ฉันไม่โดนจำกัดด้วยการกระทำผิดอีกต่อไป

วันที่ 06 เดือน 10 ปี 2024

วันหนึ่งในเดือนกรกฎาคม ปี 2006 จู่ๆ ฉันก็ถูกจับกุมขณะเดินทางไปประชุมกับเพื่อนร่วมงาน คืนนั้นฉันถูกนำตัวไปยังสถานที่ลับเพื่อสอบปากคำ ตำรวจพบใบเสร็จรับเงินของคริสตจักรในตัวฉัน ก็เลยผลัดกันสอบสวนฉัน โดยกดดันให้บอกชื่อผู้คุ้มกันเงินของคริสตจักรและผู้นำระดับสูง ฉันไม่ตอบ พวกเขาจึงเฆี่ยนด้วยเข็มขัดหนัง ใส่กุญแจมือและแขวนฉันด้วยโซ่เหล็ก พวกเขาทรมานฉันแบบนี้หนึ่งอาทิตย์ ฉันหิวน้ำ หิวข้าวมาก และไม่เหลือเรี่ยวแรง ถึงจุดหนึ่งฉันก็หมดสติ พอตื่นขึ้นมา ไม่แน่ใจว่าพวกเขาให้ดื่มอะไร แต่มีรสชาติแปลกๆ ในปาก มันทำให้ฉันสำลักและมีความเจ็บปวดรุนแรงทั่วร่างกาย ในตอนนั้น เนื้อหนังของฉันถึงขีดจำกัดที่จะทนได้ และไม่รู้ว่าต่อไปพวกเขาจะทำอะไรกับฉันอีก ฉันกลัวมาก กลัวว่าทนการทรมานไม่ไหวแล้วกลายเป็นยูดาส แล้วฉันก็อธิษฐานถึงพระเจ้าในใจอย่างจริงจัง ขอให้พระองค์ช่วยให้ฉันตั้งมั่นในการเป็นพยาน พอเห็นว่าฉันถูกทรมานแบบนี้แล้วยังไม่ขายผู้นำและเงินของคริสตจักร ตำรวจเลยเปลี่ยนวิธี แล้วมาใช้ความรักแบบครอบครัวล่อลวงฉัน บอกว่า “คุณไม่ได้กลับบ้านมาสองสามปีแล้ว ครอบครัวกับลูกๆ ต้องคิดถึงคุณมากเลยนะ เงินของคริสตจักรอยู่ที่ไหน? ถ้าบอกเราทุกอย่าง เราจะปล่อยคุณกลับบ้าน” พวกเขาหยิบเงินสดออกมาด้วย แล้วบอกว่าพบผู้คุ้มกันเงินของคริสตจักรแล้ว ได้ยินอย่างนี้ ฉันเลยคิดกับตัวเองว่า “ในเมื่อพวกเขายึดเงินไปแล้ว ไม่ว่าฉันจะบอกพวกเขาหรือไม่ ก็ไม่ต่างกัน ถ้าฉันบอกบางอย่างไป ฉันอาจจะไม่ถูกทรมานอีกแล้ว” ฉันบอกพวกเขาเกี่ยวกับครอบครัวหนึ่งที่คุ้มกันเงินของคริสตจักร และตำรวจก็ให้ฉันพาไปเก็บเงินนี้ ตอนนั้นเองถึงตระหนักว่าฉันตกหลุมพรางของพวกเขาแล้ว ตอนนั้นฉันอดทนจนสุดความสามารถแล้ว ฉันคิดกับตัวเองว่า “ฉันขายครอบครัวผู้คุ้มกันเงินไปหมดแล้ว ถ้าฉันไม่พาตำรวจไปที่นั่น พวกเขาจะทรมานฉันต่อแน่ๆ ยิ่งกว่านั้น ฉันถูกจับได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว และเงินของคริสตจักรอาจถูกย้ายไปแล้ว” ในช่วงการตัดสินที่ไม่ดีนี้ ฉันนำตำรวจไปที่บ้านของผู้คุ้มกัน หลังจากที่คริสตจักรรู้ข่าวว่าฉันถูกจับ พวกเขาก็รีบย้ายเงินของคริสตจักรทันที พี่น้องชายจากครอบครัวผู้คุ้มกันเกือบถูกจับ แต่ภายใต้การคุ้มครองของพระเจ้า เขาหนีรอดจากการตรวจค้นของตำรวจไปได้ เพราะไม่พบเงินของคริสตจักร ตำรวจจึงถืออำนาจตัดสินจำคุกฉันหนึ่งปีกับเก้าเดือน

แต่ละวันที่ฉันอยู่ในคุกนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวด โดยเฉพาะเมื่อฉันคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ตรัสว่า “กับบรรดาผู้ที่ไม่ได้แสดงให้เราเห็นความจงรักภักดีแม้แต่น้อยในระหว่างช่วงเวลาของความทุกข์ลำบาก เราจะไม่ปรานีอีกต่อไป เพราะความปรานีของเราขยายเวลามาเพียงถึงตอนนี้เท่านั้น  ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่มีความชอบให้กับใครก็ตามที่ครั้งหนึ่งเคยทรยศเรา นับประสาอะไรที่เราจะชอบเชื่อมสัมพันธ์กับบรรดาผู้ที่ขายผลประโยชน์ของผองเพื่อนของตน นี่คืออุปนิสัยของเรา  ไม่ว่าบุคคลคนนั้นอาจเป็นใครก็ตาม(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า)  ฉันรู้ดี ว่าการขายพี่น้องชายทำให้ฉันกลายเป็นยูดาส ฉันล่วงเกินอุปนิสัยของพระเจ้า ฉันกระทำบาปที่ไม่อาจให้อภัยได้ คิดถึงเรื่องนี้ หัวใจของฉันก็เจ็บปวดมาก ฉันทรยศต่อพระเจ้า พระองค์จะไม่ทรงช่วยให้ฉันรอดแน่ๆ เวลาที่ฉันเชื่อในพระเจ้าอาจยุติลงแล้ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฉันรู้สึกหดหู่ใจมากและใช้เวลาแต่ละวันไปกับความเจ็บปวด ใจฉันกำลังทนทุกข์ และรู้สึกว่าฉันยอมตายดีกว่า ฉันแค่รอความตาย และวันนั้นฉันก็จะเป็นอิสระ แม้ฉันยังคงอธิษฐานถึงพระเจ้า แต่เมื่อไรที่ฉันนึกถึงการกระทำผิดของตัวเอง ก็รู้สึกว่าพระเจ้าไม่ต้องการฉันอีกแล้ว และคิดว่าฉันไม่คู่ควรที่จะมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์ สองปีหลังจากที่ฉันได้รับการปล่อยตัวจากคุก เหล่าพี่น้องพบตัวฉัน และเห็นว่าฉันมีความตระหนักรู้ในตนเองอยู่บ้าง พวกเขาจึงยอมให้ฉันกลับมาใช้ชีวิตในคริสตจักรอีกครั้งและจัดแจงหน้าที่ให้ฉัน ฉันซาบซึ้งมากและคิดว่าพระเจ้ากำลังให้โอกาสฉันกลับใจ และฉันก็รู้สึกเหมือนเป็นหนี้พระองค์มากขึ้นไปอีก ฉันหลั่งน้ำตาพลางอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “พระเจ้า! ข้าพระองค์ไม่คู่ควรที่จะมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์จริงๆ เมื่อเผชิญสภาวการณ์ต่างๆ ข้าพระองค์ไม่เป็นคำพยานใดๆ ข้าพระองค์ขายพี่น้องชาย กลายเป็นยูดาสและเป็นเครื่องหมายแห่งความละอายใจ วันนี้ พระองค์ทรงให้โอกาสข้าพระองค์ได้กลับคริสตจักรและทำหน้าที่ของตัวเอง ข้าพระองค์เห็นความกรุณาของพระองค์” ในใจ ฉันแอบตั้งใจ ทำหน้าที่อย่างขันแข็ง ชดเชยการกระทำผิดของตัวเอง และตอบแทนความรักของพระเจ้า ต่อมา ไม่ว่าคริสตจักรจะจัดแจงหน้าที่อะไรให้ ฉันก็เต็มใจให้ความร่วมมือเสมอ ไม่ว่าจะเผชิญกับสภาวการณ์ที่เลวร้ายแค่ไหน ฉันก็ไม่ยอมให้ความยากลำบากเหล่านี้บั่นทอนตัวเอง ฉันอยากจะพยายามเต็มที่เพื่อชดเชยการกระทำผิดของตัวเอง

วันหนึ่ง ฉันได้ยินมาว่าเฉินหัวถูกจับกุมและกลายเป็นยูดาส โดยขายผู้นำ คนทำงาน และครอบครัวผู้คุ้มกันจำนวนมาก จากนั้นก็ถูกขับออกจากคริสต์จักร ได้ยินข่าวนี้แล้วก็นึกถึงสถานการณ์ของตัวเองทันที ฉันก็ขายคนอื่นเหมือนกัน ซึ่งเกือบทำให้ตำรวจยึดเงินของคริสตจักรได้ และเพราะเหตุนี้ ทำให้พี่น้องชายผู้คุ้มกันคนนั้นจึงกลับบ้านไม่ได้ ฉันคิดว่าธรรมชาติของการขายพี่น้องชายของฉันเหมือนกับของเฉินหัว เป็นมลทินใหญ่หลวง พระเจ้าจะไม่ทรงอภัยการกระทำผิดของฉัน ตอนนี้ เฉินหัวถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักรแล้ว บางที วันหนึ่งฉันก็คงจะถูกเอาตัวออกไปและถูกกำจัดด้วยเหมือนกัน คิดอย่างนี้แล้วก็รู้สึกหดหู่ใจมาก หลังจากนั้น หน้าที่ใดก็ตามที่คริสตจักรมอบหมายให้ฉัน แม้ฉันจะทำ แต่ก็ไม่มีความกระตือรือร้นพอที่จะสละตนเพื่อพระเจ้าเหมือนที่แต่ก่อนเคยทำ บางครั้ง เวลาที่ฉันต้องยอมลำบากไปแสวงหาหลักธรรมความจริง ฉันก็จะไม่แสวงหา ฉันก็แค่ยอมทำงานให้เสร็จตามวิธีที่กำหนดและลงแรงทำงานบางส่วน แล้วฉันก็ไม่ได้พิจารณาว่างานของฉันบรรลุผลหรือไม่ อาศัยแค่มโนธรรมขั้นต่ำในการทำหน้าที่ของตัวเอง จำได้ว่าตอนนั้น พี่น้องหญิงคนหนึ่งกลัวโดนจับแล้วไม่กล้าทำหน้าที่ของเธอ ฉันรู้ว่าควรช่วยและเกื้อหนุนเธอ แต่ในเมื่อฉันทรยศต่อพระเจ้าไปแล้ว ฉันจะมีคุณสมบัติไปสามัคคีธรรมกับคนอื่นได้ยังไงล่ะ? ฉันไม่มีอารมณ์ที่จะไตร่ตรองว่าจะสามัคคีธรรมยังไงให้บรรลุผล และฉันก็แค่แสร้งทำพอเป็นพิธี และพูดความรู้หลักคำสอนนิดหน่อย ฉันรู้ว่าการปฏิบัติหน้าที่ของฉันด้วยท่าทีนี้ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า และอยากจะพยายามให้หนักเพื่อพลิกสภาวะของตัวเอง แต่ทันทีที่คิดว่าฉันได้ก่อการกระทำผิดใหญ่หลวงไว้ยังไง และไม่มีหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด หัวใจของฉันรู้สึกเหนื่อยล้าและใช้เวลาแต่ละวันอย่างไร้จุดหมาย พอฉันเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามในการปฏิบัติหน้าที่ ฉันรู้ว่าฉันควรแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาของตน และการทำแบบนี้จะเป็นประโยชน์แก่งานและการเข้าสู่ชีวิตของตัวเอง แต่พอนึกถึงการกระทำผิดที่ไม่อาจให้อภัยได้ และฉันอาจจะโดนขับออกก็ได้ ฉันก็แสวงหาความจริงไม่ได้ แค่ทำงานให้เสร็จในทุกวันก็เพียงพอกับฉันแล้ว และฉันไม่ได้มุ่งสนใจการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสภาวะของตัวเอง ต่อมา ฉันมักจะปวดหัวและอาการเจ็บป่วยที่ท้องกำเริบ ตอนแรกฉันจะรักษาสภาวะของตัวเองอย่างถูกต้อง แต่เวลาผ่านไป ไม่ใช่แค่อาการป่วยไม่ดีขึ้น แต่ยังร้ายแรงขึ้นด้วย ฉันสงสัยว่าความเจ็บป่วยนี้เป็นการลงโทษของพระเจ้าหรือเปล่า เมื่อก่อนฉันทรยศต่อพระเจ้า ทำให้พระองค์ทรงดูถูกและรังเกียจฉัน และตอนนี้ฉันก็ล้มป่วยแล้ว พระเจ้าไม่ต้องการฉันอย่างชัดเจน บางครั้ง ฉันทำหน้าที่แล้วไม่เกิดผล และฉันก็คิดว่าพระเจ้าทรงไม่ต้องการฉัน ไม่มีประโยชน์ที่ฉันจะไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป เมื่อใดก็ตามที่ฉันมีความคิดเหล่านี้ ฉันก็รู้สึกแย่อยู่ในใจอย่างบอกไม่ถูก ฉันเสียใจจริงๆ ที่ตอนนั้นทรยศต่อพระเจ้า ถ้าฉันอดทนต่อไปได้อีกหน่อย ฉันจะไม่ยืนหยัดในการเป็นพยานของฉันเหรอ? ทำไมฉันถึงขายพี่น้องชายคนนั้นล่ะ? ฉันเกลียดตัวเองที่ใส่ใจเนื้อหนังของตัวเองมากเกินไปและไม่มีหัวใจที่ต้องการพระเจ้าจริงๆ ถ้าฉันยืนหยัดเป็นพยานในตอนนั้น ฉันก็จะไม่ต้องทนทรมานฝ่ายวิญญาณแบบนี้ไม่ใช่เหรอ? ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร ฉันก็ยิ่งรู้สึกแย่มากขึ้นเท่านั้น และอยู่ในสภาวะคิดลบบ่อยครั้ง

ครั้งหนึ่ง ฉันปรึกษาเรื่องสภาวะของตัวเองกับพี่น้องหญิงคนหนึ่ง แล้วเธอก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งให้ฉันฟัง “การที่ผู้คนจมอยู่ในภาวะอารมณ์ที่หดหู่ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งด้วย ซึ่งก็คือเรื่องจำเพาะบางอย่างที่เกิดขึ้นกับผู้คนก่อนที่พวกเขาจะมีวัยวุฒิ หรือหลังจากที่พวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว นั่นคือ พวกเขามีการกระทำผิดบางอย่างหรือทำสิ่งที่ไม่รู้จักคิด ทำเรื่องโง่เขลา และเรื่องไม่รู้ความบางอย่าง  พวกเขาจมอยู่ในความหดหู่เพราะการกระทำผิดเหล่านี้ เพราะสิ่งที่ไม่รู้จักคิดและไม่รู้ความที่พวกเขาทำลงไป  ความหดหู่แบบนี้คือการกล่าวโทษตนเอง และเป็นเครื่องบ่งชี้อย่างหนึ่งเช่นกันว่าพวกเขาเป็นคนแบบใด… เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาฟังคำเทศนาหรือสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริง ความหดหู่นี้ย่อมคืบคลานเข้าไปในจิตใจและหัวใจส่วนลึกสุดของพวกเขาอย่างช้าๆ และพวกเขาก็ซักไซ้ไล่เลียงตัวเองโดยถามว่า ‘ฉันทำเช่นนี้ได้หรือ?  ฉันสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  ฉันสามารถได้รับความรอดหรือเปล่า?  ฉันเป็นคนเช่นใด?  ฉันเคยทำเรื่องนั้นมาก่อน ฉันเคยเป็นคนแบบนั้น  ฉันเกินจะช่วยให้รอดแล้วใช่ไหม?  พระเจ้าจะยังทรงช่วยฉันให้รอดหรือไม่?’  บางคนสามารถปล่อยมือจากภาวะอารมณ์ที่หดหู่ของตนและทิ้งมันไว้ข้างหลังได้ในบางครั้ง  พวกเขาเอาความจริงใจและพละกำลังทั้งหมดที่พวกเขาสามารถรวบรวมได้มาใช้กับการปฏิบัติหน้าที่ ภาระผูกพันและความรับผิดชอบของตน และถึงขนาดสามารถทุ่มเทความรู้สึกนึกคิดและหัวใจทั้งดวงของตนให้กับการไล่ตามเสาะหาความจริงรวมทั้งการใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาก็ทุ่มเทพยายามให้กับพระวจนะของพระเจ้า  อย่างไรก็ดี ทันทีที่มีสถานการณ์หรือรูปการณ์พิเศษบางอย่างผ่านเข้ามา ภาวะอารมณ์ที่หดหู่ก็เข้าควบคุมพวกเขาอีกครั้งหนึ่งและทำให้พวกเขารู้สึกอยู่ลึกๆ ในหัวใจของตนว่าถูกกล่าวโทษอีกครั้ง  พวกเขาคิดในใจว่า ‘เธอเคยทำเรื่องนั้นมาก่อน และเธอก็เคยเป็นคนแบบนั้น  เธอจะสามารถได้รับความรอดกระนั้นหรือ?  การปฏิบัติความจริงมีประโยชน์อะไรหรือไม่?  พระเจ้าทรงคิดอย่างไรกับสิ่งที่เธอทำลงไป?  พระเจ้าจะทรงให้อภัยในสิ่งที่เธอทำลงไปหรือ?  การจ่ายราคาแบบนี้ในตอนนี้สามารถชดเชยการกระทำผิดครั้งนั้นได้หรือ?’  พวกเขามักจะติเตียนตนเองและรู้สึกอยู่ลึกๆ ในใจว่าถูกกล่าวโทษ พวกเขานึกสงสัยอยู่เสมอและตั้งคำถามซักไซ้ไล่เลียงตนเองตลอดเวลา  พวกเขาไม่เคยทิ้งภาวะอารมณ์ที่หดหู่นี้ไว้ข้างหลังหรือโยนทิ้งไปได้เลย และพวกเขารู้สึกไม่สบายใจตลอดเวลากับเรื่องน่าละอายที่ตนทำลงไป  ดังนั้น แม้จะเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี แต่ก็เหมือนพวกเขาไม่เคยฟังสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้และไม่เคยเข้าใจเลย  ราวกับพวกเขาไม่รู้ว่าการได้รับความรอดนั้นเกี่ยวข้องอะไรกับตนหรือไม่ พวกเขาสามารถได้รับการอภัยบาปและการไถ่หรือไม่ หรือพวกเขามีคุณสมบัติที่จะได้รับการพิพากษาและการตีสอนจากพระเจ้า รวมทั้งความรอดจากพระองค์หรือไม่  พวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้เลย  ด้วยเหตุที่พวกเขาไม่ได้รับคำตอบใดๆ และเพราะพวกเขาไม่ได้คำวินิจฉัยที่ถูกต้อง พวกเขาจึงรู้สึกหดหู่อยู่ลึกๆ ในใจตลอดเวลา  ในส่วนลึกสุดของหัวใจ พวกเขาหวนนึกถึงสิ่งที่ตนเคยทำครั้งแล้วครั้งเล่า ฉายภาพนั้นอยู่ในใจซ้ำไปซ้ำมา จดจำทุกสิ่งได้ว่าเริ่มต้นอย่างไรและจบลงอย่างไร จดจำทุกสิ่งได้ตั้งแต่ต้นจนจบ  ไม่ว่าพวกเขาจดจำเรื่องนั้นอย่างไรก็ตาม พวกเขาก็รู้สึกผิดบาปอยู่เสมอ ดังนั้น ตลอดหลายปีมานี้ พวกเขาจึงรู้สึกหดหู่เกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง  แม้ในยามที่พวกเขากำลังทำหน้าที่ของตน แม้ในยามที่พวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบดูแลงานบางอย่าง พวกเขายังคงรู้สึกเหมือนตนเองไม่มีหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด  เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงไม่เคยเผชิญหน้าเรื่องการไล่ตามเสาะหาความจริงตรงๆ และไม่เคยถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องและสำคัญที่สุด  พวกเขาเชื่อว่าความผิดพลาดที่พวกเขาได้ทำลงไปหรือสิ่งที่พวกเขาเคยทำไว้ในอดีตถูกผู้คนส่วนใหญ่มองไปในทางที่ไม่ดี หรืออาจถูกผู้คนกล่าวโทษและดูหมิ่น หรือถูกพระเจ้ากล่าวโทษด้วยซ้ำ  ไม่ว่าพระราชกิจของพระเจ้าอยู่ในระยะใดหรือพระองค์ได้ตรัสถ้อยดำรัสไว้มากมายเพียงใด พวกเขาก็ไม่เคยเผชิญหน้ากับเรื่องของการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างถูกต้อง  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  พวกเขาไม่มีความกล้าที่จะทิ้งความหดหู่ของตนไว้ข้างหลัง  นี่คือข้อสรุปสุดท้ายที่คนจำพวกนี้สรุปได้จากการมีประสบการณ์กับเรื่องแบบนี้ และเพราะพวกเขาสรุปความอย่างไม่ถูกต้อง พวกเขาจึงไม่สามารถทิ้งความหดหู่ของตนเอาไว้ข้างหลัง(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2))  พระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้เกี่ยวโยงกับสภาวะของฉันอย่างมาก ที่จริง ไม่กี่ปีมานี้ เมื่อไรที่ฉันได้ยินว่ามีคนถูกขับไล่เพราะเป็นยูดาส ฉันก็จะโยงเรื่องนี้เข้ากับตัวเอง โดยเชื่อว่าฉันเป็นยูดาสเพราะขายพี่น้องชายคนนั้น และกระทำผิดเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า หลังจากนั้นพระเจ้าจะยังต้องการฉันอยู่ไหม? ฉันยังมีความหวังที่จะได้รับความรอดบ้างไหม? ทันทีที่ฉันคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็จะใช้ชีวิตอยู่ในความคิดลบ แม้ภายนอกฉันจะทำหน้าที่ของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้แบกรับภาระจากภายในอย่างแท้จริง และฉันก็รู้สึกมากขึ้นอีกว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นไม่เกี่ยวข้องกับฉัน ฉันวางตัวเองอยู่นอกกลุ่มผู้ไล่ตามเสาะหาความจริงมาตลอด ฉันไม่กล้ายอมรับพระวจนะแห่งการนำ การให้กำลังใจ หรือการเตือนสติของพระเจ้า คิดว่าพระวจนะเหล่านั้นไม่ได้ตรัสไว้เพื่อคนอย่างฉัน ฉันยังรู้สึกด้วยว่าฉันไม่คู่ควรเวลาเอ่ยคำสัตย์สาบานต่อพระพักตร์พระเจ้า และยิ่งไม่คู่ควรที่จะยอมรับการพิพากษาและการตีสอนแห่งพระวจนะของพระองค์ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่าเฉินหัวเป็นยูดาสและถูกเอาตัวออกไป ฉันคิดว่าเฉินหัวกับฉันเป็นเหมือนกัน ฉันอยากปกป้องผิวหนังของตัวเอง จึงขายเงินคริสตจักรและพี่น้องชายคนนั้น เป็นผลให้เขาถูกล่าและกลับบ้านไม่ได้ เพื่อปกป้องตัวเอง ฉันนำภัยพิบัติร้ายแรงมาสู่พี่น้องชายคนนี้ ฉันเห็นแก่ตัวเกินไปจริงๆ ขาดความเป็นมนุษย์เกินไป! ธรรมชาติของการกระทำของฉันเป็นเหมือนยูดาส จากสิ่งที่ฉันทำลงไป พระเจ้าจะทรงทำสิ่งใดกับฉันก็ได้ ต่อให้พระองค์จะส่งฉันลงนรก ก็คงไม่มากเกินไป แต่พระเจ้าไม่ได้ปฏิบัติต่อฉันโดยอิงจากการกระทำผิดของฉันเลย และพระองค์ยังทรงให้โอกาสฉันใช้ชีวิตคริสตจักรและทำหน้าที่ของตัวเอง การที่ฉันมีชีวิตอยู่และทำหน้าที่ของฉันในวันนี้ได้นั้น คือพระคุณและความสูงส่งของพระเจ้า ฉันควรไล่ตามเสาะหาความจริงและแก้ไขอุปนิสัยของตัวเอง และกลับใจแล้วทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี แต่ว่า ฉันยังคงหมกมุ่นอยู่กับการกระทำผิดของตัวเอง ซึ่งทำให้ฉันกังวลเกี่ยวกับโอกาสและโชคชะตาของตัวเอง การใช้ชีวิตในสภาวะหดหู่และคิดลบ ทำให้ฉันกลายเป็นคนเฉี่อยมากขึ้นเรื่อยๆ เวลาทำหน้าที่ ซึ่งไม่ใช่แค่ก่อให้เกิดความเสียหายในการทำงาน แต่ยังส่งผลกระทบต่อการเข้าสู่ชีวิตของฉันด้วย ฉันสูญเสียโอกาสมากมายในการได้รับความจริง หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ ฉันรู้สึกว่าพระเจ้ากำลังตรัสกับฉันต่อหน้า พระองค์ทรงไม่ต้องการให้ผู้คนหดหู่ใจหลังจากทำการกระทำผิด พระองค์ทรงต้องการให้ผู้คนทบทวนตนเองได้และมุ่งมั่นในการไล่ตามเสาะหาต่อไป ไม่ว่าจะเวลาใด เราต้องไม่ล้มเลิกในการไล่ตามเสาะหาความจริง เมื่อเห็นว่าความรักของพระเจ้าเป็นจริงแค่ไหน ฉันก็ตัดสินใจแสวงหาความจริงและทิ้งพันธนาการแห่งสภาวะเป็นลบของฉัน

ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าบางบทตอน “ผู้คนเชื่อในพระเจ้าเพื่อให้ได้รับการอวยพร เพื่อให้ได้รับการปูนบำเหน็จ และเพื่อให้ได้รับมงกุฏ  สิ่งนี้มีอยู่ในหัวใจของทุกคนมิใช่หรือ?  เป็นข้อเท็จจริงที่ว่าสิ่งนี้มีอยู่ในหัวใจของทุกคน  ถึงแม้ผู้คนมักจะไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กัน และถึงกับปกปิดเหตุจูงใจและความอยากจะได้รับพระพรของตน ความอยากและเหตุจูงใจนี้ที่อยู่ลึกในหัวใจของผู้คนนั้นไม่สามารถสั่นคลอนได้เสมอมา  ไม่ว่าผู้คนจะเข้าใจทฤษฎีฝ่ายวิญญาณมากเพียงไหน พวกเขามีประสบการณ์หรือมีความรู้ใด พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ใดได้ พวกเขาสู้ทนความทุกข์มากมายเพียงใด หรือพวกเขาจ่ายราคามากเพียงใด พวกเขาก็ไม่เคยปล่อยมือจากแรงจูงใจที่อยากได้พรซึ่งซ่อนอยู่ลึกๆ ในหัวใจของตน และตรากตรำรับใช้แรงจูงใจนี้อยู่เงียบๆ เสมอ  นี่เป็นสิ่งที่ฝังอยู่ลึกที่สุดภายในหัวใจของผู้คนมิใช่หรือ?  หากไร้ซึ่งแรงจูงใจในการได้รับพระพร พวกเจ้าจะรู้สึกอย่างไร?  เจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ของตนและติดตามพระเจ้าด้วยท่าทีเช่นใด?  ผู้คนจะกลายเป็นเช่นไรหากแรงจูงใจในการได้รับพระพรซึ่งซ่อนอยู่ในหัวใจของพวกเขาถูกกำจัดออกไป?  เป็นไปได้ว่าผู้คนมากมายจะกลายเป็นคนคิดลบ ขณะที่บางคนจะกลายเป็นคนที่ขาดแรงจูงใจในหน้าที่ของตน  พวกเขาจะหมดสิ้นความสนใจต่อการเชื่อในพระเจ้าของตน ราวกับจิตใจของพวกเขาได้อันตรธานไป  พวกเขาจะดูราวกับถูกกระชากหัวใจออกไป  นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราจึงกล่าวว่าแรงจูงใจที่จะได้พระพรเป็นบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ลึกในหัวใจของผู้คน(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หกข้อบ่งบอกถึงการเจริญเติบโตในชีวิต)  ฉันเห็นว่าพระเจ้าเปิดโปงว่าผู้เชื่อในพระเจ้าต่างก็มีแรงจูงใจที่ซ่อนอยู่ในตัวพวกเขาเอง ทั้งหมดก็เพราะเห็นแก่การได้รับพระพร และพอโอกาสและโชคชะตาของคนนั้นมาถึง แล้วรับพระพรไม่ได้ พวกเขาก็คิดว่าการเชื่อในพระเจ้านั้นไร้ความหมาย จึงดำเนินชีวิตในสภาวะหดหู่ใจ และในใจก็ไม่พยายามมุ่งมั่น นี่คือการไล่ตามเสาะหาที่ผิดพลาดในการเชื่อในพระเจ้าของมนุษย์ ฉันทบทวนตัวเองตามพระวจนะของพระเจ้า ย้อนกลับไปตอนที่ฉันยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในช่วงนี้ ฉันจะสละตนเองและพยายามทุกทางเพื่อให้ได้รับพระพร หลังจากถูกจับกุม ฉันก็ขายพี่น้องชายและยอมจำนนต่อการกระทำผิด เพราะกลัวที่จะต้องทนต่อความลำบากและถูกทรมานจนตาย ฉันคิดว่าจะไม่มีโอกาสได้รับความรอดอีก แล้วฉันก็อยู่ในสภาวะหดหู่ใจและตีกรอบตัวเอง หลังจากออกจากคุก ความตั้งใจของฉันที่จะยอมรับและนบนอบในหน้าที่ใดก็ตามที่ทำ เป็นไปเพียงเพื่อชดใช้บาปและให้ได้รับพระพรเท่านั้น และไม่ใช่การสำนึกผิดอย่างแท้จริง พอฉันคิดว่าไม่ได้รับการช่วยให้รอดและจะไม่ได้รับพระพร ฉันกลับกลายเป็นคิดลบจนไม่มีอารมณ์ทำหน้าที่ของตัวเอง ฉันเห็นว่าฉันทำหน้าที่ของตัวเองเพราะเห็นแก่การรับพระพร ทั้งยังทำธุรกรรมกับพระเจ้า ฉันก็เหมือนกับเปาโล ย้อนกลับไปตอนนั้น เปาโลทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อต่อต้านองค์พระเยซูเจ้า โดยจับและข่มเหงเหล่าสาวกของพระองค์ และสุดท้ายเขาก็ถูกแสงเจิดจ้าคร่าชีวิต ในตอนนั้น เขาแค่ยอมรับบาปของตัวเอง และต่อมาเมื่อเขาเผยแผ่ข่าวประเสริฐเพื่อพระองค์ ก็ทำเพราะเห็นแก่การชดใช้เช่นกัน สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่การสำนึกผิดและการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เขาไม่รู้แก่นแท้ของตัวเองในการต่อต้านพระเจ้า และเมื่องานของเขาเกิดผลขึ้นมาบ้าง เขาก็คิดว่าเขามีต้นทุนแล้ว ถึงขนาดทำธุรกรรมกับพระเจ้าอย่างเปิดเผย โดยกล่าว่า “มงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า” (2 ทิโมธี 4:8)  เขาล่วงเกินอุปนิสัยของพระเจ้า และถูกพระเจ้าสาปแช่งและลงโทษ เมื่อไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เกลียดตัวเองมากขึ้น ฉันกระทำชั่วใหญ่หลวงขนาดนี้ แล้วยังทำธุรกรรมกับพระเจ้าด้วย ฉันไม่มีเหตุผลเลย! แม้ฉันจะไม่ได้รับจุดจบและบั้นปลายที่ดีในอนาคต นั่นก็จะเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า นั่นจะเกิดจากการกระทำชั่วและการทรยศต่อพระเจ้าของฉันเอง แผลพุพองที่เท้าเกิดจากเส้นทางที่ฉันเดิน ฉันต้องรับผลที่ตัวเองหว่านไว้ ไม่ว่าจุดจบของฉันจะเป็นยังไง ฉันควรยึดถือจุดยืนของตัวเองในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี นี่คือเหตุผลและการปฏิบัติที่ฉันควรมี ฉันมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานถึงพระองค์ว่า “พระเจ้า! ข้าพระองค์เชื่อในพระองค์ว่าจะได้รับพระพรและรางวัล และในการละทิ้งและการสละตนที่กำลังทำธุรกรรมกับพระองค์ ข้าพระองค์ไม่มีเหตุผลเลย! หากใครเลี้ยงสุนัข สุนัขตัวนั้นจะรู้จักตอบแทนเจ้าของและดูแลบ้านให้ปลอดภัย แต่ข้าพระองค์… พระองค์ทรงให้น้ำและให้เสบียงความจริงมากมายแก่ข้าพระองค์ และทรงแสดงความกรุณาและความอดทนต่อข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์กลับทำธุรกรรมกับพระองค์ เมื่อคิดว่าคงไม่ได้รับบั้นปลายที่ดี ก็ไม่อยากทำหน้าที่ของตนอย่างขันแข็ง ข้าพระองค์แย่ยิ่งกว่าสุนัขเสียอีก! พระเจ้า ข้าพระองค์เต็มใจที่จะกลับใจ ไม่ว่าจุดจบของข้าพระองค์ในอนาคตจะเป็นอย่างไร ข้าพระองค์จะทำหน้าที่ของตัวเองอย่างจงรักภักดีและไม่เชื่อในพระองค์เพียงเพราะเห็นแก่พระพรอีกต่อไป”

หลังจากนี้ ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติม ซึ่งทำให้ฉันมีความรู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ผู้คนส่วนใหญ่ฝ่าฝืนและทำให้ตัวเองมีมลทินในบางหนทาง  ตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนต้านทานพระเจ้าและพูดสิ่งที่เป็นการหมิ่นประมาททั้งหลาย ผู้คนบางคนปฏิเสธพระบัญชาของพระเจ้าและไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน และถูกพระเจ้าเดียดฉันท์ ผู้คนบางคนทรยศพระเจ้าเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับการทดลอง บางคนทรยศพระเจ้าด้วยการลงนามใน ‘จดหมายสามฉบับ’ เมื่อพวกเขาถูกจับกุม บางคนลอบลักเครื่องบูชา บางคนผลาญเครื่องบูชา บางคนก่อกวนชีวิตคริสตจักรและก่อความเสียหายให้แก่ผู้คนที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอยู่บ่อยครั้ง บางคนแบ่งพรรคแบ่งพวกและจัดการกับคนอื่นอย่างหยาบคาย สร้างความโกลาหลให้กับคริสตจักร บางคนมักจะเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดและความตาย ทำความเสียหายให้พี่น้องชายหญิง และบางคนมีส่วนร่วมในการผิดประเวณีและความมักมาก และเป็นอิทธิพลที่เลวร้าย  พอจะกล่าวได้ว่า ทุกคนมีการฝ่าฝืนและความด่างพร้อยทั้งหลายของตน  แต่ผู้คนบางคนยังสามารถยอมรับความจริงและกลับใจ ในขณะที่คนอื่นไม่สามารถทำได้และคงตายเสียก่อนที่จะได้กลับใจ  ดังนั้นผู้คนควรได้รับการปฏิบัติตามแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาและพฤติกรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงของพวกเขา  บรรดาผู้ที่สามารถกลับใจคือผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้กลับใจอย่างแท้จริง ผู้ที่ควรถูกคัดออกและไล่ออกไปจะถูกคัดออกและไล่ออกไป… การจัดการของพระเจ้ากับแต่ละบุคคลนั้นอยู่บนพื้นฐานของสถานการณ์จริงของรูปการณ์แวดล้อมและภูมิหลังของบุคคลนั้นในเวลานั้น รวมถึงการกระทำและพฤติกรรมของบุคคลนั้นและแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา  พระเจ้าจะไม่มีทางทรงผิดต่อใคร  นี่คือด้านหนึ่งของความชอบธรรมของพระเจ้า… การจัดการของพระเจ้าต่อบุคคลคนหนึ่งไม่ได้ง่ายอย่างที่ผู้คนคิดฝัน  เมื่อท่าทีของพระองค์ต่อบุคคลคนหนึ่งคือท่าทีของความเกลียดหรือความรู้สึกรังเกียจ หรือเมื่อเป็นสิ่งที่บุคคลผู้นี้พูดในบริบทที่ได้รับมา พระองค์ทรงมีความเข้าใจอันดีต่อสภาวะของพวกเขา  นี่เป็นเพราะพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจและแก่นแท้ของมนุษย์  ผู้คนคิดอยู่เสมอว่า ‘พระเจ้าทรงมีเพียงเทวสภาพ  พระองค์ทรงชอบธรรมและไม่ทนการล่วงเกินจากมนุษย์  พระองค์ไม่ทรงคำนึงถึงความลำบากยากเย็นของมนุษย์หรือดำริในมุมของผู้คน  หากบุคคลคนหนึ่งต้านทานพระเจ้า พระองค์จะทรงลงโทษพวกเขา’  นั่นไม่ใช่วิธีที่สิ่งทั้งหลายเป็นอยู่เลย  หากนั่นคือวิธีที่ใครบางคนเข้าใจความชอบธรรมของพระองค์ พระราชกิจของพระองค์ และการปฏิบัติต่อผู้คนของพระองค์ พวกเขาเข้าใจผิดมหันต์  การที่พระเจ้าทรงกำหนดจุดจบของผู้คนแต่ละคนนั้นไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ แต่ยึดตามพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  พระองค์จะทรงตอบแทนบุคคลแต่ละคนตามสิ่งที่พวกเขาได้ทำลงไป  พระเจ้าทรงชอบธรรม และไม่ช้าก็เร็ว พระองค์จะทรงจัดการเรื่องนี้เพื่อให้ผู้คนทั้งหมดเชื่ออย่างทะลุปรุโปร่ง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เข้าใจว่าพระเจ้ามีหลักธรรมในการปฏิบัติต่อมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงกำหนดจุดจบของผู้คนโดยอิงจากช่วงเวลาแห่งการกระทำผิด แต่อิงจากบริบทและธรรมชาติของการกระทำของผู้คน และไม่ว่าใครจะสามารถรับความจริงและกลับใจได้อย่างแท้จริงหรือไม่ นี่คือความชอบธรรมของพระเจ้า เมื่อไตร่ตรองเรื่องนี้ ฉันก็มองเห็นแสงสว่างทันที ฉันเห็นว่าในการปฏิบัติต่อมนุษย์ของพระเจ้า ไม่ใช่มีแค่การพิพากษาอันชอบธรรม แต่ยังมีความเมตตาด้วย พระองค์ไม่ได้ปฏิบัติต่อผู้คนด้วยวิธีเดียวกันหมด เมื่อนึกย้อนไปตอนที่ฉันทรยศพระเจ้าเพราะเนื้อหนังของฉันอ่อนแอ ฉันเชื่อว่าตราบใดที่ฉันทำอะไรแบบนี้ ฉันจะถูกกล่าวโทษและถูกกำจัด และไม่ว่าฉันจะกลับใจยังไง ก็ไม่มีทางที่ฉันจะได้รับการช่วยให้รอด ทีนี้ ดูเหมือนว่าฉันไม่เข้าใจอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า เหมือนกับว่าทั้งเฉินหัวและฉันขายผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า คริสตจักรให้โอกาสฉันทำหน้าที่ของตัวเองอีกครั้ง และหลักๆ แล้วก็มาจากบริบทและธรรมชาติของการทรยศของฉัน ซึ่งวัดควบคู่ไปกับพฤติกรรมที่มั่นคงในการทำงานของฉัน ตอนนั้นฉันถูกตำรวจทรมานเจ็ดวันเจ็ดคืน และร่างกายของฉันก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ฉันไม่ตระหนักถึงแผนการอันเจ้าเล่ห์ของซาตาน และในช่วงเวลาแห่งความอ่อนแอ ฉันก็ทรยศพระเจ้า นั่นไม่ได้ทำให้เกิดการสูญเสียมากนัก และหลังจากนั้น ฉันก็สำนึกผิดและรังเกลียดตัวเอง นี่ถือเป็นการกระทำผิดร้ายแรง และพระนิเวศน์ของพระเจ้าเปิดโอกาสให้ฉันกลับใจ ขณะเดียวกัน หลังจากที่เฉินหัวถูกจับ ตำรวจถามคำถามกับเธอแค่ไม่กี่ข้อ เธอก็ยอมจำนนต่ออำนาจอันโหดร้ายของพญานาคใหญ่สีแดง แล้วขายผู้นำ คนทำงาน และบ้านของเหล่าผู้คุ้มกันหนังสือไปจำนวนมาก ทำให้เหล่าพี่น้องมากมายถูกจับกุม และทำให้งานของคริสตจักรเสียหายมหาศาล การกระทำผิดของเฉินหัวไม่ใช่ช่วงเวลาแห่งความอ่อนแอ เธอมีแก่นแท้ของยูดาส คริสตจักรเอาตัวเธอออกโดยอิงจากธรรมชาติของการกระทำของเธอและผลที่ตามมาจากการกระทำเหล่านั้น นี่เป็นความชอบธรรมของพระเจ้าทั้งหมด เมื่อเข้าใจสิ่งนี้มากแล้ว ฉันจึงมีความรู้เกี่ยวกับอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าขึ้นมาบ้าง และเห็นว่าอุปนิสัยของพระองค์สวยงามและดี แต่ถึงกระนั้น ฉันก็ยังระแวดระวังและสงสัยพระเจ้า และตอนนี้ฉันก็รู้สึกเป็นหนี้พระองค์มากขึ้นไปอีก ฉันตัดสินใจกลับใจและเปลี่ยนแปลง และถ้าฉันถูกจับกุมและข่มเหงอีกครั้ง ไม่ว่าร่างกายต้องเจ็บปวดแค่ไหน และต่อให้ต้องตาย ฉันก็จะยังคงยืนหยัดเป็นพยานให้พระเจ้าและทำให้ซาตานอับอาย ไม่ทรยศต่อพระเจ้าอีกแล้ว

ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง และเรียนรู้ว่าควรปฏิบัติต่อการกระทำผิดของตัวเองยังไง  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “แล้วเจ้าจะสามารถได้รับการอภัยบาปและการยกโทษจากพระเจ้าได้อย่างไร?  นี่ขึ้นอยู่กับหัวใจของเจ้า  ถ้าเจ้าสารภาพอย่างแท้จริง ตระหนักอย่างแท้จริงถึงความผิดและปัญหาของเจ้า และไม่ว่าจะเป็นการกระทำผิดที่เจ้าทำลงไปหรือเป็นบาปก็ตาม ถ้าเจ้าใช้ท่าทีของการสารภาพที่แท้จริง รู้สึกเกลียดสิ่งที่เจ้าทำลงไปอย่างแท้จริง และกลับตัวอย่างแท้จริง เจ้าจะได้ไม่มีวันทำความผิดนั้นอีก เช่นนั้นแล้ว สักวันหนึ่งเจ้าก็จะได้รับการอภัยบาปและการยกโทษจากพระเจ้า นั่นคือ พระเจ้าจะไม่ทรงกำหนดปลายทางของเจ้าตามสิ่งที่โง่เขลา ไม่รู้ความ และสกปรกที่เจ้าเคยทำมาก่อนอีกต่อไป… บางคนถามว่า ‘ฉันต้องอธิษฐานมากเท่าใดจึงจะรู้ว่าพระเจ้าทรงยกโทษให้แล้ว?’  เมื่อเจ้าไม่รู้สึกว่าถูกกล่าวโทษเพราะเรื่องนี้อีกต่อไป เมื่อเจ้าไม่ถลำเข้าไปอยู่ในความหดหู่เพราะเรื่องนี้อีกต่อไป เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะสัมฤทธิ์ผลแล้ว และนั่นย่อมจะแสดงว่าพระเจ้าทรงอภัยบาปให้เจ้าแล้ว  เมื่อไม่มีใคร ไม่มีอำนาจใด และไม่มีกำลังบังคับภายนอกสามารถรบกวนเจ้าได้ และเมื่อเจ้าไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลควบคุมของบุคคล เหตุการณ์ หรือสิ่งใด เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะสัมฤทธิ์ผลแล้ว  นี่คือขั้นตอนแรกที่เจ้าจำเป็นต้องทำ  ขั้นที่สองก็คือขณะที่อ้อนวอนขอการอภัยบาปจากพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง เจ้าก็ควรแสวงหาหลักธรรมที่เจ้าควรทำตามระหว่างปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างแข็งขัน—ด้วยการทำเช่นนี้เท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้  แน่นอนว่านี่คือการกระทำที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงด้วยเช่นกัน เป็นการแสดงออกและท่าทีที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงซึ่งชดเชยการกระทำผิดของเจ้า และพิสูจน์ว่าเจ้ากลับใจและได้กลับตัวแล้ว นี่คือบางสิ่งที่เจ้าพึงทำ  เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนซึ่งเป็นพระบัญชาที่พระเจ้าประทานแก่เจ้าได้ดีเพียงใด?  เจ้าจัดการหน้าที่ด้วยท่าทีที่หดหู่ หรือด้วยหลักธรรมที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เจ้าเดินตาม?  เจ้ามอบถวายความจงรักภักดีของตนหรือไม่?  พระเจ้าควรประทานอภัยบาปแก่เจ้าด้วยเหตุใด?  เจ้าเคยแสดงออกถึงการกลับใจบ้างหรือยัง?  เจ้ากำลังแสดงอะไรให้พระเจ้าเห็น?  ถ้าเจ้าปรารถนาจะได้รับการอภัยบาปจากพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องจริงใจเสียก่อน กล่าวคือ ด้านหนึ่งเจ้าต้องมีท่าทีของการสารภาพด้วยความตั้งใจจริง และเจ้าก็ต้องมีความจริงใจและปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีด้วย มิเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรให้พูดถึง  ถ้าเจ้าสามารถทำสองสิ่งนี้ได้ ถ้าเจ้าสามารถทำให้พระเจ้าตื้นตันไปกับความจริงใจและความเชื่ออันดีงามของเจ้าได้ ทำให้พระเจ้าอภัยบาปแก่เจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะเป็นเหมือนผู้คนอื่นๆ  พระเจ้าจะทรงมองเจ้าเหมือนที่ทรงมองผู้คนอื่นๆ พระองค์จะทรงปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนที่ทรงปฏิบัติต่อผู้อื่น และพระองค์ก็จะทรงพิพากษาและตีสอน ทดสอบและถลุงเจ้าเหมือนที่ทรงทำกับผู้อื่น—เจ้าจะได้รับการปฏิบัติไม่ต่างกัน  เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงเจ้าจะมีความมุ่งมั่นและความปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น แต่พระเจ้าจะประทานความรู้แจ้งแก่เจ้า นำเจ้า และจัดเตรียมให้เจ้าในแบบเดียวกันเวลาที่เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงอีกด้วย  แน่นอนว่าด้วยเหตุที่ตอนนี้เจ้ามีความปรารถนาที่จริงใจและแท้จริง มีท่าทีที่ตั้งใจจริง พระเจ้าจึงจะทรงปฏิบัติต่อเจ้าไม่ต่างไปจากใครอื่น และเจ้าก็จะมีโอกาสบรรลุความรอดเช่นเดียวกับผู้คนอื่นๆ  เจ้าเข้าใจเรื่องนี้ใช่หรือไม่?  (ใช่)” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2))  ฉันไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าแล้วเข้าใจว่า ไม่ว่าใครจะทำการกระทำผิดอะไรในอดีต สิ่งที่พระเจ้าต้องการคือการกลับใจและการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงของพวกเขา หากใครทำพลาด พวกเขาต้องมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและยอมรับบาปของตนอย่างจริงใจ ต่อมา พวกเขาต้องยึดมั่นในหน้าที่ของตัวเองและทำด้วยความจงรักภักดี โดยใช้การกระทำที่สัมพันธ์เพื่อชดเชยการกระทำผิดของตัวเอง ก็เหมือนกับดาวิด ที่พระเจ้าส่งผู้เผยพระวจนะไปพูดกับเขา เพราะเขาผิดประเวณีโดยหลับนอนกับภรรยาของอุรียาห์ ดาวิดรู้ว่าเขาทำบาป และเขายอมรับและแสดงความสำนึกผิดต่อพระเจ้า เขาร้องไห้น้ำตาไหลจนเตียงในห้องลอยขึ้น และเมื่อเขาเข้าสู่วัยชรา เขาจะไม่แตะต้องหญิงโสดที่อุ่นผ้าห่มให้เขาด้วยซ้ำ นอกจากนี้ ควบคู่ไปกับความเสียใจสุดซึ้ง เขายังใช้การกระทำที่สัมพันธ์เพื่อยึดมั่นในหน้าที่ของตัวเอง โดยสร้างมหาวิหารแล้วนำชาวอิสราเอลมานมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้า ท่าทีของดาวิดต่อการกระทำผิดของตัวเองไม่ใช่ความหดหู่ใจ แต่เป็นท่าทีที่เป็นบวกและการก้าวไปข้างหน้า เขากลับใจและเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง และยังมีเปโตร ผู้ปฏิเสธพระเจ้าสามครั้งและสูญเสียคำพยานของเขา ท่าทีของเปโตรก็ไม่ได้แสดงถึงความหดหู่ใจเช่นกัน แต่เขายอมรับการกระทำผิดของตัวเองอย่างจริงใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและกลับใจอย่างแท้จริง ในท้ายที่สุด เขาถูกตรึงกลับหัวเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อเป็นคำพยานถึงความรักที่เขามีต่อพระเจ้า ฉันต้องทำตามแบบอย่างของดาวิดและเปโตร เผชิญหน้ากับการกระทำผิดของตัวเองด้วยความเป็นบวก และปล่อยวางจากสภาวะหดหู่ใจ ไล่ตามเสาะหาการกลับใจที่แท้จริงและการเปลี่ยนแปลงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า นี่คือการปฏิบัติและท่าทีที่ฉันควรมี

ต่อมา ฉันทบทวนว่าทำไมตอนนั้นที่ฉันถูกจับถึงทรยศพระเจ้า นั่นเป็นเพราะฉันกังวลกับเนื้อหนังของตัวเองเกินไป และหวงแหนชีวิตของตัวเองเกินไป ฉันนึกถึงสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา คนนั้นจะได้ชีวิตรอด(ลูกา 9:24)  ที่จริง ไม่ว่าฉันจะอยู่หรือตาย พระเจ้าเป็นผู้จัดวางเรียบเรียงและปกครอง ต่อให้ฉันถูกตำรวจข่มเหงจนตาย ตราบใดที่ฉันยืนหยัดในการเป็นพยานให้พระเจ้าได้ การตายของฉันก็มีคุณค่าและความหมาย ตอนนี้ฉันทรยศต่อพระเจ้าแล้ว และแม้เนื้อหนังของฉันจะไม่ต้องทนต่อความทุกข์ทรมาน แต่สิ่งที่ฉันแบกรับคือความทุกข์ทรมานในใจ เมื่อไรที่ฉันคิดถึงตอนที่ตัวเองขายพี่น้องชายคนนั้นและเงินของคริสตจักร ก็เจ็บปวดราวกับหัวใจถูกแทงด้วยมีด เรื่องนี้กลายเป็นมลทินของฉันไปตลอด เป็นความเจ็บปวดที่ไม่มีวันสิ้นสุด ในความเป็นจริง การทนทุกข์ทางเนื้อหนังเป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และแค่อดทนก็จะผ่านไป แต่ใจที่ทรมานนั้นคงอยู่ตลอดไป ฉันรักษาเนื้อหนังแต่สูญเสียความสงบและความสุขจนหมด ฉันมีชีวิตอยู่ราวกับศพเดินได้ ฉันนึกถึงพี่น้องในคุกเหล่านั้นที่ยืนหยัดในการเป็นพยาน แม้พวกเขาต้องทนทุกข์ทางเนื้อหนังมากมาย และบางคนถึงกับถูกตำรวจทุบตีจนตาย พวกเขาก็ตายเพื่อความยุติธรรม ความตายเช่นนั้นมีคุณค่าและความหมาย และพระเจ้าทรงเห็นชอบและจดจำไว้ ฉันนึกออกว่ามีอีกแง่มุมหนึ่งที่ทำให้ฉันขายคริสตจักร นั่นคือฉันไม่ได้แยกแยะแผนการอันเจ้าเล่ห์ของตำรวจ พอได้ยินพวกเขาบอกว่าพบเงินของคริสตจักรแล้ว ฉันคิดว่า ในเมื่อพวกเขายึดเงินไปแล้ว ไม่ว่าฉันพูดอะไรออกไปก็ไม่สำคัญ ถ้าฉันพูด ฉันจะไม่ถูกทรมานต่อแล้ว ผลคือฉันสูญเสียคำพยาน ในความเป็นจริง ไม่ว่าพวกเขาจะพบเงินของคริสตจักรหรือไม่ ฉันก็ควรปิดปากเงียบไว้ สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการคือความจงรักภักดีและคำพยานของฉัน เมื่อพบสาเหตุของความล้มเหลวแล้ว ฉันจึงตั้งปณิธานว่า ในอนาคต ถ้าฉันถูกจับอีก ฉันจะไม่ขายผลประโยชน์ของคริสตจักร ต่อให้นั่นหมายถึงความตายก็ตาม คิดย้อนไปช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ฉันเลี่ยงปัญหานี้มาโดยตลอด ฉันไม่เต็มใจเผชิญกับความเป็นจริงและแก้ไขปัญหาของตัวเอง แม้ฉันเกลียดตัวเอง แต่ก็ไม่เคยรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง ฉันไม่ได้หลุดพ้นจากความหดหู่ใจ ภายใต้การนำของพระวจนะของพระเจ้า ในที่สุดฉันก็กำจัดความเหินห่างและความเข้าใจผิดระหว่างพระเจ้ากับฉันได้ ตอนนี้ พระเจ้าทรงมีพระคุณแก่ฉันให้ทำหน้าที่ให้น้ำผู้มาใหม่ และฉันควรทำงานให้น้ำตามหลักธรรม นำพี่น้องของฉันให้เข้าใจความจริง วางรากฐานหนทางที่แท้จริง และเตรียมการทำดีไว้ ตอนนี้ฉันปฏิบัติต่อการกระทำผิดของตัวเองได้ถูกต้อง และไม่เข้าใจผิดหรือระแวดระวังพระเจ้าอีกแล้ว ฉันยังเปิดใจและสามัคคีธรรมเรื่องประสบการณ์ความล้มเหลวนี้กับพี่น้องอีกด้วย ซึ่งเป็นพยานยืนยันให้พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า เมื่อเราชุมนุมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ ฉันสามัคคีธรรมอย่างกระตือรือร้น และเมื่อฉันประสบปัญหาและความลำบากในหน้าที่ ฉันแสวงหาความจริงอย่างมีสติและทบทวนตนเองได้ ด้วยการปฏิบัติระยะหนึ่ง ฉันก็พลิกกลับสภาวะของตัวเองได้ชัดเจน และพระเจ้าทรงนำฉันในการทำหน้าที่ เมื่อเห็นว่า พระเจ้าทรงไม่ทอดทิ้งฉันจากการกระทำผิดของตัวเอง และยังทรงนำและแนะฉัน นั่นยิ่งทำให้ฉันรู้ว่าการกระทำผิดไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่มี ตราบใดที่คนนั้นกลับใจอย่างจริงใจและปฏิบัติตามความจริงตามหลักธรรม พวกเขาจะได้รับความกรุณาและการนำจากพระเจ้า เช่นเดียวกับที่พระเจ้าตรัสว่า “ความปรานีและการทนยอมรับของพระเจ้านั้นหาไม่ยาก—การกลับใจที่แท้จริงของมนุษย์ต่างหากที่หายาก(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2)  การที่ฉันมีความรู้และประสบการณ์ส่วนตัวเหล่านี้ล้วนเกิดจากการนำของพระเจ้า! พระสิริจงมีแด่พระเจ้า!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การทบทวนผ่านช่วงเวลาแห่งความเจ็บป่วย

โดย สือจี้, สหรัฐอเมริกา ฉันอ่อนแอและเจ็บป่วยได้ง่ายมาตั้งแต่ฉันยังเด็กค่ะ แม่บอกว่าฉันคลอดก่อนกำหนด แล้วก็ป่วยมาตลอดตั้งแต่ออกจากครรภ์...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger