ประสบการณ์พิเศษในวัยเยาว์

วันที่ 31 เดือน 10 ปี 2024

โดย เจิ้งซิน, ประเทศจีน

ในค.ศ. 2002 ตอนผมอายุ 18 ปี ผมได้ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2004  ผมกับพี่น้องชายหวังเฉิงถูกตำรวจจับกุมขณะกำลังประกาศข่าวประเสริฐในอีกจังหวัด  ตอนนั้นผมคิดว่า “พวกเราแค่กำลังประกาศข่าวประเสริฐ และไม่ได้ทำผิดกฎหมายใดเลย  อีกอย่าง ฉันก็ยังอายุน้อยอยู่ ดังนั้น ตำรวจก็น่าจะไม่ทำอะไรฉัน  พวกเขาอาจจะแค่สอบปากคำฉัน แล้วปล่อยฉันไป”  ผมไม่คาดคิดเลยว่า หลังจากที่พวกนั้นนำตัวเราไปสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งตบโต๊ะสอบสวนผมอย่างสารเลวว่า “แกชื่ออะไร?  พักอยู่ที่ไหน?  ใครขอให้แกมา?  แกประกาศข่าวประเสริฐกับใคร?”  พอผมไม่ตอบ เขาก็ตบหน้าผมอย่างแรงสองครั้ง แรงจนผมหูอื้อ และพูดว่าการประกาศข่าวประเสริฐ คือการที่เรากำลังก่อกวนระเบียบสังคมและทำผิดกฎหมาย  นี่ทำให้ผมเดือดดาล และผมคิดว่า “ไร้สาระสิ้นดี!  พวกเราประกาศข่าวประเสริฐเพราะต้องการให้คนอื่นเป็นคนดีและเดินตามเส้นทางที่ถูกต้อง  คุณเรียกเรื่องนั้นว่าเป็นการก่อกวนระเบียบสังคมได้อย่างไร?”  แต่พอเห็นว่าพวกตำรวจสารเลวขนาดไหน ผมก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะให้เหตุผลกับพวกเขา ผมจึงไม่พูดอะไรเลย  จากนั้น พวกนั้นก็สวมกุญแจมือผมกับหวังเฉิง แล้วเอาตัวพวกเราขึ้นรถตำรวจ  ตอนที่พวกเขาขับออกมา ผมวิตกกังวลจริงๆ  ผมกลัวมากว่าพอพวกเราไปถึงที่หมาย พวกนั้นจะซ้อมและทรมานผม  หากผมไม่อาจทนความยากลำบากได้ และลงเอยด้วยการกลายเป็นยูดาส ผมก็จะไม่เพียงล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าเท่านั้น แต่ผมยังจะเป็นเหตุให้พี่น้องชายหญิงถูกจับกุมมากขึ้นและทนทุกข์จากการทรมานเดียวกันกับผมอีกด้วย  ผมอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์หวาดกลัวเหลือเกิน  โปรดทรงคุ้มครองข้าพระองค์ และทรงมอบความมั่นใจและความเข้มแข็งให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด”  หลังจากอธิษฐาน ผมรู้สึกสงบลงเล็กน้อย

พวกนั้นนำตัวพวกเราไปที่สำนักงานสอบสวนคดีอาญาเทศบาล  ตอนพวกนั้นค้นตัวพวกเรา เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเห็นว่าผมพกเพจเจอร์และพูดว่าผมต้องเป็นผู้นำแน่  พอผมได้ยินแบบนี้ ผมก็คิดว่า “ถ้าพวกนั้นคิดว่าฉันเป็นผู้นำ ก็คงไม่ปล่อยฉันไปง่ายๆ แน่”  เมื่อเห็นว่าผมไม่ยอมพูดอะไร เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งที่แซ่จ้าวก็ยิ้มแบบเย็นชาพร้อมพูดว่า “ถ้าไม่บอกสิ่งที่แกรู้มา เราจะดูว่าแกจะทนได้นานแค่ไหน!”  เขาเตะผมหลายครั้ง พลางเรียกผมอย่างดูถูกด้วยสารพัดชื่อ จากนั้นก็ชกเข้าที่หน้าอกผม ทำให้ผมเจ็บหนักมากจริงๆ และจุกจนผมหายใจไม่ออกไปอึดใจ  เขาเตะต่อยผมอีกหลายครั้ง จนผมกระเด็นถอยหลังไปกว่าสองเมตร และเกือบล้มคว่ำ  ผมสู้ทนความเจ็บปวดอย่างเงียบกริบ ไม่พูดอะไรสักคำ  ในที่สุด พอเขาเหนื่อย เขาจึงหยุด แล้วพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ถ้าแกไม่เริ่มพูด พวกเราจะจับแกนั่งเก้าอี้เสือแล้วให้แกลิ้มรสกระบองไฟฟ้าของเรา!”  ผมหวาดกลัวมากจริงๆ  ผมเจ็บปวดอยู่แล้วจากการถูกเตะต่อย  ผมไม่รู้ว่าผมจะสามารถรับมือกับการถูกมัดติดกับเก้าอี้เสือ แล้วถูกช็อตไฟฟ้าได้หรือไม่  ผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “ข้าแต่พระเจ้า ได้โปรดคุ้มครองหัวใจของข้าพระองค์ ประทานความมั่นใจและความกล้าหาญให้แก่ข้าพระองค์  ข้าพระองค์ขอพึ่งพาพระองค์เพื่อที่จะตั้งมั่นและข้าพระองค์จะไม่ยอมเป็นอย่างยูดาสเด็ดขาด”  และแล้วผมก็นึกถึงพระวจนะบางส่วนของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ว่า “เจ้าไม่ควรกลัวสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่สำคัญว่าเจ้าอาจเผชิญความยากลำบากและภยันตรายมากเพียงใด เจ้าสามารถจะยังคงมั่นคงอยู่ต่อหน้าเราได้ โดยไร้อุปสรรคใดๆ กีดขวาง เพื่อที่เจตจำนงของเราจะได้รับการดำเนินการโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้น  นี่คือหน้าที่ของเจ้า… บัดนี้เป็นเวลาที่เราจะทดสอบเจ้า เจ้าจะมอบความรักภักดีแก่เราหรือไม่?  เจ้าสามารถติดตามเราอย่างรักภักดีไปจนสุดทางได้หรือไม่?  จงอย่ากลัวเลย ด้วยการสนับสนุนของเรา ใครเล่าจะสามารถขวางกั้นถนนสายนี้ได้?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 10)  ใช่เลยที่ว่า พระเจ้าทรงเป็นกำลังหนุนที่ไว้ใจได้ของผม และชีวิตของผมอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์  ที่ผมถูกจับก็เพราะพระเจ้าทรงอนุญาต  นี่คือการทดสอบของพระเจ้าที่มีต่อผม  ไม่ว่าตำรวจจะทรมานผมมากขนาดไหน ผมก็จะตั้งมั่นในคำพยานที่ผมมีให้พระเจ้าอย่างแน่นอนที่สุด  เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งถามชื่อและที่อยู่ของผม  ผมคิดว่า “ตอนนี้ครอบครัวของฉันที่บ้านกำลังเป็นเจ้าบ้านต้อนรับบรรดาผู้นำคริสตจักรอยู่  หากฉันพูดว่าฉันอยู่ที่ไหน แล้วตำรวจไปค้นบ้านของเรา แบบนั้นสมาชิกครอบครัวฉันกับเหล่าผู้นำก็จะถูกจับกุม ดังนั้นฉันจะบอกพวกมันไม่ได้”  พอเขาเห็นว่าผมไม่ยอมพูดอะไร เขาก็คลั่งขึ้นมาจริงๆ และคว้าหนังสือพระวจนะของพระเจ้ามาซัดใส่หน้าผมอย่างแรงโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ทำเอาใบหน้าผมเจ็บปวดมากจริงๆ และจากนั้น เขาก็เตะผมอย่างสารเลว  ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนหนึ่งก็ชกเข้าที่ยอดอกผมอย่างแรง  ต่อเมื่อพวกเขาเหนื่อยจนหายใจไม่ทันแล้วนั่นเอง พวกเขาจึงจะหยุดต่อย  พอเห็นว่าผมยังไม่ยอมพูด หนึ่งในนั้นก็พูดว่า “มันเป็นไอ้คลั่งศาสนาตัวจริง  จับมันขังคุกให้มันทรมานไปเลย!”  พอผมได้ยินว่าผมจะถูกขังคุก ผมรู้สึกหวาดกลัวพอดู  ผมได้ยินมาว่าในเรือนจำมีแต่เรื่องนักโทษทำร้ายนักโทษทั้งนั้นเลย  หากผมจะต้องถูกกักตัวไว้จริงๆ ผมจะต้องสู้ทนกับการทรมานประเภทไหนกัน?  พวกนั้นจะทำให้ผมพิกลพิการหรือไม่?  หากผมไม่สามารถรับมือได้จะเป็นอย่างไร?  ผมคิดเรื่องนี้อยู่นานมาก แต่ผมรู้ว่าอย่างน้อยที่สุด ไม่ว่าอย่างไร ผมก็ไม่อาจกลายเป็นยูดาสและทรยศพระเจ้าได้  ผมปฏิญาณต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า!  วุฒิภาวะของข้าพระองค์ยังน้อยเกินไปและไม่อาจยืนหยัดเข้มแข็งด้วยตัวเองได้ แต่ข้าพระองค์ก็พร้อมที่จะพึ่งพิงพระองค์  โปรดสถิตอยู่กับข้าพระองค์  และทรงมอบเจตจำนงให้ข้าพระองค์สู้ทนความทุกข์  ข้าพระองค์จะไม่มีวันเป็นยูดาส และข้าพระองค์จะไม่ทรยศพี่น้องชายหญิง!”  หลังจากอธิษฐาน ผมก็รู้สึกถึงสำนึกแห่งความเข้มแข็งและความมั่นใจ

ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนนายหนึ่งก็แสร้งพูดกับผมอย่างเป็นมิตรว่า “ดูเธอสิ ยังหนุ่มยังแน่น ร่างสูง และรูปหล่อ  ทำไมไม่หาแฟนดีๆ หรืองานการดีๆ?  จะมัวเสียเวลามาเชื่อในพระเจ้าทำไม?”  แล้วเขาก็หยิบจดหมายแสดงการกลับใจใหม่ออกมาให้ผมลงลายมือชื่อ  ผมอ่านดูแล้วก็ตระหนักว่า การลงชื่อจะหมายถึงการที่ผมทรยศพระเจ้า  ผมไม่อาจลงชื่อในจดหมายนั่นได้!  พอผมไม่ยอมลงชื่อ เจ้าหน้าที่คนนั้นก็ฟาดหนังสือพระวจนะของพระเจ้าที่เป็นปกแข็งเข้าเต็มขมับผม ทำเอาหูผมอื้ออีกครั้ง แล้วรอยบวมโนขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นบนหัวของผมทันที  หลังจากถูกฟาดแบบนั้น หัวของผมชาไปหมด และหน้าก็บวม และหลังจากถูกเตะอย่างแรง ขาของผมก็ปวดแสบปวดร้อนและบวม  ผมรู้สึกเหมือนเป็นอัมพาตไปทั้งตัว และร่างกายผมก็เจ็บปวดมากจนแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่  ผมคิดว่า “ถ้าฉันยังคงไม่ยอมเซ็นจดหมายกลับใจใหม่ พวกมันจะทุบตีฉันหนักขึ้นไหม?  พวกมันจะฆ่าฉันไหม?  แต่ฉันก็ไม่อาจลงชื่อได้  การลงลายมือชื่อก็คือการทรยศพระเจ้า”  อึดใจนั้นเอง ผมก็นึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่งของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ว่า “เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับความทุกข์ เจ้าต้องมีความสามารถที่จะวางความกังวลสนใจต่อเนื้อหนังไว้ก่อนและไม่ทำการร้องทุกข์คร่ำครวญต่อพระเจ้า  เมื่อพระเจ้าทรงซ่อนเร้นพระองค์เองจากเจ้า เจ้าต้องมีความสามารถที่จะมีความเชื่อที่จะติดตามพระองค์ ที่จะธำรงรักษาความรักก่อนหน้านี้ของเจ้าโดยไม่เปิดโอกาสให้มันกระท่อนกระแท่นหรือสูญสลาย  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด เจ้าต้องนบนอบการออกแบบของพระองค์และตระเตรียมที่จะสาปแช่งเนื้อหนังของเจ้าเองแทนที่จะทำการร้องทุกข์คร่ำครวญต่อพระองค์  เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับการทดสอบ เจ้าต้องทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย แม้ว่าเจ้าอาจร่ำไห้อย่างขมขื่นหรือรู้สึกอิดออดที่จะไปจากวัตถุอันเป็นที่รักบางอย่าง  สิ่งนี้เท่านั้นคือความรักและความเชื่อที่แท้จริง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง)  ผมเข้าใจว่าความยากลำบากและความทุกข์ลำเค็ญคือการทดสอบผม เพื่อดูว่าผมมีความเชื่อที่แท้จริงหรือไม่ และดูว่าผมสามารถตั้งมั่นในการเป็นพยานให้พระเจ้าได้หรือไม่  พระเจ้าตรัสไว้ว่า ความเชื่ออันถ่องแท้หมายถึงการนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระองค์ในทุกสภาพแวดล้อมและทำให้พระองค์พึงพอพระทัย ต่อให้นั่นหมายถึงการสู้ทนต่อการทรมานและความเจ็บปวด  ผมจำเป็นต้องวางใจในพระเจ้าโดยสมบูรณ์ และไม่สำคัญว่าผมต้องสู้ทนความทุกข์มากเพียงใด ผมก็ไม่อาจนบนอบต่อซาตานได้  ผมจำเป็นต้องพึ่งพิงพระเจ้าและเป็นพยาน  เมื่อเข้าใจเช่นนี้ ผมจึงอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ไม่ว่าพวกนั้นจะซ้อมข้าพระองค์อย่างไร ต่อให้พวกนั้นซ้อมข้าพระองค์ตาย ข้าพระองค์ก็จะไม่มีวันลงชื่อในจดหมายกลับใจ”  คืนนั้น พวกเจ้าหน้าที่ตำรวจส่งผมกับหวังเฉิงไปยังสถานกักกันที่พวกเราถูกแยกขัง

เจ้าหน้าที่เวรเอาตัวผมไปที่ห้องขัง  ข้างในมีคนสิบกว่าคนซึ่งล้วนมีสีหน้าแววตาดุดัน  ห้องขังดูน่ากลัวและชวนให้ขวัญผวาจนผมรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ  เจ้าหน้าที่คนนั้นพูดกับพวกนักโทษว่า “นี่คือผู้เชื่อในพระเจ้า  ‘ดูแล’ เขาให้ดีละ”  ทันทีที่เขาพูดจบ นักโทษสองคนก็เข้ามาทุบตีและเตะผม แล้วบอกให้ผมแก้ผ้า  พวกนั้นเอาสายยางมาฉีดน้ำเย็นใส่ตัวผมนานกว่าครึ่งชั่วโมง จนถึงจุดที่ผมตัวสั่นเทาด้วยความหนาว  พวกนั้นพร่ำถามว่าผมชื่ออะไร และผมประกาศข่าวประเสริฐให้ใคร  ผมเฝ้าอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ขอให้พระองค์ทรงคุ้มครองหัวใจผม  ผมไม่พูดอะไรสักคำเดียว  วันต่อมา พวกนั้นก็ซ้อมผมอีก  ผู้ต้องขังคนหนึ่งขยุ้มผมของผม แล้วฟาดศีรษะด้านหลังของผมเข้ากับกำแพงอย่างแรง จนผมหูอื้อและเลือดกำเดาไหล  ต่อมา พวกนั้นก็ “ขับเครื่องบิน” ผม ซึ่งหมายถึงการที่พวกนั้นให้ผมโน้มตัวลง แล้วนักโทษสองคนก็คว้าแขนผม แล้วเหวี่ยงตัวผมฟาดกับกำแพงอย่างแรง เป็นเหตุให้หัวของผมบวมโนขึ้นมา และทำให้ผมมึนงงจนสลบไป  ก่อนที่ผมจะฟื้นคืนสติขึ้นมาได้ พวกนั้นก็ “ปายโกว” ผม หมายถึงการที่พวกนั้นกดผมคว่ำลงกับพื้นโดยจับแขนผมไพล่ไปด้านหลัง ขณะที่คนหนึ่งซึ่งอยู่ตรงหน้าจับมือผมแล้วกระชากตัวผมไปข้างหน้า พร้อมกับที่อีกคนซึ่งนั่งอยู่บนหลังผม ก็ยึดแขนผมไว้แล้วไสตัวผมพรวดไปข้างหน้า  ผมรู้สึกเหมือนแขนของผมกำลังถูกกระชากออกจากเบ้า  ผมกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด  พวกนั้นทรมานผมอยู่นานสิบกว่านาทีก่อนจะหยุด และตอนที่พวกนั้นปล่อยผมในที่สุด แขนผมก็หมดความรู้สึก  ผมคิดว่า “แขนของฉันพิการแล้วหรือ?  ถ้าพิการจริง ฉันยังอายุน้อยอยู่ แล้วฉันจะอยู่รอดได้อย่างไรในอนาคต?  ฉันไม่รู้ว่าพวกมันจะทรมานฉันต่อไปอย่างไร?  พวกมันจะทุบตีฉันจนตายไหม?”  ยิ่งผมคิดถึงเรื่องนี้ ผมก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้น  แต่แล้วผมก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ว่า “เมื่อผู้คนพร้อมที่จะพลีอุทิศชีวิตของพวกเขา ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลายเป็นไม่สลักสำคัญ และไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะพวกเขาได้  สิ่งใดจะสามารถสำคัญกว่าชีวิตได้?  ด้วยเหตุนั้น ซาตานจึงกลายเป็นไม่สามารถทำสิ่งใดมากขึ้นอีกในผู้คน ไม่มีสิ่งใดที่มันสามารถทำกับมนุษย์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 36)  ผมได้ตระหนักว่าซาตานรู้ว่าผู้คนรักชีวิตและกลัวความตาย ดังนั้นมันจึงใช้ความอ่อนแอของพวกเรามาเล่นงานและบังคับให้พวกเราทรยศพระเจ้า  ผมจะหลงกลของซาตานและใช้ชีวิตอยู่ในความอัปยศเพื่อรักษาชีวิตของตัวเองไว้ไม่ได้  ผมนึกถึงธรรมิกชนของยุคสมัยทั้งหลายที่ผ่านมา ผู้ซึ่งทนทุกข์อย่างมากเพื่อประกาศข่าวประเสริฐ  บางคนถูกจับกุมและขังคุก และบางคนถึงกับสละชีวิตตัวเอง  นับเป็นเกียรติที่ผมสามารถได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าในยุคสุดท้าย ประกาศข่าวประเสริฐ และเป็นพยานยืนยันให้แก่การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า  ต่อให้คนพวกนี้ทรมานผมจนตาย ผมก็ถูกข่มเหงเพื่อความชอบธรรม  นี่เป็นสิ่งซึ่งมีสง่าราศรี และจะหมายถึงการที่ผมไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสูญเปล่า  พอตระหนักถึงเรื่องนี้ ผมก็พบความเข้มแข็งในหัวใจของผม  ไม่สำคัญว่าพวกนั้นจะข่มเหงผมอย่างไร ผมก็จะตั้งมั่นและไม่ยอมทรยศพระเจ้า

ต่อมา ตอนที่พวกตำรวจนำตัวผมไปสอบสวน พวกนั้นข่มขู่ผมว่า “แกยังมีโอกาสสารภาพนะ แกเป็นนักโทษทางการเมือง และถ้าแกไม่สารภาพ แกจะถูกตัดสินโทษ  คนที่แกจะเจอในคุกเป็นพวกสารเลว  แกจะต้องเสียใจ!  พูดยากนะว่าแกจะมีชีวิตรอดออกมาไหม”  ทันทีที่ได้ยินว่าผมจะถูกตัดสินโทษ และถูกกำหนดให้เป็นนักโทษทางการเมือง ผมก็ตระหนักว่านี่เป็นอาชญากรรมร้ายแรง  ผมจะต้องโทษกี่ปีเล่า?  ผมจะต้องใช้ทั้งวัยหนุ่มของผมในคุกหรือ?  ผมได้ยินจากนักโทษอื่นว่าหลายคนในเรือนจำถูกซ้อมจนตาย  ผมจึงยิ่งรู้สึกวิตกกังวลมากขึ้น  ผมไม่รู้ว่าพวกนักโทษจะใช้วิธีการอะไรทรมานผม หรือว่าผมจะรอดชีวิตหรือไม่  ยิ่งผมนึกถึงเรื่องนี้ ผมก็ยิ่งรู้สึกทุกข์ใจมากขึ้น  ผมไม่อยากถูกตัดสินโทษ และผมอยากออกจากสถานที่แห่งนั้นจะแย่อยู่แล้ว  ผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “ข้าแต่พระเจ้า!  ตอนนี้ข้าพระองค์อ่อนแอมาก และข้าพระองค์ไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ แต่ข้าพระองค์รู้ว่าสภาพแวดล้อมนี้มาสู่ข้าพระองค์โดยได้รับการอนุญาตจากพระองค์  โปรดทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำให้ข้าพระองค์ตั้งมั่นได้ด้วยเถิด”  หลังจากอธิษฐาน ผมก็นึกได้ถึงพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ว่า “บางทีพวกเจ้าทุกคนอาจจำคำพูดเหล่านี้ได้ ความว่า ‘เพราะว่าความยากลำบากชั่วคราวและเล็กน้อยของเรา จะทำให้เรามีสง่าราศรีนิรันดร์มากมายอย่างไม่มีที่เปรียบ’  พวกเจ้าทุกคนเคยได้ฟังคำพูดเหล่านี้มาก่อน แต่ไม่มีใครในหมู่พวกเจ้าที่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำพูดเหล่านี้เลย  วันนี้พวกเจ้าตระหนักรู้อย่างลุ่มลึกถึงนัยสำคัญที่แท้จริงของคำพูดเหล่านี้แล้ว  คำพูดเหล่านี้จะได้รับการทำให้ลุล่วงโดยพระเจ้าในระหว่างยุคสุดท้าย และจะได้รับการทำให้ลุล่วงในบรรดาผู้ที่ถูกพญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงอย่างทารุณโหดร้ายในแผ่นดินที่มันนอนขดกายอยู่  พญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงพระเจ้าและเป็นศัตรูของพระเจ้า และฉะนั้น ในแผ่นดินนี้ เหล่าผู้เชื่อในพระเจ้าจึงตกอยู่ภายใต้การเหยียดหยามและกดขี่ และผลที่ได้ก็คือคำพูดเหล่านี้ได้รับการทำให้ลุล่วงในตัวพวกเจ้า ในคนกลุ่มนี้นี่เอง เนื่องจากพระราชกิจเริ่มเปิดตัวในแผ่นดินที่ต่อต้านพระเจ้า พระราชกิจทั้งปวงของพระเจ้าจึงเผชิญอุปสรรคมหาศาล และการทำให้พระวจนะมากมายของพระองค์สำเร็จลุล่วงย่อมใช้เวลา  ด้วยเหตุนั้น เป็นเพราะพระวจนะของพระเจ้า ผู้คนจึงได้รับการถลุง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความทุกข์  พระเจ้าทรงมีความลำบากยากเย็นมหาศาลในการดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในแผ่นดินแห่งพญานาคใหญ่สีแดง—แต่พระเจ้าก็ทรงปฏิบัติพระราชกิจช่วงระยะหนึ่งของพระองค์ผ่านทางความลำบากยากเย็นนี้ อันเป็นการสำแดงพระปัญญาของพระองค์และกิจการอันน่าอัศจรรย์ของพระองค์ และทรงใช้โอกาสนี้ทำให้ผู้คนกลุ่มนี้ครบบริบูรณ์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าเรียบง่ายดังที่มนุษย์จินตนาการหรือไม่?)  หลังจากใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ผมเข้าใจว่า การข่มเหงและความทุกข์ลำบากของผมในวันนี้เป็นบางสิ่งที่ผมถูกกำหนดให้ต้องทนทุกข์อยู่แล้ว  นี่เป็นการข่มเหงเพื่อเห็นแก่ประโยชน์แห่งความชอบธรรมและการทนทุกข์เคียงข้างพระคริสต์  นี่เป็นสิ่งที่มีความหมาย  การถูกจับกุมและถูกข่มเหงแบบนี้เปิดโอกาสให้ผมได้เห็นชัดเจนถึงแก่นแท้ที่ชั่วของพญานาคใหญ่สีแดง  พญานาคใหญ่สีแดงเป็นศัตรูของพระเจ้าและเป็นมารที่ต้านทานพระองค์  สถานการณ์นี้ยังได้แสดงให้ผมเห็นว่า พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงพระราชกิจและช่วยผู้คนให้รอดในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดงอย่างไร  นี่เป็นพระราชกิจที่ลำบากยากเย็นมากจริงๆ  พอคิดเช่นนี้ ผมก็รู้สึกว่ามีแรงบันดาลใจมาก  รู้สึกเหมือนผมจะทำให้พระเจ้าทรงผิดหวังไม่ได้  ต่อให้พวกเขาซ้อมผมจนตาย ผมก็พร้อมที่จะตั้งมั่นและทำให้พระเจ้าพอพระทัย

สิบสี่วันให้หลัง พวกตำรวจคุมตัวผมกับพี่น้องชายหญิงอีกสองสามคนเข้าไปในรถตำรวจคันหนึ่ง พูดว่าผลการตัดสินโทษให้พวกเราเข้ารับการศึกษาใหม่ผ่านการใช้แรงงานได้ออกมาแล้ว และพวกเขากำลังพาเราไปที่ศูนย์ใช้แรงงาน  ระหว่างทางผมคิดว่า “ฉันไม่รู้ว่าฉันจะอยู่ในศูนย์ใช้แรงงานกี่ปี  ฉันหวังว่ามันจะไม่นานเกินไป ฉันจะได้ออกมาร่วมชุมนุมกับพี่น้องชายหญิงโดยเร็ว และทำหน้าที่ของตัวเองให้ลุล่วงต่อไป  ในอดีตนั้น ฉันเหลาะแหละเกินไป และไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองอย่างถูกต้องเหมาะสม  พอฉันออกไป ฉันสัญญาที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ดี”  พอพวกเราไปถึงสำนักงานความปลอดภัยสาธารณะเทศบาล พวกตำรวจก็เข้าไปเอาคำตัดสินโทษให้รับการศึกษาใหม่ผ่านการใช้แรงงานออกมาอ่านให้พวกเราฟังในรถ  พี่น้องชายหญิงหลายคนถูกตัดสินให้รับโทษหนึ่งปีหรือหนึ่งปีครึ่ง แต่โทษของผมคือสามปี  พอได้ยินแบบนี้ ผมรู้สึกเหมือนเป็นอัมพาต  ผมคิดว่า “สามปีหรือ?  ทำไมโทษของฉันถึงยาวนานกว่าของคนอื่น?  ฉันจะอยู่รอดไปนานขนาดนั้นได้อย่างไร?”  ผมทรมานใจเกินคำบรรยายและยอมรับไม่ได้  ผมมีแต่ความท้อแท้สิ้นหวัง  แต่แล้ว ผมก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ว่า “ขณะก้าวผ่านบททดสอบ เป็นปกติที่ผู้คนย่อมอ่อนแอ หรือมีความเป็นลบภายในตัวพวกเขา หรือไม่ชัดเจนในเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือเส้นทางของพวกเขาสำหรับการฝึกฝนปฏิบัติ  แต่ไม่ว่าในกรณีใด เจ้าต้องมีความเชื่อในพระราชกิจของพระเจ้า… พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการทำให้มีความเพียบพร้อมกับผู้คน และพวกเขาไม่สามารถมองเห็นมันได้ ไม่สามารถรู้สึกถึงมันได้ ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเช่นนี้ เจ้าพึงต้องมีความเชื่อ  ผู้คนพึงต้องมีความเชื่อเมื่อบางสิ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และเจ้าพึงต้องมีความเชื่อเมื่อเจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเองได้  เมื่อเจ้าไม่มีความกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า สิ่งที่เจ้าพึงต้องทำคือการมีความเชื่อและจุดยืนที่หนักแน่น และยืนหยัดเข้มแข็งในคำพยานของเจ้า  เมื่อโยบได้มาถึงจุดนี้ พระเจ้าได้ทรงปรากฏต่อเขาและตรัสกับเขา  นั่นคือเฉพาะจากภายในความเชื่อของเจ้าเท่านั้นนั่นเองที่เจ้าจะมีความสามารถมองเห็นพระเจ้าได้ และเมื่อเจ้ามีความเชื่อ พระเจ้าก็จะทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม  หากปราศจากความเชื่อ พระองค์จะไม่สามารถทำการนี้ได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง)  หลังจากผมใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ผมก็เข้าใจว่า ไม่ว่าผมจะเผชิญรูปการณ์แวดล้อมอันทุกข์ระทมประเภทไหน หรือรูปการณ์เหล่านั้นจะน่าชิงชังเพียงใด ผมอาจยืนหยัดได้หากผมมีความเชื่อในพระเจ้าเท่านั้น  แต่ผมขาดความเชื่อในพระเจ้า  ทันทีที่ผมได้ยินว่าผมจะถูกส่งไปรับการศึกษาใหม่ผ่านการใช้แรงงานนานสามปี ผมก็ไม่อาจยอมรับได้ ดังนั้นผมจึงพยายามใช้เหตุผลกับพระเจ้า และร้องทุกข์กับพระองค์  ผมปรารถนาให้คำตัดสินโทษเบาลง ให้ผมทุกข์ทนน้อยลง  ในอดีต ผมได้สาบานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าว่าผมจะติดตามพระองค์โดยไม่สำคัญว่าจะเจอความลำบากยากเย็นเพียงใด แต่ตอนนี้ เมื่อได้เผชิญกับสภาพแวดล้อมนี้ที่ไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติอันหลงผิดของผม ผมก็กลายเป็นคิดลบและพร่ำบ่นร้องทุกข์  ผมช่างเป็นกบฏนัก  ผมไม่อาจเป็นอย่างนี้ได้อีกต่อไปแล้ว  ผมต้องพึ่งพาพระเจ้าเพื่อรับประสบการณ์กับสภาพแวดล้อมถัดไป

ที่ศูนย์ใช้แรงงาน ผมกินไม่อิ่มเลยสักวัน และทำงานมากเกินไปตอนที่ท้องกำลังว่าง  บางครั้งผมถึงกับต้องทำงานจนถึงตีสองตีสาม และถ้าระหว่างทำงานผมพูดอะไรผิดไป หรือทำอะไรผิดพลาด พวกนั้นก็จะทุบตีผม  ทุกครั้งที่ผมกลับจากทำงาน ผมถูกทรมานและขังในห้องน้ำเป็นชั่วโมง  มันเป็นแบบนี้ตลอดทั้งปี  ห้องน้ำอับชื้นมาก และพอเวลาผ่านไป หลายคนก็ล้มป่วย  บางคนเป็นหิด บางคนเป็นโรคไขข้ออักเสบ ส่วนผมมีผื่นคันทั่วตัว  ทุกคืนผมคันมากจนนอนไม่หลับ และผมเกาตัวเองมากจนเริ่มเลือดไหล ทำให้ส่วนที่เพิ่งตกสะเก็ดเปิดออก และผิวหนังบางส่วนของผมก็หลุดออกมา  ผมบอกหัวหน้าผู้คุมว่าผมต้องการหมอ แต่เขาพูดหน้าตาเฉยว่า “ก็แค่ผื่นคัน แกไม่เป็นไรหรอก ไม่ส่งผลต่อการทำงานหรอกน่า”  ถึงจุดนี้ ผมรู้สึกทุกข์ระทมอย่างมากมายเหลือเกิน  ผมคิดว่า “ฉันมีภาวะนี้ตอนอายุน้อยแค่นี้  ถ้ามันไม่หายฉันจะทำอย่างไร?  ฉันทำงานมากเกินไปทุกวัน และฉันต้องสู้ทนกับการทุบตีและการถูกพวกนักโทษทำให้ขายหน้า  เมื่อไรความเจ็บปวดนี้จะจบลงเสียที?”  การจมอยู่กับความคิดอย่างนี้มีแต่จะทำให้ผมยิ่งทุกข์ใจ  ผมรู้สึกเสียใจมากเป็นพิเศษเมื่อผมเห็นพี่น้องชายคนอื่นถูกขังด้วยกัน และสามารถสามัคคีธรรมและเกื้อหนุนกันและกันได้ ในขณะที่ผมอยู่ตัวคนเดียวกับพวกผู้ไม่เชื่อ และรอบตัวก็ไม่มีใครที่ผมสามารถคุยด้วยได้เลย  บ่อยครั้ง ตอนกลางคืน ผมจะนอนขดตัวบนเตียงและหลั่งน้ำตาเงียบๆ  ผมอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รู้สึกอ่อนแอมาก โปรดทรงให้ความรู้แจ้งเพื่อให้ข้าพระองค์สามารถเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ได้ด้วยเถิด”

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนที่พวกเราก็ออกไปฝึกกายบริหาร พี่น้องชายคนหนึ่งจากอีกทีมก็แอบส่งห่อเล็กๆ ให้ผม  ผมรับมันมาเปิดดูที่ห้องเครื่อง และข้างในมีจดหมายสั้นๆ ซึ่งมีพระวจนะของพระเจ้าถูกคัดลอกมาลงไว้  ผมไม่คาดคิดว่าจะเห็นพระวจนะของพระเจ้าในคุก ผมจึงตื้นตันใจและเกิดแรงบันดาลใจเป็นอย่างมาก  พระวจนะบทตอนนั้นมีข้อความดังนี้ “มนุษย์จะได้รับการดำเนินการให้ครบบริบูรณ์อย่างเต็มที่ในยุคแห่งราชอาณาจักร  หลังจากพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย มนุษย์จะอยู่ภายใต้การถลุงและความทุกข์ลำบาก  บรรดาผู้ที่สามารถเอาชนะและยืนหยัดเป็นคำพยานในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ลำบากนี้คือผู้ที่ในท้ายที่สุดแล้วจะได้รับการทำให้ครบถ้วนบริบูรณ์ พวกเขาคือผู้ชนะ  ในช่วงระหว่างความทุกข์ลำบากนี้ มนุษย์พึงต้องยอมรับกระบวนการถลุงนี้ และกระบวนการถลุงนี้คือเหตุการณ์สุดท้ายแห่งพระราชกิจของพระเจ้า  เหตุการณ์นี้คือครั้งสุดท้ายที่มนุษย์จะได้รับการถลุงก่อนการสรุปปิดตัวของพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการทั้งหมดของพระเจ้า และบรรดาผู้คนทั้งหมดที่ติดตามพระเจ้าต้องยอมรับการทดสอบครั้งสุดท้ายนี้ และพวกเขาต้องยอมรับกระบวนการถลุงครั้งสุดท้ายนี้  พวกที่ถูกความทุกข์ลำบากรุมล้อมย่อมปราศจากพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์และการทรงนำของพระเจ้า แต่ในท้ายที่สุดแล้ว บรรดาผู้ที่ได้รับการพิชิตอย่างแท้จริงแล้วและบรรดาผู้ที่แสวงหาพระเจ้าอย่างแท้จริงจะตั้งมั่น พวกเขาคือผู้ที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์และผู้ที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริง  ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใดก็ตาม ผู้ที่มีชัยเหล่านี้จะไม่สูญสิ้นนิมิต และจะนำความจริงไปปฏิบัติโดยไม่ล้มเหลวในคำพยานของพวกเขา  พวกเขาคือผู้ที่จะอุบัติขึ้นจากความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่ในที่สุด(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและการปฏิบัติของมนุษย์)  การอ่านพระวจนะของพระเจ้าทำให้ผมรู้สึกได้รับการดลใจ  ผมเห็นว่าท่ามกลางความทุกข์ยาก ผมจำเป็นต้องมีความเชื่อในพระเจ้าและพึ่งพาพระเจ้าเพื่อที่จะตั้งมั่นในคำพยานที่ผมมีให้พระองค์  ผมอยู่ในทีมตัวคนเดียว รอบๆ ตัวไม่มีพี่น้องชายเลย อีกทั้งมีการดิ้นรนต่อสู้และความยากลำบากมากมาย  นี่เป็นการทดสอบสำหรับผม  สถานการณ์นี้เปิดโอกาสให้ผมเห็นข้อบกพร่องและวุฒิภาวะที่แท้จริงของตัวเอง  และยังเปิดโอกาสให้ผมเป็นตัวของตัวเอง ได้รับประสบการณ์กับสภาพแวดล้อมนี้ด้วยการพึ่งพาพระเจ้า และเอาชนะความยากลำบากและความเจ็บปวด  ในยามที่ผมอ่อนแอ พี่น้องชายของผมก็ช่วยเหลือผม ส่งพระวจนะของพระเจ้าให้ผม ซึ่งทำให้ผมเกิดแรงบันดาลใจจริงๆ  ผมรู้ว่านี่คือความรักของพระเจ้า และรู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างผมเสมอ คอยเฝ้าดูแลและคุ้มครองผม  พอคิดแบบนี้ ผมก็พบความเข้มแข็งที่จะไปต่อ และผมก็มีความมั่นใจที่จะสู้ทนกับสภาพแวดล้อมนี้

ใน ค.ศ. 2006 ผมเป็นโรคน้ำกัดเท้ารุนแรง  นิ้วเท้าของผมปวดแสบปวดร้อนมากจนเดินไม่ไหว  พวกตำรวจไม่ยอมให้ผมได้รับการรักษาทางแพทย์ และให้ครีมมาทาเท่านั้น แต่นั่นไม่เพียงไม่ได้รักษาเยียวยาเท้าผม ตามที่เป็นจริงก็คือ มันกลับทำให้เท้าผมยิ่งแย่ลงอีก  นี่ทำให้ผมเศร้าใจอย่างมาก และผมรู้สึกเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้ช่างน่าทุกข์ระทมและมืดมนเกินทน  ไม่มีใครควรต้องสู้ทนกับสิ่งนี้  แต่แล้วผมก็นึกถึงบทสวดสรรเสริญแห่งพระวจนะของพระเจ้าที่มีชื่อว่า “บทเพลงแห่งผู้ชนะ” ความว่า “พวกเจ้าเคยยอมรับพรทั้งหลายที่พวกเจ้าได้รับหรือไม่?  พวกเจ้าเคยแสวงหาสัญญาทั้งหลายที่ทำไว้ให้แก่พวกเจ้าหรือไม่?  ภายใต้การนำแห่งความสว่างของเรา พวกเจ้าจะฝ่าพ้นอำนาจกดขี่แห่งกำลังบังคับของความมืดอย่างแน่นอน  พวกเจ้าจะไม่สูญเสียการชี้นำแห่งความสว่างของเราท่ามกลางความมืดอย่างแน่นอน  พวกเจ้าจะเป็นนายแห่งสิ่งสร้างทั้งปวงอย่างแน่นอน  พวกเจ้าจะเป็นผู้ชนะต่อหน้าซาตานอย่างแน่นอน  เมื่ออาณาจักรของพญานาคใหญ่สีแดงล่มสลาย แน่นอนว่าพวกเจ้าจะลุกยืนท่ามกลางฝูงชนนับไม่ถ้วนในฐานะบทพิสูจน์แห่งชัยชนะของเรา  พวกเจ้าจะตั้งมั่นและไม่หวั่นไหวอย่างแน่นอนในแผ่นดินแห่งซีนิม  พวกเจ้าจะสืบทอดพรของเราโดยผ่านทางความทุกข์ที่พวกเจ้าทนฝ่า และจะฉายสง่าราศีของเราไปทั่วทั้งจักรวาลอย่างแน่นอน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 19)  หลังจากที่ผมใคร่ครวญบทเพลงสรรเสริญนี้จากพระวจนะของพระเจ้า ผมก็เข้าใจเจตนารมย์อันดีของพระเจ้า  พระเจตนารมย์ของพระองค์คือการทำให้ผู้คนกลุ่มหนึ่งเพียบพร้อมจนกลายเป็นเหล่าผู้ชนะในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดง ผู้ซึ่งสามารถหนีจากการครอบงำมืดของซาตานและได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้า และผู้ที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าและได้รับสัญญาจากพระเจ้า  พอผมคิดเรื่องนี้อย่างรอบคอบ ผมก็ตระหนักว่า ถ้าผมไม่ได้รับประสบการณ์กับการทรมานอันโหดร้ายของพรรคคอมมิวนิสต์ และการปฏิบัติต่อผมอย่างผิดมนุษย์ที่ศูนย์ใช้แรงงาน ผมก็คงไม่สามารถเห็นอย่างชัดเจนถึงแก่นแท้ที่ชั่วของพรรคคอมมิวนิสต์ในเรื่องความเกลียดชังพระเจ้าและความเป็นอริต่อพระเจ้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการปฏิเสธมันจากก้นบึ้งของหัวใจผม  หากไม่มีความทรมานของสภาพแวดล้อมอันทุกข์ระทมนี้และการถูกข้อเท็จจริงเปิดโปง ผมก็คงจะไม่ได้ตระหนักว่าผมยังคงสร้างข้อเรียกร้องจากพระเจ้าอยู่ หรือในยามที่กิจการของพระเจ้าไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติอันหลงผิดของผม ผมก็ยังสามารถพร่ำบ่นร้องทุกข์และใช้เหตุผลกับพระเจ้าอยู่ หรือได้ตระหนักว่าวุฒิภาวะของผมด้อยนักและตัวผมก็มีความเชื่อในพระเจ้าน้อยมาก  ผมไม่ได้รับความรู้ทั้งหมดนี้และได้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมอันทุกข์ระทมนี้หรอกหรือ?  นี่คือพระคุณที่พระเจ้าทรงมีให้ผม!  การคิดถึงความรักและความรอดที่พระเจ้าทรงมีให้ผมนั้นให้ความมั่นใจแก่ผม  ผมยังนึกถึงการที่โยบสูญเสียลูกๆ มีแผลเปื่อยลามทั่วตัว และสู้ทนความทุกข์ทางเนื้อหนังมากมาย แต่ก็ยังนมัสการพระเจ้าโดยไม่พร่ำบ่นร้องทุกข์  เมื่อเทียบกับโยบแล้ว ความเจ็บปวดเล็กน้อยและความทุกข์นิดหน่อยที่ผมสู้ทนมานั้นช่างไม่มีค่าควรแก่การพูดถึงเลย  ผมควรเชื่อฟังและพึ่งพาพระเจ้าเพื่อที่จะตั้งมั่นในคำพยานที่ผมมีให้พระองค์  พอผมคิดเรื่องนี้ ผมก็อธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ไม่ว่าสถานที่นี้เลวร้ายแค่ไหน หรือร่างกายของข้าพระองค์ทุกข์ทนเพียงใด ข้าพระองค์ก็เต็มใจที่จะนบนอบ  ข้าพระองค์ไม่อยากคิดลบอีกต่อไป ข้าพระองค์จำเป็นต้องเติบโต เพื่อที่พระองค์จะไม่ทรงเป็นกังวลเกี่ยวกับข้าพระองค์”

ในวันต่อๆ มา สิ่งหนึ่งที่ผมขาดไม่ได้คือการอธิษฐาน  เมื่อไรก็ตามที่ผมเหนื่อยจากการทำงาน หรือความเจ็บปวดได้กลายเป็นเกินจะทนและผมรู้สึกคิดลบและอ่อนแอ ผมจะรีบอธิษฐานต่อพระเจ้า  ผมค่อยๆ เข้มแข็งขึ้น รู้สึกคิดลบและอ่อนแอด้วยความถี่ที่น้อยลง และสามารถเผชิญสภาพแวดล้อมนี้ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้ผมได้อย่างถูกต้องเหมาะสม  ขอบคุณพระเจ้า!  ตลอดสามปีนั้น ด้วยการอธิษฐานต่อพระเจ้า พึ่งพาพระเจ้า และพึ่งพาการนำจากพระวจนะของพระเจ้า ผมจึงสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาอันลำบากยากเย็นนั้นมาได้

หลังจากที่ได้รับประสบการณ์ทั้งหมดนี้ ผมเห็นอย่างชัดเจนว่าพญานาคใหญ่สีแดงคือซาตาน มารที่เกลียดชังพระเจ้า ทำร้ายและทำให้ผู้คนเสื่อมทราม  มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงเป็นความรัก และพระองค์เท่านั้นที่ทรงสามารถช่วยผู้คนให้รอดได้  ตอนที่ผมกำลังถูกทรมาน พระวจนะของพระเจ้าคอยนำผม ให้ความมั่นใจและความเข้มแข็งแก่ผม และทำให้ผมสามารถเอาชนะความโหดร้ายของมารได้  สภาพแวดล้อมอันทุกข์ระทมนี่เองที่ทำให้ตัวผมซึ่งอายุเยาว์ รู้เท่าไม่ถึงการณ์และอ่อนไหวกลับกลายเป็นเข้มแข็ง เป็นผู้ใหญ่ และมั่นคง และผมก็ได้เรียนรู้ที่จะพึ่งพาพระเจ้า และเชื่อถือพระองค์ในยามที่ผมอยู่ในความเดือดร้อน  สภาพแวดล้อมนี้ยังเปิดโอกาสให้ผมได้เห็นมหิทธานุภาพและอธิปไตยของพระเจ้า และเห็นว่าพระเจ้าทรงอยู่ตรงนั้นเพื่อผมเสมอ ทรงอยู่เคียงข้างผมเพื่อคอยทรงดูแลและคุ้มครองผม และพร้อมจะจัดหาและช่วยเหลือผมทุกเมื่อ  ไม่ว่าการข่มเหงและความทุกข์ลำบากที่ผมอาจจะเผชิญในภายภาคหน้าจะใหญ่หลวงเพียงใด ผมก็ตั้งใจแน่วแน่ที่จะติดตามพระเจ้า!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

เมื่อฉันอายุสิบแปดปี

โดย Yilian, ประเทศจีน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “บางทีพวกเจ้าทุกคนอาจจำคำพูดเหล่านี้ได้ ความว่า...

เมื่อฉันอายุ 20 ปี

โดย หลิวเสี่ยว, ประเทศจีน ตอนอายุยี่สิบ ฉันถูกตำรวจจับกุมและทรมาน เพราะเชื่อในพระเจ้า ฉันไม่มีวันลืมประสบการณ์อันเจ็บปวดนั้น...

ติดต่อเราผ่าน Messenger