บททดสอบจากสภาพแวดล้อมอันยากลำบาก

วันที่ 07 เดือน 12 ปี 2022

สังคมส่งผลกับตัวผมตั้งแต่เด็ก ผมชอบการเข้ากับคนอื่นได้ดีในทุกอย่างที่ทำ ทั้งตัวผมและคนรอบตัว ต่างก็เป็นคริสเตียน แต่พอ ผมโหยหาที่จะเรียนรู้และแสวงหาข้อมูลเรื่องพระเจ้า ผมก็เริ่มไตร่ตรองคำถามบางข้อ ทำไมเราถึงเชื่อในพระเจ้า? เราจะรู้จักพระเจ้าได้ยังไง? ในโลกที่ชั่วและมืดมิดนี้ ความจริงอยู่ที่ไหนกันแน่? ทำไมผู้คนถึงเจอเรื่องยากลำบากในชีวิต? คำถามเหล่านี้เหมือนความล้ำลึกข้อแล้วข้อเล่า และผมก็ไม่เคยเจอคำตอบเลย โชคดีที่หลังจากผมยอมรับข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมก็ได้คำตอบของทุกเรื่องที่สับสนจากพระวจนะ ผมได้รู้ว่าในความเชื่อ ผู้คนรู้จัก นบนอบและรักพระเจ้าได้ จากการประสบพระวจนะ และพระราชกิจ ผมยังได้รู้ว่าในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงใช้การพิพากษา ตีสอน บททดสอบ และกระบวนการถลุง ทำให้ผู้คนเพียบพร้อม และชำระความเสื่อมทรามของพวกเขาให้สะอาด ผมเลย อธิษฐานให้บททดสอบนั้นมาถึงผม ผมถึงกับอยากให้ตัวเองเกิดที่ประเทศจีน จะได้มีประสบการณ์กับการกดขี่ข่มเหงของระบอบซาตานเหมือนเหล่าพี่น้องชาวจีน ผมจะได้เป็นคำพยานอันกึกก้อง และถูกพระเจ้าทำให้กลายเป็นผู้ชนะผ่านความยากลำบาก พอผมเกิดการตื่นรู้ขึ้นแล้ว ไม่นาน ก็มีบางอย่างเกิดขึ้นกับผม

เนื่องจากโรคระบาด ทำให้บริษัทที่ผมทำงานปิดตัวลง และผมก็ตกงาน ผมพยายามหางานจากหลายบริษัท แต่ก็ไม่มีที่ไหนโทรมาเรียกไปสัมภาษณ์เลย ยิ่งเวลายืดเยื้อออกไป อะไรๆ ก็ยิ่งแย่ลง ผมไม่มีรายได้ หรือเงินที่จะมาซื้ออาหาร ผมไม่รู้จะทำยังไงดี ก่อนหน้านั้น พอเลิกงานผมก็จะเข้าชุมนุมทางออนไลน์ อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ดูภาพยนตร์ของคริสตจักร และทำหน้าที่ร่วมกับคนอื่นๆ สิ่งเหล่านี้สำคัญที่สุดสำหรับผม มันเป็นเส้นทางปฏิบัติความเชื่อที่ดีมาก แต่ตอนนี้ ผมกำลังก้าวผ่านความเจ็บปวดนี้ และคิดว่า ในเมื่อผมเชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว พระองค์ก็จะทรงดูแลและช่วยผม ผมยังอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้ทรงมอบงานให้ผม ผมคิดว่าในเมื่อเป็นผู้เชื่อ พระเจ้าก็จะทรงให้ในสิ่งที่ผมขอ แต่พระเจ้าไม่ทรงทำเช่นนั้น ผมรู้สึกอ่อนแอ และสับสนอยู่บ้าง ผมอ่านพระวจนะ และอธิษฐานทุกวัน แต่ทำไมพระเจ้าไม่ทรงช่วยตอนที่ผมทนทุกข์? พอความคิดนั้นผุดขึ้นมา ผมก็นึกถึงโยบ ตอนเสียทรัพย์สินทั้งหมดไป เขาก็ยังยืนหยัดในคำพยานได้ โยบเชื่อว่าทุกอย่างทั้งดีและร้าย เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียม และเขาไม่เคยพร่ำบ่นเลย เขาขอบคุณพระเจ้าที่ทรงให้พรทางวัตถุ และเมื่อพระเจ้าทรงพรากพรเหล่านั้นไป เขาก็ยังสรรเสริญพระนาม พอคิดถึงความเชื่อและคำอธิษฐานของโยบจริงๆ แล้ว ผมก็ตระหนักว่าความเชื่อของผมเล็กจ้อยแค่ไหน เทียบกับของโยบไม่ได้เลย ผมรู้ว่าควรทำอย่างโยบ นบนอบต่อกฎเกณฑ์และการจัดเตรียมของพระเจ้าอย่างเขา แต่พอคิดถึงโอกาสที่จะไม่พอกิน ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง ที่สำคัญที่สุด ผมเพิ่งยอมรับความเชื่อนี้ได้แค่สามเดือน และไม่เข้าใจพระวจนะมากนัก ผมใช้งานอินเทอร์เน็ตจนหมด เลยเข้าชุมนุมออนไลน์ไม่ได้ ผมได้แต่อ้อนวอนพระเจ้าว่า “พระเจ้า ไม่ว่าข้าพระองค์จะหิวตายหรือไม่ ก็อยู่ในพระหัตถ์ ต่อให้ต้องตาย ข้าฯ ก็จะนบนอบต่อกฎเกณฑ์และการทรงจัดเตรียม” การอธิษฐานแบบนั้น ทำให้ผมรู้สึกสงบ วันนั้นหลังจากอธิษฐาน จู่ๆ ก็มีบางอย่างเกิดขึ้น ลุงของผมโทรมาถามว่า ผมอยากไปทำงานที่บริษัทก่อสร้างของท่านไหม ถึงงานก่อสร้างจะเหนื่อย แต่พอทำไปสัปดาห์หนึ่ง ผมก็ได้เงินมาพอที่จะจุนเจือตัวเองไปสักพัก ผมขอบคุณพระเจ้าจริงๆ! ในสถานการณ์นี้ ผมเริ่มคิดเรื่องที่ ทำไมพระเจ้าไม่ทรงทำแบบนี้ ตอนผมขอให้ทรงช่วยหางาน แต่ทรงช่วยตอนที่ผมอธิษฐานว่าพร้อมจะนบนอบ

แล้ววันหนึ่ง ผมก็ได้อ่านพระวจนะที่ทำให้ผมเข้าใจเรื่องนี้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่เราอาจจะได้รักษาพวกเขาเท่านั้น ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่เราอาจจะได้ใช้ฤทธานุภาพของเราขับวิญญาณสกปรกออกจากร่างของพวกเขาเท่านั้น และผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงแค่ว่าพวกเขาอาจจะได้รับสันติสุขและความชื่นบานยินดีจากเรา ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อเรียกร้องทรัพย์สมบัติทางวัตถุจากเราให้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตนี้อย่างสันติสุขและเพื่อที่จะอยู่อย่างปลอดภัยคลายกังวลในโลกที่จะมาถึง ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์จากนรกและเพื่อได้รับพรจากสวรรค์ ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อสิ่งชูใจชั่วคราวเท่านั้น แต่ไม่ได้พยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งใดในโลกที่จะมาถึง เมื่อเราได้ปล่อยความโกรธเคืองต่อมนุษย์ของเราออกมาและได้ยึดเอาความชื่นบานยินดีและสันติสุขที่พวกเขาเคยมีไป มนุษย์ก็กลับคลางแคลงใจ เมื่อเราได้ให้ความทุกข์จากนรกแก่มนุษย์และได้เอาพรจากสวรรค์กลับคืน ความละอายของมนุษย์ก็เปลี่ยนเป็นความโกรธ เมื่อมนุษย์ได้ขอให้เรารักษาเขา แต่เราไม่ได้ให้ความสนใจและรู้สึกชิงชังต่อเขา มนุษย์ได้ออกห่างจากเราเพื่อแสวงหาวิธีการของยาและวิทยาคมอันชั่วร้ายแทน เมื่อเราได้เอาทุกอย่างที่มนุษย์เรียกร้องจากเรากลับไป ทุกคนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ด้วยเหตุนี้ เราจึงบอกว่ามนุษย์มีความเชื่อในเราเพราะเราให้พระคุณมากเกินไป และมีมากเกินไปที่จะได้รับ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความเชื่อ?)สัมพันธภาพของมนุษย์กับพระเจ้านั้นเป็นแค่สัมพันธภาพแห่งผลประโยชน์ของตนเองอย่างไม่มีอะไรปิดบัง เป็นสัมพันธภาพระหว่างผู้รับกับผู้ให้พร กล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ คล้ายกับสัมพันธภาพระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง ลูกจ้างทำงานเพียงเพื่อได้รับสินจ้างรางวัลที่นายจ้างมอบให้ ไม่มีเสน่หาใดเลยในสัมพันธภาพเช่นนี้ มีเพียงธุรกรรมแลกเปลี่ยนเท่านั้น ไม่มีการให้ความรัก หรือการได้รับความรัก มีเพียงการแบ่งปันและความปรานี ไม่มีความเข้าใจ มีเพียงความขัดเคืองคับข้องที่ถูกเก็บกดเอาไว้และความหลอกลวงเท่านั้น ไม่มีความใกล้ชิดสนิทสนม มีเพียงช่องว่างทางความนึกคิดที่ไม่อาจก้าวข้ามไปได้เท่านั้น บัดนี้เมื่อสิ่งต่างๆ ได้มาถึงจุดนี้ ใครเล่าที่สามารถเดินย้อนเส้นทางนั้นกลับไปได้? และมีคนมากแค่ไหนที่เข้าใจได้อย่างแท้จริงว่าสัมพันธภาพนี้ได้กลับกลาย เป็นจริงจังยิ่งแล้วอย่างไร? เราเชื่อว่า เมื่อผู้คนชุ่มแช่ตัวเองอยู่ในความชื่นบานยินดีแห่งการได้รับพระพร ไม่มีใครเลยที่จะสามารถจินตนาการได้ว่า สัมพันธภาพกับพระเจ้าเช่นนั้นช่างน่าตะขิดตะขวงและไม่น่ามองเพียงไร(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 3: มนุษย์สามารถได้รับการช่วยให้รอดท่ามกลางการบริหารจัดการของพระเจ้าเท่านั้น) พระวจนะเผยถึงแรงจูงใจต่อพระพรและสภาวะอันเสื่อมทรามของเรา หลายคนแสวงหาแค่ความสุขสบายของพระเจ้าในความเชื่อ พวกเขาไม่อยากทนทุกข์กับความอับโชคใดๆ และหวังว่าพระเจ้าจะทรงมอบทุกสิ่งที่ต้องการให้ แต่ไม่เคยสนใจว่า พวกเขาสนองพระเจ้าหรือไม่ สำหรับพวกเขา การนบนอบต่อพระเจ้าและสมดังพระประสงค์นั้นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่พระเจ้าทรงให้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการ สมัยเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสมักประกาศว่า เราควรอธิษฐานขอพร แต่การไล่ตามแบบนั้น ทำให้สัมพันธภาพของเรากับพระเจ้าแปดเปื้อน เหมือนที่พระวจนะเปิดเผยว่า “สัมพันธภาพของมนุษย์กับพระเจ้านั้นเป็นแค่สัมพันธภาพแห่งผลประโยชน์ของตนเองอย่างไม่มีอะไรปิดบัง เป็นสัมพันธภาพระหว่างผู้รับกับผู้ให้พร กล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ คล้ายกับสัมพันธภาพระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง ลูกจ้างทำงานเพียงเพื่อได้รับสินจ้างรางวัลที่นายจ้างมอบให้ ไม่มีเสน่หาใดเลยในสัมพันธภาพเช่นนี้ มีเพียงธุรกรรมแลกเปลี่ยนเท่านั้น” พระวจนะเป็นความจริง ผมเลยทบทวนตัวเอง ผมได้เห็นว่า ตัวผมเชื่อแค่เพื่อให้ได้รับพระพร เจตนานั้น ถูกซ่อนไว้ในส่วนลึกของใจผม ผมคิดว่าในเมื่อพระเจ้าทรงกลับมายังแผ่นดินโลกแล้ว พระองค์จะทรงอวยพรทุกคนที่ยอมรับพระองค์แน่ ผมคิดว่าในเมื่อผมยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายแล้ว พระพรก็คงอยู่ไม่ไกล คิดว่าชีวิตของผมกำลังจะดีขึ้น แต่ว่า มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น ผมเจอกับความยากลำบาก และชีวิตผมก็ยากขึ้น ผมเลย กลายเป็นคนอ่อนแอ และคิดลบ ผมไม่มีรายได้ ไม่มีอาหาร ผมใช้เน็ตเพื่อเข้าชุมนุมทางออนไลน์ไม่ได้ แล้วผมจะเชื่อต่อไปได้ยังไง? ผมรู้สึกไม่พอใจ เหมือนพระเจ้าไม่สนใจผม ผมวิ่งวุ่นหางานทำไปทั่ว และขอให้พระเจ้าทรงช่วย แต่พระองค์ไม่ตอบกลับ แถมยังไม่ให้สิ่งที่ผมขอ ผมเกิดความแคลงใจในพระเจ้าว่า นี่ใช่พระเจ้าจริงหรือเปล่า? เหมือนกับที่พระเจ้าตรัสว่า “เมื่อเราได้ปล่อยความโกรธเคืองต่อมนุษย์ของเราออกมาและได้ยึดเอาความชื่นบานยินดีและสันติสุขที่พวกเขาเคยมีไป มนุษย์ก็กลับคลางแคลงใจ” สิ่งที่พระวจนะเผย ทำให้ผมละอายกับสิ่งที่แสดงออกไป พระวจนะยังทำให้ผมเห็นว่า การมีความเชื่อเพื่อพระพร เป็นมุมมองที่ผิด เพราะผมมองพระเจ้าเป็นเครื่องประทานพร และมองว่าตัวเองเป็นผู้รับพร เมื่อพระเจ้าไม่ทรงมอบงานดีๆ มาให้อย่างที่ผมต้องการ ผมก็ตำหนิ และคิดว่าพระองค์ไม่สนใจผมเลย ผมได้เห็นว่ามุมมองต่อความเชื่อของผมนั้นไร้สาระ ไม่รู้ความ และโง่เขลาแค่ไหน ผมนึกถึงตอนเด็กที่ไปชุมนุม และได้ยินแต่คำว่า “พระเจ้าจะประทานพรอันยิ่งใหญ่แก่เรา! หากเป็นผู้เชื่อ พระเจ้าก็จะทรงอวยพรเรา จงอธิษฐานขอสิ่งต่างๆ พระองค์จะทรงตอบกลับอย่างแน่นอน” สิ่งที่ผมได้ยินจากโลกศาสนา พ่อแม่ และคนรอบตัว มีผลกับผมมาก และทำให้รู้สึกว่า ผมแค่ต้องเชื่อเพื่อให้ได้รับพระพร และเป็นอิสระจากความทุกข์ทางโลก เมื่อก่อน ผมไม่เคยคิดว่าการอยากได้พระพรในความเชื่อเป็นเรื่องที่ผิด และไม่เห็นจริงๆ ว่านั่นคืออุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ผมไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย จนได้อ่านพระวจนะที่เปิดโปงความเสื่อมทรามของผู้คน ผมถามตัวเองว่า ความเชื่อคือเพื่อให้ได้รับพรทางวัตถุจริงหรือ? คนที่มีเงินและทรัพย์สินมากพอ คือคนที่พระเจ้าทรงเห็นชอบหรือ? ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ทำไมในยอห์นบทที่ 6 ข้อ 27 องค์พระเยซูเจ้าถึงตรัสว่า “อย่าทำงานเพื่อแสวงหาอาหารที่เสื่อมสูญได้ แต่จงแสวงหาอาหารที่คงทนอยู่จนถึงชีวิตนิรันดร์ ซึ่งบุตรมนุษย์จะมอบให้กับพวกท่าน เพราะพระเจ้าคือพระบิดาทรงรับรองท่านผู้นี้แล้ว”? แถมยังมี “อย่าสะสมทรัพย์สมบัติเพื่อตัวพวกท่านเองไว้ในโลก ที่อาจเป็นสนิมและที่แมลงกินเสียได้ และที่ขโมยอาจทะลวงลักเอาไปได้ แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติเพื่อตัวพวกท่านเองไว้ในสวรรค์ ที่ไม่มีแมลงจะกินและไม่มีสนิมจะกัด และที่ไม่มีขโมยทะลวงลักเอาไปได้ เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย(มัทธิว 6:19-21) แล้วผมก็ตระหนักว่า การขอพรทางวัตถุกับพระเจ้าอยู่เรื่อย เป็นความปรารถนาอันฟุ้งเฟ้อของมวลมนุษย์ มันคือความเสื่อมทราม และพระเจ้าทรงรังเกียจ ทั้งหมดเป็นเพราะซาตานทำให้มนุษย์หลงผิด และกีดกันเราจากการรู้จักพระอัตลักษณ์ โดยเฉพาะกีดกันเราจากการรู้ว่าพระเจ้าทรงปกครองชะตากรรมของเรา ทำให้เรานบนอบต่อพระผู้สร้างไม่ได้ เมื่อทุกอย่างเป็นไปด้วยความราบรื่น เราก็ขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้า แต่เมื่อเจอเรื่องยากลำบากในชีวิต เมื่อพระเจ้าไม่สนองความต้องการของเรา เราก็เข้าใจพระเจ้าผิด และตำหนิพระองค์ เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงอับราฮัม เขาเต็มใจที่จะนบนอบต่อทุกสิ่งจากพระเจ้า จะดีหรือร้าย เขาก็ไม่มีตัวเลือกของตัวเองเลย เมื่อพระเจ้าทรงบอกให้อับราฮัมใช้ลูกชายของเขาเป็นเครื่องสังเวย อับราฮัมก็พร้อมทำสิ่งนั้นตามที่พระเจ้าทรงขอ มันเป็นสิ่งที่เจ็บปวดมาก แต่เขาก็ไม่ได้ถามพระองค์ว่า “ทำไมพระองค์จึงทรงขอเช่นนี้? พระองค์ทรงทำกับข้าฯ เช่นนี้ได้อย่างไร?” อับราฮัมเชื่อว่า ไม่ว่าพระเจ้าทรงขอสิ่งใด เขาก็ควรเชื่อฟัง เขารู้ว่าพระเจ้าคือพระผู้สร้าง และเขาเองก็คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เขาจึงควรนบนอบอย่างไม่มีเงื่อนไข ยอมรับพระบัญชาหรือพระประสงค์ใดๆ จากพระเจ้า ความเชื่อของอับราฮัมได้รับการทรงเห็นชอบ แต่ผู้คนในวันนี้ แตกต่างจากอับราฮัมโดยสิ้นเชิง เรามักจะหมกมุ่นอยู่กับพรทางวัตถุ และเพิกเฉยต่อน้ำพระทัย องค์พระเยซูเจ้าทรงเตือนสติเราว่า “พวกท่านจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงนี้ให้(มัทธิว 6:33) เราไม่ควรแสวงหาพรทางวัตถุ แต่ควรแสวงหาที่จะทำตามน้ำพระทัย ไล่ตามความจริง และทำหน้าที่ให้ดี นั่นคือสิ่งที่สำคัญ พระเจ้าคือพระผู้สร้าง พระองค์ทรงรู้ความคิดเราดีที่สุด และทรงความต้องการของเราดีที่สุด แต่เพราะความเสื่อมทรามของซาตาน มวลมนุษย์จึงเอาแต่โลภและหมกมุ่นอยู่กับพรทางวัตถุ เราจึงไม่เชื่อในพระเจ้า เพื่อเชื่อฟังและสนองพระองค์ แต่แค่เพื่อให้ได้รับพร และสนองความต้องการของเราเอง เหมือนที่พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เผยว่า “เหล่ามนุษย์ที่เสื่อมทรามล้วนดำรงชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม—นี่คือผลสรุปรวบยอดของธรรมชาติแบบมนุษย์ ผู้คนเชื่อในพระเจ้าเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง เมื่อพวกเขาละทิ้งสิ่งทั้งหลายและสละตัวเองเพื่อพระเจ้า นั่นเป็นไปเพื่อที่จะได้รับพร และเมื่อพวกเขาสัตย์ซื่อต่อพระองค์ นั่นก็เป็นไปเพื่อที่จะได้รับรางวัล โดยสรุปแล้ว ทุกอย่างล้วนทำไปเพื่อจุดประสงค์ของการได้รับพร ได้รับรางวัล และเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ ในสังคม ผู้คนทำงานเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็ปฏิบัติหน้าที่เพื่อที่จะได้รับพร เพื่อประโยชน์แห่งการได้รับพรนี่เอง ผู้คนจึงละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและสามารถทานทนต่อความทุกข์มากมายได้ กล่าวคือ ไม่มีหลักฐานถึงธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมนุษย์ที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) พระวจนะเปิดโปงความจริงเกี่ยวกับผมได้ตรงเผง ผมได้เห็นความไม่รู้ความและความเห็นแก่ตัวของตัวเอง และได้รู้ว่าเมื่อผมเจอสิ่งที่ไม่ชอบ ผมควรอธิษฐานและนบนอนต่อพระเจ้า จะเอาแต่ไล่ตามพระคุณและพระพรไม่ได้ แต่หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็เจอปัญหาเดิมอีก ด้วยความที่ผมทำงานที่บริษัทของลุงแค่สัปดาห์เดียว แล้วลาออก จากนั้นผมก็อยู่แต่บ้าน มุ่งเน้นกับหน้าที่ จึงทำให้เงินหมดไปค่อนข้างเร็ว ผมไม่รู้ว่าจะเอาข้าวมื้อต่อไปมาจากไหน หรือควรไปหางานยังไง เพราะผมไม่มีวุฒิการศึกษา หรือใบประกาศสำหรับการจ้างงานเลย ผมไม่มีทั้งชื่อและเงินที่จะมาซื้อเน็ตเพิ่ม ผมจำเป็นต้องมีใช้เน็ตเพื่อเข้าชุมนุมและทำหน้าที่ พอคิดถึงเรื่องนี้ ผมก็กลับมารู้สึกอ่อนแอ และเหมือนไม่เห็นความหวังเลย แล้วตอนนั้นเอง แม่ก็บอกกับผมว่า เพราะโรคระบาด ทำให้พวกท่านไม่มีเงินที่จะมากินมาใช้ และหวังว่าผมจะให้อะไรพวกท่านได้บ้าง การรู้ว่าแม่ก็ตกอยู่ในความลำบากเหมือนกัน มันทำให้ผมอ่อนแอ และเจ็บปวด ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี ผมรู้สึกเหมือน ตัวเองทนทุกข์มากกว่าคนอื่น รู้สึกว่าชีวิตผมยากจริงๆ ผมไม่อาจเข้าใจน้ำพระทัยอย่างชัดเจนได้เลย ผมคิดว่าในเมื่อผมยุ่งอยู่กับหน้าที่ทุกวัน พระเจ้าก็ควรดูแลผม ทำไมสถานการณ์ของผมถึงเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ?

ระหว่างช่วงนั้น ผมอ่านพระวจนะเยอะมากและฟังบทเพลงสรรเสริญค่อนข้างเยอะ มีพระวจนะสองบทตอน ที่ช่วยให้ผมเข้าใจน้ำพระทัย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา สิ่งที่ผู้คนแสวงหาก็คือการได้มาซึ่งพรสำหรับอนาคต นี่คือเป้าหมายของพวกเขาในความเชื่อของพวกเขา ผู้คนทั้งหมดมีเจตนาและความหวังนี้ แต่ความเสื่อมทรามในธรรมชาติของพวกเขาต้องได้รับการแก้ไขโดยผ่านทางการทดสอบทั้งหลาย ในแง่มุมใดก็ตามที่เจ้าไม่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และเผยให้เห็นความเสื่อมทราม ในแง่มุมเหล่านี้เองที่เจ้าต้องได้รับการถลุง—นี่คือการจัดการเตรียมการของพระเจ้า พระเจ้าทรงสร้างสภาพแวดล้อมหนึ่งให้กับเจ้า อันเป็นการบังคับให้เจ้าได้รับการถลุงที่นั่นเพื่อที่เจ้าจะสามารถรู้ความเสื่อมทรามของตัวเจ้าเอง ในท้ายที่สุด เจ้าก็ไปถึงจุดที่เจ้าเลือกที่จะตายมากกว่าและล้มเลิกกลอุบายและความอยากทั้งหลายของเจ้า และนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า เพราะฉะนั้น หากผู้คนไม่มีกระบวนการถลุงอยู่เป็นเวลาหลายปี หากพวกเขาไม่สู้ทนความทุกข์ในปริมาณหนึ่ง พวกเขาก็จะไม่มีความสามารถที่จะขจัดพันธนาการแห่งความเสื่อมทรามของเนื้อหนังในความคิดของพวกเขาและในหัวใจของพวกเขาออกไปจากตัวพวกเขาได้ ในแง่มุมใดก็ตามที่ผู้คนยังคงอยู่ภายใต้พันธนาการของซาตาน และในแง่มุมใดก็ตามที่พวกเขายังมีความอยากได้อยากมีของตนเองและมีข้อเรียกร้องของตนเอง ในแง่มุมเหล่านี้เองที่พวกเขาควรทนทุกข์ เฉพาะโดยผ่านทางความทุกข์เท่านั้นที่จะสามารถเรียนรู้บทเรียนทั้งหลายได้ ซึ่งก็หมายถึงการมีความสามารถที่จะได้รับความจริง และเข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้า ในข้อเท็จจริงนั้น ความจริงมากมายได้รับความเข้าใจโดยผ่านทางการได้รับประสบการณ์การทดสอบอันเจ็บปวดทั้งหลาย ไม่มีใครสามารถจับใจความในน้ำพระทัยของพระเจ้า ระลึกรู้ความทรงพระมหิทธิฤทธิ์และพระปรีชาญาณของพระเจ้า หรือซาบซึ้งในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าได้เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ง่ายสบายและชูใจ หรือเมื่อรูปการณ์แวดล้อมเป็นใจ นั่นคงจะเป็นไปไม่ได้เลย!(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)ผู้คนมีข้อเรียกร้องอันฟุ้งเฟ้อต่อพระเจ้าภายในตัวพวกเขาอยู่เสมอ พวกเขาคิดอยู่เสมอว่า ‘พวกเราทิ้งครอบครัวมาและกำลังปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้นพระเจ้าควรที่จะทรงอวยพรพวกเรา พวกเราทำตามที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ ดังนั้นพระเจ้าก็ควรประทานบำเหน็จรางวัลแก่พวกเรา’ สิ่งต่างๆ เช่นนี้ดำรงอยู่ในหัวใจของผู้คนมากมายเมื่อพวกเขาเชื่อในพระเจ้า…ผู้คนช่างไร้เหตุผลอย่างยิ่ง พวกเขาไม่ปฏิบัติความจริง แต่พวกเขากลับติเตียนพระเจ้า พวกเขาไม่ทำสิ่งที่ตนควรทำ ผู้คนควรเลือกเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่พวกเขากลับหน่ายความจริงและถวิลหาความสุขสำราญทางเนื้อหนัง พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าพรและความสุขสำราญในพระคุณอยู่เสมอ และพร่ำบ่นตลอดเวลาว่าข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์นั้นมากมายเกินไป พวกเขายืนกรานที่จะพยายามทำให้พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเปี่ยมพระคุณ และประทานพระคุณแก่พวกเขามากขึ้น และยอมให้พวกเขามีความสุขสำราญทางกายเนื้อหนัง พวกเขาคือคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือ?…เมื่อกล่าวสิ่งเหล่านี้ออกมา ผู้คนย่อมไม่มีสำนึกและไม่มีความเชื่อเลย ทั้งหมดเกิดจากการที่มนุษย์ไม่พอใจในพระเจ้าเพราะข้อเรียกร้องอันฟุ้งเฟ้อของพวกเขาไม่ได้รับการตอบสนอง ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่หลั่งไหลออกมาจากหัวใจของมนุษย์ และเป็นตัวแทนธรรมชาติของมนุษย์ทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้อยู่ในตัวมนุษย์ และหากพวกเขาไม่ปลดเปลื้องสิ่งเหล่านี้ทิ้งไป สิ่งเหล่านี้ก็อาจทำให้พวกเขาติเตียนพระเจ้าและเข้าใจพระองค์ผิดได้ในทุกเวลาและทุกที่ มนุษย์ยังหมิ่นเหม่ที่จะหมิ่นประมาทพระเจ้า และไม่ว่าที่ใดเวลาใด พวกเขาก็อาจหันเหจากหนทางที่แท้จริง นี่คืออุบัติการณ์ตามธรรมชาติ(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) ผมได้เรียนรู้บางสิ่งจากพระวจนะ การมุ่งเน้นกับหน้าที่ทุกวัน จนถึงจุดที่ผมไม่สนใจครอบครัว ผมคิดว่านั่นคือการสละตนเอง พระเจ้าก็ควรปูนบำเหน็จและประทานพรแก่ผม ผมไม่ได้ต้องการบำเหน็จใหญ่โตจากพระเจ้า ขอแค่งานที่ได้เงินมาพอดำรงชีวิต และพอมีงานทำ ผมก็จะทำหน้าที่ได้ดีขึ้น ผมรู้สึกว่านั่นเป็นคำขอที่สมเหตุสมผล ไม่ได้มากเกินไปเลย แต่พอทบทวนพระวจนะ ผมก็ได้เห็นว่า การมีความปรารถนาอันฟุ้งเฟ้อเหล่านั้น แสดงว่าผมไม่ได้นบนอบต่อพระเจ้า ผมเรียกร้องให้พระเจ้าทรงทำนั่นทำนี่ให้ พระวจนะยังทำให้ผมเห็นว่า ถ้าใครมีคำขอที่ไม่สมเหตุสมผลต่อพระเจ้าอยู่เสมอ มันก็ยากที่พวกเขาจะปฏิบัติความจริง และเมื่อมันไม่เป็นไปตามคำขอ พวกเขาก็อาจทรยศ และละทิ้งพระเจ้าไป แล้วผมก็ได้เข้าใจว่า ความยากลำบากที่เจอ มองจากภายนอกมันเหมือนผมทนทุกข์มาก เหมือนว่าน่าสงสารจริงๆ แต่ที่จริง ผมกำลังก้าวผ่านการบรรเทาทุกข์ ผมรู้สึกเหมือนทนไม่ไหว แต่พระเจ้าก็ไม่ได้ทอดทิ้งผม สิ่งนั้นคือเพื่อให้ผมได้เห็นแรงจูงใจที่ผิด กับการเจือปนในความเชื่อ แล้วเปลี่ยนให้มันกลับมาในทิศทางที่ถูก ที่พระเจ้าทรงหวังให้ผู้คนทำตาม ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า ผมอยากได้งานดีๆ ที่ทำให้ผมหาเงินได้เยอะขึ้นไม่ใช่หรือ? ผมอยากได้เน็ตเยอะขึ้น และอยากให้ครอบคลุมความต้องการพื้นฐานไม่ใช่หรือ? ผมอยากทำหน้าที่โดยไม่มีปัญหา และอะไรมาขวางไม่ใช่หรือ? ใช่ มันเป็นอย่างนั้น ดังนั้น ในเมื่อผมหวังที่จะได้รับสิ่งเหล่านี้ทำไมพระเจ้าถึงจะไม่จัดเตรียมให้ผม? ผมก็แค่โชคร้าย เป็นคนอับโชคงั้นหรือ? ไม่ใช่เลย ผมโชคดีอย่างเหลือเชื่อ นี่คือความรักของพระเจ้าที่มาสู่ผม พระเจ้าทรงจัดสถานการณ์ให้ผม ได้แสวงหาความจริง เรียนรู้บทเรียน และชำระการเจือปนในความเชื่อให้สะอาด ถ้าผมปฏิบัติความจริง ในสภาพแวดล้อมที่สบายและดีไปเสียหมด ไม่เจอสถานการณ์ที่ลำบาก หรือไม่ชอบใจเลย ความรักและความเชื่อในพระเจ้าของผม ก็คงมีแรงจูงใจ ความปรารถนา การเจือปน ที่พระเจ้าจะไม่เห็นชอบ พระเจ้าทรงหวังให้ผู้คนจริงใจต่อพระองค์ในทุกสถานการณ์ ทรงหวังให้เราอุทิศตน และเชื่อฟังพระองค์ เหมือนกับเด็กเล็กๆ ถ้าพวกเขารักพ่อแค่ตอนที่พวกท่านมอบชีวิตทางวัตถุอันสุขสบายให้ ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาก็จะเกลียดพ่อและพูดว่า “ถ้าพ่อไม่ให้สิ่งที่หนูอยากได้ หนูก็จะไม่เคารพ หรือยอมรับว่าพ่อเป็นพ่อ” นั่นเป็นเด็กแบบไหนกัน? นั่นคือเด็กอกตัญญู ที่ขาดมโนธรรมและเหตุผล ขอบคุณพระเจ้า! ผมก็กำลังเจอสถานการณ์นั้นอยู่เหมือนกัน ผมจำเป็นต้องก้าวผ่านสิ่งเหล่านั้น เพื่อชำระการเจือปนในความเชื่อให้สะอาด

ผมได้อ่านพระวจนะที่ว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “อะไรคือการเชื่อแท้จริงในพระเจ้าในวันนี้? มันคือการยอมรับพระวจนะของพระเจ้าว่าเป็นความเป็นจริงของชีวิตของเจ้า และการรู้จักพระเจ้าจากพระวจนะของพระองค์เพื่อที่จะสัมฤทธิ์ในความรักที่แท้จริงสำหรับพระองค์ กล่าวให้ชัดเจนก็คือ การเชื่อในพระเจ้าเป็นไปเพื่อที่เจ้าอาจเชื่อฟังพระเจ้า รักพระเจ้า และปฏิบัติหน้าที่ซึ่งควรได้รับการปฏิบัติโดยสิ่งทรงสร้างอย่างหนึ่งของพระเจ้า นี่คือจุดมุ่งหมายของการเชื่อในพระเจ้า เจ้าจะต้องสัมฤทธิ์ในความรู้หนึ่งเกี่ยวกับความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้า เกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงคู่ควรเพียงใดต่อความเคารพ เกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งความรอดในบรรดาสิ่งทรงสร้างของพระองค์และการทำให้พวกเขามีความเพียบพร้อม—เหล่านี้คือสาระจำเป็นอันประจักษ์แจ้งของการเชื่อของเจ้าในพระเจ้า การเชื่อในพระเจ้าโดยหลักแล้วเป็นการสลับเปลี่ยนจากชีวิตหนึ่งของเนื้อหนังไปสู่ชีวิตหนึ่งของการรักพระเจ้า จากการใช้ชีวิตภายในความเสื่อมทรามไปสู่การใช้ชีวิตภายในชีวิตของพระวจนะของพระเจ้า มันคือการออกมาจากภายใต้แดนครอบครองของซาตานและการใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การดูแลเอาพระทัยใส่และการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้า มันคือการที่สามารถจะสัมฤทธิ์ในความเชื่อฟังต่อพระเจ้าและความไม่เชื่อฟังต่อเนื้อหนัง มันคือการยอมให้พระเจ้าทรงได้รับหมดทั้งหัวใจของเจ้า ยอมให้พระเจ้าทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม และปลดปล่อยตัวเจ้าเองเป็นอิสระจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน การเชื่อในพระเจ้าโดยหลักแล้วเป็นไปเพื่อที่ฤทธานุภาพและพระสิริของพระเจ้าอาจได้รับการสำแดงในตัวเจ้า เพื่อที่เจ้าอาจทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และทำให้แผนของพระเจ้าสำเร็จลุล่วง และสามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้าได้ต่อหน้าซาตาน การเชื่อในพระเจ้าไม่ควรวนเวียนอยู่กับความอยากที่จะได้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ อีกทั้งไม่ควรเป็นไปเพื่อประโยชน์ของเนื้อหนังส่วนตัวของเจ้า มันควรเป็นเรื่องเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาการรู้จักพระเจ้า และการสามารถเชื่อฟังพระเจ้า และ เช่นเดียวกับเปโตร การเชื่อฟังพระองค์จนกระทั่งคนเราถึงแก่ความตาย เหล่านี้คือจุดมุ่งหมายหลักของการเชื่อในพระเจ้า พวกเรากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเพื่อที่จะรู้จักพระเจ้าและทำให้พระองค์พึงพอพระทัย การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าช่วยให้เจ้ามีความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับพระเจ้า เพียงหลังจากนั้นแล้วเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถเชื่อฟังพระองค์ได้ ด้วยความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าเท่านั้น เจ้าจึงสามารถรักพระองค์ได้ และนี่คือเป้าหมายที่มนุษย์ควรมีในการเชื่อของเขาในพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ทุกสิ่งสัมฤทธิ์ได้ด้วยพระวจนะของพระเจ้า) ทันทีที่ยอมรับความเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมก็ได้อ่านบทตอนนี้ แต่ตอนนั้นผมไม่ได้เข้าใจอย่างแท้จริง หลังจากก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากพวกนั้น ผมถึงเข้าใจน้ำพระทัยขึ้นมาบ้าง ความเชื่อที่แท้จริง ไม่เหมือนที่ผมคิดไว้ ที่ว่าตราบใดที่ผมสละตนเพื่อพระเจ้า พระองค์ก็ควรจะเฝ้าดู และคุ้มครองผม และให้ในสิ่งที่ผมต้องการ ทรรศนะแบบนั้นต่อความเชื่อไม่ถูกต้อง ในความเชื่อ เราควรประสบพระวจนะ และสนองพระองค์ในทุกสิ่ง ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงให้หรือพรากสิ่งใดไปเราก็ควรนบนอบ และสละตนอย่างแท้จริง ถ้าผู้คนไล่ตามที่จะรู้จักพระเจ้าผ่านพระวจนะในความเชื่อ นบนอบต่อกฎเกณฑ์ และการจัดเตรียมของพระองค์ พระเจ้าก็จะทรงเห็นชอบความเชื่อแบบนั้น คนที่รักพระเจ้าถึงที่สุด และเชื่อฟังพระองค์ได้จนวันตายอย่างเปโตร ย่อมเป็นคนที่ทรงทำให้เพียบพร้อม โชคดีที่พระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้ง ให้ผมได้รู้จักแง่มุมที่ถูกต้องของความเชื่อผ่านสถานการณ์นี้ และสิ่งนี้ก็มอบสันติสุขและความสงบจริงๆ ให้ผม ผมอธิษฐานด้วยความนบนอบต่อพระเจ้า ขอแค่ทรงมอบความเข้มแข็ง ให้ผมอดทนกับความยากลำบากนั้นได้

รุ่งขึ้นผมก็ประหลาดใจ ที่ลุงส่งเงินมาให้ผมเล็กน้อย พอที่จะซื้อข้าวและเติมเน็ตได้บ้าง ผมขอบคุณพระเจ้าด้วยใจจริง ที่ทรงมอบทางไปต่อให้ผม

ยิ่งกว่านั้น ผมยังได้ทำงานพิเศษ มันไม่ใช่งานง่ายเลย แต่ผมก็พอหาเงินมาใช้กับความจำเป็นพื้นฐานได้ ผมรู้ว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งนั้นมาให้ ผมได้ประสบอย่างแท้จริงว่า การยอมรับและนบนอบต่อการทรงเตรียมการ เป็นบทเรียนพื้นฐานที่เราควรเรียนรู้ผ่านชีวิตจริง มันช่วยให้เรารู้ถึงกฎเกณฑ์อันเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ และหนทางอันล้ำลึกผ่านประสบการณ์ นี่คือท่าทีที่เราควรมีต่อปัญหาทุกรูปแบบในชีวิต เรื่องนั้นทำให้ผมนึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่ง “ในเวลาที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาในชีวิตจริง เจ้าควรรู้จักและเข้าใจสิทธิอำนาจของพระเจ้าและอธิปไตยของพระองค์อย่างไร? เมื่อเจ้าถูกประจันหน้าด้วยปัญหาเหล่านี้ และไม่รู้ว่าจะทำความเข้าใจ รับมือ และรับประสบการณ์กับมันอย่างไร ท่าทีอะไรที่เจ้าควรนำมาใช้ เพื่อแสดงให้เห็นจริงถึงเจตนาของเจ้าที่จะนบนอบ ความอยากที่จะนบนอบ และความเป็นจริงของการนบนอบของเจ้าต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า? ก่อนอื่น เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะรอคอย จากนั้นเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะแสวงหา แล้วเจ้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะนบนอบ ‘การรอคอย’ หมายถึงการรอคอยเวลาของพระเจ้า การรอผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการเพื่อเจ้า การรอคอยน้ำพระทัยของพระองค์ที่จะค่อยๆ เปิดเผยตัวเองต่อเจ้า ‘การแสวงหา’ หมายถึง การสังเกตและการทำความเข้าใจพระเจตนาอันเปี่ยมด้วยพระดำริของพระเจ้าที่มีต่อเจ้าโดยผ่านทางผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงวางโครงร่างเอาไว้ การทำความเข้าใจความจริงโดยผ่านทางสิ่งเหล่านั้น การเข้าใจสิ่งที่พวกมนุษย์ต้องทำให้สำเร็จลุล่วงและหนทางต่างๆ ที่พวกเขาต้องยึดถือไว้ การทำความเข้าใจในผลลัพธ์ที่พระเจ้าทรงตั้งใจที่จะสัมฤทธิ์ในมนุษย์และความสำเร็จลุล่วงอะไรที่พระองค์ทรงตั้งใจบรรลุในพวกเขา ‘การนบนอบ’ แน่นอนว่า ย่อมอ้างอิงถึงการยอมรับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงจัดวางเรียบเรียงเอาไว้ การยอมรับในอธิปไตยของพระองค์ และโดยผ่านการยอมรับนี้ มารู้ว่าพระผู้สร้างทรงลิขิตขีดเขียนชะตากรรมมนุษย์อย่างไร พระองค์ทรงจัดหาให้กับมนุษย์ด้วยพระชนม์ชีพของพระองค์อย่างไร พระองค์ทรงพระราชกิจกับความจริงในมนุษย์อย่างไร ทุกสรรพสิ่งภายใต้การจัดการเตรียมการและอธิปไตยของพระเจ้าเป็นไปโดยสอดคล้องกับกฎธรรมชาติต่างๆ และหากเจ้าตั้งปณิธานว่าจะยอมให้พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการและลิขิตขีดเขียนทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเจ้า เจ้าควรเรียนรู้ที่จะรอคอย เจ้าควรเรียนรู้ที่จะแสวงหา และเจ้าควรเรียนรู้ที่จะนบนอบ นี่คือท่าทีที่ทุกบุคคลผู้ซึ่งต้องการที่จะนบนอบต่อสิทธิอำนาจของพระเจ้าต้องนำมาใช้ คุณสมบัติพื้นฐานที่ทุกบุคคลผู้ซึ่งต้องการที่จะยอมรับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ต้องมี เพื่อที่จะมีท่าทีเช่นนั้น เพื่อที่จะมีคุณสมบัติเช่นนั้น เจ้าต้องทำงานหนักขึ้น นี่คือหนทางเดียวที่เจ้าสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงที่แท้จริงได้(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3) ผมเคยอ่านพระวจนะบทตอนนี้มาก่อน แต่พอมาอ่านหลังเจอช่วงที่ยากลำบาก มันกลับรู้สึกต่างออกไป ผมเห็นได้จากพระวจนะ ว่าการแสวงหาน้ำพระทัย รอคอย และนบนอบ เป็นการเข้าหาแรกที่เราควรมีเมื่อเจอกับปัญหา มันไม่ใช่การรอคอยอย่างเอื่อยเฉื่อย แต่ต้องรวมถึงการอธิษฐาน อ่านพระวจนะ แสวงหาน้ำพระทัย และทบทวนตัวเองด้วย วิธีนี้จะทำให้เราเรียนรู้สภาวะที่แท้จริงได้ และเข้าใจว่าเราควรเข้าสู่สิ่งใด ผ่านการแสวงหา และประสบการณ์รูปแบบนี้ เราจะได้เห็นกฎเกณฑ์อันเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ และกิจการที่แท้จริงของพระเจ้า

ทีแรก ผมอยากทำงานพิเศษยากๆ นั้นแค่เดือนเดียว จะได้หาเงินมาพอใช้ดำรงชีวิต และเอาเวลาที่เหลือไปทำหน้าที่ แต่โทรศัพท์ผมกลับมีปัญหา ผมคิดว่าถ้าทำงานต่ออีกเดือน ก็คงซื้อโทรศัพท์และแล็ปท็อปได้ แต่ผมเป็นผู้นำคริสตจักร จึงมีงานมากมายที่ต้องจัดการ การทำหน้าที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผมสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ผมจึงตัดสินใจลาออกจากงาน พอผู้นำระดับสูงรู้สถานการณ์ของผม เธอก็บอกว่า เพื่อจะช่วยให้ผมทำหน้าที่ได้ดี ทางคริสตจักรช่วยซื้อแล็ปท็อป และอินเทอร์เน็ตเร็วๆ ให้ได้ ผมตื่นเต้นมากที่ได้ยินอย่างนั้น ตื่นเต้นจนอธิบายไม่ได้ ผมรู้ว่าทั้งหมดนี้คือพระคุณของพระเจ้า พระเจ้าทรงเปิดทาง เพื่อให้ผมได้ทำหน้าที่ให้ดี ผมยังเห็นว่า พระเจ้าไม่ได้ทรงทำอะไรให้ยากสำหรับผมเลย พระองค์แค่อยากให้ผมจริงใจ และเชื่อฟัง ผมได้ประสบกับความรักของพระเจ้าผ่านช่วงเวลายากๆ ด้วยตัวเอง เมื่อก่อน สิ่งที่ผมคิดเกี่ยวกับความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์นั้นคลุมเครือ และไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง มีเพียงเมื่อได้เรียนรู้บทเรียนเหล่านี้ผ่านสถานการณ์จริงในชีวิต ผมจึงเข้าใจความรักนี้อย่างแท้จริง ผ่านทางสถานการณ์เหล่านี้ ผมจึงมองเห็นความไม่รู้และความเห็นแก่ตัวของผมเอง นี่พาให้ผมค่อยๆ เปลี่ยนแปลงมุมมองที่ผิดพลาดเกี่ยวกับความเชื่อ และมาอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง นี่คือความรักที่พระเจ้าทรงมีให้ผมโดยแท้ ผมยังได้มาเข้าใจท่าทีที่ถูกต้องที่ต้องมีผ่านช่วงที่ยากลำบาก และเข้าใจวิธีเข้าหาพระเจ้า เมื่อก่อนผมคิดเสมอว่า ตราบใดที่ผมมีความเชื่อ พระเจ้าก็ควรจัดหาทุกสิ่งให้ผม ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า ในความเชื่อ เราไม่ควรเรียกร้องสิ่งต่างๆ จากพระเจ้าอยู่เรื่อย แต่เราควรนบนอบต่อพระองค์ และสมดังน้ำพระทัยในทุกสิ่ง

ไม่นาน ผมก็เจอการทดสอบจริงอีกครั้ง พอทำงานนั้นไปได้หนึ่งเดือน วันที่เงินเดือนออก จู่ๆ ผมก็ถูกปล้นระหว่างเดินอยู่ที่ถนน พวกโจรได้เงินเดือนผมไปครึ่งหนึ่ง แต่เป็นเพราะการปกป้องคุ้มครองของพระเจ้า ถึงพวกเขาจะมีมีด พวกเขาก็ไม่ได้ทำร้ายผม ผมฉุกคิดได้ว่า พระเจ้าทรงให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเจตนารมณ์อันดี ผมนึกถึงโยบที่ร่ำรวยมาก แต่เมื่อเขาถูกพรากทรัพย์สินไปหมด และลูกทุกคนก็เสียชีวิต เขากลับนบนอบอย่างไร้เงื่อนไข ไม่พร่ำบ่น และยังสรรเสริญพระนาม ผมไม่ได้รวย เป็นแค่คนธรรมดา การที่เงินเล็กน้อยถูกขโมยไป ถึงผมจะต้องการมัน และมีแผนที่ต้องใช้เงินก้อนนี้ ผมก็พร้อมเชื่อและเชื่อฟังให้ได้อย่างโยบ ผมอธิษฐานว่า “พระเจ้า พระองค์ทรงยากแท้หยั่งถึง ข้าพระองค์ไม่อาจเข้าใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่ข้าฯ เชื่อว่าในเรื่องนี้มีน้ำพระทัยซ่อนอยู่ ข้าฯ พร้อมนบนอบต่อการทรงจัดเตรียม ได้โปรดดลใจ และทรงนำให้ข้าฯ ไม่จมลงสู่สภาวะคิดลบด้วยเถิด” หลังจากนั้น ผมก็รู้สึกสงบใจจริงๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ผมยังทำหน้าที่ต่อไปอย่างสงบเช่นเคย โดยไม่รู้สึกกังวลหรือร้อนใจ เทียบกับท่าทีก่อนที่ผมจะเข้าใจกฎเกณฑ์ของพระเจ้า มันต่างกันโดยสิ้นเชิง นั่นเป็นเพราะผมเรียนรู้ว่า พระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งต่างๆแบบนั้นเพื่อชำระผมให้สะอาดและช่วยให้รอด มันยังทำให้ผมเข้าใจความรักของพระองค์ลึกซึ้งขึ้นด้วย การแสดงออกถึงความรักของพระเจ้า ไม่ใช่แค่ให้พรทางวัตถุแก่เรา เพราะพรเหล่านั้นได้แต่สนองความต้องการทางเนื้อหนัง ความรักที่แท้จริงของพระเจ้า คือเพื่อให้เราเรียนรู้ความจริง ผ่านการประสบกับการพิพากษาของพระวจนะ บททดสอบ และกระบวนการถลุง รู้ว่าทำไมเราถึงมีความเชื่อ รู้วิธีเคารพพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว วิธีรักและสนองพระเจ้า และนบนอบต่อทุกการทรงจัดเตรียมได้ในที่สุด ผมนึกถึงพระวจนะที่ว่า “ความรักต่อพระเจ้าของมนุษย์จึงถูกสร้างขึ้นบนรากฐานของกระบวนการถลุงและการพิพากษาของพระเจ้า หากเจ้าเพียงแค่ชื่นชมพระคุณของพระเจ้า ด้วยการมีชีวิตครอบครัวที่สงบสุขหรือพรทางวัตถุต่างๆ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่ได้รับพระเจ้า และความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าจะไม่สามารถถือว่าประสบผลสำเร็จได้ พระเจ้าได้ทรงดำเนินพระราชกิจแห่งพระคุณในเนื้อหนังไปช่วงระยะหนึ่งแล้ว และได้ประทานพรทางวัตถุต่างๆ แก่มนุษย์แล้ว แต่มนุษย์นั้นไม่สามารถถูกทำให้มีความเพียบพร้อมได้ด้วยพระคุณ ความรัก และความเมตตาเพียงอย่างเดียว ในประสบการณ์ทั้งหลายของมนุษย์นั้น เขาเผชิญกับความรักบางส่วนของพระเจ้า และมองเห็นความรักและความปรานีของพระเจ้า แต่ถึงกระนั้น ด้วยการได้รับประสบการณ์มาเป็นเวลาช่วงหนึ่ง เขามองเห็นว่าพระคุณของพระเจ้าและความรักกับความปรานีของพระองค์นั้นไม่สามารถพอที่จะทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมได้ ไม่สามารถพอที่จะเปิดเผยถึงสิ่งที่เสื่อมทรามภายในมนุษย์ได้ และไม่สามารถขจัดอุปนิสัยเสื่อมทรามของมนุษย์ไปจากเขาได้ หรือทำให้ความรักและความเชื่อของเขามีความเพียบพร้อมได้ พระราชกิจแห่งพระคุณของพระเจ้าคือพระราชกิจในช่วงเวลาหนึ่ง และมนุษย์ไม่สามารถอาศัยการชื่นชมพระคุณของพระเจ้าเพื่อที่จะรู้จักพระเจ้าได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น)การทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมของพระเจ้าถูกทำให้สำเร็จลุล่วงได้โดยวิถีทางใด? มันสำเร็จลุล่วงได้โดยวิถีทางของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระเจ้าส่วนใหญ่แล้วประกอบด้วยความชอบธรรม พระพิโรธ พระบารมี การพิพากษา และการสาปแช่ง และส่วนใหญ่แล้วพระองค์ทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมโดยวิถีทางของการพิพากษาของพระองค์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น) พออ่านพระวจนะ ผมก็รู้สึกลึกๆ ว่า งานพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้า คือการชำระล้างและเปลี่ยนแปลงมวลมนุษย์ให้สะอาดจริงๆ มลทินในความเชื่อ และอุปนิสัยเสื่อมทรามของเรา ถูกชำระให้สะอาดได้ผ่านการพิพากษาจากพระวจนะ บททดสอบ และกระบวนการถลุงเท่านั้น มันไม่อาจสัมฤทธิ์ได้แค่จากการพึ่งพาพระคุณ ถ้าไม่มีพระวจนะ และประสบการณ์ที่ยากๆ เหล่านี้ ผมคงไม่มีวันเข้าใจสิ่งเหล่านี้เลย ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ฉันเปลี่ยนแปลงวิถีที่แสนภาคภูมิอย่างไร?

เมื่อก่อน ผมมักคิดว่าตัวเองเป็นคนฉลาดมาก คิดว่าผมทำทุกอย่างได้ โดยไม่ต้องให้ใครมาช่วย ทั้งเวลาอยู่ที่โรงเรียน และที่บ้าน เวลาใครถามอะไร...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger