ไม่เหลวไหลอีกต่อไปแม้ฉันจะอยู่ในวัยเยาว์
อย่างที่พระวจนะของพระเจ้าตรัสว่า “หากในการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า บุคคลหนึ่งต้องการที่จะเปลี่ยนสภาพไปสู่บุคคลที่มีสภาวะเหมือนมนุษย์ พวกเขาจะต้องก้าวผ่านวิวรณ์ การตีสอน และการพิพากษาแห่งพระวจนะของพระเจ้า และในท้ายที่สุดพวกเขาจะสามารถเปลี่ยนสภาพ นี่คือเส้นทาง หากพระราชกิจไม่เป็นดังนั้นแล้ว ผู้คนก็คงจะไม่มีหนทางที่จะเปลี่ยนแปลง มันต้องทำดังนั้นทีละนิดทีละน้อย ผู้คนต้องมีประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอน และการตัดแต่งและการจัดการที่ต่อเนื่อง สิ่งทั้งหลายที่ถูกเปิดโปงภายในธรรมชาติของผู้คนจะต้องถูกเผย ผู้คนจะสามารถเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องหลังจากที่สิ่งเหล่านี้ได้รับการเปิดเผยและผู้คนเข้าใจสิ่งเหล่านี้อย่างชัดเจน มีเพียงภายหลังช่วงเวลาแห่งประสบการณ์และหลังจากเข้าใจความจริงบางอย่างแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงพอจะมีความมั่นใจที่จะยืนหยัดบ้าง” (บันทึกปาฐกถาของพระคริสต์) ตอนนี้ฉันจะสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์และความเข้าใจของฉันเองนะคะ
ฉันเริ่มเรียนกู่เจิงตอนฉันห้าขวบ และฉันก็เรียนกู่เจิงเป็นวิชาเอกที่สถาบันดนตรี หลังจากฉันเริ่มเชื่อในพระเจ้า เวลาฉันเห็นว่าพระนิเวศของพระเจ้ามีวิดีโอที่ต้องการเสียงดนตรีกู่เจิง ฉันก็จะตื่นเต้นมาก ฉันคิดว่า “ถ้าวันหนึ่งฉันได้ทำหน้าที่นี้ ฉันก็จะสามารถใช้ประโยชน์พรสวรรค์ต่างๆ ของฉันได้อย่างเต็มที่ และได้ทำดนตรีที่ไพเราะเพื่อสรรเสริญพระเจ้า”
ในเดือนพฤษภาคมปี 2019 ในที่สุดฉันก็ได้รับหน้าที่นี้ ตอนแรกที่ฉันเข้าร่วมกลุ่ม ฉันพบกับน้องสาวสองคนแล้วก็คิดว่า “สองคนนี้ได้รับเลือกเพราะมีพรสวรรค์ แต่ฉันแน่ใจว่าฝีมือของฉันเมื่อเทียบกับของพวกเธอแล้วต้องอยู่ในเกณฑ์ดีแน่” ต่อมาหลังจากฉันได้รู้จักพวกเธอ ฉันก็พบว่าทั้งสองคนไม่เคยเรียนทฤษฎีดนตรีมืออาชีพเลย และทั้งคู่ก็พูดว่าอยากเรียนรู้จากฉันมากขึ้น พอฉันได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกยอดเยี่ยม ฉันคิดว่า “ฉันได้รับเลือกเข้ากลุ่มนี้จากพี่น้องชายหญิงมากมาย และฉันรู้มากกว่าน้องๆ ที่ฉันจับคู่ด้วย ดังนั้นทักษะของฉันต้องดีเยี่ยมแน่!” หลังจากนั้น หนึ่งในน้องสาวสองคนนั้นก็พูดกับฉัน “อีกไม่กี่วันจะมีน้องสาวอีกคนเข้าร่วมกลุ่มค่ะ และฉันได้ยินว่าเธอเป็นนักเล่นกู่เจิงระดับสิบ แล้วคุณอยู่ระดับไหนคะ” ฉันคิดอย่างไม่ประทับใจนักว่า “จะอยู่ระดับไหนมันไม่สำคัญเลยสักนิด มันเป็นวิชาเอกของฉันและเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของฉัน ดังนั้นเป็นระดับสิบแล้วยังไงล่ะ สำหรับมืออาชีพแล้วระดับมันไม่บ่งบอกอะไรหรอก” ฉันก็เลยประกาศกับเธออย่างภูมิใจว่า “ฉันเป็นมืออาชีพ” ไม่กี่วันต่อมาน้องหมิงก็มาถึง เธอพูดว่าหลังจากผ่านการทดสอบระดับสิบ เธอก็ไม่ได้แตะกู่เจิงมามากกว่าสิบปีแล้ว นั่นทำให้ฉันคิดว่า “ดูเหมือนว่าฉันจะเป็นมืออาชีพคนเดียวในกลุ่มนี้นะ ในอนาคตฉันจะแสดงให้พวกเธอทุกคนเห็นว่าฉันเก่งแค่ไหน” หลังจากนั้นฉันก็สามารถแต่งเพลงเพลงหนึ่งเสร็จในสองสามวัน แต่ฉันสังเกตว่าน้องๆ ยังกำลังเรียนทฤษฎีดนตรีพื้นฐานกันอยู่เลย บางครั้งพวกเธอก็สับสนไปหมด จนฉันรู้สึกเหนือกว่าพวกเธอ ฉันรู้สึกเหมือนว่าการที่ได้ศึกษามาอย่างมืออาชีพทำให้ฉันห่างชั้นจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อฉันเห็นว่าพวกเธอไม่สามารถแต่งเพลงได้ หรือทำผิดพลาด ฉันก็รู้สึกเหมือนเป็นเรื่องธรรมชาติสำหรับฉันที่จะเริ่มทำตัวเหมือนครูในขณะที่ช่วยพวกเธอเรียนรู้
ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่งขณะที่ฉันกำลังแต่งเพลง อยู่ๆ ฉันก็ได้ยินใครบางคนเล่นกู่เจิงจากห้องข้างๆ ฉันรู้ว่าเป็นการฝึกของน้องหมิง แต่ฉันก็ระงับความรู้สึกดูถูกดูแคลนที่พลุ่งขึ้นมาในตัวฉันไม่ได้ ฉันคิดว่า “นี่น้องหมิงไม่ได้เล่นมานานเกินไปแล้วจริงๆ สินะ ฝีมือเธอไม่ดีเลย…” ฉันพยายามทนฟังเสียงนั่น แต่หลังจากสักพักใหญ่ฉันก็ทนต่อไปไม่ได้จริงๆ ฉันก็เลยไปบอกเธอว่า “คุณเล่นเสียงเพี้ยนไปหมดเลย! นี่ผ่านทดสอบระดับสิบมาได้ยังไงเนี่ย” ใบหน้าเธอแดงด้วยความอับอายทันที แล้วเธอก็พูดกับฉันอย่างประหม่าว่า “ฉันไม่ได้เล่นมานานเกินไป ฉันขาดการฝึกค่ะ คุณพอจะสอนฉันเล่นงานชิ้นนี้ได้ไหมคะ” ฉันชักสีหน้าใส่เธอและพูดว่า “นี่คงจะไม่ได้เล่นมานานมากแล้วจริงๆ สินะ!” เธอก้มหน้าไม่พูดอะไรเลย จนฉันรู้สึกผิดเล็กน้อย ฉันคิดว่าบางทีฉันอาจจะไม่ควรปฏิบัติต่อน้องสาวแบบนี้ แต่ฉันก็คิดถึงว่าตอนที่ฉันยังเรียนอยู่ ฉันพูดกับเพื่อนนักเรียนที่อ่อนวัยกว่ารุนแรงกว่านี้อีก ดังนั้นน้ำเสียงที่ฉันพูดกับเธอก็ไม่ได้แย่อะไรนัก แล้วฉันก็นั่งลงเล่นให้เธอดู แล้วก็พูดว่า “เล่นเหมือนที่ฉันเล่นให้ดูก็ใช้ได้แล้ว” หลังจากนั้น พอเธอนั่งลงเล่น ฉันก็เห็นว่ามือกับนิ้วของเธอแข็ง และเธอก็ดูประหม่า เล่นไปแค่สองสามโน้ตเพลงเธอก็พลาด ฉันก็เลยเล่นให้เธอดูอีกสองสามครั้ง แต่พอเธอเล่นพลาดอยู่นั่น ฉันก็เริ่มไม่ชอบเธอ “สมัยเรียน เวลาฉันเจอปัญหาแล้วขอให้เพื่อนนักเรียนช่วย ฉันลองแค่ครั้งสองครั้งก็เล่นถูกแล้ว ฉันเล่นให้เธอดูมาหลายครั้งแล้วนะ แล้วทำไมเธอเล่นไม่ได้ล่ะ เธอโง่เกินไปแล้ว” ฉันคิด ฉันก็เลยพูดกับเธอว่า “ถ้าฉันเล่นให้คุณดูขนาดนี้แล้วคุณยังเล่นไม่ได้อีก งั้นบอกตามตรงเลยนะว่าฉันไม่อยากสอนคุณ” เธอเงยหน้ามองฉัน แววตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง แววตาของเธอบาดฉันลึกเข้าไปถึงกระดูก ฉันรู้ตัวว่าเธอรู้สึกว่าถูกฉันบีบบังคับ ฉันทำตัวแบบนี้ได้ยังไง ทำไมฉันถึงไม่สามารถใจเย็นกว่านี้สักนิดได้ แต่แล้วฉันก็คิดว่า “ทั้งหมดที่ฉันทำก็แค่แก้ความผิดพลาดของเธอ เธออาจจะเป็นทุกข์ตอนนี้ แต่นั่นจะกระตุ้นเธอให้ปรับปรุงตัวเร็วขึ้น ดังนั้นสุดท้ายก็เป็นการช่วยเธออยู่ดี” พอฉันคิดได้แบบนั้น ฉันก็ไม่คิดมากอีก แต่หลังจากนั้น ฉันก็ค้นพบว่าน้องหมิงมีความกระตือรือร้นที่จะเล่นน้อยลงเรื่อยๆ และเธอก็เลิกถามฉัน พอฉันถามเหตุผล เธอก็บอกฉันว่า “ฉันกลัวว่าถ้าฉันถามคุณ คุณจะวิจารณ์ฉัน ฉันก็เลยไม่กล้าถามเรื่องที่ฉันไม่รู้จากคุณค่ะ ฉันรอให้คุณฝึกซ้อม ฟังจากห้องข้างๆ เรียนรู้ว่าคุณเล่นยังไง แล้วปรับปรุงฝีมือของฉันแบบนั้นดีกว่า” พอฉันได้ยินแบบนั้น มันทิ่มแทงใจฉันจริงๆ ค่ะ ฉันไม่เคยคิดจริงๆ ว่าจะทำให้เธอรู้สึกถูกบีบบังคับมากซะจนเธอกลัวที่จะถามฉัน หรือทำร้ายจิตใจเธอรุนแรงขนาดนั้น ฉันรู้สึกแย่มาก แล้วก็คิดว่า “ทั้งหมดที่ฉันต้องการก็คือช่วยให้เธอเรียนรู้เร็วขึ้น เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไงนะ” ดังนั้นฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ช่วยฉันเข้าใจปัญหาต่างๆ ของฉัน
จากนั้นฉันก็อ่านบทตอนนี้จากพระวจนะของพระเจ้า: “อุปนิสัยอันโอหังเกิดขึ้นได้อย่างไร? ก่อเกิดจากการที่ใครบางคนปรึกษาหารือกับเจ้าหรือ?(ไม่ใช่ มันมาจากธรรมชาติของฉันเอง) เช่นนั้นแล้ว ธรรมชาติของเจ้านำทางเจ้าให้มีปฏิกิริยาและการแสดงออกประเภทนี้ได้อย่างไร? ธรรมชาตินั้นถูกเปิดเผยอย่างไร? ชั่วขณะที่ใครบางคนปรึกษาหารือกับเจ้าเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง เจ้าก็กลายเป็นไม่มีเหตุผลทันที สูญเสียสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของเจ้า และไม่สามารถใช้ดุลพินิจอันถูกต้องแม่นยำได้อีกต่อไป เจ้าคิดว่า 'เธอถามฉันเกี่ยวกับการนี้ ฉันเข้าใจการนี้! ฉันรู้เกี่ยวกับการนี้! ฉันจับใจความการนี้! ฉันมักจะพบเจอเรื่องนี้บ่อยๆ และคุ้นเคยกับเรื่องนี้เหลือเกิน สำหรับฉันแล้วมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด' เมื่อเจ้าคิดดังนี้ การใช้เหตุผลของเจ้าเป็นปกติหรือผิดปกติกันแน่? เมื่ออุปนิสัยที่เสื่อมทรามใดๆ ถูกเปิดเผย การใช้เหตุผลของบุคคลหนึ่งก็กลายเป็นผิดปกติ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญกับประเด็นปัญหาใด— แม้กระทั่งเมื่อใครบางคนปรึกษาหารือกับเจ้า—เจ้าก็ต้องไม่มีท่าทีที่หยิ่งยโส การใช้เหตุผลของเจ้าต้องยังคงปกติ” (บันทึกปาฐกถาของพระคริสต์) “จงอย่าคิดว่าเจ้าเป็นฝ่ายถูกเสมอ จงใช้ความแข็งแกร่งของผู้อื่นมาชดเชยความขาดตกบกพร่องของตัวเจ้าเอง จงเฝ้าดูว่าผู้อื่นใช้ชีวิตตามวจนะของพระเจ้าอย่างไร และจงมองเห็นว่าชีวิต การกระทำ และวาทะของพวกเขาควรค่าแก่การเอาอย่างหรือไม่ หากเจ้าถือว่าผู้อื่นด้อยกว่าเจ้า เจ้าก็คิดว่าเจ้าเป็นฝ่ายถูกเสมอ ทะนงตน และไม่เป็นประโยชน์ต่อใคร” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 22) การอ่านพระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันรู้สึกแย่และเป็นทุกข์ พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงความคิดและการกระทำทุกอย่างของฉัน และตอนนั้นเองที่ฉันตระหนักว่าพฤติกรรมแบบนั้นเป็นการเปิดเผยอุปนิสัยหยิ่งยโสของฉัน ฉันคิดว่าเพราะฉันผ่านการศึกษาดนตรีมาและมีความรู้แบบมืออาชีพอยู่บ้าง ฉันจึงมีความพิเศษ ฉันคิดว่าฉันเปี่ยมพรสวรรค์อย่างมืออาชีพ เวลาน้องๆ ไม่เข้าใจอะไรแล้วถามฉัน ฉันก็ยิ่งคิดว่าด้วยทั้งทักษะและความรู้อย่างมืออาชีพ ฉันโดดเด่นกว่าคนอื่น ฉันรู้สึกว่าฉันเหนือกว่า ฉันจึงตั้งตัวเป็นครู และใช้ทัศนคติและน้ำเสียงแบบเหนือกว่าของครูเวลาฉันสอนน้องๆ พอฉันได้ยินว่าน้องหมิงเล่นไม่ดีนัก ฉันไม่เพียงดูถูกเธอเท่านั้น แต่ฉันตำหนิเธอทันทีเลยด้วย ฉันไม่คำนึงถึงความรู้สึกของเธอเลย ฉันเล่นให้เธอดูหลายครั้ง แต่พอฉันยังได้ยินเธอเล่นผิดอยู่ ฉันก็พูดจารุนแรงจนเธอรู้สึกว่าถูกบีบบังคับเกินกว่าจะฝึกต่อไปอีก เธอกลัวมากเสียจนเลือกศึกษาเองอย่างลับๆ แทนที่จะมาถามฉัน ฉันกลายเป็นคนหยิ่งยโสและไร้เหตุผลขนาดนี้ได้ยังไงกัน ฉันหยิ่งยโสมากจริงๆ เสียจนสูญเสียความเป็นมนุษย์ที่ปกติทั้งหมด เมื่อพิจารณาว่าเธอไม่ได้เล่นมามากกว่าสิบปี ก็เป็นเรื่องปกติที่เธอจะเงอะงะบ้างและเรียนรู้อย่างช้าๆ เมื่อเธอเริ่มเล่นอีกครั้ง แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าเธอตั้งใจจะเรียนรู้ใหม่อีกครั้งและฝึกฝนอย่างหนัก เพื่อทำให้หน้าที่นี้ลุล่วงเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมของตัวเธอ แทนที่จะเห็นสิ่งนั้นในตัวเธอ ฉันกลับดูถูกดูแคลนข้อบกพร่องของเธอ และทำลายความตั้งใจที่จะพยายามของเธอ ฉันหยิ่งยโสและขาดความเป็นมนุษย์แบบนั้นได้ยังไงนะ ยิ่งฉันคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็ยิ่งตระหนักว่าอุปนิสัยเสื่อมทรามของฉันนั้นร้ายแรงแค่ไหน ฉันต้องกลับใจต่อพระเจ้า ฉันไม่สามารถเป็นแบบนั้นต่อไปได้ ดังนั้นฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า ชีวิตของข้าพระองค์ติดอยู่ในอุปนิสัยหยิ่งยโสของข้าพระองค์ และด้วยการดูถูกและบีบบังคับน้องสาวของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็ได้ทำให้เธอเจ็บปวดอย่างมาก ตอนนี้ ข้าพระองค์รู้ตัวถึงสิ่งที่ได้ทำลงไป และต้องการกลับใจต่อพระองค์ นอกจากนี้ ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงนำให้ข้าพระองค์ทิ้งอุปนิสัยหยิ่งยโสและทะนงตัวของข้าพระองค์ เพื่อเข้าสู่ความจริง และใช้ชีวิตความเป็นมนุษย์ที่ปกติด้วย”
หลังจากนั้น ฉันก็ตั้งใจเปิดอกพูดกับทุกคนในการชุมนุมเกี่ยวกับความเสื่อมทรามที่ฉันได้เปิดเผยมา และฉันขอโทษน้องหมิง ฉันพูดว่า “ฉันทึกทักเอาว่า เพราะฉันได้ศึกษาดนตรีอย่างมืออาชีพ ฉันจึงเก่งกว่าพวกคุณทุกคน ดังนั้นเวลาฉันสอนคุณเล่น ฉันจึงใช้น้ำเสียงเสียดสี ดูถูก และตำหนิในทัศนคติที่ฉันมีต่อคุณ ฉันขอโทษที่ทำให้คุณเจ็บปวด ตั้งแต่วันนี้ไป ฉันต้องการเข้าสู่ความจริงแห่งการใช้ชีวิตความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ฉันไม่อยากให้คุณรู้สึกว่าฉันบีบบังคับอีกต่อไป และถ้าคุณเห็นฉันเปิดเผยความเสื่อมทราม ฉันก็อยากให้คุณช่วยชี้ให้ฉันเห็นด้วย” หลังจากพูดแบบนั้น ฉันก็ต้องแปลกใจ เมื่อน้องหมิงไม่เพียงไม่ถือโกรธฉันเท่านั้น แต่พูดด้วยว่าเธอหวังว่าฉันจะช่วยเธอฝึกฝนทักษะมากขึ้น เมื่อฉันเห็นว่าหลังจากทำร้ายและบีบบังคับน้องสาวของฉันอย่างมาก เธอกลับไม่ถือโกรธฉัน ฉันก็ยิ่งรู้สึกละอายใจมากขึ้น ฉันคิดว่า “ในอนาคต ฉันอยากเป็นคู่หูที่ดีต่อเธอและทำหน้าที่นี้ให้ลุล่วงด้วยกัน” หลังจากนั้น เมื่อฉันเห็นน้องหมิงเล่นพลาด บางครั้งฉันก็ยังดูแคลนเธออยู่ แต่ฉันก็สามารถรู้ตัวในทันทีว่าฉันกำลังเปิดเผยอุปนิสัยหยิ่งยโสของฉัน ในเวลานั้นฉันก็สามารถอธิษฐานต่อพระเจ้า ปรับเปลี่ยนทัศนคติของฉัน เลิกวางท่าเป็นครู และช่วยเธอเรียนรู้อย่างใจเย็นและเป็นมิตร ผ่านไปสักพัก ฉันก็ตระหนักว่าความสัมพันธ์ของฉันกับเธอเป็นปกติมากขึ้น และไม่ว่าฉันจะสอนอะไร เธอก็เรียนรู้ได้ไวมาก มีหลายเพลงที่สมัยเรียนฉันต้องฝึกเป็นเดือนๆ แต่เธอเล่นได้ในเดือนเดียว เราทั้งคู่ต่างตื่นเต้นและขอบคุณพระเจ้าสำหรับการทรงนำของพระองค์
แต่ถึงจะมีประสบการณ์นั้น และข้อเท็จจริงที่ว่าสภาวะของฉันดีขึ้นแล้ว และภายนอกฉันไม่หยิ่งยโสเหมือนก่อน แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจหรือเกลียดชัง อุปนิสัยหยิ่งยโสและทะนงตัวแบบซาตานของฉันมากนัก และดังนั้นเมื่อเกิดสภาพการณ์อะไรมากระตุ้น ปัญหาเดิมๆ ก็คำรามกลับมา หลังจากนั้น กลุ่มของเราก็เริ่มศึกษาวิธีการคำนวณระดับเสียง คืนหนึ่ง ฉันเห็นว่าการคำนวณระดับเสียงของน้องหมิงช้าเกินไป ฉันก็เลยอยากสอนวิธีการที่เรียบง่ายกว่าให้แก่เธอ พี่สาวฮันและพี่สาวเสี่ยวยุ่ยก็มาฟังเราด้วย และไม่ช้า พี่เสี่ยวยุ่ยและน้องหมิงก็สามารถคำนวณระดับเสียงโดยใช้วิธีที่ฉันสอนพวกเธอได้ ฉันอดไม่ได้ที่จะยินดีกับตัวเองตอนที่เห็นว่าพวกเธอทำได้ ฉันคิดว่า “ฉันนี่มีความสามารถในการเป็นมืออาชีพจริงๆ” ฉันรู้สึกเหมือนไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าพูดและสอนพวกเธอต่อไป แต่ฉันสังเกตว่าพี่ฮันไม่ได้คำนวณด้วยวิธีของฉัน และเธอทำช้า ฉันคิดว่า “ถ้าเธอคำนวณด้วยตัวเอง เธอจะสามารถคำนวณได้กี่ระดับเสียงในหนึ่งชั่วโมง เธอกำลังเสียเวลานะ อีกสองคนทำตามที่ฉันสอน และพวกเธอก็เร็วกว่ามาก” ดังนั้นฉันจึงพูดกับพี่ฮันว่า “ลองทำตามที่ฉันสอนสิคะ” เธอสีหน้าเจื่อนลงแล้วพูดว่า เธอรู้วิธีคำนวณระดับเสียงก่อนจะได้ยินวิธีที่ฉันสอน เพราะเธอเรียนรู้วิธีการอื่นมาแล้ว แต่หลังจากได้ยินฉันสอน เธอก็ไม่ได้สามารถทำได้อีก และตอนนี้เธอรู้สึกสับสนไปหมด ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกดูถูกเธอ ฉันคิดว่า “วิธีของฉันง่ายจะตาย เธอไม่เข้าใจได้ยังไง วันนี้ฉันจะสอนวิธีการนี้ให้เธอ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะทำไม่ได้!” ดังนั้นฉันก็เลยดึงเก้าอี้มานั่งข้างๆ เธอ และเริ่มใช้มือฉันอธิบายวิธีการคำนวณ ฉันสอนซ้ำหลายครั้ง แต่เธอก็มีสีหน้าสับสนอยู่นั่นเอง ดังนั้นฉันจึงข่มอารมณ์แล้วพยายามอธิบายไปอีกครึ่งชั่วโมง แต่หลังจากนั้น ฉันก็เห็นว่าเธอดูอับอายแค่ไหน และฉันก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูก ฉันคิดว่า “บางทีอาจจะสายเกินไป เธออาจจะเหนื่อยเกินไปสำหรับเรื่องนี้” พอคิดแบบนั้นฉันก็ให้เธอไปพัก
กลางดึกคืนนั้นฉันตื่นขึ้นมาเห็นพี่ฮันยังคำนวณระดับเสียงอยู่ ฉันก็อึ้งไปค่ะ ฉันถามเธอว่าทำไมยังมัวคำนวณไม่หลับไม่นอนอีก เธอพูดด้วยน้ำเสียงขัดข้องใจว่า “ที่จริงแล้ว ฉันยังไม่เข้าใจวิธีที่คุณสอนฉันค่ะ ฉันคำนวณระดับเสียงโดยใช้วิธีของฉันได้ แต่มันช้าไปนิด ฉันคิดว่าบางทีฉันควรใช้วิธีการของฉันไปก่อน” พอฉันเห็นว่าพี่สาวของฉันยังฝึกหนักจนถึงดึกดื่น และเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเธอตอนพูดกับฉัน ฉันก็รู้สึกผิดเล็กน้อย เพราะตอนนั้นเองที่ฉันรู้ตัวว่า “ฉันบีบบังคับพี่น้องหญิงของฉันอีกแล้วใช่ไหมนี่”
ดังนั้นในการชุมนุมวันรุ่งขึ้น ฉันขอให้ทุกคนเปิดอกพูดถึงข้อบกพร่องของฉัน พี่น้องหญิงพูดว่าฉันชอบพูดจาวางท่ารอบรู้ตลอดเวลา พูดว่าฉันหยิ่งยโสเกินไป พูดว่าฉันทำให้พวกเธอรู้สึกว่าถูกบีบบังคับ และพูดว่าฉันยืนกรานให้พวกเธอทำตามวิธีของฉันเสมอ พี่น้องหญิงคนหนึ่งพูดว่าฉันพูดรุนแรงเกินไปและทำให้คนอื่นไม่สบายใจเสมอ พอฉันได้ยินพี่น้องหญิงของฉันพูดสิ่งเหล่านี้ ฉันก็รู้สึกจิตใจพร่าเลือนใบหน้าร้อนผ่าว ยากมากที่จะยอมรับ ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ ฉันคิดว่า “ฉันอาจจะหยิ่งยโสอยู่บ้างแต่ฉันก็แก้ไขอยู่นะ มันไม่น่าเลวร้ายเท่าที่พวกเธอพูดมาได้หรอก” แต่ฉันก็คิดไตร่ตรองอีกนิดแล้วก็ตระหนัก ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะพระเจ้าทรงอนุญาต และฉันไม่มีสิทธิ์แก้ตัวหรือโต้เถียง การทำแบบนั้นจะเป็นการไม่ยอมรับความจริง และยิ่งไปกว่านั้น ฉันเป็นคนขอให้พี่น้องหญิงชี้ข้อบกพร่องของฉัน พวกเธอชี้ให้เห็นด้วยความจริงใจ และถ้าฉันไม่ยอมรับความเห็นพวกนี้ มันจะไม่ไร้ความหมายหรอกเหรอ พอฉันเข้าใจทั้งหมดนี้ ฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ขอให้พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้ฉันยอมรับและเชื่อฟังสิ่งที่พี่น้องหญิงของฉันพูดขึ้นมา หลังจากอธิษฐาน ฉันรู้สึกสงบขึ้นเล็กน้อย และฉันพูดกับพี่น้องหญิงของฉันว่าฉันจะทบทวนปัญหาของตัวเอง
ต่อมา ระหว่างการอุทิศตนของฉัน ฉันได้อ่านบทตอนนี้จากพระวจนะของพระเจ้า: “หากเจ้าครองความจริงภายในเจ้าจริงๆ เส้นทางที่เจ้าเดินนั้นย่อมจะเป็นเส้นทางที่ถูกต้องไปเอง หากปราศจากความจริง มันย่อมง่ายดายที่จะทำชั่ว และเจ้าจะทำมันไปทั้งที่เจ้าไม่ตั้งใจ ตัวอย่างเช่น หากเจ้ามีความโอหังและความทะนงตน เจ้าก็คงจะพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเลี่ยงการไม่เยาะเย้ยท้าทายพระเจ้า เจ้าคงจะรู้สึกถูกบีบให้จำยอมเยาะเย้ยท้าทายพระองค์ เจ้าคงจะไม่ทำโดยมีจุดประสงค์ เจ้าคงจะทำไปภายใต้การครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของเจ้า ความโอหังและความทะนงตนของเจ้าคงจะทำให้เจ้าดูแคลนพระเจ้า และเห็นพระองค์ทรงไร้ค่าไม่สำคัญ สิ่งเหล่านั้นคงจะเป็นเหตุให้เจ้ายกย่องตัวเจ้าเอง อวดแสดงตัวเองอยู่เป็นนิตย์ และในที่สุดก็นั่งในที่ของพระเจ้า และให้คำพยานสำหรับตัวเจ้าเอง ในตอนท้าย เจ้าก็คงจะแปรแนวคิดของเจ้าเอง การคิดของเจ้าเอง และมโนคติที่หลงผิดของตัวเจ้าเอง ไปเป็นความจริงเพื่อที่จะได้รับการนม้สการ จงดูเถิดว่า ผู้คนทำความชั่วไปมากเพียงใดภายใต้ภาวะครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของพวกเขา!” (บันทึกปาฐกถาของพระคริสต์) เมื่อฉันเห็นสิ่งที่เปิดเผยในพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เข้าใจในที่สุด ว่าสาเหตุของความหยิ่งยโสและความทะนงตัวที่ฉันได้เปิดเผยและวิธีที่ฉันบีบบังคับพี่น้องหญิงของฉัน ก็คือฉันยังมีธรรมชาติหยิ่งยโสแบบซาตานภายในตัวฉัน การใช้ชีวิตโดยธรรมชาติหยิ่งยโสนั้น ฉันคิดเสมอว่าฉันดีกว่าคนอื่น ดังนั้นฉันจึงต้องการเป็นคนชี้ขาดในทุกเรื่อง โดยเฉพาะเวลาที่ฉันเห็นว่าทักษะอย่างมืออาชีพของฉันนั้นดีกว่าคนอื่น ฉันยืนเหนือทุกคนและทำตัวเหมือนครูคนหนึ่ง และเรียกร้องให้ทุกคนฟังฉันและทำตามฉัน ในสภาพการณ์ที่เหมาะเจาะ ฉันจะอวดความรู้และทักษะของตัวเองอย่างไม่ได้ตั้งใจ ใช้มุมมองต่างๆ ของฉันเป็นเกณฑ์ให้คนอื่นทำตาม และถึงขนาดพิจารณาว่ามุมมองเหล่านั้นเป็นความจริงและเรียกร้องว่าคนอื่นต้องเชื่อฟังฉันเท่านั้น เมื่อฉันเห็นว่าพี่ฮันไม่ได้ใช้วิธีการของฉันในการคำนวณระดับเสียง ฉันก็โกรธและกดดันเธอทันที ฉันยืนกรานให้เธอเปลี่ยนวิธีและฟังฉัน ฉันไม่เคารพความรู้สึกของเธอเลย และฉันไม่คำนึงถึงอุปสรรคที่แท้จริงของเธอ ฉันไม่เหลือพื้นที่ให้พี่น้องหญิงได้สามัคคีธรรมหรือหารือสิ่งต่างๆ กับฉันด้วยซ้ำ ฉันหยิ่งยโสเสียจนสูญเสียเหตุผลทั้งหมด สุดท้าย ฉันก็ไม่ได้ช่วยพี่น้องหญิงของฉันในกลุ่มเลย ทั้งหมดที่ฉันทำคือทำร้ายจิตใจและบีบบังคับพวกเธอ ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำหน้าที่ของพวกเธอ และเข้าไปแทรกแซงงานของทุกคน ตอนนั้นเองที่ฉันรู้ตัวว่าการใช้ชีวิตตามอุปนิสัยหยิ่งยโสไม่เพียงแค่ขัดขวางฉันจากการใช้ชีวิตตามลักษณะของมนุษย์เท่านั้น มันยังรบกวนหน้าที่ของคนอื่นและขัดขวางงานของคริสตจักรอีกด้วย ฉันพูดได้ยังไงว่าฉันกำลังทำหน้าที่ของตัวเองให้ลุล่วง ฉันกำลังทำชั่วและต่อต้านพระเจ้าอยู่ไม่ใช่เหรอ ถ้าฉันไม่กลับใจ ไม่ช้าไม่นานพระเจ้าต้องทรงปฏิเสธและทรงกำจัดฉันแน่! การที่พี่น้องหญิงของฉันสามารถช่วยฉันโดยชี้ให้เห็นสิ่งเหล่านี้เป็นการที่พระเจ้าทรงคุ้มครองฉันจริงๆ หากไม่มีพวกเขา ฉันก็คงดำเนินชีวิตด้วยอุปนิสัยหยิ่งยโสต่อไป และไม่รู้เลยว่าฉันอาจจะทำเรื่องชั่วๆ มากแค่ไหน
หลังจากนั้น ในการอุทิศตนของฉัน ฉันก็เจออีกบทตอนหนึ่งจากพระวจนะของพระเจ้า: “พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ ได้ทรงให้ลมปราณแห่งชีวิตแก่เขา และยังได้ทรงให้พระปรีชาญาณของพระองค์ พระปรีชาสามารถของพระองค์ และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นบางส่วนแก่เขาอีกด้วย หลังจากพระเจ้าได้ทรงให้สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแก่มนุษย์ มนุษย์ก็สามารถทำบางสิ่งได้โดยอิสระ และคิดด้วยตัวเองได้ หากสิ่งที่มนุษย์คิดขึ้นและทำเป็นสิ่งที่ดีในสายพระเนตรของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็ทรงยอมรับและไม่ทรงก้าวก่าย หากสิ่งที่มนุษย์ทำนั้นถูกต้อง พระเจ้าก็จะทรงปล่อยให้คงอยู่ ดังนั้น วลีที่ว่า 'ชายนั้นตั้งชื่อสัตว์ทุกชนิดที่มีชีวิตว่าอย่างไร สัตว์นั้นก็มีชื่ออย่างนั้น' บ่งบอกอะไร? วลีนี้บ่งบอกว่าพระเจ้าไม่ทรงเห็นสมควรที่จะเปลี่ยนแปลงชื่อใดๆ ที่ให้กับสัตว์ต่างๆ ที่มีชีวิตเหล่านั้น ชื่อใดก็ตามที่อาดัมเรียกสิ่งมีชีวิต พระเจ้าจะตรัสว่า 'เป็นตามนั้น' เพื่อยืนยันชื่อของสิ่งมีชีวิตนั้น พระเจ้าได้ทรงแสดงข้อคิดเห็นใดในเรื่องนี้หรือไม่? ไม่ พระองค์ไม่ได้ทรงทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเจ้าได้รับรู้อะไรบ้างจากการนี้? พระเจ้าได้ทรงให้สติปัญญาแก่มนุษย์ และมนุษย์ได้ใช้สติปัญญาที่พระเจ้าได้ทรงให้เพื่อทำสิ่งต่างๆ หากสิ่งที่มนุษย์ทำนั้นเป็นด้านบวกในสายพระเนตรของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะทรงยืนยัน รับรอง และยอมรับ โดยปราศจากการพิพากษาหรือการวิจารณ์ใดๆ นี่คือบางสิ่งที่ไม่มีบุคคล หรือวิญญาณชั่วใด หรือซาตานสามารถทำได้” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1) ฉันเห็นว่าในแก่นแท้จริงของพระเจ้าไม่มีความหยิ่งยโส ความทะนงตัว หรือความถือดีแม้แต่นิดเดียว หลังจากอดัมตั้งชื่อให้สัตว์ทั้งปวง พระเจ้าทรงเห็นชอบตามนั้นและใช้ชื่อเหล่านั้นโดยไม่มีความไม่เห็นด้วยเลย พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง พระปรีชาญาณของพระเจ้าไม่มีปัญญาของมนุษย์ใดเปรียบได้ แต่พระเจ้ากลับไม่ทรงอวดตัวหรือบังคับให้ผู้อื่นฟังพระองค์ แต่พระองค์กลับให้พื้นที่แก่ผู้คนและอนุญาตให้เรามีอิสรภาพ และตราบเท่าที่เราทำสิ่งที่ดี พระองค์ก็ไม่ทรงแทรกแซง เมื่อฉันคิดถึงเรื่องนั้น ฉันก็รู้สึกละอาย ในปริมาณที่น้อยกว่าเศษฝุ่นผงในพระเนตรของพระเจ้า แต่ฉันก็ยังพยายามใช้ประโยชน์จากความรู้อย่างมืออาชีพและพรสวรรค์ของฉันที่พระเจ้าประทานให้ และวางตัวเหนือผู้อื่น อวดตัว และดูหมิ่นผู้อื่น ฉันยังยืนกรานให้คนอื่นฟังฉัน จนถึงจุดที่แม้แต่น้ำเสียงของฉันก็เปลี่ยนไป ตอนนั้นฉันหยิ่งยโสเกินไปจริงๆ พี่สาวของฉันสามารถทำหน้าที่ของเธอให้ลุล่วงได้สบายๆ โดยใช้วิธีการที่เธอรู้อยู่แล้ว แต่ฉันบังคับให้เธอใช้วิธีการของฉันและไม่มีพื้นที่ให้เธอคิดอย่างเป็นอิสระ ฉันทั้งวางอำนาจและเผด็จการ ฉันไร้เหตุผลขนาดนั้นได้ยังไงนะ ฉันใช้ชีวิตทั้งหมดตามอุปนิสัยแบบซาตาน และมันน่าเกลียดจริงๆ ฉันตระหนักว่าไม่ว่าฉันจะเก่งหรือมีพรสวรรค์แค่ไหน ถ้าฉันไม่ปฏิบัติความจริงและหรือเปลี่ยนอุปนิสัยแบบซาตานทั้งหลายของฉัน ไม่ช้าก็เร็ว ฉันต้องถูกพระเจ้าทรงปฏิเสธและกำจัดแน่ เมื่อฉันคิดถึงเรื่องนั้น ฉันก็กลัวเล็กน้อย และยังรังเกียจและเกลียดชังตัวเอง ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า พูดว่าฉันจะกลับใจและปฏิบัติความจริง และฉันจะไม่ใช้ชีวิตตามอุปนิสัยหยิ่งยโสของฉันอีกต่อไป
หลังจากนั้นฉันก็ได้อ่านสองบทตอนจากพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งให้เส้นทางแก่ฉันว่าฉันจะปล่อยวางตัวเองและทิ้งอุปนิสัยหยิ่งยโสของตัวเองได้ยังไง “จงอย่าวางโต ต่อให้เจ้ามีทักษะอย่างมืออาชีพมากที่สุด หรือเจ้ารู้สึกว่าคุณภาพของเจ้าดีเลิศที่สุดในหมู่คนทั้งหลายที่นี่ เจ้าสามารถจัดการกับงานได้ตามลำพังหรือ? ต่อให้เจ้ามีสถานภาพสูงที่สุด เจ้าสามารถจัดการกับงานได้ด้วยตัวคนเดียวหรือ? เจ้าไม่สามารถหรอกหากปราศจากความช่วยเหลือของทุกคน เพราะฉะนั้น ไม่มีผู้ใดควรโอหังและไม่มีผู้ใดควรปรารถนาที่จะกระทำการคนเดียว คนเราต้องกลืนความเย่อหยิ่งของตน ปล่อยความคิดและทรรศนะของตนเองทิ้งไป และทำงานอย่างปรองดองกับหมู่คณะ เหล่านี้คือผู้คนที่ปฏิบัติความจริงและครองสภาวะความเป็นมนุษย์ พระเจ้าทรงรักผู้คนเช่นนี้ และเฉพาะพวกเขาเท่านั้นที่สามารถอุทิศตนในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา เฉพาะการนี้อย่างเดียวก็เป็นการสำแดงการเฝ้าเดี่ยวแล้ว” (บันทึกปาฐกถาของพระคริสต์) “พระเจ้าประทานของขวัญแก่มนุษย์โดยประทานทักษะพิเศษ ตลอดจนเชาวน์กับปัญญาแก่พวกเขา มนุษย์ควรใช้สิ่งเหล่านี้อย่างไรเล่า? เจ้าต้องมอบอุทิศทักษะพิเศษของเจ้า ของประทานของเจ้า เชาวน์และปัญญาของเจ้าให้แก่หน้าที่ของเจ้า เจ้าต้องใช้หัวใจของเจ้าและใช้สมองของเจ้าในการนำทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ารู้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าเข้าใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าสามารถสัมฤทธิ์ผล และทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าคิด มาปรับใช้กับหน้าที่ของเจ้า โดยการทำดังนี้ เจ้าย่อมจะได้รับพระพร” (บันทึกปาฐกถาของพระคริสต์) การไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันเข้าใจ ว่าพระเจ้าประทานพรสวรรค์แก่ฉันและกำหนดชะตากรรมให้ฉันศึกษาความรู้ทางอาชีพดนตรี ดังนั้นฉันควรใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อทำหน้าที่ของฉันให้ลุล่วง ไม่ใช่เป็นข้อได้เปรียบเพื่อทำตัวหยิ่งยโสและภูมิใจ ฉันตระหนักว่าทุกคนมีจุดแข็งและข้อบกพร่องของตัวเอง และไม่ว่าฉันจะเก่งดนตรีแค่ไหน ฉันก็ไม่มีทางเก่งไปทุกเรื่องได้ อีกทั้งไม่ได้แปลว่าฉันมีความเป็นจริงของความจริง ฉันตระหนักว่าฉันต้องทำงานกับพี่น้องชายหญิงเพื่อที่เราจะสามารถชดเชยข้อบกพร่องของกันและกันได้ และทำงานเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเขาเพื่อสร้างงานต่างๆ ที่เป็นคำพยานแด่พระเจ้า เพียงการทำแบบนี้ที่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า
หลังจากนั้น เมื่อฉันเล่นกู่เจิงและเรียนรู้ทักษะต่างๆ กับพี่น้องหญิงของฉัน ถ้าฉันเจอจุดที่พวกเธอจำเป็นต้องปรับปรุง ฉันจะตั้งใจอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อขอความเข้มแข็งที่จะละทิ้งตัวฉันเองและสอนพวกเธออย่างใจเย็น และฉันสามารถเรียนรู้จากจุดแข็งที่พวกเธอมีด้วยเช่นกัน หลังจากนั้นพวกเธอก็ไม่รู้สึกว่าถูกฉันบีบบังคับอีกต่อไป และสามารถใช้พรสวรรค์ของตัวเองในหน้าที่ของพวกเธอได้ และรู้สึกเป็นอิสระมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป ด้วยการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราผลิตงานประพันธ์เร็วขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก และคุณภาพก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ต่อมา น้องสาวคนหนึ่งซึ่งไม่เคยศึกษาทฤษฎีดนตรีก็มาเข้ากลุ่มของเรา ดังนั้นเพื่อช่วยให้เธอเรียนรู้และชำนาญให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ฉันได้ออกแบบบทเรียนให้เธอซึ่งเริ่มจากหัวข้อพื้นฐานไปจนถึงระดับสูง ฉันคิดว่าตราบใดที่เธอทำตามบทเรียน เธอจะสามารถเรียนรู้ทั้งหมดได้ในเวลารวดเร็วแน่ แต่วันหนึ่ง เธอก็มาถามฉันเกี่ยวกับบางเรื่องที่เธอไม่เข้าใจ และเมื่อฉันรู้ว่าคำถามของเธอไม่มีอยู่ตรงไหนในบทเรียนที่ฉันออกแบบเลย ฉันก็เริ่มรู้สึกอึดอัดและคิดว่า “ฉันออกแบบบทเรียนที่ดีขนาดนี้ให้เธอ แต่เธอกลับไม่ทำตาม และยังไปดูเนื้อหาอื่นแทน ถ้าเธอศึกษาแบบนี้ เมื่อไหร่เธอถึงจะเก่งขึ้นล่ะ นี่เธอสงสัยในความเป็นมืออาชีพของฉันอยู่ไม่ใช่เหรอ” พอขบวนความคิดของฉันมาถึงจุดนี้ ฉันก็จำได้ทันทีว่านี่เป็นอุปนิสัยหยิ่งยโสของฉันแสดงตัวขึ้นมาอีกแล้ว ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าและละทิ้งตัวเองทันที ฉันคิดถึงว่าฉันเคยทำสิ่งต่างๆ ด้วยการพึ่งพาอุปนิสัยที่หยิ่งยโสของฉัน และทำให้พี่น้องหญิงในกลุ่มของฉันรู้สึกว่าถูกบีบบังคับอย่างมากมายยังไง ครั้งนี้ ฉันรู้ว่าฉันต้องเคารพความคิดเห็นของเธอ ฉันตัดสินใจให้เธอศึกษาตามความเร็วของเธอเองและด้วยวิธีการของเธอเอง แทนที่จะบังคับให้เธอทำสิ่งที่ฉันคิดว่าดีที่สุด หลังจากนั้น ขณะที่เราสองคนกำลังทำงานประพันธ์ชิ้นหนึ่ง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเจอจุดที่ความเห็นหรือความคิดของเราไม่ตรงกัน ฉันก็จะตั้งสติปล่อยวางตัวเอง แล้วก็หารือสิ่งต่างๆ กับเธอ ในที่สุด หนึ่งสัปดาห์ต่อมา งานประพันธ์ของเราก็เสร็จ และฉันรู้ว่านี่เป็นการทรงนำและพระพรของพระเจ้าอย่างแท้จริง เป็นไปตามที่พระวจนะของพระเจ้าตรัสว่า “ยิ่งเจ้านำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งมีความจริงมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเจ้านำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งครองความรักของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น และยิ่งเจ้านำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติมากขึ้นเท่าใด พระเจ้าก็ยิ่งทรงอวยพรเจ้ามากขึ้นเท่านั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่รักพระเจ้าจะดำเนินชีวิตภายในความสว่างแห่งพระองค์ตลอดกาล)
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ