ทางเลือกของคุณหมอ

วันที่ 07 เดือน 12 ปี 2022

สมัยเด็ก ครอบครัวฉันยากจนมาก แม่เป็นอัมพาตติดเตียง ต้องกินยาอยู่เป็นปี พ่อก็ออกไปทำงานนอกหมู่บ้านอยู่หลายปี ผู้คนในหมู่บ้านดูถูกครอบครัวเรา และพี่น้องของฉัน ก็มักถูกพวกคนชั่วในหมู่บ้านรังแก ตอนเจ็ดขวบ ฉันถูกอันธพาลในหมู่บ้านไล่ทุบตี ฉันกลัวมาก จนกลายเป็นโรคหัวใจ เพราะเราขาดเงินในการรักษา เลยมีผลตามมา ตั้งแต่จากวินาทีนั้น ฉันเลยตั้งใจไว้ว่า เมื่อโตขึ้น ฉันจะเป็นหมอที่เก่งมากๆ มารักษาแม่และรักษาตัวเอง และจะหาเงินให้ได้เยอะๆ ครอบครัวของเราจะได้มีชีวิตที่ดีและเป็นที่นับถือ

หลังจากจบแพทย์ ฉันก็ได้เข้าทำงานที่ศูนย์อนามัยประจำอำเภอ ฉันไม่พอใจที่ได้ทำงานในศูนย์เล็กๆ จึงพัฒนาทักษะทางอาชีพเต็มที่ และจะได้ย้ายไปโรงพยาบาลจังหวัด เพื่อให้ความตั้งใจนี้เป็นจริง ฉันเลยไปศึกษาเพิ่มที่โรงบาลใหญ่ และเรียนการปฏิบัติเชิงประยุกต์ด้วย พอกลับมาที่ศูนย์ ฉันก็ทำงานหนักมากเพื่อให้ได้เลื่อนตำแหน่ง ฉันทำงานเกือบทั้งวันทั้งคืน เหนื่อยมากจนปวดหลังทุกวัน หลังจากกลับถึงบ้าน ฉันก็ทำได้แค่ทิ้งตัวลงบนเตียง สุดท้าย ฉันก็ได้ย้ายไปทำงานที่โรงพยาบาลเฉพาะทางในเมือง สามปีต่อมา ฉันได้เลื่อนขั้นเป็นแพทย์สาขา ด้วยความตั้งใจและรับผิดชอบงาน แถมมีทักษะโดดเด่น ฉันเลยเป็นที่นิยมมากในโรงพยาบาล และหลายคนก็มาหาฉัน ฉันเลยค่อยๆ หาเงินได้มากขึ้น แถมยังช่วยลงทุนให้ธุรกิจของพี่ชาย ทางบ้านสามี เลยมักจะยกย่องฉันต่อหน้าคนอื่น ส่วนสามีเอง ก็รักฉันมากเช่นกัน ทั้งหมดนี้ล้วนสนองความทะนงตัวของฉันอย่างมาก ฉันคิดว่า ฉันมีชีวิตที่น่าอัศจรรย์

แต่ทั้งหมดนี้ ก็มาพร้อมราคาที่ต้องจ่าย จากความกดดัน กับการทำงานและพักผ่อนที่ไม่เป็นเวลามานาน ฉันเลยเป็นโรคนอนไม่หลับ มันแย่ลงเรื่อยๆ กินยาแค่ไหนรักษาไม่ได้ หลังจากนั้น ฉันก็มีปัญหาปวดท้อง และข้อต่อเสื่อม ไม่นาน หัวใจฉันก็เกิดมีปัญหา ทันทีที่ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ ฉันจะปวดหัว หัวใจเต้นรัว และมือสั่น ผู้เชี่ยวชาญที่โรงพยาบาลจังหวัด วินิจฉัยว่าฉันเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ แปลว่าฉันรับมือกับสิ่งเร้าไม่ได้เลย แถมยังไม่มีหลักฐานยืนยันการรักษาด้วย โรคนี้คุมได้ด้วยการดูแลหัวใจเป็นพิเศษเท่านั้น คำพูดของพวกเขา เหมือนสายฟ้าผ่าลงมากลางใจฉัน ฉันรู้สึกสิ้นหวัง พลางคิดว่า ฉันยังสาวมาก แต่กลับเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษา ชื่อเสียงเงินทองมันมีประโยชน์อะไร? สิ่งเหล่านั้นไม่ได้บรรเทาความเจ็บปวดไปเลย แล้วฉันก็คิดว่า ฉันรักษาผู้ป่วยทุกวัน แต่กลับรักษาโรคของตัวเองไม่ได้ ฉันเลยยิ่งรู้สึกทรมาน และเศร้าใจ เวลานอนไม่หลับ ฉันก็ได้แต่นอนจ้องเพดาน และเช็ดน้ำตาเงียบๆ การใช้ชีวิตแบบนี้ มันยากและเหนื่อยเกินไป ฉันยิ่งรู้สึกสิ้นหวังเป็นพิเศษด้วย รู้สึกเหมือนตอนเป็นโรคนี้ ฉันเพิ่งได้เริ่มใช้ชีวิต และไม่รู้ว่าอนาคตจะใช้ชีวิตยังไงต่อ การทำแบบนี้ต่อไปจะมีประโยชน์อะไร?

ขณะสิ้นหวังและเจ็บปวดอยู่นั้น ความรอดขององค์พระเยซูเจ้าก็มาสู่ฉัน พอได้มาเชื่อ โรคหัวใจและโรคนอนไม่หลับที่เป็นมานาน ก็หายเป็นปลิดทิ้ง ฉันขอบคุณที่พระเจ้าทรงมอบพระคุณอันยิ่งใหญ่ให้ฉัน เพื่อตอบแทนความรักของพระองค์ ฉันจึงกระตือรือร้นไปชุมนุมและประกาศข่าวประเสริฐ เดือนกรกฎาคมปี 2006 ฉันได้ยอมรับงานแห่งยุคสุดท้าย และได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก การกินดื่มพระวจนะ ทำให้ฉันเข้าใจความล้ำลึกของงานสามระยะ เป้าประสงค์ของแผนการบริหารจัดการ และเข้าใจว่าพระเจ้าทรงงานพิพากษาในยุคสุดท้าย เพื่อช่วยเราให้รอดจากบาปและอิทธิพลมืดของซาตาน ให้เราได้รับการทรงช่วยให้รอด และพาเราเข้าสู่ราชอาณาจักรในที่สุด ในพระวจนะ ฉันเห็นความหวังที่จะถูกช่วยให้รอดและได้เข้าราชอาณาจักร และพระวจนะ ก็เป็นเหมือนอาหารให้จิตวิญญาณที่หิวโหยของฉัน วันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะบทตอนนี้ “เจ้าตระหนักรู้ภาระบนบ่าของเจ้า พระบัญชาสำหรับเจ้า และความรับผิดชอบของเจ้าหรือไม่? สำนึกแห่งภารกิจครั้งประวัติศาสตร์ของเจ้าอยู่ที่ไหน? เจ้าจะทำหน้าที่เป็นเจ้านายคนหนึ่งในยุคถัดไปให้ดีพอได้อย่างไร? เจ้ามีสำนึกอันแรงกล้าของความเป็นนายหรือไม่? เจ้าจะอธิบายการเป็นนายของสรรพสิ่งอย่างไร? ใช่การเป็นนายเหนือสิ่งสร้างที่มีชีวิตทั้งมวลและเหนือสรรพสิ่งทางกายภาพของโลกจริงๆ หรือ? เจ้ามีแผนการอันใดเพื่อความก้าวหน้าของงานระยะต่อไป? มีผู้คนมากมายเพียงใดที่กำลังรอคอยให้เจ้าเป็นผู้เลี้ยงของพวกเขา? งานของเจ้าใช่งานหนักหรือไม่? พวกเขาอ่อนด้อย น่าสงสาร ตาบอดและหลงทาง ร้องคร่ำครวญอยู่ในความมืดมิดว่า—หนทางอยู่แห่งใด? พวกเขาโหยหายิ่งนักให้ความสว่างพลันเคลื่อนลงมาเหมือนดาวตก และขับไล่กำลังบังคับแห่งความมืดที่บีบคั้นมนุษย์มานานหลายปีเหลือเกิน ผู้ใดจะรู้ได้ว่าพวกเขาตั้งความหวังอย่างกระวนกระวายใจปานใด และคะนึงหาสิ่งนี้เพียงใดทั้งกลางวันและกลางคืน? แม้กระทั่งในวันที่ความสว่างส่องแสงวาบผ่านไป ผู้คนที่ทุกข์ทนอย่างลึกล้ำเหล่านี้ก็ยังคงถูกจองจำอยู่ในคุกใต้ดินอันมืดมิดโดยไม่มีหวังว่าจะได้รับการปลดปล่อย เมื่อไรที่พวกเขาจะไม่ต้องร่ำไห้อีกต่อไป? ความโชคร้ายของวิญญาณอันเปราะบางที่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้หยุดพักเหล่านี้ช่างเลวร้าย และพวกเขาถูกพันธนาการที่ไร้กรุณาและประวัติศาสตร์ที่เยือกแข็งผูกมัดไว้ในสภาวะนี้มาช้านานแล้ว และผู้ใดได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของพวกเขา? ผู้ใดมองเห็นสภาพอันยากแค้นของพวกเขา? เจ้าเคยฉุกคิดบ้างหรือไม่ว่าพระหทัยของพระเจ้าโทมนัสและกระวนกระวายเพียงใด? พระองค์จะทรงทนเห็นมวลมนุษย์ผู้ไม่ประสา ที่พระองค์ทรงสร้างด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ต้องทนทุกข์ทรมานเยี่ยงนี้ได้อย่างไร? ไม่ว่าอย่างไร มนุษย์ก็คือเหยื่อที่ถูกพิษ และถึงแม้มนุษย์จะรอดชีวิตมาได้จนถึงวันนี้ ผู้ใดจะรู้บ้างว่ามวลมนุษย์ถูกมารวางยาพิษมานานแล้ว? เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าก็เป็นหนึ่งในเหยื่อทั้งหลาย? เจ้าไม่เต็มใจที่จะเพียรพยายามด้วยความรักที่เจ้ามีต่อพระเจ้า เพื่อช่วยผู้รอดชีวิตเหล่านี้ให้รอดหรอกหรือ? เจ้าไม่เต็มใจที่จะอุทิศพลังงานทั้งหมดที่เจ้ามีเพื่อตอบแทนพระเจ้าผู้ทรงรักมวลมนุษย์ประดุจโลหิตและเนื้อหนังของพระองค์เองหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรจะทำภารกิจในอนาคตของเจ้าอย่างไร?) พระวจนะให้แรงบันดาลใจฉัน พระองค์ทรงหวังว่าเราจะลุกขึ้นเผยแผ่ข่าวประเสริฐ แก่ผู้ที่ยังอยู่ในความมืด และโหยหาการทรงปรากฏอย่างสิ้นหวัง ให้พวกเขาได้หวนคืนสู่พระนิเวศ ยอมรับความรอด และไม่ทนทุกข์กับความเสียหายของซาตานอีก ความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน! พอคิดว่าฉันโชคดีแค่ไหนที่ได้ยินพระสุรเสียง และได้ต้อนรับ องค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันก็อยากประกาศข่าวประเสริฐแก่คนที่คริสตจักรเดิม และบอกพวกเขาเรื่องการทรงกลับมา ฉันเลย ประกาศข่าวประเสริฐพร้อมทำงานไปด้วย ตอนนั้น เพราะงานอันยิ่งใหญ่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้นำและคนทำงาน รวมถึงผู้เชื่อบางส่วนจากคริสตจักรห้าแห่งในนิกายเดิมของฉัน จึงล้วนยอมรับงานใหม่ของพระเจ้า และจัดตั้งคริสตจักรใหม่ ต่อมา ฉันถูกเลือกเป็นมัคนายก ต้องดูแลงานของคริสตจักร ฉันได้เห็นพระพรและพระคุณ และนี่ก็ทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก พลางคิดว่า “ฉันจะทำงานของคริสตจักรอย่างสุดความสามารถ เพื่อพาผู้คนกลับมายังพระนิเวศให้มากขึ้น”

เดือนมีนาคมปี 2007 วันหนึ่ง หัวหน้างานบอกฉันว่า อยากฝึกฝนฉันเป็นผู้นำคริสตจักร ฉันค่อนข้างลังเลค่ะ ซึ่งแปลว่า ฉันอาจไม่มีเวลาไปทำงาน และอาจจะเสียงานไปได้ นั่นแปลว่าหลายปีที่ฉันทำงานอย่างหนักมา จะเสียเปล่าไม่ใช่หรือคะ? อีกอย่าง สามีก็คงจะเอาเรื่องฉันแน่ ตอนนั้นพอคิดแบบนี้ ฉันเลยไม่ยอมรับหน้าที่ จากนั้น ฉันก็รู้สึกผิดเป็นพิเศษ รู้สึกติดค้างพระเจ้าอยู่ตลอด ฉันอธิษฐานขอให้พระองค์ทรงนำฉันในการรู้จักตัวเอง หลังจากนั้น ฉันก็อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่ง “หากเราจะวางเงินจำนวนหนึ่งตรงหน้าพวกเจ้าตอนนี้ และให้พวกเจ้ามีอิสระในการเลือก—และหากเราไม่กล่าวโทษพวกเจ้าเนื่องจากตัวเลือกของพวกเจ้า—เมื่อนั้น พวกเจ้าส่วนใหญ่คงจะเลือกเงินและละทิ้งความจริง คนที่ดีกว่าในหมู่พวกเจ้าคงจะยอมละทิ้งเงินและเลือกความจริงอย่างลังเล ในขณะที่ผู้ที่อยู่ระหว่างกลางคงจะหยิบฉวยเงินไว้ในมือข้างหนึ่งและความจริงไว้ในมืออีกข้างหนึ่ง เช่นนั้นแล้ว ธาตุแท้ของพวกเจ้าจะไม่ปรากฏให้เห็นเด่นชัดหรอกหรือ? เมื่อต้องเลือกระหว่างความจริงและสิ่งใดก็ตามที่พวกเจ้าจงรักภักดี พวกเจ้าจะเลือกตัวเลือกนี้กันทุกคน และทัศนคติของพวกเจ้าก็จะยังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหรือ? มีผู้คนไม่มากนักในหมู่พวกเจ้าที่ได้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาระหว่างถูกและผิดมิใช่หรือ? ในการแข่งกันระหว่างด้านบวกกับด้านลบ ดำและขาว พวกเจ้าตระหนักรู้อย่างแน่นอนถึงตัวเลือกที่พวกเจ้าได้เลือกระหว่างครอบครัวกับพระเจ้า ลูกๆ กับพระเจ้า สันติสุขกับการแตกแยก ความร่ำรวยกับความยากจน สถานภาพกับความธรรมดาสามัญ การได้รับการสนับสนุนกับการถูกทิ้งขว้าง เป็นต้น…ชัดเจนแล้วว่าหลายปีแห่งการมอบอุทิศและความพยายามนั้นไม่ได้นำพาอะไรมาให้เรามากไปกว่าการทอดทิ้งและความสิ้นหวังของพวกเจ้า แต่ความหวังของเราที่มีต่อพวกเจ้าเติบโตไปพร้อมกับแต่ละวันที่ผ่านไป เนื่องจากวันของเราได้ถูกแผ่วางต่อหน้าทุกคนอย่างสมบูรณ์แล้ว กระนั้น พวกเจ้าก็ยังยืนกรานที่จะแสวงหาสิ่งที่มืดมนและชั่วร้ายทั้งหลาย และปฏิเสธที่จะคลายมือของเจ้าที่ยึดจับสิ่งเหล่านั้นไว้ เช่นนั้นแล้ว บทอวสานของพวกเจ้าจะเป็นอย่างไร? พวกเจ้าเคยให้การคิดคำนึงถึงเรื่องนี้อย่างรอบคอบหรือไม่? หากพวกเจ้าถูกขอให้เลือกอีกครั้ง แล้วจุดยืนของพวกเจ้าจะเป็นอย่างไร?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าจงรักภักดีต่อใคร?) ยิ่งใคร่ครวญพระวจนะ ฉันก็ยิ่งละอายใจ ราวกับฉันถูกพระเจ้าทรงพิพากษาต่อหน้า ฉันอ้างว่าอยากทำให้พระองค์พอพระทัย แต่พอถึงเวลาที่ต้องเลือกเข้าจริงๆ เพื่อจะรักษาอาชีพหมออันน่าอิจฉาเอาไว้ ฉันเลยปฏิเสธหน้าที่ สิ่งที่ฉันถนอมที่สุดคือเกียรติยศและสถานะ ไม่ใช่พระเจ้า ฉันติดตามซาตาน ภักดีต่อซาตาน และกบฏต่อพระเจ้า เวลาคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกผิดเป็นพิเศษ ฉันอยากตัดสินใจเลือกทางอื่น อยากละทิ้งงาน และสละตนเพื่อพระเจ้า แต่ฉันก็รู้ว่าถ้าลาออก ครอบครัวต้องไม่เห็นด้วยแน่นอน และฉันก็ยังปล่อยมันไม่ได้ ฉันทำได้แค่มาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์ ให้พระเจ้าทรงนำและชี้ทาง หลังจากนั้น ฉันก็นึกถึงบทเพลงสรรเสริญพระวจนะที่ชื่อ “ชีวิตอันเปี่ยมความหมายที่สุด” “เจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—แน่นอนว่าเจ้าควรนมัสการพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาชีวิตที่มีความหมาย ในเมื่อเจ้าเป็นมนุษย์ เจ้าก็ควรสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้าและสู้ทนความทุกข์ทุกอย่าง! เจ้าควรยอมรับความทุกข์เล็กน้อยที่เจ้าต้องมีในวันนี้และใช้ชีวิตที่มีความหมายอย่างยินดีและอย่างมั่นใจดังเช่นโยบและเปโตร พวกเจ้าคือผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาเส้นทางที่ถูกต้อง เป็นผู้ที่แสวงหาการปรับปรุงให้ดีขึ้น พวกเจ้าคือผู้คนที่ผงาดขึ้นมาในชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดง เป็นผู้ที่พระเจ้าตรัสเรียกว่าชอบธรรม นั่นไม่ใช่ชีวิตที่มีความหมายที่สุดหรอกหรือ?(ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) ขณะขับร้องบทเพลงสรรเสริญ ฉันก็รู้สึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจ ฉันเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และมีทุกอย่างได้เพราะพระเจ้า ฉันได้เพลิดเพลินกับพระคุณอันไม่มีที่สิ้นสุด และได้รับเสบียงอาหารมากมาย จากพระวจนะแห่งชีวิต แต่ฉันกลับไม่อยากตอบแทนความรักของพระองค์ ฉันปฏิเสธหน้าที่ เพราะเห็นแก่งานและอนาคตของตัวเอง ฉันจะอ้างว่าฉันมีมโนธรรมได้ยังไง? ฉันนึกถึงโยบขึ้นมา เขาเป็นที่รู้จักในฝั่งตะวันออก และร่ำรวยมากทีเดียว แต่เขาไม่ได้หวงแหนชื่อเสียงเงินทอง แม้ในยามที่สูญสิ้นทุกอย่าง เขาก็เชื่อฟังการทรงจัดวางเรียบเรียงและเตรียมการ ยืนหยัดในคำพยาน และหลู่เกียรติซาตานได้ ส่วนเปโตรนั้น เมื่อได้ยินเสียงขององค์พระเยซูเจ้า เขาก็ทิ้งทุกอย่างไปติดตามพระองค์ เขาประกาศ และเป็นพยานยืนยันแก่ข่าวประเสริฐของพระองค์ไปทุกที่ เขาไล่ตามความรักและการสนองพระเจ้า สุดท้ายก็ได้รับการทำให้เพียบพร้อม ฉันคิดว่า “ฉันต้องเอาอย่างพวกเขา ยอมรับหน้าที่ ปล่อยวางประโยชน์ส่วนตัว และไม่คิดถึงโอกาสในอนาคตของตัวเอง” พอคิดแบบนี้ ฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้า ให้ทรงมอบความมั่นใจและความเข้มแข็ง และทรงเปิดทางให้ฉัน ต่อมา เสียงรบกวนจากผู้ป่วยในที่ดังต่อเนื่อง ก็ทำให้ฉันโรคหัวใจกำเริบ ฉันเลยถือโอกาสนี้ ขอทางโรงพยาบาลลาป่วยอยู่ครึ่งปี และเริ่มมาทำหน้าที่เต็มเวลา

แต่ว่า การลางานครึ่งปีก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และผอ.โรงพยาบาล ก็โทรเรียกให้ฉันกลับไปทำงาน ตอนนั้น งานข่าวประเสริฐที่คริสตจักรค่อนข้างยุ่ง ฉันเลยหารือกับสามี และตัดสินใจกลับไปทำงานปีหน้า แต่สองเดือนหลังจากนั้น ทางโรงพยาบาลก็รบเร้าให้ฉันกลับไปทำงาน ไม่งั้นพวกเขาก็รับประกันงานให้ฉันไม่ได้ สามีฉันเองเลยเริ่มรบเร้าให้ฉันกลับไปทำงาน พอเป็นแบบนี้ ฉันก็กังวลเล็กน้อยว่า “ทำยังไงดี? ถ้าฉันไม่ไปทำงาน สิ้นปีนี้ฉันก็จะถูกปลดออก ถ้าเป็นแบบนั้น หลายปีที่ฉันทำงานอย่างหนักมาจะไม่เสียเปล่าหรือ? แต่ถ้ากลับไปทำงาน เวลาสำหรับทำหน้าที่ก็จะมีจำกัด ถ้าฉันทุ่มเทใจลงไม่ได้ มันก็จะกระทบต่องานของคริสตจักร” พอคิดถึงเรื่องนี้ ฉันเลยปฏิเสธที่จะกลับไป สามีโน้มน้าวฉันไม่ได้อีกต่อไป เขาจึงโทรหาพี่ชายกับพี่สะใภ้ของฉัน ให้มาช่วยโน้มน้าว พี่ชายฉันพูดว่า “ก็ขังไว้ในบ้านนี่แหละ อย่าให้ออกไปข้างนอก ถ้าแกคุมไม่อยู่ หักขาเธอซะ ต่อให้เป็นอัมพาต ตราบใดที่ยังอยู่บ้าน เธอก็จะรักษางานเอาไว้ได้ ถ้าเธอเสียงานนี้ไป เราก็เสียทุกอย่าง” พอได้ยินแบบนี้แล้ว มันปวดใจมากจริงๆค่ะ ฉันคิดว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้าและเดินบนทางที่ถูกต้อง แต่พี่ทำกับฉันแบบนี้ เมื่อก่อนตอนที่ฉันประสบความสำเร็จเรื่องงาน ทุกคนต่างมีความสุขที่ได้เพลิดเพลินกับความสำเร็จ และทักทายฉันด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้ พอฉันไม่ได้อะไรเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ ทุกคนก็มารวมกันเพื่อห้ามฉัน และพูดจาไร้หัวใจแบบนั้น” ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งผิดหวัง ฉันรู้สึกถึงความไม่แยแส ในความรักของมนุษย์ แต่แล้วฉันก็คิดว่า “ถ้าโรงพยาบาลไล่ฉันออกจริงๆ ฉันจะทำยังไง?” ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าเงียบๆ แล้วก็นึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่งขึ้นมา “เราได้เปิดเผยเจตนารมณ์ของเราแก่เจ้าแล้ว และเจ้าต้องไม่เพิกเฉยต่อมัน ตรงกันข้าม เจ้าต้องมุ่งความสนใจทั้งหมดของเจ้าอยู่กับเจตนารมณ์เหล่านั้น และตัดสิ่งอื่นใดทั้งหมดทิ้งไปเพื่อที่จะติดตามได้อย่างหมดใจ เราจะรักษาเจ้าไว้เสมอในมือของเรา จงอย่าเป็นคนขลาดกลัวและอยู่ภายใต้การควบคุมของสามีหรือภรรยาของเจ้าเสมอ เจ้าต้องเปิดโอกาสให้เจตจำนงของเราได้รับการดำเนินการ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 9) พระวจนะทำให้ฉันมั่นใจและเข้มแข็ง พระเจ้าคือพระผู้สร้าง และทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง ไม่ว่าฉันจะถูกไล่ออกจากโรงพยาบาลหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับอธิปไตยการจัดเตรียมของพระเจ้า ฉันเชื่อว่าพระองค์จะทรงเปิดทางให้ฉัน ฉันจะถูกสามีควบคุมไม่ได้ ไม่ว่าครอบครัวจะข่มเหงฉันยังไง ฉันก็อยากยืนหยัดเพื่อสนองพระเจ้า ฉันนึกถึง ความรักและความไม่เห็นแก่พระองค์ของพระเจ้า และยิ่งมีแรงจูงใจกว่าเดิม พระเจ้าตรัสว่า พระเจ้าทรงพากเพียรเพื่อความอยู่รอดของมวลมนุษย์ตลอดกาล กระนั้นมนุษย์กลับไม่เคยทำคุณูปการอันใดเพื่อความสว่างหรือเพื่อความชอบธรรมเลย ต่อให้มนุษย์มานะพยายามอยู่ชั่วระยะหนึ่ง แต่ความพยายามนั้นก็ไม่สามารถทานทนการโจมตีได้สักครั้งด้วยเหตุที่ความพยายามของมนุษย์เป็นไปเพื่อประโยชน์ของเขาเองเสมอและไม่ใช่เพื่อผู้อื่น มนุษย์เห็นแก่ตัวเสมอ ในขณะที่พระเจ้าไม่เห็นแก่พระองค์เองตลอดกาล(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นสำคัญมาก) มนุษยชาติที่เสื่อมทรามเห็นแก่ตัวเสมอ แต่พระเจ้าไม่ใช่ ไม่ว่าทรงงานใด พระองค์ก็ทำเพื่อชีวิตของผู้คนทั้งสิ้น ทั้งหมดก็เพื่อช่วยให้เราเข้าใจความจริง และนำเราไปสู่เส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต เราจะได้ถูกพระองค์ช่วยให้รอด ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำเพื่อผู้คนแค่ไหน พระองค์ก็ไม่เคยขอสิ่งใดจากเรา พระองค์ทรงทำทั้งหมดนี้ เพื่อเราที่ยังสับสน ขณะเดียวกัน ฉันก็ทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ฉันรู้ว่าการทำหน้าที่และจัดการงานของคริสตจักรให้ดี เป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของฉัน แต่ฉันกลัวว่าถ้าเสียงาน ฉันจะเสียชื่อเสียงโชคลาภ และความปรองดองในครอบครัวไป ฉันเลยปฏิเสธหน้าที่ ฉันเห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ ไม่มีความเป็นมนุษย์เลย! ยิ่งกว่านั้น การข่มเหงจากครอบครัว ก็ทำให้ฉันเจาะเข้าไปถึงอารมณ์ระหว่างผู้คนได้บ้าง เมื่อก่อน ครอบครัวดีกับฉันเพราะฉันมีหน้าที่การงานที่ดี ฉันช่วยเหลือพวกเขาได้ และทำให้พวกเขาดูดี พวกเขาเลยทักทายฉันด้วยรอยยิ้ม แต่พอฉันประกาศข่าวประเสริฐ และกำลังจะเสียงาน พวกเขาก็ไม่ได้รับอะไร เลยข่มเหง และห้ามฉัน ระหว่างผู้คนจะมีความรักได้ยังไง? มันมีแต่ธุรกรรมแลกเปลี่ยนทั้งนั้น ความรักของครอบครัว ก็ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์เหมือนกัน พวกเขาเอาแต่บังคับให้ฉันไล่ตามชื่อเสียงเงินทอง และความเพลิดเพลินทางเนื้อหนัง สำหรับฉันนี่ไม่ใช่ความรัก มันคือความเสียหาย และทำลายฉัน พอเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ฉันก็ไม่อยากรับใช้ซาตานอีกต่อไป ฉันแค่อยากทำหน้าที่ให้ดี และตอบแทนความรักของพระเจ้า

แล้วจู่ๆ สามีก็มาห้ามไม่ให้ฉันออกจากบ้าน เขาถึงกับขู่ว่า “ถ้าไม่ยอมตกลงไปทำงาน ผมจะไม่ให้คุณเชื่อในพระเจ้า และไม่ยอมให้พวกผู้เชื่อมาที่บ้านเราด้วย” แถมบอกว่า ถ้าฉันตกงานแล้วเขาใจร้ายใส่ ก็ไม่ควรโทษเขา พอฟังที่เขาพูดฉันก็คิดว่า “ถ้าฉันไม่ตกลงตามที่เขาต้องการ เขาก็จะขังฉันไว้ในบ้าน ฉันจะมีชีวิตคริสตจักร หรือทำหน้าที่ไม่ได้” ฉันเลยสัญญากับเขาว่า จะกลับไปทำงานที่โรงพยาบาล แต่ผอ.โรงพยาบาลกลัวว่า เสียงรบกวนจากคนไข้จะทำให้ฉันหัวใจวายขึ้นมาอีก พวกเขาเลยย้ายฉันแผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลทั่วไป ถึงไม่มีงาน ฉันก็ต้องนั่งอยู่ที่ห้องทำงาน และแบบนั้นฉันก็ทำหน้าที่ไม่ได้ ทุกวัน ฉันจะนั่งไม่ติดที่อยู่คนเดียวในห้องทำงาน นึกถึงว่าที่คริสตจักรมีงานด่วนเยอะแค่ไหน ขณะที่ฉันติดอยู่ที่นั่น ฉันรู้ว่างานของคริสตจักรคงล่าช้า และชีวิตของเหล่าพี่น้องคงเสียหาย ฉันเลยรู้สึกผิดเป็นพิเศษ ฉันอ้างว่าอยากทำหน้าที่ให้ดีเพื่อสนองพระเจ้า แต่พอถูกสามีข่มเหงและขัดขวาง ฉันก็ยอมจำนนทันที แล้วจะพูดว่าฉันสัตย์ซื่อและเชื่อฟังพระเจ้าได้ยังไง? ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งเศร้า จนกระทั่งกลั้นน้ำตาที่รินไหลออกมาไม่ได้ ตอนนั้นเอง ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์อยากทำหน้าที่และสละตน แต่กลับถูกสามีและสภาพแวดล้อมบีบคั้น โปรดมอบความมั่นใจและความเข้มแข็งให้ข้าฯ ที” หลังจากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่ง “เมื่อผู้คนมีความเข้าใจที่จริงแท้ในพระอุปนิสัยของพระเจ้า เมื่อพวกเขาสามารถมองเห็นว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้าเป็นจริง บริสุทธิ์อย่างแท้จริง และชอบธรรมอย่างแท้จริง และเมื่อพวกเขาสามารถสรรเสริญความบริสุทธิ์และความชอบธรรมของพระเจ้าจากหัวใจของตน เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง และย่อมจะได้รับความจริงไว้แล้ว เฉพาะเมื่อผู้คนรู้จักพระเจ้าเท่านั้น พวกเขาจึงจะมีชีวิตอยู่ในความสว่าง และผลลัพธ์โดยตรงของการรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริงก็คือการสามารถรักพระเจ้าได้อย่างแท้จริงและเชื่อฟังพระเจ้าได้อย่างแท้จริง ในหมู่ผู้คนที่เข้าใจความจริงและได้รับความจริง จะมีการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในโลกทัศน์และทัศนคติที่พวกเขามีต่อชีวิต ซึ่งหลังจากนั้นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงย่อมจะเกิดขึ้นกับอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาด้วย เมื่อผู้คนมีเป้าหมายที่ถูกต้องในชีวิต สามารถไล่ตามเสาะหาความจริง และประพฤติตนตามความจริง เมื่อพวกเขานบนอบพระเจ้าอย่างสมบูรณ์และดำรงชีวิตตามพระวจนะของพระองค์ เมื่อพวกเขารู้สึกเปี่ยมสันติสุขและได้รับความกระจ่างไปจนถึงส่วนลึกในดวงจิตของตน เมื่อหัวใจของพวกเขาเป็นอิสระจากความมืดมิด และเมื่อพวกเขาสามารถดำรงชีวิตอย่างอิสระและไม่ถูกตีกรอบอย่างสิ้นเชิงในการสถิตของพระเจ้า เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะดำเนินชีวิตที่จริงแท้ของมนุษย์ และเมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะกลายเป็นผู้ที่ครองความจริงและสภาวะความเป็นมนุษย์ นอกจากนี้แล้ว ความจริงทั้งหมดที่เจ้าเข้าใจและได้มานั้นล้วนมาจากพระวจนะของพระเจ้าและมาจากพระเจ้าพระองค์เอง มีเพียงเมื่อเจ้าได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าผู้ทรงสูงสุด—องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้าง และพระองค์ตรัสว่าเจ้าคือสิ่งสร้างอันมีชีวิตที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เป็นผู้ดำรงชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์แล้วเท่านั้น ชีวิตของเจ้าจึงจะเปี่ยมความหมายที่สุดเหนือทุกสิ่ง การมีความเห็นชอบของพระเจ้าหมายความว่าเจ้าได้มาซึ่งความจริง และเจ้าคือใครบางคนที่ครองความจริงและสภาวะความเป็นมนุษย์(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์) พอใคร่ครวญดู ฉันก็เข้าใจว่า ในชีวิตเรา แค่การไล่ตามความจริง รู้จักพระเจ้า และได้รับความเห็นชอบจากพระผู้สร้าง ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่รุ่งโรจน์ได้ มีเพียงสิ่งนี้ที่เป็นชีวิตแท้จริง และเป็นสิ่งที่ฉันควรเลือก ฉันเรียนแพทย์อย่างหมดท่า เพื่อไล่ตามชื่อเสียงและโชคลาภทางโลก พอประสบความสำเร็จ ฉันก็เป็นที่ชื่นชมจากหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน และเป็นที่ยกย่องจากญาติมิตร แต่สิ่งเหล่านี้มีประโยชน์อะไรกับฉัน? ไม่ว่าจะมีชื่อเสียงหรือทรัพย์สินแค่ไหน ฉันก็เติมเต็มความว่างเปล่าในจิตวิญญาณไม่ได้ จนร่างกายฉันเหนื่อยล้าและล้มป่วย ชีวิตของฉันก็ยังไร้ความหมาย และทุกข์ใจ และฉันก็ไม่รู้สึกสงบ หรือปิติเลย ฉันนึกถึงหลังจากที่ยอมรับงานยุคแห่งสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ การกินดื่มพระวจนะ ใช้ชีวิตคริสตจักร และทำหน้าที่ ทำให้ฉันเริ่มเข้าใจความจริงโดยไม่รู้ตัว ฉันรู้วิธีปฏิบัติตัว รู้วิธีนมัสการพระเจ้า วิธีกำจัดอุปนิสัยเสื่อมทราม และใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ปกติ ทั้งหมดนี้ทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายและปลดปล่อยเป็นพิเศษ ฉันเข้าใจว่า ผู้คนคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และมีแค่การใช้ชีวิตในการสถิตของพระเจ้า และการจับความเข้าใจความจริง ที่ทำให้เราสงบสุขได้ ไม่อย่างนั้น ไม่ว่าผู้คนจะใช้ชีวิตยังไง ชีวิตของพวกเขาก็ว่างเปล่าและทุกข์ทนเสมอ จุดนี้เองที่ฉันเข้าใจว่า พระเจ้าทรงอนุญาตให้ฉันเจอกับการข่มเหงจากครอบครัว สภาพแวดล้อมนี้ บีบให้ฉันมาเฉพาะพระพักตร์เพื่อพึ่งพาพระเจ้า และแสวงหาความจริง ซึ่งทำให้ฉันเห็นชัดว่าการอยู่ใต้อำนาจครอบครองของซาตานนั้นเจ็บปวด และทำให้ฉันเลือกได้ว่า จะติดตามพระเจ้า และเดินบนทางที่ไล่ตามความจริง พอเข้าใจพระเจตนารมณ์อันดี หัวใจฉันก็สว่าง ฉันยังเป็นอิสระจากการบีบคั้นของครอบครัว ลาออกจากโรงพยาบาล และมาทำหน้าที่ในคริสตจักรแบบเต็มเวลาด้วย

วันหนึ่งในเดือนธันวาคมปี 2007 หลังเสร็จหน้าที่และกลับถึงบ้าน สามีของฉันก็โกรธมาก บอกว่า “โรงพยาบาลโทรมา บอกว่าถ้าไม่ไปทำงาน คุณจะถูกปลดออก คุณต้องกลับไปทำงานของตัวเองเดี๋ยวนี้ ถ้าคุณตกงาน คุณจะเสียเงินบำนาญและสิทธิประโยชน์ทั้งหมดไป!” พอได้ยินแบบนี้ ฉันก็รู้สึกวุ่นวายใจเล็กน้อย พลางคิดว่า “ก็จริง ตั้งแต่เด็กฉันฝันจะเป็นหมอที่ดี และสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง หลังจากดิ้นรนอย่างหนัก ฉันก็มีทั้งชื่อเสียงและโชคลาภ ถ้ายอมทิ้งไปตอนนี้ ฉันก็จะไม่เหลืออะไรเลย” ความคิดนี้ทำให้ฉันไม่แน่ใจว่าจะทำยังไงดี ฉันและอธิษฐานถึงพระเจ้าเงียบๆ ว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์คิดว่าตัวเองล้มเลิกในเกียรติยศ โชคลาภ และสถานะไปแล้ว แต่พอจะต้องปล่อยมือจากงานไปจริงๆ ข้าฯ ก็ยังรู้สึกเศร้าอยู่นิดหน่อย พระเจ้า โปรดทรงนำข้าฯ ให้เข้าใจความจริงและไม่ถูกสิ่งเหล่านี้ควบคุมด้วยเถิด” หลังจากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่ง “ซาตานใช้ชื่อเสียงและผลตอบแทนควบคุมความคิดของมนุษย์ จนกระทั่งทั้งหมดที่ผู้คนสามารถนึกถึงได้ก็คือชื่อเสียงและผลตอบแทน พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน ทนทุกข์จากความยากลำบากทั้งหลายเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน สู้ทนความอัปยศอดสูเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน พลีอุทิศทุกสิ่งที่พวกเขามีเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน และพวกเขาจะทำการพิพากษาหรือการตัดสินใจอันใดก็เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชื่อเสียงและผลตอบแทน ซาตานผูกมัดผู้คนเข้ากับโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นก็ด้วยวิธีนี้ และพวกเขาก็ไม่มีทั้งความเข้มแข็งและความกล้าที่จะขว้างโซ่ตรวนออกไป พวกเขาแบกโซ่ตรวนเหล่านี้ไว้โดยที่ไม่รู้ตัว และเดินต่อไปข้างหน้าด้วยความลำบากยากเย็นอันใหญ่หลวง เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชื่อเสียงและผลตอบแทนนี้ มนุษย์หลบเลี่ยงพระเจ้าและทรยศพระองค์และกลายเป็นเลวยิ่งขึ้นทุกที ดังนั้น คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าจึงถูกทำลายในท่ามกลางชื่อเสียงและผลตอบแทนของซาตานด้วยวิธีนี้นี่เอง ทีนี้ พอมองดูการกระทำทั้งหลายของซาตาน สิ่งจูงใจส่อแววร้ายทั้งหลายของมันไม่น่ารังเกียจอย่างถึงที่สุดหรอกหรือ? บางทีวันนี้พวกเจ้ายังคงไม่สามารถมองทะลุถึงสิ่งจูงใจอันส่อแววร้ายของซาตาน เพราะพวกเจ้าคิดว่าคนเราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากชื่อเสียงและผลตอบแทน พวกเจ้าคิดว่าหากผู้คนทิ้งชื่อเสียงและผลตอบแทนไว้ข้างหลัง พวกเขาจะไม่สามารถเห็นหนทางข้างหน้าได้อีกต่อไป ไม่สามารถเห็นเป้าหมายของพวกเขาได้อีกต่อไป คิดว่าอนาคตของพวกเขาจะกลายเป็นมืดมิด คลุมเครือ และหม่นมัว แต่ทว่าวันหนึ่งพวกเจ้าทั้งหมดจะระลึกรู้ได้อย่างช้าๆ ว่าชื่อเสียงและผลตอบแทนเป็นโซ่ตรวนอันมหึมาที่ซาตานใช้ผูกมัดมนุษย์ เมื่อวันนั้นมาถึง เจ้าจะต้านทานการควบคุมของซาตานอย่างถ้วนทั่วและต้านทานโซ่ตรวนที่ซาตานใช้เพื่อผูกมัดเจ้าอย่างถ้วนทั่ว เมื่อถึงเวลาที่เจ้าปรารถนาจะขว้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ซาตานปลูกฝังไว้ในตัวเจ้าออกไป เมื่อนั้นเจ้าจึงจะแยกทางกันอย่างเด็ดขาดกับซาตาน และเจ้าจะเกลียดทั้งหมดที่ซาตานได้นำมาให้เจ้าอย่างแท้จริง เมื่อนั้นเท่านั้นมวลมนุษย์จึงจะมีความรักและการโหยหาจริงต่อพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6) พออ่านจบฉันถึงตระหนักว่า ซาตานทำให้ฉันเสียหายอย่างหนักแค่ไหน ชื่อเสียงและผลตอบแทน กลายมาเป็นชีวิตของฉัน และกลายเป็นสิ่งที่ขัดขวางฉันจากการปฏิบัติความจริง ตั้งแต่เด็กพ่อแม่สอนฉันว่า “จงอยู่เหนือผู้อื่น” และ “จงนำเกียรติยศมาสู่บรรพบุรุษ” ฉันคิดว่าการมีชื่อเสียงและผลตอบแทน แปลว่าฉันได้ใช้ชีวิตที่มีความหมายและมีคุณค่า ฉันนึกถึงชื่อเสียง ผลตอบแทน และสถานะเป็นสิ่งทางบวก และนั่นเป็นเป้าหมายเดียวที่ฉันควรไล่ตามในชีวิต ฉันจึงมุ่งมั่นไล่ตามชื่อเสียงเงินทอง ผลตอบแทน และความพอใจ สุดท้ายฉันก็ได้แต่ทรมานตัวเองจนหมดแรง เกียรติยศและสถานะ เป็นเพียงอุบายที่ซาตานใช้เพื่อกลืนกินและทำให้ผู้คนเสื่อมทราม ฉันนึกถึงเพื่อนร่วมงาน ที่ไล่ตามชื่อเสียงและโชคลาภ จนเสียชีวิตอย่างน่าเศร้า เขาเป็นผอ.แผนกผู้ป่วยนอก ที่อุทิศตัวอย่างหนักให้แก่อาชีพ เขากลับบ้านดึกเสมอ อยากอยู่เพื่อรักษาผู้ป่วยและหาเงินให้ได้มากขึ้น สุดท้ายเขาก็มีชื่อเสียงและเงินทอง แต่คืนหนึ่ง เขาเลิกงานดึกมาก ขณะที่เดินกลับบ้านอย่างโรยแรงคนเดียว เขาก็ถูกรถชนเสียชีวิต ฉันมีเพื่อนร่วมงานอีกคน ที่ได้เป็นหัวหน้าพยาบาลตั้งแต่ยังสาว คนอื่นมองว่าเธออนาคตไกล แต่เธองานยุ่งเกินไป ตอนกลับบ้าน เธอก็ยังคุยกับเพื่อนร่วมงานเรื่องนี้ เธอข้ามทางรถไฟโดยไม่ทันระวัง และถูกรถไฟความเร็วสูงชนจนเสียชีวิต ขณะที่อายุแค่ยี่สิบกว่า พอนึกถึงประสบการณ์ของเหล่าเพื่อนร่วมงาน ฉันก็เริ่มสั่นเทิ้มด้วยความกลัว พวกเขาก็เป็นที่ยกย่องนับถือมากที่โรงพยาบาล แต่ถ้าไม่มีการคุ้มครองดูแลจากพระเจ้า ชื่อเสียงและโชคลาภจะมีประโยชน์อะไร? เกียรติยศและสถานะ คือวิธีที่ซาตานใช้สร้างความเสียหายและทำให้ผู้คนเสื่อมทรามจริงๆ พวกเขาติดกับดักที่ซาตานวางไว้ เพื่อทดลองผู้คน ให้ไล่ตามชื่อเสียงและโชคลาภไปทั้งชีวิตอย่างขมขื่น ให้พวกเขาลงเอยห่างจากพระเจ้า และความรอดของพระผู้สร้าง ฉันทนทุกข์กับพันธนาการ และการบีบคั้นแห่งเกียรติยศและสถานะ จึงไม่เคยตัดสินใจเลือกระหว่างงานกับหน้าที่ได้อย่างถูกต้อง มันน่าเสียดายมากค่ะ! งานในยุคสุดท้ายเพื่อช่วยผู้คนให้รอด เป็นโอกาสเดียวในชีวิต และตอนนี้ฉันได้ยอมรับหนทางที่แท้จริง เพราะพระคุณของพระเจ้าแล้ว แต่ฉันกลับไม่หวงแหนโอกาสในการทำหน้าที่เพื่อให้ได้รับความจริง ถ้าพลาดโอกาสนี้ไป ฉันจะไม่ทำลายของตัวเองหรือ? แบบนี้คือโง่เขลาไม่ใช่หรือ?

ฉันนึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่ง “ในฐานะใครคนหนึ่งที่ปกติและไล่ตามเสาะหาการรักพระเจ้า การเข้าสู่ราชอาณาจักรเพื่อกลายเป็นหนึ่งในประชากรของพระเจ้าคืออนาคตที่แท้จริงของพวกเจ้า และเป็นชีวิตที่มีคุณค่าและมีนัยสำคัญมากที่สุด ไม่มีผู้ใดได้รับพรมากไปกว่าพวกเจ้า เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้? เพราะพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อเนื้อหนัง และพวกเขามีชีวิตอยู่เพื่อซาตาน แต่วันนี้พวกเจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า และมีชีวิตอยู่เพื่อทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า นี่จึงเป็นเหตุผลที่เรากล่าวว่าชีวิตของพวกเจ้ามีนัยสำคัญมากที่สุด(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, รู้จักพระราชกิจใหม่ล่าสุดของพระเจ้าและติดตามรอยพระบาทของพระองค์) พระวจนะมอบเส้นทางปฏิบัติให้ฉัน วันนี้ การไล่ตามการทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างในคริสตจักรให้ลุล่วง เป็นเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตที่ควรเลือก และเป็นชีวิตที่มีความหมายที่สุด ฉันถูกซาตานหลอกลวงและทำให้เสื่อมทรามมาก่อน แถมยังใช้ชีวิตด้วยหลักปรัชญาเยี่ยงซาตาน ฉันไล่ตามชื่อเสียงและโชคลาภอย่างสุดหัวใจและทุกข์ทนกับการหลอกลวงและความเสียหายของซาตาน พระวจนะทำให้ฉันเห็นผลที่ตามมา รวมถึงแก่นแท้ของการไล่ตามชื่อเสียงโชคลาภและสถานะ และทำให้ฉันเข้าใจว่า นี่คือวิธีที่ซาตานใช้กลืนกินและทำให้ผู้คนเสื่อมทราม วันนี้ งานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้ากำลังจะปิดตัวลง แผนการบริหารจัดการของพระเจ้ากำลังจะสิ้นสุด และมหาวิบัติได้เริ่มขึ้นแล้ว เราจะรอดจากความวิบัตินี้ได้ จากการไล่ตามความจริงเท่านั้น ถ้าฉันไม่ไล่ตามความจริง และใช้เวลาอันแสนมีค่าและแสนสั้นนี้ ไล่ตามชื่อเสียงและโชคลาภ สุดท้ายฉันคงไม่มีวันได้รับความจริงและชีวิตที่พระเจ้ามอบให้ และคงไม่ถูกช่วยให้รอด เช่นนั้นแล้ว ความเชื่อในพระเจ้าของฉันก็คงสูญเปล่า ฉันคงเสียใจไปทั้งชีวิต เหมือนที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เพราะเขาจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าได้สิ่งของหมดทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน? หรือคนนั้นจะนำอะไรไปแลกชีวิตของตนกลับคืนมา?(มัทธิว 16:26) ฉันรู้ว่า ฉันต้องหวงแหนโอกาสหนึ่งเดียวในชีวิตนี้ไว้ ฉันจะรีบเร่งเพื่อประโยชน์ทางเนื้อหนังอีกไม่ได้ ในช่วงเวลาแสนสำคัญของงานเพื่อช่วยผู้คนให้รอด ฉันต้องฉวยโอกาสไล่ตามความจริง และทำหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างไว้ นี่คือวิธีใช้ชีวิตที่มีค่า และมีความหมายที่สุด พอคิดแบบนี้ ฉันก็ตัดสินใจลาออกจากงาน และเริ่มทำหน้าที่แบบเต็มเวลา พอฉันเล่าการตัดสินใจให้สามีฟัง เขาก็พูดอย่างสิ้นหวังว่า “ช่วงสองสามปีนี้ ผมพยายามทุกทางเพื่อให้คุณไปทำงาน และรักษางานนี้ไว้ ผมแค่อยากให้คุณหาเงินได้มากขึ้น เราจะได้ใช้ชีวิตที่ดี แต่ในใจคุณ มีแต่พระเจ้าของคุณ ผมควบคุมคุณไม่ได้แล้ว อนาคตก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วกัน” จากนั้น ฉันก็ไปทำเรื่องลาออกที่โรงพยาบาล ผอ.โรงพยาบาลพยายามห้ามฉันซ้ำๆ โดยบอกว่า “การเป็นหมอเป็นอาชีพที่มั่นคง และโรงพยาบาลจะไม่มีวันปิดลง ตอนนี้งานในโรงพยาบาลหายากมากๆ อีกอย่าง คุณเป็นคนงานที่สำคัญที่นี่ และมีอนาคตที่สดใส คุณกำลังจะได้ขึ้นค่าตอบแทน และตอนนี้ก็กำลังจะมีสิทธิประโยชน์ใหม่ๆ คิดเรื่องนี้ดูให้ดี!” ฉันรู้ว่า นี่เป็นการทดลองของซาตาน ซาตานอยากใช้เขามาล่อลวงฉันจากพระเจ้า และทำให้ฉันทรยศพระเจ้า ฉันจะไม่หลงกลอุบายนี้ ฉันเลย แสดงความความรู้สึกกับผอ.โรงพยาบาล และอย่างเดียวที่เขาทำได้ คือทำเรื่องลาออกให้ฉัน พอฉันปล่อยวางงาน และหันกลับมาทุ่มตัวเองให้หน้าที่ ฉันก็รู้สึกโล่งใจมาก ฉันไม่ถูกงานผูกมัดและควบคุมอีกต่อไปแล้ว และฉันก็มีเวลากินดื่มพระวจนะ และทำหน้าที่มากขึ้น การนำของพระวจนะ ทำให้ฉันเป็นอิสระจากพันธนาการและการบีบคั้นของชื่อเสียงและสถานะ และมอบทิศทางที่ถูกต้องในชีวิตให้ฉัน

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การตื่นขึ้นฝ่ายจิตวิญญาณของคริสตชนคนหนึ่ง: วิธีกำจัดความเจ็บปวดจากความว่างเปล่าภายในไปจากตนเอง

โดย Su Chenyu ฉันยืนอยู่บนท้องถนนที่วุ่นวาย ฟังเสียงแตรรถยนต์ มองดูฝูงคนเดินถนนรีบรุดผ่านไปขณะที่รถบัสจอดออกันที่สี่แยก...

เมื่อไม่ทำงานตัวเป็นเกลียวเพื่อเงินอีกต่อไป ฉันจึงพบชีวิตที่มีความสุข

โดย Dan Chun, อินโดนีเซีย “คุณกำลังประเมินตัวคุณเองสูงเกินไปจริงๆ หากคุณคิดว่าคุณสามารถส่งลูกของคุณเรียนมหาวิทยาลัยได้...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger