ทางเลือกเพื่อช่วงชีวิตที่เหลือ
ตอนเด็กบ้านผมค่อนข้างจน พวกเราถูกคนในหมู่บ้าน ระรานอยู่บ่อยๆ เวลาเห็นแม่ร้องไห้เพราะโดนรังแก ผมจะรู้สึกแย่เสมอ เหมือนทุกคนดูถูกเรา เพราะเราไม่มีสถานะ และไม่เคยมีโอกาสก้าวหน้า ในช่วงนั้น พ่อแม่มักบอกผมว่า “‘คนจนอยู่เมืองใหญ่ก็เหงา คนรวยอยู่ป่าเขาก็ยังมีคนมาหา’ โตขึ้นแกต้องมีชื่อและเก่งกว่าเพื่อน เพื่อนำเกียรติ มาสู่ครอบครัวเรา” ผมเก็บคำพวกนี้ไว้ในใจ ทำงานหนักเพื่อให้มีสถานะ และเป็นที่นับถือของคนอื่น
ปี 1986 ผมเข้าอบรมพนักงานใหม่ กับบริษัทใหญ่ระดับประเทศ ผมตั้งใจเรียน จนได้คะแนนสูงสุดเกือบทุกเดือน ทั้งการเรียนและจิตพิสัย แต่น่าแปลกที่ ผมได้รับตำแหน่งระดับเจ้าหน้าที่ และต่ำต้อย ขณะที่คนอื่นๆ ที่ชาติตระกูลดี แต่คะแนนแย่กว่าผม กลับได้ทำในฝ่ายบริหาร ผมผิดหวังกับความพ่ายแพ้ครั้งนี้มาก และรู้ว่าถ้าอยากต่างจากพวก แค่ทำงานให้ดีนั้นไม่พอ ต้องหัดประจบเจ้านายด้วย ผมเลย ไปช่วยงานเขาที่บ้านบ่อยๆ เวลาเขาป่วยจนเข้าโรงพยาบาล ผมก็คอยอยู่รับใช้ทุกอย่าง เพื่อให้เจ้านายยอมรับในตัวผม ผมซื้อหนังสือทุกประเภท และทุ่มเทศึกษา เพื่อพัฒนาทักษะการจัดการ หลังจากที่ ตั้งใจอย่างหนักได้สองสามปี ในที่สุดผมก็ได้เลื่อนเป็นระดับบริหารที่สูงขึ้น ที่โรงงาน คนงานทุกคนก้มหัวและโค้งทักทายผม พอผมกลับบ้าน เพื่อนบ้านต่างก็แวะเวียนมาเยี่ยม นั่นทำให้ ผมกลายเป็นคนดังของหมู่บ้าน มีคนมาขอให้ผมช่วย มากขึ้นเรื่อยๆ พวกที่เมื่อก่อนดูถูกเรา ก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ตอนนี้เป็นมิตรกับผมแล้ว ด้วยความทระนงตัว ผมพอใจมากที่ได้เป็นจุดสนใจ และเต็มไปด้วยคนนับถือ
ปี 1998 ตอนอายุสามสิบห้า ผมได้เลื่อนเป็นผอ.โรงงาน ถึงจะมีทั้งสถานะ และอำนาจในมือ ผมก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ กังวลว่าการไม่มีเครือข่าย ถ้าเกิดทำงานได้ไม่ดี ผมอาจรักษาสถานะนี้ไว้ไม่ได้ ผมเลยทำงานด้วยความระวังอย่างยิ่ง ราวกับเดินบนแผ่นน้ำแข็ง กลัวมากว่าถ้าเกิดผิดพลาด ผมจะโดนปลด เพื่อให้ธุรกิจเติบโต ผมมักจะพาลูกค้าไปสังสรรค์ ไปดื่ม ไปร้องเพลง ผมรู้ว่าผู้จัดการบางคน ถึงกับติดสินบนลูกค้าด้วยเงินและโสเภณี ผมรังเกียจการทำธุรกิจแบบนี้ แต่คิดไปคิดมา สุดท้ายผมก็โอนอ่อนไปตามความเป็นจริง ระหว่างช่วงนั้น ผมสู้กับความวิตกกังวล และนอนไม่หลับ ความเครียดเรื่องงาน และความกังวลส่วนตัว ทำให้ผมเป็นโรคเบาหวาน ความดันสูง ไขมันในเส้นเลือดสูง และอื่นๆ ต่อมาบริษัทของผม เปลี่ยนจากรัฐวิสาหกิจ เป็นหน่วยงานเอกชน พนักงานสองสามร้อยคน เข้าซื้อหุ้นและถือครองกิจการ สามปีต่อมา เพื่อทำกำไรสูงสุด พวกเราเลย ซื้อหุ้นรายย่อยทั้งหมด ตามแผนของท่านประธาน นั่นทำให้ผมกับผู้ถือหุ้นหลักอีกสองสามคน กลายเป็นเศรษฐี บริษัทเรากลายเป็นผู้จ่ายภาษีรายหลักของภูมิภาค ผมมักจะต้องไปประชุมงานสำคัญในตัวเมือง และถึงกับได้ออกโทรทัศน์ ผมเปรมในความทะนงตน อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงผมดูมีความสุขสุดยอด และใช้ชีวิตแบบอภิสิทธิ์ชน แต่ข้างในกลับรู้สึกว่างเปล่า และไม่สบายใจเลย ทุกคืนเวลานอนลงบนเตียง ผมจะคิดว่า “ผมทุ่มเท ทั้งใจและจิตวิญญาณให้งานมาหลายปี ผมได้รับสถานะ และชื่อเสียง แต่กลับเสียทั้งศักดิ์ศรี ทั้งสุขภาพ ผมควรใช้ชีวิตแบบนี้จริงๆ เหรอ? การใช้ชีวิตแบบนี้ จะมีความหมายอะไร?”
แต่ชีวิตผมยุ่ง จนไม่มีเวลาทบทวนมากนัก ผมโดนสถานะและชื่อเสียงผูกไว้แบบดิ้นไม่หลุด เลยทำได้แค่ปล่อยไปแบบนั้น
แต่แล้ว ผมก็ต้องประหลาดใจ ขณะที่ผมกำลังก้าวไปสู่จุดสูงสุดในอาชีพ ผลิตภัณฑ์ตัวหนึ่งเกิดปัญหาใหญ่เรื่องคุณภาพ เพราะการจัดการที่ล้มเหลวของผม ทำให้บริษัทเสียเงินไปหลายล้านหยวน ตอนนั้น ผมรู้สึกแย่แบบที่สุด ตลอดหลายปีที่บริษัทนั้น ผมเก่งขึ้นสม่ำเสมอเกือบทุกปี แต่ในช่วงหกเดือนนั้น ขนาดทำงานแทบตาย สุดท้ายผมก็ทำลายชื่อเสียงของตัวเอง เหมือนผมร่วงจากจุดที่สูงที่สุด ไปยังจุดที่ต่ำที่สุด ขณะที่ผมกำลังเจ็บปวดรวดร้าว ก็มีพี่น้องชายหญิง มาแบ่งปันพระวจนะแห่งยุคสุดท้ายกับผม ผมเห็นพระวจนะกล่าวว่า “ชะตากรรมของมนุษย์ถูกควบคุมโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า เจ้าไม่สามารถควบคุมตัวของเจ้าเองได้ กล่าวคือ ทั้งที่มนุษย์สาละวนเร่งรีบและทำตัวให้ยุ่งวุ่นวายเพื่อตัวเขาเองอยู่เสมอ เขาก็ยังคงไม่สามารถควบคุมตัวเขาเองได้ หากเจ้าสามารถล่วงรู้ความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเจ้าเอง หากเจ้าสามารถควบคุมชะตากรรมของเจ้าเองได้ เจ้าจะยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอยู่อีกหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฟื้นฟูชีวิตที่ปกติของมนุษย์และการนำมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์) “หัวใจและจิตวิญญาณของมนุษย์ถูกกุมไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ทุกอย่างในชีวิตของเขาอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ก็ตาม ทุกสิ่งและทุกอย่าง ไม่ว่าที่มีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ตาม จะเคลื่อนย้าย เปลี่ยนแปลง เกิดขึ้นมาใหม่และปลาสนาการไปตาม พระดำริของพระเจ้า นี่คือหนทางที่พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือทุกสรรพสิ่ง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์) พอได้อ่าน ผมก็ตระหนักว่า ชะตากรรมของเราทุกคน ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ เราไม่มีสิทธิ์ควบคุมว่า จะประสบความสำเร็จในอาชีพหรือไม่ พอคิดดู ผมก็รู้ว่าจริง เดิมทีผมตั้งใจใช้ความพยายาม เพื่อก้าวหน้าในหน้าที่ แต่กลับล้มเหลวอย่างน่าสังเวช ผมเลยเห็นว่า ตัวเราไม่ได้ควบคุมชะตากรรม ดูเหมือนพระวจนะเหล่านี้ เป็นจริงและถูกต้อง พอได้อ่านพระวจนะไปสักระยะ ผมก็แน่ใจว่านี่คืองานของพระเจ้า และยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์
ต่อมา ผมเจอพระวจนะอีกบทตอนหนึ่ง “เราขอรบเร้าประชาชนของทุกชนชาติของทุกประเทศ และแม้แต่วงการต่างๆ ทุกวงการให้สดับฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า ให้เฝ้ามองพระราชกิจของพระเจ้า และให้ใส่ใจในชะตากรรมของมวลมนุษย์ เพื่อที่จะทำให้พระเจ้าทรงมีความศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ทรงมีเกียรติที่สุด ทรงเป็นสิ่งสักการะสูงสุดและสิ่งสักการะเดียวเท่านั้นท่ามกลางมวลมนุษย์ และเพื่อช่วยให้มวลมนุษย์ทั้งปวงมีชีวิตอยู่ภายใต้การอวยพรของพระเจ้า เช่นเดียวกับพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมที่มีชีวิตอยู่ภายใต้พระสัญญาของพระยาห์เวห์ และเช่นเดียวกับที่อาดัมและเอวา ผู้ที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นมาก่อน ได้ใช้ชีวิตอยู่ในสวนเอเดน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 2: พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง) พระวจนะ ส่งผลกระทบกับผมมาก ผมใช้ครึ่งแรกของชีวิต ดิ้นรนที่จะประสบความสำเร็จ ถึงจะรู้ว่าเป้าหมายในการโดดเด่นกว่าเพื่อน ทำให้ผมมีชื่อ และสนองความต้องการอันเปล่าประโยชน์ แต่ในใจผมกลับว่างเปล่า และเจ็บปวด ผมตระหนักได้ว่า มีแค่การมาแสวงหาความจริง และนมัสการพระเจ้าเฉพาะพระพักตร์ ที่เป็นหนทางที่ถูกต้อง และจะได้รับพระพร ผมเลย ให้คำมั่นต่อพระเจ้าว่า จะเชื่ออย่างสุดความสามารถ และจะติดตามพระเจ้าต่อไป
สองเดือนต่อมา ผมได้เป็นหัวหน้ากลุ่มในคริสตจักร และดูแลการจัดการชุมนุมกลุ่ม ผมตื่นเต้นมาก พร้อมจะเอาใจใส่น้ำพระทัย และทำหน้าที่ ด้วยความที่ที่ชุมนุมใกล้กับที่ทำงาน ระหว่างทางไปชุมนุม ผมเลยมักจะบังเอิญเจอเพื่อนร่วมงาน เวลาผ่านไป ผมก็เริ่มกังวลใจ ถ้าเจ้านายรู้ว่าผมเป็นผู้เชื่อ เบาสุดคือผมจะถูกติและเสียหน้า แต่หนักที่สุด คือผมอาจถึงกับโดนไล่ออก แล้วผมก็จะเสียชื่อเสียงกับสถานะ ที่ดิ้นรนหามากว่าครึ่งชีวิต แต่แล้วผมก็คิดว่า “หลังเชื่อในพระเจ้า ผมเลี่ยงความชั่วได้มากมาย เพราะผมเข้าใจความจริงบ้างแล้ว ผมมั่นใจมากว่าการเชื่อในพระเจ้า การแสวงหาความจริง และการทำหน้าที่ เป็นหนทางที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่มีค่า และมีความหมายที่สุดในชีวิตผม ยังไงผมก็ทิ้งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้” แล้วผม ก็เลิกโดนบีบคั้น หันมาชุมนุม และทำหน้าที่ต่อไป อย่างที่คาดไว้ สักพักเจ้านายก็รู้เรื่องที่ผมเชื่อ และเข้าชุมนุม มีครั้งหนึ่ง ผมไม่ได้เข้าประชุมบริษัท ประธานเลยส่งคนมาตามหาผม ถึงกับถามว่าเราชุมนุมกันที่ไหน มีอีกครั้งหนึ่ง ผมกำลังไปชุมนุม พอประธานรู้เข้า ก็จงใจเรียกประชุมผู้จัดการระดับกลาง และนั่งขนาบผม เพื่อให้ผมออกไปไม่ได้ สถานการณ์ทั้งหมดนี้ ยากสำหรับผมจริงๆ ผมเข้าชุมนุมแบบรู้สึกถูกบีบคั้น ช่วงนั้นผม รู้สึกอึดอัดจริงๆ และรู้ตัวว่าสถานการณ์ตอนนั้น กำลังกีดกันผมจากการเชื่อ และทำหน้าที่ ผมเลยอธิษฐาน ขอให้พระเจ้าทรงนำ
ต่อมา ผมได้อ่านพระวจนะที่ว่า “เจ้าควรจะรู้ว่าเจ้าควรทำให้เราพึงพอใจอย่างไร ณ บัดนี้ และเจ้าควรจะกำหนดร่องครรลองที่ถูกต้องในความเชื่อในเราของเจ้าอย่างไร สิ่งที่เราปรารถนาคือความจงรักภักดีและการเชื่อฟังของเจ้า ณ บัดนี้ ความรักและคำพยานของเจ้า ณ บัดนี้ แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะไม่รู้ว่าคำพยานคืออะไรหรือความรักคืออะไร เจ้าก็ควรจะนำพาทุกอย่างของเจ้ามาให้เรา และส่งมอบทรัพย์สมบัติเดียวที่เจ้ามีให้แก่เรา นั่นก็คือ ความจงรักภักดีและการเชื่อฟังของเจ้า เจ้าควรรู้ว่าคำพยานถึงการทำให้ซาตานพ่ายแพ้ของเรามีอยู่ภายในความจงรักภักดีและการเชื่อฟังของมนุษย์ เช่นเดียวกับคำพยานถึงการพิชิตมนุษย์โดยบริบูรณ์ของเรา” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความเชื่อ?) พระวจนะทำให้ผมตระหนักว่า ในชีวิตผู้เชื่อ ไม่ว่าก้าวผ่านเรื่องอะไร เราก็ต้องอุทิศตน เชื่อฟัง และเป็นคำพยานแก่พระเจ้าเสมอ ตอนนั้น ผมเชื่อมาสองปีแล้ว และถึงจะดูเหมือนผมทำหน้าที่ แต่ผมกลับโดนงานบีบคั้น และมักกังวลว่าจะโดนไล่ออก และเสียสถานะไป ผมเลยไม่อาจทุ่มทุกอย่างให้หน้าที่ได้ บางครั้งก็ปล่อยให้งาน ส่งผลต่อการชุมนุมและหน้าที่ด้วยซ้ำ คำพยานของผมอยู่ที่ไหน? ต่อมา ผมนึกถึงพระวจนะอีกบทตอนหนึ่ง “ในการเชื่อในพระเจ้าของเขา เปโตรได้พยายามที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยในทุกสิ่งทุกอย่าง และได้พยายามเชื่อฟังทั้งหมดที่ได้มาจากพระเจ้า โดยที่ไม่มีการปริปากบ่นแม้แต่น้อย เขาสามารถยอมรับการตีสอนและการพิพากษา ตลอดจนกระบวนการถลุง ความทุกข์ลำบาก และการดำเนินต่อไปโดยความไม่มีสิ่งใดเลยในชีวิตของเขา ซึ่งไม่มีสิ่งใดเลยในบรรดาเหล่านี้ที่จะสามารถปรับเปลี่ยนความรักของเขาที่มีแด่พระเจ้าได้ นี่ไม่ใช่ความรักขั้นสูงสุดที่มีแด่พระเจ้าหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่การลุล่วงหน้าที่ของสิ่งทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้าหรอกหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน) ในความเชื่อ เปโตรแสวงหาที่จะนบนอบและรักพระเจ้า เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงเรียกหา เขาก็ทิ้งเรือประมงไปติดตามพระองค์ทันที เมื่อเจอบททดสอบและความยากลำบาก เขาก็ยังพยายามสนองน้ำพระทัย สุดท้ายเขาถูกตรึงกางเขนกลับหัว ได้รักและเชื่อฟังพระเจ้าไปจนตาย เป็นคำพยานอันแสนอัศจรรย์และกึกก้องแก่พระเจ้า ได้ใช้ชีวิตที่มีคุณค่า และมีความหมาย เมื่อตัดสินใจเชื่อ และติดตามพระเจ้า ผมก็ควรแสวงหาที่จะรัก และสนองพระเจ้าอย่างเปโตร ถึงจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ผมนึกถึงครึ่งแรกของชีวิต ที่ผม ให้และรับสินบน หมกมุ่นกับความเสื่อมโทรม และโกหกเพื่อสถานะและอำนาจ ใช้ชีวิตอย่างแสนทุกข์ใจ ชีวิตวัยหนุ่มของผม ผ่านไปแบบนั้น ถึงสุดท้าย พระเจ้าจะนำผมสู่เส้นทางที่ถูกต้อง ผมก็ยังถูกงานบีบคั้น ไม่อาจมุ่งปฏิบัติความเชื่อ และทำหน้าที่ได้ ทำแบบนี้ต่อไป ชีวิตผมจะก้าวหน้าได้จริงๆ เหรอ? ยิ่งนึกถึงพระวจนะที่ว่า “เวลาไม่รอผู้ใด!” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 10) ผมยิ่งรู้สึกว่า เป็นเรื่องเร่งด่วน พอนึกถึงตัวผมที่อายุห้าสิบกว่า ได้มีโอกาสยอมรับพระคุณในยุคสุดท้าย ได้แสวงหาความจริง และได้รับความรอด นี่ล้วนเป็นความปราณีของพระเจ้า ผมต้องหยุดไม่ใส่ใจความเชื่อเสียที ต่อมา ผมมีความคิดที่จะลาออกจากงาน จะได้ทุ่มเวลาและแรงกายทั้งหมด แสวงหาความจริง และทำหน้าที่
แต่ผมก็นึกขึ้นได้ ว่าผมดิ้นรนมาเกินครึ่งชีวิต จนได้เป็นผู้ถือหุ้นหลัก พร้อมเงินในพอร์ตหลายล้านหยวน และมีคนนับถือผม เยอะจนนับไม่ไหว แต่ถ้าเสียงานนี้ไป ผมคงกลับไปเป็นแค่คนธรรมดา ใครจะสนใจผม? ทั้งญาติมิตร เจ้านายและเพื่อนร่วมงาน คงดูถูกผมกันหมด และบอกว่าผมเป็นคนโง่ หลังจากนั้น เวลาอยู่ต่อหน้าพวกเขา ผมจะมั่นใจได้ยังไง? พอนึกถึงเรื่องนี้ ผมก็สับสนขึ้นมา เลยอธิษฐาน ขอให้พระเจ้าทรงมอบความเข้มแข็ง ในการหลุดพ้นจากโซ่ตรวน และการบีบคั้นของงาน ขณะแสวงหา ผมก็นึกถึงพระวจนะที่ว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ซาตานใช้ชื่อเสียงและผลตอบแทนควบคุมความคิดของมนุษย์ จนกระทั่งทั้งหมดที่ผู้คนสามารถนึกถึงได้ก็คือชื่อเสียงและผลตอบแทน พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน ทนทุกข์จากความยากลำบากทั้งหลายเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน สู้ทนความอัปยศอดสูเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน พลีอุทิศทุกสิ่งที่พวกเขามีเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน และพวกเขาจะทำการพิพากษาหรือการตัดสินใจอันใดก็เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชื่อเสียงและผลตอบแทน ซาตานผูกมัดผู้คนเข้ากับโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นก็ด้วยวิธีนี้ และพวกเขาก็ไม่มีทั้งความเข้มแข็งและความกล้าที่จะขว้างโซ่ตรวนออกไป พวกเขาแบกโซ่ตรวนเหล่านี้ไว้โดยที่ไม่รู้ตัว และเดินต่อไปข้างหน้าด้วยความลำบากยากเย็นอันใหญ่หลวง เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชื่อเสียงและผลตอบแทนนี้ มนุษย์หลบเลี่ยงพระเจ้าและทรยศพระองค์และกลายเป็นเลวยิ่งขึ้นทุกที ดังนั้น คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าจึงถูกทำลายในท่ามกลางชื่อเสียงและผลตอบแทนของซาตานด้วยวิธีนี้นี่เอง ทีนี้ พอมองดูการกระทำทั้งหลายของซาตาน สิ่งจูงใจส่อแววร้ายทั้งหลายของมันไม่น่ารังเกียจอย่างถึงที่สุดหรอกหรือ? บางทีวันนี้พวกเจ้ายังคงไม่สามารถมองทะลุถึงสิ่งจูงใจอันส่อแววร้ายของซาตาน เพราะพวกเจ้าคิดว่าคนเราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากชื่อเสียงและผลตอบแทน พวกเจ้าคิดว่าหากผู้คนทิ้งชื่อเสียงและผลตอบแทนไว้ข้างหลัง พวกเขาจะไม่สามารถเห็นหนทางข้างหน้าได้อีกต่อไป ไม่สามารถเห็นเป้าหมายของพวกเขาได้อีกต่อไป คิดว่าอนาคตของพวกเขาจะกลายเป็นมืดมิด คลุมเครือ และหม่นมัว แต่ทว่าวันหนึ่งพวกเจ้าทั้งหมดจะระลึกรู้ได้อย่างช้าๆ ว่าชื่อเสียงและผลตอบแทนเป็นโซ่ตรวนอันมหึมาที่ซาตานใช้ผูกมัดมนุษย์ เมื่อวันนั้นมาถึง เจ้าจะต้านทานการควบคุมของซาตานอย่างถ้วนทั่วและต้านทานโซ่ตรวนที่ซาตานใช้เพื่อผูกมัดเจ้าอย่างถ้วนทั่ว เมื่อถึงเวลาที่เจ้าปรารถนาจะขว้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ซาตานปลูกฝังไว้ในตัวเจ้าออกไป เมื่อนั้นเจ้าจึงจะแยกทางกันอย่างเด็ดขาดกับซาตาน และเจ้าจะเกลียดทั้งหมดที่ซาตานได้นำมาให้เจ้าอย่างแท้จริง เมื่อนั้นเท่านั้นมวลมนุษย์จึงจะมีความรักและการโหยหาจริงต่อพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6) พระวจนะทำให้ผมตระหนักว่า เหตุผลที่ผมออกจากงาน และทุ่มแรงให้หน้าที่ไม่ได้ เป็นเพราะผมไม่เห็นว่า ซาตานใช้ชื่อเสียงโชคลาภ ผูกมัดและควบคุมผู้คน มันวางกับดักผมเอาไว้ ซาตานใช้ชื่อเสียงและโชคลาภ หลอกลวงและทำให้ผมเสื่อมทราม ให้ผมไล่ตาม จนพลัดหลงและทรยศพระเจ้า เพราะตอนเด็กผมบ้านจน แถมยังถูกรังแกและดูถูก และถูกพิษจากหลักปรัชญาซาตาน อย่าง “จงโดดเด่นเหนือผู้อื่น และนำเกียรติยศมาสู่บรรพชน” และ “มนุษย์ดิ้นรนขึ้นสู่ที่สูง น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ” ผมถือเอาแนวคิดเหล่านี้ เป็นความจริงสูงสุด และสาบานว่าจะใช้ชีวิตอย่างอภิสิทธิ์ชน ผมเลย กลืนความภาคภูมิใจของตัวเอง ไปหมอบคลาน และประจบประแจงเจ้านาย พอมีสถานะ ผมก็คอยกังวลว่า คนอื่นจะรวมหัวกันต่อต้านผม เพื่อยึดสถานะไว้ ผมเลยยอมขัดมโนธรรม ติดสินบนลูกค้าด้วยเงินและโสเภณี ผมกลัวและวิตกอยู่ทุกวัน ว่าสิ่งที่ทำจะย้อนมาทำลายผม ผมพยายามขยายองค์กรของเรา จะได้ยิ่งมีสถานะสูงขึ้น แต่มันเหมือนว่ายทวนน้ำ ที่ไม่มีจังหวะให้พัก ในที่สุดผมก็หมดแรง และล้มป่วย ตอนไม่มีสถานะและอำนาจ ผมพยายามทำทุกทาง เพื่อให้ได้สิ่งเหล่านี้มา แต่พอได้มาแล้ว ผมกลับติดอยู่กับงานเลี้ยงสังสรรค์ และตามกระแสชั่วทางโลกไปแบบไม่มีทางเลือก ไม่รู้สึกเหมือนเป็นมนุษย์เลย ผมไม่มีสันติสุข หรือเหตุผล ผมรู้สึกเครียดอยู่ทุกวัน อยู่อย่างเหน็ดเหนื่อย และทุกข์ใจ! ซาตานทรมานผม ด้วยชื่อเสียงและโชคลาภ ผมยังนึกถึงข้อเท็จจริงว่า คนดังที่ร่ำรวย มีชื่อเสียงเงินทอง และประสบความสำเร็จในอาชีพ แต่บางคนยังติดยา คิดฆ่าตัวตาย หรือไม่ก็ติดคุก ชื่อเสียงและโชคลาภ อาจทำให้เรามีเกียรติเพียงชั่วยาม แต่ก็ได้แต่ทำให้กายและใจเรา ว่างเปล่าและเป็นทุกข์ ตอนนั้นเอง ผมถึงตระหนักว่า การอยากมีชื่อเสียงและโชคลาภ ที่ซาตานใส่สิ่งเชิงลบในตัวเรานั้น เป็นวิธีที่มันใช้หยอก และทำลายผู้คน นำไปสู่ความเสื่อมทราม และเสียหายเท่านั้น มันขโมยความเป็นมนุษย์ไปเรื่อยๆ และเปลี่ยนคนให้เป็นปีศาจ การเพลิดเพลินกับเสบียงอาหาร และการให้น้ำจากพระวจนะ ทำให้ผมเข้าใจว่า มีเพียงการแสวงหาความจริง เคารพพระเจ้า หลบเลี่ยงความชั่ว และทำหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ที่จะทำให้ชีวิตผมมีความหมาย และคุณค่า ผมจะตกหลุมพรางของซาตาน ด้วยการทุ่มชีวิตไล่ตามชื่อเสียงและโชคลาภไปมากกว่านี้ไม่ได้ ผมต้องพึ่งพาพระเจ้า เพื่อกำจัดตรวนแห่งสถานะและชื่อเสียง ทำหน้าที่ให้ดี แสวงหาความจริง และใช้ชีวิตที่มีความหมาย พอตระหนักได้ ผมก็ตัดสินใจลาออกจากงาน
ผมรู้ว่า เพราะผมมีบทบาทสำคัญในบริษัท ถ้าผมพยายามลาออกตรงๆ ประธานคงไม่ยอมแน่ ผมเลยตัดสินใจ ขอขยายวันลาป่วยกับเขา แต่เขาคงเดาแรงจูงใจของผมออก และพูดว่า “ผมจะไม่ลงชื่อในเอกสารนี้ ถ้าผมให้คุณลาป่วย หลังจากนั้น คุณก็จะลาออก” ได้ยินแบบนั้น ผมก็ค่อนข้างเคว้ง ถ้าผมฝืนลาออกโดยที่เขาไม่ยอม จะไม่เป็นการล่วงเกินเขาเหรอ? ผมยังลงทุนส่วนตัวในบริษัท ถ้าเขาหาเรื่องผม และไม่ยอมให้ผมถอนเงินคืนล่ะ? ระหว่างช่วงนั้น การลาออกเป็นปัญหากวนใจผม และผมไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำยังไง ผมเลยเฝ้าอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำ
วันหนึ่ง ผมก็พลันนึกถึงพระวจนะที่ว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เมื่ออับราฮัมยื่นมือออกไปจับมีดเพื่อฆ่าบุตรชายของเขา พระเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นการกระทำของเขาหรือไม่? พระองค์ทรงเห็น ทุกขั้นตอน—ตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อพระเจ้าได้ทรงขอให้อับราฮัมพลีอุทิศอิสอัค จนถึงตอนที่อับราฮัมยกมีดขึ้นเพื่อฆ่าบุตรชายของเขาจริงๆ—ได้แสดงให้พระเจ้าทรงเห็นหัวใจของอับราฮัม และไม่ว่าความโง่เขลา ความไม่รู้เท่าทัน และความไม่เข้าใจพระเจ้าก่อนหน้านี้ของเขาจะเป็นอย่างไร ณ เวลานั้น หัวใจของอับราฮัมที่มีต่อพระเจ้านั้นซื่อตรงและซื่อสัตย์ และเขากำลังจะส่งมอบอิสอัค บุตรชายที่พระเจ้าได้ประทานให้แก่เขา คืนกลับไปให้แก่พระเจ้า พระเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นการเชื่อฟังในตัวเขา การเชื่อฟังอย่างยิ่งที่พระองค์ทรงพึงปรารถนา” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2) ประสบการณ์ของอับราฮัม ให้แรงใจผมมาก ผมได้เห็นว่า พระเจ้าหวังความจริงใจและการเชื่อฟังจากผู้คน เมื่อพระองค์ขอให้อับราฮัมสละอิสอัค ลูกชายคนเดียวของเขา อับราฮัมก็ทนเจ็บปวด และละทิ้งคนที่รักเพื่อสนองพระเจ้าได้ พระองค์จึงเห็นว่า เขามีใจแท้จริงแก่พระองค์ แล้วผมก็มองตัวเอง ถึงผมอ้างว่า อยากให้ความเชื่อเป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต และอยากลาออก เพื่อให้มาทำหน้าที่ได้เพียงพอ นั่นก็ล้วนเหลวไหล และผมไม่ได้มอบหัวใจแท้จริงเลย ผมกลัวว่าการยืนกรานลาออก จะล่วงเกินประธาน และไม่ได้เงินลงทุนคืน ผมห่วงแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง อับราฮัมถวายลูกชายเพียงคนเดียวของเขาแก่พระเจ้า สิ่งเดียวที่ ผมต้องทำคือลาออก แต่กลับทำไม่ได้ ผมไม่มีหัวใจที่แท้จริงเพื่อพระเจ้า ผมกำลังหลอกพระองค์ไม่ใช่เหรอ? พอรู้ทั้งหมดนี้ ผมก็ค่อนข้างรู้สึกผิด เลยอธิษฐานว่า “พระเจ้า! ลูกอยากลาออก เพื่อให้มุ่งทำหน้าที่ได้ แต่ลูกกลับทำตามทางนั้นไม่ได้ พระเจ้า! ลูกไม่อยากหลอกลวงพระองค์แล้ว ลูกพร้อมลาออกจากงาน และทำหน้าที่แบบเต็มตัว” พออธิษฐาน ในที่สุดผมก็กล้าไปคุยเรื่องลาออกกับประธาน สุดท้าย เขาแค่ให้ผมลาป่วยครึ่งปี แต่ผมแน่วแน่แล้วว่าจะลาออก
และแล้ว ครึ่งปีก็ผ่านไป ผมวางแผนลาป่วยต่อ เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับบริษัท และเอาเงินทุนคืน แต่ประธานบอกว่า เขาอยู่ที่บริษัทฝ่ายขายในตัวเมือง ให้ผมไปพบเขาเป็นการส่วนตัว เพื่อลาเพิ่ม แต่พอเราเจอกัน เขากลับไม่พูดถึงการลาของผมเลย เอาแต่พาผมเดินดู ทั่วทุกแผนกในบริษัท ห้องทำงานทั้งหมด ตกแต่งอย่างหรูหราและน่าประทับใจมาก ทุกคนต่างวุ่นอยู่กับงาน ผู้จัดการทุกแผนก เรียกผมอย่างอบอุ่นว่า “ผอ.หวัง” ไม่ทันรู้ตัว ผมก็ตกอยู่ในการทดลองอีกครั้ง คิดว่า “ขนาดลาไปครึ่งปี ผมก็ยังมีอิทธิพลในบริษัทนี้ ผมมีหุ้นอยู่ในบริษัทที่ใหญ่ขนาดนี้ แถมยังเป็นผู้นำในองค์กรนี้ด้วย! สองปีที่ผ่านมา บริษัทของเราทำกำไรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้ายอมทิ้งหน้าที่ และทำงานที่นี่ต่อ ผมคงทำเงินได้มหาศาลทีเดียว และคงมีชีวิตที่มั่งคั่ง แม้แต่บรรพชนก็มีเกียรติ” พอคิดแบบนี้ ผมก็โดนล่อลวงเล็กน้อย แต่ผมก็รู้ตัวเร็ว ว่าสภาวะนี้ไม่ถูกต้อง ผมเลยรีบเรียกหาพระเจ้าในใจ แล้วผม ก็นึกถึงที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านจะรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้” (ลูกา 16:13) ผมยังนึกถึง เรื่องในพระคัมภีร์ ที่ซาตานพยายามทดลองพระองค์ว่า “อีกครั้งหนึ่งมารได้นำพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาที่สูงมาก และได้แสดงบรรดาราชอาณาจักรในโลก ทั้งความรุ่งโรจน์ของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร แล้วได้ทูลพระองค์ว่า ‘ถ้าท่านจะก้มลงนมัสการเรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน’ พระเยซูจึงตรัสตอบว่า ‘จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า “จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว”’” (มัทธิว 4:8-10) ประธานกำลังทดลองให้ผมอยู่ต่อ ด้วยการอวด พื้นที่สำนักงานอันหรูหรา และสภาพแวดล้อมการทำงานที่สวยหรูไม่ใช่เหรอ? ซาตานบงการทุกอย่างอยู่เบื้องหลังไม่ใช่เหรอ? ซาตานพยายามใช้สถานะและโชคลาภ ทดสอบและทดลองผม ให้ผมทิ้งพระเจ้า ทิ้งหน้าที่ ให้ถูกมันหลอกและทำร้ายผมต่อไป ผมจะหลงกลอันฉลาดแกมโกงของซาตานไม่ได้
จากนั้น ผมลาหยุดต่ออีกสามเดือน พอเกือบถึงสามเดือน ผมก็คิดว่า “ผมจะขอลาไปแบบนี้เรื่อยๆ ไม่ได้ ถ้าผมอยากตัดกับบริษัท และทำหน้าที่อย่างสงบ ผมต้องขายหุ้นที่มีทั้งหมดทิ้ง แต่การขายแบบนั้น ทำได้แค่ปีละวันเท่านั้น ถ้าประธานไม่ยอมให้ผมขายหุ้นล่ะ? แถมเขายังมีทุนส่วนตัวของผมอยู่อีกล้านห้า ถ้าเขาไม่ยอมคืน ผมก็จะหมดตัว ผมตอนหนุ่มพยายามแทบตาย เพื่อให้ได้ทุนก้อนนั้นมา!” ระหว่างช่วงนั้น ผมกังวลเรื่องนี้ทั้งวัน และผิดหวังมาก ที่ทำหน้าที่ให้ดีไม่ได้ ผมเลยอธิษฐานถึงพระเจ้าเงียบๆ ขอให้ทรงเปิดทาง ให้ผมหลุดพ้นจากบ่วงนี้
ต่อมา ผมได้คุยกับประธานอีกคนเรื่องขายหุ้น แต่เขาจะไม่ยอมให้ผมถอนคืน เขาสร้างปัญหาให้ผม บอกว่า “ถ้าอยากออกจากบริษัท คุณจะต้องถูกริบหุ้นบางส่วน” ผมยอมถูกริบเงินหลายแสนหยวนไม่ได้ เพราะต้องทำงานหนัก เพื่อให้ได้เงินนั้นมา! อยู่ๆ ตอนนั้น ผมก็ตระหนักว่า ซาตานกำลังทดลองผมอีกแล้ว ผมนึกถึงพระวจนะที่ว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในหัวใจของเขา โยบเชื่ออย่างล้ำลึกว่าทั้งหมดที่เขาครอบครองนั้นได้ถูกพระเจ้าประทานมาให้แก่เขา และไม่ใช่ผลผลิตจากการลงแรงของเขาเอง ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่มองว่าพรเหล่านี้เป็นบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้เป็นต้นทุน แต่กลับผูกติดหลักการแห่งความอยู่รอดเขาไว้ในการยึดมั่นกับหนทางที่ควรจะยกชูด้วยพละกำลังทั้งหมดของเขาแทน เขาเชิดชูพรของพระเจ้าและขอบคุณสำหรับสิ่งเหล่านั้น แต่เขาไม่ได้ติดใจกับพร อีกทั้งเขาไม่ได้แสวงหาสิ่งเหล่านั้นให้มากยิ่งขึ้น เช่นนั้นเองคือท่าทีของเขาที่มีต่อทรัพย์สิน เขาไม่ได้ทำสิ่งใดเพื่อประโยชน์ของการได้มาซึ่งพร อีกทั้งไม่ได้กังวลหรือเป็นทุกข์ด้วยการขาดหรือสูญเสียพรต่างๆ ของพระเจ้า เขาไม่ได้กลายเป็นมีความสุขอย่างลำพองและพร่ำเพ้อเนื่องจากพรของพระเจ้า อีกทั้งไม่ได้เพิกเฉยต่อทางแห่งพระเจ้าหรือลืมพระคุณของพระเจ้าเนื่องจากพรต่างๆ ที่เขาได้ชื่นชมอยู่เป็นนิตย์ ท่าทีของโยบที่มีต่อทรัพย์สินของเขาเปิดเผยให้ผู้คนเห็นสภาวะความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงของเขา กล่าวคือ ประการแรก โยบไม่ใช่คนโลภ และไม่ต้องการมากมายในชีวิตทางวัตถุของเขา ประการที่สอง โยบไม่เคยเป็นห่วงหรือเกรงว่าพระเจ้าจะเอาทั้งหมดที่เขามีไป ซึ่งเป็นท่าทีของเขาที่เชื่อฟังต่อพระเจ้าในหัวใจของเขา กล่าวคือ เขาไม่มีความต้องการหรือการร้องทุกข์คร่ำครวญเกี่ยวกับว่าพระเจ้าจะทรงเอาไปจากเขาเมื่อไร หรือจะเอาไปหรือไม่ และไม่ได้ถามเหตุผลว่าทำไม แต่มีเพียงพยายามที่จะเชื่อฟังการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ประการที่สาม เขาไม่เคยเชื่อว่าสินทรัพย์ของเขานั้นมาจากการลงแรงของเขาเอง แต่ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ประทานให้แก่เขา นี่คือความเชื่อในพระเจ้าของโยบ และคือเครื่องบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของเขา” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2) พระวจนะทำให้ผมเห็นว่า ถึงที่จริงโยบจะมั่งคั่งมาก เขาก็ไม่หวงแหนมัน เขาให้ความสำคัญกับการนบนอบ และนมัสการพระเจ้า พอเสียทั้งหมดนั้นไป เขาเลยยังยกย่องสรรเสริญพระเจ้าได้ เรื่องราวของโยบ เป็นแรงใจให้ผมมาก ผมควรเอาอย่างเขา เลิกยึดถือความมั่งคั่ง และเลือกสนองพระเจ้าแทน พอตั้งใจแบบนี้ ผมก็ยินดีจะทิ้งหุ้นกว่าสองแสนหยวน แต่ประธานคิดว่ายังไม่พอ และเรียกร้องจะริบเพิ่ม ผมทนเสียเงินมากขนาดนั้นไม่ไหวจริงๆ เลยอธิษฐานถึงพระเจ้าเงียบๆ แล้วผม ก็ตระหนักว่าซาตานพยายามใช้เงินมาปิดตา และควบคุมผม ผมไม่ควรยอมจำนนให้ซาตาน เพียงเพราะเสียความมั่งคั่งไม่ได้ ผมต้องยืนหยัดในคำพยาน และหลู่เกียรติซาตาน ผมต้อง ยอมสละหุ้นกว่าห้าแสนหยวน เขาถึงยอมให้ลาออก นับจากนั้นมา สุดท้ายผมก็มุ่งปฏิบัติความเชื่อ และทำหน้าที่ได้
ต่อมา ผมได้ยินว่าเลขาคณะกรรมการเขต ติดคุกเพราะโกงและรับสินบน สุดท้ายก็เป็นบ้า จากความเครียดที่ถูกคุมขัง ผมนึกในใจว่า “นี่แหละ ผลอันร้ายแรงของการดิ้นรนเพื่อชื่อเสียงและโชคลาภ” ผมนึกถึงตอนที่ผมให้ของขวัญ ให้และรับสินบน หมกมุ่นกับการสังสรรค์ และการโกง เพื่อให้มีสถานะ ถ้าไม่ลาออกมา ผมอาจเจอชะตากรรมแบบเดียวกันจนได้ พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทำให้ผมหลุดพ้นจากตรวนแห่งชื่อเสียงและโชคลาภ และห่างไกลการทดลองของซาตาน ผมขอบคุณพระเจ้าจากใจ สำหรับพระคุณ และการทรงคุ้มครอง
ตลอดหลายปี ที่ได้ผมทำหน้าที่อย่างต่อเนื่อง ได้ชุมนุม และสามัคคีธรรมพระวจนะกับเหล่าพี่น้อง ผมได้เข้าใจความจริงมากมาย และได้เข้าใจสิ่งต่างๆ ทางโลกในเชิงลึก ผมมักจะคิดถึงพระวจนะที่ว่า “ทั้งชีวิตของผู้คนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และหากไม่ใช่เพื่อปณิธานของพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแล้ว ผู้ใดเล่าจะเต็มใจดำรงชีวิตอยู่อย่างเปล่าประโยชน์ในโลกมนุษย์ที่ว่างเปล่าใบนี้? จะลำบากไปไย? การเร่งรีบเข้ามาและออกไปจากโลกนี้ หากพวกเขาไม่ทำสิ่งใดเพื่อพระเจ้า ทั้งชีวิตของพวกเขาจะไม่สูญเปล่าหรอกหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 39) ที่จริง ชีวิตนั้นสั้นมาก ผมใช้ชีวิตเกินครึ่ง อยู่ในแดนครอบครองของซาตาน ผมไล่ตามชื่อเสียงและโชคลาภ พยายามเหนือกว่าคนอื่น ซาตานหลอกล่อ และทำร้ายผม ผมมีชีวิตอยู่อย่างว่างเปล่า ทุกข์ใจ และไร้ความหมาย มีเพียงความปรานี และพระคุณจากพระเจ้า ที่ทำให้ผมได้รับความรอดในยุคสุดท้าย ได้สละตนเพื่อพระองค์ และทำหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ถ้าไม่มีพระเจ้า ผมคงเสียเวลาไปทั้งชีวิต การทำหน้าที่ในคริสตจักร อาจไม่ได้ทำให้ผมมีสถานะ และรวยเท่าแต่ก่อน แต่ผมได้มีชีวิตอิสระ และสบายมโนธรรม เหมือนกับผม ได้ใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ขึ้นบ้าง เป็นเพราะพระเจ้า ทรงนำผมมาอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง ขอบคุณความรัก และความรอดของพระเจ้า!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ