การทดลองต่างๆ ในชั้นเรียนล้างสมอง

วันที่ 31 เดือน 10 ปี 2024

โดย ฉู่ฮุ่ย, ประเทศจีน

ปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2018 ฉันถูกจับเพราะเชื่อในพระเจ้าและประกาศข่าวประเสริฐ  วันหนึ่งในเดือนตุลาคม ตำรวจนำตัวฉันไปยังเรือนสี่ประสาน (บ้านที่สร้างล้อมลานตรงกลาง) ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์ล้างสมอง อยู่ในสวนนิเวศวิทยาแห่งหนึ่งแถวชานเมือง  ตอนนั้นฉันรู้สึกหวาดและวิตกเล็กน้อย  ภาพของบรรดาพี่น้องชายหญิงที่ถูกสอบปากคำและถูกทรมานอย่างลับๆ ฉายแวบไปมาอยู่ในห้วงความคิด  ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าเงียบๆ ว่า  “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าพวกตำรวจจะทรมานข้าพระองค์อย่างไร  โปรดประทานความเชื่อและความเข้มแข็งแก่ข้าพระองค์  ไม่ว่าต้องทนทุกข์กับการทรมานอะไร ข้าพระองค์ก็จะไม่ทำในสิ่งที่ทรยศพระองค์”  หลังจากอธิษฐาน ฉันก็รู้สึกสงบลงเล็กน้อย

ผู้ที่ดูแลรับผิดชอบการปฏิรูปพวกเราที่เรือนสี่ประสานคือร้อยตำรวจเอกแซ่หลาง เขาดูฉลาดแกมโกงและดูเจ้าเล่ห์มาก  หลางให้พวกเรายืนเข้าแถวและบอกว่า “ชั้นเรียนที่นี่แบ่งเป็นแบบเร็วกับแบบช้า  ถ้าแกอยากปฏิรูปเสร็จจากที่นี่โดยเร็วก็เลือกชั้นเรียนแบบเร็วได้  ส่วนชั้นเรียนแบบช้าอาจมีการซ้อมได้ทุกที่และทุกเวลา  มันจะกลายเป็นเรื่องปกติเหมือนมื้ออาหารเชียวละ”  ฉันโกรธมากที่ได้ยินเขาพูดอย่างนี้  เห็นได้ชัดว่านี่คือความพยายามที่จะทำให้พวกเรากลัวการกดขี่ข่มเหงเยี่ยงเผด็จการของเขาจนทรยศพระเจ้า  ฉันถูกจับมา  ซึ่งฉันก็รู้ว่าเกิดขึ้นเพราะพระเจ้าทรงอนุญาต ฉันจึงเต็มใจนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์  ไม่ว่าคนพวกนั้นวางแผนที่จะข่มเหงฉันอย่างไร ฉันก็จะไม่มีวันทรยศพระเจ้า  เมื่อคิดเช่นนี้ ฉันจึงตอบไปว่า “ฉันเลือกชั้นเรียนแบบช้า”  คืนนั้น หลางสั่งให้พวกเราสิบสองคนที่เลือกชั้นเรียนแบบช้ายืนเข้าแถวที่ลานบ้าน  มีตำรวจชายสี่หรือห้านายถือกระบองไฟฟ้าเอาไว้ พลางกดเปิดมันเป็นครั้งคราวให้ส่งเสียงดังเปรี๊ยะ  ในกระเป๋าของพวกเขายังมีขวดน้ำผสมพริกและขวดน้ำผสมมัสตาร์ดที่พร้อมใช้ทรมานพวกเราทุกเมื่ออยู่ด้วย  เห็นเช่นนี้ฉันก็ตระหนักว่านี่อาจเป็นการทดสอบ เป็นบททดสอบจากพระเจ้าที่มาถึงตัวฉัน ฉันนึกถึงบางสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า “‘ในยุคสุดท้าย สัตว์ร้ายจะโผล่ขึ้นมาข่มเหงประชากรของเรา และพวกที่เกรงกลัวความตายจะถูกทำเครื่องหมายด้วยตราผนึกเพื่อให้สัตว์ร้ายคร่าเอาตัวไป  บรรดาผู้ที่เคยเห็นเราจะถูกสัตว์ร้ายฆ่าตาย’  ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ‘สัตว์ร้าย’ ในวจนะเหล่านี้หมายถึงซาตาน จอมชักพามวลมนุษย์ให้หลงผิด(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 120)  พรรคคอมมิวนิสต์ใช้การทรมานเนื้อหนังเพื่อบีบให้ผู้คนทรยศพระเจ้า และหากพวกเราไม่อาจเสี่ยงชีวิตของตนได้ พวกเราก็เสี่ยงที่จะถูกกลายเป็นพวกนั้น เสี่ยงที่จะถูกกำจัดออกไปเพราะความมักง่ายอันเล็กน้อยที่สุด  ฉันอธิษฐานเงียบๆ ถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ไม่ว่าวันนี้พวกเขาจะทุบตีข้าพระองค์หนักหนาเพียงใด  ข้าพระองค์ก็เต็มใจมอบชีวิตและความตายไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ยอมสละชีวิตของข้าพระองค์เพื่อที่จะตั้งมั่นให้พระองค์พอพระทัย”  หลังจากนั้นหลางก็ถามฉันว่า “จริงๆ แล้วแกอยากอยู่ชั้นเรียนไหน?”  ฉันตอบไปว่า “ชั้นเรียนแบบช้า”  เมื่อได้ยินคำตอบจากฉัน เขาก็โกรธจัดและถีบฉันลงไปในสระบัว  ข้อเท้าของฉันกระแทกเข้ากับอิฐก้อนหนึ่งที่อยู่รอบสระและรู้สึกเจ็บมาก  จากนั้นเขาก็ถีบพี่น้องอีกสิบเอ็ดคนให้ลงไปกองกับพื้นทีละคน และสั่งให้พวกเราลุกขึ้นยืน  ขณะที่พวกเรากำลังจะลุกขึ้นนั้น ก็มีตำรวจสองสามนายใช้น้ำผสมพริกและน้ำผสมมัสตาร์ดฉีดใส่หน้าของพวกเราทีละคน  ฉันเบี่ยงตัวหลบโดยสัญชาตญาณและพลัดตกลงไปในสระบัวที่อยู่ด้านหลัง  ใบหน้าของฉันร้อนผ่าว ฉันสำลักและไอออกมา  แล้วจากนั้นพวกเขาก็เตะต่อยพวกเรา และฉีดน้ำผสมพริกใส่หน้าเรา ทรมานพวกเราต่อไปอีกราวหนึ่งชั่วโมง

ต่อมาพวกเขาก็เริ่มให้พวกเราเข้าชั้นเรียนล้างสมอง  เริ่มจากให้ชายแซ่หวงเปิดวิดีโอที่มีเนื้อหาเรื่องการถือกำเนิดของประเทศจีนจนกลายมาเรืองอำนาจและเกรียงไกรให้พวกเราดู  หวงยังพูดจากล่าวโทษและหมิ่นประมาทพระเจ้าอีกด้วย  พวกเราโต้แย้งกับเขา เขาจึงชี้ที่ประตูและเตือนพวกเราด้วยสีหน้าเชิงข่มขู่ว่า “ใครไม่อยากอยู่ในชั้นเรียนนี้ก็ออกไปเลย!”  ฉันไม่ได้พูดอะไรอีก เพราะรู้ว่าการออกจากชั้นเรียนนี้หมายถึงการถูกหลางลงโทษในบางรูปแบบอย่างหนัก  ก่อนมื้อกลางวันและมื้อเย็นทุกวัน หลางจะถามพวกเราทีละคนว่าได้เรียนรู้อะไรจากชั้นเรียนนี้บ้าง ความคิดของพวกเราเปลี่ยนไปบ้างไหม พวกเราเชื่อในพระเจ้าหรือไม่ และเลือกใครระหว่างประเทศกับพระเจ้า  วันหนึ่งหลางสั่งให้พวกเราสิบสองคนยืนเข้าแถวหน้ากระดาน เขาถามฉันว่า “แกยังอยากเข้าเรียนอยู่ไหม?  จะลงชื่อในจดหมายรับรอง จดหมายกลับใจ และจดหมายละทิ้งความเชื่อได้หรือยัง?”  ฉันรู้ว่าการลงชื่อใน “จดหมายสามฉบับ” นั้นหมายถึงการปฏิเสธและทรยศพระเจ้า  ฉันจึงตอบไปว่า “ไม่”  เมื่อได้ยินคำตอบนี้ หลางก็ตบฉันอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บแสบที่หน้า  แล้วเขาก็ใช้วิธีการเดียวกันนี้สอบปากคำและทุบตีพี่น้องชายหญิงที่เหลือ  เมื่อทำครบทุกคนแล้ว เขาก็วกกลับมาสอบปากคำฉันอีก  ฉันตอบไปว่าไม่ เขาก็เลยตบหน้าฉันอีกครั้ง  หลางสอบปากคำพวกเราอยู่แบบนี้เกือบหนึ่งชั่วโมง กดดันพวกเราทีละคนเกือบสี่รอบ พวกเขาเตะและซ้อมพวกเรา หรือไม่ก็ทรมานพวกเราด้วยน้ำผสมพริก น้ำผสมมัสตาร์ด และกระบองไฟฟ้าเพื่อบีบให้พวกเราปฏิเสธและทรยศพระเจ้าแบบนี้ครั้งละเกือบหนึ่งชั่วโมงเป็นเวลาสามคืนติดต่อกัน  ขาของฉันเต็มไปด้วยสะเก็ดสีดำจากการถูกไฟช็อตทั่วทั้งสองข้าง  ผ่านไปสักระยะ ฉันก็คันขาจนทนไม่ไหวและต้องเกาจนสุดแรงให้เลือดออกจึงจะรู้สึกดีขึ้น  การล้างสมองที่ยาวนานกว่าสิบชั่วโมงต่อวันทำให้ฉันรู้สึกวิตกอย่างที่สุด ไม่รู้ว่าต่อไปพวกเขาจะใช้คำถามอะไรมาหาเรื่องและทรมานพวกเรา  ตอนนั้น เวลาฉันได้ยินหลางลั่นคำสั่งว่า “ผู้คุม! เอากระบองมา จัดการเลย!”  หัวใจของฉันก็เต้นไม่เป็นจังหวะ  เวลามองดูตำรวจถือกระบองไฟฟ้าที่มีแสงสีฟ้าแลบแปลบปลาบตรงเข้ามาหาพวกเรานั้น ร่างกายของฉันก็สั่นเทาอย่างคุมไม่อยู่

ฉันจำได้ว่าวันหนึ่ง เมื่อพี่น้องหญิงคนหนึ่งไม่ตอบคำถามข้อหนึ่งตามที่หลางปรารถนา เขาก็โกรธและพูดว่า “แกกล้าขัดฉันหรือ?!  คุกเข่า!”  แต่พี่น้องหญิงคนนั้นไม่ได้คุกเข่าลง หลางกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกหลายนายจึงลากเธอออกไปยังบริเวณที่ไม่มีใครคอยมองและเตะเธอ  ผ่านไปสักพัก พวกเราก็ได้ยินเสียงกรีดร้องที่กระชากใจของเธอ  สิบนาทีต่อมา เธอถูกพากลับมาด้วยสภาพเนื้อตัวเปื้อนดินและผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง  หลางพยายามทำให้เธอหวาดกลัวและขู่ให้เธอคุกเข่าต่อหน้าเขาอีกครั้ง จากนั้นก็เตะเธอล้มลงกับพื้นแล้วใช้ถุงพลาสติกสีดำครอบศีรษะของเธอไว้  เขาฉีดน้ำผสมพริกเข้าไปในถุง ทำให้เธอสะบัดหัวดิ้นหนี และไอไม่หยุด  พวกเขาคลุมศีรษะเธอไว้อย่างนั้นราวสองนาทีก่อนจะเอาออก  สุดท้ายเธอก็ถูกบีบให้คุกเข่าต่อหน้าพวกเขา  เมื่อเห็นความโหดร้ายที่หลางทำกับเธอ ฉันก็โกรธจัดและอยากสู้กับพวกเขาจริงๆ แต่ฉันรู้ว่าการทำแบบนั้นนอกจากจะช่วยเธอไม่ได้ ยังจะทำให้พวกเราที่เหลือถูกทุบตีและทรมานอย่างโหดร้ายยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย  คืนนั้นฉันไม่ได้นอน  ในห้วงความคิดมีแต่ภาพที่เห็นเจ้าหน้าที่ทรมานผู้คนตลอดสองสามวันที่ผ่านมา  ฉันรู้สึกหดหู่และทุกข์ใจ  ฉันเฝ้ามองพรรคคอมมิวนิสต์เผยแพร่เหตุผลวิบัติทุกรูปแบบเพื่อปฏิเสธและกล่าวโทษพระเจ้า แต่ฉันก็ไม่กล้าหักล้างสิ่งเหล่านั้น ทั้งยังทนทุกข์กับการลงโทษและทุบตีบ่อยครั้ง  ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไป ฉันจะตั้งมั่นอยู่ได้หรือไม่  ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าเงียบๆ ว่า “ข้าแต่พระเจ้า!  การเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้เป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับข้าพระองค์จริงๆ  ข้าพระองค์กลัวว่าวันที่ข้าพระองค์รับไม่ไหวอีกต่อไปจะมาถึง  ข้าพระองค์จำพระวจนะของพระองค์ได้ไม่มาก  หากข้าพระองค์ถูกตัดสินจำคุกสักเจ็ดหรือแปดปี และข้าพระองค์ไม่มีพระวจนะของพระองค์ที่คอยนำมากนัก ข้าพระองค์จะทำอย่างไร?  หากตำรวจค่อยๆ ทรมานข้าพระองค์จนตาย ข้าพระองค์จะสู้ทนความเจ็บปวดนั้นได้ไหม?… ข้าแต่พระเจ้า ในหัวใจของข้าพระองค์มีเรื่องที่ไม่รู้มากมายและมีความกลัวอยู่มากเหลือเกิน  ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถยืนหยัดได้หรือไม่  พระเจ้า โปรดทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำ และทรงมอบความเชื่อให้ข้าพระองค์มีชัยเหนือการทรมานของปีศาจพวกนี้ได้ด้วยเถิด”  นี่คือวิธีที่ฉันแสวงหาและอธิษฐาน และเป็นวิธีที่ทำให้ฉันฟันฝ่าแต่ละวันมาได้  ขณะที่ฉันคิดทบทวนและไตร่ตรองอยู่นั้น พระวจนะประโยคหนึ่งของพระเจ้าก็แจ่มชัดขึ้นมาในห้วงความคิดว่า “จงอย่ากลัว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จอมทัพจะอยู่กับเจ้าอย่างแน่นอน พระองค์ทรงอยู่เบื้องหลังพวกเจ้า และพระองค์คือโล่ของเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 26)  เมื่อใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า หัวใจของฉันก็สว่าง  พระเจ้าทรงคอยหนุนหลังฉันอยู่  ถึงแม้ฉันจะอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายและเผชิญกับการถูกตำรวจทุบตีและขู่เข็ญทุกวัน พระเจ้าก็ทรงอยู่เคียงข้าง คอยเกื้อหนุนฉันตลอดเวลา  ในเมื่อสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับฉัน นี่จึงเป็นบางสิ่งที่ฉันต้องก้าวผ่าน และเป็นบางสิ่งที่ฉันต้องสู้ทนให้ได้  ฉันเพียงแต่ไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า ดังนั้นเมื่อเห็นว่าพวกตำรวจโหดร้ายเลวทรามเพียงใด ฉันจึงเกิดหวาดกลัวและหลงกลการทดลองของซาตานโดยไม่รู้ตัว  สถานการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะพระเจ้าทรงอนุญาตและอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระองค์  เจ้าหน้าที่ตำรวจพวกนี้ก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าด้วยไม่ใช่หรือ?  พระเจ้าทรงรู้ว่าฉันสามารถสู้ทนการทรมานรูปแบบใดได้ ดังนั้น ฉันก็เพียงต้องพึ่งพาพระเจ้าด้วยใจจริงและเชื่อว่าพระองค์จะประทานความเชื่อและความเข้มแข็งแก่ฉัน อีกทั้งจะทรงนำฉันให้เอาชนะการข่มเหงของพวกตำรวจได้  เมื่อตระหนักเช่นนี้แล้ว ฉันก็รู้สึกถึงความปลอดโปร่งโล่งใจครั้งใหญ่ และมีความเชื่อที่จะเผชิญหน้าสภาพแวดล้อมนี้  ฉันอดไม่ได้ที่จะร้องเพลงสรรเสริญชื่อ “คำพยานแห่งชีวิต” อยู่ในใจว่า “หากวันหนึ่งฉันกลายเป็นผู้พลีชีพและไม่สามารถเป็นคำพยานให้พระเจ้าได้อีกต่อไป ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรจะยังคงถูกเผยแผ่ ดังเช่นไฟ โดยเหล่าวิสุทธิชนจำนวนนับไม่ถ้วน  แม้ฉันไม่รู้ว่าฉันสามารถเดินบนถนนขรุขระนี้ได้ไกลแค่ไหน ฉันจะยังคงเป็นคำพยานให้พระเจ้าและมอบถวายหัวใจที่เปี่ยมรักพระเจ้าของฉัน  ทั้งหมดที่ฉันต้องการทำคือการดำเนินการตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจนเสร็จสิ้น และให้คำพยานต่อการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระคริสต์ เป็นเกียรติของฉันที่ได้อุทิศตนเองให้แก่การกล่าวประกาศและการให้คำพยานต่อพระคริสต์  โดยที่ไม่สะทกสะท้านจากความทุกข์ยาก ดังเช่นทองคำบริสุทธิ์ซึ่งผลิตขึ้นในเตาหลอม ทหารซึ่งมีชัยชนะกลุ่มหนึ่งได้อุบัติขึ้นนอกอิทธิพลครอบงำของซาตาน  พระวจนะของพระเจ้าเผยแผ่ไปทั่วทั้งโลก ความสว่างได้ปรากฏขึ้นท่ามกลางมนุษย์ ราชอาณาจักรแห่งพระคริสต์เกิดขึ้นและได้รับการสถาปนาภายในความทุกข์ยาก ความมืดกำลังจะผ่านไป รุ่งอรุณอันชอบธรรมได้มาถึงแล้ว เวลาและความเป็นจริงได้เป็นคำพยานต่อพระเจ้าแล้ว” (ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ)  ยิ่งร้องเพลงนี้ ฉันก็ยิ่งรู้สึกมีแรงจูงใจ  ฉันรู้สึกว่าการได้ต้อนรับการทรงกลับมาในยุคสุดท้ายขององค์พระผู้เป็นเจ้า ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ ได้ติดตามพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย รวมทั้งได้ประกาศข่าวประเสริฐและทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วงนั้นช่างเป็นเกียรติอย่างยิ่งและเป็นพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของฉัน  ตอนนี้ฉันกำลังถูกพรรคคอมมิวนิสต์ทรมาน แต่นี่เป็นการถูกข่มเหงเพื่อความชอบธรรม ดังนั้น ความทุกข์นี้จึงเปี่ยมความหมาย  ไม่ว่าจะเผชิญกับการข่มเหงในรูปแบบใด ฉันก็เต็มใจอย่างยิ่งที่จะพึ่งพาพระเจ้าเพื่อที่จะตั้งมั่นในคำพยานและไม่ยอมจำนนแก่ซาตาน  หลังจากวันนั้น เวลาเผชิญการข่มขู่และทุบตีจากตำรวจ ฉันก็หวาดกลัวน้อยลง  ฉันมักจะร้องเพลงสรรเสริญอยู่ในใจเงียบๆ และมีรอยยิ้มบนใบหน้า  มีอยู่ครั้งหนึ่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งพูดด้วยความฉงนว่า “พวกเราทุบตีมันทุกวัน  ทำไมมันยังยิ้มอยู่ได้?”  ฉันคิดอยู่ว่า “คุณไม่เชื่อในพระเจ้า เพราะฉะนั้น คุณจะไม่มีวันรู้สึกได้ถึงความปีติและสันติสุขที่มาจากพระเจ้า”

ค่ำวันหนึ่ง หลางบอกให้ตำรวจพาพวกเราออกไปลงชื่อในจดหมายละทิ้งความเชื่อ  จุดประสงค์ที่พวกเขาล้างสมองและทรมานพวกเราคือเพื่อบีบให้พวกเราลงชื่อใน “จดหมายสามฉบับ” พวกเราจะได้ทรยศพระเจ้าและตกนรกไปรับการลงโทษพร้อมกับพวกเขา  ฉันตระหนักว่าตัวเองคงจะหนีการทรมานในคืนนั้นไม่พ้น จึงอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ไม่ว่าพวกตำรวจจะทรมานข้าพระองค์อย่างไร ข้าพระองค์ก็ปรารถนาที่จะตั้งมั่นในคำพยานและทำให้พระองค์พอพระทัย”  เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งเห็นว่าฉันไม่ได้เขียนอะไรอยู่เป็นนาน เขาก็เตะเข้าที่ขาของฉันอย่างแรง  หลางเข้ามาคว้าคอเสื้อของฉัน กระชากฉันขึ้นมาและตบฉันอย่างแรงจนฉันรู้สึกเจ็บแปลบที่ใบหน้า  แล้วเขาก็เตะฉันอีกครั้งให้กระเด็นไปกองข้างกำแพง  ฉันเอามือกุมท้องและลุกไม่ขึ้นอยู่พักหนึ่งเพราะรู้สึกเจ็บมาก  เขาสั่งให้ฉันยืนขึ้น ขณะที่ฉันเพิ่งจะลุกขึ้นยืนพิงกำแพงได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งก็เตะฉันอีกครั้งจนฉันล้มลงไปด้านข้าง  เจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่นพากันกรูเข้ามา บ้างใช้กระบองไฟฟ้าช็อตขาฉัน บ้างตบหน้าฉัน บ้างก็ถีบฉันเข้าที่ท้อง ที่เอว และที่ขาของฉัน ฉันได้แต่พลิกตัวไปมาอยู่กับพื้น  การซ้อมนั้นดำเนินต่อไปราวครึ่งชั่วโมง ฉันอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องออกมาเมื่อความเจ็บปวดวิ่งพล่านไปทั่วร่างกาย รู้สึกเหมือนมีก้อนหินที่ทั้งใหญ่และหนักทับอยู่บนตัวจนฉันหายใจไม่ออก  จากนั้น หลางก็คว้าคอเสื้อของฉันและกดฉันลงนั่งกับเก้าอี้ เขาขยุ้มผมของฉันและกระชากหัวของฉันให้หงายกระแทกพนักเก้าอี้ พลางถามด้วยน้ำเสียงข่มขู่ว่า “จะเขียนไหม?”  ฉันไม่พูดอะไร  เขาโกรธมากจนคว้ามือของฉันข้างหนึ่งมาทาบลงบนโต๊ะ แล้วบอกให้นายตำรวจคนหนึ่งช็อตมือฉัน  ฉันพยายามดิ้นรนอย่างสุดความสามารถด้วยการงอนิ้วและบิดข้อมือ ตำรวจคนนั้นจึงไม่รู้ว่าจะช็อตฉันอย่างไร  พวกเราทำอะไรกันไม่ได้อยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งหลางเอ่ยว่า “ช่างเถอะ สุดท้ายแกอาจจะช็อตฉันเอา”  แล้วเขาก็ปล่อยมือฉัน  ผ่านไปสักพัก หลางถือกระดาษปึกหนึ่งโบกไปมาต่อหน้าฉันและพูดว่า “พวกนั้นลงชื่อกันหมดแล้ว  เหลือแกคนเดียว!”  เมื่อได้ยินอย่างนี้ ฉันก็รู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้างอย่างอธิบายไม่ถูก  มีพี่น้องหญิงมากมายที่ทนทุกข์มาด้วยกัน แต่จู่ๆ ในชั่วพริบตากลับเหลือฉันเพียงคนเดียว และฉันก็ไม่รู้ว่าพวกตำรวจวางแผนจะทรมานฉันอย่างไร ฉันจึงร้องเรียกพระเจ้าอยู่ในใจ  เมื่อเห็นฉันไม่พูดอะไร หลางจึงตะคอกฉันว่า “หัวแข็งนักใช่ไหม?  แกเป็นข้อยกเว้นอยู่คนเดียวงั้นหรือ?  ซ้อมมัน!”  แล้วจากนั้นพวกตำรวจก็เตะและทุบตีฉันอีกครั้ง  ราวสิบนาทีให้หลัง หลางก็บอกว่ากระบองไฟฟ้าที่ใช้อยู่นั้นเล็กเกินไปและสั่งให้ลูกน้องของเขาไปหยิบอันที่ใหญ่กว่ามา  พอคิดว่าฉันจะต้องสู้ทนการทรมานที่หนักหนายิ่งขึ้น ฉันก็รู้สึกทุกข์ใจอย่างไม่อาจบรรยายได้  ความคิดของฉันท่วมท้นไปด้วยภาพของเครื่องทรมานทุกรูปแบบที่พวกตำรวจใช้  ฉันไม่รู้ว่าจะทนการทรมานนั้นได้ไหม ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลใจ และต้องการที่จะหนีออกมาจากสถานการณ์นั้น  แต่ฉันก็รู้ด้วยว่าพระเจ้าทรงหวังมากเพียงใดให้เรามีชัยเหนือกองกำลังมืดของซาตานและตั้งมั่นในคำพยานของเราให้ได้  ฉันไม่ต้องการเป็นคนที่ละทิ้งหน้าที่ แต่เนื้อหนังของฉันช่างอ่อนแอ ฉันกลัวว่าฉันจะไม่สามารถยืนหยัดในคำพยานของตัวเองได้  ดังนั้นฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รู้ว่านี่คือช่วงเวลาที่ข้าพระองค์ควรเป็นคำพยานและไม่ควรวิ่งหนี แต่ข้าพระองค์ก็ตื่นกลัว  ข้าพระองค์กลัวว่าจะไม่สามารถผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ และกลัวว่าข้าพระองค์จะไม่สามารถเอาชนะการข่มขู่และการทรมานของพญานาคใหญ่สีแดงจนทำบางสิ่งที่ทรยศพระองค์ลงไป  หากเป็นไปได้ ข้าพระองค์ขอวิงวอนให้พระองค์ทรงจัดเตรียมโอกาสที่ถูกต้องเพื่อให้ข้าพระองค์พบความสงบสุขในหัวใจ เรียบเรียงสภาวะของตัวเองและพึ่งพิงพระองค์ให้ก้าวผ่านสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ด้วยเถิด”  หลังอธิษฐาน หลางนำตัวฉันไปที่ห้องขนาดใหญ่  เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งผลักฉันนั่งบนเก้าอี้และกดศีรษะของฉันไว้กับโต๊ะขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่นๆ จับมือ จับแขน และจับขาของฉันไว้จนไม่อาจขยับตัวได้  ทันทีที่ฉันเริ่มดิ้น พวกเขาก็ใช้กระบองไฟฟ้ามาช็อตที่เท้าของฉัน  เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งจับมือฉันและพยายามบังคับให้ฉันเขียนจดหมายละทิ้งความเชื่อ  ฉันโกรธจัดพลางคิดว่า “คุณกำลังบีบให้ฉันเขียนจดหมายละทิ้งความเชื่อ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าฉันกำลังทรยศพระเจ้า และฉันก็เชื่อว่าพระองค์ทรงสังเกตการณ์ทุกสิ่ง”

ฉันนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน เฝ้าสงสัยว่าควรก้าวผ่านสถานการณ์นี้ไปอย่างไร  ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เมื่อผู้คนยังไม่ได้รับการช่วยให้รอด บ่อยครั้งที่ชีวิตของพวกเขาถูกรบกวน และแม้กระทั่งถูกควบคุมโดยซาตาน  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผู้คนที่ยังไม่ได้รับการช่วยให้รอดนั้นเป็นนักโทษของซาตาน พวกเขาไม่มีอิสรภาพ พวกเขายังไม่ถูกซาตานปล่อยตัว พวกเขาไม่มีคุณสมบัติหรือสิทธิ์ที่จะนมัสการพระเจ้า และพวกเขาถูกไล่ตามอย่างใกล้ชิดและถูกโจมตีอย่างชั่วช้าโดยซาตาน  ผู้คนเช่นนั้นไม่มีความสุขให้พูดถึง พวกเขาไม่มีสิทธิ์ในการดำรงอยู่ตามปกติให้พูดถึง และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่มีศักดิ์ศรีให้พูดถึง  มีเพียงเมื่อเจ้ายืนขึ้นสู้รบกับซาตาน โดยใช้ความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้า การนบนอบและการยำเกรงพระเจ้าของเจ้าเป็นอาวุธต่อกรในการสู้รบที่ตัดสินความเป็นความตายกับซาตาน จนกระทั่งเจ้าทำให้ซาตานพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงและทำให้มันหันหนีและขลาดกลัวทุกครั้งที่มันมองเห็นเจ้า เพื่อที่มันจะได้ละทิ้งการโจมตีและการกล่าวหาของมันที่มีต่อเจ้าโดยสิ้นเชิง—เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะได้รับการช่วยให้รอดและกลายเป็นมีอิสระ  หากเจ้ามุ่งมั่นที่จะตัดขาดกับซาตานอย่างเต็มที่ แต่ไม่มีพร้อมด้วยอาวุธที่จะช่วยให้เจ้าทำให้ซาตานพ่ายแพ้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะยังคงอยู่ในอันตราย  ครั้นเวลาผ่านไป เมื่อเจ้าถูกซาตานทรมานอย่างยิ่งจนไม่มีเรี่ยวแรงเหลือในตัวเจ้าแม้แต่น้อย กระนั้นเจ้าก็ยังคงไม่สามารถเป็นคำพยานได้ ยังคงไม่ได้ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระโดยบริบูรณ์จากการกล่าวหาและการโจมตีของซาตานที่มีต่อเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมีความหวังน้อยนิดในความรอด  ในวาระสุดท้าย เมื่อการสรุปปิดตัวพระราชกิจของพระเจ้าได้รับการประกาศขึ้น เจ้าจะยังคงอยู่ในกำมือของซาตาน ไร้ความสามารถที่จะปล่อยตัวเจ้าเองให้เป็นอิสระ และด้วยเหตุนี้เจ้าจะไม่มีวันมีโอกาสหรือความหวัง  เช่นนั้นแล้ว ความหมายก็คือว่า ผู้คนเช่นนั้นจะอยู่ในการเป็นเชลยของซาตานโดยบริบูรณ์(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2)  ฉันตระหนักว่าถึงแม้ฉันจะตั้งใจเสี่ยงชีวิตตนเองเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย แต่ในยามที่เผชิญกับการทรมานและทารุณกรรม ฉันก็กังวลอยู่กับเนื้อหนังและอยากหนีไปให้พ้นเสมอ  ซาตานฉวยเอาความอ่อนแอนี้มาไล่ล่าและโจมตีฉันอย่างไร้ความกรุณา  ฉันถูกบังคับล้างสมอง ถูกทรมาน และบีบให้ลงชื่อใน “จดหมายสามฉบับ” เพื่อทรยศพระเจ้า  นี่เป็นการสู้รบอันดุเดือดระหว่างความเป็นและความตาย  หากฉันอยากเชื่อและติดตามพระเจ้าต่อไป ฉันก็ต้องพึ่งพาพระเจ้า มีความเชื่อในพระองค์ และพึ่งพาพระวจนะของพระเจ้าเพื่อมีชัยเหนือการทดลองของซาตาน  เมื่อเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว ฉันก็มีความเชื่อในการเผชิญหน้าสิ่งที่จะเข้ามาต่อจากนั้น  แต่พอนึกถึงพี่น้องชายหญิงบางคนที่ทนการทรมานไม่ไหวและลงชื่อใน “จดหมายสามฉบับ” ไป ฉันก็ค่อนข้างตกใจและพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับอยู่พักหนึ่ง  ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “วันนี้ เราทำเฉพาะงานที่เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องทำเท่านั้น เราจะผูกข้าวสาลีทั้งหมดเป็นมัดๆ รวมเข้าด้วยกันกับข้าวละมานเหล่านั้น  นี่คือหน้าที่ของเราวันนี้  ข้าวละมานเหล่านั้นจะถูกฝัดร่อนออกไปทั้งหมดในเวลาแห่งการฝัดร่อนของเรา เมื่อนั้น เมล็ดข้าวสาลีจะถูกรวบรวมไว้ในยุ้งฉาง และข้าวละมานที่ถูกฝัดร่อนออกไปเหล่านั้นจะถูกใส่ไปในไฟเพื่อเผาเป็นเถ้าถ่าน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความเชื่อ?)  ในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงใช้การข่มเหงของพญานาคใหญ่สีแดงเพื่อเปิดเผยผู้คนทุกประเภท  พระองค์ทรงใช้การจับกุมและการข่มเหงของพรรคคอมมิวนิสต์เพื่อเปิดเผยผู้เชื่อแท้จริง ผู้เชื่อเทียมเท็จ เหล่าคนขลาด พวกที่ติดตามฝูงชนอย่างมืดบอด และนักฉวยโอกาสที่หวังจะได้รับพร  พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและเอาแต่พยายามทำให้ตนอิ่มท้องย่อมถูกเปิดโปงและกำจัดออกไป ส่วนผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงและรักความจริงย่อมได้รับการช่วยให้รอดและการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า  นี่คือการสำแดงถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  เมื่อผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงและรักความจริงถูกจับ พวกเขาจะอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่เป็นนิตย์ แสวงหาความจริง ได้รับความรู้บางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า มีความเชื่อที่แท้จริง เต็มใจมอบชีวิตของตนเพื่อติดตามพระเจ้า และมีคำพยานถึงการมีชัยเหนือซาตาน  ผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและพยายามเติมเต็มท้องของตนให้อิ่มเท่านั้นย่อมจะทรยศพระเจ้าเมื่อทนทุกข์แม้เพียงเล็กน้อยและย่อมจะเลิกเชื่อ  แน่นอนว่าพวกเขาจะถูกเผยตัวและถูกกำจัดออกไป  ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น ทุกคนต้องแสดงจุดยืนของตน ทุกคนต้องก้าวผ่านการทดสอบ และไม่มีใครหนีรอดไปได้  ดังเช่นพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวว่า “แม้ว่าการทดสอบเหล่านี้ก็แค่ประกอบด้วยรูปการณ์แวดล้อมเล็กน้อยทั้งหลายเท่านั้น แต่ทุกคนก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ เพียงแต่ว่าความลำบากยากเย็นของบททดสอบย่อมจะผิดแผกกัน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 41)  พระเจ้าทรงใช้การปรนนิบัติของพญานาคใหญ่สีแดงเพื่อเปิดเผยและทำให้ผู้คนเพียบพร้อม  การทรงงานในหนทางนี้ช่างทรงพระปัญญานัก!  แม้ว่าคนอื่นๆ จะลงชื่อใน “จดหมายสามฉบับ” และถอนตัวไปด้วยความขลาดกลัว ฉันก็ไม่อาจปล่อยให้พวกเขามีอิทธิพลต่อฉันและจะสักแต่ไหลตามน้ำไปไม่ได้  ถ้าฉันใส่ใจเนื้อหนังของตนเองและกลัวความทุกข์ ท้ายที่สุดฉันก็จะแพ้ไปด้วย  ฉันสาบานกับตัวเองว่า ต่อให้ฉันถูกตำรวจทุบตีจนตาย นั่นก็ย่อมจะดีกว่าการทรยศพระเจ้าแล้วดำรงอยู่บนโลกนี้ต่อไปอย่างไม่มีเกียรติ  ไม่ว่าวันรุ่งขึ้นฉันจะเผชิญสภาพการณ์แบบใด ฉันก็จะไม่มีวันทรยศพระเจ้า  ต่อมาฉันถึงได้รู้ว่าพี่น้องหญิงหลายคนก็ถูกตำรวจบังคับให้ลงชื่อในจดหมายละทิ้งความเชื่อ  เจ้าหน้าที่ตำรวจพวกนี้ใช้อุบายที่ชั่วและน่ารังเกียจทุกรูปแบบเพื่อบีบให้ผู้คนทรยศพระเจ้า  พวกเขาช่างชั่วร้ายและเลวทรามนัก!

วันถัดมาขณะที่ฉันอยู่ในชั้นเรียน จู่ๆ หลางก็เรียกฉันออกไป  ทันทีที่ออกไป ฉันก็เห็นพ่ออยู่กับฝ่ายบริหารของหมู่บ้านอีกสองคน  พอเห็นหน้าฉัน พ่อก็กอดฉันพลางร้องไห้และบอกว่า “ได้เจอลูกเสียที!”  เมื่อฉันมองผมสีดอกเลาบนขมับทั้งสองข้างของพ่อ รวมถึงความเหน็ดเหนื่อยบนใบหน้าที่สูงอายุนั้น ความขมขื่นก็เข้าเกาะกุมหัวใจของฉันและน้ำตาก็เอ่อขึ้นมา  จากนั้นหลางก็นำกระดาษและปากกามาขอให้ฉันเขียนจดหมายละทิ้งความเชื่ออีกครั้ง  ฉันตระหนักว่าตำรวจกำลังใช้อารมณ์ของฉันมาบีบให้ฉันปฏิเสธและทรยศพระเจ้า  ฉันจึงไม่ยอม  ฝ่ายบริหารของหมู่บ้านคนหนึ่งเอ็ดฉันว่า “ตำรวจอ้อนวอนให้เธอเขียนจดหมายกลับใจตั้งแต่เมื่อไรกัน?  ต่อให้พวกเขาขอให้เธอเขียนสิบฉบับ เธอก็ต้องเขียน”  หลางก็รับลูกว่า “ใช่! เขียนมาสิบฉบับ!”  วินาทีนั้น ผู้ชายแซ่หวงที่เป็นคนดูแลชั้นเรียนของพวกเราก็เข้ามาพูดด้วยสีหน้าที่ดูมีศีลธรรมว่า “อย่ากลัวไปเลย  แค่ทำใจให้กล้าและเขียนจดหมายนั่นเสีย”  ยิ่งได้ยินเขาพูด ฉันยิ่งรู้สึกรังเกียจ  เมื่อเห็นฉันทำเฉย หวงก็ชี้มาที่ฉันพลางตะคอกว่า “ถ้าแกไม่เขียนก็จะไม่ได้ออกไปจากที่นี่ รีบเขียนเสีย!”  พ่อร้องไห้พลางพยายามโน้มน้าวฉันว่า “เขียนเถอะลูก  ถ้าลูกไม่เขียน พวกเราก็กลับบ้านกันไม่ได้  รู้ไหมว่าพ่อต้องวิ่งวุ่นกี่รอบและต้องไปหาคนตั้งกี่คนกว่าจะหาลูกเจอ?  ลูกต้องเขียนจดหมายนั่น  ลูกจะติดคุกไม่ได้!”  หลางเองก็พูดด้วยความโกรธว่า “คนสิบกว่าคนลงชื่อในจดหมายกันไปเกือบหมดแล้ว เหลือแกคนเดียว  แกจะทำตัวดื้อด้านให้ได้ใช่ไหม?”  ฝ่ายบริหารของหมู่บ้านก็พยายามเกลี้ยกล่อมฉันด้วยว่า “นี่ง่ายออก  แค่เขียนลงไปกี่ไม่คำ พวกเราก็จะได้กลับบ้านพร้อมกัน  แต่ถ้าไม่เขียน เธอจะถูกถอดออกจากทะเบียนบ้านในหมู่บ้านนี้  เธอจะไม่มีชื่ออยู่ในหมู่บ้านและจะไม่มีวันได้รับอนุญาตให้กลับเข้าไปอีก”  ทุกคนในห้องเริ่มหารือกันว่าจะทำอย่างไร  พ่อกระซิบกระซาบหว่านล้อมฉันด้วยความกังวลใจว่า “เขียนเถอะ ไม่ต้องหมายความตามที่เขียนก็ได้  ขอแค่ออกจากที่นี่ไปก่อน  แล้วต่อจากนี้ลูกจะแอบเชื่อก็ไม่เป็นไร  ทำไมถึงดื้อดึงนักล่ะ?”  ฉันนึกในใจว่า “ใครจะไม่อยากออกจากสถานที่ปีศาจแบบนี้?  แต่ฉันก็สักแต่ทำพอให้ได้ไปจากที่นี่โดยไม่คิดอะไรไม่ได้  การลงชื่อใน ‘จดหมายสามฉบับ’ เป็นสิ่งที่ทรยศพระเจ้าและล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์”  แต่เมื่อเจอพ่ออ้อนวอนและเกลี้ยกล่อมซ้ำๆ ฉันก็ทำตัวไม่ถูกและคิดว่า “พระเจ้าทรงสร้างสถานการณ์นี้ขึ้นมาเพื่อให้ฉันถือโอกาสนี้ออกไปหรือเปล่า?”  ฉันพร่ำอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่ในใจเพื่อแสวงหา “ข้าแต่พระเจ้า! น้ำพระทัยของพระองค์เป็นเช่นไร?”  ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ฉันก็ตระหนักว่าราคาของการออกไปจากที่นี่คือการลงชื่อในเอกสารที่ปฏิเสธและทรยศพระเจ้า  ฉันไม่อาจทำอะไรที่ทรยศพระเจ้าได้  ฉันยังนึกถึงธรรมิกชนมากมายตลอดทุกยุคสมัยในประวัติศาสตร์ที่เลือกติดคุกและถูกทรมานจนถึงแก่ความตายมากกว่าที่จะทรยศพระเจ้า  สาเหตุที่ฉันทำอะไรไม่ถูกในสถานการณ์นี้เป็นเพราะฉันรักใคร่หวงแหนเนื้อหนังมากเกินไป อีกทั้งไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์และจ่ายราคา  การทรงนำของพระเจ้าทำให้ตอนนั้นฉันสงบมาก  ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในตัวผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการรบกวนของมนุษย์  แต่หลังฉากนั้น ทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพึงต้องให้ผู้คนตั้งมั่นในคำพยานที่พวกเขามีให้พระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง)  ตอนนี้เองที่ฉันเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้นว่าคำพูดของพวกเขาคืออุบายและการทดลองจากซาตาน  ถ้อยคำเหล่านั้นคือการทดสอบฉัน และนี่คือเวลาที่ฉันต้องเป็นคำพยานให้แก่พระเจ้า  พ่อของฉันถูกพรรคคอมมิวนิสต์หลอกให้เข้าข้างซาตานเพื่อรบกวนจิตใจและสั่นคลอนความแน่วแน่ของฉัน  ฉันไม่อาจทำสิ่งที่ทรยศและหมิ่นประมาทพระเจ้าเพื่อแสวงหาความสุขสบายเพียงชั่วครู่ชั่วยามได้ และยิ่งจะถูกอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองควบคุมและหลงกลของซาตานไม่ได้  เมื่อหลางเห็นว่าผ่านไปสักพักแล้ว ฉันก็ยังไม่เขียนอะไร เขาจึงให้ตำรวจพาฉันกลับเข้าชั้นเรียน  สองสามวันต่อมา พวกเขาพาพ่อกลับมาอีกพร้อมกับลุงของฉันเพื่อให้เกลี้ยกล่อมฉัน พวกเขาให้พ่อร้องไห้เพื่อทำให้ฉันลำบากใจ ทั้งยังให้พ่อแสดงอารมณ์ที่กำลังปั่นป่วนต่อหน้าฉันด้วย แต่สุดท้ายอุบายของพวกเขาก็ไม่ได้ผล  พอเห็นสีหน้าที่ดูผิดหวังของหลาง ฉันก็รู้สึกถึงสันติสุขหลังการพึ่งพาพระเจ้าเพื่อเอาชนะการทดลองของซาตาน

พวกตำรวจใช้วิธีการอันน่ารังเกียจและสัปดนเพื่อบีบให้พวกเราลงชื่อใน “จดหมายสามฉบับ”  คืนหนึ่งราวเที่ยงคืน ฉันกับพี่น้องหญิงเจียงซินหมิงถูกลงโทษโดยบังคับให้ยืนนิ่งๆ ที่ลานบ้าน  หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายพาเราสองคนกลับไปที่ชั้นเรียน  หลางสั่งให้ฉันกับซินหมิงถอดเสื้อผ้าออก ฉันคิดว่า “เขาอาจจะคิดว่าเราใส่เสื้อผ้าหนาเกินไปก็ได้” ฉันกับซินหมิงจึงถอดเสื้อคลุมตัวนอกของเราออก  แต่คิดไม่ถึงว่าทั้งหลางและพวกตำรวจกลับพากันหัวเราะ  แล้วหลางก็สั่งให้ซินหมิงถอดกางเกง แต่เธอปฏิเสธ  เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งจึงปรี่เข้ามาดึงกางเกงของซินหมิงลงไปอยู่ที่เข่า  เธอดึงกางเกงกลับขึ้นมา แล้วจากนั้นเขาก็เข้ามาถอดเสื้อผ้าของฉัน  ฉันดิ้นรนดึงเสื้อผ้าของตัวเองไว้ หลางจึงพยักเพยิดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชายอีกนายหนึ่งเข้ามาช่วยดึงกางเกงของฉันลง  จังหวะนี้เอง หยางก็เดินเข้ามา ถือขวดที่มีแมงมุมสีน้ำตาลตัวใหญ่พร้อมขาเรียวยาวที่ไต่ยั้วเยี้ยไปมาอยู่ในนั้น  หยางเอาขวดที่ใส่แมงมุมมากวัดไกวตรงหน้าพวกเราและพูดว่า “อยากกินเจ้าพวกนี้ไหม?”  เขาพูดพลางหยิบพวกแมงมุมออกจากขวดไปด้วย โดยเอาขวดนั้นมาไว้ตรงปากของพวกเรา  ฉันรู้สึกขยะแขยงจึงหันหน้าหนีและถอยหลังโดยสัญชาตญาณ  เจ้าหน้าที่ตำรวจพากันหัวเราะ  หลางพูดว่า “หย่อนแมงมุมพวกนั้นลงไปในเป้าของพวกมันเลย ไม่อย่างนั้นก็วางที่หน้าอก หรือในปากพวกมันก็ได้”  ฉันเต็มไปด้วยความรู้สึกโกรธ เกลียด และกลัว  ถ้าพวกเขาหย่อนแมงมุมพวกนั้นใส่กางเกงฉันจริงๆ จะทำอย่างไร?  ทันใดนั้นเอง ฉันก็ตระหนักว่าทุกสิ่งล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า รวมถึงแมงมุมพวกนั้นด้วย  หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต แมงมุมพวกนั้นก็ทำอะไรฉันไม่ได้  ฉันจะยอมเสี่ยงทุกอย่าง และไม่ว่าวันนั้นพวกตำรวจจะหลู่เกียรติและข่มเหงฉันอย่างไร ฉันก็จะไม่ยอมจำนนต่อซาตาน  หยางยังคงพยายามหยิบแมงมุมพวกนั้นออกมาจากขวด แต่ก็เอาออกมาไม่ได้  สุดท้ายเมื่อเขาหยิบออกมาได้ แมงมุมพวกนั้นก็กลับร่วงลงพื้นก่อนที่เขาจะทันเอามาถึงตัวพวกเรา  ผ่านไปสักพักหลางก็สั่งให้เขาหยุด  ฉันรู้ว่านี่คือพระเจ้ากำลังทรงคุ้มครองพวกเรา  ฉันได้เห็นว่าทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เหมือนดังที่พระเจ้าตรัสว่า “ทุกสิ่งและทุกอย่าง ไม่ว่าที่มีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ตาม จะเคลื่อนย้าย เปลี่ยนแปลง เกิดขึ้นมาใหม่และปลาสนาการไปตาม พระดำริของพระเจ้า  นี่คือหนทางที่พระเจ้าทรงปกครองสรรพสิ่ง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์)  จากนั้น พวกตำรวจก็เข้ามาถอดเสื้อผ้าของพวกเราออกอีกครั้งจนฉันเหลือเพียงกางเกงชั้นในตัวยาว  หลางกัดฟันพูดว่า “ถอดออก!  ถอดให้ฉันดู!”  ฉันขัดขืนอย่างสุดแรงเกิด  ความคิดที่ว่าต้องเปลือยกายให้พวกเขาจ้องมอง เยาะเย้ย และดูถูก ทำให้ฉันรู้สึกอับอาย  ยิ่งคิดเรื่องนี้ ฉันก็ยิ่งไม่สบายใจ  ขณะนั้นเองจู่ๆ ฉันก็ตระหนักว่าการคิดแบบนี้ทำให้ฉันเปราะบางต่ออุบายของซาตาน  ตำรวจเปลื้องผ้าพวกเราเพียงเพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาชั่วขนาดไหน  พวกเขาพร้อมจะทำทุกสิ่งที่ชั่วและโหดร้ายเพื่อบีบให้ผู้คนทรยศพระเจ้า  ฉันโดนหลู่เกียรติและข่มเหงเพราะเชื่อในพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่เปี่ยมสง่าราศีและไม่มีอะไรให้ต้องละอาย  ภาพขององค์พระเยซูเจ้าที่ทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อไถ่มนุษยชาติผุดขึ้นมาในความคิดของฉัน  พระเจ้าทรงสูงสุดและบริสุทธิ์ ทว่าพระองค์ก็ทรงสู้ทนการหมิ่นพระเกียรติทั้งหลายนี้อย่างเงียบๆ เพื่อไถ่มนุษยชาติ  พระเจ้าทรงจ่ายราคามหาศาลเพื่อมนุษยชาติ และฉันก็เกิดแรงบันดาลใจ ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ไม่ว่าพวกเขาจะหลู่เกียรติข้าพระองค์มากเพียงใด หรือไม่ว่าข้าพระองค์จะต้องสู้ทนความเจ็บปวดอันใดในวันนี้ ข้าพระองค์ก็จะไม่มีวันทรยศพระองค์”  ฉันจ้องเจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้นด้วยความโกรธ  เขาดูรู้สึกผิดและปล่อยให้พวกเราสวมเสื้อผ้าแล้วออกมา  ฉันขอบคุณพระเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจที่ทรงนำพวกเราให้มีชัยเหนือการทดลองของซาตานอีกครั้ง  วันนั้นหลางขู่ฉันว่า “ตอนนี้เหลือแกคนเดียวที่ยังไม่ได้ลงชื่อในจดหมาย  ทุกคนรู้ดีว่าอะไรดีต่อพวกเขาที่สุด แต่แกกลับไม่รู้  ถ้าไม่ลงชื่อ แกก็จะเป็นคนเดียวที่ต้องรับโทษแทนทุกคน!”  ฉันไม่สนใจเขา  เขาจึงพูดด้วยความฉุนเฉียวว่า “ได้ ในนามของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แกชนะ!  แกชนะแล้ว!  ยินดีด้วย!”  เขาปรายตามองฉันพลางลุกขึ้นและเดินออกประตูไปอย่างสิ้นท่า  เมื่อเห็นซาตานได้อายและล้มเหลว ฉันก็สำนึกในพระคุณของพระเจ้าอย่างมาก  ฉันรู้ว่าตัวเองมาถึงจุดนี้ได้เพราะพระวจนะของพระเจ้าและความเข้มแข็งที่พระองค์ประทานให้  และฉันก็ถวายพระสิริแด่พระเจ้าอยู่ในหัวใจ!

วันหนึ่ง หลางพูดคุยกับฉันตลอดช่วงเช้า และในช่วงบ่าย ทุกคนที่รับผิดชอบการปฏิรูปฉันที่ศูนย์ล้างสมองแห่งนั้นต่างผลัดกันมาเกลี้ยกล่อมฉันให้ลงชื่อใน “จดหมายสามฉบับ”  พวกเขาพูดว่า “ถ้าลงชื่อตอนนี้ เธอยังมีโอกาสได้ออกไป แต่พ้นวันนี้ไปเธอจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้ว  เธอจะถูกตัดสินจำคุกแปดถึงสิบปี  กว่าจะได้ออกมาก็อายุตั้งเท่าไรแล้ว?”  ฉันฟังคำพูดที่พวกเขาใช้ทดลองฉัน แต่ไม่ได้สนใจ  ฉันกลับรู้สึกแค่ว่าพวกเขาช่างโง่เขลาและไม่รู้ความ และไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไรก็เปล่าประโยชน์  ฉันนึกถึงช่วงที่ถูกล้างสมองและถูกทรมาน  พระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างฉันอย่างเงียบๆ และนำฉันเสมอ ดังนั้นแล้ว ฉันยังต้องกังวลเรื่องใดอีก?  ไม่ว่าฉันจะถูกตัดสินจำคุกกี่ปีและจะทุกข์ทนขนาดไหน สิ่งเหล่านี้ล้วนได้รับการทรงอนุญาตจากพระเจ้า  ต่อให้ในวันข้างหน้าฉันต้องสู้ทนความยากลำบากและความทุกข์ในระยะยาว ฉันก็เต็มใจที่จะเชื่อฟังการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า รวมทั้งตั้งมั่นในคำพยานให้พระองค์  ช่วงพลบค่ำวันนั้น จู่ๆ พ่อของฉันก็มาหา  พ่อต่อรองกับหลางอยู่นานและในที่สุดก็จ่ายเงินค่าประกันตัวห้าพันหยวน จากนั้นพวกตำรวจก็ปล่อยตัวฉัน  ต่อมาฉันได้รู้ว่าระหว่างที่ฉันกำลังถูกฝึกอบรมเพื่อล้างสมองอยู่นั้น เพื่อนคนหนึ่งของพ่อถูกย้ายไปทำงานที่นั่น พ่อจึงสบโอกาสจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเพื่อพาตัวฉันออกมา  ฉันรู้ว่านี่เป็นหนึ่งในการจัดการเตรียมการอันแสนอัศจรรย์ของพระเจ้า  ไม่อย่างนั้นพวกตำรวจจะปล่อยตัวคนที่ไม่ยอมลงชื่อใน “จดหมายสามฉบับ” ง่ายๆ ได้อย่างไร?

หลังจากประสบกับการข่มเหงและความทุกข์ยากนี้ ฉันก็ได้เห็นปัญญาในพระราชกิจของพระเจ้าอย่างแท้จริง  พระเจ้าทรงใช้การข่มเหงของพญานาคใหญ่สีแดงเพื่อช่วยให้ฉันเข้าใจความจริงและมีวิจารณญาณ รวมทั้งทำให้ความเชื่อของฉันเพียบพร้อม  ถึงแม้ฉันจะอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายและเผชิญการคุกคาม ข่มขู่ ถูกบังคับให้เข้ารับการล้างสมอง และถูกตำรวจทรมานอยู่ทุกวัน แต่พระเจ้าก็ทรงอยู่เคียงข้างฉัน ทรงให้ความรู้แจ้งและนำฉันด้วยพระวจนะของพระองค์ เปิดโอกาสให้ฉันมีชัยเหนือการทดลองของซาตานและตั้งมั่นในคำพยานเพื่อพระเจ้า  ฉันยังได้เห็นโฉมหน้าแสนอัปลักษณ์และชั่วของพรรคคอมมิวนิสต์ รวมทั้งแก่นแท้เยี่ยงปีศาจที่ต้านทานและเกลียดชังพระเจ้าของมันอย่างทะลุปรุโปร่ง และฉันก็สามารถเกลียดและละทิ้งมันได้จากก้นบึ้งของหัวใจ  ขณะเดียวกันฉันก็มีประสบการณ์กับสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพแห่งพระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริง ได้เห็นว่าทุกสิ่งล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ว่าพระเจ้าทรงปกครองทุกสิ่ง และไม่ว่าซาตานจะโหดร้ายเพียงใด มันก็เป็นเพียงเครื่องมือปรนนิบัติพระเจ้าเท่านั้น  ไม่ว่าวันหน้าฉันจะเผชิญภยันตรายและความทุกข์ยากมากมายเพียงใด ฉันก็จะติดตามพระเจ้าไปจนถึงปลายทาง!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

เมื่อฉันอายุ 20 ปี

โดย หลิวเสี่ยว, ประเทศจีน ตอนอายุยี่สิบ ฉันถูกตำรวจจับกุมและทรมาน เพราะเชื่อในพระเจ้า ฉันไม่มีวันลืมประสบการณ์อันเจ็บปวดนั้น...

เมื่อฉันอายุสิบแปดปี

โดย Yilian, ประเทศจีน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “บางทีพวกเจ้าทุกคนอาจจำคำพูดเหล่านี้ได้ ความว่า...

ตำรวจเรียกเอาเงิน

โดย กาว ฮุ่ย, ประเทศจีน เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อกรกฎาฯ ค.ศ. 2009 ค่ะ วันหนึ่ง พี่หลิวรีบร้อนมาที่บ้านฉัน...

ติดต่อเราผ่าน Messenger