เมื่อโรคตาเล่นงานอย่างกระทันหัน

วันที่ 07 เดือน 10 ปี 2024

ในปี 2002 ฉันยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้า ไม่นาน ฉันก็เริ่มเผยแผ่ข่าวประเสริฐและให้น้ำแก่ผู้มาใหม่ ด้วยความเชื่อในพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยมและทำหน้าที่อย่างเสมอต้นเสมอปลายวันแล้ววันเล่า ไม่ว่าฝนจะตกหรือแดดจะออก ลมแรงหรือหิมะตก ก็ไม่มีอะไรมาขัดขวางการทำหน้าที่ของฉันได้  ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่งขณะกำลังเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐไม่เพียงปฏิเสธฉันเท่านั้น แต่ยังชี้หน้าด่าและขู่ฉันว่าจะโทรเรียกตำรวจอีกด้วย ฉันรู้สึกอับอายอย่างมากและเป็นลบในขณะนั้น แต่แล้ว ฉันก็คิดกับตัวเองว่า “หากฉันสามารถอดทนต่อการเยาะเย้ยและดูถูกในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้ พระเจ้าจะทรงอวยพรฉันอย่างแน่นอน” ด้วยความคิดนี้ ฉันจึงรู้สึกดีขึ้นและทำหน้าที่ต่อไปได้ หลายปีผ่านไป ในช่วงเวลาที่ฉันทำหน้าที่นี้ ถึงแม้เนื้อหนังของฉันจะทนทุกข์และความภูมิใจในตัวเองจะถูกทำร้าย แต่ฉันก็ยังได้ชื่นชมยินดีกับพระพรและพระคุณมากมายจากพระเจ้า ตลอดหลายปีที่เชื่อในพระเจ้า ครอบครัวของฉันประสบกับความสงบสุขและรอดพ้นจากภัยพิบัติหรือความยากลำบากต่างๆ มาได้ ฉันคิดกับตัวเองว่า “ความเชื่อในพระเจ้าของฉันนั้นจริงใจอย่างแน่นอน” ในตอนที่ฉันกำลังรู้สึกมีความสุขอยู่นั่นเอง ก็มีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น

ตอนนั้นเป็นเดือนมิถุนายน ปี 2008 จู่ๆ ดวงตาของฉันก็เริ่มพร่ามัวเหมือนกับมีอะไรมาบังอยู่ ฉันคิดว่า ฉันคงจะแค่เคืองตา ก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก และยังคงทำหน้าที่ต่อไปตามปกติ ฉันเชื่อว่าเพราะฉันเชื่อในพระเจ้า พระเจ้าจะทรงคุ้มครองฉัน และต่อให้ฉันป่วย ฉันก็ไม่ควรหยุดทำหน้าที่ของตัวเอง บางทีดวงตาของฉันอาจจะดีขึ้นเองก็ได้ แต่จู่ๆ อาการของฉันก็แย่ลงแทนที่จะดีขึ้น การมองเห็นของฉันพร่ามัวขึ้นเรื่อยๆ และการมองไปไกลๆ ก็ทำให้ดวงตาโฟกัสไม่ได้ และทำให้ฉันเวียนหัว พอถึงจุดนี้ ฉันเริ่มรู้สึกกลัว ถ้าฉันไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที แล้วพลาดเวลาที่ดีที่สุดในการรักษาไปจนตาบอดขึ้นมาล่ะ ฉันจะเป็นยังไง ฉันรีบรุดไปตรวจที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ หมอบอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แค่ฉีดยาสักสองสามวันก็จะหาย ฟังอย่างนี้แล้วฉันก็รู้สึกโล่งใจ แต่หลังจากฉีดยามาได้สองสามวันแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น ฉันเริ่มกลับมากังวลอีกว่า ถ้าฉันตาบอดขึ้นมาจะเป็นยังไง? แต่ฉันก็คิดอีกว่า “ตลอดหลายปีที่ผ่านมาที่ฉันเชื่อในพระเจ้า ฉันได้เผยแผ่ข่าวประเสริฐและให้น้ำแก่ผู้มาใหม่ พระเจ้าจะทรงคุ้มครองฉันอย่างแน่นอน เมื่อคำนึงถึงว่าฉันได้ละทิ้งสิ่งทั้งหลาย และสละตนแล้ว ฉันจะไม่ตาบอดหรอก ฉันไม่ควรทำให้ตัวเองกลัว อีกอย่าง ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูงทุกวันนี้ โรคตาของฉันจะสามารถรักษาให้หายขาดได้อย่างแน่นอน”

ต่อมาสามีพาฉันไปโรงพยาบาลในเมืองเพื่อพบจักษุแพทย์และทำซีทีสแกนตา หมอวินิจฉัยว่าฉันเป็นโรคจอประสาทตาบวม ในตอนแรก การบำบัดด้วยของเหลวไปไม่กี่วันก็เห็นผลดีขึ้นมาบ้าง แต่ก็ดีขึ้นได้ไม่เท่าไร พอได้รับการบำบัดด้วยของเหลวมากขึ้น อาการของฉันกลับแย่ลงแทน และเนื่องจากหมอสั่งยาที่เป็นฮอร์โมน ทั้งตัวฉันจึงเริ่มบวมขึ้น การมองเห็นของฉันแย่ลง และสายตาของฉันก็พร่ามัวจนจำแนกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ฉันไปโรงพยาบาลในเมืองห้าครั้ง และทุกครั้งอาการของดวงตาฉันก็แย่ลง หมอรู้สึกจนปัญญา และพูดกับฉันอย่างจริงจังมากว่า “โรคตาของคุณรักษายาก อาจเกิดขึ้นได้อีกปีละหลายครั้ง และการกำเริบบ่อยๆ อาจทำให้ตาบอดทั้งสองข้างได้ อีกอย่าง คุณอาจจะผมร่วงหมดหัว และมีอาการหูหนวก นอกจากนี้การใช้ยาพวกฮอร์โมนในระยะยาวอาจทำให้กระดูกของคุณเปราะบางลงได้ ถ้าคุณล้ม คุณอาจกระดูกหักไปทั้งตัว” คำพูดของหมอฟาดใส่ฉันราวกับฟ้าผ่าไม่ให้ตั้งตัว ฉันรู้สึกอ่อนแอไปหมด และแทบไม่เชื่อเลยว่าสิ่งที่หมอพูดจะเป็นเรื่องจริง ฉันถามหมออีกที และก็เป็นแบบนั้นจริงๆ วินาทีนั้น ทั้งตัวฉันเริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ มันจบแล้ว! โรคของฉันรักษาไม่หาย! พอกลับถึงบ้าน ฉันรู้สึกหดหู่และร้อนใจ ฉันเริ่มคิดว่าพระเจ้าไม่ได้กำลังคุ้มครองฉันอยู่ และฉันก็ไม่อยากอธิษฐานถึงพระเจ้า ดวงตาของฉันพร่ามัวเรื่อยมาทำให้ยากที่จะเห็นชัดเจน ครั้งหนึ่ง มีลูกพี่ลูกน้องมาเยี่ยมฉัน ถ้าเธอไม่พูด ฉันคงไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร ฉันเห็นเป็นเพียงเงามืดๆ อยู่ตรงหน้า ฉันคิดกับตัวเองว่า “ฉันยังสาวอยู่มาก ถ้าฉันตาบอดไปจริงๆ ฉันจะไม่กลายเป็นคนไร้ประโยชน์หรอกหรือ? จากนี้ไปฉันจะใช้ชีวิตยังไง?” ฉันค่อยๆ กลายเป็นคนเก็บตัว ขังตัวเองอยู่แต่ในบ้านและหลีกเลี่ยงผู้คน ฉันร้องไห้อยู่บ่อยๆ และแต่ละวันก็รู้สึกยาวนานเหมือนชั่วนิรันดร์ สามีของฉันที่ยุ่งอยู่กับงานทั้งในทุ่งนาและที่บ้านเริ่มแสดงอาการหมดความอดทน เขาพูดกับฉันอยู่หลายครั้งว่า “คุณไม่สามารถมองเห็นหรือทำงานอะไรได้ แล้วคุณจะมีประโยชน์อะไร? บางทีผมควรจะทิ้งคุณไป!” นี่ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกเป็นทุกข์ใจและขมขื่นมากขึ้นไปอีก ด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ทำไมข้าพระองค์ถึงได้ป่วยเป็นโรคนี้? ตอนนี้ข้าพระองค์ไม่สามารถมองเห็นได้ ข้าพระองค์จะเชื่อในพระองค์และทำหน้าที่ต่อไปได้ยังไง? ถ้าข้าพระองค์ตาบอดขึ้นมาจริงๆ ก็จะไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องทำงานอื่นๆ เลย ถ้าข้าพระองค์พึ่งพาสามีในทุกเรื่อง เขาก็จะเมินเฉยใส่อย่างแน่นอน ข้าพระองค์มีความภูมิใจในตนเองสูงอยู่เสมอและไม่เคยอยากให้คนอื่นมาดูถูก แล้วต่อจากนี้ไปข้าพระองค์จะใช้ชีวิตยังไง? ข้าแต่พระเจ้า ต่อให้แขนขาของข้าพระองค์ใช้งานไม่ได้ ก็ยังดีกว่าไม่สามารถมองเห็นได้! ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เจ็บปวดอย่างมาก ได้โปรดให้โรคนี้หายไปด้วยเถิด หากข้าพระองค์หายดี ข้าพระองค์จะทำหน้าที่อะไรก็ตามที่พระองค์ทรงขอ” ในที่สุด หลังจากที่อธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่สักพักแล้วยังไม่ดีขึ้น ฉันก็หมดความเชื่อและเลิกอธิษฐาน ฉันเชื่อว่าในเมื่อพระเจ้าทรงไม่คุ้มครองหรือช่วยฉันให้รอด และสามีก็ไม่ต้องการฉัน แล้วฉันจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร? ฉันเริ่มคิดถึงความตาย แต่แล้วฉันก็คิดว่า “ถ้าฉันตาย แล้วลูกชายตัวน้อยของฉันล่ะจะเป็นยังไง?” ต่อมา ฉันได้ยินเรื่องโรงพยาบาลอีกแห่งที่มีชื่อเสียงด้านการรักษาโรคตา ฉันกับสามีจึงรีบนั่งรถไปที่นั่น เราพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนานสิบกว่าวัน แต่สุดท้ายก็รักษาไม่ได้ หกเดือนผ่านไป และเราก็ใช้เงินเก็บไปจนหมดแล้ว อาการของดวงตาฉันไม่ดีขึ้น ในความเป็นจริงมันแย่ลงด้วย ฉันหมดสิ้นความหวังที่จะรักษาโรคตาให้หายขาด

ในตอนที่ฉันเจ็บปวดและสิ้นหวังอยู่นั่นเอง ฉันก็บังเอิญได้เจอพี่น้องหญิงคนหนึ่ง เธอเตือนฉัน โดยพููดว่า “คุณจะเอาแต่ใช้ชีวิตอยู่กับความเจ็บป่วยไม่ได้ คุณต้องแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า คิดทบทวนตัวเอง และเรียนรู้บทเรียนจากความเจ็บป่วยนี้” เธอทำให้ฉันตาสว่างด้วยประโยคนั้น และฉันก็คิดว่า “จริงสิ ตั้งแต่ฉันเริ่มป่วย ฉันก็ไม่ได้คิดทบทวนตัวเองเลย และไม่มีที่สำหรับพระเจ้าในใจฉัน ฉันมุ่งความสนใจไปที่การหาหมอเพียงอย่างเดียว  โดยคิดว่ามีเพียงหมอและเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูงเท่านั้นที่สามารถรักษาดวงตาของฉันได้ ฉันลืมพระเจ้าไปได้ยังไงกัน?” แต่ ฉันอยากอ่านพระวจนะของพระเจ้า แต่ไม่ว่าจะเพ่งมองมากแค่ไหน ฉันก็มองไม่เห็นพระวจนะ ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกวิตกกังวล ฉันต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าและขอให้พระองค์ทรงนำฉัน ต่อมา ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เมื่ออาการป่วยบังเกิดขึ้น นี่คือความรักของพระเจ้า และแน่นอนว่าย่อมมีน้ำพระทัยอันดีงามของพระองค์อยู่ภายใน  แม้ว่าร่างกายของเจ้าอาจก้าวผ่านความทุกข์บ้าง ก็จงอย่ารับแนวคิดทั้งหลายจากซาตานมาคิดคำนึง  จงสรรเสริญพระเจ้าในท่ามกลางโรคภัยไข้เจ็บและชื่นชมพระเจ้าในท่ามกลางการสรรเสริญของเจ้า  จงอย่าหมดใจเมื่อเผชิญหน้าโรคภัยไข้เจ็บ จงหมั่นแสวงหาครั้งแล้วครั้งเล่าและอย่ายอมแพ้ แล้วพระเจ้าย่อมจะประทานความกระจ่างและความรู้แจ้งแก่เจ้า  ความเชื่อของโยบเป็นเช่นไร?  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือแพทย์ผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งปวง!  การอาศัยอยู่ในอาการป่วยก็คือการเจ็บป่วย แต่การอาศัยอยู่ในวิญญาณคือการมีสุขภาพดี  ตราบเท่าที่เจ้ายังคงมีลมหายใจ พระเจ้าจะไม่ทรงปล่อยให้เจ้าตาย(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 6)  ใช่แล้ว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเป็นแพทย์ผู้ทรงฤทธานุภาพ ในช่วงเวลานี้ ฉันใช้ชีวิตอยู่ในความเจ็บป่วยและสูญเสียความเชื่อในพระเจ้า ฉันไม่ได้แสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าในความเจ็บป่วย ทั้งไม่ได้คิดทบทวนตัวเองและเรียนรู้บทเรียนจากความเจ็บป่วยเลย ฉันช่างมึนชาเสียจริง! ความเจ็บป่วยของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และฉันจะสูญเสียความเชื่อในพระองค์ไม่ได้ แม้ว่าฉันจะยังไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ฉันก็เต็มใจอธิษฐานถึงพระเจ้ามากขึ้น และขอให้พระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งแก่ฉันและนำฉันให้คิดทบทวนและรู้จักตนเองอย่างปรุโปร่ง ในช่วงเวลานี้ ฉันทำได้เพียงฟังการอ่านพระวจนะของพระเจ้าบางบทตอน บางครั้ง พอฉันได้ยินพระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวกับวิธีการอธิษฐานถึงพระองค์ในยามเจ็บป่วย ฉันก็ฝึกอธิษฐานตามเส้นทางการปฏิบัติในพระวจนะของพระเจ้า ฉันอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า คำอธิษฐานก่อนหน้านี้ของข้าพระองค์นั้นไร้เหตุผล ข้าพระองค์ถึงกับขอให้พระองค์ทรงปล่อยให้แขนขาของข้าพระองค์ใช้การไม่ได้แทนที่จะสูญเสียการมองเห็น ข้าพระองค์ยังขอให้พระองค์ทำให้การเจ็บป่วยนี้หายไปอีกด้วย และสัญญาว่าจะทำหน้าที่อะไรก็ได้ถ้าหายดี ข้าแต่พระเจ้า คำอธิษฐานก่อนหน้านี้ของข้าพระองค์ไม่สมเหตุสมผลอย่างแท้จริง!”

ต่อมาฉันได้ยินพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง “จงนึกถึงคำอธิษฐานทั้งหลายของพระเยซูเถิด  ในสวนเกทเสมนี พระองค์ได้อธิษฐานว่า ‘หากเป็นไปได้…’  นั่นคือ ‘หากสามารถทำได้’  คำตรัสนี้เป็นส่วนหนึ่งของการหารือ พระองค์มิได้ตรัสว่า ‘ข้าพระองค์เว้าวอนต่อพระองค์’  พระองค์อธิษฐานด้วยพระทัยที่นบนอบและในสภาวะที่นบนอบว่า ‘หากเป็นไปได้ ขอให้ถ้วยนี้พ้นไปจากข้าพระองค์ ถึงกระนั้นก็ขอให้เป็นไปตามความพึงปรารถนาของพระองค์ มิใช่ตามความอยากของข้าพระองค์’  พระองค์ยังคงอธิษฐานเช่นนี้ในครั้งที่สอง และในครั้งที่สามพระองค์ก็อธิษฐานว่า ‘ก็ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์’  เมื่อได้จับความเข้าใจความพึงปรารถนาของพระเจ้าพระบิดาแล้ว พระองค์ตรัสว่า ‘ก็ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์’  พระองค์มีความสามารถที่จะนบนอบอย่างครบบริบูรณ์โดยไม่มีตัวเลือกส่วนพระองค์ใดๆ เลย… อย่างไรก็ตาม ผู้คนเพียงแค่ไม่ได้อธิษฐานเช่นนั้น  ในคำอธิษฐานของพวกเขานั้น ผู้คนกล่าวเสมอว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงทำการนี้และการนั้น และข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงนำข้าพระองค์ในการนี้และการนั้น และข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงเตรียมปัจจัยแวดล้อมไว้ให้พร้อมสำหรับข้าพระองค์…’ บางทีพระเจ้าอาจจะไม่ทรงจัดเตรียมสภาพเงื่อนไขที่เหมาะสมให้แก่เจ้า  บางทีพระเจ้าอาจจะทรงทำให้เจ้าประสบความทุกข์ยากเพื่อสอนบทเรียนให้แก่เจ้า  หากเจ้าได้แต่อธิษฐานดังนี้—‘พระเจ้า ขอพระองค์ทรงจัดเตรียมให้ข้าพระองค์และประทานความเข้มแข็งแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด’—นี่ย่อมไร้เหตุผลอย่างยิ่ง!  เมื่อเจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้า เจ้าต้องมีเหตุผล และเจ้าควรอธิษฐานถึงพระองค์ด้วยหัวใจแห่งการนบนอบ  จงอย่าพยายามกำหนดว่าเจ้าจะทำสิ่งใด  หากเจ้าพยายามกำหนดสิ่งที่จะทำก่อนที่เจ้าจะอธิษฐาน นี่ย่อมไม่ใช่การนบนอบต่อพระเจ้า  ในการอธิษฐานนั้น หัวใจของเจ้าต้องนบนอบ และเจ้าต้องแสวงหากับพระเจ้าเป็นอย่างแรก  เมื่อทำเช่นนี้ หัวใจของเจ้าจะสว่างไสวขึ้นมาเองในขณะอธิษฐาน และเจ้าจะรู้ว่าต้องทำสิ่งใดจึงจะเหมาะสม การผละจากแผนการของเจ้าก่อนที่จะอธิษฐาน จนกระทั่งมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในหัวใจของเจ้าหลังจากอธิษฐาน คือผลลัพธ์ที่เกิดจากพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  หากเจ้าตัดสินใจด้วยตนเองไปแล้วและตั้งใจแล้วว่าจะทำสิ่งใด และจากนั้นจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อขออนุญาตหรือขอให้พระเจ้าทรงทำสิ่งที่เจ้าต้องการ การอธิษฐานเช่นนี้ย่อมไม่สมเหตุสมผล  หลายครั้งคำอธิษฐานของผู้คนไม่ได้รับการตอบรับจากพระเจ้า เพราะพวกเขาได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะทำสิ่งใดนี่เอง และเพียงแต่ขอคำอนุญาตจากพระเจ้าเท่านั้น  พระเจ้าย่อมตรัสว่า ‘ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วว่าจะทำสิ่งใด เหตุใดจึงถามเรา?’  การอธิษฐานเช่นนี้ให้ความรู้สึกเหมือนโกงพระเจ้าอยู่บ้าง และด้วยเหตุนั้น คำอธิษฐานของพวกเขาย่อมแห้งเหือดไป(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, นัยสำคัญและการปฏิบัติเรื่องการอธิษฐาน)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ตระหนักได้ว่า คำอธิษฐานของฉันถึงพระเจ้ามุ่งไปที่การขอให้พระองค์ทรงรักษาความเจ็บป่วยของฉันเพียงอย่างเดียว ฉันช่างไร้เหตุผล! ฉันซึ่งเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้างจะมีคุณสมบัติไปเรียกร้องให้พระเจ้าทรงรักษาฉันได้ยังไงกัน? ฉันถึงกับต้องการให้พระเจ้าทรงสนองต่อความสนใจส่วนตัวของฉันตามเจตจำนงของตัวเองอีกด้วย ฉันไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าเลยจริงๆ! จากนั้นฉันก็นึกถึงคำอธิษฐานขององค์พระเยซูเจ้า พระองค์ทรงรู้ว่าการถูกตรึงบนไม้กางเขนนั้นเจ็บปวดอย่างยิ่ง แต่คำอธิษฐานของพระองค์ก็ไม่ได้พยายามเรียกร้องจากพระเจ้า พระองค์ทรงเต็มใจนบนอบน้ำพระทัยของพระบิดา ต่อให้นั่นจะหมายถึงการทนทุกข์ก็ตาม ฉันควรแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าและนบนอบพระองค์ในยามที่ฉันเจ็บป่วย จากนั้นฉันก็อธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เต็มใจอธิษฐานด้วยใจแห่งการนบนอบและแสวงหาเจตนารมณ์ของพระองค์ การเจ็บป่วยนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่ข้าพระองค์ยังคงไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าควรเรียนรู้บทเรียนอะไรจากการเจ็บป่วยนี้ ข้าแต่พระเจ้า โปรดให้ความรู้แจ้งและนำข้าพระองค์ด้วยเถิด” แล้วฉันก็อธิษฐานถึงพระเจ้าอย่างนี้อยู่สักพัก และดวงตาของฉันก็ค่อยๆ ดีขึ้นอย่างไม่คาดคิด พอฉันกลับมาดูพระวจนะของพระเจ้าอีกครั้ง ฉันก็มองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งและได้รับความเข้าใจในสภาวะที่ฉันเป็นอยู่มากขึ้น  พระเจ้าตรัสว่า “สำหรับทุกผู้คน กระบวนการถลุงเป็นความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส และลำบากยากเย็นมากที่จะยอมรับ—ทว่าในระหว่างกระบวนการถลุงนี้นี่เองที่พระเจ้าทำให้พระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระองค์เป็นที่เข้าใจได้ง่ายขึ้นสำหรับมนุษย์ และทรงทำให้ข้อพึงประสงค์ของพระองค์เป็นที่รู้ทั่วกันสำหรับมนุษย์ และทรงจัดเตรียมความรู้แจ้งมากขึ้น การจัดการและการตัดแต่งจริงที่มากขึ้น โดยผ่านทางการเปรียบเทียบข้อเท็จจริงกับความจริง พระองค์ทรงมอบความรู้ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเกี่ยวกับพระองค์และความจริงให้แก่มนุษย์ และทรงมอบความเข้าใจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าให้แก่มนุษย์ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเปิดโอกาสให้มนุษย์มีความรักที่จริงแท้ยิ่งขึ้นและบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นต่อพระเจ้า  นั่นคือจุดมุ่งหมายของพระเจ้าในการดำเนินกระบวนการถลุง  และพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำในมนุษย์มีจุดมุ่งหมายและนัยสำคัญของมันเอง พระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจซึ่งปราศจากความหมาย และพระองค์ไม่ทรงพระราชกิจซึ่งปราศจากผลประโยชน์ต่อมนุษย์  กระบวนการถลุงไม่ได้หมายถึงการเอาผู้คนไปจากเบื้องพระพักตร์พระเจ้า และไม่ได้หมายถึงการทำลายพวกเขาในนรก  แต่ทว่าหมายถึงการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของมนุษย์ในระหว่างกระบวนการถลุง การเปลี่ยนแปลงเจตนาต่างๆ ของเขา ทรรศนะเก่าๆ ของเขา การเปลี่ยนแปลงความรักที่เขามีต่อพระเจ้า และการเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตของเขา  กระบวนการถลุงคือบททดสอบจริงของมนุษย์ และเป็นรูปแบบหนึ่งของการฝึกฝนจริง และมีเพียงในระหว่างกระบวนการถลุงเท่านั้นที่ความรักของเขาจะสามารถทำหน้าที่ตามธรรมชาติของมันได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มนุษย์สามารถมีความรักแท้จริงได้ โดยการได้รับประสบการณ์กับกระบวนการถลุงเท่านั้น)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันจึงเข้าใจว่า พระเจ้าทรงใช้ความเจ็บป่วยนี้เพื่อเผยให้เห็นถึงแรงจูงใจและความไม่บริสุทธิ์เกี่ยวกับความเชื่อในพระองค์ของฉัน เพื่อเปลี่ยนแปลงและชำระฉันให้บริสุทธิ์เป็นหลัก นี่คือเจตนารมณ์ของพระเจ้า ในช่วงหลายปีที่เชื่อในพระเจ้า ฉันคิดมาตลอดว่าตราบใดที่ฉันอดทนต่อการทนทุกข์และยอมลำบาก พระเจ้าก็จะทรงจดจำฉัน และฉันก็จะได้รับพระพรของพระองค์ ฉันยังเชื่อด้วยว่าที่ชีวิตครอบครัวของเราสงบสุขปราศจากความวิบัติหรือความยากลำบากตลอดหลายปีที่ผ่านมา ต้องเป็นเพราะความเชื่ออันดีของฉันแน่ จึงได้รับความคุ้มครองจากพระเจ้า ทันใดนั้น ดวงตาของฉันก็มองเห็นได้ไม่ชัดอีกต่อไป แล้วฉันก็อธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อการรักษา เมื่อพระเจ้าไม่ทรงทำตามคำเรียกร้องของฉัน ฉันก็หมดความเชื่อในพระองค์ และเริ่มพึ่งพาหมอโดยเชื่อว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูงจะสามารถรักษาดวงตาของฉันได้ แต่เมื่อแม้แต่หมอก็จนปัญญา ฉันก็จมดิ่งลงสู่ความสิ้นหวังและคิดถึงความตาย ในช่วงเวลานี้ ฉันไม่เคยแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าเลย นับประสาอะไรกับการคิดทบทวนตัวเอง ตอนนี้ฉันเห็นแล้วว่า ตอนที่ฉันคิดว่าฉันเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของตัวเอง แรงจูงใจของฉันนั้นปลอมปน ฉันใช้พระเจ้า หลอกลวงพระองค์ และพยายามทำข้อตกลงกับพระองค์! ขอบคุณพระเจ้า! ถ้าไม่ใช่เพราะการเผยผ่านความเจ็บป่วยนี้ ฉันคงไม่ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้เกี่ยวกับตัวฉันเอง

ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มอีกสองสามบทตอน และได้รับความเข้าใจในปัญหาของฉันกระจ่างขึ้น  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “สิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาคือการที่จะสามารถได้รับสันติสุขภายหลังการเชื่อในพระเจ้า เพื่อลูกหลานของเจ้าจะได้ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ เพื่อสามีของเจ้าจะมีงานที่ดี เพื่อบุตรชายของเจ้าจะได้เจอภรรยาที่ดี เพื่อบุตรสาวของเจ้าจะได้เจอสามีที่มีความประพฤติดีเหมาะสม เพื่อม้าและโคของเจ้าจะไถพรวนผืนดินได้ดี เพื่อปีที่มีสภาพอากาศที่ดีสำหรับพืชผลของเจ้า นี่คือสิ่งที่เจ้าแสวงหา  การไล่ตามเสาะหาของเจ้าก็เพียงเพื่อจะมีชีวิตในความสุขสบาย เพื่อที่จะไม่มีอุบัติภัยตกมาถึงครอบครัวของเจ้า เพื่อที่สายลมจะโชยผ่านเจ้า เพื่อที่ใบหน้าของเจ้าจะไม่สัมผัสกรวดทราย เพื่อที่พืชผลของครอบครัวเจ้าจะไม่ถูกน้ำท่วม ไม่ได้รับผลกระทบจากความวิบัติอันใด เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้า เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในรังอันอุ่นสบาย  คนขี้ขลาดอย่างเจ้าผู้ซึ่งไล่ตามเสาะหาเนื้อหนังเสมอนั้น—เจ้ามีหัวใจ เจ้ามีจิตวิญญาณหรือไม่?  เจ้าไม่ใช่สัตว์ร้ายหรอกหรือ?  เราให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้าโดยไม่ได้ขออะไรกลับคืน กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา  เจ้าเป็นหนึ่งในผู้ที่เชื่อในพระเจ้าหรือไม่?  เรามอบชีวิตมนุษย์ที่แท้จริงให้แก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา  เจ้าไม่ได้ต่างอะไรจากสุกรหรือสุนัขตัวหนึ่งหรอกหรือ?  พวกสุกรไม่เสาะหาชีวิตของมนุษย์ พวกมันไม่ไล่ตามเสาะหาการได้รับการชำระให้สะอาด และพวกมันไม่เข้าใจว่าชีวิตคืออะไร  ในแต่ละวัน หลังจากที่พวกมันกินกันจนอิ่มแปล้ มันก็แค่หลับไป  เราได้ให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ไม่ได้รับมัน เจ้าเป็นคนมือเปล่า  เจ้าเต็มใจที่จะดำเนินต่อไปในชีวิตนี้ ชีวิตของสุกรตัวหนึ่งหรือไม่?  อะไรคือนัยสำคัญของการที่ผู้คนเช่นนั้นมีชีวิตอยู่?  ชีวิตของเจ้าช่างน่าเหยียดหยามและต่ำศักดิ์ เจ้ามีชีวิตอยู่ท่ามกลางความโสมมและความเสเพล และเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาเป้าหมายใดเลย ชีวิตของเจ้าไม่ได้ต่ำศักดิ์ที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งหมดหรอกหรือ?  เจ้ากล้าดีที่จะมองพระเจ้าหรือ?  หากเจ้ามีประสบการณ์ในหนทางนี้ต่อไป เจ้าย่อมจะไม่ได้สิ่งใดเลยไม่ใช่หรือ?  หนทางที่แท้จริงได้ถูกมอบให้เจ้าไปแล้ว แต่การที่เจ้าจะสามารถรับไว้จนถึงที่สุดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาส่วนบุคคลของตัวเจ้าเอง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา)  “เหล่ามนุษย์ที่เสื่อมทรามล้วนดำรงชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง  มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม—นี่คือผลสรุปรวบยอดของธรรมชาติแบบมนุษย์  ผู้คนเชื่อในพระเจ้าเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของพวกเขาเอง เมื่อพวกเขาละทิ้งสิ่งทั้งหลายและสละตัวเองเพื่อพระเจ้า นั่นเป็นไปเพื่อที่จะได้รับพร และเมื่อพวกเขาจงรักภักดีต่อพระองค์ นั่นก็เป็นไปเพื่อที่จะได้รับรางวัล  โดยสรุปแล้ว ทุกอย่างล้วนทำไปเพื่อจุดประสงค์ของการได้รับพร ได้รับรางวัล และเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์  ในสังคม ผู้คนทำงานเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็ปฏิบัติหน้าที่เพื่อที่จะได้รับพร  เพื่อประโยชน์แห่งการได้รับพรนี่เอง ผู้คนจึงละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและสามารถทานทนต่อความทุกข์มากมายได้ กล่าวคือ ไม่มีหลักฐานถึงธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมนุษย์ที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงเผยให้เห็นนั้นเป็นข้อเท็จจริง ความเชื่อในพระเจ้าของฉันเป็นเพียงการไล่ตามเสาะหาความสงบสุขและความปลอดภัยเพื่อครอบครัวของฉันเท่านั้น โดยเชื่อว่านี่คือความหมายของการเชื่อในพระเจ้า ฉันใช้ชีวิตด้วยน้ำพิษของซาตานที่ว่า “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” และ “อย่ากระดิกแม้แต่นิ้วเดียวหากไม่ได้รางวัล” ฉันก็เลยเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อแสวงหาพระพรและความสงบสุขให้กับตัวเองเท่านั้น และปฏิบัติหน้าที่ ละทิ้งสิ่งทั้งหลาย และสละตนเพื่อให้ได้รับรางวัลในราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง พอฉันเชื่อในพระเจ้า ได้เห็นพระพรของพระองค์และความสงบสุขของครอบครัว ฉันก็สามารถละทิ้งสิ่งทั้งหลาย และสละตนเพื่อพระเจ้าได้ โดยคิดว่าฉันจงรักภักดีต่อพระเจ้าและเชื่ออย่างแท้จริงในพระองค์ เป็นคนหนึ่งที่รักความจริง แต่ว่า พอฉันล้มป่วย แล้วคำอธิษฐานเพื่อการรักษาของฉันไม่ได้รับคำตอบ ฉันก็ตีตัวออกห่างจากพระเจ้า และหยุดการอธิษฐานหรือพึ่งพาพระองค์ แม้ว่าฉันจะมองด้วยตาไม่เห็น แต่ฉันก็ยังสามารถฟังการอ่านพระวจนะของพระเจ้าได้ แต่ แม้จะงีบหลับไปด้วยความเกียจคร้านก็ตาม ฉันก็ยังไม่อยากฟังพระวจนะของพระเจ้า หัวใจของฉันปิดสนิทกับพระเจ้า และไม่ต้องการเข้าใกล้พระองค์ แล้วความเชื่อในพระเจ้าของฉันจะต่างอะไรกับความเชื่อของผู้นับถือศาสนาที่แสวงหาแต่ความอิ่มท้องล่ะ? พวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางวัตถุและความสงบสุขเท่านั้น โดยปรารถนาให้ครอบครัวของตนมีอากาศดีๆ และสุขภาพแข็งแรงตลอดทั้งปี พอพวกเขาไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ และบางครั้งก็พบกับภัยพิบัติ พวกเขาก็ตีตัวออกห่างจากพระเจ้าและทรยศพระองค์ ฉันตระหนักได้ว่าฉันก็เหมือนกับพวกเขา เห็นแก่ตัวและเลวทราม ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผลใดๆ! พระเจ้าทรงแสดงความจริงเอาไว้มากมาย ฉันก็ยังไม่ไปไล่ตามเสาะหา อีกทั้งไม่ได้ไล่ตามเสาะหาการชำระให้บริสุทธิ์หรือการเปลี่ยนแปลง แล้วฉันจะต่างอะไรกับสัตว์อย่างพวกหมูกับสุนัขเล่า?

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง และได้รับความเข้าใจมาบ้างว่าความเชื่อในพระเจ้าที่แท้จริงคืออะไรและความหมายของการเชื่อในพระเจ้า  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “‘การเชื่อในพระเจ้า’ หมายถึงการเชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่องค์หนึ่ง นี่เป็นมโนทัศน์ที่เรียบง่ายที่สุดเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้น การเชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่องค์หนึ่งไม่เหมือนกับการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ตรงกันข้าม มันเป็นความเชื่อที่เรียบง่ายประเภทหนึ่งซึ่งมีนัยแฝงทางศาสนาที่รุนแรง  ความเชื่อแท้จริงในพระเจ้าหมายถึงสิ่งต่อไปนี้คือ บนพื้นฐานของความเชื่อที่ว่าพระเจ้าทรงครองอำนาจอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง คนเรามีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์และพระราชกิจของพระองค์ ลบล้างอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของคนเรา สนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า และมารู้จักพระเจ้า  มีเพียงการเดินทางแบบนี้เท่านั้นที่อาจถูกเรียกว่า ‘ความเชื่อในพระเจ้า’  กระนั้นผู้คนมักเห็นว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องเรียบง่ายและไร้สาระ  ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าในหนทางนี้ได้สูญเสียความหมายของความเชื่อในพระเจ้าไปแล้ว และแม้ว่าพวกเขาอาจจะยังเชื่อต่อไปจนถึงวาระท้ายสุด แต่พวกเขาจะไม่มีวันได้รับการเห็นชอบของพระเจ้า เพราะพวกเขาก้าวย่างไปบนเส้นทางที่ผิด  ณ วันนี้ ยังมีพวกที่เชื่อในพระเจ้าตามคำพูดและคำสอนที่กลวงเป็นโพรง  พวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขาขาดแก่นแท้ของการเชื่อในพระเจ้า และพวกเขาไม่สามารถได้รับการเห็นชอบของพระเจ้า  พวกเขายังคงอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อขอพรแห่งความปลอดภัยและพระคุณที่เพียงพอ  พวกเราจงมาหยุดนิ่ง สงบใจและถามตัวเองว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดบนโลกอย่างแท้จริง?  เป็นไปได้หรือไม่ที่การเชื่อในพระเจ้าไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่าการได้รับพระคุณมากมายจากพระเจ้า?  ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าโดยที่ไม่รู้จักพระองค์ หรือเชื่อในพระเจ้า แต่ยังคงต่อต้านพระองค์ จะสามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้จริงหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)  ด้วยการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันจึงเข้าใจความหมายที่แท้จริงของการเชื่อในพระเจ้า ฉันตระหนักว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉันเชื่อในพระเจ้าอย่างคลุมเครือด้วยมโนคติอันหลังผิด โดยคิดว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นไปเพื่อการได้รับเป็นร้อยเท่าในชีวิตนี้และได้รับชีวิตนิรันดร์ในชีวิตหน้าเท่านั้น มุมมองของฉันในการเชื่อในพระเจ้านั้นผิดพลาด และฉันก็เดินไปในเส้นทางที่ผิด ด้วยหนทางนี้ ไม่ว่าฉันจะเชื่อในพระเจ้ามานานแค่ไหน ฉันก็จะไม่รู้จักพระองค์ คนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์  ได้รู้จักพระเจ้า ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และเข้ากันได้กับพระองค์ ทั้งหมดนี้อยู่บนพื้นฐานของการรับรู้ว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง ฉันคิดทบทวนถึงความเชื่อของเปโตรในยุคพระคุณที่ว่า เส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาของเขาเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า เขามุ่งเน้นการไล่ตามเสาะหาความจริง และพยายามเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าแม้แต่ในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน ยิ่งไปกว่านั้น เปโตรยังยืนอยู่ในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและปฏิบัติหน้าที่ของเขา เขาไล่ตามเสาะหาความรักที่มีให้พระเจ้าและนบนอบพระองค์ จนถูกตรึงกางเขนกลับหัวเพื่อพระเจ้า และได้เป็นคำพยานที่สวยงามและกึกก้องในที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับเปโตรแล้ว ฉันก็รู้สึกกระดากและละอายแก่ใจจริงๆ ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าในการกลับใจว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เต็มใจกลับใจต่อพระพักตร์พระองค์ สำหรับเวลาที่เหลืออยู่ ข้าพระองค์อยากจะไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างจริงจัง แสวงหาเจตนารมณ์ของพระองค์ในการปฏิบัติหน้าที่ของตน คิดทบทวนตนเอง และมุ่งความสนใจไปที่การเข้าสู่ชีวิตของตน” ด้วยโรคตานี้เองที่ฉันได้คิดทบทวนและได้รู้มุมมองของตัวเอง และเส้นทางที่ฉันเดินในความเชื่อในพระเจ้า ในขณะที่ฉันได้เรียนรู้บทเรียนบางอย่าง ดวงตาของฉันก็ค่อยๆ หายเป็นปกติ

นี่ก็ผ่านไปนานกว่าสิบปีแล้ว โรคตาของฉันก็ยังไม่กำเริบอีก แม้ว่าฉันเกือบจะสูญเสียการมองเห็นและต้องอดทนต่อความทุกข์จากการเจ็บป่วย แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์นี้มาแล้ว ฉันก็ได้มีประสบการณ์กับเจตนารมณ์อันดีของพระเจ้า และได้เห็นอย่างชัดเจนว่าแท้จริงแล้วฉันถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามยังไงบ้าง ฉันยังได้รับความรู้ถึงวิธีการทรงงานของพระเจ้าบางอย่างที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และเจตนารมณ์อันรอบคอบในการช่วยผู้คนให้รอดอีกด้วย นี่คือสิ่งที่ฉันไม่สามารถได้รับจากสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบาย ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรอดของพระองค์!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger