ความเชื่อเกิดขึ้นได้อย่างไร
วันหนึ่งเกือบปลายเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2008 ฉันได้รับแจ้งว่าพี่เสี่ยวหวู่ผู้นำคริสตจักรได้ถูกจับ พี่ฮองกับฉันบอกพี่น้องชายหญิงให้ย้ายทันที และเราก็ย้ายทรัพย์สินของคริสตจักร ช่วงนั้น เรายังได้พบกับผู้นำคริสตจักรสองคน ที่เราต้องการร่วมงานเพื่อทำงานคริสตจักรด้วย คืนนั้นหลังสรุปการสามัคคีธรรม พวกเขาก็กลับบ้าน วันต่อมา เราติดต่อพวกเขาไม่ได้เพราะโทรศัพท์พวกเขาปิดเครื่องไว้หมด เพียงไม่กี่วันต่อมา เราได้รับคำบอกเล่า ว่าผู้นำทั้งสองรวมถึงพี่น้องชายหญิงอีกมากกว่า 20 คนได้ถูกจับ ฉันสงสัยว่าฉันก็กำลังถูกติดตามอยู่ด้วยหรือเปล่า ในเมื่อฉันชุมนุมกับพี่เสี่ยวหวู่บ่อยๆ ดูเหมือนว่าฉันอยู่ในอันตรายที่จะถูกจับเมื่อไหร่ก็ได้ค่ะ ฉันค่อนข้างกลัวและอธิษฐานต่อพระเจ้าบ่อยๆ ขอให้พระองค์ทรงช่วยให้ฉันยืนหยัดอย่างเข้มแข็งผ่านความทุกข์ยากนี้ ในการชุมนุมหนึ่ง ฉันเห็นพระวจนะบทตอนนี้ “บางทีพวกเจ้าทุกคนอาจจำคำพูดเหล่านี้ได้ ความว่า ‘เพราะว่าความยากลำบากชั่วคราวและเล็กน้อยของเรา จะทำให้เรามีสง่าราศรีนิรันดร์มากมายอย่างไม่มีที่เปรียบ’ พวกเจ้าทุกคนเคยได้ฟังคำพูดเหล่านี้มาก่อน แต่ไม่มีใครในหมู่พวกเจ้าที่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำพูดเหล่านี้เลย วันนี้พวกเจ้าตระหนักรู้อย่างลุ่มลึกถึงนัยสำคัญที่แท้จริงของคำพูดเหล่านี้แล้ว คำพูดเหล่านี้จะได้รับการทำให้ลุล่วงโดยพระเจ้าในระหว่างยุคสุดท้าย และจะได้รับการทำให้ลุล่วงในบรรดาผู้ที่ถูกพญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงอย่างทารุณโหดร้ายในแผ่นดินที่มันนอนขดกายอยู่ พญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงพระเจ้าและเป็นศัตรูของพระเจ้า และฉะนั้น ในแผ่นดินนี้ เหล่าผู้เชื่อในพระเจ้าจึงตกอยู่ภายใต้การเหยียดหยามและกดขี่ และผลที่ได้ก็คือคำพูดเหล่านี้ได้รับการทำให้ลุล่วงในตัวพวกเจ้า ในคนกลุ่มนี้นี่เอง เนื่องจากพระราชกิจเริ่มเปิดตัวในแผ่นดินที่ต่อต้านพระเจ้า พระราชกิจทั้งปวงของพระเจ้าจึงเผชิญอุปสรรคมหาศาล และการทำให้พระวจนะมากมายของพระองค์สำเร็จลุล่วงย่อมใช้เวลา ด้วยเหตุนั้น เป็นเพราะพระวจนะของพระเจ้า ผู้คนจึงได้รับการถลุง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความทุกข์ พระเจ้าทรงมีความลำบากยากเย็นมหาศาลในการดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในแผ่นดินแห่งพญานาคใหญ่สีแดง—แต่พระเจ้าก็ทรงปฏิบัติพระราชกิจช่วงระยะหนึ่งของพระองค์ผ่านทางความลำบากยากเย็นนี้ อันเป็นการสำแดงพระปัญญาของพระองค์และกิจการอันน่าอัศจรรย์ของพระองค์ และทรงใช้โอกาสนี้ทำให้ผู้คนกลุ่มนี้ครบบริบูรณ์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าเรียบง่ายดังที่มนุษย์จินตนาการหรือไม่?) ฉันเข้าใจผ่านการอ่านพระวจนะว่า พระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์ในยุคสุดท้ายเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด และทรงปรากฏเพื่อทรงงานในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดง ที่ต้านทานพระเจ้าที่สุด ที่ที่ทรงถูกไล่ตามและข่มเหงโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน เราเองก็ถูกลิขิตให้ทนทุกข์การข่มเหงในฐานะผู้ติดตาม แต่การทนทุกข์นี้ทำให้รู้สึกถึงความทุกข์ยากที่พระเจ้าทรงสู้ทนเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ทรงกำลังใช้การข่มเหงและความทุกข์ยากนี้เพิ่มกำลังให้ความแน่วแน่ของฉัน ทำให้ความเชื่อของฉันเพียบพร้อม สถานการณ์นี้คือหนทางที่ทรงทำให้ฉันมีเพียบพร้อมและอวยพรฉันค่ะ ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าว่าแต่ละคนจะทนทุกข์แค่ไหน ฉันจะถูกจับถ้าพระเจ้าทรงอนุญาตเท่านั้น ฉันเต็มใจจะยืนหยัดเป็นพยานให้พระเจ้า จะไม่มีทางทรยศเหมือนยูดาสค่ะ!
วันหนึ่งเดือนมกราคม ค.ศ. 2009 บ่าย 2 โมงกว่า ฉันกำลังอ่านพระวจนะที่บ้านแล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเคาะถี่ๆ อย่างดุดันที่ประตู มีคนตะโกนว่า “สำนักงานความมั่นคงฯ เปิดประตูเดี๋ยวนี้!” หัวใจฉันร่วงไปอยู่ตาตุ่มขณะที่รีบซ่อนหนังสือพระวจนะของพระเจ้า ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าไม่หยุด ขอความกล้าหาญและความเชื่อ พอเปิดประตู เจ้าหน้าที่ตำรวจกว่าสิบนายก็กรูกันเข้ามาพร้อมตะโกนว่า “อย่าขยับ หันหน้าเข้ากำแพง!” พวกมันเริ่มรื้อค้นตู้เสื้อผ้าและตู้ลิ้นชักของฉัน ขว้างเสื้อผ้ากระจัดกระจาย พวกมันเจอแล็ปท็อป มือถือ และหนังสือพระวจนะของพระเจ้าของฉัน ตำรวจหญิงคนหนึ่งพาฉันไปค้นตัวที่ห้องน้ำ ฉันคิดในใจว่า “ดูเหมือนพวกมันจะเตรียมพร้อมมาอย่างดี ฉันอาจจะเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญระดับสูง ไม่งั้นจะส่งเจ้าหน้าที่มามากขนาดนี้ทำไม? ถ้าเป็นอย่างนั้น พวกมันจะไม่ปล่อยฉันไปง่ายๆ แน่นอน ใครจะรู้ว่าพวกมันจะทรมานฉันแบบไหน” ฉันเพียงอธิษฐานต่อพระเจ้าเงียบๆ และรู้ในหัวใจว่าฉันถูกจับเพราะพระเจ้าทรงอนุญาตเท่านั้น ทรงกำลังทดสอบและตรวจสอบฉัน ฉันต้องพึ่งพาพระเจ้า ยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระองค์ พวกมันสวมกุญแจมือฉัน เอาฮู้ดคลุมหัวฉัน แล้วพาฉันไปสำนักงานความมั่นคงฯ ของเขตเพื่อลงข้อมูล คืนนั้น พวกมันส่งฉันไปสถานกักกัน นอกจากกุญแจมือแล้ว พวกมันยังใส่โซ่ตรวนหนักเกือบ 5 กิโลฯที่ขาฉัน เมื่อพวกมันพาฉันไปที่ห้องขัง โซ่ตรวนนั่นหนักมาก จนฉันต้องใช้มือยกมันขึ้นแล้วลากตัวเองไปตามทาง แต่ละก้าวนั้นแสนเหน็ดเหนื่อย
ในห้องขัง พวกเจ้าหน้าที่ล็อคกุญแจมือฉันไว้กับสายโซ่ที่ล่ามระหว่างห่วงข้อเท้า แล้วก็ล็อคสายโซ่นั้นไว้กับห่วงเหล็กที่ฐานกำแพง พวกมันวางกระโถนฉี่ไว้ข้างกำแพง แม้แต่เวลาขับถ่าย ฉันจึงยังถูกล็อคอยู่กับที่ อากาศหนาวเย็นยะเยือก พัศดีถอดเสื้อขนเป็ดของฉันไป ฉันไม่มีผ้าห่ม ฉันทนทุกข์ตลอดคืนนั้น หนาวสั่น ห่อตัวกลมอยู่บนพื้น บ่ายวันต่อมา เจ้าหน้าที่สองคนจากกองพลความมั่นคงฯก็สวมกุญแจมือและคลุมหัวฉัน และพาฉันไปยังที่ห่างไกลมาก พอไปถึงและอยู่ในอาคารแล้วถึงถอดผ้าคลุมหัวของฉันออก แล้วพวกมันก็ล็อคฉันกับเก้าอี้โลหะ ข้างหน้าเก้าอี้มีถาดโลหะอยู่หนึ่งใบ ยาว 20 นิ้วและกว้าง 12 นิ้ว และตรงเท้าฉันก็มีห่วงโลหะครึ่งวงกลมสองวง เท้าฉันถูกหนีบกับห่วงโลหะ ส่วนมือก็ถูกสวมกุญแจมือไว้ด้านหน้า ตอนประมาณหนึ่งทุ่ม เจ้าหน้าที่สามคนก็มาถึง หนึ่งในนั้นสอบสวนฉันโดยถามเกี่ยวกับคริสตจักร ถึงขนาดให้ฉันดูรูปภาพและถามว่าจำคนในรูปได้ไหม ฉันดูและเห็น ว่านั่นคือพี่ฮองเพื่อนร่วมงานของฉัน ฉันตกตะลึง ไม่เคยนึกว่าพี่ฮองจะถูกจับด้วย พรรคคอมมิวนิสต์จีนคงเฝ้าดูเรามาระยะหนึ่งแล้ว ฉันตอบพวกมันว่าฉันไม่รู้จักเขา หนึ่งในเจ้าหน้าที่พวกนั้นเหลืออดและพูดว่า “เสียเวลาเปล่า ใช้วิธีทรมานกับเธอเถอะ!” เจ้าหน้าที่อีกคนข่มขู่ฉันว่า “เรากำลังให้โอกาสและถามเธอดีๆ นะ แต่ถ้าไม่พูดตอนนี้ เราจะทำให้พูดเอง!” พอได้ยินเขาพูดแบบนั้น ฉันคิดถึงเรื่องในอดีต พี่น้องชายหญิงมากมายถูกจับกุมและทรมาน ถูกซ้อมจนเละเทะ พิการและถึงขั้นเสียชีวิต ฉันเกิดกลัวมาก คิดว่า “ถ้าฉันไม่พูด พวกมันจะทรมานฉันแบบไหนนะ? ฉันจะพิการหรือตายหรือเปล่า?” ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าเงียบๆ ว่า “พระเจ้า! ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าพวกมันทรมานข้าพระองค์แบบไหน แต่ขอทรงพิทักษ์รักษาด้วยเถิด ข้าพระองค์เต็มใจยืนหยัดเป็นพยานให้พระองค์ ยอมตายดีกว่าเป็นยูดาส!” หลังอธิษฐาน ก็คิดถึงพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าว่า “อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่สามารถฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวพระองค์ผู้ทรงสามารถทำลายทั้งจิตวิญญาณและกายในนรกได้” (มัทธิว 10:28) พระวจนะมอบความเชื่อและความเข้มแข็งให้ฉัน ฉันคิดว่า “พวกเจ้าหน้าที่จะโหดร้ายแค่ไหน ก็ทำร้ายได้แค่ร่างกายฉันเท่านั้น จิตวิญญาณฉันอยู่ในพระหัตถ์ ถ้าฉันยืนหยัดเป็นพยาน ทำให้พระเจ้าพอพระทัย ฉันอาจจะตาย แต่จะได้รับการคำชมเชยของพระเจ้า แต่ถ้าทรยศและกระทำอย่างน่าอับอายเหมือนยูดาส ร่างกายและจิตวิญญาณจะถูกพระเจ้าลงโทษและสาปแช่ง” เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกกลัวน้อยลงค่ะ เมื่อเห็นว่าสอบสวนไม่ได้ผล พวกเจ้าหน้าที่ก็พาฉันไปอีกห้องแล้วเริ่มทรมาน พวกมันบิดแขนฉันไพล่หลัง พันด้วยผ้าขนหนู ใช้เชือกมัดแขนเข้าด้วยกันแน่น แล้วพวกมันก็สอดแท่งไม้ไว้ระหว่างแขนกับหลังของฉัน หนึ่งในพวกเจ้าหน้าที่ฉุดตัวฉันขึ้น แขวนแท่งไม้นั่นไว้บนม้านั่งสูง 6 ฟุต แล้วก็ปล่อยตัวฉันลง ให้ตัวฉันแขวนจากม้านั่งโดยที่แขนรับน้ำหนักตัวทั้งหมดไว้ ฉันร้องด้วยความเจ็บปวด หน้าอกฉันรู้สึกเหมือนฉีกเปิดออกแขนกับไหล่ก็แสบร้อนด้วยความเจ็บปวด หายใจได้ยากมาก ฉันรู้สึกเหมือนจะขาดอากาศหายใจ เพราะแขนถูกมัดไว้ข้างหลัง ฉันจึงยกหัวขึ้นไม่ได้ ฉันเริ่มมีเหงื่อไหลจากหน้าผาก และแขนกับมือก็หมดความรู้สึก เจ้าหน้าที่คนหนึ่งหัวเราะชั่วร้ายและพูดว่า “ตอนนี้ถึงแกจะอยากพูดก็พูดไม่ได้ แกเริ่มอธิษฐานต่อพระเจ้าของแกจะดีกว่านะ!” ไม่นานหลังจากนั้น เหงื่อจากหน้าผากของฉันก็หยดลงบนพื้น และเจ้าหน้าที่นั่นก็คิดว่าฉันร้องไห้ เขาเอียงคอและเยาะเย้ยว่า “ไหนดูซิ ว่าที่หยดลงมานั่นเหงื่อหรือน้ำตา?” ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าไม่หยุดว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ข้าฯไม่ขอให้ทรงช่วยให้พ้นจากการทรมานนี้ ขอเพียงพระองค์ประทานกำลังเพื่อการสู้ทนให้ข้าฯ ยืนหยัดได้อย่างเข้มแข็ง” หลังจากอธิษฐาน ร่างกายฉันก็ยังเจ็บปวดแสนสาหัส แต่ฉันไม่รู้สึกเป็นทุกข์มากอีกแล้วค่ะ พวกมันปล่อยให้ฉันห้อยอยู่อย่างนั้นครึ่งชั่วโมงก่อนจะปล่อยลงมา แขนของฉันไม่มีความรู้สึกและไม่ตอบสนองเลย
ต่อมา พวกมันให้ฉันนั่งเก้าอี้โลหะแล้วกระชากแขนและข้อมือของฉัน เอาแขนฉันโอบรอบแผ่นโลหะสี่เหลี่ยมข้างหน้าฉัน แล้วก็สวมกุญแจมือฉันเข้าด้วยกัน ก่อนจะเอียงเก้าอี้ไปข้างหน้า ตอนนี้ไม่มีอะไรรองรับหลังฉัน ดังนั้นแขนฉันจึงพยุงตัวฉันทั้งตัว แผ่นโลหะทิ่มเข้าไปในแขนฉัน แขนฉันเริ่มเจ็บปวดรวดร้าวอย่างรวดเร็ว หลังจากประมาณครึ่งชั่วโมง พวกมันก็กลับเข้ามา ฉุดให้ฉันลุกขึ้น จากนั้นก็ใช้แท่งไม้แขวนฉันให้ลอยอีก ทั่วทั้งตัวฉันเจ็บปวดอย่างรุนแรง ฉันหายใจติดขัดและรู้สึกเหมือนจะขาดอากาศ แต่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งหัวเราะและพูดว่า “มันผอมมาก และอาจจะไม่ทรมานเท่าไหร่ ไอ้ฮองนั่นมันอ้วน พอแขวนมันปุ๊ป แท่งไม้ก็หักเลยว่ะ มันร่วงลงมาแรงมาก แหกปากร้องแล้วบอกเราทุกอย่าง” ตอนที่ฉันได้ยินว่าพวกมันทรมานพี่ฮองยังไง ฉันก็โกรธมาก แต่ฉันก็กังวลนิดหน่อยด้วยว่า “พี่ฮองทรยศพระเจ้าและขายฉันจริงๆ เหรอ? ถ้าเขาขายฉัน อย่างนั้นพวกมันก็รู้ว่าฉันกำลังทำหน้าที่อะไรในคริสตจักรน่ะสิ ถ้างั้นพวกมันก็จะไม่ปล่อยฉันไปง่ายๆ อย่างแน่นอน ใครจะรู้ว่าพวกมันเตรียมทรมานฉันแบบไหนบ้าง หรือฉันควรสารภาพเรื่องไม่สำคัญให้พวกมันรู้บ้างดีไหม?” ตอนนั้นเอง ฉันนึกถึงพระวจนะว่า “ในทุกเวลา ประชากรของเราควรเตรียมพร้อมต่อต้านกลอุบายอันเจ้าเล่ห์ของซาตาน พิทักษ์ประตูบ้านของเราเพื่อเรา… เพื่อหลีกเลี่ยงการตกอยู่ในกับดักของซาตาน ซึ่งในเวลานั้นก็คงจะสายเกินกว่าจะเสียใจ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 3) พระวจนะช่วยให้ฉันตระหนักว่าที่เจ้าหน้าที่พูดว่าพี่ฮองบอกหมดแล้วเป็นอุบายอันเจ้าเล่ห์ของซาตาน มันต้องการหว่านความขัดแย้งให้เราหลอกให้ฉันทรยศพระเจ้า ซาตานช่างต่ำทรามและชั่วร้ายนัก! ขอบคุณการทรงให้ความรู้แจ้งและการทรงนำ ฉันตกลงใจว่า “พวกเจ้าหน้าที่จะใช้การทรมานหรือเล่ห์กลไหน ฉันก็ไม่มีทางทรยศพระเจ้าและกลายเป็นยูดาส”
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเห็นว่าฉันสภาพย่ำแย่และพูดว่า “อาการไม่ดีเหรอ? ถ้าแกไม่เริ่มพูด ก่อนอื่นเราจะแขวนแกไว้นานครึ่งชั่วโมง จากนั้นก็หนึ่งชั่วโมง แล้วก็นานขึ้นอีก” ต่อมา ฉันรู้สึกเหมือนร่างกายของฉันใกล้จะถึงจุดแตกหัก ฉันจึงพยายามเหยียบบนสลักเกลียวที่ยื่นออกมาจากม้านั่ง เพื่อให้มีที่เหยียบและเจ็บน้อยลงสักเล็กน้อย แต่เจ้าหน้าที่คนนั้นก็เห็นทันที มันเตะขาฉันและตะคอกอย่างชั่วร้ายว่า “ใครบอกว่าแกเหยียบได้ ไม่ได้โว้ย!” ร่างกายฉันเริ่มแกว่งไปมาอย่างห้ามไม่ได้ ซึ่งทำให้แขนของฉันเจ็บยิ่งขึ้นไปอีก เจ็บแสนสาหัสจนเหงื่อออกทั้งตัวไม่มีแม้แต่กำลังจะยกหัวขึ้น รู้สึกเหมือนแต่ละวินาทีค่อยๆ คืบคลานผ่านไป ไม่รู้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนจู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าหัวไหล่ขวาทรุดลงหาพื้น ทันทีหลังจากนั้น หัวไหล่ซ้ายก็ทรุดลงด้วย และทั้งตัวจมลงข้างล่าง ฉันตระหนักว่าหัวไหล่ของฉันหลุดจากเบ้า ฉันตะโกนว่า “ไหล่ของฉันหลุด!” พวกเจ้าหน้าที่ถึงยอมปล่อยฉันลง พอพวกมันแก้เชือกออก แขนฉันก็เหวี่ยงจากหลังฉันไปข้างหน้าอย่างแข็งทื่อ แขนสองข้างไร้ความรู้สึกและบวมเป่ง พอฉันยืนขึ้น แขนก็ห้อยลงข้างตัวฉัน ฉันสั่งแขนให้ขยับไม่ได้ ตรงข้อศอกก็งอไม่ได้ รู้สึกเหมือนมีไม้พลองสองอันห้อยลงมาจากหัวไหล่ แล้วพวกมันก็ใส่กุญแจมือฉันอีกรอบ เริ่มขยับแขนฉันไปรอบๆ พวกมันกระชากแขนฉันไปหลังหัวอย่างแรง ดึงไปข้างหลังให้ไกลที่สุด แล้วก็ดึงแขนไปทางซ้ายของฉันอย่างแรง พร้อมดูว่าฉันจะสะดุ้ง หรือเจ็บปวดไหม แขนฉันไม่มีความรู้สึกโดยสิ้นเชิง หลังบีบคั้นอยู่สักพักโดยไม่เกิดผลอะไร ก็ตะโกนว่า “เลิกเสแสร้ง!” ตอนนั้น ฉันอยากยกแขนทั้งสองข้างขึ้นให้ได้จริงๆ แต่พวกมันไม่เขยื้อนเลย ฉันคิดในใจว่า “หัวไหล่ฉันหลุดจริงๆ เหรอ? ฉันจะพิการหรือเปล่า? จากนี้ไปฉันจะกินยังไง หรือแม้แต่เข้าห้องน้ำยังไง?” คืนนั้น พวกมันสวมกุญแจมือฉันอีก และล็อคกุญแจข้อเท้าของฉันไว้กับหัวเตียง ฉันนอนอยู่บนเตียงนั้น หลับไม่ลง แขนสองข้างเจ็บและชา ยากที่จะทนค่ะ ฉันอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าวันรุ่งขึ้นพวกตำรวจจะทรมานฉันเหมือนเดิมอีกไหม พอคิดถึงความเจ็บปวดและการทนทุกข์ทั้งหมดก็ทำให้ฉันกลัวค่ะ ฉันไม่รู้ว่าฉันจะรับมันไหวหรือเปล่า ในความทุกข์ระทม ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า! ขอทรงพิทักษ์รักษาและประทานความเชื่อและกำลังให้ข้าพระองค์ ไม่ว่าข้าพระองค์จะทนทุกข์แค่ไหน ก็จะไม่ทรยศพระองค์ ไม่หักหลังพี่น้องชายหญิง” หลังอธิษฐาน ฉันนึกถึงพระวจนะที่ว่า “กับบรรดาผู้ที่ไม่ได้แสดงให้เราเห็นความจงรักภักดีแม้แต่น้อยในระหว่างช่วงเวลาของความทุกข์ลำบาก เราจะไม่ปรานีอีกต่อไป เพราะความปรานีของเราขยายเวลามาเพียงถึงตอนนี้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่มีความชอบให้กับใครก็ตามที่ครั้งหนึ่งเคยทรยศเรา นับประสาอะไรที่เราจะชอบเชื่อมสัมพันธ์กับบรรดาผู้ที่ขายผลประโยชน์ของผองเพื่อนของตน นี่คืออุปนิสัยของเรา ไม่ว่าบุคคลคนนั้นอาจเป็นใครก็ตาม เราจำต้องบอกเรื่องนี้กับพวกเจ้าว่า ใครก็ตามที่ทำให้เราเสียใจจะไม่ได้รับความเมตตาผ่อนผันจากเราเป็นครั้งที่สอง และใครก็ตามที่สัตย์ซื่อต่อเราตลอดมาจะยังคงอยู่ในหัวใจของเราตลอดกาล” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า) พระวจนะทำให้ฉันรู้ถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรม เปี่ยมบารมี และมิอาจล่วงเกินได้ ทรงรักและทำให้บรรดาผู้ที่ภักดีเพียบพร้อม ต่อให้ประสบความทุกข์ลำบากและต้องทนทุกข์ใด พวกเขาก็ยังคงภักดีเสมอ ยืนหยัดเป็นพยานให้พระองค์ ผู้คนแบบนี้เท่านั้นที่คงอยู่ในราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ ส่วนบรรดาผู้ที่ทรยศพระเจ้าเหมือนยูดาส ไม่เพียงจะไม่มีจุดจบที่ดี พระเจ้าจะทรงลงโทษและสาปแช่งวิญญาณ ดวงจิต และร่างกาย ถ้าฉันทรยศพระเจ้าเพียงเพื่อให้พ้นจากการทนทุกข์ทางกายชั่วคราว ก็จะพลาดโอกาสได้รับความรอดไปตลอด ฉันยังคิดถึงตอนที่พวกเจ้าหน้าที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมให้ฉันทรยศ พระเจ้าทรงมอบปัญหาให้ฉันมองทะลุเล่ห์เหลี่ยมของซาตาน ตอนที่พวกเจ้าหน้าที่ทรมานฉัน ร่างกายของฉันก็ทนทุกข์ทรมานระดับหนึ่ง แต่พระเจ้าทรงพิทักษ์รักษาฉันเงียบๆ ทรงมอบกำลังให้ฉันเอาชนะความอ่อนแอของเนื้อหนัง ฉันได้ประสบกับความรักที่ทรงมีให้ได้ประจักษ์พระมหิทธิฤทธิ์และพระอธิปไตย ฉันไม่อาจทรยศมโนธรรมของฉันได้ ไม่ว่าจะเป็นทุกข์แค่ไหน ก็ต้องยืนหยัดเป็นพยาน ทำให้ทรงพอพระทัย!
ในวันที่สาม ตอนประมาณ 9 โมงเช้า พวกเจ้าหน้าที่พาฉันไปห้อง ใหญ่ๆ บังคับให้นั่งเก้าอี้โลหะอีกครั้ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพันผ้าขนหนูรอบหัวฉันตรงระดับปาก จากนั้นก็กระชากไปข้างหลัง ฉันรู้สึกเจ็บแปลบตรงที่ไหล่ชนเก้าอี้โลหะนั่น และขาของฉันก็เริ่มยกขึ้นจากพื้นเก้าอี้ก็เอนไปข้างหลัง ฉันเริ่มหายใจได้ลำบากเพราะผ้าขนหนูอยู่ในปาก หายใจผ่านจมูกได้เท่านั้น คอก็เจ็บมากจนแทบกลืนน้ำลายไม่ได้เลย แล้วเจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็เอากระบอกฉีดยาที่มีน้ำมันมัสตาร์ดมา แล้วฉีดน้ำมันนั้นเข้ารูจมูกขวาของฉัน รู้สึกเหมือนทั้งโพรงจมูกถูกไฟลวก แล้วพอหายใจเข้า น้ำมันก็หยดลงไปในลำคอ มันยากและแย่มากค่ะกับการพยายามกลืนลงไป ฉันไม่กล้าหายใจเข้า แต่ถ้าไม่หายใจฉันก็ขาดอากาศแน่ อธิบายยากค่ะว่าความรู้สึกนั้นมันแย่มากแค่ไหน ฉันดิ้นรนอย่างสุดแรง แต่พวกมันคาดผ้าขนหนูกับปากฉันแน่น ไม่มีอะไรที่ฉันจะทำได้เลยค่ะ น้ำมันมัสตาร์ดนั่นเผ็ดมากจนฉันน้ำตาไหล รู้สึกเหมือนเวลาหยุดนิ่ง แต่ละวินาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า พอฉันกลืนน้ำมันลงไปหมดแล้วเท่านั้นพวกมันถึงยอมคลายผ้าคาดปาก คอฉันต้องใช้เวลาฟื้นตัวจากความเจ็บปวดสักพัก ฉันรู้สึกคลื่นไส้และก้มตัวข้ามเก้าอี้พ่นลมหายใจออกจมูกให้แรงที่สุด ทั้งหน้าและโพรงจมูกระคายเคืองจากความเผ็ด เป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดและแสบร้อนรุนแรงมาก เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเห็นว่าฉันจะอาเจียน ขึงตาใส่ฉันพลางตะคอกว่า “กลั้นไว้สิ!” ฉันดูหมิ่นพวกปีศาจฝูงนั้นค่ะ! ความเจ็บปวดเกือบจะมากเกินทน และฉันไม่รู้ว่าฉันจะทนมากกว่านั้นได้ไหม ฉันไม่รู้เลยว่าพวกมันวางแผนจะทรมานฉันไปอีกนานแค่ไหน ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าเงียบๆ ว่า “พระเจ้า ข้าฯ ไม่รู้ว่าพวกเจ้าหน้าที่วางแผนจะทรมานข้าฯ อีกกี่ครั้ง แต่ข้าฯ จะไม่ทรยศพระองค์เพราะความอ่อนแอของเนื้อหนัง โปรดทรงพิทักษ์รักษาหัวใจของข้าฯ และประทานความเชื่อและกำลัง ให้ข้าฯ ยืนหยัดอย่างเข้มแข็งผ่านความเจ็บปวดนี้ด้วยเถิด” หลังอธิษฐาน ฉันรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ฉันรู้ว่าพระเจ้าได้ทรงฟังคำอธิษฐานของฉันและทำให้ความเจ็บปวดของฉันเบาบางลง ฉันขอบคุณพระเจ้าในหัวใจ! ประมาณสิบนาทีต่อมา พวกมันก็ฉีดน้ำมันมัสตาร์ดใส่รูจมูกของฉันอีกข้าง พวกมันฉีดน้ำมันมันตาร์ดทั้งหมดสามกระบอกใส่จมูกฉันในเช้านั้น แต่ละครั้งเจ็บปวดเหมือนตกนรก เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเย้ยหยันอย่างชั่วร้ายว่า “เราน่าจะฆ่าแกไปซะ เราขุดหลุมใหญ่ๆ แล้วฝังแกไว้ก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอก!” ฉันคิดว่าในเมื่อพวกมันเต็มใจทรมานฉันอย่างโหดร้าย ก็คงไม่มีอะไรที่พวกมันจะไม่ทำแล้ว ฉันนึกภาพพวกมันโยนฉันลงในหลุมขนาดใหญ่ แล้วเอาดินกลบฉัน ฉันทรมานใจอย่างที่สุดเลยค่ะ และฉันคิดกับตัวเองว่า “นี่ฉันจะตายตั้งแต่อายุน้อยจริงๆ หรือ?” ในการทนทุกข์นั้น พระวจนะก็ผุดขึ้นในใจว่า “ในบรรดาทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในจักรวาล ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราไม่ได้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย มีสิ่งใดหรือที่ไม่ได้อยู่ในมือของเรา?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 1) การให้ความรู้แจ้งและการนำของพระวจนะช่วยให้ฉันตระหนัก ว่าชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับพระองค์ พวกเจ้าหน้าที่จะเลวทรามและชั่วแค่ไหน หากไม่ทรงอนุญาตพวกมันก็ไม่กล้าเอาชีวิตฉันหรอกค่ะ ฉันไม่เข้าใจถึงพระมหิทธิฤทธิ์และพระอธิปไตยจริงๆ ความเชื่อในพระองค์ก็อ่อนแอ ดังนั้นเมื่อฉันได้ยินเจ้าหน้าที่พูดว่าจะฆ่าและฝังฉัน ฉันก็เกิดขี้ขลาดและกลัวขึ้นมา ฉันไม่ได้เป็นพยานเลยสักนิดค่ะ! พอตระหนักอย่างนั้น ฉันก็ไม่รู้สึกขี้ขลาดและกลัวอีกต่อไป ตัดสินใจว่าจะยืนหยัดเป็นพยานทำให้ซาตานอับอายแม้ต้องตายก็ตาม
ตอนบ่าย 2 โมง พวกเจ้าหน้าที่มาสอบสวนฉันอีกครั้ง หนึ่งในนั้นมองฉันไม่วางตา มันไม่เชื่อว่าแขนของฉันเป็นอัมพาต มันจึงจงใจเริ่มเอาไม้จิ้มฟันมาทิ่มใต้เล็บมือฉัน แม้ว่าเลือดออกแล้ว ฉันก็รู้สึกเจ็บที่ปลายนิ้วเพียงเล็กน้อย ขณะที่มันทิ่ม มันก็คอยดูสีหน้าฉัน เมื่อเห็นฉันไม่ตอบสนอง ก็พูดว่า “แขนแกหมดสภาพแล้วสินะ? ใช้ไฟฟ้าบำบัดหน่อยน่าจะดี!” แล้วพวกเจ้าหน้าที่ก็ไปเอาสายไฟมา และยึดปลายข้างหนึ่งกับที่ช็อตไฟอีกข้างกับนิ้วโป้งเท้าฉันสองข้างและเริ่มช็อตฉันค่ะ หัวใจของฉันเริ่มเต้นรัว ร่างกายฉันแข็งทื่อ หลังแอ่นไปข้างหลัง ขาก็เตะไปข้างหน้า ฉันร้องด้วยความเจ็บปวดเกินทน พวกมันหยุดครู่หนึ่งจากนั้นก็เริ่มช็อตฉันต่อ พร้อมกับสอบสวนฉันเรื่องคริสตจักรอย่างไม่ผ่อนปรน พวกมันทำแบบนี้ไปสักพัก ช็อตไฟฉันหลายครั้งนับไม่ถ้วน ฉันปกป้องตัวเองจากความโหดร้ายนั้นไม่ได้เลย ความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานนั้นแทบทนไม่ได้ ฉันกังวลจริงๆ ว่าถ้าพวกมันช็อตไฟฟ้าฉันต่อไป อาจจะสร้างความเสียหายถาวรบางอย่างได้ พวกมันหยุดแค่ตอนถึงเวลามื้อเย็นของพวกมันเท่านั้น หนึ่งในพวกมันคลายมัดฉันจากเก้าอี้ ฉุดฉันลุก ฉันประหลาดใจเมื่อพบว่าพอฉันยืนขึ้น ฉันไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่นิด เหมือนไม่เคยบาดเจ็บเลย ร่างกายก็ไม่รู้สึกอ่อนแอเหมือนเคย เห็นชัดเลยว่าเป็นการทรงพิทักษ์รักษาและความห่วงใยของพระเจ้าที่บรรเทาความเจ็บปวด ฉันเคยรู้ว่า ในทางทฤษฎี ทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง แต่ตอนนี้ฉันได้ประสบเอง ได้เห็นกิจการอันมหัศจรรย์ของพระเจ้ากับตัวเอง ได้เห็นความรักและความกรุณาที่ทรงมีให้ ใจฉันสำนึกบุญคุณและสรรเสริญพระองค์ ฉันรู้สึกมั่นใจขึ้นใหม่เพื่อก้าวผ่านการทรมานของพวกมัน พวกมันช็อตไฟฟ้าฉันตั้งแต่หนึ่งทุ่มยาวไปจนถึงห้าทุ่มคืนนั้น ในเช้าวันที่สี่ พวกมันก็ฉีดน้ำมันมัสตาร์ดใส่จมูกฉันอีก ฉันรู้สึกถึงความเจ็บปวดและความทุกข์เกินทนนั้นอีก เช้านั้น พวกมันใช้ฉีดน้ำมันฉัน 4 กระบอกฉีด ตอนกลางวันระหว่างมื้อเที่ยง ฉันขอน้ำดื่มสักแก้ว หนึ่งในพวกมันเย้ยหยันชั่วร้ายว่า “อย่าเอาน้ำให้มัน ไม่งั้นมันจะต้องเข้าห้องน้ำ” เจ้าหน้าที่อีกคนพูดว่า “ท้องกับลำไส้มันคงเสียหายเพราะน้ำมันหมดแล้วล่ะมั้ง” พอได้ยินฉันก็คิดว่า “ใช่แล้ว พวกมันจับฉันฉีดน้ำมันมัสตาร์ดลงคอไปเยอะ ตามปกติ โดนแบบนั้นคงทำให้เกิดปัญหาเยอะ แต่นอกจากรู้สึกกระหายนิดหน่อยแล้ว ฉันไม่รู้สึกไม่สบายท้องเลยแม้แต่นิดเดียว” ฉันรู้สึกอย่างลุ่มลึกว่าพระเจ้าทรงพิทักษ์รักษาฉันเงียบๆ ใจฉันเต็มด้วยสำนึกรู้คุณ
บ่ายวันนั้น พอฉันยังไม่ยอมตอบคำถามของพวกมัน ผู้อำนวยการกัวกับฝ่ายความมั่นคงฯก็เอาที่ช็อตไฟฟ้ามาช็อตฉันเข้าที่หลัง ฉันฟุบลงกับพื้นทันที แล้วเขาก็บังคับให้ฉันนั่งที่เก้าอี้โลหะและช็อตแขนฉัน แต่ละครั้งที่มันช็อตฉัน แขนฉันจะกระตุกขึ้นแล้วก็ตกกลับลงไป เขายังช็อตฝ่ามือฉันด้วยหลายครั้ง เขาช็อตฉันต่อไปแบบนั้นอยู่สองชั่วโมง หยุดก็ตอนที่แบตเตอรี่ที่ช็อตไฟฟ้าหมดเท่านั้น หลังจากนั้น เขาก็ม้วนกระดาษหนังสือพิมพ์และฟาดหน้าฉัน พร้อมตะคอกว่า “แกจะพูดหรือไม่พูด! ฉันจะทำให้แกพูดเอง!” ใบหน้าฉันแสบด้วยความเจ็บปวดจากแรงฟาด จนหนังสือพิมพ์นั่นขาด และฉันยังไม่พูดสักคำ เท่านั้นเขาจึงเดินจากไปอย่างผิดหวัง ฉันกลับไปที่ห้อง เจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งเห็นหน้าที่บวมแดงของฉันแล้วหัวเราะคิกคัก พูดว่า “โดนตบหน้าเข้าสินะ?” แล้วเธอก็ขู่ฉันว่า “ถ้าแกไม่เริ่มพูด วันแรกพวกเขาจับแกห้อย วันที่สองใช้ที่ช็อตไฟฟ้า วันที่สามก็จะได้เสียสาว!” ฉันคลื่นไส้และขยะแขยงกับคำพูดของเธอ เจ้าหน้าที่กลุ่มนี้ต้องชั่วจริงๆ เท่านั้น จึงคิดกลวิธีการทรมานที่น่ารังเกียจ ไร้ความละอายแบบนี้ได้! ฉันอดรู้สึกกลัวนิดๆ ไม่ได้ ฉันจะทำยังไงถ้าพวกมันใช้กลวิธีที่ต่ำช้าแบบนั้นจริงๆ? ตอนนั้นเอง จู่ๆ ฉันก็นึกถึงพระวจนะที่ตรัสว่า “ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าจะต้องกลัว ซาตานทั้งหลายอยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเรา…” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 10) ฉันคิดว่า “ใช่แล้ว ทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ไม่ใช่หรือ? ถ้าไม่ทรงอนุญาต ก็ไม่มีอะไรแบบนั้นเกิดกับฉัน พวกมันแค่ข่มขู่ฉันเพื่อให้ฉันทรยศพระเจ้า หักหลังพี่น้องชายหญิงและบอกพวกมันเรื่องเงินทุนของคริสตจักร ไม่ว่าพวกมันจะใช้กลวิธีการทรมานอะไร ฉันก็ไม่อาจทรยศพระเจ้าได้” หลังจากนั้น พวกมันก็สอบสวนฉันอีกสองสามครั้ง แต่พอฉันยังไม่ยอมพูด พวกมันก็ส่งฉันกลับสถานกักกัน
ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 พรรคคอมมิวนิสต์จีนตัดสินจำคุกฉันหนึ่งปีครึ่ง แล้วส่งฉันไปค่ายใช้แรงงาน หัวหน้ากลุ่มในค่ายแรงงานถามเจ้าหน้าที่คนหนึ่งว่า “เธอทำงานได้ไหม?” ฉันพูดว่า “แขนฉันพิการค่ะ ฉันยกแขนไม่ได้” เจ้าหน้าที่คนนั้นกลัวว่าค่ายจะไม่รับฉันไว้ เลยพูดว่า “แขนเธอปกติดี เธอโกหก” ระหว่างมื้ออาหารหนึ่งในค่าย ฉันขยับแขนหรือมือไม่ได้ หยิบตะเกียบไม่ได้ พี่สาวคนหนึ่งจึงจะช่วยฉัน แต่พัศดีไม่อนุญาต ทั้งหมดที่ฉันทำได้คือนั่งบนม้านั่งตัวเอง ใส่ช้อนไว้ในมือข้างหนึ่ง วางต้นแขนไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็กดตัวลงไปเพื่อดันต้นแขนกับช้อนขึ้นแล้วตักอาหารขึ้นมา พี่สาวคนนั้นร้องไห้เมื่อเห็นว่ามันยากแค่ไหนสำหรับฉัน ก่อนที่ฉันจะกินเสร็จด้วยซ้ำ พัศดีให้เราลงบันไดไปยืนเข้าแถว พี่สาวคนนั้นเห็นว่าฉันยังกินไปไม่มาก ก็เลยแอบเอาหมั่นโถวให้ฉัน หลังจากนั้น ฉันก็พึ่งพาให้พี่เขาแอบเอาหมั่นโถวให้เพื่อให้กินพอค่ะ พี่สาวสองคนผลัดกันนวดแขนฉันทุกคืน และพวกเธอก็ดูแลฉันค่ะ พวกเธอยังสามัคคีธรรมถึงพระวจนะเงียบๆ เพื่อให้กำลังใจฉันด้วย ฉันรู้ว่านี่ล้วนเป็นการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า เป็นสัญลักษณ์ความรักของพระองค์เพื่อฉัน และฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าในใจลึกซึ้ง!
ในช่วงเวลานั้น ฉันยังยกแขนขึ้นไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ครั้งหนึ่ง ฉันถามหมอว่า “มียาอะไรที่ฉันกินเพื่อรักษาแขนได้ไหมคะ?” หมอคนนั้นพูดว่า “ถ้าแขนของคุณไม่ได้ขยับนานกว่าสามเดือน กล้ามเนื้อจะลีบเล็กและคุณจะพิการถาวร ไม่มีทางรักษา แม้แต่การฉีดยาก็ไม่ช่วยอะไร ที่ทำได้ดีที่สุดคือฝึกใช้นิ้วไต่ผนังให้แขนขยับ” ดังนั้นในระหว่างนั้นฉันจึงเพียรฝึกการออกกำลัง “ไต่ผนัง” นี้ ฉันยกแขนตัวเองไม่ได้ ฉันจึงต้องเหวี่ยงแขนขึ้นไป ใช้นิ้วเกาะผนังไว้ จากนั้นก็ค่อยๆ ไต่ยกแขนขึ้นไป พอไต่ได้สักหนึ่งฟุต แขนฉันก็ไปสูงกว่านั้นไม่ได้อีก ฉันก็จะปล่อยให้แขนเหวี่ยงตกลงมา แล้วเริ่มใหม่ ตอนแรกฉันเต็มไปด้วยความมั่นใจและความหวังว่าวันหนึ่งจะเกิดการอัศจรรย์ ว่านจะยกแขนได้และใช้ชีวิตตามปกติ แต่หลังจากสามเดือน ฉันก็ยังยกแขนขึ้นไม่ได้ ฉันเริ่มท้อแท้และผิดหวังนิดหน่อย คิดว่า “แขนฉันจะดีขึ้นบ้างไหมนะ? ถ้าแขนฉันไม่ฟื้นตัว พอออกจากค่ายไปจะใช้ชีวิตยังไง? ฉันเพิ่งจะอายุ 30 นิดๆ จะต้องให้คนอื่นดูแลไปตลอดชีวิตที่เหลือจริงๆ หรือ?” ท่ามกลางความทุกข์และความสิ้นหวังนั้น ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้ทรงนำและประทานกำลังและความเชื่อให้ คืนนั้น ตอนที่พี่สาวกำลังนวดฉัน ฉันก็อธิบายสภาวะปัจจุบันกับเธอ พี่สาวชูใจฉันโดยพูดว่า “เรามีพระเจ้า ไม่ต้องกลัว แค่หมั่นออกกำลังต่อไป และเราจะคอยนวดแขนให้เธอ ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรหรอก” คำพูดของพี่สาวของฉันทำให้ฉันร้องไห้เลยค่ะ จากนั้น ฉันก็นึกถึงพระวจนะว่า “ขณะก้าวผ่านบททดสอบ เป็นปกติที่ผู้คนย่อมอ่อนแอ หรือมีความเป็นลบภายในตัวพวกเขา หรือไม่ชัดเจนในเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือเส้นทางของพวกเขาสำหรับการฝึกฝนปฏิบัติ แต่ไม่ว่าในกรณีใด เจ้าต้องมีความเชื่อในพระราชกิจของพระเจ้า และไม่ปฏิเสธพระเจ้า เช่นเดียวกับโยบ แม้ว่าโยบอ่อนแอและสาปแช่งวันเกิดของเขาเอง เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงมอบทุกสรรพสิ่งในชีวิตมนุษย์ และพระยาห์เวห์ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวที่จะนำทุกสิ่งนั้นไปอีกด้วย ไม่ว่าเขาจะก้าวผ่านบททดสอบอะไรมา เขาก็ได้ธำรงรักษาการเชื่อนี้ไว้ ในประสบการณ์ของเจ้า ไม่สำคัญว่าเจ้าก้าวผ่านการถลุงอะไรโดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากมวลมนุษย์ โดยสังเขปแล้ว คือความเชื่อของพวกเขาและหัวใจที่รักพระเจ้าของพวกเขา สิ่งที่พระองค์ทรงทำให้มีความเพียบพร้อมโดยการทรงพระราชกิจในหนทางนี้คือความเชื่อ ความรักและความทะเยอทะยานของผู้คน พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการทำให้มีความเพียบพร้อมกับผู้คน และพวกเขาไม่สามารถมองเห็นมันได้ ไม่สามารถรู้สึกถึงมันได้ ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเช่นนี้ เจ้าพึงต้องมีความเชื่อ ผู้คนพึงต้องมีความเชื่อเมื่อบางสิ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และเจ้าพึงต้องมีความเชื่อเมื่อเจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเองได้ เมื่อเจ้าไม่มีความกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า สิ่งที่เจ้าพึงต้องทำคือการมีความเชื่อและจุดยืนที่หนักแน่น และยืนหยัดเข้มแข็งในคำพยานของเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง) พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ฉันเห็น ว่าเมื่อโยบอ่อนแอและทุกข์ทรมาน ก็ไม่เคยสูญเสียความเชื่อในพระเจ้า ไม่ว่าทรงทดสอบเขายังไง เขาก็สรรเสริญฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์เสมอ ไม่เคยโทษพระเจ้าและยืนหยัดเป็นพยานให้แก่พระองค์ เมื่อแขนฉันไม่ดีขึ้นหลัง 3 เดือน ฉันก็สูญเสียความเชื่อ และเริ่มคิดถึงอนาคตตัวเอง ใช้ชีวิตในความคิดลบและความทุกข์ค่ะ ฉันเห็นว่าความเชื่อในพระเจ้าของฉันยังขาดพร่องอยู่ ไม่ใช่ความเชื่อที่แท้จริง พระเจ้าทรงใช้ความทุกข์และกระบวนการถลุงชำระฉันให้บริสุทธิ์แปลงสภาพฉัน ทำให้ความเชื่อฉันเพียบพร้อม ฉันไม่ควรใช้ชีวิตในความคิดลบและความเข้าใจผิดค่ะ จากนั้น พี่ๆ ก็สามัคคีธรรมกับฉันบ่อยๆ ช่วยเหลือฉัน และฉันก็นบนอบและประสบกับสถานการณ์นี้ได้ เมื่อฉันนบนอบ ฉันก็ประจักษ์กับกิจการน่าอัศจรรย์ของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นไม่นาน ฉันก็ค่อยๆ ยกแขนขวาขึ้นได้ แล้วหลังจากสักสองเดือน ฉันก็ค่อยๆ ยกแขนซ้ายขึ้นได้ค่ะ ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าอย่างลึกซึ้งค่ะ หมอพูดว่าถ้าไม่ขยับเขยื้อนสามเดือน แขนของฉันจะพิการ แต่พระเจ้าทรงอนุญาตให้ฉันฟื้นตัวอย่างน่าอัศจรรย์ เพราะความรักและการทรงพิทักษ์รักษาทั้งนั้น
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2010 ฉันก็ได้รับการปล่อยตัว การอยู่ภายใต้ความโหดร้ายและการข่มเหงของพรรค ทำให้ฉันเห็นแก่นแท้เยี่ยงปีศาจซึ่งต้านทานพระเจ้าของมันชัด ละทิ้งและหันหนีจากมันในหัวใจ ฉันยังได้ประสบกับความรักของพระเจ้าด้วยตัวเอง ตอนติดอยู่ในถ้ำของมาร ต้องเจอความโหดร้ายและการทรมานของพวกเจ้าหน้าที่ พระวจนะก็เติมเต็มฉันด้วยความเชื่อและกำลัง ช่วยนำฉันผ่านช่วงเวลาแห่งการทดสอบ พอผ่านเรื่องทั้งหมดนั้นมา ฉันรู้สึกใกล้ชิดพระเจ้ายิ่งขึ้น ฉันเห็นว่าทุกอย่างที่ทรงทำเพื่อมนุษย์คือความรักและความรอดของพระองค์ ไม่ว่าฉันจะเผชิญการข่มเหงหรือความทุกข์ยากอะไรในอนาคต ฉันจะบากบั่นในความเชื่อ ติดตามพระเจ้า ลุล่วงหน้าที่เพื่อตอบแทนความรักของพระเจ้าเสมอค่ะ
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ