การยอมรับการตรวจตราช่วยเหลือฉันอย่างไร
โดย ตันยี ญี่ปุ่น ฉันรับผิดชอบ งานข่าวประเสริฐของสองทีม ไม่นานมานี้ พี่น้องชายหญิงบางคน โดนปลดเพราะไม่ทำงานจริง และมักจะ ทำหน้าที่แบบส่งๆ...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
วันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2020 ผู้นำคนหนึ่งได้เข้าร่วมการชุมนุมทีมของพวกเรา และแล้วหลังจากการชุมนุมสิ้นสุดลง ก็ได้เอ่ยว่า เขาต้องการที่จะให้พวกเราเลือกผู้นำทีม ผู้ซึ่งจะเข้ารับงานด้านการบรรณาธิกรของพวกเรา ฉันต้องประหลาดใจที่ฉันได้คะแนนเสียงมากที่สุด ฉันตกใจอย่างที่สุด: ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำทีมหรือ? ฉันแทบจะไม่มีการเข้าสู่ชีวิตใดๆ เลย และฉันขาดพร่องความเป็นจริงของความจริง ฉันจะสามารถเข้ารับหน้าที่ในการนำทีมได้จริงๆ หรือ? หากปัญหาทั้งหลายเกิดขึ้นในงานของพวกเรา คงจะเป็นเรื่องธรรมชาติไม่ใช่หรือ ที่จะมองหาผู้นำทีมที่จะยอมรับหน้าที่ความรับผิดชอบ? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้และงานของพวกเราประสบปัญหาเนื่องจากผลอันนั้น? ฉันคิดเรื่องประสบการณ์ก่อนหน้านั้นที่ฉันได้มีในการกระทำการในฐานะผู้นำทีม ฉันแค่ได้ปกป้องตัวเองโดยไม่ได้นำความจริงไปสู่การปฏิบัติ เมื่อฉันได้เห็นผู้คนทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงักและขัดขวางงานของคริสตจักร ฉันไม่ได้หยุดการนั้นทันทีด้วยความที่กลัวว่าจะล่วงเกินพวกเขา ผลก็คือ งานของคริสตจักรมีความเสี่ยง และฉันก็ถูกปลด ฉันรู้สึกว่า หากฉันไม่ทำหน้าที่ของฉันให้ดีในครั้งนี้ แต่กลับถ่วงเวลางานของพระนิเวศของพระเจ้าและการเข้าสู่ชีวิตของบรรดาพี่น้องชายและบรรดาพี่น้องหญิง นั่นคงจะเทียบได้กับการทำชั่ว การถูกปลดคงจะไม่ใช่เพียงความกังวลเดียวของฉัน—อาจมีความเป็นไปได้ที่ฉันจะถูกกำจัดทิ้งเสียด้วยซ้ำ ฉันไม่เต็มใจที่จะเห็นการนั้นเกิดขึ้น และรู้สึกว่าฉันไม่สามารถรับการนั้นได้ และดังนั้น ฉันจึงบอกผู้นำคนนั้นว่า ฉันไม่มีการเข้าสู่ชีวิตที่เพียงพอ และฉันไม่สามารถแก้ไขปัญหาของผู้อื่นได้ ดังนั้นแล้ว ฉันจึงไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนั้น ฉันคิดหาข้อแก้ตัวมากมาย เขาบอกฉันว่า ฉันควรยอมรับหน้าที่นั้นและนบนอบต่อหน้าที่นั้น แต่ฉันไม่สามารถพบสันติสุขกับหน้าที่นั้นได้เลย จิตใจของฉันปั่นป่วน ตอนนั้นเองที่จู่ๆ ฉันก็คิดถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ ความว่า “เจ้าควรนบนอบและให้ความร่วมมืออย่างแข็งขัน นี่คือหน้าที่ของเจ้าและความรับผิดชอบของเจ้า ไม่ว่าถนนข้างหน้าจะเป็นเช่นไร เจ้าควรมีหัวใจที่เชื่อฟัง ความขลาด ความเกรงกลัว ความวิตกกังวล ความสงสัย—เจ้าไม่ควรใช้สิ่งเหล่านี้เป็นท่าทีในการเข้าหาหน้าที่ของเจ้า” (“อะไรคือการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ?” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ขณะที่ฉันไตร่ตรองพระวจนะนี้ ฉันเริ่มที่จะรู้สึกถึงสำนึกแห่งความสงบเยือกเย็น และฉันตระหนักว่า หน้าที่นี้ซึ่งถูกวางไว้ต่อหน้าฉัน มาจากกฎเกณฑ์และการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ถึงแม้ว่าฉันไม่ได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ณ เวลานั้น แต่ฉันได้เห็นว่า ฉันจำเป็นที่จะต้องเปิดโอกาสให้ตัวฉันเองได้รับการทรงนำทางโดยพระเจ้าและนบนอบ
หลังจากนั้น ฉันพบว่าตัวฉันเองกำลังเผชิญหน้าปัญหาและความลำบากยากเย็นทุกแบบในหน้าที่ของฉัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งฉันไม่เห็นความก้าวหน้าในงานของทีมของพวกเรา ความวิตกกังวลของฉันเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันอีกครั้ง ว่าหากการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเราไม่ดีขึ้น ฉันก็แค่คงจะไม่มีความสามารถที่จะปัดหน้าที่ความรับผิดชอบของฉันในฐานะผู้นำทีมได้ การคิดเกี่ยวกับการนี้ทำให้ฉันอยู่ในสภาวะของความสับสนอลหม่าน เย็นวันหนึ่งเมื่อฉันกำลังสนทนาเรื่องสภาวะของพวกเราอยู่กับพี่น้องหญิงผู้ซึ่งทำงานใกล้ชิดกับฉันมากที่สุด ฉันเริ่มรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ ขณะที่เธอพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องผู้นำทีมคนก่อนหน้า ผู้ซึ่งได้ถูกปลดไปแล้วเพราะเธอไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือเพียรพยายามที่จะทำให้ดีขึ้น เธอไม่ได้ทำการปรับปรุงใดๆ ในทักษะทางวิชาชีพของเธอ และไม่สามารถทำงานใดๆ ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้เลย ฉันรู้ว่า ฉันกำลังทำหน้าที่ในฐานะผู้นำให้กับทีมที่เผชิญหน้าความลำบากยากเย็นและปัญหาหลายอย่าง ดังนั้นแล้ว หากฉันไม่สามารถทำความเข้าใจสิ่งเหล่านั้นและทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงบางอย่างได้ ฉันจะเผชิญหน้ากับการถูกปลดด้วยหรือไม่? ฉันต้องการกลับไปเป็นสมาชิกทีมปกติโดยไม่มีหน้าที่ความรับผิดชอบมากมายยิ่งนัก ฉันคิดว่า ฉันจะทำหน้าที่นี้ในเวลานี้ เนื่องจากฉันเพิ่งจะได้รับเลือกมา เช่นนั้นแล้ว หากฉันกลับกลายเป็นว่าไม่ดีพอ ฉันควรลงจากตำแหน่งอย่างสง่างามโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่ฉันจะได้ไม่ทำความชั่วซึ่งสามารถทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงักและทำอันตรายต่องานของคริสตจักรได้ แล้วจากนั้นก็จะถูกปลด หากการนั้นเกิดขึ้น นั่นจะสามารถหมายถึงการพลาดบั้นปลายสุดท้ายของฉันด้วยซ้ำ ฉันพบว่าตัวเองติดอยู่ในสภาวะนั้น หวาดกลัวว่าจะทำหน้าที่ของฉันไม่ได้ดี ว่าจะจำเป็นที่จะต้องรับหน้าที่ความรับผิดชอบสำหรับปัญหาใดๆ เมื่อฉันเผชิญกับความลำบากยากเย็นในงานของฉัน ฉันพบว่า ตัวฉันเองกลัวเป็นอย่างยิ่งว่าฉันจะไม่มีความสามารถที่จะบริหารจัดการงานนั้นได้—ฉันถูกหน่วงเหนี่ยวอยู่ตลอด ในโลกแห่งความเจ็บปวดและความทุกข์
แล้วพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ฉันได้อ่านในวันหนึ่ง ซึ่งเปิดเผยแก่นแท้ของอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ ก็ได้ให้ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกบางอย่างแก่ฉันเกี่ยวกับสภาวะของฉันเอง ความว่า “เมื่อมีการปรับแก้หน้าที่ของเจ้าอย่างเรียบง่าย จงทำตามที่บอก และจงทำในสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้ และไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร จงทำให้ดีเหมือนว่าสิ่งนั้นอยู่ในอำนาจของเจ้า ด้วยหัวใจทั้งดวงของเจ้าและเรี่ยวแรงทั้งหมดของเจ้า สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำนั้นย่อมไม่ผิดพลาด แม้กระทั่งความจริงที่เรียบง่ายยิ่งนักเช่นนี้ ก็ไม่อยู่ในหัวใจของพวกศัตรูของพระคริสต์ พวกเขามีสิ่งใดอยู่ในหัวใจของพวกเขาหรือ? ความระแวงสงสัย ความกังขา การเยาะเย้ยท้าทาย การทดลอง...ช่างเป็นเรื่องที่เรียบง่าย—กระนั้นศัตรูของพระคริสต์ก็ยังทำเรื่องเช่นนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ และครุ่นคิดเรื่องดังกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งพวกเขานอนไม่หลับ เหตุใดนี่จึงเป็นวิธีคิดของพวกเขา? เหตุใดพวกเขาจึงคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เรียบง่ายในหนทางที่ซับซ้อนยิ่งนัก? เหตุผลนั้นง่ายและมีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น กล่าวคือ ในกิจธุระหรือการจัดการเตรียมการแต่ละอย่างของพระนิเวศของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา พวกเขาจะผูกเงื่อนอย่างแน่นหนาเพื่อเชื่อมโยงสิ่งนั้นเข้ากับบั้นปลายของพวกเขาและความปรารถนาที่จะได้รับพระพรของพวกเขา นี่คือสาเหตุที่พวกเขาคิดว่า ‘ฉันจำเป็นต้องระมัดระวัง การก้าวพลาดเพียงก้าวเดียวจะนำไปสู่ทุกๆ ก้าวที่ผิดพลาดไปหมด และฉันก็บอกลาความปรารถนาของฉันที่จะได้รับพระพรได้เลย—และนั่นจะเป็นจุดจบของฉัน ฉันไม่อาจประมาทได้! พระนิเวศของพระเจ้า บรรดาพี่น้องชายหญิง ผู้นำระดับบน แม้กระทั่งพระเจ้า—พวกเขาล้วนไม่น่าเชื่อถือ ฉันไม่ไว้วางใจพวกเขาเลยสักคน บุคคลที่น่าเชื่อถือที่สุดและไว้วางใจได้ที่สุดคือตนเอง หากเธอไม่วางแผนให้ตัวเธอเอง ใครอื่นอีกหรือที่จะดูแลเอาใจใส่เธอ? ใครอื่นอีกหรือที่จะคำนึงถึงความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเธอ และคำนึงถึงว่าเธอจะได้รับพระพรหรือไม่? ดังนั้นฉันจำเป็นต้องทำงานหนักอย่างที่สุดเพื่อวางแผนให้ตัวฉันเอง และทำการตระเตรียมและคำนวณอย่างพิถีพิถัน ฉันไม่อาจพลาดได้ และฉันไม่อาจสะเพร่าแม้แต่น้อย—มิฉะนั้นผู้คนจะทำให้ฉันงุนงงสับสนและฉวยโอกาสกับฉันได้โดยง่าย’” (“สำหรับเหล่าผู้นำและคนทำงาน การเลือกสรรเส้นทางคือความสำคัญสูงสุด (29)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย). เพียงภายหลังจากที่อ่านพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้าแล้วเท่านั้น ฉันจึงได้เข้าใจว่า เป็นเรื่องปกติทั้งสิ้นที่จะได้รับประสบการณ์กับการเปลี่ยนแปลงในหน้าที่ของพวกเรา และว่าฉันควรเข้าหาการนั้นด้วยท่าทีที่ถูกต้องเหมาะสม ฉันควรทำอย่างสุดความสามารถที่จะปรับปรุงในงานของฉัน และที่จะลุล่วงหน้าที่ความรับผิดชอบของฉัน และหากฉันยังคงไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ แม้กระทั่งด้วยความพยายามที่ดีที่สุดของฉัน ฉันคงจะจำเป็นที่จะต้องยอมรับการถูกปลดอย่างมีความสุข หน้าที่นั้นแปรผันไปตามความต้องการของพระนิเวศของพระเจ้า ตลอดจนความสามารถส่วนบุคคลของผู้คนในการเข้ารับหน้าที่ที่กำหนดให้ นั่นไม่เกี่ยวข้องกับจุดจบและบั้นปลายของผู้คน แต่ฉันขาดพร่องความเชื่อที่แท้จริงต่อพระเจ้า และฉันยังไม่ได้มีความสามารถที่จะเข้าใจได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ถึงการเปลี่ยนแปลงอันสมควรอย่างสมบูรณ์แบบ ในหน้าที่ของผู้คนภายในพระนิเวศของพระเจ้า ฉันได้เคยมีมุมมองที่บิดเบี้ยว โดยคิดว่าหน้าที่ของฉันเชื่อมโยงกันอย่างเหนียวแน่นกับบั้นปลายและจุดจบของฉัน ว่าฉันจะลงเอยด้วยการได้รับการอวยพรหรือไม่ ฉันลังเลสงสัยในทุกสิ่งทุกอย่าง คอยระแวดระวังพระเจ้า ด้วยกลัวว่า ฉันจะถูกเปิดโปงและถูกกำจัดทิ้งหากฉันไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ดีได้ และแล้วฉันก็จะถูกทิ้งไว้โดยไม่มีสถานะหรืออนาคตประเภทใดเลย ฉันคิดมากไปในเรื่องนั้นจริงๆ และง่วนอยู่กับความชั่วเหลือเกิน! ฉันพยายามที่จะเจ้าเล่ห์และเล่นเกมกับพระเจ้า เพื่อที่จะปกป้องผลประโยชน์ส่วนตนของฉันเอง โดยวางแผนที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ หากฉันไม่สามารถทำงานได้ดีในหน้าที่ของฉัน ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องที่ว่าจะปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ดีจริงๆ อย่างไร แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ฉันกลับหมกมุ่นกับความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในอนาคตของฉันเอง การที่พระเจ้าทรงยกฉันให้สูงขึ้นเพื่อกระทำการในฐานะผู้นำทีม เป็นการให้โอกาสแก่ฉันที่จะฝึกฝนตัวฉันเอง เพื่อที่ฉันจะสามารถทำความก้าวหน้าในงานของฉันและการเข้าสู่ชีวิตของฉันได้บ้าง นั่นคือความรักของพระเจ้าที่มีต่อฉัน แต่ฉันได้บิดเบือนแนวความคิดของฉันเกี่ยวกับความรักของพระเจ้า โดยคิดว่าอันที่จริงแล้วเป็นฉันนั่นเองที่กำลังจะถูกเปิดโปงและถูกกำจัดทิ้ง นั่นไม่ใช่การหมิ่นประมาทพระเจ้าหรอกหรือ? ไม่ใช่ฉันอย่างแน่แท้หรอกหรือที่เปิดเผยอุปนิสัยชั่วของศัตรูของพระคริสต์?
ฉันคิดย้อนกลับไปถึงสิ่งที่ฉันได้เปิดเผยในช่วงระยะเวลานั้น กล่าวคือ ฉันแทบจะไม่ได้เข้าใจพระเจ้าเลย แต่ฉันแค่ถูกครอบงำด้วยการคาดเดาและความระแวดระวัง ฉันหัวเสียอย่างเหลือเชื่อ และฉันไม่สามารถหยุดฉงนฉงายได้ว่า เหตุใดฉันจึงอยู่ในสภาวะประเภทนั้น ซึ่งในที่นั้นเองเป็นที่ที่รากเหง้าของปัญหาอยู่จริงๆ ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งที่เปิดโปงอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ ซึ่งตรงใจฉันจริงๆ ความว่า “พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่เชื่อว่ามีความจริงอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาไม่เชื่อในพระอุปนิสัย พระอัตลักษณ์ หรือแก่นแท้ของพระองค์ พวกเขามองทั้งหมดนี้ด้วยความคิดของมนุษย์และมุมมองของมนุษย์ เพื่อวิเคราะห์และตรวจสอบทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวพวกเขา และพวกเขาพิจารณาหนทางที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คน พระราชกิจอันหลากหลายที่พระเจ้าทรงทำในตัวผู้คน ด้วยมุมมองของมนุษย์ ความคิดของมนุษย์ และเล่ห์มายาของมนุษย์ด้วยเช่นกัน ที่มากไปกว่านั้น พวกเขาใช้ความคิดของมนุษย์และวิธีการของมนุษย์ อันเป็นการใช้ตรรกะและการคิดของซาตานมาพิจารณาพระอุปนิสัย พระอัตลักษณ์ และแก่นแท้ของพระเจ้า เห็นได้ชัดว่าพวกศัตรูของพระคริสต์ไม่เพียงไม่ยอมรับและไม่รับรู้พระอุปนิสัย พระอัตลักษณ์ และแก่นแท้ของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดและแนวคิดอันคลุมเครือและกลวงเปล่าเกี่ยวกับพระอุปนิสัย พระอัตลักษณ์ และแก่นแท้ของพระเจ้า ทั้งหมดที่พวกเขามีอยู่ในตัวก็คือความเข้าใจของมนุษย์ พวกเขาไม่มีความรู้ที่แท้จริงแม้สักเศษเสี้ยว เมื่อเป็นดังนี้ สุดท้ายแล้วศัตรูของพระคริสต์นิยามพระอุปนิสัย พระอัตลักษณ์ และแก่นแท้ของพระเจ้าอย่างไร? พวกเขาสามารถกำหนดได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม และพระองค์คือความรักสำหรับมนุษย์? แน่นอนที่สุดว่าพวกเขาไม่สามารถ คำจำกัดความของพวกศัตรูของพระคริสต์ว่าด้วยความชอบธรรมและความรักของพระเจ้าคือเครื่องหมายคำถาม—ความไม่แน่ใจ พระอุปนิสัยของพระเจ้ากำหนดพระอัตลักษณ์ของพระองค์ และพวกเขาทำเสียงขึ้นจมูกเยาะเย้ยพระอุปนิสัยของพระองค์ และเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง และเต็มไปด้วยการปฏิเสธและการดูแคลนพระอุปนิสัยของพระองค์ เช่นนั้นแล้ว พระอัตลักษณ์ของพระองค์จะเป็นเช่นไรเล่า? พระอุปนิสัยของพระเจ้าแสดงถึงพระอัตลักษณ์ของพระองค์ ด้วยการคำนึงถึงพระอุปนิสัยดังที่พวกเขาทำ การคำนึงถึงพระอัตลักษณ์ของพระเจ้าของพวกเขาจึงชัดเจนในตัวเอง—การปฏิเสธโดยตรง นี่คือแก่นแท้ของพวกศัตรูของพระคริสต์” (“สำหรับเหล่าผู้นำและคนทำงาน การเลือกสรรเส้นทางคือความสำคัญสูงสุด (26)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้เห็นว่า บรรดาศัตรูของพระคริสต์ไม่เชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง นับประสาอะไรที่จะยอมรับรู้พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า พวกเขาไม่เคยใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานของความคิดเห็นของพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลาย แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับเข้าหาทุกสิ่งทุกอย่างบนพื้นฐานของความเข้าใจของมนุษย์และปรัชญาของซาตาน ฉันเห็นว่าฉันยังเก็บงำอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ประเภทนั้นด้วยเช่นกัน ว่าฉันไม่ได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าเลย เนื่องจากการนั้นเกี่ยวข้องกับการที่คริสตจักรปรับแก้ตำแหน่ง หรือปลดผู้คน หรือกำจัดผู้คนทิ้ง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ฉันกลับได้มีทรรศนะถึงประเด็นปัญหาเหล่านี้เรื่อยมาโดยผ่านทางแก้วตาแห่งตรรกะเยี่ยงซาตานดังเช่น “ตัวใหญ่ล้มดัง” “ตะปูที่โผล่หัวขึ้นมามากที่สุดย่อมถูกค้อนตอกลงไป” และ “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” ฉันคิดว่า การมีสถานะและหน้าที่ความรับผิดชอบมากขึ้น ก็คงจะแค่เปิดโปงฉันรวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น และแล้วก็จะนำทางไปสู่การกำจัดฉันทิ้ง นั่นคือสาเหตุที่ฉันระแวดระวังพระเจ้าเรื่อยไป ถึงแม้ว่าภายนอกฉันจะยอมรับตำแหน่งของฉันในฐานะผู้นำทีม ด้วยกลัวว่าจะถูกเปิดโปงและถูกกำจัดทิ้งหากฉันสะดุดล้ม จากนั้นในท้ายที่สุดแล้วก็พลาดบั้นปลายสุดท้ายของฉัน ฉันเป็นผู้เชื่อที่อ่านพระวจนะของพระเจ้า แต่มุมมองของฉันว่าด้วยสิ่งทั้งหลายไม่ได้แปรผันเลยแม้แต่น้อย และฉันไม่เคยแสวงหาความจริงในยามที่เผชิญหน้ากับประเด็นปัญหาทั้งหลาย หรือมองดูสิ่งทั้งหลายโดยพิจารณาตามพระวจนะของพระเจ้า แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับประเมินพระราชกิจของพระเจ้าบนพื้นฐานของมโนคติอันหลงผิดเยี่ยงซาตาน โดยจินตนาการพระเจ้าว่าทรงเป็นเผด็จการบางจำพวก ผู้ซึ่งจะเปิดโปงและกำจัดฉันทิ้งเมื่อเกิดความมะงุมมะงาหราเพียงเล็กน้อยที่สุด นั่นไม่ใช่การที่ฉันปฏิเสธพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าหรอกหรือ? นั่นไม่ใช่การที่ฉันหมิ่นประมาทพระเจ้าหรอกหรือ? ความจริงก็คือว่า เมื่อใดก็ตามที่ใครคนหนึ่งถูกปลดหรือถูกกำจัดทิ้งโดยคริสตจักร นั่นอยู่บนพื้นฐานของหลักธรรม นั่นอยู่บนพื้นฐานของการพิจารณาโดยรวมถึงขีดความสามารถของบุคคล ว่าพวกเขามีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดีหรือชั่ว ว่าพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ และพวกเขาอยู่บนเส้นทางประเภทใด พวกเขาไม่ได้ถูกนิยามในฐานะบุคคล ไม่ได้ถูกปลดและไม่ได้ถูกกำจัดทิ้งบนพื้นฐานของการล่วงละเมิดเป็นครั้งคราวหรือการแสดงออกชั่วขณะของพวกเขา หรือว่าพวกเขามีสถานะสูงส่งหรือไม่ พระนิเวศของพระเจ้าจะมอบโอกาสพิเศษแก่บรรดาผู้นำที่สละตัวพวกเขาเองเพื่อพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริง แม้ว่าจะมีการล่วงละเมิดใดๆ พวกเขาจะถูกตัดแต่งและถูกจัดการ ถูกย้ำเตือนและถูกเตือน และใครก็ตามที่สามารถที่จะรู้จักตัวเอง ใครก็ตามที่กลับใจและแปลงสภาพ จะยังถูกใช้ประโยชน์และถูกบ่มเพาะอยู่ต่อไป มีบรรดาผู้นำเทียมเท็จบางคนผู้ซึ่งไม่ทำงานอันสัมพันธ์กับชีวิตจริง ผู้ซึ่งละโมบสิ่งชูใจ ละเลยต่อหน้าที่ของพวกเขา และผู้ซึ่งครองตำแหน่งของผู้นำโดยไม่เข้ารับภาระผูกพันที่ผู้นำควรเข้ารับ บุคคลจำพวกนั้นจะถูกปลดจากตำแหน่งของพวกเขาแน่นอน แต่ตราบเท่าที่พวกเขาไม่ใช่บุคคลที่เลว ผู้ซึ่งทำความชั่วทุกลักษณะ พวกเขาจะไม่ถูกกำจัดทิ้ง ไม่ถูกเตะออกจากคริสตจักรแม้แต่น้อย พระนิเวศของพระเจ้าจะจัดการเตรียมการหน้าที่อื่นอันเหมาะสมสำหรับพวกเขา โดยให้โอกาสแก่พวกเขาเพื่อการกลับใจใหม่และการทบทวนตนเอง มีบรรดาศัตรูของพระคริสต์เหล่านั้นผู้ซึ่งไม่ยอมรับที่จะยอมรับความจริงทุกประการ ผู้ซึ่งทำงานเพียงเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของสถานะและพลังอำนาจของพวกเขาเองเท่านั้น ผู้ซึ่งแค่ต้องการที่จะยึดพลังอำนาจเพื่อได้รับการควบคุมเหนือคริสตจักร—เพียงแค่ว่าพวกเขานั้นถูกเปิดโปงและถูกกำจัดทิ้งอย่างสิ้นเชิง ถูกขับไล่จากคริสตจักรเป็นการถาวร ฉันเห็นว่า พระนิเวศของพระเจ้าปฏิบัติต่อผู้คนในหนทางที่เที่ยงธรรมและยุติธรรมโดยครบถ้วนบริบูรณ์ ว่าความจริงมีอิทธิพลควบคุมในพระนิเวศของพระเจ้า ไม่มีบุคคลที่ดีคนใดจะถูกกล่าวหาผิดๆ เป็นอันขาด และไม่มีบุคคลที่ชั่วคนใดจะถูกปล่อยไปอย่างง่ายดาย การที่ใครบางคนจะถูกเปิดโปงและถูกกำจัดทิ้งหรือไม่นั้น ไม่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งของพวกเขา สิ่งที่สำคัญจริงๆ ก็คือว่า พวกเขาสามารถยอมรับและไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่ สำหรับผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เมื่อพวกเขาเข้ารับหน้าที่สำคัญ เมื่อพวกเขาแบกรับหน้าที่ความรับผิดชอบมากขึ้น พวกเขาได้รับโอกาสเหมาะมากขึ้นที่จะพัฒนาตัวพวกเขาเอง และมีความสามารถมากขึ้นที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า แต่พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ผู้ที่ไม่แสวงหาหลักธรรมในหน้าที่ของพวกเขา และไม่ยอมรับที่จะยอมรับการถูกพิพากษา ถูกตีสอน ถูกตัดแต่ง และถูกจัดการ ผู้ที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย ไม่สำคัญว่าสถานะของพวกเขาอาจเป็นอะไร ในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาจะถูกกำจัดทิ้ง เมื่อคิดถึงการนั้นมากขึ้น ฉันตระหนักว่า เมื่อฉันได้ถูกปลดจากตำแหน่งของฉันในฐานะผู้นำทีมก่อนหน้านี้ นั่นเป็นเพราะฉันเห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่นโดยธรรมชาติ และไม่ได้นำความจริงไปสู่การปฏิบัติเลยแม้แต่น้อย ฉันกำลังยืนขวางทางงานของคริสตจักร นั่นคือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าซึ่งมาถึงฉันโดยไม่คาดผัน และเป็นพระเจ้านั่นเองที่ทรงมอบโอกาสแก่ฉันในการกลับใจและแปลงสภาพ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ฉันกลับปฏิบัติตนเหมือนกับผู้ปราศจากความเชื่อคนหนึ่ง โดยไม่มีความเชื่อในความรอดของพระเจ้าเลยและเข้าใจพระองค์ผิด เมื่อนั้นนั่นเองที่ในที่สุดแล้วฉันได้ตระหนักว่า ปรัชญาเยี่ยงซาตานที่ว่า “ตัวใหญ่ล้มดัง” ได้ทำอันตรายแก่ฉันแล้วอย่างมหันต์เพียงใด ไม่เพียงแต่ฉันได้กลายเป็นถูกกลืนกินด้วยความเข้าใจผิดและความระแวดระวังพระเจ้าเท่านั้น แต่ฉันได้กลายเป็นเจ้าเล่ห์และชั่วมากขึ้นทุกทีไปแล้ว ฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถใช้ชีวิตตามตรรกะเยี่ยงซาตานและกฎเยี่ยงนั้นอยู่ต่อไปได้ แต่ฉันจำเป็นที่จะต้องมองดูสิ่งทั้งหลายและเข้าหาสิ่งทั้งหลายบนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้า การรับหน้าที่นี้ในการเป็นผู้นำทีมได้รับการยกให้สูงขึ้นโดยพระเจ้า และเป็นพระเจ้านั่นเองที่ทรงมอบโอกาสแก่ฉันในการเรียนรู้ ฉันจำเป็นต้องหวงแหนโอกาสเหมาะนี้ราวสมบัติล้ำค่า ฉันได้เป็นสิ่งกีดขวางในหน้าที่ของฉันในอดีต แต่ครั้งนี้ ฉันรู้ว่าฉันจำเป็นที่จะต้องจ่ายราคาในหน้าที่ของฉัน เพื่อชดเชยให้กับความล้มเหลวในอดีตของฉัน แสวงหาหลักธรรมแห่งความจริงมากขึ้น และทุ่มเททั้งหมดของฉันเข้าไปในการนั้นเพื่อทำหน้าที่ของฉันให้ดี
การเข้าใจสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้เป็นการปลดปล่อยให้เป็นอิสระอย่างแท้จริงสำหรับฉันเรื่อยมาเช่นกัน บัดนี้เมื่อฉันคิดย้อนกลับไปว่าฉันเข้าใจผิดและระแวดระวังพระเจ้าอย่างไร ฉันรู้สึกว่าฉันช่างไม่มีเหตุผลเสียจริง ฉันช่างโง่เขลาและหูหนวกตาบอดเสียจริง โดยไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าแต่อย่างใดเลย ฉันได้อธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ภายในหัวใจของฉันแล้วว่า “โอ พระเจ้า ขอขอบคุณพระองค์สำหรับการทรงนำของพระองค์ สำหรับการทรงเปิดโอกาสให้ข้าพระองค์เห็นความน่าเกลียดของข้าพระองค์เอง และสำหรับการทรงแสดงให้ข้าพระองค์เห็นว่า มโนคติอันหลงผิดเยี่ยงซาตานเหล่านี้ ได้สร้างเครื่องขวางกั้นอันใหญ่หลวงอะไรเช่นนั้นระหว่างพระองค์กับข้าพระองค์ ข้าพระองค์ไม่ได้รู้สึกและไม่ตระหนักถึงสิ่งทั้งหลาย เข้าใจสิ่งทั้งหลายผิด และระแวดระวังเรื่อยมา และข้าพระองค์ไม่ได้รับรู้อย่างสิ้นเชิงว่าพระองค์ได้ทรงรู้สึกอย่างไร ข้าพระองค์ได้เป็นกบฏเหลือเกินเรื่อยมา และข้าพระองค์กลับใจต่อพระองค์อย่างเต็มเปี่ยม”
วันหนึ่งฉันได้อ่านบทความหนึ่ง ซึ่งในบทความนั้นผู้เขียนได้แสดงออกถึงสภาวะส่วนบุคคลของฉันเองอย่างสมบูรณ์แบบ และได้อ้างพระวจนะของพระเจ้าบางส่วนซึ่งได้จัดเตรียมเส้นทางของการปฏิบัติให้ฉัน ความว่า “อันที่จริง ผลการปฏิบัติงานของมนุษย์เป็นความสำเร็จลุล่วงทั้งหมดที่มีอยู่โดยธรรมชาติในตัวมนุษย์ กล่าวคือ ทั้งหมดที่เป็นไปได้สำหรับมนุษย์ เป็นเวลานี้เองที่หน้าที่ของเขาได้กระทำให้ลุล่วงแล้ว ข้อบกพร่องต่างๆ ของมนุษย์ในระหว่างการปรนนิบัติของเขาจะค่อยๆ ลดลงผ่านประสบการณ์ที่ก้าวหน้าและกระบวนการการก้าวผ่านการพิพากษาของเขาข้อบกพร่องต่างๆ เหล่านี้ไม่ขัดขวางหรือส่งผลกระทบต่อหน้าที่ของมนุษย์ พวกผู้ที่หยุดรับใช้หรือยอมแพ้และถอยกลับเพราะกลัวว่าอาจมีข้อบกพร่องในการรับใช้ของพวกเขานั้นขี้ขลาดที่สุดของคนทั้งหมด…ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างหน้าที่ของมนุษย์กับการที่เขาจะได้รับพระพรหรือถูกสาปแช่งหรือไม่ หน้าที่คือสิ่งที่มนุษย์ควรจะทำให้ลุล่วง มันเป็นวิชาชีพที่สวรรค์ส่งมาของเขา และไม่ควรขึ้นอยู่กับการตอบแทน สภาพเงื่อนไขต่างๆ หรือเหตุผล เมื่อนั้นเท่านั้นที่เขากำลังทำหน้าที่ของเขา การได้รับพระพรคือเมื่อใครบางคนได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและได้ชื่นชมกับพระพรของพระเจ้าหลังได้รับประสบการณ์กับการพิพากษา การถูกสาปแช่งคือเมื่ออุปนิสัยของใครบางคนไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากพวกเขาได้รับประสบการณ์กับการตีสอนและการพิพากษาแล้ว คือตอนที่พวกเขาไม่ได้รับประสบการณ์กับการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแต่ถูกลงโทษ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับพระพรหรือถูกสาปแช่งก็ตาม สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง ทำสิ่งที่ควรจะทำ และทำสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ นี่เป็นสิ่งที่น้อยที่สุดที่บุคคลคนหนึ่ง บุคคลซึ่งไล่ตามเสาะหาพระเจ้า ควรทำ เจ้าไม่ควรทำหน้าที่ของเจ้าเพียงเพื่อให้ได้รับพระพรเท่านั้น และเจ้าไม่ควรปฏิเสธที่จะกระทำเพราะกลัวถูกสาปแช่ง เราขอบอกสิ่งเดียวนี้กับพวกเจ้า: การปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์คือสิ่งที่เขาควรทำ และหากเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเขาได้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือความเป็นกบฏของเขา” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์) ขณะที่ฉันพิจารณาการนี้ ฉันได้มาเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงคาดหวังทั้งหมดจากมวลมนุษย์มากมายขนาดนั้น พระองค์แค่ทรงต้องการให้พวกเราไล่ตามเสาะหาความจริง ทำทั้งหมดที่พวกเราสามารถ เพื่อทำให้สิ่งใดก็ตามที่พวกเราสามารถจับความเข้าใจได้ สิ่งใดก็ตามที่พวกเราสามารถสำเร็จลุล่วงได้ ให้เข้ามามีบทบาท โดยไม่จับแพะชนแกะให้รอด ไม่ลื่นไหลและหลอกลวง แต่โยนทั้งหมดของพวกเราเข้าไปในการนั้นและทำสิ่งที่พระเจ้าทรงขอจากพวกเรา ต่อให้พวกเราได้รับประสบการณ์กับความล้มเหลวและการก้าวผิดทางอยู่บ้างในระหว่างนั้น ตราบเท่าที่พวกเราสามารถยอมรับความจริงได้ และยอมรับการถูกตัดแต่งและถูกจัดการ ปัญหาเหล่านี้ย่อมสามารถได้รับการแก้ไขได้ พวกเราสามารถมองเห็นความก้าวหน้าและการเปลี่ยนแปลงได้ ตั้งแต่ที่รับพระบัญชานั้น ฉันได้ขาดพร่องท่าทีของการยอมรับและการนบนอบโดยสิ้นเชิง ฉันกลัวว่าด้วยการก้าวผิดทางแม้แต่เพียงเล็กน้อย ด้วยการล่วงละเมิดอันใด ฉันคงจะถูกกำจัดทิ้ง กลัวว่าฉันคงจะสูญเสียจุดจบและบั้นปลายสุดท้ายของฉันไป ฉันได้เห็นว่า จริงๆ แล้วฉันไม่ได้มีความเข้าใจอันใดเกี่ยวกับความจริงแต่อย่างใดเลย และว่าฉันไม่ได้เข้าใจพระราชกิจของพระเจ้าจริงๆ ฉันได้เห็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งว่า ในช่วงตลอดหลายปีแห่งการที่เชื่อในพระเจ้าและการทำหน้าที่ของฉัน นั่นไม่ใช่การทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย แต่นั่นเป็นแค่การเพียรพยายามเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของอนาคตและบั้นปลายของฉันเอง ฉันเห็นแก่ตัวและเจ้าเล่ห์เหลือเกิน! หน้าที่คือพระบัญชาจากพระเจ้า และนั่นเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทุกอย่างจำเป็นที่จะต้องลุล่วง ไม่สำคัญว่าสุดท้ายแล้วพวกเราได้รับการอวยพรหรือถูกสาป—พวกเราทั้งหมดจำเป็นที่จะต้องทำหน้าที่ของพวกเราเอง ฉันไม่สามารถไม่ยอมรับที่จะทำหน้าที่ของฉันเพียงเพราะฉันกลัวว่าจะทำความชั่ว ทั้งๆ ที่มีการเข้าสู่ชีวิตอันไร้ค่าของฉันและการขาดพร่องความเป็นจริงของความจริง พระเจ้าได้ทรงยกฉันให้สูงขึ้นแล้วเพื่อรับใช้ในฐานะผู้นำทีม ไม่ใช่เพราะฉันควรค่าแก่ตำแหน่งนี้ในตอนนี้ แต่เป็นด้วยความหวังว่าโดยผ่านทางครรลองของการที่ฉันทำหน้าที่นี้ ฉันจะมีความสามารถที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง ยอมรับการถูกพิพากษา ถูกตีสอน ถูกตัดแต่ง และถูกจัดการ และยังปรับปรุงข้อบกพร่องส่วนบุคคลของฉันต่อไปได้ เช่นนั้นแล้วก็เป็นที่หวังว่าสุดท้ายแล้ว ฉันจะสามารถทำหน้าที่นี้ได้สำเร็จอย่างเพียงพอ ทันทีที่ฉันเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ฉันได้รับความมั่นใจมากขึ้นในยามที่เผชิญกับประเด็นปัญหาและความลำบากยากเย็น ซึ่งเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันในหน้าที่ของฉัน และฉันได้รับความแน่วแน่ที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยโดยผ่านทางการทำหน้าที่นั้น
หลังจากนั้นฉันได้อ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้า ความว่า “สิ่งใดคือการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์? ประเด็นหลักของเรื่องคือการปฏิบัติความจริงในทุกสรรพสิ่ง หากเจ้าพูดว่าเจ้าซื่อสัตย์ แต่เจ้ามักจะเก็บพระวจนะของพระเจ้าเอาไว้ก่อน และทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าต้องการเสมอ เช่นนั้นแล้วนี่เป็นการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์หรือ? เจ้าพูดว่า ‘ขีดความสามารถของฉันต่ำ แต่ฉันซื่อสัตย์ที่ใจ’ อย่างไรก็ตาม เมื่อหน้าที่ตกอยู่กับเจ้า เจ้าก็กลัวความทุกข์ หรือกลัวว่าหากเจ้าไม่ทำให้หน้าที่ลุล่วงอย่างดี เจ้าก็จะต้องแบกรับความรับผิดชอบ ดังนั้นเจ้าจึงทำการแก้ตัวเพื่อละเลยหน้าที่นั้น และแนะนำผู้อื่นให้ทำหน้าที่นั้น นี่เป็นการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์หรือ? ชัดเจนว่าไม่ใช่ เช่นนั้นแล้ว บุคคลที่ซื่อสัตย์ควรประพฤติตัวอย่างไร? พวกเขาควรยอมรับและเชื่อฟัง และจากนั้นก็ทุ่มเทอุทิศอย่างถึงที่สุดในการทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างสุดความสามารถของพวกเขา โดยเพียรพยายามที่จะประจวบพ้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า การนี้ได้รับการแสดงออกในหลายหนทาง หนทางหนึ่งคือเจ้าควรยอมรับหน้าที่ของเจ้าด้วยความซื่อสัตย์ ไม่คิดถึงสิ่งอื่นใด และไม่ทำอย่างไม่เต็มใจ จงอย่าวางอุบายเพื่อประโยชน์ของเจ้าเอง นี่คือการแสดงออกของความซื่อสัตย์ อีกหนทางหนึ่งคือการทุ่มเทเรี่ยวแรงและหัวใจของเจ้าทั้งหมดลงไปในหน้าที่นั้น เจ้าพูดว่า ‘นี่คือทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันสามารถทำได้ ฉันจะนำทั้งหมดนี้มาใช้ และทุ่มเทอุทิศมันอย่างครบบริบูรณ์แด่พระเจ้า’ นี่ไม่ใช่การแสดงออกของความซื่อสัตย์หรือ? เจ้าทุ่มเทอุทิศทั้งหมดที่เจ้ามีและทั้งหมดที่เจ้าสามารถทำได้—นี่คือการแสดงออกของความซื่อสัตย์ หากเจ้าไม่เต็มใจที่จะทุ่มเทอุทิศทั้งหมดที่เจ้ามี หากเจ้าซ่อนเร้นและซุกซ่อนมันไว้ และปลิ้นปล้อนในการกระทำทั้งหลายของเจ้า เลี่ยงหนีหน้าที่ของเจ้า และให้ผู้อื่นทำ เพราะเจ้ากลัวที่จะต้องแบกรับผลสืบเนื่องจากการไม่ทำการงานอย่างดี เช่นนั้นแล้วนี่คือการเป็นคนซื่อสัตย์หรือ? ไม่ นั่นไม่ใช่ เพราะฉะนั้น การเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์จึงไม่เพียงแค่เป็นเรื่องของการมีความพึงปรารถนา หากเจ้าไม่นำมันไปปฏิบัติเมื่อสิ่งต่างๆบังเกิดแก่เจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ใช่บุคคลที่ซื่อสัตย์ เมื่อเจ้าเผชิญประเด็นปัญหา เจ้าต้องปฏิบัติความจริง และมีการแสดงออกที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง นี่เป็นหนทางเดียวในการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ และเหล่านี้เท่านั้นเป็นการแสดงออกของหัวใจที่ซื่อสัตย์” (“เพียงโดยการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์เท่านั้น คนเราจึงจะสามารถมีความสุขอย่างแท้จริงได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระเจ้าโปรดบรรดาผู้ที่ซื่อสัตย์ และบรรดาผู้ที่ซื่อสัตย์ไม่หมกมุ่นในพระพร พวกเขาไม่กลัวการเข้ารับหน้าที่ความรับผิดชอบ แต่ลองพยายามที่จะทำหน้าที่ของพวกเขาให้ดีโดยสุดใจ เพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย พวกเขาทุ่มเททั้งหมดของพวกเขาให้กับการทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาอาจสามารถทำได้ การคิดถึงเรื่องนี้ทำให้ฉันละอายใจจริงๆ ฉันพูดคุยอยู่เสมอเกี่ยวกับว่าฉันต้องการที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยเพียงใด แต่เมื่อถึงเวลาที่ฉันจะยอมรับพระบัญชาจริงๆ ที่จะทุ่มเทหัวใจของฉันเข้าไปในบางสิ่งอย่างจริงแท้ ฉันกลายเป็นไม่จริงใจและต้องการที่จะออกจากการนั้น ตอนนั้นเองฉันตระหนักว่า ฉันก็แค่กำลังพูดสิ่งที่ฟังดูดีบางอย่าง แต่ในข้อเท็จจริงนั้น ฉันกำลังลองพยายามที่จะหลอกพระเจ้า และภายในใจนั้นฉันไม่ซื่อสัตย์อย่างสิ้นเชิง เมื่อฉันตระหนักการนี้ ฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ในหนทางนั้น ถึงแม้ว่าฉันมีปัญหาและข้อบกพร่องมากมาย แต่ฉันก็จำเป็นที่จะต้องฝึกฝนการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์โดยสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า ฉันจำเป็นที่จะต้องมอบหัวใจของฉันแด่พระเจ้า และทำหน้าที่ของฉันโดยสุดความสามารถของฉันด้วยความมีเหตุมีผลอย่างหนักแน่น และไม่สำคัญว่าสิ่งทั้งหลายกลับกลายเป็นอย่างไร ฉันเต็มใจที่จะเชื่อฟังการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า หลังจากนั้น ฉันก็ผ่อนคลายจนถึงระดับที่เหลือเชื่อเช่นนั้น เมื่อฉันเผชิญกับความลำบากยากเย็นในหน้าที่ของฉัน ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อแสวงหาและแก้ไขความลำบากยากเย็นเหล่านั้น และเมื่อฉันงุนงงสับสน ฉันสำรวจสิ่งทั้งหลายพร้อมกันกับบรรดาพี่น้องชายหญิง โดยแสวงหาหลักธรรมของความจริง ฉันพบว่าเมื่อเวลาผ่านไป ฉันมีความสามารถที่จะแก้ไขปัญหาและความลำบากยากเย็นมากมาย
ประสบการณ์นี้ได้แสดงให้ฉันเห็นว่า การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าจริงๆ แล้วคือความรักและความรอดของพระองค์ที่มีต่อมวลมนุษย์อย่างไร ฉันได้สูญเสียความกลัวของฉันในการเข้ารับหน้าที่ความรับผิดชอบไปแล้ว และฉันไม่ปกป้องตัวเองเหลือเกินหรือโน้มเอียงไปสู่ความเข้าใจผิดอีกต่อไป ถึงแม้ว่าฉันยังคงมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามมากมาย แต่ฉันเต็มใจที่จะยอมรับการถูกพิพากษา ถูกตีสอน ถูกตัดแต่ง และถูกจัดการโดยพระเจ้า และที่จะไล่ตามเสาะหาการได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และการแปลงสภาพ ฉันขอขอบคุณพระเจ้า!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย ตันยี ญี่ปุ่น ฉันรับผิดชอบ งานข่าวประเสริฐของสองทีม ไม่นานมานี้ พี่น้องชายหญิงบางคน โดนปลดเพราะไม่ทำงานจริง และมักจะ ทำหน้าที่แบบส่งๆ...
โดย หลินซวง, สเปน หน้าที่ของฉันในคริสตจักรคือการสร้างเทคนิคพิเศษ ระหว่างการผลิตงาน เมื่อฉันมีโปรเจกต์ที่ค่อนข้างลำบากยากเย็น...
โดย เทเรซ่า, ฟิลิปปินส์ เดือนพฤษภาคม ปี 2021 ฉันรับหน้าที่ผู้นำ รับผิดชอบงานของคริสตจักรหลายแห่ง ฉันคิดว่า...
โดย เหยียน ผิง, ประเทศจีน จำได้ว่ามันเกิดขึ้นทันทีที่ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ช่วงนั้น...