เงินทองและสถานะเคยให้อะไรฉันบ้าง?

วันที่ 07 เดือน 12 ปี 2022

ฉันเกิดในครอบครัวที่พ่อแม่แยกทางกัน ตอนที่แม่ตั้งท้องฉัน พ่อก็หนีไปกับผู้หญิงอีกคน แม่ของฉันลำบากมาก กับการดูแลลูกหกคน และฉันก็ได้ยินเสียงแม่ร้องไห้เกือบทุกคืน การเห็นท่านร้องไห้อย่างแสนขมขื่น ทำให้ฉันมีทรรศนะแง่ลบต่อการแต่งงานและความสัมพันธ์ ฉันบอกตัวเองว่า “ห้ามไว้ใจใครอีกคนแบบหมดใจโดยเด็ดขาด ห้ามเชื่อใจใครทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่พึ่งพาได้ในชีวิตนี้ คือตัวฉันเอง และเงินที่หามาได้ด้วยสองมือ” นับจากนั้นมา ฉันก็เริ่มคิดวิธีที่จะหาเงิน สมัยมอปลาย ขณะที่คนอื่นเพลิดเพลินกับวันหยุด ฉันกับแม่ ก็ไปตั้งแผงขายอาหารอยู่ข้างถนน แต่ตอนนั้นเงินที่หามาได้ ก็พอแค่ใช้จ่ายกับความจำเป็นสิ่งพื้นฐาน ตอนอยู่มอห้า ฉันต้องลาออกเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม จากนั้น ฉันก็มาดูแลแผงต่อ ทุกเช้าฉันจะตื่นตีสี่ตีห้ามาเตรียมอาหาร และออกไปที่แผงราวหกโมงเช้า สามปีต่อมา ฉันก็มีเงินเก็บมากพอจะไปทำงานในเมืองใหญ่ ฉันตื่นแต่เช้าตรู่และทำงานหนักทุกวัน แต่ก็หาเงินได้ไม่มาก และฉันไม่พอใจ ด้วยความช่วยเหลือจากแฟน ฉันเลยใช้เงินที่เก็บมาหลายปีเปิดร้านเล็กๆ สองปีต่อมา เราก็มีเงินก้อนหนึ่ง และมีลูกด้วยกัน แต่พอเรากำลังจะแต่งงาน แฟนของฉันกลับโกงฉันไปหมดทุกอย่าง เขาหอบเงินทั้งหมดหนีไปตั้งตัวกับผู้หญิงอีกคน พวกเขามีลูกด้วยกันด้วย เงินที่ฉันหามาอย่างยากลำบากหายไปหมด ฉันรู้สึกหดหู่และทุกข์ใจ การประสบกับสิ่งที่แม่เคยเจอ ทำให้ฉันรู้สึกว่าพวกผู้ชายพึ่งไม่ได้ และฉันต้องมุ่งหาเงินให้ได้มากพอที่จะใช้เลี้ยงดูลูกๆ แต่ฉันก็กดดันมาก ฉันหมดแรงที่จะเปิดร้าน แถมยังล้มป่วย ฉันไม่อยากอยู่ในเมืองนี้อีกต่อไปแล้ว ต่อมา พอพ่อของแฟนฉันรู้เข้า ท่านก็ออกเงินให้ฉันสมัครวีซ่าไปอังกฤษ สี่ปีต่อมา ฉันได้ใบอนุญาตพำนัก และได้เรียนเข้ามหาลัย เพื่อจะหาเงินให้ได้มากขึ้น ฉันเลือกเรียนหลักสูตรบริหารธุรกิจ ปี 2011 ฉันได้เงินสมทบจากการเป็นนักศึกษา และฉันก็ใช้เงินก้อนนั้น เปิดร้านอาหารแอฟริกันในเมือง

ช่วงเริ่มแรก ด้วยความที่ร้านยังเล็ก ฉันเลยจ้างลูกจ้างแค่คนเดียว ฉันตื่นตีห้าทุกวันเพื่อไปทำงานที่ร้าน พอทำงานเสร็จก็ไปเรียน หลังเลิกเรียน ฉันก็รีบกลับร้านไปทำความสะอาด ส่งของ และทำบัญชี การทำธุรกิจพร้อมกับเรียนไปมหาลัยและเลี้ยงลูกๆ ไปด้วย ต้องยากมากเลยนะคะ แต่พอได้ยินคนชมความสามารถของฉัน รวมถึงเห็นสายตาที่นับถือและอิจฉาของพวกเขา ฉันก็พอใจมาก ตอนนั้น ธุรกิจที่ร้านเป็นไปด้วยดี และทำเงินได้มากกว่าที่ฉันคิดไว้ แต่มันก็เหมือนยังไม่พอ ฉันคิดว่าฉันควรรวยถึงขั้นซื้อธนาคารได้ คนอื่นจะได้ยกย่องและอิจฉาฉัน นั่นคือความต้องการจริงๆ ของฉัน เพื่อให้ได้รับเกียรติและเป็นที่ยกย่องมากขึ้น เพื่อพิสูจน์ว่าฉันแข็งแกร่ง และหาเงินให้ได้มากขึ้นเพื่อเลี้ยงลูกๆ และใช้ชีวิตอันหรูหรา ฉันเลยขยายขนาดร้าน สามปีต่อมา ร้านเล็กๆ ของฉัน กลายเป็นร้านใหญ่ที่ขายอาหารจากประเทศต่างๆ ในแอฟริกา ฉันยังเป็นที่ยอมรับในฐานะผู้ประกอบการชาวแอฟริกันคนเดียวในเมืองด้วย อาจารย์โรงเรียนมอปลายและมหาลัยเชิญให้ฉันไปพูด และคุยเกี่ยวกับความทะเยอทะยานและความสำเร็จ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้เยาวชนผู้อพยนในอังกฤษ และพวกเขาก็มอบถ้วยรางวัลให้ฉัน เวลาฉันไปบรรยายพร้อมกับถ้วยรางวัล ทุกคนต่างรู้จักฉัน ฉันรู้สึกเหมือนทุกการทำงานหนักและความทุกข์ตลอดหลายปีมันช่างคุ้มค่า และเป้าหมายในชีวิตของฉันก็ลุล่วงแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่หยุดทำงานหาเงินเพิ่ม เพราะพอมีสถานะทางสังคมแล้ว ก็หาเงินและทำอะไรๆ ได้ง่ายขึ้น ความอยากมีชื่อเสียงของฉันก็เพิ่มขึ้นด้วย แต่ว่าคราวนี้ฉันรู้สึกไม่สบายตัวแล้ว ฉันยืนได้แป๊บเดียวก็ต้องนั่งลง หมอบอกว่าฉันเป็นโรคข้ออักเสบ ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง และปวดร้าวลงขา ซึ่งแปลว่ากระดูกสันหลังของฉันมันเจ็บไปหมด หมอบอกว่าฉันต้องใช้เวลาพักฟื้น และทำงานไม่ได้แล้ว แต่ฉันก็ไม่ได้จริงจังกับอาการป่วย รู้สึกว่าออกกำลังกายสักหน่อยก็หาย อีกอย่าง ธุรกิจที่ร้านก็ไปได้ดีจนฉันไม่อยากทิ้ง ฉันจึงยังทำต่อไป

ต้นปี 2014 อาการของฉันแย่ลง จนเจ็บไปหมด มันเหมือนทั้งตัวของฉันกำลังถูกเผา ราวกับอยู่บนไฟ ขาของฉันทั้งสองข้างบวมอยู่แทบจะตลอดเวลา ฉันรู้สึกเหมือนกระดูกสะโพกหัก และกระดูกสันหลังก็อ่อนยวบ ฉันต้องใส่ที่รั้งเพื่อดึงไว้ พอไปตรวจร่างกาย หมอก็บอกว่าฉันเป็นโรคข้ออักเสบแล้ว แต่ด้วยความที่ฉันเข้าตู้แช่แข็งที่ร้านขายเนื้อบ่อยๆ ความหนาวที่เข้าถึงกระดูก ทำให้ฉันเสี่ยงที่จะเป็นอัมพาตตลอดชีวิตได้ทุกเมื่อ ตอนนั้นฉันหวั่นใจมาก แต่มันก็สายเกินไปแล้ว ต่อมา ฉันเกิดขยับตัวไม่ได้เลย จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปิดร้าน แล้วจู่ๆ คนอื่นในเมืองก็เริ่มเลียนแบบฉัน และเปิดร้านของตัวเอง ฉันรู้สึกอิจฉา และรู้สึกเศร้าใจกับอาการของตัวเองด้วย ทำไมฉันถึงป่วยหนักขนาดนี้? มันเจ็บปวดไม่หยุดตลอดทั้งวัน ไม่มีวันไหนที่ฉันจะได้นอนอย่างสงบสุขเลย มันเหมือนมีไฟแผดเผาอยู่ในใจฉัน และความทรมานทางร่างกายและจิตใจก็เจ็บปวดเป็นพิเศษ ในตอนนั้น ฉันเริ่มทบทวนสิ่งต่างๆ จริงๆ เงินที่หามาก็ใช้รักษาโรคที่ฉันเป็นไม่ได้ แล้วมันเอาไว้ทำไมกัน? ตอนนั้น ฉันรู้สึกอ่อนแอและสิ้นหวัง ฉันรู้สึกห่วงลูกๆ เพราะฉันเป็นครอบครัวเดียวที่พวกเขามี ฉันไม่อยากคิดถึงเงินและชื่อเสียงอีกต่อไปแล้ว ฉันแค่อยากเลิกเจ็บปวด และเลี้ยงลูกๆ อย่างสงบสุข เป็นเวลาปีกว่า ที่ฉันได้แต่นอนอยู่บนเตียง และถามตัวเองว่า “ทำไมคนเราถึงต้องทนทุกข์เหลือเกิน? ทำไมเราถึงต้องป่วย?” ในความทุกข์ใจและสิ้นหวัง ฉันร้องหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ให้ทรงช่วยฉันรอดพ้นจากความเจ็บปวดไปได้

เดือนพฤษภาคมปี 2019 มีครั้งหนึ่ง หลังอดอาหารและอธิษฐานนับสิบวัน ฉันก็อยากฟังบทเพลงสรรเสริญ เลยค้นหาในเน็ต และเจอเว็บไซต์ของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ หลังจาก ดูภาพยนตร์ไปสองสามเรื่อง ฉันก็ประทับใจเรื่อง บ้านหนูอยู่ไหน มาก ชีวิตของเด็กหญิงตัวน้อยคนนั้น สะท้อนภาพวัยเด็กของฉัน และประสบการณ์ของแม่เธอ ก็เหมือนของฉันเลย หัวใจฉันเต้นรัวอยู่ในอกตลอดทั้งคืน วันรุ่งขึ้น ฉันเลยโทรไปที่คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ การอ่านพระวจนะ ทำให้ฉันมั่นใจว่าพระองค์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา ฉันยอมรับพระราชกิจอย่างเปี่ยมสุข และเริ่มเข้าชุมนุมทางออนไลน์ มีครั้งหนึ่ง ฉันได้ฟังบทเพลงสรรเสริญ และประทับใจมาก “หากฉันไม่ได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้า ฉันก็คงจะยังกำลังลอยล่องไปอย่างไร้จุดหมายในโลกนี้ โดยดิ้นรนอยู่ในบาปอย่างเจ็บปวด ปราศจากความหวังใดในชีวิต หากฉันไม่ได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้า ฉันก็คงจะยังถูกพวกมารเหยียบย่ำ โดยชื่นชมอยู่กับความน่ายินดีแห่งบาป ไม่รู้เส้นทางของชีวิตมนุษย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเปี่ยมความปรานีต่อฉัน เสียงแห่งพระวจนะของพระองค์กวักเรียกฉัน ฉันได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและได้รับการยกชูขึ้นเบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระองค์ ในแต่ละวัน ฉันกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และฉันได้เข้าใจความจริงมากมาย ฉันมองเห็นห้วงลึกมหาศาลของความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ พวกเราจำเป็นต้องมีความรอดของพระเจ้า ความจริงของพระเจ้าชำระฉันให้บริสุทธิ์และช่วยฉันให้รอด ครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันได้รับการพิพากษาและการถลุง และอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของฉันก็ได้เปลี่ยนแปลงไป จนกระทั่งเมื่อลิ้มรสชาติความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ของพระเจ้าแล้ว ฉันจึงรู้จักความน่ารักของพระองค์ หัวใจของฉันยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว และฉันก็ใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์บ้างเล็กน้อย” (“หากฉันไม่ได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้า” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) เพลงนี้อธิบายชีวิตของฉันได้ดีมาก เมื่อก่อน ฉันมักจะอยากสร้างชีวิตแสนสุขด้วยสองมือ และเชื่อว่าฉันสามารถ เติมเต็มความฝันวัยเด็ก กับความปรารถนาทั้งหมดด้วยกำลังของตัวเอง แต่สุดท้าย ฉันกลับเจ็บปวดอย่างหนัก ไม่มีใครเกื้อหนุน และใช้ชีวิตอย่างเป็นทุกข์ พระเจ้าทรงนำฉันมาเฉพาะพระพักตร์ ปลอบประโลมความเจ็บปวด ช่วยฉันให้รอดจากความมืดมิดของโลกนี้ ทรงอนุญาตให้ฉันอ่านพระวจนะ และให้โอกาสฉันยอมรับการพิพากษาและชำระให้สะอาด ขอบคุณความรอดของพระเจ้าค่ะ! ในตอนนั้น ฉันรอจะอ่านพระวจนะเพิ่มอีกแทบไม่ไหว เพราะฉันตระหนักได้ว่า อาจเจอคำตอบของคำถามมากมายได้ในนั้น

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่ง “อะไรคือแหล่งที่มาของความทุกข์ตลอดชีวิตตั้งแต่การเกิด ความตาย การเจ็บป่วย และการแก่ที่มนุษย์สู้ทน? อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ผู้คนมีความทุกข์เช่นนี้? มนุษย์มิได้มีความทุกข์เช่นนี้เมื่อแรกสร้างพวกเขาขึ้นมามิใช่หรือ? เช่นนั้นแล้ว ความทุกข์นี้มาจากไหน? ความทุกข์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่มนุษย์ถูกซาตานทดลอง และหลังจากที่พวกเขาถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามและเสื่อมถอย ความเจ็บปวดของเนื้อหนังมนุษย์ ความทุกข์ร้อนของมัน และความว่างเปล่าของมัน รวมถึงเรื่องราวที่น่าเวทนาอย่างยิ่งต่างๆ ของโลกมนุษย์ ได้มาถึงทันทีที่ซาตานได้ทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามเท่านั้น หลังจากที่พวกมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม มันก็เริ่มทรมานพวกเขา ผลก็คือ พวกเขากลายเป็นเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ โรคภัยของมนุษยชาติมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และความทุกข์ของพวกเขากลายเป็นสาหัสมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนสำนึกรับรู้ถึงความว่างเปล่า และโศกนาฏกรรมของโลกมนุษย์เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการไร้ความสามารถ ที่จะอาศัยอยู่ที่นั่นต่อไปของพวกเขา และการมีชีวิตอยู่ในโลกก็สิ้นหวังลงเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ ความทุกข์นี้จึงถูกซาตานนำพาลงมาให้กับพวกมนุษย์ และเกิดมีขึ้นเพียงเมื่อมนุษย์เกิดความเสื่อมถอยหลังจากที่พวกเขาถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามเท่านั้น(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, นัยสำคัญแห่งการที่พระเจ้าทรงรับรสชาติของความทุกข์ทางโลก) ฉันได้เข้าใจจากพระวจนะ ว่าพระเจ้าทรงสร้างโลกที่ปราศจากโรคภัย ความเจ็บปวด และความตาย พอซาตานทดลองผู้คนให้ทรยศ และหันหลังใส่พระเจ้า ผู้คนก็เริ่มเสื่อมถอย และเสื่อมทราม และความเจ็บป่วยกับความตาย ก็ตกมาสู่มนุษยชาติ จากนั้นชีวิตก็ทุกข์ขึ้นเรื่อยๆ ช่วงหกปีนี้ฉันทนทุกข์กับอาการป่วย และถึงกับอยากฆ่าตัวตาย ชีวิตของฉันไม่มีความหมาย และเแสนเจ็บปวด แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแหล่งที่มาของมันแล้ว ฉันถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามและหันหนีจากพระเจ้า แถมมีชีวิตแค่เพื่อชื่อเสียงและโชคลาภ การใช้ชีวิตภายใต้อำนาจครอบครองของซาตาน ฉันได้แต่ยิ่งเจ็บปวดฃ และชีวิตก็ไร้ความหมาย ยิ่งอ่านพระวจนะ หัวใจฉันก็ยิ่งสว่าง และพระวจนะก็บำรุงเลี้ยงหัวใจที่แห้งเหี่ยวของฉัน ฉันรู้สึกเหมือนตื่นขึ้นจากการหลับใหลที่เต็มไปด้วยฝันร้าย

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะเพิ่มเติม “‘เงินทำให้โลกหมุนไป’ เป็นปรัชญาหนึ่งของซาตานและมันแพร่หลายไปท่ามกลางมวลมนุษย์ทั้งหมด ในทุกสังคมมนุษย์ เจ้าสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่านั่นเป็นกระแสนิยมเพราะนั่นได้ถูกปลูกฝังในหัวใจของทุกผู้คน ตั้งแต่แรกเริ่มนั้น ผู้คนไม่ได้ยอมรับคติพจน์นี้ แต่ต่อมาพวกเขาก็ให้การยอมรับการนั้นโดยปริยายเมื่อพวกเขาเข้ามาติดต่อสัมพันธ์กับชีวิตจริง และเริ่มที่จะรู้สึกว่าอันที่จริงแล้วคำพูดเหล่านี้จริงแท้ นี่ไม่ใช่กระบวนการที่ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามหรอกหรือ? บางทีผู้คนอาจไม่เข้าใจคติพจน์นี้ในระดับเดียวกัน แต่ทุกคนก็มีระดับการตีความและการยอมรับคติพจน์ที่แตกต่างกันไปโดยมีพื้นฐานมาจากสิ่งทั้งหลายที่ได้เกิดขึ้นรอบตัวพวกเขาและจากประสบการณ์ส่วนบุคคลของพวกเขาเอง นั่นไม่ใช่กรณีนี้หรอกหรือ? ไม่ว่าใครบางคนจะมีประสบการณ์กับคติพจน์นี้มากเพียงใด ผลด้านลบใดหรือที่มันสามารถมีต่อหัวใจของใครบางคนได้? บางสิ่งบางอย่างถูกเปิดเผยโดยผ่านทางอุปนิสัยแบบมนุษย์ของผู้คนในพิภพนี้ รวมถึงพวกเจ้าแต่ละคน นี่คือสิ่งใด? มันคือการบูชาเงิน มันยากที่จะลบเรื่องนี้ออกไปจากหัวใจของใครบางคนใช่หรือไม่? มันยากมาก! ดูเหมือนว่าการทำให้มนุษย์เสื่อมทรามของซาตานจะลึกซึ้งจริงๆ! ซาตานใช้เงินทองมาทดลองผู้คน และทำให้พวกเขาเสื่อมทรามจนบูชาเงินตราและเทิดทูนวัตถุสิ่งของ แล้วการบูชาเงินตรานี้สำแดงในตัวผู้คนอย่างไร? พวกเจ้ารู้สึกว่าพวกเจ้าไม่สามารถอยู่รอดในพิภพนี้ได้โดยปราศจากเงินเลย ว่าแม้แต่วันหนึ่งที่ปราศจากเงินก็คงจะเป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่? สถานะของผู้คนขึ้นอยู่กับว่าพวกเขามีเงินมากเพียงใด เช่นเดียวกับความนับถือที่พวกเขาอยากได้มา หลังของคนยากจนก้มโค้งด้วยความอดสู ในขณะที่คนมั่งคั่งชื่นชมสถานที่สูงส่งของพวกเขา พวกเขาเชิดและเย่อหยิ่ง พูดเสียงดังและดำรงชีวิตอย่างโอหัง คติพจน์และกระแสนิยมนี้นำพาสิ่งใดมาสู่ผู้คนหรือ? จริงหรือไม่ที่ผู้คนมากมายทำการพลีอุทิศทุกอย่างในการไล่ตามเสาะหาเงินตรา? ผู้คนมากมายไม่ได้สูญเสียศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์สุจริตของพวกเขาไปในการไล่ตามเสาะหาเงินตราที่มากขึ้นหรอกหรือ? ผู้คนมากมายไม่ได้สูญเสียโอกาสในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาและติดตามพระเจ้าไปเพื่อประโยชน์ของเงินหรอกหรือ? การสูญเสียโอกาสที่จะได้รับความจริงและได้รับการช่วยให้รอดไม่ใช่การสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผู้คนหรอกหรือ? ซาตานไม่ส่อแววร้ายหรอกหรือที่ใช้วิธีการนี้และคติพจน์นี้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทรามถึงระดับเช่นนั้น? นี่ไม่ใช่เล่ห์เหลี่ยมที่คิดร้ายหรอกหรือ? ขณะที่เจ้าก้าวจากการคัดค้านคติพจน์ยอดนิยมนี้ไปสู่การยอมรับในที่สุดว่ามันเป็นความจริง หัวใจของเจ้าก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของซาตานโดยบริบูรณ์ และดังนั้นเจ้าก็ได้มาดำรงชีวิตอยู่ด้วยคติพจน์นี้โดยไม่ตั้งใจ คติพจน์นี้ส่งผลต่อเจ้าถึงระดับใด? เจ้าอาจจะรู้จักหนทางที่แท้จริง และเจ้าอาจจะรู้จักความจริง แต่เจ้าไร้พลังที่จะไล่ตามเสาะหาการนั้น เจ้าอาจจะรู้อย่างชัดเจนว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง แต่เจ้าไม่เต็มใจที่จะจ่ายราคา หรือที่จะทนทุกข์เพื่อให้ได้รับความจริงนั้นมา ในทางกลับกัน เจ้าคงจะพลีอุทิศอนาคตและชะตาลิขิตของเจ้าเองเพื่อต้านทานพระเจ้าจนถึงที่สุดมากกว่า ไม่สำคัญว่าพระเจ้าตรัสสิ่งใด ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด ไม่สำคัญว่าเจ้าจะเข้าใจหรือไม่ว่าความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเจ้านั้นลึกซึ้งเพียงใดหรือยิ่งใหญ่เพียงใด เจ้าคงจะยืนกรานอย่างดื้อด้านในการที่จะมีหนทางของเจ้าเองและจ่ายราคาให้แก่คติพจน์นี้ ซึ่งหมายความว่า คติพจน์นี้ได้หลอกลวงและควบคุมความคิดของเจ้าแล้ว มันเข้ากำกับพฤติกรรมของเจ้าแล้ว และเจ้าเลือกที่จะปล่อยให้มันปกครองชะตากรรมของเจ้ามากกว่าจะละวางการไล่ตามโภคทรัพย์ การที่ผู้คนสามารถปฏิบัติตนเช่นนี้ การที่คำพูดของซาตานสามารถควบคุมและบงการพวกเขา—นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาได้ถูกซาตานหลอกลวงและทำให้เสื่อมทรามแล้วหรอกหรือ? ปรัชญาและกรอบความคิดของซาตาน และอุปนิสัยของซาตาน ไม่ได้หยั่งรากลงไปในหัวใจของเจ้าแล้วหรอกหรือ? เมื่อเจ้าไล่ตามโภคทรัพย์อย่างมืดบอด และทอดทิ้งการไล่ตามเสาะหาความจริง ซาตานไม่ได้สัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายที่จะหลอกลวงเจ้าแล้วหรอกหรือ? ย่อมเป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 5) ฉันเพิ่งเข้าใจหลังอ่านพระวจนะว่า คำพูดอย่าง “เงินไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ถ้าไม่มีเงิน ก็จะทำอะไรไม่ได้” และ “เงินทำให้โลกหมุนไป” ที่ฉันเชื่อมาเสมอ ที่จริงเป็นหลักปรัชญาเยี่ยงซาตาน คำพวกนี้ฝังรากลึกในใจฉัน และควบคุมความคิดฉัน ทำให้ฉันไม่สามารถคิดว่าสิ่งอื่นสำคัญกว่าเงินได้ ฉันคิดว่ามันเป็นเหตุผลเดียวในการใช้ชีวิต และคิดว่ามันจะนำความสุขและเกียรติมาให้ฉันได้ ฉันเลยไล่ตามเงินอย่างหมดท่า เพื่อที่จะหาเงินได้มากขึ้น เป็นที่อิจฉาและเคารพ และใช้ชีวิตที่ดี ฉันจึงทำงานหนักโดยไม่สนร่างกาย จนเกือบเป็นอัมพาตและสูญเสียชีวิตไป นี่คือผลของการยอมรับหลักปรัชญาของซาตาน และถูกพวกมันควบคุม ถึงฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงมีอยู่ ฉันก็ไม่มีความแข็งแกร่งที่จะติดตามพระองค์ และเดินบนเส้นทางที่แท้จริงในชีวิต เพราะฉันถูกคำพูด และหลักปรัชญาของซาตานควบคุม มันทำให้ใจฉันห่างจากพระเจ้า และทำให้ฉันใช้ชีวิตแค่เพื่อสนองเนื้อหนัง การนำของพระวจนะ ทำให้ฉันตระหนักว่าฉันกำลังไปผิดทาง

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะอีกบทตอน และพบเส้นทางออกจากความเจ็บปวด พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “เนื่องเพราะผู้คนไม่ระลึกรู้การจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าและอธิปไตยของพระเจ้า พวกเขาจึงเผชิญหน้ากับชะตากรรมอย่างเยาะเย้ยท้าทายและด้วยท่าทีที่เป็นกบฏเสมอ และพวกเขาต้องการที่จะปลดเปลื้องสิทธิอำนาจและอธิปไตยของพระเจ้าและสิ่งต่างๆ ที่ชะตากรรมเตรียมไว้ให้ทิ้งไป โดยหวังลมๆ แล้งๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงรูปการณ์แวดล้อม ณ ปัจจุบันและแก้ไขดัดแปลงชะตากรรมของพวกเขา แต่พวกเขาไม่มีวันสามารถทำสำเร็จ และถูกขัดขวางในทุกการขยับตัว การดิ้นรนที่ก่อตัวลึกอยู่ในวิญญาณของคนเรานี้นำมาซึ่งความเจ็บปวดล้ำลึกชนิดที่กัดเซาะเข้าไปถึงกระดูกของคนเราในขณะที่คนเราใช้ชีวิตของตนอย่างทิ้งขว้างไปพลางๆ อะไรหรือคือสาเหตุของความเจ็บปวดนี้? มันเป็นเพราะอธิปไตยของพระเจ้า หรือเพราะบุคคลหนึ่งเกิดมาโชคร้าย? เห็นได้ชัดว่าไม่ถูกทั้งสองอย่าง โดยพื้นฐานแล้ว มันเกิดจากเส้นทางที่ผู้คนเลือกเดิน วิธีที่พวกเขาเลือกที่จะใช้ชีวิตของพวกเขา…มีหนทางที่จะทำให้คนเราเป็นอิสระจากสภาวะนี้อยู่หนทางหนึ่งซึ่งเรียบง่ายยิ่งนัก นั่นก็คือการอำลาวิถีชีวิตแต่เก่าก่อนของคนเรา การกล่าวคำอำลาเป้าหมายชีวิตก่อนหน้านี้ของคนเรา การสรุปและวิเคราะห์ลีลาชีวิต มุมมองของชีวิต การไล่ตามไขว่คว้า ความอยากได้อยากมี และอุดมคติต่างๆ ก่อนหน้านี้ของคนเรา และจากนั้นก็คือการเปรียบเทียบสิ่งเหล่านั้นกับน้ำพระทัยและข้อเรียกร้องที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ และดูว่ามีสิ่งใดบ้างที่สอดคล้องเข้ากันได้กับน้ำพระทัยและข้อเรียกร้องของพระเจ้า ดูว่ามีสิ่งใดบ้างที่มอบคุณค่าที่ถูกต้องของชีวิต นำทางคนเราไปสู่ความเข้าใจที่มากขึ้นเกี่ยวกับความจริง และอำนวยให้คนเรามีชีวิตอยู่กับสภาวะความเป็นมนุษย์และสภาพเสมือนมนุษย์คนหนึ่ง เมื่อเจ้ายังคงเจาะลึกลงไปซ้ำๆ และชำแหละเป้าหมายอันหลากหลายที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาในชีวิตและหนทางการดำเนินชีวิตนับหมื่นแสนของพวกเขาอย่างระมัดระวัง เจ้าจะไม่พบสักอย่างเดียวที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระผู้สร้างซึ่งพระองค์ใช้ในการสร้างมนุษยชาติขึ้นมา สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดดึงผู้คนให้ห่างออกจากอธิปไตยและการดูแลเอาใจใส่ของพระผู้สร้าง สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดคือกับดักที่เป็นเหตุให้ผู้คนกลายเป็นต่ำช้าและนำทางพวกเขาไปสู่นรก หลังจากที่เจ้าระลึกรู้การนี้ กิจของเจ้าก็คือการวางมุมมองเก่าของชีวิตลง อยู่ให้ห่างจากกับดักนานา ยอมให้พระเจ้าเข้ากำกับชีวิตของเจ้าและทำการจัดการเตรียมการสำหรับเจ้า มันคือการพยายามเพียงเพื่อที่จะนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการทรงนำของพระเจ้า เพื่อที่จะมีชีวิตโดยปราศจากการเลือกของปัจเจกบุคคล และเพื่อที่จะกลายเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งนมัสการพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3) พระวจนะทำใหฉันเข้าใจวิธีปลดปล่อยตัวเองออกจากการควบคุมของเงิน ซึ่งก็คือปล่อยวางเป้าหมายที่ฉันเคยไล่ตาม ไม่ไล่ตามชื่อเสียงและโชคลาภผ่านความพยายามของตัวเองอีกต่อไป และปล่อยให้พระเจ้าทรงตัดสินและจัดเตรียมชีวิตให้ฉัน ฉันต้องนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียง ปฏิบัติตามข้อพึงประสงค์ และกลายเป็นคนที่นมัสการพระเจ้า ฉันขอบคุณพระเจ้ามากค่ะ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ฉันรู้สึกถึงการทรงนำ ดูเหมือนพระเจ้าตรัสกับฉันโดยตรง ทรงแสดงให้ฉันเห็นเส้นทางปฏิบัติ พอมาเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันก็อยากทำหน้าที่ในคริสตจักร แต่ตอนนั้น ฉันยังเปิดร้านทางออนไลน์อยู่ ฉันลงทุนไปเยอะ แต่ไม่ได้กำไรเลย ฉันกลัวจะเสียไปมากกว่านี้ เลยต้องนั่งเฝ้าการสั่งซื้อทางออนไลน์ตลอดเวลา และฉันก็มักจะได้รับข้อความระหว่างชุมนุมตอนกลางวัน จึงไม่อาจสงบใจได้เลย แถมฉันยังคิดถึงการลงทุนและหาเงินให้ได้มากขึ้นอยู่ดี การเปิดร้านออนไลน์ช่วงกลางวันมันเหนื่อยมาก บางครั้ง ตอนชุมนุมช่วงค่ำ ฉันก็เจ็บไปทั้งตัว เลยได้แต่นอนลง และกินยาเพื่อให้หาย แต่ยานั้นทำให้ง่วง ฉันเลยผล็อยหลับระหว่างชุมนุม ฉันอยากนมัสการพระเจ้าอย่างจริงใจ อยากเลิกใช้ชีวิตแบบเดิม ฉันเลย ปิดร้านที่เปิดทางออนไลน์ไปค่ะ ต่อมา เพื่อนของฉันบอกว่าเธออยากเปิดร้านแบบดั้งเดิม ด้วยความที่ฉันเรียนการบริหารธุรกิจมา ฉันเลยช่วยเธอวางแผนแบบไม่คิดเงิน เธอชอบมันมาก และบอกว่าอยากร่วมงานกับฉัน เธออยากให้ฉันดูเรื่องบรรจุภัณฑ์ ส่วนเธอดูเรื่องขนส่ง และเราจะแบ่งเงินกันคนละครึ่ง มันช่างล่อใจ ฉันคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะหาเงินได้มากขึ้น และแนวคิดมากมายก็ผุดขึ้นมาในความคิดทันที คืนนั้น ขณะที่อธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อทบทวนสภาวะ ฉันก็ตระหนักว่า ฉันกำลังเผยความโลภต่อเงินอีกแล้ว ฉันนึกถึงความเจ็บปวดทั้งหลายที่เคยประสบมาในอดีต และตระหนักได้ว่า จิตวิญญาณของฉันไม่เจ็บปวดแล้วตั้งแต่มาเชื่อ ฉันเพลิดเพลินกับสันติสุขและความมั่นคง แถมความเจ็บปวดทางกายก็ดีขึ้นมาก โดยไม่ต้องใช้ยา นี่คือการทรงคุ้มครองและความรอดที่พระเจ้ามีต่อฉัน พระเจ้าทรงช่วยให้ฉันพ้นจากความทุกข์แห่งชื่อเสียงและโชคลาภ แต่ตอนนี้ฉันกลับอยากไล่ตามเงินและชื่อเสียงต่อ ฉันกำลังตกหลุมพรางของซาตานอีกแล้วไม่ใช่หรือ? ฉันรู้ว่าฉันควรปฏิเสธงานจากเพื่อนไป แต่ฉันก็ยังปล่อยวางมันโดยสิ้นเชิงไม่ได้ หลังจากนั้น ฉันก็อ่านพระวจนะและพบเส้นทางปฏิบัติ พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ผู้คนใช้ชีวิตหมดไปกับการไล่ล่าเงินทองและชื่อเสียง พวกเขากอดรัดกองฟางเหล่านี้ไว้แนบอก พลางคิดว่าพวกมันเป็นวิถีทางเดียวแห่งการค้ำจุนของพวกเขา ราวกับว่าพวกเขาจะสามารถมีชีวิตอยู่ตลอดไปได้ด้วยการมีสิ่งเหล่านี้ ได้รับการยกเว้นจากความตาย แต่ในยามที่พวกเขากำลังจะตายแล้วเท่านั้นที่พวกเขาตระหนักว่า สิ่งเหล่านี้อยู่ห่างไกลจากพวกเขาเพียงใด พวกเขาอ่อนแอขนาดไหนยามที่เผชิญหน้ากับความตาย พวกเขาแตกสลายได้ง่ายขนาดไหน พวกเขาเปลี่ยวดายและอับจนหนทางเพียงไร โดยไม่มีที่ใดให้หันหน้าไปพึ่งพา พวกเขาตระหนักว่า ชีวิตไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินทองหรือชื่อเสียง ว่าไม่ว่าบุคคลหนึ่งอาจอุดมด้วยโภคทรัพย์เพียงใด ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งขนาดไหน ทุกคนล้วนยากจนและไร้ความสำคัญอย่างเท่าเทียมกันเมื่ออยู่ต่อหน้าความตาย พวกเขาตระหนักว่า เงินไม่สามารถซื้อชีวิตได้ ว่าชื่อเสียงไม่สามารถลบความตายได้ ว่าทั้งเงินทองและชื่อเสียงไม่สามารถยืดชีวิตคนเราได้แม้แต่นาทีเดียว วินาทีเดียว ยิ่งผู้คนรู้สึกเช่นนี้มากขึ้นเท่าใด ผู้คนก็ยิ่งโหยหาที่จะรักษาชีวิตไว้มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งผู้คนรู้สึกในหนทางนี้มากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งหวาดหวั่นในการย่างกรายเข้ามาใกล้ของความตายมากขึ้นเท่านั้น มีเพียงที่จุดนี้เท่านั้นที่พวกเขาตระหนักอย่างแท้จริงว่า ชีวิตของพวกเขาไม่ได้เป็นของพวกเขา ไม่ใช่พวกเขาที่จะเป็นผู้ควบคุม และตระหนักว่า คนเราไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าคนเราจะอยู่หรือตาย—ว่าทั้งหมดนี้อยู่นอกการควบคุมของคนเรา(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3) ฉันได้เข้าใจจากพระวจนะ ว่าขณะที่ผู้คนคิดว่า การยึดติดเงินจะยืดชีวิตและป้องกันพวกเขาจากความตายได้ แต่พอเฉียดตาย พวกเขาถึงตระหนักได้ว่า เงินทองไม่อาจช่วยชีวิต และไม่อาจมอบชีวิตนิรันดร์ให้พวกเขา และไม่อาจช่วยให้สุขภาพกลับมาดีได้ การตื่นตอนที่เผชิญหน้ากับความตาย มันไม่สายไปหรือ? ฉันก็เคยเป็นแบบนั้น ที่หลับหูหลับตาไล่ตามเงินโดยไม่สนร่างกาย หมอบอกให้ฉันหยุดและพักฟื้น แต่ฉันกังวลว่า ถ้าอยู่บ้านก็จะหาเงินไม่ได้ ฉันเลยทำงานทั้งที่ป่วย ฉันคิดว่าฉันควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ แต่พอใกล้ตายฉันก็ตระหนักได้ว่า ฉันควบคุมอะไรไม่ได้เลย ความรอดของพระเจ้า ทำให้ตอนนี้ฉันโชคดีที่ได้ยินพระวจนะ ได้เข้าใจว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือชะตากรรมของผู้คน ฉันควรเชื่อฟังการทรงจัดเตรียม และไม่สู้กับชะตากรรมด้วยตัวเองอีกต่อไป ถ้าฉันเลือกที่จะหาเงิน ฉันก็คงกลับไปทุกข์ใจอีก ฉันคงทำให้ตัวเองหมดแรงเพื่อเงิน และซาตานคงควบคุมและทรมานฉันต่อไป ตอนนี้เองที่ฉันตระหนักได้ว่า นี่คือการที่ซาตานทดลองฉัน เพื่อนมาหาฉันพร้อมแนวคิดทางธุรกิจ เธอเพิ่มเงินลงทุน และเต็มใจจะแบ่งเงินที่ได้อย่างเท่าเทียม ข้อเสนอนั้นเย้ายวนใจมาก ซาตานกำลังใช้สิ่งนี้เพื่อทำให้ฉันกลับไปตกหลุมพรางของเงินและชื่อเสียง และอยากโง่กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมที่ทรมานและทุกข์ใจ นี่คือการหลงกลซาตานไม่ใช่หรือ? ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้า บอกว่าฉันอยากละวางชื่อเสียงและโชคลาภมาทำหน้าที่แทน หลังจากนั้น ฉันก็รู้สึกผ่อนคลายมาก เหมือนกับได้เป็นอิสระจากภาระอันหนักอึ้ง สามวันต่อมา เพื่อกันตัวเองจากวังวนของชื่อเสียงและโชคลาภ ฉันจึงคร่ำเคร่งอธิษฐานทุกวัน ฉันรวบรวมความกล้า ปฏิเสธการร่วมงานกับเพื่อนไป แต่เธอพยายามโน้มน้าวฉันว่า “ตอนนี้เธอใช้ชีวิตอยู่ด้วยเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล มันไม่พอใช้หรอก นี่ไม่ใช่นีน่าคนที่ฉันรู้จัก” ฉันบอกว่า “ใช่แล้ว ฉันไม่ใช่นีน่าคนเดิมที่เคยเป็น ฉันยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า และเข้าใจความจริงขึ้นบ้าง พระเจ้าเป็นผู้ที่ช่วยฉันจากความเจ็บปวด เมื่อก่อนโรงพยาบาลบอกว่าโรคของฉันรักษาไม่ได้ และล้มเลิกไป แม้แต่ยากล่อมประสาทก็ไม่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวด แต่พอได้อ่านพระวจนะ ความเจ็บปวดของฉันก็ทุเลาลงโดยไม่รู้ตัว ถ้าฉันทิ้งพระนิเวศและกลับไปที่โลก ฉันคงยังใช้ชีวิตอย่างเจ็บปวด ฉันไม่อยากใช้ชีวิตแบบนั้นต่อไปแล้ว” ฉันยังบอกเธอว่า “เธอหาคนมาทำงานด้วยได้อยู่แล้ว ถ้าเธอต้องการความช่วยเหลือ ฉันก็พอแนะนำได้” จากนั้น เธอก็เทียวมาหาฉันหลายหน จนเธอตระหนักได้ว่า ฉันคงไม่เปลี่ยนใจ

ตอนนี้ ฉันทำหน้าที่ในคริสตจักร แถมยังรู้สึกเป็นอิสระ และสงบสุข ความเจ็บปวดทางกายก็ลดลงเหลือแค่ 60-70 เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ฉันเดินทและทำอาหารได้ แต่ที่สำคัญที่สุด คือฉันทำหน้าที่ในคริสตจักรได้ ฉันขอบคุณพระเจ้าที่ทรงช่วยฉันจากการถูกเงินควบคุม และเปลี่ยนแปลงทิศทางชีวิตของฉัน ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า การรู้จักอธิปไตยของพระเจ้า การนมัสการพระเจ้า และการปฏิบัติตามพระวจนะและข้อพึงประสงค์ เป็นสิ่งที่เปี่ยมความหมายและมีคุณค่าที่สุดในชีวิต ถึงความเจ็บป่วยจะทำให้ฉันเจ็บปวดมาก แต่มันก็เป็นพระพรสำหรับฉันด้วย มันทำให้ฉันมีโอกาสหวนคืนสู่พระเจ้าและได้รับความรอด ซึ่งเป็นสิ่งที่เงินเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

เมื่อไม่ทำงานตัวเป็นเกลียวเพื่อเงินอีกต่อไป ฉันจึงพบชีวิตที่มีความสุข

โดย Dan Chun, อินโดนีเซีย “คุณกำลังประเมินตัวคุณเองสูงเกินไปจริงๆ หากคุณคิดว่าคุณสามารถส่งลูกของคุณเรียนมหาวิทยาลัยได้...

ในการอธิษฐานให้ได้งาน ฉันเป็นประจักษ์พยานต่อกิจการของพระเจ้า

โดย จี้จิง ประเทศญี่ปุ่น ฉันได้ยินมานานแล้วว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ดีจริงๆ ที่จะเดินทางไป หลังจากที่ฉันได้ไปถึงประเทศญี่ปุ่นในเดือนเมษายน...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger