การดิ้นรนที่จะพูดอย่างซื่อสัตย์

วันที่ 29 เดือน 01 ปี 2022

โดย เวเนียลา, ฟิลิปปินส์

ฉันยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในปี 2017 เวลาได้สามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิง ปกติแล้วคือเวลาที่ฉันยินดีมาก เพราะได้เรียนรู้เรื่องความจริงมากขึ้น ได้อะไรจากมันเสมอ ตอนแรกเป็นการแชทด้วยข้อความ แปลว่าเราสื่อสารกันด้วยการพิมพ์ทั้งหมด ดังนั้นฉันจึงไม่ได้ยั้งอะไรไว้ ฉันกระตือรือร้นมากที่จะพูดถึงความเข้าใจในพระวจนะพระเจ้า ผู้นำจะพูดว่าฉันมีความเข้าใจที่ดี พี่น้องชายหญิงเคารพฉัน พวกเขาว่าชอบฟังฉันสามัคคีธรรม และฉันพูดอังกฤษคล่อง ฉันตื่นเต้นที่ได้ยินคำยกย่อง และรู้สึกว่าฉันทำได้ดี น้องคนหนึ่งแนะนำให้เราชุมนุมด้วยการโทรเสียง แล้วปัญหาฉันก็ปรากฏขึ้นมา

ในการชุมนุมตอนบ่ายครั้งหนึ่ง หลังอ่านพระวจนะ พี่น้องสองคนได้แบ่งปันความเข้าใจในบทตอนนั้น แต่ฉันกังวลและไม่ได้ยินการสามัคคีธรรมของพวกเขาเท่าไหร่นัก เมื่อก่อนนี้ทั้งหมดมันเป็นข้อความ ฉันจึงไม่เคยชินนักกับ การสามัคคีธรรมด้วยเสียง การสามัคคีธรรมด้วยเสียงคือจุดอ่อนของฉัน ตอนที่เราใช้ข้อความ ฉันสามารถเลือกคำและประดิษฐ์คำได้ แต่ในการสนทนาแบบสด ฉันมีเวลาเตรียมไม่พอ ถึงฉันจะมีความเข้าใจในพระวจนะอยู่บ้าง แต่การสามัคคีธรรมของฉันยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ ฉันจึงกลัวว่าพี่น้องชายหญิงจะผิดหวังในตัวฉัน ฉันหมกมุ่นคิดแต่เรื่องนี้ตลอดทั้งการชุมนุม ลังเลว่าจะแบ่งปันดีหรือไม่ ถ้าไม่แบ่งปัน คนอื่นๆ ก็จะคิดว่าฉันไม่มีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้น และผู้นำก็จะผิดหวังในตัวฉัน แต่ถ้าแบ่งปัน ฉันก็จะตกเป็นที่สนใจ และถ้าฉันทำได้ไม่ดี พี่น้องชายหญิงก็จะดูถูกดูแคลนฉัน มันจะทำลายภาพลักษณ์ที่ดีของฉันกับพวกเขา ความคิดพวกนี้ทำให้ฉันกังวลมาก ฉันพูดอะไรไม่ออกเลย ฉันรู้สึกอับอาย ยิ่งเพราะพี่น้องหญิงที่เปลี่ยนฉันเป็นคริสเตียนอยู่ในการชุมนุมนั้น ฉันคิดว่าพวกเธอต้องผิดหวังแน่ เพราะในข้อความ ฉันแสดงให้เห็นว่าเข้าใจได้ดีและมีส่วนร่วมจริงๆ แต่ตอนนั้น ฉันไม่ได้พูดอะไรเลย จากนั้นผู้นำ ฟลอร่า ชิก็พูดกับฉันว่า “น้องเวนิเอล่า อยากแบ่งปันหน่อยไหม? ทุกคนแบ่งปันหมดแล้ว คุณลืมสามัคคีธรรมหรือเปล่า?” น้ำเสียงเธอทำให้ฉันรู้สึกว่าเธอผิดหวัง ฉันรู้สึกอึดอัดและอับอายจริงๆ เพื่อซ่อนข้อบกพร่องของฉันและรักษาภาพลักษณ์ในสายตาพวกเขา ฉันตัดสินใจว่าตั้งแต่นั้นมาจะเขียนสิ่งที่อยากสามัคคีธรรมไว้ก่อนการชุมนุม พอถึงคราวฉัน ฉันก็แค่เอามันมาอ่าน จะได้ไม่กังวลมากนัก พวกเขาจะได้คิดว่าฉันเป็นผู้พูดที่ดี สามัคคีธรรมตรงประเด็นและเป็นประโยชน์ ฉันคิดว่ามันเป็นความคิดที่ดี

ค่ำวันหนึ่ง พี่น้องหญิงสองคนจากจีนเป็นเจ้าบ้านการชุมนุม เราทุกคนติดต่อกันเป็นภาษาอังกฤษเพื่อความสะดวก พี่น้องชายหญิงในพื้นที่อายมากเพราะไม่เก่งภาษาอังกฤษนัก แต่ก็ยังสามัคคีธรรมได้นิดหน่อยตามความเข้าใจในพระวจนะ พอถึงคราวฉัน ฉันมีส่วนร่วมจริงๆ และฟังดูมั่นใจมากๆ เพราะฉันเขียนไว้ก่อนแล้วล่วงหน้า ฉันเป็นคนสุดท้าย ฉันใช้เวลาเขียนสามัคคีธรรมของฉันนานมาก และฉันทำเต็มที่เพื่อพูดอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด เพื่อไม่ให้พวกเขาสังเกตเห็นว่าฉันอ่าน หลังจากนั้น ทุกคนก็ชมการสามัคคีธรรมของฉันว่ามันเป็นประโยชน์ และพูดว่าภาษาอังกฤษฉันดีมาก ฉันแอบดีใจอยู่ที่ได้ยินคำยกย่องของพวกเขา และรู้สึกเหมือนได้รับการเคารพจากพวกเขา จากนั้น เมื่อไหร่ที่พี่น้องชายหญิงบอกว่าชอบสามัคคีธรรมของฉัน ว่าฉันได้รับของประทาน ฉันก็อดรู้สึกชื่นบานไม่ได้ จากนั้น ฉันได้รับเลือกตั้งเป็นหัวหน้ากลุ่ม ฉันยิ่งมุ่งเน้นกว่าเดิมว่าคนอื่นคิดกับฉันยังไง แต่หลังจากสักพัก ฉันก็เริ่มรู้สึกผิด ค่อนข้างไม่สบายใจ เมื่อไหร่ก็ตามที่คนอื่นยกย่องฉัน ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันกำลังทำมันผิด ว่าฉันไม่ยอมให้พวกเขาเห็นตัวตนจริง ฉันไม่ได้รู้สึกถูกต้องกับมัน แต่ก็ยังทำอย่างเดิมต่อไป ในการชุมนุม ฉันไม่ได้ฟังการสามัคคีธรรมของคนอื่นจริงๆ ฉันไม่ได้ใช้หัวใจฟังพวกเขาเลยแม้แต่นิด แต่ง่วนอยู่กับการเขียนความเข้าใจของตัวเอง ผลคือฉันไม่มีทางเรียนรู้จากการสามัคคีธรรมพวกเขาได้จริงๆ การชุมนุมไม่มีความหมายกับฉัน ฉันมักจะมุ่งเน้นการเขียนสิ่งที่ฟังดูดี เพื่อสนองความไร้สาระ คุ้มภัยชื่อเสียงตัวเอง ทำให้ไม่ได้อะไรจากการชุมนุมมากกว่านี้ ฉันอยากเปลี่ยน อยากสามัคคีธรรมได้อิสระกว่านี้ แต่กลัวที่จะก้าวไป กลัวว่าถ้าคนอื่นรู้ว่าที่ผ่านมาฉันเขียนอะไรๆ ไว้ล่วงหน้า พวกเขาจะดูถูกฉัน และอาจพูดว่าฉันไม่จริงใจ โกหกและเต็มไปด้วยเล่ห์ ฉันอยากหยุดทำแบบนั้นหลายต่อหลายครั้ง เพราะมันไม่เป็นประโยชน์กับฉันเลย ทิ้งให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ แต่ความวิตกกังวลนั้นไม่ได้มีน้ำหนักเลยเมื่อเทียบกับ ภาพลักษณ์และการชื่นชมจากผู้อื่น ฉันสนใจหน้าตาและชื่อเสียงมากกว่า แต่ทุกครั้งที่ทำแบบนั้น ก็รู้สึกผิดอย่างใหญ่หลวง เคยถึงกับพยายามโน้มน้าวตัวเอง ว่าทำไปเพื่อแบ่งปันความเข้าใจได้ชัดเจนและแม่นยำยิ่งขึ้น พอเป็นอย่างนั้น คนอื่นๆ ก็จะเข้าใจสิ่งที่ฉันพูดได้ดียิ่งขึ้น ฉันบอกตัวเองต่อไปว่ามันไม่เป็นไร แต่ความไม่สบายใจและความรู้สึกผิดคอยทรมานฉัน ฉันคิดว่า ถ้าฉันวางความภาคภูมิลงได้และบอกความจริงกับทุกคน ฉันก็จะหนีจากมันพ้น แต่ถ้าพวกเขารู้เข้าว่าภาษาอังกฤษฉันไม่ดีนัก ฉันคิดว่าพวกเขาจะหัวเราะเยาะฉัน แล้วฉันจะเผชิญหน้าพวกเขายังไง? ฉันต่อสู้กับเรื่องนี้นานมาก แต่ก็ยังจัดการเปิดใจไม่ได้ เมื่อไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้อีก ก็พยายามเพิ่มทักษะทางภาษา ฉันฝึกสามัคคีธรรมด้วยตัวเองที่บ้าน อัดเสียงตัวเอง แล้วเปิดฟังเพื่อพิจารณาว่ามันเป็นยังไง ฉันคิดว่าทำแบบนั้นแล้วอาจค่อยๆ พัฒนาทักษะการพูดได้ จะได้ไม่ต้องคอยเขียนการสามัคคีธรรมล่วงหน้า แต่แบ่งปันเลยตรงๆ อย่างนั้นก็ไม่ต้องบอกความจริงกับใคร ถ้าฉันยังสามัคคีธรรมได้ดีและภาษาอังกฤษฉันฟังดูคล่อง ก็จะยังยึดอยู่กับการเคารพจากพวกเขาได้ แต่ไม่ว่าฉันจะฝึกซ้อมมากแค่ไหน ฉันก็กังวลทุกครั้งเวลาที่เราทุกคนอยู่ในการสามัคคีธรรม ฉันจึงแค่อ่านการสามัคคีธรรมเหมือนที่เคยทำมาตลอด ฉันผิดหวังกับตัวเองและติดอยู่ในสภาวะคิดลบ แล้วมันยังกระทบหน้าที่ฉันด้วย ลงเอยฉันก็ถูกปลดจากตำแหน่งหัวหน้ากลุ่ม

ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง พี่คนหนึ่งแบ่งปันพระวจนะว่า “หากเจ้าปรารถนาให้ผู้อื่นไว้วางใจเจ้า ก่อนอื่นเจ้าต้องซื่อสัตย์ ในฐานะบุคคลที่ซื่อสัตย์คนหนึ่ง อันดับแรก เจ้าต้องตีแผ่หัวใจของเจ้าเพื่อให้ทุกคนสามารถมองเข้าไปในหัวใจของเจ้า เห็นทั้งหมดที่เจ้ากำลังคิด และเหลือบมองใบหน้าที่แท้จริงของเจ้า เจ้าต้องไม่พยายามที่จะอำพรางตนเองหรือหุ้มห่อตัวเจ้าให้ดูดี ถึงตอนนั้นเท่านั้น ผู้คนจึงจะไว้วางใจเจ้า และพิจารณาว่าเจ้าซื่อสัตย์ นี่เป็นการฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุด และเป็นสิ่งพื้นฐานที่ต้องมีก่อนการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์คนหนึ่ง เจ้ากำลังเสแสร้งอยู่ตลอดเวลา แสร้งแสดงความบริสุทธิ์ ความมีคุณธรรม ความยิ่งใหญ่อยู่เสมอ และแสร้งแสดงคุณสมบัติทางศีลธรรมอันสูงส่ง เจ้าไม่ปล่อยให้ผู้คนมองเห็นความเสื่อมทรามของเจ้าและการล้มเหลวทั้งหลายของเจ้า เจ้านำเสนอภาพลักษณ์ที่เป็นเท็จต่อผู้คนเพื่อให้พวกเขาเชื่อว่าเจ้านั้นน่ายกย่องนับถือ ยิ่งใหญ่ เสียสละ ไม่แบ่งฝ่ายและไม่เห็นแก่ตัว นี่คือความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง จงอย่าสวมหน้ากากปลอมแปลงตน และจงอย่าหุ้มห่อตัวเอง แทนที่จะเป็นเช่นนั้นจงตีแผ่ตัวเจ้าและหัวใจของเจ้าเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็น หากเจ้าสามารถตีแผ่หัวใจของเจ้าเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็น และตีแผ่ความคิดและแผนการทั้งหมดของเจ้า—ทั้งด้านบวกและด้านลบ—เช่นนั้นแล้ว เจ้าไม่ใช่กำลังมีความซื่อสัตย์อยู่หรอกหรือ? หากเจ้าสามารถตีแผ่ตัวเจ้าเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็น เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าย่อมจะทรงมองเห็นเจ้าด้วยเช่นกัน และตรัสว่า ‘เจ้าได้ตีแผ่ตัวเองเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็น และดังนั้น แน่นอนว่า เจ้าย่อมซื่อสัตย์ต่อหน้าเราด้วยเช่นกัน’ หากเจ้าเพียงตีแผ่ตัวเองต่อพระเจ้าในตอนที่อยู่นอกสายตาของผู้คนอื่น และเสแสร้งทำเป็นยิ่งใหญ่และมีคุณธรรม หรือเป็นธรรม และไม่เห็นแก่ตัวเมื่ออยู่ในกลุ่มพวกพ้องของพวกเขา เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะทรงดำริและตรัสสิ่งใดเล่า? พระองค์จะตรัสว่า ‘เจ้าช่างเปี่ยมด้วยเล่ห์ลวงอย่างจริงแท้ เจ้าเป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอกและกระจอกอย่างถ้วนทั่ว และเจ้าไม่ใช่บุคคลที่ซื่อสัตย์คนหนึ่ง’ พระเจ้าจะทรงกล่าวโทษเจ้าด้วยเหตุนั้น หากเจ้าปรารถนาที่จะเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งมีความซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าหรืออยู่ต่อหน้าผู้คนอื่นใดในเวลาใดก็ตาม เจ้าก็ควรมีความสามารถที่จะจัดเตรียมคำอธิบายอันถ่องแท้และเปิดกว้างถึงสิ่งที่สำแดงในตัวเจ้า และเกี่ยวกับคำพูดในหัวใจของเจ้า การนี้ง่ายที่จะสัมฤทธิ์หรือไม่? พึงต้องใช้เวลา พึงต้องใช้การต่อสู้ดิ้นรนภายใน และพวกเราต้องปฏิบัติอยู่เนืองนิตย์ หัวใจของพวกเราจะเปิดออกและพวกเราจะมีความสามารถที่จะตีแผ่ตัวพวกเราเองทีละน้อยๆ(“การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระเจ้าชอบคนซื่อสัตย์ ไม่ชอบความเจ้าเล่ห์ไม่ซื่อสัตย์ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่สวยงามหรือน่าเกลียด เราต้องเปิดใจในการสามัคคีธรรม อย่าเสแสร้งเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เรา อย่าสวมหน้ากากให้ตนเอง นั่นคือการซื่อสัตย์ ฉันรู้สึกผิดมากตอนที่อ่านบทตอนนี้ เพราะรู้ว่าฉันไม่ใช่คนซื่อสัตย์ ฉันอยากเปิดใจกับทุกคนมาก วางความไร้สาระอยากมีหน้าตา ถึงพยายามเลิกสองสามครั้งแล้ว ก็ทำไม่เคยได้ ฉันอยากได้หน้ามากเกินไป ฉันถูกความไร้สาระของตัวเองจองจำไว้ ฉันเห็นว่าฉันเสื่อมทรามมากจริงๆ รู้สึกผิดและโกรธมากในเวลาเดียวกัน ทำไมฉันเสแสร้งตลอด สร้างความประทับใจปลอมๆ? ทำไมฉันถึงปฏิบัติความจริงไม่ได้? ทำไมทำให้ความเชื่อในพระเจ้าสูญเปล่า? การชุมนุมและหน้าที่ต่างๆ นั้นเสียเปล่าเหรอ? ฉันรู้สึกเหมือนหนีพันธะแห่งความไร้สาระไม่พ้น อยากออกจากกลุ่มและใช้เวลาสักพักเพื่อปรับสภาวะให้ถูก จะได้กลับมาร่วมการชุมนุมและเลิกทำอะไรแบบนั้น ฉันก็เลยออกจากกลุ่มและหยุดใช้บัญชีที่มี อยากอยู่คนเดียวและไตร่ตรองตัวเอง ฉันอารมณ์เสียมากและท้อแท้อยู่สักพัก และเหงาด้วย ฉันผิดหวังในตัวเอง ฉันเป็นผู้เชื่อมาสองปี แต่ก็ยังไม่สามารถซื่อสัตย์และปล่อยวางความไร้สาระได้ ฉันสนใจมากไปว่าคนอื่นจะคิดยังไง แค่นึกภาพปฏิกิริยาของคนอื่นหลังได้รู้ความจริง ก็ทำให้ฉันรู้สึกละอายมากแล้ว

ระหว่างช่วงเวลานั้น ที่ฉันทำมีแค่อ่านพระวจนะ วันหนึ่ง ฉันได้อ่านบทตอนนี้ว่า “การไล่ตามเสาะหาความจริงคือสิ่งที่สำคัญที่สุดและอันที่จริงแล้ว การปฏิบัติเช่นนั้นก็เรียบง่ายมาก เจ้าควรเริ่มต้นด้วยการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์และพูดอย่างสัตย์ซื่อ และเปิดหัวใจของเจ้าให้กว้าง หากมีบางสิ่งซึ่งเจ้าตะขิดตะขวงอับอายเกินไปที่จะพูดกับเหล่าพี่น้องชายหญิงของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ควรคุกเข่าลงและบอกสิ่งนั้นกับพระเจ้าโดยผ่านทางการอธิษฐาน เจ้าควรพูดอะไรกับพระเจ้าหรือ? จงบอกพระเจ้าถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้า จงอย่าใช้คำพูดอันน่ายินดีซึ่งว่างเปล่าหรือพยายามที่จะหลอกลวงพระองค์ จงเริ่มต้นด้วยการเป็นคนซื่อสัตย์ หากเจ้าอ่อนแอมาโดยตลอด เช่นนั้นแล้วก็จงพูดว่าเจ้าอ่อนแอมาโดยตลอด หากเจ้าชั่วมาโดยตลอด เช่นนั้นแล้วก็จงพูดว่าเจ้าชั่วมาโดยตลอด หากเจ้าเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงมาโดยตลอด เช่นนั้นแล้วก็จงพูดว่าเจ้าเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงมาโดยตลอด หากเจ้ามีความคิดที่เลวทรามและเคลือบแฝงมาโดยตลอด ก็จงทูลบอกพระเจ้าเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น หากเจ้าแข่งขันเพื่อตำแหน่งอยู่เสมอ ก็จงทูลบอกพระองค์ถึงการนี้เช่นกัน จงยอมให้พระเจ้าทรงบ่มวินัยเจ้า จงยอมให้พระองค์ทรงจัดการเตรียมสภาพแวดล้อมแก่เจ้า จงเปิดโอกาสให้พระเจ้าทรงช่วยให้เจ้าผ่านพ้นความลำบากยากเย็นทั้งปวงของเจ้าไปได้และแก้ไขปัญหาทั้งหมดของเจ้า เจ้าควรเปิดหัวใจของเจ้าให้กว้าง จงอย่าปิดหัวใจของเจ้าเรื่อยไป ต่อให้เจ้าปิดกั้นพระองค์ พระองค์ก็ยังคงสามารถทอดพระเนตรเห็นเข้าไปในตัวเจ้าได้อยู่ดี อย่างไรก็ตาม หากเจ้าเปิดกว้างต่อพระองค์ เจ้าจะสามารถได้รับความจริง ดังนั้น เจ้าควรเลือกเส้นทางใด? จงเริ่มต้นด้วยการเป็นคนซื่อสัตย์ และแน่นอนทีเดียวว่าจงอย่าเล่นละคร เป็นเวลาหลายปีที่พวกเราได้สามัคคีธรรมกันเรื่อยมาถึงความจริงเกี่ยวกับการเป็นคนซื่อสัตย์ แต่ถึงกระนั้น ในวันนี้ก็ยังคงมีผู้คนมากมายที่ยังคงไม่แยแส เอาแต่พูดและกระทำไปตามเจตนา ความอยาก และจุดมุ่งหมายของพวกเขาเองเท่านั้น และไม่เคยฉุกคิดที่จะกลับใจเลย นี่คือท่าทีของผู้คนที่ซื่อสัตย์กระนั้นหรือ? (ไม่ใช่) เหตุใดพระเจ้าจึงทรงเอ่ยขอให้ผู้คนซื่อสัตย์? นั่นใช่การทำให้พวกเขาควบคุมได้ง่ายขึ้นหรือไม่? (ไม่ใช่) การเป็นคนซื่อสัตย์คือการเริ่มต้นเป็นคนที่ปกติ เริ่มต้นเป็นที่รักของพระเจ้า เริ่มได้รับความจริง และนั่นยังเป็นข้อบ่งชี้ที่สำคัญที่สุดถึงการครองสภาวะความเป็นมนุษย์และสภาพเสมือนของบุคคลที่จริงแท้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้ ใครก็ตามที่ไม่เคยซื่อสัตย์หรือได้รับการพิจารณาว่าซื่อสัตย์ จึงเป็นใครบางคนที่ไม่สามารถเข้าใจความจริงหรือได้รับความจริง หากเจ้าไม่เชื่อเรา ก็จงไปดูด้วยตัวเจ้าเองหรือไปผ่านประสบการณ์กับการนี้ด้วยตัวเจ้าเอง หากเจ้าปฏิบัติตามความซื่อสัตย์ หัวใจของเจ้าจะทำได้เพียงเปิดกว้างเท่านั้น และมีเพียงเมื่อหัวใจของเจ้าเปิดกว้างแล้วเท่านั้น ความจริงจึงจะสามารถเข้าสู่ตัวเจ้าได้ แล้วจากนั้นเจ้าจึงจะสามารถเข้าใจและได้รับความจริง หากหัวใจของเจ้าปิดอยู่เสมอและเจ้าไม่เคยพูดกับใครๆ อย่างสัตย์ซื่อเลย และเจ้าหลบหลีกและเป็นที่เข้าใจได้ยากอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้ว จะเกิดสิ่งใดตามมาจากการหลบหลีกทั้งหมดนั้นของเจ้า? ในที่สุดเจ้าก็จะทำให้ตัวเองย่อยยับ และเจ้าก็จะไม่สามารถจับใจความหรือได้รับความจริงอันใด(“หกข้อบ่งบอกความก้าวหน้าในชีวิต” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) นี่แสดงให้ฉันเห็น ว่าการเข้าใจความจริงสำคัญมากกว่าสิ่งอื่น มากกว่าหน้าตาและความไร้สาระ ฉันต้องเริ่มที่การซื่อสัตย์เพื่อได้รับความจริง หนึ่งคือหนึ่ง สองคือสอง ไม่เสแสร้งหรือโกงอีก เป็นเวลาสักพักใหญ่ๆ ที่ฉันทำการแสดง หลอกลวงคนอื่น ฉันเขียนสิ่งที่อยากสามัคคีธรรมไว้ พวกเขาจะได้คิดว่าฉันเข้าใจได้ดี พูดภาษาอังกฤษเก่ง พวกเขาจะได้ยกย่องฉันต่อไป ฉันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและวิตกกังวล แต่ไม่มีความกล้าที่จะเปิดใจกับพี่น้องชายหญิง ไม่อยากให้เห็นความขาดตกบกพร่องของฉัน ดูถูกฉัน พูดว่าฉันเป็นจอมโกหก ฉันถึงกับเลือกออกจากกลุ่มเราแทนการบอกความจริง ฉลาดแกมโกงจริงๆ ฉันรู้ว่าการที่ซึมเศร้ามากๆ คือภัยที่ซาตานทำกับฉัน และอาจรั้งฉันไว้ไม่ให้เข้าสู่ชีวิต มันอาจถึงกับทำลายฉันได้ ฉันควรกล้าบอกคนอื่นๆ ถึงสิ่งที่อยู่ในใจฉันจริงๆ จะได้ปฏิบัติความซื่อสัตย์ได้บ้าง ไม่ว่าการบอกความจริงจะอึดอัดแค่ไหน ฉันก็รู้ว่าต้องออกห่างจากการทำอะไรผิดทาง พระเจ้าชอบคนซื่อสัตย์ รังเกียจคนเจ้าเล่ห์ ถ้าฉันแสดงต่อไป หลอกให้คนประทับใจ ไม่ตรงไปตรงมา ก็จะอยู่ในความมืดต่อไป ไม่ได้รับงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่มีวันได้รับความจริง ฉันต้องเปิดใจกว้างต่อพระเจ้า ให้ทรงช่วยแก้ไขเล่ห์ในตัวฉัน ฉันอธิษฐานขอให้ทรงนำฉันให้ปฏิบัติความจริง เป็นคนซื่อสัตย์

ต่อมา ในที่สุดฉันก็เปิดใจกับพี่คอนนี่ ผู้นำของเรา ฉันบอกเธอว่าทำไมถึงออกจากกลุ่มและปิดบัญชี หลังจากฟังฉันพูด พี่คอนนี่ก็ พูดว่า “ฉันไม่เคยดูถูกคุณเลย และชื่นชมความซื่อสัตย์ของคุณมาก” ฉันโล่งใจอย่างไม่น่าเชื่อที่ได้ยินเธอพูดแบบนั้น ฉันได้ประสบจริงๆ ว่าการซื่อสัตย์ช่างวิเศษเหลือเกิน ความซื่อสัตย์ปลดปล่อยฉันจากความวิตกกังวลทั้งหมด ให้ฉันแก้ไขความคิดเห็นที่ผิดพลาด เธอยังให้คำแนะนำบางอย่างแก่ฉันด้วย ว่าเวลาฉันแบ่งปันความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้า ฉันไม่จำเป็นต้องพูดอย่างมีคารมคมคาย หรือแบ่งปันทฤษฎีระดับสูงอะไรเลย แค่มันมาจากใจ แค่มันซื่อสัตย์ก็พอ และนั่นจะทำให้ พระเจ้าทรงชื่นบาน ฉันรับข้อเสนอแนะของเธอไว้ รู้สึกว่าพร้อมนำไปปฏิบัติ

ต่อมา พี่อีกคนก็ส่งพระวจนะบทตอนหนึ่งมาให้ “แทนที่จะสำรวจค้นหาความจริง ผู้คนส่วนใหญ่มีวาระซ่อนเร้นอันหยุมหยิมของพวกเขาเอง ผลประโยชน์ หน้าตาของพวกเขาเอง และตำแหน่งแห่งที่หรือชื่อเสียงในสังคมที่พวกเขามีในสายตาของผู้อื่น ล้วนมีความสำคัญอย่างใหญ่หลวงสำหรับพวกเขา เหล่านี้เป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาทะนุถนอม พวกเขาเกาะติดอย่างสุดชีวิต และการที่พระเจ้าทรงมีทรรศนะหรือปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไรนั้นมีความสำคัญเป็นอันดับรอง ในชั่วขณะนี้พวกเขาเพิกเฉยต่อการนั้น ในชั่วขณะนี้พวกเขาเพียงพิจารณาว่าพวกเขาเป็นเจ้านายของกลุ่มหรือไม่ ว่าผู้คนอื่นๆ เคารพยกย่องพวกเขาและรับฟังสิ่งที่พวกเขาพูดหรือไม่เท่านั้น เหล่านี้มีความสำคัญเป็นอันดับแรกสำหรับพวกเขา เมื่อพวกเขาอยู่ในกลุ่ม ผู้คนเกือบจะทั้งหมดมองหาฐานะประเภทนี้ โอกาสเหมาะประเภทนี้ เมื่อพวกเขามีความสามารถพิเศษสูง แน่นอนว่าพวกเขาต้องการที่จะเป็นจ่าฝูง หากพวกเขามีความสามารถปานกลาง พวกเขาก็จะยังคงต้องการครองตำแหน่งที่สูงกว่าผู้คนระดับปานกลางคนอื่นๆ ในกลุ่มอยู่ดี และหากพวกเขาครองตำแหน่งที่ต่ำในกลุ่ม มีขีดความสามารถและความสามารถโดยเฉลี่ย พวกเขาก็จะต้องการให้ผู้อื่นเคารพยกย่องพวกเขาเช่นกัน พวกเขาจะไม่ต้องการให้ผู้อื่นดูแคลนพวกเขา หน้าตาและศักดิ์ศรีของพวกเขาคือสิ่งที่พวกเขายอมไม่ได้ กล่าวคือ พวกเขาจำเป็นที่จะต้องยึดเกาะสิ่งเหล่านี้เอาไว้ พวกเขาไม่อาจมีความซื่อสัตย์สุจริตและไม่อาจครองทั้งการเห็นชอบและความยินยอมของพระเจ้า แต่ในกลุ่ม พวกเขาไม่เคยพลาดโอกาสที่จะวิ่งเต้นเพื่อหน้าตา สถานะ และความเลื่อมใสจากผู้อื่นเลย—ซึ่งเป็นอุปนิสัยของซาตาน ผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีการตระหนักรู้ถึงการนี้ เป็นการเชื่อของพวกเขานั่นเองว่าพวกเขาต้องเกาะติดอยู่กับหน้าตาอันกระจิริดนี้ไปจนถึงปลายทาง พวกเขาไม่ตระหนักรู้ว่ามีเพียงเมื่อปล่อยมือและละวางสิ่งลมๆ แล้งๆ และผิวเผินเหล่านี้อย่างสิ้นเชิงเท่านั้น พวกเขาจึงจะกลายเป็นใครบางคนที่มีความตั้งใจแน่วแน่ ผู้คนที่ทำให้สถานะเป็นชีวิตของพวกเขาย่อมสูญเสียชีวิตของพวกเขา พวกเขาไม่รู้ว่าเสี่ยงที่จะสูญเสียอะไรบ้าง ดังนั้นแล้ว เมื่อพวกเขากระทำการ พวกเขาจึงยื้อยุดบางสิ่งเอาไว้อยู่เสมอ พวกเขาพยายามอยู่เสมอที่จะปกป้องหน้าตาและสถานะของพวกเขาเอง พวกเขาให้ความสำคัญแก่สิ่งเหล่านี้เป็นอันดับแรก โดยพูดเพียงเพื่อจุดหมายปลายทางของพวกเขาเอง เพื่อการแก้ต่างอันจอมปลอมให้ตัวพวกเขาเองเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำเป็นไปเพื่อตัวพวกเขาเอง พวกเขารีบรุดไปยังสิ่งใดก็ตามที่สาดแสง เพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนั้น อันที่จริงแล้ว สิ่งนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาเลย แต่พวกเขาไม่เคยต้องการที่จะถูกทิ้งไว้หลังฉาก พวกเขากลัวอยู่เสมอว่าผู้คนอื่นๆ จะดูแคลนพวกเขา พวกเขาเต็มไปด้วยความกลัวอยู่เสมอว่าผู้คนอื่นๆ จะพูดว่าพวกเขาไม่มีตัวตน ว่าพวกเขาไร้ความสามารถที่จะทำสิ่งอันใดได้ ว่าพวกเขาไม่มีทักษะ ทั้งหมดนี้ไม่ได้ถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขาชี้นำหรอกหรือ? เมื่อเจ้าสามารถปล่อยวางทั้งหมดนี้ได้ เจ้าก็จะผ่อนคลายและเป็นอิสระอยู่ภายในมากขึ้นอีกมาก เจ้าจะก้าวเท้าไปบนเส้นทางของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ แต่สำหรับหลายคนแล้ว นี่ไม่ง่ายที่จะสัมฤทธิ์ เมื่อมีกล้องปรากฏให้เห็น พวกเขาแย่งกันไปอยู่ด้านหน้า พวกเขาชอบให้มีหน้าของตัวเองติดในกล้อง ยิ่งออกสื่อมากเท่าไรก็ยิ่งดีมากเท่านั้น พวกเขากลัวว่าจะไม่ได้เป็นข่าวมากพอ และจะจ่ายทุกราคาเพื่อโอกาสที่จะได้ออกสื่อ แล้วทั้งหมดนี้ไม่ได้ถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขาชี้นำหรอกหรือ? (ใช่) เหล่านี้คืออุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขา ดังนั้น เจ้าจึงได้เป็นข่าว—แล้วอย่างไรต่อเล่า? ผู้คนคิดกับเจ้าอย่างสูงส่ง—แล้วอย่างไรเล่า? พวกเขาชื่นชูเจ้า—แล้วอย่างไร? มีสิ่งใดบ้างในการนี้ที่พิสูจน์ว่าเจ้ามีความจริง? ไม่มีสิ่งใดในการนี้ที่มีคุณค่าเลย เมื่อเจ้าสามารถเอาชนะสิ่งเหล่านี้ได้—เมื่อเจ้ากลายเป็นไม่แยแสสิ่งเหล่านี้และไม่รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญอีกต่อไป เมื่อหน้าตา ความถือดี สถานะ สิ่งที่ผู้คนอื่นๆ คิดกับเจ้า ไม่ได้ควบคุมความคิดและพฤติกรรมของเจ้าอีกต่อไป และยิ่งไม่ได้ควบคุมวิธีที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า—เมื่อนั้นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าก็จะมีประสิทธิผลมากขึ้นทุกทีและบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นทุกที(“คนเราสามารถครองสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติได้โดยการปฏิบัติความจริงเท่านั้น” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ในบทตอนนี้ พระเจ้าเปิดโปงการที่ผู้คนให้คุณค่ากับหน้าตาและสถานะมากกว่าชีวิต เมื่อเผชิญอะไร ที่คิดถึงก่อนคือชื่อเสียง ความไร้สาระและตำแหน่ง ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้าเลย พระเจ้าไม่อยากให้เราแสดง ไม่อยากให้เอาชื่อเสียงไว้ก่อน หรือไล่ตามสถานะท่ามกลางผู้คน นั่นไม่ได้ช่วยให้เราได้รับการทรงเห็นชอบ ไม่ช่วยเราเปลี่ยนอุปนิสัยหรือถูกช่วยให้รอด ชื่อและสถานะคือเชือกที่ซาตานใช้ผูกมัดเรา การไล่ตามสิ่งเหล่านี้ทำให้เราไร้สาระและเจ้าเล่ห์ขึ้นเรื่อยๆ แบบนั้นเราจะเสียการทรงนำของพระเจ้า และสุดท้ายก็เสียความรอด พระเจ้าไม่ชอบคนเจ้าเล่ห์ ไม่อยากให้คนเล่นเกมฉลาดๆ เพื่อได้รับการทรงเห็นชอบหรือให้คนอื่นชื่นชม ทรงอยากให้เราปล่อยชื่อเสียงและสถานะไป ไล่ตามความจริงและซื่อสัตย์ ไม่ว่าจะเป็นต่อพระพักตร์หรือต่อหน้าคนอื่น ก็ต้องไม่เจ้าเล่ห์หรือไม่จริงใจ ฉันล้มเหลวที่จะเปิดใจและแบ่งปันการต่อสู้กับคนอื่นๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะกังวลกับหน้าตาและความไร้สาระเกินไป ฉันปฏิบัติความจริงไม่ได้ อยู่ในเงื้อมมือซาตานอย่างแน่นหนา อยากมีหน้าตาและสถานะมากเกิน

ต่อมา พี่คนนั้นก็ส่งพระวจนะของพระเจ้ามาให้อีก มีบทตอนที่เป็นประโยชน์มากๆ กับฉัน “เมื่อเจ้ามองดูที่การนั้นในตอนนี้ เจ้าจะว่าหรือไม่ว่า การใช้ของกำนัลหรือการอวดโอ้หรือการหลอกลวงผู้คนด้วยภาพลวงตาเป็นเส้นทางที่ดีที่จะใช้ ทั้งที่บุคคลที่นำวิธีการเหล่านี้มาดำเนินการ ภายนอกแล้วอาจจะดูเหมือนว่าได้มาซึ่งประโยชน์มากแค่ไหนและความพึงพอใจมากเพียงใด? นั่นคือเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่? นั่นคือเส้นทางที่สามารถทำให้เกิดความรอดของคนเราหรือไม่? ชัดเจนอย่างยิ่งว่าไม่ ไม่ว่าวิธีการและเล่ห์เหลี่ยมเหล่านี้อาจจะถูกคิดฝันอย่างปราดเปรื่องเพียงใดก็ตาม ก็ไม่อาจหลอกพระเจ้าได้ และในท้ายที่สุดแล้วก็ล้วนแต่ถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษและทรงเกลียด เพราะที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังพฤติกรรมทั้งหลายดังกล่าวก็คือความทะเยอทะยานส่วนบุคคลและท่าทีและแก่นแท้จำพวกหนึ่งของการปรารถนาที่จะวางตัวเองต่อต้านพระองค์ ลึกลงไปนั้น แน่นอนที่สุดว่าพระเจ้าจะไม่มีวันทรงระลึกถึงบุคคลเช่นนั้นในฐานะที่เป็นผู้ที่กำลังลุล่วงหน้าที่ของพวกเขา และจะทรงให้นิยามพวกเขาว่าเป็นคนทำชั่วแทน อะไรหรือคือการสรุปปิดตัวของพระเจ้าในยามที่จัดการกับพวกคนทำชั่ว? ‘เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา!’ เมื่อพระเจ้าได้ตรัสว่า ‘จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’ พระองค์กำลังทรงส่งผู้คนไปให้ซาตาน ไปยังที่ที่พวกซาตานมาออกัน และพระองค์ไม่ได้ทรงต้องประสงค์พวกเขาอีกต่อไป การไม่ทรงต้องประสงค์พวกเขาหมายความว่าพระองค์จะไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด หากเจ้าไม่ใช่หนึ่งในหมู่ชนของพระเจ้า ไม่ต้องพูดเลยว่าเป็นหนึ่งในผู้ติดตามของพระองค์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมไม่อยู่ในหมู่ผู้ที่พระองค์จะทรงช่วยให้รอด นี่คือวิธีที่บุคคลเช่นนั้นได้รับการนิยาม(“พวกเขาพยายามที่จะเอาชนะใจผู้คน” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) จากพระวจนะ ฉันเห็นว่าบางคนก็ปลอมและหน้าไหว้หลังหลอกเพื่อขโมยที่ในใจคน ดูเหมือนพวกเขาได้รับการเคารพจากผู้อื่น ได้ตามที่ทะเยอทะยานปรารถนา แต่พวกเขาได้อะไรที่ปลายทาง? หลอกคนได้ชั่วขณะ แต่หลอกพระเจ้าไม่ได้ ทรงมองเข้าไปในจิตและใจเรา ที่สุดแล้วพวกเขาก็เสียโอกาสได้รับความรอด ไม่มีวันได้รับความจริงหรือการทรงเห็นชอบ พระวจนะของพระเจ้าชัดเจน ทรงเกลียดพวกที่ไม่ไล่ตามความจริงและเก็บงำเจตนาของตน พวกที่อยากขโมยที่ในใจคน ทรงมองพวกนั้นเป็นพวกทำชั่ว และทรงไม่ยอมรับรู้หน้าที่ที่พวกนั้นทำ นี่ทำให้ฉันกลัว ฉันกลัวว่าจะทรงทอดทิ้ง โยนฉันออกไปให้ซาตาน และฉันเสียความรอด ฉันได้รู้ตัวว่าฉันเดินผิดเส้นทางจริงๆ เพราะความคิดและการกระทำทั้งหมดเป็นไปเพื่อให้ผู้อื่นยกย่องและชื่นชม ฉันไม่เคยคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า หรือสิ่งที่จะได้รับในท้ายที่สุดจากการทำแบบนั้น แม้ฉันจะได้รับใจใครมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยได้รับความจริง เพราะฉันอยู่บนเส้นทางที่ต่อต้านพระเจ้า ถ้ายังคงอยู่บนเส้นทางนั้น ในที่สุดฉันก็จะถูกทำลาย เมื่อคิดเช่นนี้ ฉันก็รู้ว่าพระเจ้าเกลียดสิ่งที่ฉันทำ มันไม่ใช่สิ่งที่ทรงอยากให้ฉันไล่ตาม ฉันสงบความรู้สึกไม่ได้ อยากเปลี่ยนและหลีกหนีจากสถานะนั้นจริงๆ เป็นตัวเองโดยแท้จริง ไม่เจ้าเล่ห์อีกต่อไป

ต่อมา พี่คอนนี่หนุนใจให้ฉันแบ่งปันการสามัคคีธรรมและเปิดใจกับคนอื่นๆ ให้เป็นคนซื่อสัตย์ เพื่อที่ ฉันจะได้รู้สึกสันติและชื่นบานบ้าง แต่พอนึกถึงการเปิดใจเรื่องความเสื่อมทรามและความผิดพลาด ฉันก็ลังเลจริงๆ จากนั้น ฉันเห็นพระวจนะอีกบทตอนว่า “เจ้าต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาอันใดที่เกิดขึ้น ไม่สำคัญว่านั่นคือสิ่งใด และไม่ปลอมแปลงตัวเองหรือสวมใบหน้าเทียมเท็จเป็นผู้อื่นในวิถีทางใดเลย ข้อบกพร่องของเจ้า ความขาดตกบกพร่องของเจ้า ความผิดของเจ้า อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า—จงเปิดกว้างอย่างครบบริบูรณ์เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด จงอย่าเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ภายใน การเรียนรู้วิธีเปิดกว้างตัวเองคือขั้นตอนแรกสู่การเข้าสู่ความจริง และนี่คืออุปสรรคขวางกั้นแรก ซึ่งเอาชนะได้ลำบากยากเย็นที่สุด ทันทีที่เจ้าได้เอาชนะอุปสรรคขวางกั้นนั้นแล้ว การเข้าสู่ความจริงก็ย่อมง่าย การที่จะเดินก้าวแรกนี้มีนัยสำคัญว่า เจ้ากำลังเปิดกว้างหัวใจของเจ้าและกำลังแสดงทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ามี ไม่ว่าดีหรือแย่ เป็นบวกหรือเป็นลบ โดยแผ่ตัวเองออกให้ผู้อื่นเห็นและให้พระเจ้าทอดพระเนตร ไม่ซ่อนเร้นสิ่งใดจากพระเจ้า ไม่ปกปิดสิ่งใด ไม่ปลอมแปลงสิ่งใด ปลอดเล่ห์ลวงและเล่ห์เพทุบาย และเปิดกว้างและซื่อสัตย์ต่อผู้คนอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน ในหนทางนี้ เจ้าย่อมใช้ชีวิตอยู่ในความสว่าง และไม่เพียงแค่พระเจ้าจะทรงพินิจพิเคราะห์เจ้าเท่านั้น แต่ผู้คนอื่นๆ ด้วยเช่นกันที่จะมีความสามารถมองเห็นได้ว่าเจ้าปฏิบัติตนโดยมีหลักธรรมและความโปร่งใสระดับหนึ่ง เจ้าไม่จำเป็นต้องปิดบังสิ่งใด ทำการดัดแปลงแก้ไขใดๆ หรือนำเล่ห์เหลี่ยมใดมาใช้ เพื่อประโยชน์ของความมีหน้ามีตา ความนับถือตนเอง และสถานะของเจ้าเอง และนี่ยังประยุกต์ใช้กับความผิดพลาดอันใดที่เจ้าได้ทำอีกด้วย ทั้งนี้ งานที่ไร้จุดหมายเช่นนี้ไม่มีความจำเป็นเลย หากเจ้าไม่ทำสิ่งเหล่านั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะดำรงชีวิตอย่างง่ายดายและไม่เหน็ดเหนื่อย และอยู่ในความสว่างอย่างครบบริบูรณ์ มีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเอาชนะพระทัยจนได้รับการสรรเสริญของพระเจ้า อันดับถัดไป เจ้าต้องเรียนรู้วิธีที่จะชำแหละความคิดและแนวคิดของเจ้า สิ่งใดก็ตามที่เจ้ากำลังทำนั้นผิด และพฤติกรรมอะไรก็ตามที่พระเจ้าของเจ้าจะไม่โปรด เจ้าควรจะสามารถพลิกกลับสิ่งเหล่านั้นทันทีและแก้ไขสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้อง อะไรคือจุดประสงค์ของการแก้ไขสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้อง? นั่นคือการยอมรับและรับเอาความจริง ในขณะที่ปฏิเสธสิ่งทั้งหลายภายในตัวเจ้าที่เป็นของซาตานและแทนที่สิ่งเหล่านั้นด้วยความจริง เจ้าเคยพึ่งพาธรรมชาติเยี่ยงซาตานของเจ้า เช่นความฉลาดแกมโกงและความหลอกลวง แต่ตอนนี้เจ้าไม่ทำเช่นนั้นแล้ว ตอนนี้ เมื่อเจ้าทำสิ่งทั้งหลาย เจ้ากระทำไปด้วยความรู้สึกนึกคิดของความซื่อสัตย์ ความไร้ราคี และความเชื่อฟัง หากเจ้าไม่ยื้อยุดอะไรเอาไว้เลย หากเจ้าไม่มีการปั้นหน้า การเสแสร้งแกล้งทำ หน้าฉาก หากเจ้าตีแผ่ตัวเองต่อเหล่าพี่น้องชายหญิง ไม่ซ่อนเร้นบรรดาความคิดและสิ่งสำคัญหนักหน่วงส่วนในสุดของเจ้าเอาไว้ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้เห็นท่าทีที่ซื่อสัตย์ของเจ้า เช่นนั้นแล้ว ความจริงย่อมจะค่อยๆ หยั่งรากในตัวเจ้า ความจริงย่อมจะเบ่งบานและเกิดผล ความจริงย่อมจะให้ผลลัพธ์ทีละน้อย หากหัวใจของเจ้าซื่อสัตย์มากขึ้นเรื่อยๆ และฝักใฝ่ต่อพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และหากเจ้ารู้จักการอารักขาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าในยามที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และมโนธรรมของเจ้าต้องเดือดร้อนในยามที่เจ้าล้มเหลวที่จะอารักขาผลประโยชน์เหล่านี้ เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นข้อพิสูจน์ว่าความจริงได้มีผลในตัวเจ้าแล้ว และได้กลายเป็นชีวิตของเจ้าแล้ว(“มีเพียงบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริงเท่านั้นที่ยำเกรงพระเจ้า” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันเห็นว่าพระวจนะของพระเจ้าเปลี่ยนคนได้จริงๆ เมื่อเรียนรู้การเปิดใจถึงความเสื่อมทรามที่จริงและแสวงหาความจริง ความคิดผิดๆ และอุปนิสัยเสื่อมทรามจะค่อยๆ เปลี่ยน พระเจ้าเปิดโปงความคิดที่ผิดของฉัน เปิดเผยการไล่ตามผิดๆ เพื่อชื่อและสถานะ แล้วก็นำฉันผ่านพระวจนะให้ค้นหาเส้นทางการปฏิบัติที่ถูก ฉันต้องเริ่มก้าวแรกเพื่อเปิดใจกับคนอื่น หยุดคิดถึงชื่อและหน้าตาของฉัน หยุดฉลาดแกมโกง เจ้าเล่ห์ ไม่จริงใจ ฉันต้องปฏิบัติพระวจนะและให้มันนำทางภายในตัวฉัน

เช้าวันอาทิตย์นั้น ฉันเข้าร่วมการชุมนุมตามปกติ บอกกับตัวเองว่าต้องจริงใจ เพื่อแบ่งปันความเข้าใจกับทุกคนอย่างอิสระ ฉันอธิษฐาน “พระเจ้า ครั้งนี้ข้าพระองค์อยากปฏิบัติความจริง หนีพันธะของซาตาน เผยความหน้าซื่อใจคดและเล่ห์เหลี่ยม ข้าพระองค์ไม่สนใจแม้หากพวกเขาดูถูกข้าพระองค์ เพียงอยากซื่อสัตย์ให้ทรงพอพระทัย ทรงช่วยข้าด้วยเถิด เพื่อข้าจะได้เปิดใจและซื่อสัตย์ได้” หลังอธิษฐาน ฉันรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ระหว่างชุมนุม ฉันคิดตามพระวจนะจริงๆ ตั้งใจฟังผู้อื่นสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์และความเข้าใจ ไม่ได้เอาเวลานั้นมาเขียนสามัคคีธรรมของตัวเอง ไม่ได้คิดว่าสามัคคีธรรมแบบไหนคนอื่นจะชอบ พอได้ทำแบบนั้นแล้ว ฉันได้รับความรู้แจ้งใหม่ๆ จากการสามัคคีธรรมของคนอื่น พอถึงคราวฉัน ฉันไม่ได้คิดว่าสามัคคีธรรมของฉันดีหรือคมคายแค่ไหน ถึงจะกังวล มันก็ไม่ได้หยุดฉันไม่ให้สามัคคีธรรมต่อไป จากนั้น ฉันพูดคุยถึงพระวจนะบทตอนที่กระตุ้นฉันจริงๆ “ความซื่อสัตย์หมายถึงการมอบหัวใจของเจ้าให้แก่พระเจ้า จริงแท้ต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง เปิดกว้างต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง ไม่เคยซ่อนเร้นข้อเท็จจริง ไม่พยายามหลอกลวงบรรดาผู้ที่อยู่สูงกว่าและต่ำกว่าเจ้า และไม่ทำสิ่งต่างๆเพื่อหวังประจบประแจงให้พระเจ้าทรงโปรดปราน กล่าวสั้นๆก็คือ การมีความซื่อสัตย์คือการปราศจากราคีในการกระทำและคำพูดทั้งหลาย และการไม่หลอกลวงทั้งพระเจ้าและมนุษย์…หากเจ้ามีความลับส่วนตัวมากมายซึ่งเจ้าอิดออดที่จะแบ่งปัน หากเจ้าไม่ชอบอย่างมากในการนำความลับของเจ้า—ความลำบากยากเย็นของเจ้า—มาตีแผ่ต่อหน้าผู้อื่นเพื่อแสวงหาหนทางแห่งความสว่าง เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่จะไม่บรรลุความรอดโดยง่าย และเป็นผู้ที่จะไม่โผล่พ้นจากความมืดมิดโดยง่าย(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตักเตือนสามประการ) ฉันเชื่อมโยงพระวจนะบทตอนนี้กับประสบการณ์ของฉัน แล้วตีแผ่ดวงจิตของฉันในตอนท้าย เผยให้ทุกคนเห็นใบหน้าที่แท้จริงที่สุดของฉัน ฉันไม่ห่วงสักนิดว่าพวกเขาจะพูดถึงฉันว่ายังไง ฉันบอกพวกเขาว่า “ตลอดเวลามานี้ ฉันทำการแสดงได้ดีมาก เสแสร้งว่าพูดภาษาอังกฤษคล่อง ความจริงคือฉันเขียนการสามัคคีธรรมไว้ล่วงหน้า ถึงกับอัดเสียงเพื่อฝึกให้มันฟังดูธรรมชาติ พวกคุณจะได้คิดกับฉันในแง่ดี มันเป็นไปเพื่อได้รับการยกย่อง ให้พวกคุณเคารพนับถือฉัน ฉันหลอกลวงพวกคุณ…” ฉันคิดว่าพวกเขาจะดูถูกฉันหลังจากที่ฉันตีแผ่หัวใจของฉัน แต่พวกเขาบอกฉันว่า ฉันไม่ต้องห่วงว่าจะสามัคคีธรรมไม่ดี เราค่อนข้างเหมือนกันมากทีเดียว พระเจ้าอยากให้เราจริงใจ ไม่ใช่หรูหรา ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ถ้าไม่สามัคคีธรรมจากใจ ให้มันเป็นแค่คำสอนตามตัวอักษร แล้วมันจะดียังไง? ฉันรู้สึกสะเทือนใจกับการนี้มาก พวกเขาไม่ได้ดูถูกฉันเลย บางคนพูดว่าเข้าใจว่าทำไมฉันถึงทำแบบนั้น และประสบการณ์ของฉันช่วยพวกเขาไว้ นี่เป็นเรื่องประหลาดใจที่น่ายินดีมาก หลังเปิดใจกับทุกคนเรื่องความเสื่อมทรามของฉัน มันก็เหมือนได้ดึงหนามยอกอกออกไป ในที่สุดก็รู้สึกอิสระ หนีพ้นจากพันธะแห่งอุปนิสัยซาตาน ซาตานใช้ความไร้สาระและชื่อเสียงกันไม่ให้ฉันปฏิบัติความจริง แต่พอได้เรียนรู้ตัวเองผ่านพระวจนะ ฝึกเป็นคนซื่อสัตย์และเปิดใจอย่างซื่อสัตย์ ฉันก็รู้สึกว่าได้เข้าใกล้พระเจ้าอีกก้าวหนึ่ง ขจัดข้อกังขาและสิ่งกั้นขวางระหว่างฉันกับพี่น้อง ฉันปล่อยวางความไร้สาระหรือพูดความจริงไม่ได้อยู่นาน เพราะกังวลกับหน้าตามากเกิน ไม่ได้กังวลกับน้ำพระทัยของพระเจ้า เป็นเวลานานมาก ที่ฉันเลือกอำพรางตนเองเพื่อสนองความไร้สาระและหลงไปกับคำยกย่อง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าต้องการ ที่จริง ฉันทำร้ายพระเจ้าอยู่นานมาก แต่พระเจ้ายกโทษให้และอดทนเสมอ รอให้ฉันหันกลับ ฉันซาบซึ้งมากกับความรักที่ยิ่งใหญ่

ประสบการณ์นี้สอนฉันถึงความสำคัญของการไล่ตามความจริง ต้องซื่อสัตย์และปฏิบัติความจริงจึงจะหนีพ้นจากโซ่ตรวนแห่งอุปนิสัยซาตาน ต้องเลือกความจริงจึงจะได้รับความสุขและสันติที่แท้ ฉันเคยเจ้าเล่ห์มาก หน้าซื่อใจคดมาก แต่ตอนนี้ขอปฏิบัติความจริงและซื่อสัตย์ นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดกับฉัน ฉันอยากให้พระเจ้านำฉันต่อไป จะได้นำความจริงมาปฏิบัติมากขึ้น

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

จงไล่ตามเสาะหาความจริงให้มากยิ่งขึ้นในยามชรา

โดย จิ้นรู่, ประเทศจีน ฉันเกิดมาในครอบครัวคริสเตียนและยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตอนอายุหกสิบปี...

เส้นทางแห่งการเผยแพร่ศาสนา

จำได้ว่าครั้งแรกตอนที่ผมเรียนรู้ที่จะแบ่งปันข่าวประเสริฐ ผมบังเอิญได้เจอกับพี่สวี สมาชิกของคริสตจักร ที่มณฑลหูเป่ย์...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger