พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การเข้าสู่ชีวิต | บทตัดตอน 561

วันที่ 30 เดือน 09 ปี 2021

มวลมนุษย์ทั้งปวงได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม และธรรมชาติของมนุษย์ก็คือการทรยศพระเจ้า อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางพวกมนุษย์ผู้ที่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม มีบางคนที่สามารถนบนอบต่อพระราชกิจของพระเจ้าและยอมรับความจริงได้ เหล่านี้คือบรรดาผู้ที่สามารถได้มาซึ่งความจริงและสัมฤทธิ์การแปลงสภาพในอุปนิสัย ยังมีพวกที่ไม่มุ่งเน้นไปที่การแสวงหาความจริงด้วยเช่นกัน พวกเขาพึงพอใจกับเพียงแค่การเข้าใจคำสอน พวกเขาได้ยินคำสอนที่ดีและรักษาคำสอนนั้นไว้ และหลังจากที่เข้าใจคำสอนนั้นแล้ว พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้—จนถึงจุดหนึ่ง ผู้คนเหล่านี้ทำสิ่งที่ถูกบอกและมีสภาวะความเป็นมนุษย์แบบครึ่งๆ กลางๆ พวกเขาเต็มใจในระดับหนึ่งที่จะสละ ทอดทิ้งโลกียวิสัย และสู้ทนความทุกข์ อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่จริงจังตั้งใจในเรื่องของความจริง พวกเขาเชื่อว่าการที่พวกเขาไม่กระทำบาปก็เพียงพอแล้ว และไร้ความสามารถอยู่เรื่อยไปในอันที่จะเข้าใจแก่นแท้ของความจริง หากผู้คนเช่นนั้นสามารถตั้งมั่นได้ในที่สุด เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็สามารถได้รับการละเว้นด้วยเช่นกัน แต่พวกเขาก็ไม่สามารถให้อุปนิสัยของพวกเขาแปลงสภาพได้ หากเจ้าปรารถนาที่จะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์จากความเสื่อมทราม และก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของชีวิตเจ้าแล้วไซร้ เจ้าก็ต้องมีความรักหนึ่งให้กับความจริงและมีความสามารถที่จะยอมรับความจริงได้ การยอมรับความจริงหมายถึงสิ่งใดหรือ? การยอมรับความจริงบ่งชี้ว่า ไม่สำคัญว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เจ้ามีนั้นเป็นจำพวกใด หรือพิษใดบ้างของพญานาคใหญ่สีแดงที่อยู่ในธรรมชาติของเจ้า แต่เมื่อการนั้นถูกเปิดเผยโดยพระวจนะของพระเจ้า เจ้าก็ยอมรับรู้การนั้นและนบนอบต่อพระวจนะเหล่านี้ เจ้ายอมรับพระวจนะเหล่านี้อย่างปราศจากเงื่อนไข ปราศจากการสร้างข้อแก้ตัวอันใด หรือการลองพยายามที่จะเลือกเฟ้นเอาเฉพาะที่ถูกใจ และเจ้ามารู้จักตัวเองบนพื้นฐานของสิ่งที่พระองค์ตรัส นี่คือความหมายของการยอมรับพระวจนะของพระเจ้า ไม่สำคัญว่าพระองค์ตรัสสิ่งใด ไม่สำคัญว่าถ้อยดำรัสของพระองค์อาจจะเสียดแทงหัวใจของเจ้ามากเพียงใด และไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงใช้พระวจนะใด เจ้าก็สามารถยอมรับพระวจนะเหล่านั้นได้ตราบที่สิ่งที่พระองค์ตรัสนั้นเป็นความจริง และเจ้าสามารถยอมรับรู้พระวจนะเหล่านั้นได้ตราบที่พระวจนะเหล่านั้นคล้อยตามความจริง เจ้าสามารถนบนอบต่อพระวจนะของพระเจ้าโดยไม่คำนึงถึงว่าเจ้าเข้าใจพระวจนะเหล่านั้นลึกซึ้งเพียงใด และเจ้ายอมรับและนบนอบต่อความสว่างที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปิดเผยและที่บรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้าได้สามัคคีธรรมกัน เมื่อบุคคลดังกล่าวได้ไล่ตามเสาะหาความจริงไปจนถึงจุดเฉพาะหนึ่ง เขาย่อมสามารถได้มาซึ่งความจริงและสัมฤทธิ์การแปลงสภาพของอุปนิสัยของเขา ต่อให้พวกที่ไม่รักความจริงอาจมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดีพร้อม เมื่อเป็นเรื่องของความจริง พวกเขาก็สับสนมึนงงและไม่ให้ความสนใจอย่างจริงจัง ถึงแม้พวกเขาอาจสามารถมีความประพฤติที่ดีสักหน่อย และสามารถสละตนเองเพื่อพระเจ้าได้ และสามารถทำการประกาศตัดสัมพันธ์ได้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้ โดยเปรียบเทียบแล้ว สภาวะความเป็นมนุษย์ของเปโตรนั้นแทบจะเป็นอย่างเดียวกันกับสภาวะความเป็นมนุษย์ของบรรดาอัครทูตคนอื่นๆ และบรรดาพี่น้องชายหญิงของเขา แต่เขาโดดเด่นในการไล่ตามเสาะหาอันแรงกล้าของเขาที่มีต่อความจริง เขาไตร่ตรองอย่างจริงจังตั้งใจในทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเยซูตรัส พระเยซูได้ตรัสถามว่า "ซีโมนบุตรโยนาห์เอ๋ย เจ้ารักเราไหม?" เปโตรตอบไปอย่างซื่อสัตย์ว่า "ข้าพระองค์รักพระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์เท่านั้น ทว่ายังมิได้รักองค์พระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลก" ต่อมาเขาก็ได้เข้าใจ โดยคิดว่า "นี่ไม่ถูกต้อง พระเจ้าบนแผ่นดินโลกทรงเป็นพระเจ้าในสวรรค์ นั่นไม่ใช่พระเจ้าองค์เดียวกันทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดินโลกหรอกหรือ? หากฉันรักพระเจ้าในสวรรค์เท่านั้น เช่นนั้นแล้ว ความรักของฉันก็ไม่เป็นจริง ฉันต้องรักพระเจ้าบนแผ่นดินโลก เพราะเมื่อนั้นเท่านั้นความรักของฉันจึงจะเป็นจริง" ด้วยเหตุนี้ โดยการไตร่ตรองพระวจนะของพระองค์ เปโตรจึงได้มาเข้าใจความหมายที่แท้จริงของสิ่งที่พระเยซูได้ตรัสไว้ การที่จะรักพระเจ้า และเพื่อให้ความรักนี้เป็นจริง คนเราต้องรักพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์บนแผ่นดินโลก การรักพระเจ้าที่คลุมเครือและไม่ปรากฏแก่ตานั้น ทั้งไม่อยู่กับความเป็นจริงและไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ในขณะที่การรักพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงและทรงปรากฏแก่ตาคือความจริง จากพระวจนะของพระเยซู เปโตรได้รับความจริงและความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า เป็นที่ชัดเจนว่า การเชื่อในพระเจ้าของเปโตรได้เพียงมุ่งเน้นไปที่การไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น ในที่สุด เขาได้สัมฤทธิ์ความรักของพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริง—พระเจ้าบนแผ่นดินโลก เปโตรจริงจังตั้งใจเป็นพิเศษในการไล่ตามเสาะหาความจริงของเขา แต่ละครั้งที่พระเยซูได้ทรงให้คำปรึกษาแก่เขา เขาไตร่ตรองพระวจนะของพระเยซูอย่างจริงจังตั้งใจ บางทีเขาอาจจะได้ไตร่ตรองเป็นเวลาหลายเดือน หนึ่งปี หรือแม้กระทั่งหลายปีก่อนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะได้ทรงให้ความรู้แจ้งแก่เขา และเขาได้เข้าใจความหมายของพระวจนะของพระเจ้า ในหนทางนี้ เปโตรจึงได้เข้าสู่ความจริง และหลังจากนั้น อุปนิสัยในชีวิตของเขาก็ได้ถูกแปลงสภาพและเริ่มใหม่ หากบุคคลหนึ่งไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เขาจะไม่มีวันเข้าใจความจริง เจ้าสามารถพูดถึงตัวอักษรและคำสอนทั้งหลายนับหมื่นครั้ง แต่สิ่งเหล่านั้นจะยังคงเป็นแค่ตัวอักษรและคำสอนทั้งหลาย ผู้คนบางคนแค่พูดว่า "พระคริสต์ทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต" ต่อให้เจ้าทวนซ้ำคำพูดเหล่านี้นับหมื่นครั้ง นั่นก็จะยังคงไร้ประโยชน์ เจ้าไม่มีความเข้าใจความหมายของการนั้น เหตุใดจึงกล่าวกันว่าพระคริสต์ทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต? เจ้าสามารถพูดฉะฉานถึงความรู้ที่เจ้าได้รับเกี่ยวกับการนี้จากประสบการณ์ได้หรือไม่? เจ้าได้เข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง หนทาง และชีวิตหรือยัง? พระเจ้าได้ดำรัสพระวจนะของพระองค์เพื่อให้พวกเจ้าสามารถได้รับประสบการณ์กับพระวจนะเหล่านั้นและได้รับความรู้ การแค่เพียงเปล่งเสียงตัวอักษรและคำสอนเท่านั้นช่างไร้ประโยชน์ เจ้าสามารถรู้จักตัวเจ้าเองได้เฉพาะเมื่อเจ้าได้เข้าใจและเข้าสู่พระวจนะของพระเจ้าแล้วเท่านั้น หากเจ้าไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่สามารถรู้จักตัวเจ้าเองได้ เจ้าสามารถหยั่งรู้ได้เฉพาะเมื่อเจ้ามีความจริงเท่านั้น หากปราศจากความจริง เจ้าก็ไม่สามารถหยั่งรู้ได้ เจ้าสามารถเข้าใจเรื่องราวหนึ่งได้อย่างเต็มที่เฉพาะเมื่อเจ้ามีความจริงเท่านั้น หากปราศจากความจริง เจ้าก็ไม่สามารถเข้าใจเรื่องราวหนึ่งได้ เจ้าสามารถรู้จักตัวเจ้าเองได้เฉพาะเมื่อเจ้ามีความจริงเท่านั้น หากปราศจากความจริง เจ้าก็ไม่สามารถรู้จักตัวเจ้าเองได้ อุปนิสัยของเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงได้เฉพาะเมื่อเจ้ามีความจริงเท่านั้น หากปราศจากความจริง อุปนิสัยของเจ้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพียงภายหลังจากเจ้ามีความจริงแล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถรับใช้โดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ หากปราศจากความจริง เจ้าก็ไม่สามารถรับใช้โดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ เพียงภายหลังจากเจ้ามีความจริงแล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถนมัสการพระเจ้าได้ หากปราศจากความจริง การนมัสการของเจ้าจะไม่ใช่สิ่งใดที่มากไปกว่าการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับการได้รับความจริงจากพระวจนะของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

Leave a Reply

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger