เพียงเพื่อเงินสามแสนหยวน
โดย หลีหมิง, ประเทศจีนราวสามทุ่มของวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 2009 ขณะที่ผมกับภรรยาและลูกสาวกำลังชุมนุมกันอยู่ จู่ๆ...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
วันหนึ่งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2000 ประมาณห้าโมงเย็น ตอนที่ผมกับภรรยาและพี่น้องชายหญิงอีกสองคนกำลังชุมนุมกันอยู่ที่บ้าน จู่ๆ พวกเราก็ได้ยินเสียงทุบประตูดัง “ปังๆๆ” ผมรีบเอาหนังสือของพวกเราไปซ่อน จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจหกเจ็ดนายก็บุกเข้ามาในห้อง หนึ่งในนั้นตะโกนว่า “พวกแกทำอะไรกัน? ชุมนุมกันอยู่หรือ?” หลังจากที่เขาบังคับให้ผมเซ็นหมายค้น พวกตำรวจก็ค้นบ้าน ทิ้งข้าวของหล่นเกลื่อน พวกเขาเจอหนังสือพระวจนะของพระเจ้าและเครื่องบันทึกเทปอีกสองเครื่อง รองหัวหน้าหน่วยความมั่นคงทางการเมืองแซ่หลวี่ เดินเข้ามาหาผมพร้อมหนังสือพระวจนะของพระเจ้าสองสามเล่มและพูดว่า “นี่แหละหลักฐานในการจับกุมแก” จากนั้นพวกเขาก็พาเราขึ้นรถ ผมอธิษฐานถึงพระเจ้าเงียบๆ ว่า “โอ พระเจ้า! พระองค์ทรงอนุญาตให้พวกเราถูกจับในวันนี้ ไม่ว่าตำรวจจะทรมานข้าพระองค์อย่างไร ข้าพระองค์ก็จะไม่ยอมเป็นยูดาสและทรยศพระองค์!”
เมื่อถึงสถานีตำรวจ พวกเขาก็สอบปากคำพวกเราแยกกัน เจ้าหน้าที่นายหนึ่งแซ่จินถามผมว่า “หนังสือพวกนั้นในบ้านแก ใครเป็นคนให้มา? ใครทำให้แกเปลี่ยนศาสนา? ผู้นำของแกเป็นใคร?” ผมไม่ได้ตอบอะไร เขาจึงพูดอย่างโหดเหี้ยมว่า “จะพูดไหม? ถ้าไม่พูด แกตายแน่!” เมื่อเห็นผมไม่ยอมพูด เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งจึงชกเข้าที่ศีรษะของผมอย่างแรงสองสามครั้ง แล้วก็ตบผมอย่างแรงอีกสองครั้งจนผมเห็นดาวและเจ็บแปลบที่ใบหน้าเป็นอย่างมาก จากนั้นเขาก็กระทืบต้นขาผมอย่างแรงอีกสองสามครั้ง เจ้าหน้าที่จินเอานิตยสารมาม้วนแล้วฟาดหน้าของผม เขาพูดอย่างดุร้ายว่า “อย่ามัวเสียเวลาเสวนากับมันเลย จับมันมัดเชือก จะได้เห็นว่าพวกเราทำอะไรได้บ้าง!” จากนั้นตำรวจนายหนึ่งก็นำเชือกหนาประมาณครึ่งเซนติเมตรมาเส้นหนึ่ง และถอดเสื้อผ้าชั้นนอกของผมจนเหลือเพียงกางเกงลองจอห์นเนื้อบาง พวกเขาคว้าแขนผมทั้งสองข้างและกดผมลงกับพื้น ใช้เชือกนั้นพันรอบคอผม แล้วคาดเป็นรูปกากบาทตรงหน้าอกเพื่อจะมามัดแขนผม ก่อนจะมัดมือทั้งสองข้างไพล่หลัง ร้อยปลายเชือกผ่านส่วนที่พันรอบคอผมอยู่ แล้วดึงเชือกขึ้นอย่างแรง ไหล่สองข้างของผมถูกกระตุกเข้าหากันจนเจ็บปวด และเชือกเส้นบางนั้นก็บาดเข้าเนื้อของผม ผมรู้สึกเหมือนแขนตัวเองทั้งสองข้างหัก และรู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส พวกเขาจับขาผมกางเป็นมุมฉาก กดหัวผมลงมาด้านข้างให้เอวทำมุมฉากแนบไปกับขาด้วย ไม่นานผมก็รู้สึกเวียนหัวและรู้สึกเหมือนลูกตาทั้งสองจะถลนออกจากเบ้า เหงื่อบนหน้าไหลหยดไม่หยุดจนเปียกพื้น ผมเหนื่อยและเจ็บปวด ร่างกายสั่นเทา และไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ ผมอยากหุบขามาชิดกันเพื่อพักสักครู่ แต่ถ้าผมขยับเพียงนิดเดียว จินก็จะเตะสะโพกผมและสั่งไม่ให้ขยับ มันเจ็บปวดเหลือจะทน ผมโกรธ เต็มไปด้วยความเกลียดชัง และคิดว่า “มีอาชญากรตั้งมากมายที่พวกแกไม่ไปไล่จับ ฉันเชื่อในพระเจ้าและเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง ฉันไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แต่พวกแกกลับมาทรมานฉัน นี่มันชั่วเอามากๆ!” ผมนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เหล่าบรรพบุรุษแต่โบราณกาลหรือ? บรรดาผู้นำผู้เป็นที่รักหรือ? พวกเขาล้วนต่อต้านพระเจ้า! การก้าวก่ายของพวกเขาได้ทำให้ทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์อยู่ในสภาวะแห่งความมืดและความวุ่นวาย! เสรีภาพทางศาสนาหรือ? สิทธิ์และผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองทั้งหลายหรือ? ทั้งหมดนั้นคือเพทุบายเพื่อที่จะปิดบังบาป!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8)) ในที่สุดผมก็ได้เห็นโฉมหน้าอันอัปลักษณ์อย่างที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็น พวกเขาพูดถึง “เสรีภาพทางศาสนา” และ “ตำรวจของประชาชน เพื่อประชาชน” แต่นั่นเป็นคำพูดเยี่ยงมารทั้งสิ้น! พรรคคอมมิวนิสต์ยังคงเสแสร้งว่าเคารพเสรีภาพทางความเชื่อ แต่ในความเป็นจริง พวกเขาโหดเหี้ยมกับเหล่าผู้เชื่อ และอยากจะกวาดล้างพวกเราให้สิ้นซาก พรรคคอมมิวนิสต์คือซาตานมารร้ายที่ต้านทานและเกลียดชังพระเจ้า ผมคิดอยู่ในใจว่า “พวกเขายิ่งทรมานฉัน ฉันก็จะยิ่งมีความเชื่อให้มากขึ้นจวบจนวาระสุดท้าย!”
ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ผมก็รู้สึกปวกเปียกไปทั้งตัว หัวและดวงตาบวมปูด ขาของผมชาไปหมด มือและแขนก็ไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง เสื้อผ้าของผมเปียกชุ่ม ตอนนั้นเองที่ผมได้ยินจินพูดว่า “แกใช้เชือกนานเกินครึ่งชั่วโมงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นแขนจะพิการเอา” เมื่อเขาพูดจบ คนพวกนั้นก็แก้เชือกให้ผม ทันทีที่พวกเขาแก้เชือกเสร็จ ผมก็ทรุดลงไปกองกับพื้น ปวดไปทั่วทั้งร่าง จากนั้นตำรวจสองนายก็คว้ามือผมคนละข้าง แล้วเหวี่ยงแขนผมเป็นวงกลมเหมือนกำลังเหวี่ยงเชือกเส้นใหญ่ พอพวกเขาเหวี่ยงไปได้สองสามครั้ง ผมก็เจ็บมืออย่างที่สุด จินถามผมอีกครั้งว่า “แกไปได้หนังสือพวกนั้นมาจากไหน? ผู้นำของแกเป็นใคร? ใครเปลี่ยนศาสนาให้แก? บอกมาเดี๋ยวนี้!” จากนั้นหลวี่ก็พูดด้วยความปรานีที่ดูไม่จริงใจว่า “บอกพวกเรามาเถอะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ถ้าแกบอกพวกเรา แกก็จะไม่ต้องทรมานอีกต่อไป” ผมคิดว่า “อย่างกับฉันจะยอมขายพี่น้องชายหญิงของตัวเองงั้นแหละ!” จินฉุนเฉียวที่ผมไม่ยอมพูด จึงบอกว่า “เอาเชือกกลับมามัดมัน แล้วดูว่าจะทนได้นานขนาดไหน!” พวกเขาเอาเชือกมัดผมอีกครั้ง ทว่าคราวนี้กลับแน่นกว่าเดิม เชือกบาดเข้ารอยเดิมและเจ็บยิ่งกว่าครั้งแรก ผมเฝ้าอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่ในหัวใจ วอนขอให้พระองค์ประทานความเชื่อและช่วยให้ผมเอาชนะความเจ็บปวดทางเนื้อหนังนี้ได้ ครึ่งชั่วโมงให้หลัง พวกเขาเห็นว่าผมไม่ยอมตอบคำถาม จึงแก้เชือกให้ผม
ราวเที่ยงคืนครึ่ง ตำรวจก็พาตัวผมไปยังสถานกักกัน ที่นั่นผมได้กินอาหารเพียงวันละสองมื้อ ซึ่งแต่ละมื้อมีเพียงซาลาเปาและผักเล็กน้อยเท่านั้น ในซาลาเปาเป็นไส้ซังข้าวโพดบด ผํกบูดไปครึ่งหนึ่ง และที่ก้นชามก็มีแต่โคลน ผมต้องนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิตั้งแต่หกโมงเช้าจนถึงสองทุ่มของทุกวัน ยกเว้นตอนมื้ออาหารกับช่วงครึ่งชั่วโมงที่ผมได้ออกไปข้างนอกตอนเช้า ขณะนั่งอยู่ ถ้าผมขยับเขยื้อนแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะมีคนตีผม ผมมีแผลลึกรอยหนึ่งพาดข้ามบ่าจากการถูกทรมานด้วยเชือกที่สถานีตำรวจ น้ำเหลืองจากแผลซึมทะลุเสื้อ และข้อมือของผมก็เริ่มมีเลือดออกและบวมปูดจนเป็นสีช้ำเลือดช้ำหนอง ทุกข้อต่อในร่างกายของผมเจ็บปวดจนเหลือจะทน แม้กระทั่งการลุกไปเข้าห้องน้ำก็ยังยากมาก ผมรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ที่ที่เหมาะกับมนุษย์ และผมไม่รู้เลยว่าเมื่อไรวันเวลาอันมืดมิดในคุกจะสิ้นสุดลงเสียที ความคิดเหล่านี้ทรมานผมจริงๆ ผมอธิษฐานถึงพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าท่ามกลางความเจ็บปวด วอนขอให้พระองค์ทรงนำผมให้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ มีความเข้มแข็ง และตั้งมั่นในคำพยานของตนได้ ผมนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ในระหว่างวันสุดท้ายเหล่านี้พวกเจ้าต้องเป็นคำพยานต่อพระเจ้า ไม่สำคัญว่าความทุกข์ของเจ้าจะมากมายเพียงใด เจ้าควรต้องเดินไปจนถึงวาระสิ้นสุด และแม้กระทั่งถึงลมหายใจสุดท้ายของพวกเจ้า พวกเจ้ายังคงต้องสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าและนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้า การนี้เท่านั้นคือการรักพระเจ้าอย่างแท้จริง และการนี้เท่านั้นคือคำพยานที่หนักแน่นและดังกึกก้อง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น) การนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าช่วยหนุนใจผม ผมอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นเพราะพระเจ้าทรงอนุญาต พระเจ้าทรงใช้สภาพแวดล้อมอันยากลำบากนั้นมาทำให้ความเชื่อและความรักของผมเพียบพร้อม พระองค์ทรงหวังว่าผมจะตั้งมั่นในคำพยานและทำให้ซาตานอับอายได้ แต่ถ้าผมอยากจะหนีหลังจากทุกข์ทนเพียงน้อยนิด นั่นจะเป็นคำพยานแบบไหนกัน? แม้ผมต้องทนทุกข์จากการถูกตำรวจทรมาน แต่นี่ก็ช่วยให้ผมมองเห็นแก่นแท้เยี่ยงปีศาจของพรรคคอมมิวนิสต์ที่ต้านทานพระเจ้าได้อย่างชัดเจน ผมจะได้เกลียดและละทิ้งมันจากก้นบึ้งของหัวใจ และไม่ถูกมันหลอกลวงอีกต่อไป นั่นคือความรอดที่พระเจ้าประทานแก่ผม เมื่อเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว ผมก็ไม่รู้สึกทุกข์ใจเท่าเก่า ผมให้คำมั่นกับตนเองว่า “ไม่ว่าฉันจะทุกข์ทนเพียงใด ฉันก็จะพึ่งพิงพระเจ้าและตั้งมั่นในคำพยานที่มีให้พระองค์ต่อไป”
วันหนึ่ง คนจากหน่วยความมั่นคงทางการเมืองได้มาสอบปากคำผม และผมก็รู้สึกเกร็งอยู่บ้าง ผมไม่รู้ว่าพวกเขาจะใช้การทรมานรูปแบบไหนกับผมอีก ผมอธิษฐานถึงพระเจ้าเงียบๆ และขอให้พระองค์ทรงคุ้มครองหัวใจของผม ในห้องสอบปากคำ รองหัวหน้าหลวี่พูดออกมาอย่างไร้ความจริงใจว่า “ยอมรับมาเสียเถอะ พอบอกพวกเราแล้ว แกก็กลับบ้านไปได้เลย พวกเราไปที่บ้านของแกมา ลูกๆ ของแกยังเล็กมาก—การไม่มีใครคอยดูแลพวกเขามันน่าเศร้ามากนะ บอกมาเถอะ” ผมแทบจะทนไม่ไหวตอนได้ยินเขาเอ่ยถึงลูกๆ และคิดว่า “ฉันกับภรรยาถูกพรรคคอมมิวนิสต์จับตัวมาทั้งคู่ และตอนนี้แม้แต่ลูกๆ ของเราก็พานจะติดร่างแหไปด้วย อายุเท่านี้จะอยู่กันอย่างไรถ้าไม่มีคนคอยดูแล?” ตอนนั้นเองที่ผมนึกถึงพระวจนะของพระเจ้า ความว่า “ในทุกเวลา ประชากรของเราควรเตรียมพร้อมต่อต้านกลอุบายอันเจ้าเล่ห์ของซาตาน พิทักษ์ประตูบ้านของเราเพื่อเรา… เพื่อหลีกเลี่ยงการตกอยู่ในกับดักของซาตาน ซึ่งในเวลานั้นก็คงจะสายเกินกว่าจะเสียใจ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 3) ผมตระหนักว่านี่คือเล่ห์กลของซาตาน พวกตำรวจเล่นกับความรู้สึกของผมเพื่อล่อลวงให้ผมทรยศพระเจ้า ผมจะหลงกลไม่ได้ จากนั้นผมก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ในบรรดาทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในจักรวาล ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราไม่ได้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย มีสิ่งใดหรือที่ไม่ได้อยู่ในมือของเรา?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 1) พระเจ้าทรงปกครองสรรพสิ่ง และลูกๆ ของผมก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ผมเต็มใจที่จะวางใจฝากลูกๆ ไว้กับพระองค์ และไม่ว่าตำรวจจะใช้เล่ห์กลอะไรกับผม ผมก็จะตั้งมั่นและไม่มีวันกลายเป็นยูดาส! หลวี่เฝ้าถามผมเรื่องคริสตจักร และเมื่อผมไม่ตอบ จินก็เตะต่อยผมพลางตะคอกใส่ผมว่า “ถ้าไม่พูด ฉันจะซ้อมแกให้ตาย!” ผมถูกซ้อมจนมึน จินซ้อมผมอยู่พักหนึ่งจนตัวเขาหอบเหนื่อย แล้วเขาก็พูดอย่างดุดันว่า “คิดว่าไม่พูดก็ไม่เป็นไรงั้นหรือ? แกจะติดคุกอยู่ดี! พวกเรามีวิธีจัดการกับแกอีกหลายวิธี” ขณะที่พูด เขาก็กระชากเสื้อคลุมตัวนอกของผมออก ดึงรองเท้าผ้าฝ้ายและถุงเท้าออก เขาม้วนขากางเกงของผมขึ้นมาถึงน่อง แล้วลากผมไปยังรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่จอดอยู่นอกห้องสอบปากคำ จากนั้นก็ใส่กุญแจมือผมคล้องเข้ากับที่จับประตูรถ ด้วยความที่ประตูอยู่สูงมาก มือทั้งสองข้างของผมจึงชูอยู่เหนือหัว บนพื้นมีหิมะกองหนาอยู่หนึ่งฟุตกว่า จินกวาดหิมะรอบบริเวณที่ผมยืนอยู่ออกไปประมาณสิบตารางฟุต เผยให้เห็นพื้นทรายที่มีชั้นน้ำแข็งบางๆ เคลือบอยู่ เขาให้ผมยืนบนน้ำแข็งด้วยเท้าเปล่า และพูดอย่างดุร้ายว่า “ถ้าไม่พูด แกก็จะแข็งเจียนตายและกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต!” แล้วเขาก็กลับเข้าไปข้างใน
ฤดูหนาวปีนั้นอากาศหนาวเป็นพิเศษ อุณหภูมิข้างนอกอยู่ที่ราวๆ ลบ 20 องศาเซลเซียส ทันทีที่ถูกใส่กุญแจมือ ผมก็รู้สึกหนาวเหน็บจนถึงกระดูก และบริเวณที่ผมยืนอยู่ก็โดนลมมากเป็นพิเศษ ผมค่อยๆ หมดความรู้สึกตามร่างกาย ผมเฝ้าอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่ในหัวใจว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอฝากตัวไว้ในพระหัตถ์โดยสมบูรณ์ โปรดประทานความเชื่อ พละกำลัง และแรงใจให้ก้าวผ่านความทุกข์นี้ไปได้ด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐาน ผมก็ร้องเพลงสรรเสริญที่มาจากพระวจนะของพระเจ้าเงียบๆ ชื่อเพลง “เจ้าควรละทิ้งทั้งหมดเพื่อความจริง” มีเนื้อร้องว่า
1 เจ้าต้องทนทุกข์กับความยากลำบากเพื่อความจริง เจ้าต้องมอบตัวเจ้าให้กับความจริง เจ้าต้องสู้ทนการดูหมิ่นเหยียดหยามเพื่อความจริง และเจ้าต้องก้าวผ่านความทุกข์มากขึ้นเพื่อที่จะได้รับความจริงมากขึ้น นี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำ…
2 เจ้าควรไล่ตามเสาะหาทั้งหมดที่ดีงามและงดงาม และเจ้าควรไล่ตามเสาะหาเส้นทางในชีวิตที่เปี่ยมความหมายมากขึ้น หากเจ้าดำเนินชีวิตที่ช่างหยาบช้าสามานย์เช่นนั้น และไม่เสาะหาวัตถุประสงค์ใดๆ เจ้าไม่ได้ทิ้งชีวิตไปอย่างสูญเปล่าหรอกหรือ? เจ้าสามารถได้รับอะไรบ้างจากชีวิตเช่นนั้น? เจ้าควรละทิ้งความชื่นชมยินดีทั้งหมดของเนื้อหนังเพื่อเห็นแก่ความจริงหนึ่งประการ และไม่ควรโยนความจริงทั้งหมดทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีเพียงเล็กน้อย ผู้คนเช่นนี้ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตหรือศักดิ์ศรีเลย การดำรงอยู่ของพวกเขาช่างปราศจากความหมาย!
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา
ผมรู้สึกว่าได้รับการหนุนใจ ผมจะจำนนต่อซาตานไม่ได้ ต่อให้ผมแข็งตายในวันนั้น ผมก็จะตั้งมั่นในคำพยานให้พระเจ้า! ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงก็มีผู้คุมคนหนึ่งของสถานกักกันเดินผ่านมาเห็นผมถูกใส่กุญแจมืออยู่กับประตูรถบรรทุก ขณะที่เขาเดินไปที่ห้องสอบปากคำ เขาก็ตะโกนเสียงดังว่า “คุณสอบปากคำผู้คนแบบนี้ไม่ได้ เรารับไม่ไหวหรอกถ้ามีใครเกือบจะแข็งตาย!” หลังผู้คุมคนนั้นเข้าไปได้ไม่นาน จินกับคนอื่นๆ ก็ออกมาลากผมกลับเข้าไปด้านใน ถึงตอนนี้ ทั้งมือและเท้าของผมก็ไร้ความรู้สึกไปแล้ว ปากของผมชาเพราะความหนาวและหัวใจของผมก็เต้นรัว ผมนั่งที่พื้นอยู่ชั่วโมงกว่าๆ ถึงได้เริ่มค่อยๆ รู้สึกอุ่นขึ้นมาอีกครั้ง หลวี่กระหยิ่มยิ้มย่องที่เห็นผมเจ็บปวดและพูดว่า “แกสู้พวกหัวขโมยก็ไม่ได้—อย่างน้อยพวกนั้นก็มีทักษะ แต่พวกแกกลับยอมเจ็บปวดมากมายขนาดนี้เพียงเพื่อที่จะเชื่อในพระเจ้า ไม่คุ้มเลยจริงๆ ต่อให้ไม่พูด แกก็ถูกตัดสินโทษอยู่ดี” เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด ผมโกรธมาก ตำรวจพวกนี้เปลี่ยนความจริงจากหน้ามือให้เป็นหลังมือ พวกเขาคิดว่าการโจรกรรมเป็นทักษะอย่างหนึ่ง แต่กลับปฏิบัติต่อผู้เชื่ออย่างพวกเราที่เดินบนเส้นทางที่ถูกต้องราวกับอาชญากร ราวกับเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สมควรถูกทรมานอย่างไร้มนุษยธรรมแบบนี้! ขณะที่มองดูใบหน้าอันชั่วร้ายของพวกเขา ผมก็สาปแช่งพวกเขาอยู่ในใจ สุดท้ายเมื่อเห็นว่าผมไม่ยอมพูด พวกเขาก็ส่งผมกลับเข้าห้องขัง
คืนนั้นเท้าของผมคันและเจ็บ และเริ่มเป็นแผลพุพอง เช้าวันรุ่งขึ้นเท้าทั้งสองข้างก็เต็มไปด้วยตุ่มเลือดราวกับโดนน้ำร้อนลวกมา มันเกิดขึ้นตุ่มแล้วตุ่มเล่า โดยตุ่มใหญ่มีขนาดเท่าไข่แดง ส่วนตุ่มน้ำเล็กๆ มีขนาดเท่าปลายนิ้ว ผมเดินไม่ได้เลยและอยากจะเกาแผล แต่ก็ไม่กล้า เวลาตุ่มเลือดเหล่านั้นแตก แผลก็จะติดอยู่กับถุงเท้าของผม น่องทั้งสองข้างไม่มีความรู้สึกโดยสิ้นเชิงนอกจากคัน ผมเป็นไข้และหน้าแดงก่ำ ล่วงเข้าวันที่สาม เท้าของผมก็ติดเชื้อและบวมจนใส่รองเท้าแตะคู่ใหญ่สุดไม่ได้ด้วยซ้ำ น่องของผมบวมกว่าปกติถึงสองเท่า และข้อเท้ากลายเป็นสีดำม่วงไปหมดทั้งสองข้าง ด้วยความกลัวว่าจะต้องรับผิดชอบ พวกผู้คุมจึงส่งตัวผมไปโรงพยาบาล แพทย์บอกว่าข้อเท้าข้างขวาของผมติดเชื้อและเป็นหนอง และผมจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด ในห้องผ่าตัด ผมแอบได้ยินหมอคุยกับเจ้าหน้าที่อีกคนที่อยู่ตรงนั้นว่า “เมื่อสองวันก่อนก็มีนักโทษสภาพนี้เข้ามา ขาของเขาติดเชื้อแบบเดียวกัน แล้วจากนั้นเขาก็เสียชีวิตด้วยโรคกระดูกอักเสบ” เมื่อได้ยินหมอพูดเช่นนั้น ผมก็กลัว เท้าของผมติดเชื้อทั้งสองข้างถึงขนาดเดินไม่ได้ ผมจะเป็นโรคกระดูกอักเสบเหมือนกันไหม? ถ้าเป็น ผมคงลงเอยด้วยการเสียชีวิตหรือไม่ก็พิการ เช่นนั้นผมจะทำอย่างไร? ผมอายุยังน้อยและทั้งครอบครัวก็พึ่งผม ยิ่งคิดผมก็ยิ่งทุกข์ใจ แล้วผมก็นึกถึงบทสวดสรรเสริญจากพระวจนะของพระเจ้าที่ชื่อว่า “วิธีที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อม” ความว่า “เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับความทุกข์ เจ้าต้องมีความสามารถที่จะวางความกังวลสนใจต่อเนื้อหนังไว้ก่อนและไม่ทำการร้องทุกข์คร่ำครวญต่อพระเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงซ่อนเร้นพระองค์เองจากเจ้า เจ้าต้องมีความสามารถที่จะมีความเชื่อที่จะติดตามพระองค์ ที่จะธำรงรักษาความรักก่อนหน้านี้ของเจ้าโดยไม่เปิดโอกาสให้มันกระท่อนกระแท่นหรือสูญสลาย ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด เจ้าต้องนบนอบการออกแบบของพระองค์และตระเตรียมที่จะสาปแช่งเนื้อหนังของเจ้าเองแทนที่จะทำการร้องทุกข์คร่ำครวญต่อพระองค์ เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับการทดสอบ เจ้าต้องทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย แม้ว่าเจ้าอาจร่ำไห้อย่างขมขื่นหรือรู้สึกอิดออดที่จะไปจากวัตถุอันเป็นที่รักบางอย่าง สิ่งนี้เท่านั้นคือความรักและความเชื่อที่แท้จริง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง) พระวจนะของพระเจ้ามอบความเชื่อและพละกำลังให้แก่ผม เมื่อเผชิญความทุกข์ พระเจ้าทรงต้องการให้ผมมีความเชื่อและเพียรพยายามเพื่อที่ผมจะได้ตั้งมั่นในคำพยานของตน พอนึกถึงการถูกทรมานสองสามครั้งที่ผ่านมา ผมก็คิดว่าตัวเองมีความเชื่อมากมายนัก ทว่าเมื่อเห็นตัวเองเจ็บหนักจากความหนาว ผมกลับเริ่มกังวลถึงชีวิตและอนาคตของตนเอง ผมกลัวตายและกลัวว่าขาทั้งสองข้างจะใช้งานไม่ได้ วุฒิภาวะของผมช่างน้อยจริงๆ ผมไม่ได้แสดงให้เห็นความเชื่อหรือการนบนอบพระเจ้าเลย เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ ผมก็อธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “โอ พระเจ้า! ข้าพระองค์ไม่อยากนึกถึงตนเองอีกต่อไป ข้าพระองค์จะเชื่อฟังการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์ และต่อให้ชีวิตของข้าพระองค์จะหาไม่ ข้าพระองค์ก็จะตั้งมั่นและทำให้พระองค์พอพระทัย” ระหว่างที่อยู่ในโรงพยาบาล ตำรวจใส่กุญแจมือผมไว้กับเตียงผู้ป่วยตลอดเวลา พวกเขาถอดกุญแจมือออกเฉพาะตอนที่ผมเข้าห้องน้ำและกินอาหารเท่านั้น วันหนึ่งขณะที่ผมไปเข้าห้องน้ำ มีผู้ป่วยหญิงสองคนเดินสวนมาและถามว่าผมทำความผิดเรื่องอะไร จินตอบว่า “ข่มขืน!” ผู้หญิงสองคนนั้นมองผมด้วยสายตาดูถูก ผมโกรธมาก พวกตำรวจบิดเบือนข้อเท็จจริงและสร้างเรื่องโกหกเสมอ!
สองสัปดาห์ผ่านไป อาการบวมที่ขาทั้งสองข้างทุเลาลง แต่ผมยังคงเดินกะเผลกอยู่ พวกผู้คุมพาตัวผมกลับไปยังสถานกักกัน วันหนึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจคนใหม่สามนายมาสอบปากคำผม เมื่อเห็นว่ามีการให้ยาผมทางสายน้ำเกลือ พวกเขาก็พูดอย่างโหดเหี้ยมว่า “เอาสายนั่นออกเสีย! พวกคุณใจดีกับมันเกินไปแล้ว ยอมให้มันใช้สายน้ำเกลือ แค่ปล่อยให้ยังมีชีวิตอยู่ก็ดีพอแล้ว!” ผมนึกในใจด้วยความเดือดดาลว่า “ปีศาจพวกนั้นทำให้ฉันเกือบแข็งตาย แล้วยังมาพูดว่าตัวเองใจดีเกินไปอีก พวกเขาโหดร้ายอำมหิตจริงๆ!”
ในห้องสอบปากคำ เจ้าหน้าที่นายหนึ่งพูดว่า “ตอนนี้คดีความของแกอยู่ในความรับผิดชอบของกองบังคับการตำรวจอาชญากรรมแล้ว หน่วยความมั่นคงทางการเมืองอาจจะจัดการแกไม่ได้ แต่พวกเรามีวิธีเสมอ!” เมื่อเห็นโฉมหน้าที่ชั่วร้ายน่ารังเกียจของพวกเขาแต่ละคน ผมก็รู้สึกวิตกและเริ่มเหงื่อออก ผมเคยได้ยินมาว่า กองบังคับการตำรวจอาชญากรรมรับผิดชอบคดีใหญ่ พวกเขามีวิธีการทรมานที่โหดร้ายทารุณเป็นพิเศษ ผมไม่รู้เลยว่าพวกเขาจะทรมานผมอย่างไร ผมจะผ่านพ้นมันไปได้ไหม? ผมรีบอธิษฐานให้พระเจ้าประทานความเชื่อและความแน่วแน่ที่จะทนต่อความทุกข์นั้น และแล้วเจ้าหน้าที่คนนั้นก็กล่าวว่า “ในห้องนี้ แม้แต่คนที่แกร่งที่สุด พวกเราก็ทำให้สารภาพได้เสมอ กองบังคับการตำรวจอาชญากรรมถนัดเรื่องการลงโทษผู้คนโดยเฉพาะ พวกเราไม่สนว่าผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างแกจะเป็นหรือตาย เพราะฉะนั้นรีบสารภาพมาเสียดีกว่า!” ผมตอบไปว่า “ผมไม่มีอะไรจะพูด” ด้วยความโกรธจัด เขาเงื้อมือข้างหนึ่งตบหน้าผมเต็มแรงก่อนจะตบด้วยมืออีกข้างจนผมมึนงง สิ่งเดียวที่รู้สึกได้คือความเจ็บปวดแสนสาหัสบนใบหน้าพร้อมกับมีเลือดไหลซึมจากมุมปากทั้งสองข้าง รู้สึกได้ว่าหน้าและปากของผมบวมปูด เมื่อเห็นว่าพวกเขาทุกคนร่างกายกำยำและโหดเหี้ยมได้ขนาดไหน ผมก็กังวลมากว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาจะซ้อมฉันจนพิการหรือถึงตายเลยไหม? ถ้าฉันทนถูกทรมานไม่ไหวและขายพี่น้องชายหญิง ฉันก็จะกลายเป็นยูดาสสิ” ผมรีบมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐาน หลังอธิษฐานจบ ผมก็นึกถึงประโยคหนึ่งในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ความเชื่อเป็นเหมือนสะพานไม้ซุงต้นเดียว กล่าวคือ พวกที่ยึดติดอยู่กับชีวิตอย่างยอมจำนนจะประสบความลำบากยากเย็นในการข้ามสะพานนั้นไป แต่บรรดาผู้ที่พร้อมจะพลีอุทิศตัวพวกเขาเองจะสามารถข้ามไปได้ด้วยเท้าที่มั่นคงและปราศจากความกังวล” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 6) พระวจนะของพระเจ้าได้มอบความเชื่อให้แก่ผม และผมตั้งปณิธานว่า “ไม่ว่าวันนี้พวกเขาจะทุบตีฉันหนักหนาขนาดไหน ฉันก็จะไม่กลายเป็นยูดาส!” พวกเขาตบหน้าและเตะผมอย่างแรงอีกสองสามครั้ง จากนั้นพวกเขาก็เอาเชือกมามัดผมไว้เหมือนคราวก่อน แต่ครั้งนี้ยิ่งเลวร้ายกว่าเดิม พวกเขารั้งแขนผมไปด้านหลังและกระตุกเชือกขึ้นไปอย่างแรง ผมรู้สึกเหมือนแขนทั้งสองข้างกำลังจะหัก แล้วก็เจ็บมาก ครึ่งชั่วโมงผ่านไป มือของผมก็ฟกช้ำเป็นสีม่วงสีดำทั้งสองข้าง เมื่อเห็นว่าผมจะทนไม่ไหวแล้ว พวกเขาก็แก้มัดให้ อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา พอเห็นว่าข้อมือของผมเริ่มดีขึ้นบ้าง พวกเขาก็ใช้เชือกกลับมารัดผมอีกเป็นหนที่สอง คราวนี้พวกเขานำไม้ถูพื้นมาด้วย พวกเขาสอดด้ามไม้ถูพื้นเข้ากับเชือกที่หลังคอของผม และบิดมันประมาณสองรอบจนเชือกที่แขนและไหล่ของผมรัดแน่นกว่าเดิม เจ้าหน้าที่นายหนึ่งนั่งที่เก้าอี้ด้านหลังผม ถือไม้ถูพื้นนั้นไว้และกดมันจนสุดแรง ผมเจ็บแขนทั้งสองข้างจนเกินจะทนได้และรู้สึกเหมือนแขนกำลังจะหัก ระหว่างที่กดตรึงไม้เอาไว้ เขาก็เฝ้าถามผมว่า “พวกแกมีกันกี่คน? ผู้นำของพวกแกคือใคร?” เมื่อเห็นว่าผมไม่ยอมตอบ พวกเขาก็เอาขวดเบียร์มาสามใบและยัดไว้ใต้รักแร้ของผม ทำให้รู้สึกเหมือนถูกดึงแขนลงมา มันเจ็บแปลบและเสียดแทงเสียจนผมแทบหมดสติ ผมได้แต่อธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้พระองค์ประทานพละกำลังให้ผม จากนั้นเจ้าหน้าที่สองนายก็เดินมาประกบผมคนละข้าง เลิกเสื้อผมขึ้น แล้วใช้ปากขวดน้ำขูดไปตามซี่โครงของผมอย่างแรง มันเจ็บมากจนผมร้องเสียงหลง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งตะคอกผมว่า “เจ็บสินะ ทำไมไม่ขอให้พระเจ้าของแกมาช่วยล่ะ หา? ถ้าเจ็บมากขนาดนั้นก็พูดออกมาสิ!” ขณะเดียวกันพวกเขาก็ขูดซี่โครงของผมไปมาอย่างแรงจนหนังถลอก มันทรมานมาก แล้วพวกเขาก็กดหัวผมแรงๆ และพูดอย่างฉุนเฉียวว่า “ถ้าวิธีนี้ไม่ได้ผล ก็พาตัวมันไปในที่เปลี่ยว แล้วตีมันให้ตาย เป็นโจรเสียยังดีกว่าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าพวกนี้ ทรมานหน่อยแต่ก็คุ้มถ้าแกได้เงินมาบ้าง!” จากนั้นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็บอกว่า “พูดเสียเถอะ การทนทรมานแบบนี้ไม่คุ้มหรอก ถ้าแกพูด ทุกอย่างก็จบ” ผมรู้สึกเหมือนร่างกายมาถึงจุดที่สุดจะทนแล้ว และคิดว่า “ถ้าฉันแค่บอกบางเรื่องที่ไม่สลักสำคัญอะไรกับพวกเขาไปล่ะ? บางทีฉันอาจจะทรมานน้อยลง” แต่แล้วผมก็ตระหนักว่าถ้าผมพูดอะไรออกไป ผมก็จะกลายเป็นยูดาสและทรยศพระเจ้า ผมจะพูดอะไรไม่ได้อย่างเด็ดขาด ผมเฝ้าอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “โอ พระเจ้า! ข้าพระองค์ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ โปรดประทานความเข้มแข็งและคุ้มครองให้ข้าพระองค์ตั้งมั่นในคำพยานของตนต่อไปได้ด้วยเถิด” หลังอธิษฐานจบ ผมก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ในระหว่างวันสุดท้ายเหล่านี้พวกเจ้าต้องเป็นคำพยานต่อพระเจ้า ไม่สำคัญว่าความทุกข์ของเจ้าจะมากมายเพียงใด เจ้าควรต้องเดินไปจนถึงวาระสิ้นสุด และแม้กระทั่งถึงลมหายใจสุดท้ายของพวกเจ้า พวกเจ้ายังคงต้องสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าและนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้า การนี้เท่านั้นคือการรักพระเจ้าอย่างแท้จริง และการนี้เท่านั้นคือคำพยานที่หนักแน่นและดังกึกก้อง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น) พระวจนะของพระเจ้าทำให้ผมได้ความเข้มแข็งกลับคืนมา ผมรู้สึกได้ถึงการทรงนำของพระองค์ที่อยู่เคียงข้างผมมาตลอด ไม่ว่าจะทุกข์ทนถึงเพียงไหน ผมก็จะพึ่งพิงพระเจ้าและก้าวผ่านมันไปให้ได้ ผมอธิษฐานถึงพระองค์ว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงรู้ว่าข้าพระองค์รับมือได้มากเพียงใด ไม่ว่าพวกเขาจะทรมานข้าพระองค์อย่างไร ข้าพระองค์ก็จะไม่ทรยศพระองค์ ถ้าข้าพระองค์ไม่อาจทนรับความเจ็บปวดต่อไปได้แล้วจริงๆ ข้าพระองค์ก็ขอยอมตายมากกว่าจะกลายเป็นยูดาส”
จบรอบสองนี้ ผมก็นั่งกองอยู่กับพื้นอย่างหมดรูป ผมยังไม่ค่อยฟื้นตัวเลยตอนที่เจ้าหน้าที่นายหนึ่งดึงปกเสื้อให้ผมลุกขึ้นมาและผลักผมติดกำแพง เขาบีบคอผมอย่างแรงและพูดอย่างป่าเถื่อนว่า “วันนี้ฉันจะบีบคอแกให้ตาย!” ผมแทบจะหายใจไม่ออก จึงใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีผลักเขาออกไป เขาก้าวถอยหลังและดูจะตกตะลึง ผมยังรู้สึกเลยว่าน่าแปลกใจ ร่างกายของผมค่อนข้างอ่อนแอหลังจากที่โดนทรมานอยู่นับเดือน วันนั้นผมก็ถูกทรมานมาบ้างแล้วและไม่มีเรี่ยวแรงเหลือ ผมคิดไม่ถึงว่าจะยังผลักเขาออกไปได้ ผมรู้ว่านี่เป็นเพราะพระเจ้าทรงช่วยเหลือผมและประทานพละกำลังแก่ผม พวกเขายังคงทรมานผมต่อไปจนเลยบ่ายโมง หนึ่งในเจ้าหน้าที่อาชญากรรมก็พูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “แกมันดื้อด้านนัก พรุ่งนี้เราจะทรมานแกต่อ จะได้เห็นกันว่าแกจะทนได้นานขนาดไหน ถ้าแกไม่พูด พวกเราจะสอบปากคำแกทุกวันจนกว่าแกจะยอมพูด!” ตกกลางคืนผมนอนอยู่บนเตียง มีรอยฟกช้ำดำเขียวทั่วตัว ผิวหนังแถวซี่โครงของผมมีแต่รอยแผลและมันเจ็บแม้กระทั่งเวลาหายใจ แขนของผมเจ็บมากเสียจนผมถอดเสื้อไม่ได้ด้วยซ้ำ ผมดึงคอเสื้อขึ้นและเห็นว่ารอยแผลต่างๆ บริเวณไหล่ทั้งสองข้างที่หายแล้วพากันกลับมาอีกครั้ง ข้อมือทั้งสองมีรอยจ้ำเลือดจากแรงรัดของเชือก ปีศาจพวกนั้นก็จะทำทุกทางไม่ว่าจะโหดร้ายขนาดไหนเพื่อบีบให้ผมทรยศพระเจ้าและขายพี่น้องชายหญิงของตนเอง พวกเขากระตือรือร้นที่จะฆ่าผม พวกเขาคือกลุ่มปีศาจที่เกลียดชังความจริง เกลียดชังพระเจ้า! ผมนึกถึงที่เจ้าหน้าที่บอกว่าพวกเขาจะสอบปากคำผมต่อในวันรุ่งขึ้น แล้วผมก็พลันรู้สึกทั้งขลาดทั้งกลัวว่า “พรุ่งนี้การทรมานจะยิ่งแย่กว่านี้อีกไหม? พวกเขาจะทรมานฉันถึงตายหรือเปล่า? ตำรวจชั่วพวกนี้จะไม่หยุดพักจนกว่าฉันจะเปิดปากบอกเรื่องคริสตจักร แต่ถ้าฉันยอมพูด ฉันก็จะกลายเป็นยูดาสที่ทรยศพระเจ้า และถ้าไม่พูด ดูท่าแล้วฉันน่าจะถูกทรมานจนตาย” ผมอธิษฐานถึงพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “โอ พระเจ้า วุฒิภาวะของข้าพระองค์ช่างน้อยเหลือเกิน ข้าพระองค์ไม่อาจก้าวผ่านการทรมานนี้ไปได้ด้วยตนเองจริงๆ แต่ข้าพระองค์ก็ไม่อยากเป็นยูดาสและทรยศพระองค์ โปรดทรงช่วยเหลือและนำข้าพระองค์ด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐาน ผมก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “กับบรรดาผู้ที่ไม่ได้แสดงให้เราเห็นความจงรักภักดีแม้แต่น้อยในระหว่างช่วงเวลาของความทุกข์ลำบาก เราจะไม่ปรานีอีกต่อไป เพราะความปรานีของเราขยายเวลามาเพียงถึงตอนนี้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่มีความชอบให้กับใครก็ตามที่ครั้งหนึ่งเคยทรยศเรา นับประสาอะไรที่เราจะชอบเชื่อมสัมพันธ์กับบรรดาผู้ที่ขายผลประโยชน์ของผองเพื่อนของตน นี่คืออุปนิสัยของเรา ไม่ว่าบุคคลคนนั้นอาจเป็นใครก็ตาม เราจำต้องบอกเรื่องนี้กับพวกเจ้าว่า ใครก็ตามที่ทำให้เราเสียใจจะไม่ได้รับความเมตตาผ่อนผันจากเราเป็นครั้งที่สอง และใครก็ตามที่สัตย์ซื่อต่อเราตลอดมาจะยังคงอยู่ในหัวใจของเราตลอดกาล” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า) ผมเฝ้านึกถึงพระวจนะเหล่านี้ซ้ำๆ ผมรู้ว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรมและไม่ทนต่อการล่วงเกิน ถ้าผมทรยศพระเจ้าและขายพี่น้องชายหญิงของตนเองเพื่อหลบเลี่ยงความทุกข์ ผมก็จะล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าและย่อมจะทุกข์ทนกับการลงโทษในที่สุด ผมครุ่นคิดถึงประสบการณ์ทั้งหมดนี้ ถ้าไม่มีพระวจนะของพระเจ้าคอยนำผม ผมก็คงผ่านพ้นการทรมานอันโหดเหี้ยมของพวกตำรวจมาไม่ได้ การที่ผมยังมีชีวิตอยู่นั้นเป็นเพราะการคุ้มครองของพระเจ้า ความเป็นและความตายของผมอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า หากพระเจ้ามิทรงอนุญาต ซาตานก็เอาชีวิตผมไปไม่ได้ เมื่อคิดเช่นนั้นในใจ ผมก็มีความมุ่งมั่นที่จะมอบทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตั้งมั่นในคำพยานที่ผมมีให้พระเจ้า แล้วผมก็ต้องประหลาดใจที่พอผมมีความมั่นใจที่จะเผชิญการสอบปากคำครั้งต่อไป พวกเขาก็ไม่ได้กลับมา ราวหนึ่งเดือนให้หลัง หลวี่ก็มาแจ้งผมว่า “ปิดคดีแกแล้ว แกมีเวลาหนึ่งปี ครอบครัวของแกขอยื่นประกันตัวไว้ระหว่างพิจารณาคดี พอกลับบ้านไปแล้ว ตลอดหนึ่งปีนั้นแกต้องอยู่เฉยๆ และเมื่อถูกเรียก แกก็ต้องมารายงานตัวทันที”
หลังได้รับการปล่อยตัว ผมจำต้องทิ้งบ้านไปทำหน้าที่ให้ลุล่วงตามที่ต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจตราของตำรวจ การถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนจับกุมและข่มเหงในครั้งนั้นช่วยให้ผมมองเห็นแก่นแท้เยี่ยงปีศาจที่เกลียดชังและต้านทานพระเจ้าของมันอย่างชัดเจน ผมเกลียดมันมาก นอกจากนี้แล้วผมยังรู้สึกถึงความรักและความรอดที่พระเจ้าทรงมีให้ผมได้อย่างแท้จริง ในยามที่ผมทนรับความทุกข์จากการถูกทรมานแทบไม่ไหวอีกต่อไปแล้วนั้น พระเจ้าสถิตอยู่กับผมเสมอ ทรงเฝ้าดูแลและคุ้มครองผม ทรงใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อนำและประทานความเชื่อกับความเข้มแข็งให้แก่ผม ให้ผมเอาชนะความโหดร้ายของปีศาจเหล่านั้นและมีความมุ่งมั่นที่จะถวายชีวิตของตนแด่พระเจ้า รวมทั้งตั้งมั่นในคำพยานให้พระองค์ ขอคำขอบคุณจงมีแด่พระเจ้า!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย หลีหมิง, ประเทศจีนราวสามทุ่มของวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 2009 ขณะที่ผมกับภรรยาและลูกสาวกำลังชุมนุมกันอยู่ จู่ๆ...
โดย หลิวเสี่ยว, ประเทศจีน ตอนอายุยี่สิบ ฉันถูกตำรวจจับกุมและทรมาน เพราะเชื่อในพระเจ้า ฉันไม่มีวันลืมประสบการณ์อันเจ็บปวดนั้น...
โดย ต่ง เหมย, ประเทศจีน เดือนธันวาฯ ค.ศ. 2011 วันหนึ่งประมาณเจ็ดโมงเช้า ฉันกับน้องสาวคนหนึ่งกำลังนับทรัพย์สินของคริสตจักร จู่ๆ...
โดย เฉินลู่ ประเทศจีน ตอนนั้นเป็นเช้าของวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2012 บรรดาพี่น้องชายหญิงกว่าสิบสองคนกำลังมีการพบปะกันอยู่...