจนั่นพูดไว้ ว่าการทุบตีผมจนตายไม่ใช่ปัญหาเลย และผมจะยังติดคุกแม้ว่าผมจะพิการก็ตาม ผมเริ่มรู้สึกว่าไม่สามารถรับได้อีกต่อไป แล้วคิดว่า “ถ้าฉันตายในนี้ล่ะ ฉันเพิ่งอายุ 30 ถ้าฉันถูกทุบตีจนตาย มันจะเป็นการเสียเปล่าแค่ไหน! ถ้าฉันพิการแล้วทำงานไม่ได้ ฉันจะประทังชีวิตยังไง ในเมื่อพวกมันได้ข้อมูลทั้งหมดในคอมพิวเตอร์ของฉันไปแล้ว ฉันจะสารภาพหรือไม่ก็ไม่แตกต่างกันเลย ถ้าฉันบอกพวกมันสักนิด บางทีพวกมันอาจจะไว้ชีวิตฉัน” แล้วผมก็คิดว่า “ไม่ ทำแบบนั้นไม่ได้ นั่นจะไม่ทำให้ฉันเป็นยูดาสหรอกเหรอ” การต่อสู้ภายในใจดำเนินไปเรื่อยๆ แม้ว่าผมได้อธิษฐานต่อพระเจ้าและพูดว่าผมยอมตายดีกว่าที่จะเป็นยูดาส เมื่อเวลาผ่านไปความเจ็บปวดก็แย่ลงไปอีก แล้วพอตีสองหรือตีสามคืนนั้น ผมไม่สามารถทนการทรมานของตำรวจได้อีก แล้วผมก็สติแตกอย่างสิ้นเชิง ผมยินยอมบอกข้อมูลของคริสตจักรกับพวกมัน แล้วพวกมันก็ปล่อยผมลงในที่สุด พอพวกมันทำแบบนั้น ผมก็ได้แต่นอนนิ่งอยู่กับพื้น ไม่สามารถขยับตัวได้และแขนก็ไม่มีความรู้สึก พวกเจ้าหน้าที่ให้ผมยืนยันชั้นและหมายเลขอพาร์ตเมนต์ของบ้านของเจ้าบ้านทั้งสองคน และผมก็ยินยอม ชั่วขณะที่ผมทรยศพี่น้องชายหญิงของผม ผมไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น ผมขวัญหนีดีฝ่อ และรู้สึกว่าเรื่องแย่ๆ กำลังจะเกิดขึ้น พระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าผุดขึ้นมาในใจ “ใครก็ตามที่ทำให้เราเสียใจจะไม่ได้รับความเมตตาผ่อนผันจากเราเป็นครั้งที่สอง” (พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)ผมรู้ชัดเจนมากว่าผมได้ทรยศพระเจ้าและทำให้พระอุปนิสัยของพระองค์ขุ่นเคือง และพระองค์จะไม่ทรงให้อภัยผมอีก ผมรู้สึกเจ็บปวดจริงๆ และเกลียดตัวเองอย่างที่สุด ผมคิดว่า “ทำไมผมจึงขายพวกเขา ถ้าผมรับกระสุนและทนทุกข์นานขึ้นอีกนิด บางทีผมอาจจะผ่านมันมาได้” ผมเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและเสียใจ หลังจากนั้น ไม่ว่าตำรวจจะพยายามแค่ไหน ผมก็ไม่ยอมพูดอีกแม้แต่คำเดียว ต่อมา เมื่อไรก็ตามที่ผมนึกถึงการทรยศพระเจ้าและพี่น้องชายหญิงของผม การเป็นยูดาส ทำสิ่งที่ไม่สามารถให้อภัยได้ ผมก็รู้สึกทรมานจริงๆ ผมรู้สึกเหมือนเส้นทางแห่งความเชื่อของผมจบลงแล้ว ราวกับผมถูกตัดสินประหารชีวิต และผมสามารถตายในคุกเมื่อไรก็ได้
แล้วบางอย่างที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตอนตีห้ากว่าๆ ในวันที่สี่หลังจากผมถูกจับ เมื่อพวกเจ้าหน้าที่ที่กำลังจับตาดูผมหลับสนิท ผมแก้เชือกที่มัดผมออกอย่างเงียบที่สุด แล้วก็กระโดดออกทางหน้าต่าง หลักจากความทุลักทุเลอย่างมาก ผมก็ไปถึงบ้านของพี่ชายคนหนึ่ง และรีบเขียนจดหมายทันที เพื่อบอกผู้นำคริสตจักรเรื่องที่ผมบอกข้อมูลของเจ้าบ้านสองคนนั้นไป และบอกพวกเขาว่าต้องระมัดระวังตัวทันที จากนั้นผู้นำก็จัดการเตรียมการให้ผมไปอยู่กับเจ้าบ้านในสถานที่ปลอดภัย ผมรู้สึกแย่มากตอนที่เห็นสมาชิกคริสตจักรคนอื่นเต็มใจเสี่ยงเป็นเจ้าบ้านให้ผม ผมได้ทรยศพระเจ้าและขายพี่น้องชายหญิง ผมเป็นยูดาส ผมไม่มีค่าให้ใครเป็นเจ้าบ้านให้ทั้งนั้น และผมไม่สามารถโผล่หน้าไปให้พี่น้องชายหญิงคนอื่นเห็นได้ ผมอ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า “กับบรรดาผู้ที่ไม่ได้แสดงให้เราเห็นความจงรักภักดีแม้แต่น้อยในระหว่างช่วงเวลาของความทุกข์ลำบาก เราจะไม่ปรานีอีกต่อไป เพราะความปรานีของเราขยายเวลามาเพียงถึงตอนนี้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่มีความชอบให้กับใครก็ตามที่ครั้งหนึ่งเคยทรยศเรา นับประสาอะไรที่เราจะชอบที่จะเชื่อมสัมพันธ์กับบรรดาผู้ที่ขายผลประโยชน์ของผองเพื่อนของตน นี่คืออุปนิสัยของเรา ไม่ว่าบุคคลคนนั้นอาจเป็นใครก็ตาม เราจำต้องบอกเรื่องนี้กับพวกเจ้าว่า ใครก็ตามที่ทำให้เราเสียใจจะไม่ได้รับความเมตตาผ่อนผันจากเราเป็นครั้งที่สอง และใครก็ตามที่ได้สัตย์ซื่อต่อเราตลอดมาจะยังคงอยู่ในหัวใจของเราตลอดกาล” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า) นี่ทำให้ผมสั่นสะท้านไปถึงแก่น พระวจนะทุกถ้อยคำแทงใจผมอย่างเจ็บปวด คนที่ไม่มีความภักดีต่อพระเจ้าในระหว่างช่วงเวลาของความทุกข์ลำบากคือผมเอง คนที่ทรยศพระเจ้าและขายผลประโยชน์ของผองเพื่อนของตนคือผมเอง คนที่ทำให้พระเจ้าเสียพระทัยคือผมเอง ผมเป็นคนขี้ขลาด ผมได้ทรยศพระเจ้าและขายพี่น้องชายหญิง และได้ทำให้พระอุปนิสัยของพระเจ้าขุ่นเคืองอย่างร้ายแรง ผมจะไม่ได้รับความเมตตาผ่อนผันของพระเจ้าอีก แต่มั่นใจได้ว่าจะถูกพระเจ้าทรงลงโทษ ยิ่งผมคิดถึงเรื่องนี้เท่าไหร่ ผมก็ยิ่งกลัดกลุ้มมากขึ้นเท่านั้น และผมไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป
สองสามวันต่อมา ผมได้ยินว่าพี่สาวคนหนึ่งที่บ้านหลังหนึ่งที่ผมเผยข้อมูลไปถูกจับกุม และบ้านของเธอก็ถูกค้น เธอยอมเสี่ยงให้ที่พักพิงแก่ผมและดูแลผม แต่ผมก็ขายเธอ ผมรู้ดีว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนเหี้ยมโหดต่อคริสเตียนแค่ไหน และตัวผมเองได้ผ่านการทรมานนั้นมาแล้ว แต่เพื่อรักษาชีวิตของตัวเอง ผมได้ส่งเธอสู่อุ้งมือมาร เป็นการกระทำที่ชั่วร้ายนัก! ผมตบหน้าตัวเองแรงๆ สองสามครั้ง และหมอบอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าว่า “โอ้พระเจ้า ข้าพระองค์ได้ทรยศพระองค์และขายพี่น้องชายหญิง ข้าพระองค์ไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ และข้าพระองค์ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ ข้าพระองค์สมควรถูกสาปแช่งและลงโทษ แม้แต่ความตายของข้าพระองค์ก็เป็นความชอบธรรมของพระองค์” ผมไม่สามารถหาสันติสุขได้เลยและรู้สึกทรมานตลอดเวลา ผมตื่นเพราะฝันร้ายตอนกลางคืนบ่อยๆ และผมก็คอยคิดว่า “ฉันได้ทรยศพระเจ้าและกลายเป็นยูดาสได้ยังไง ตลอดหลายปีที่เชื่อ ฉันละทิ้งครอบครัวและการงานเพื่อพระเจ้า และฉันไม่เคยยอมแพ้ไม่ว่าหน้าที่ของฉันจะอันตรายแค่ไหน แล้วฉันทรยศพระเจ้าและกลายเป็นยูดาสในชั่วข้ามคืนได้ยังไง ทำไมฉันถึงทำแบบนั้น” ทันทีหลังจากถูกจับ ผมต้องการยืนหยัดเป็นพยาน แต่เมื่อผมถูกทรมานอย่างเหี้ยมโหดและชีวิตตกอยู่ในอันตราย ผมก็กลัวจนหัวหด และเมื่อผมได้ยินพวกตำรวจพูดว่าพวกมันสามารถฆ่าผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้โดยไม่ถูกลงโทษ และผมจะถูกตัดสินโทษแม้ว่าผมจะพิการก็ตาม ผมก็วิตกว่าตัวเองจะใช้ชีวิตอย่างคนพิการยังไง ผมอายุแค่ 30 ปี และมันคงจะสูญเปล่าถ้าผมถูกฆ่าตาย! ตอนที่พวกมันพูดว่าพวกมันเจาะรหัสผ่านคอมพิวเตอร์ของผมได้แล้ว และพวกมันได้ข้อมูลทั้งหมดของคริสตจักรแล้ว ในใจผมยอมแพ้และรู้สึกว่าผมจะสารภาพหรือไม่ก็ไม่ต่างกัน และผมสามารถรักษาชีวิตได้ด้วยการให้ข้อมูลพวกมันเล็กน้อย ผมเสียศักดิ์ศรีของตัวเองและกลายเป็นยูดาส ผมเห็นว่าเหตุผลหลักที่ผมทรยศพระเจ้า ก็คือผมแค่ต้องการรักษาชีวิตของตัวเอง ผมรักชีวิตตัวเองมากเกินไป ผมเคยคิดว่าผมสามารถรับมือความทรมานได้และผมอุทิศตัวเพื่อพระเจ้า และจากคนทั้งหมด ผมจะไม่มีวันทรยศพระเจ้า แต่ทันทีที่ผมถูกจับและทรมาน ผมก็เผยตัวตนที่แท้จริง แล้วผมก็เห็นว่าผมขาดความเป็นจริงของความจริงอย่างสิ้นเชิง และไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า เมื่อเผชิญการทดสอบและความยากลำบาก เมื่อชีวิตของผมอยู่ในอันตราย ผมจะต่อต้านและทรยศพระเจ้าได้ทุกเวลา ผมอ่านบทตอนนี้ “ใครบ้างที่ไม่ได้รับการใส่พระทัยในสายพระเนตรขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์? ใครบ้างไม่ได้ใช้ชีวิตท่ามกลางการทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์? ชีวิตและความตายของใครบ้างที่มาจากตัวเลือกของพวกเขาเอง? มนุษย์ควบคุมชะตากรรมของเขาเองหรือ? ผู้คนมากมายเรียกร้องหาความตาย กระนั้นความตายก็อยู่ไกลจากพวกเขา ผู้คนมากมายต้องการที่จะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งในชีวิตและกลัวความตาย กระนั้นวันแห่งความตายของพวกเขาก็ใกล้มาถึง และผลักพวกเขาสู่หุบเหวแห่งความตาย” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 11) “เมื่อผู้คนพร้อมที่จะพลีอุทิศชีวิตของพวกเขา ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลายเป็นไม่สลักสำคัญ และไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะพวกเขาได้ สิ่งใดจะสามารถสำคัญกว่าชีวิตได้? ด้วยเหตุนั้น ซาตานจึงกลายเป็นไม่สามารถทำสิ่งใดมากขึ้นอีกในผู้คน ไม่มีสิ่งใดที่มันสามารถทำกับมนุษย์ ถึงแม้ว่าในคำนิยามของ “เนื้อหนัง” มีการกล่าวว่าเนื้อหนังถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม หากผู้คนยอมมอบตัวพวกเขาเองอย่างแท้จริง และไม่ถูกซาตานขับดัน เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะพวกเขาได้ […]” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 36) พระวจนะของพระเจ้าทำให้ผมรู้ตัว ว่าสรรพสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ รวมถึงชีวิตและความตายของเราด้วย เมื่อผมตาย ไม่ว่าผมจะถูกทุบตีและพิการ ไม่ว่าชีวิตของผมจะเป็นยังไง ทั้งหมดพระเจ้าก็ทรงลิขิตไว้แล้ว ทุกอย่างมาจากพระเจ้า และไม่ว่าผมจะอยู่หรือตาย ผมก็ควรนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ถึงผมจะถูกซาตานข่มเหงจนตาย ถ้าผมสามารถยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระเจ้าได้ มันก็จะเป็นความตายที่มีค่าและมีความหมาย ผมจำได้ว่าองค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา คนนั้นจะได้ชีวิตรอด” (ลูกา 9:24) ผมนึกถึงบรรดาอัครทูตและสาวกขององค์พระเยซูเจ้า และคิดว่าพวกเขาหลายคนทุกข์ทรมานเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระเจ้าและทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ ความตายของพวกเขาเป็นที่ทรงรำลึกถึงของพระเจ้า แม้ว่าร่างกายของพวกเขาได้ตายไป แต่วิญญาณของพวกเขาไม่ได้ตาย แต่การที่ผมทรยศพระเจ้า ขายคนอื่นๆ และเป็นยูดาส เป็นความละอายชั่วกัลปาวสาน ผมเป็นเหมือนคนที่ตายทั้งเป็น เหมือนซากศพที่เดินไปมาอย่างไร้วิญญาณ ผมคิดถึงเรื่องตอนที่ผมเชื่อว่าตำรวจได้ข้อมูลของคริสตจักรแล้ว ผมคิดว่าการสารภาพของผมคงไม่สร้างความแตกต่างอะไร แต่ผมเข้าใจผิดถนัด ตอนที่ผมกำลังถูกพญานาคใหญ่สีแดงทรมาน สิ่งที่พระเจ้าทรงมองก็คือทัศนคติของผม และว่าผมเป็นพยานต่อหน้าซาตานหรือไม่ ไม่ว่าพวกมันจะมีข้อมูลนั้นจริงหรือไม่ ผมก็ยังไม่ควรพูดอยู่ดี การที่ผมบอกตำรวจก็คือผมก้มหัวให้ซาตาน และมันเป็นรอยแผลแห่งความอับอาย ผมเกลียดที่ผมไม่ได้ไล่ตามความจริงและไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า ผมเกลียดความกระหายชีวิตของตัวเอง ขาดความมีเกียรติ และขาดความซื่อสัตย์ ยิ่งกว่านั้น ผมเกลียดปีศาจพญานาคใหญ่สีแดงนั่น มันเกลียดพระเจ้าและความจริงอย่างสุดขั้ว จับกุมและข่มเหงประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรอย่างบ้าคลั่ง มันผลักดันให้ผู้คนปฏิเสธและทรยศพระเจ้า และทำลายโอกาสได้รับความรอดของพวกเขา ผมตัดสินใจตัดขาดจากพญานาคใหญ่สีแดงอย่างสิ้นเชิงและปฏิญาณว่าจะติดตามพระเจ้าด้วยชีวิต
ครั้งหนึ่ง ผมได้อ่านบทความคำพยานส่วนหนึ่งเรื่องประสบการณ์ของผู้ชนะ และผมเห็นว่าเมื่อพวกเขาถูกพญานาคใหญ่สีแดงทรมาน พวกเขาทั้งหมดพึ่งพาพระวจนะของพระเจ้าเพื่อเอาชนะซาตานและยืนหยัดเป็นพยาน ผมยิ่งรู้สึกละอายมากขึ้น พวกเขาเป็นผู้เชื่อที่ถูกข่มเหงเหมือนกับผม แล้วพวกเขาสามารถทนความเจ็บปวดและยืนหยัดเป็นพยานได้ยังไง ทำไมผมถึงเห็นแก่ตัว เลวทราม และกระหายชีวิตมากเสียจนผมกลายเป็นยูดาสผู้ทรยศล่ะ การคิดว่าที่ผมบอกข้อมูลไปนั้นได้กลายเป็นที่ขบขันของซาตานยังไง เป็นเหมือนมีดทิ่มแทงใจผม มันเจ็บปวดอย่างที่สุด และผมไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้ ผมรู้สึกคิดลบจริงๆ ตอนนั้นเองที่ผมอ่านพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้า “ผู้คนส่วนใหญ่ได้กระทำการล่วงละเมิดต่างๆ ตัวอย่างเช่น บางคนเคยต้านทานพระเจ้า บางคนได้กบฏต่อพระเจ้า บางคนได้กล่าววาจาแห่งการพร่ำบ่นพระเจ้า หรือคนอื่นๆ ได้กระทำการต่อต้านคริสตจักรหรือทำสิ่งที่ได้ก่อให้เกิดความสูญเสียแก่ครอบครัวของพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้ควรได้รับการปฏิบัติเช่นไร? บทอวสานของพวกเขาจะได้รับการกำหนดพิจารณาอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติและพฤติกรรมที่ดื้อแพ่งของพวกเขา […] พระเจ้าทรงจัดการกับแต่ละบุคคลโดยสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและบริบท ณ เวลานั้น สถานการณ์ตามจริง การกระทำของผู้คน และพฤติกรรมกับการแสดงออกทั้งหลายของพวกเขา พระเจ้าจะไม่มีวันทรงให้ร้ายผู้ใด นี่เป็นความชอบธรรมของพระเจ้า” (บันทึกปาฐกถาของพระคริสต์) หลังจากนั้นผมได้อ่านบทตอนนี้จากคำเทศนา “มีบางคนเนื่องจากความอ่อนแอจึงเผยข้อมูลเล็กน้อยหลังจากถูกจับกุม แต่พวกเขาไม่ทำการปรนนิบัติให้ซาตาน และในหัวใจของพวกเขายังเชื่อในพระเจ้าและยังอธิษฐานต่อพระเจ้า เหตุผลที่พวกเขาเผยข้อมูลเล็กน้อยก็คือพวกเขาขาดวุฒิภาวะเกินไปและเนื้อหนังของพวกเขาก็อ่อนแอเกินไป แต่ว่าพวกเขาไม่เผยข้อมูลอย่างหมดเปลือก อีกทั้งไม่ได้ทำการปรนนิบัติให้ซาตาน นี่เท่ากับพวกเขาได้ยืนหยัดเป็นพยานแล้ว พวกคนที่เมื่อถูกจับก็ขายคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงของพวกเขาอย่างหมดเปลือก และผู้ที่ร่วมมือกับพญานาคใหญ่สีแดงเพื่อจับตาดูและจับกุมพี่น้องชายหญิงของพวกเขา และผู้ที่ถึงกับเซ็นแถลงการณ์ซึ่งพวกเขาปฏิญาณว่าจะไม่เชื่อในพระเจ้าอีก คนพวกนี้จะถูกกำจัดในที่สุดและจะถูกพระเจ้าทรงสาปแช่งอย่างแน่นอน... ในอดีตเคยมีพี่น้องชายหญิงบางคนที่เผยข้อมูลเล็กน้อยด้วยความอ่อนแอในขณะที่ถูกจำคุก หลังจากนั้น เป็นทุกข์กับความเจ็บแปลบของมโนธรรม พวกเขารู้สึกผิดและตกสู่การร่ำไห้เกลียดชังตนเอง พวกเขาสาบานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้พระองค์ลงโทษพวกเขา และวิงวอนให้พระองค์ทรงอนุญาตให้พวกเขาเผชิญสถานการณ์อันตรายอีกครั้งหนึ่ง เพื่อที่พวกเขาอาจจะมีโอกาสเป็นพยานอย่างงดงามเพื่อสนองพระเจ้า พวกเขาอธิษฐานต่อพระเจ้าบ่อยๆ ในรูปแบบนั้น จนในที่สุด พวกเขาก็สามารถไล่ตามความจริงและทำหน้าที่ของพวกเขาตามปกติได้ และพวกเขาถึงกับได้ครอบครองพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คนแบบนี้ได้กลับใจอย่างแท้จริง และซื่อสัตย์ พระเจ้าจะทรงปรานีพวกเขา” (คำเทศนาและการสามัคคีธรรมเรื่องการเข้าสู่ชีวิต) คำพูดเหล่านี้ทำให้ผมตื้นตันใจจริงๆ และไม่สามารถหยุดร้องไห้ได้ ความตั้งพระทัยของพระเจ้าต่อใครบางคน อยู่บนพื้นฐานของภูมิหลังและระดับการล่วงละเมิดหลายๆ ครั้งของพวกเขา และว่าพวกเขากลับใจอย่างแท้จริงหรือไม่ พระองค์ไม่ได้ทรงกำหนดผลลัพธ์ของพวกเขาตามการล่วงละเมิดเพียงครั้งเดียว ผมมองเห็นว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้าชอบธรรมแค่ไหน และความชอบธรรมของพระองค์ก็มีทั้งการพิพากษาและความเมตตาสำหรับผู้คน ผมได้ทำการล่วงละเมิดที่ร้ายแรงอย่างการทรยศพระเจ้าและขายพี่น้องชายหญิง แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงกำจัดผม พระองค์ทรงให้โอกาสผมได้กลับใจ พระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำผมและอนุญาตให้ผมเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ ผมซาบซึ้งอย่างแท้จริงว่าพระเจ้าทรงนำความรอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมาสู่พวกเราแต่ละคน และพระเจ้าทรงพระกรุณาอย่างเหลือล้นแค่ไหน ความสำนึกและรู้สึกผิดของผมเพิ่มมากขึ้นและผมรู้สึกเป็นหนี้พระเจ้าอย่างมาก ผมตัดสินใจแน่วแน่ในหัวใจของผมว่า “ถ้าผมถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนจับกุมอีกครั้ง ผมก็พร้อมจะสละชีวิต ถึงแม้ตำรวจจะทรมานผมจนตาย ผมก็จะยืนหยัดเป็นพยานและทำให้ซาตานอับอาย!”
สองสามเดือนต่อมา คริสตจักรจัดการเตรียมการให้ผมทำหน้าที่อีกอย่างหนึ่ง ผมรู้สึกตื้นตันใจอย่างยิ่ง การทรยศพระเจ้าของผมเป็นเรื่องน่าเสียพระทัยสำหรับพระองค์ แต่ด้วยความอดทนและพระเมตตาอันมหาศาลของพระองค์ พระองค์ทรงให้โอกาสผมกลับใจ ผมรู้ว่าผมต้องหวงแหนโอกาสนั้น และทุ่มเททำหน้าที่ของผมเพื่อตอบแทนความรักของพระองค์
เดือนธันวาคม 2012 มาถึงในชั่วพริบตา และพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็เริ่มปฏิบัติการขนานใหญ่อีกครั้งเพื่อจับกุมและปราบปรามคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกมันใช้การดักฟังโทรศัพท์และตามรอยผู้คนเพื่อจับกุมพี่น้องชายหญิงมากมาย ในวันที่ 18 ธันวาคม พี่สาวสองคนที่ทำหน้าที่กับผม ถูกจับหลังจากโทรศัพท์ของพวกเธอถูกดักฟัง แล้วผู้นำสองคนก็ถูกจับไม่นานหลังจากนั้น เมื่อผมได้ยินเรื่องนี้ ผมก็เริ่มรู้สึกวิตกกังวลมาก ผมรู้ตัวว่าเป็นไปได้สูงที่ผมจะอยู่ภายใต้การตรวจตราของพรรคคอมมิวนิสต์จีนแล้ว และผมสามารถถูกจับกุมได้ทุกเมื่อ ไม่มีทางรู้ว่าผมจะรอดไหมถ้าผมถูกจับกุมอีกครั้ง ความคิดนั้นทำให้ผมกลัวจับใจ แต่ผมก็รู้ด้วยว่าทุกอย่างเกิดขึ้นตามความยินยอมของพระเจ้า ผมกล่าวอธิษฐานต่อพระเจ้าว่าผมไม่ต้องการคำนึงถึงอันตรายต่อร่างกายของผมเองอีกต่อไป แต่ผมแค่ต้องการจัดการกับวิกฤตินี้และทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ ถึงผมจะถูกจับ ผมก็จะยืนหยัดเป็นพยานเพื่อทำให้ซาตานอับอาย แม้ว่าจะต้องแลกมาด้วยชีวิตของผมเองก็ตาม ผมรู้สึกสงบขึ้นและสบายใจมากขึ้นหลังจากอธิษฐาน แล้วผมก็เริ่มจัดการเตรียมการงานของคริสตจักร ขอบคุณพระเจ้า เดือนเศษหลังจากนั้น งานของคริสตจักรก็กลับเป็นปกติ ผ่านประสบการณ์นี้ ผมเห็นว่าเมื่อผู้คนไม่ใช้ชีวิตเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง แต่สามารถทำหน้าที่ของพวกเขาได้ พวกเขารู้สึกสงบและสบายใจภายในตัวเองจริงๆ และมโนธรรมของพวกเขาก็สามารถมีสันติสุขได้
ทุกครั้งที่ผมคิดเรื่องการเป็นยูดาสที่น่าอับอาย ทรยศพระเจ้า ผมก็รู้สึกแย่อย่างที่สุด ยังไงก็ตาม เป็นเพราะผมล้มเหลวและถูกเปิดโปงแบบนั้น ที่ทำให้ผมเข้าใจพระอุปนิสัยอันชอบธรรมบางประการของพระเจ้าและมีความยำเกรงพระเจ้าอยู่บ้าง ผมเห็นว่าพระเจ้าทรงพระปรีชาญาณแค่ไหน ผมเห็นว่าพระเจ้าทรงใช้การจับกุมและการข่มเหงของพญานาคใหญ่สีแดงเพื่อเปิดโปงข้อบกพร่องของผม และตอนนั้นเท่านั้นที่ผมรู้จักและเกลียดตัวเอง และเริ่มไล่ตามความจริงจริงๆ ผมยังเห็นด้วยว่าพระราชกิจของพระเจ้าเพื่อทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากแค่ไหนขอบคุณพระเจ้า!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย ฉู่ฮุ่ย, ประเทศจีนปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2018 ฉันถูกจับเพราะเชื่อในพระเจ้าและประกาศข่าวประเสริฐ วันหนึ่งในเดือนตุลาคม...
โดย จ้าวรุ่ย ประเทศจีน ในฤดูใบไม้ผลิของ ค.ศ. 2009...
โดย เย่หลิน, ประเทศจีนราวสี่โมงเย็นวันหนึ่งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2002 ขณะที่ผมยืนโทรศัพท์อยู่ริมถนน จู่ๆ ผมก็ถูกกระชากผมและแขนจากด้านหลัง...
โดย โจว เจี๋ย, ประเทศจีน ฉันอายุ 15 ตอนที่ฉันกับแม่หนีจากบ้าน ฉันจำได้ว่าเราออกมากลางดึกคืนหนึ่งในปี 2002 อยู่ๆ...