ความไม่ละอายแห่งการโอ้อวด

วันที่ 20 เดือน 01 ปี 2022

โดย ว่าน ซินผิง, ประเทศจีน

เดือนมีนาคมปี 2020 ฉันย้ายไปยังคริสตจักรใหม่ ที่คริสตจักรเก่าฉันเป็นผู้นำ และพี่น้องชายหญิง ก็เคารพฉันมาก ทุกครั้งที่มีปัญหา พวกเขาจะมาให้ฉันแก้ไข แต่ที่คริสตจักรใหม่นี้ พี่น้องชายหญิงต่างก็ไม่คุ้นเคยกับฉัน ฉันรู้สึกเหมือนหมากที่ไร้ชื่อ ซึ่งมันน่าผิดหวังมาก คิดว่า “ฉันเคยเชี่ยวชาญการประกาศข่าวประเสริฐ ถ้าครั้งนี้ฉันใช้ความสามารถ นำคนมายอมรับงานในยุคสุดท้ายมากขึ้นได้ ทุกคนจะเห็นว่าฉันมีขีดความสามารถ และปฏิบัติหน้าที่ ได้มีประสิทธิภาพกว่าคนอื่น แล้วฉันก็จะโดดเด่นขึ้นได้” ฉันเลย เริ่มประกาศข่าวประเสริฐทุกที่ ตั้งแต่เช้าจนมืด บางครั้ง ฉันก็ยุ่งจนไม่ทันกินข้าว ในไม่ช้า ก็มีคนยอมรับงานของพระเจ้าเพิ่มขึ้นอีกสิบกว่าคน ฉันคิดว่า “พี่น้องชายหญิงจะต้องมองฉันใหม่ เพราะฉันทำหน้าที่ได้ดีแน่” เวลาเห็นพี่น้องชายหญิง ฉันก็อดไม่ได้ที่จะโอ้อวด พวกเขาพูดด้วยความอิจฉาว่า “คุณประกาศข่าวประเสริฐได้ง่ายๆ แต่เราทำไม่ได้ เวลาเจอเป้าหมายข่าวประเสริฐที่มีมโนคติอันหลงผิดและไม่ยอมฟัง ฉันก็ไม่รู้จะพูดยังไง” ที่จริงฉันก็เจอสถานการณ์นี้บ่อย และไม่อาจสร้างความคืบหน้ากับคนแบบนั้นได้ แต่ฉันแทบไม่พูดเรื่องปัญหาและความล้มเหลวเหล่านี้ หรือไม่เคยพูดถึงเลย เพราะกลัวว่าถ้าทุกคนรู้ พวกเขาคงไม่มองว่าฉันมีความสามารถหรือเคารพฉัน ฉันคิดว่า “ฉันต้องพูดถึงประสบการณ์ประกาศข่าวประเสริฐที่สำเร็จ เพื่อให้คุณเห็นว่า ฉันปฏิบัติหน้าที่ได้ดีแค่ไหน” ฉันเลยตอบเขาไปว่า “การประกาศข่าวประเสริฐนั้นไม่ยาก เวลาเจอเป้าหมายข่าวประเสริฐ ฉันจะสามัคคีธรรมกับพวกเขาแบบนี้…” พอได้ฟังแล้ว พี่น้องชายหญิงก็นับถือฉันมาก เวลาใครมีญาติมิตรที่อยากสืบค้นงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้า คนอื่นก็จะบอกว่า “ให้จี้ผิงไปประกาศสิ จี้ผิงน่ะ” ฉันมีความสุขมากเวลาเห็นท่าทีแบบนี้ของทุกคน ไม่ช้า ฉันก็ถูกแนะนำให้ไปดูแลงานให้น้ำที่หลายคริสตจักร นี่ทำให้ฉันยิ่งภูมิใจ และคิดว่ามีเวทีที่ใหญ่กว่าเดิมให้แสดงพรสวรรค์ เมื่อพี่น้องชายหญิงเจอความยากลำบากในการแบ่งปันข่าวประเสริฐ หรือให้น้ำผู้มาใหม่และท้อถอย หรือไม่เต็มใจจะทนทุกข์และยอมลำบาก ฉันก็ให้กำลังใจพวกเขา และพูดถึงการทนทุกข์ของตัวเอง พูดว่าตอนที่ฉันประกาศข่าวประเสริฐ มีบางครั้งที่อากาศติดลบกว่าสิบองศา และลมก็บาดหน้าราวกับมีด แต่ฉัน ก็ยังออกไปประกาศข่าวประเสริฐ ยามที่ฝนตกหนัก ใต้สะพานน้ำไหลหลาก และรองเท้าฉันเปียก ฉันก็บีบน้ำออกจากพื้นรองเท้า เก็บมันเข้ากระเป๋า และออกเดินทางต่อ ครั้งหนึ่ง อุณหภูมิติดลบสิบกว่าองศา ฉันไปพบปะกับผู้มาใหม่ และต้องรออยู่ข้างนอกชั่วโมงกว่า เขาถึงจะมา… พอได้ยินอย่างนี้ พี่น้องชายหญิงก็เห็นชอบ และนับถือที่ฉันทนทุกข์ได้ และนั่นทำให้ฉันมีความสุขมาก

ต่อมา ผู้นำได้ให้ฉันรับผิดชอบงานให้น้ำที่คริสตจักรหลายแห่ง ฉันคิดว่า “ในเวลาแค่สั้นๆ ฉันก็ได้เลื่อนตำแหน่งอีกแล้ว เพราะงั้นพี่น้องชายหญิงก็จะยิ่งเคารพฉันมากขึ้น!” ระหว่างช่วงนั้น ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าบ่อยครั้ง และมุ่งมั่นจะมีความจริงหลายแง่มุม ที่เกี่ยวกับงานให้น้ำผู้มาใหม่ แล้วฉันก็ ค่อยๆ พบทางไปต่อในหน้าที่ พี่น้องชายหญิงต่างรู้สึกว่า การฟังสามัคคีธรรมของฉันเป็นประโยชน์ อัตตาของฉัน ก็เพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว และฉันก็เริ่มโอ้อวดที่การพบปะอีก เวลาพี่น้องชายหญิงถามฉัน ว่าจะแก้ไขมโนคติอันหลงผิดที่ผู้มาใหม่หยิบยกขึ้นมาอย่างไร ฉันคิดว่า “เดี๋ยวฉันไปคุยเอง ทุกคนจะได้เห็นว่า ฉันเชี่ยวชาญในด้านนี้” แล้วฉันก็เล่าความคิดและประสบการณ์ของตัวเองให้พวกเขาฟังโดยละเอียด ทุกคนก็ค่อยๆ มองฉันเปลี่ยนไป พวกเขา ตั้งใจฟังทุกอย่างที่ฉันพูด ไปที่ไหน ก็มีพี่น้องชายหญิงคอยต้อนรับ ขนาดพี่น้องชายหญิงที่ไม่เคยฟังสามัคคีธรรมของฉัน ก็ยังขอให้ฉันสามัคคีธรรมให้ฟัง ต่อมา ฉันเอาปัญหาทั่วไปในการประกาศข่าวประเสริฐและงานให้น้ำ มาเขียนเป็นกฎสิบเจ็ดข้อ นำมันเข้าพบปะ และพูดคุยอย่างจริงจังกับพี่น้องชายหญิง ตอนนั้น สามีของพี่สาวคนหนึ่งเป็นฝ่ายบริหารของหมู่บ้าน และต่อต้านการเชื่อในพระเจ้า เขาตั้งคำถามที่เฉียบแหลม และจงใจทำให้เรื่องมันยากสำหรับเรา และขอฟังสามัคคีธรรมของฉัน ตอนนั้น ฉันกังวลเรื่องนี้มาก แต่ด้วยการอธิษฐานต่อพระเจ้า ฉันจึงหักล้างทุกคำถาม สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก จากนั้น ฉันเอาคำถามที่สามีของพี่คนนี้ถาม รวมเข้ากับสิ่งที่ถูกถามบ่อยๆ เรื่องการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ในการพบปะ ฉันจงใจจะหยิบมันขึ้นมา และพูดถึงอย่างชัดเจน ใช้ประสบการณ์ครั้งที่สำเร็จ ทำให้พี่น้องชายหญิงรู้ว่าฉันมีความสามารถ และฉลาด หลังการพบปะ พี่น้องชายหญิงบางคนพูดว่า “พี่สาว อยู่กับพวกเราต่ออีกสักวัน และสามัคคีธรรมกับเราเพิ่มได้ไหม?” เห็นว่าทุกคนนับถือฉันแค่ไหน มันก็อดไม่ได้ที่จะภูมิใจ เพื่อให้พี่น้องชายหญิง รู้ว่าฉันเป็นคนสำคัญ ทนทุกข์ และยอมลำบากในหน้าที่ได้ ฉันถึงกับแสร้งพูดแบบสบายๆ ว่า “ฉันรับผิดชอบอยู่หลายคริสตจักร และฉันก็มีนัดหมายกับอีกที่หนึ่งแล้ว พี่น้องชายหญิงหลายคนกำลังรอฉันอยู่ ฉันยุ่งมาก และไม่มีเวลาพักเลย…” เวลาพูดกับพี่น้องชายหญิง ฉันก็จงใจพูดด้วยว่า “ไปพบปะแต่ละครั้งใช้เวลาทั้งวัน ฉันเคยเอวหักมาก่อน และนั่งแบบนี้ไม่ไหวจริงๆ” พี่คนหนึ่งเลยพูดด้วยความนับถือว่า “คุณทำงานหนักจริงๆ ต้องใส่ใจสุขภาพด้วยนะคะ” เพราะฉันอวดตนกับพี่น้องชายหญิงแบบนี้บ่อยๆ พวกเขาเลยรู้สึกว่าฉันค่อนข้างทนทุกข์ และแบกรับภาระในหน้าที่ได้

ในช่วงนั้น ฉันวุ่นกับการพบปะและสามัคคีธรรมเกินไป บางครั้งหัวใจก็ว่างเปล่า และไม่รู้จะพูดเรื่องอะไร แต่พอเห็นความคาดหวังในตาของพี่น้องชายหญิง ฉันก็คิดว่า “ตอนนี้พี่น้องชายหญิงรู้สึกว่า ฉันสามัคคีธรรมตามความจริงได้ชัดเจน ไม่ว่าจะไปที่ไหนทุกคนต่างก็เคารพฉัน ถ้าฉันบอกว่า ไม่รู้จะสามัคคีธรรมอย่างไร ภาพลักษณ์ที่ดีในใจพวกเขาที่ฉันสร้างมา จะไม่พังเอาหรือ?” ฉันจึงแสร้งทำเป็นสงบ และขอให้พวกเขา สามัคคีธรรมก่อน ฉันคิดว่า “ฉันจะฟังสิ่งที่ทุกคนพูดก่อน จากนั้นสรุปสิ่งที่พวกเขาพูด แล้วค่อยแบ่งปันความเข้าใจของฉันเอง แบบนั้นก็จะดูเหมือนฉันได้รับความจริงอย่างครอบคลุมและชัดเจนมากขึ้น” ในที่สุด พี่น้องชายหญิงก็รู้สึกว่าฉันสามัคคีธรรมได้ครบถ้วน ฉันทำเป็นพูดอย่างถ่อมตัวว่า “เพราะฉันมีหน้าที่นี้ พระเจ้าจึงทรงให้ความรู้แจ้งแบบที่ต่างออกไป…” พอพูดแบบนี้ พี่น้องชายหญิง ก็ยิ่งพึ่งพาฉันมากขึ้น ในระหว่างนั้น เวลาเจอปัญหาในการประกาศข่าวประเสริฐ พวกเขาก็ไม่แสวงหา กลับหวังว่าฉันจะสามัคคีธรรมและแก้ปัญหาให้ได้ ตอนนั้น ฉันก็คิดถึงภัยของการนับถือและเป็นที่นับถือ และรู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อยค่ะ แต่แล้วก็คิดว่า “สามัคคีธรรมของฉันล้วนเกี่ยวกับความเข้าใจในพระวจนะ และการชี้เส้นทางการปฏิบัติให้แก่พี่น้องชายหญิง ทั้งหมดก็เพื่อให้งานของเราบรรลุผลลัพธ์ เรื่องนั้นไม่ผิดอะไรหรอก” ความวิตกกังวลพวกนั้น แค่แว๊บเข้ามาในความคิด แต่ในตอนที่ฉัน กำลังกระตือรือร้นในการปฏิบัติหน้าที่ จู่ๆ โรคสะเก็ดเงินที่ไม่แสดงอาการมาหลายปี ก็กลับมา ที่แขน ขา แม้กระทั่งบนหน้ามีรอยด่างขนาดใหญ่ มันคันมากๆ และทำให้ฉันไม่สบายตัว จนออกไปพบปะไม่ได้ ฉันใช้ยาหลายชนิด แต่ก็ไม่ช่วยเลย คราวนี้ มันกลับแย่กว่าครั้งก่อน ฉันตระหนักได้ว่าอาการนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันต้องมีบทเรียนให้ฉันเรียนรู้ ฉันแสวงหาและอธิษฐานต่อพระเจ้า แต่ตอนนั้น ฉันไม่ได้ตระหนักว่าปัญหาของตัวเองคืออะไร

ต่อมา ผู้นำจัดแจงให้ฉันไปสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงสองสามคน ที่แก้ไขปัญหากันได้ ฉันคิดว่า “ฉันก็ต้องทำให้ดี เพื่อให้พวกเขาเห็นความสามารถในการทำงานของฉัน” หลังจากนั้น ฉันก็เหมือนผู้บริหารนำเสนอรายงานในการประชุม ฉันสามัคคีธรรมกับพวกเขาว่าจะเข้าใจประเด็นสำคัญในการสามัคคีธรรมอย่างไร จะแก้ปัญหาทั่วไปในการประกาศข่าวประเสริฐอย่างไร พี่น้องชายหญิง ฟังกันอย่างตั้งใจ บางคนถึงกับจดตลอดเวลา เพราะกลัวว่าจะพลาดสิ่งที่ฉันพูด พี่สาวที่เป็นเจ้าบ้าน ก็นั่งฟังอย่างตั้งใจ อยู่ข้างประตู และคอยยื่นน้ำให้ฉันเป็นครั้งคราว ฉันพอใจมากที่เห็นว่าทุกคน ชอบสามัคคีธรรมของฉันแค่ไหน แต่มันก็ไม่สบายใจนิดหน่อย ทั้งหมดนี้เป็นแค่ความเข้าใจส่วนตัวของฉัน มันต้องผิดพลาดอยู่แล้ว การที่ทุกคนจดสิ่งที่ฉันพูดลงไปแบบนั้น มันเหมาะสมหรือ? แต่ฉันก็คิดว่า “พี่น้องชายหญิงอาจจะแค่อยากบันทึกการปฏิบัติที่ดี ซึ่งช่วยให้ทำหน้าที่ได้ลุล่วง มันไม่ผิดอะไรหรอก” พอคิดแบบนั้น ฉันก็ตัดสินใจ ปล่อยให้ผู้คนจดบันทึกเวลาพบปะ การพบปะวันรุ่งขึ้น พี่สาวคนหนึ่งกลับมา และบอกว่า “เมื่อวานฉันไม่ได้จดสามัคคีธรรมของน้องจี้ผิง เลยกลับมาฟังใหม่วันนี้” พอพบปะกันเสร็จ ฉันก็ได้ยินน้องสาวสองคนคุยกันว่า “ได้จดหรือเปล่า?” อีกคนหนึ่งก็บ่นว่า “ทำไมเธอไม่จดล่ะ?” ตอนที่ได้ยิน ฉันก็กลัวนิดหน่อยว่า “ถ้าทุกคนมองว่าคำพูดของฉันสำคัญมาก ฉันไม่ได้กำลังพาผู้คนมาอยู่หน้าตัวเองหรือ?” ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว ฉันจึงกลับบ้านไป อธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้ฉันรู้แจ้งและรู้จักตัวเอง

ฉันอ่านพระวจนะสองบทตอนที่ว่า “การยกย่องและการให้การเป็นพยานกับตัวพวกเขาเอง การโอ้อวดตัวพวกเขาเอง การลองพยายามที่จะทำให้ผู้คนยกย่องนับถือพวกเขา—มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามสามารถที่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้ นี่คือวิธีที่ผู้คนแสดงปฏิกิริยาไปตามสัญชาตญาณเมื่อพวกเขาถูกธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขาครอบงำ และนี่เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามทั้งปวง ผู้คนมักจะยกย่องและให้การเป็นพยานต่อตัวพวกเขาเองอย่างไรหรือ? พวกเขาสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายนี้อย่างไรเล่า? หนทางหนึ่งคือการให้การเป็นพยานว่าพวกเขาได้ทนทุกข์มามากเพียงใด พวกเขาได้ทำงานมามากเพียงใด และพวกเขาได้สละตัวพวกเขาเองมามากเพียงใด พวกเขาพูดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ในรูปแบบของเงินทุนส่วนตัว กล่าวคือ พวกเขาใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเงินทุนซึ่งพวกเขาใช้ในการยกย่องตัวพวกเขาเอง ซึ่งให้พวกเขามีที่ทางซึ่งสูงกว่า มั่นคงกว่า ปลอดภัยกว่าในจิตใจของผู้คน เพื่อที่จะได้มีผู้คนมากขึ้นนับถือ เลื่อมใส เคารพ และแม้กระทั่งเทิดทูน ชื่นชู และติดตามพวกเขา นั่นคือผลพวงสูงสุด สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำเพื่อสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายนี้—การยกย่องและการให้การเป็นพยานต่อตัวพวกเขาเองทั้งหมด—มีเหตุผลหรือไม่? สิ่งเหล่านั้นไม่มีเหตุผล สิ่งเหล่านั้นอยู่เลยพ้นข่ายรับผิดชอบของความมีเหตุผล ผู้คนเหล่านี้ไม่มีความอับอายเลย กล่าวคือ พวกเขาให้การเป็นพยานอย่างหน้าไม่อายถึงสิ่งที่พวกเขาได้ทำไปเพื่อพระเจ้าและว่าพวกเขาได้ทนทุกข์ไปมากมายเพียงใดเพื่อพระองค์ พวกเขาถึงขั้นโอ้อวดพรสวรรค์ ความสามารถพิเศษ ประสบการณ์ และทักษะพิเศษของพวกเขา หรือเทคนิคอันฉลาดแยบยลของพวกเขาสำหรับการประพฤติตน และวิธีการที่พวกเขาใช้ในการเล่นกับผู้คน วิธีการของพวกเขาในการยกย่องและการให้การเป็นพยานต่อตัวพวกเขาเองคือ การโอ้อวดตัวพวกเขาเองและดูแคลนผู้อื่น พวกเขายังกลบเกลื่อนและอำพรางตัวพวกเขาเองด้วยเช่นกัน โดยซ่อนเร้นความอ่อนแอ ข้อบกพร่อง และความล้มเหลวของพวกเขาจากผู้คน เพื่อที่ผู้คนเหล่านั้นจะเพียงแค่มองเห็นความปราดเปรื่องของพวกเขาไปตลอดเท่านั้น พวกเขาไม่แม้กระทั่งกล้าที่จะบอกผู้คนอื่นๆ เมื่อพวกเขารู้สึกคิดลบ พวกเขาขาดพร่องความกล้าที่จะเปิดกว้างและสามัคคีธรรมกับผู้อื่น และเมื่อพวกเขาทำบางสิ่งที่ผิด พวกเขาก็ทำอย่างสุดความสามารถในการที่จะปกปิดสิ่งที่ผิดนั้นและปิดบังสิ่งที่ผิดนั้น พวกเขาไม่เคยพูดพาดพิงถึงอันตรายซึ่งพวกเขาได้เป็นเหตุให้เกิดขึ้นต่อพระนิเวศของพระเจ้าในครรลองของการทำหน้าที่ของพวกเขาเลย อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาได้มีส่วนร่วมแบ่งปันเล็กน้อยอยู่บ้างหรือได้สัมฤทธิ์ความสำเร็จเล็กน้อยอยู่บ้าง พวกเขาก็รีบร้อนที่จะโอ้อวดการนั้น พวกเขาไม่สามารถรอเพื่อให้ทั้งโลกรู้ว่าพวกเขามีความสามารถเพียงใด ขีดความสามารถของพวกเขาสูงเพียงใด พวกเขายอดเยี่ยมเพียงใด และพวกเขาดีกว่าผู้คนปกติมากเพียงใด นี่ไม่ใช่หนทางของการยกย่องและการให้การเป็นพยานต่อตัวพวกเขาเองหรอกหรือ?(“พวกเขายกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์)ทั้งหมดของบรรดาพวกที่เดินลงเหวนั้น ล้วนยกย่องตัวพวกเขาเองและให้คำพยานต่อตัวพวกเขาเอง พวกเขาเที่ยวอวดตัวไปทั่วเกี่ยวกับตัวพวกเขาเองและคุยโวโอ้อวดตัวเองเกินจริง และพวกเขาไม่ได้นำพระเจ้าเข้าไปในหัวใจแต่อย่างใดเลย พวกเจ้ามีประสบการณ์ในเรื่องที่เรากำลังพูดคุยอยู่บ้างหรือไม่? ผู้คนมากมายกำลังให้คำพยานต่อตัวพวกเขาเองอยู่เป็นนิตย์ว่า ‘ข้าพเจ้าได้ทนทุกข์ในหนทางนี้หนทางนั้น ข้าพเจ้าได้ทำงานนี้งานนั้น พระเจ้าได้ทรงปฏิบัติต่อข้าพเจ้าในหนทางนี้หนทางนั้น พระองค์ทรงขอให้ข้าพเจ้าทำดังนี้ดังนั้น พระองค์ทรงพระดำริเกี่ยวกับข้าพเจ้าอย่างสูงส่งเป็นพิเศษ และตอนนี้ข้าพเจ้าจึงเป็นดังนี้ดังนั้น’ พวกเขาจงใจพูดจาในกระแสเสียงเฉพาะอย่างหนึ่งและนำท่าทางเฉพาะอย่างหนึ่งมาใช้ ในท้ายที่สุดแล้ว ผู้คนบางคนจบลงตรงความคิดที่ว่าผู้คนเหล่านี้คือพระเจ้า ทันทีที่พวกเขาได้มาถึงจุดนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมจะได้ทรงทอดทิ้งพวกเขาไปนานแล้ว แม้ว่าในระหว่างนั้น พวกเขาถูกเพิกเฉยและไม่ถูกขับไล่ แต่ชะตากรรมของพวกเขาถูกกำหนดแล้ว และทั้งหมดที่พวกเขาทำได้ก็คือ รอคอยการลงโทษพวกเขา(“ผู้คนสร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้ามากเกินไป” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะเปิดเผยสภาวะของฉันอย่างแม่นยำ ฉันยกย่องและโอ้อวดตัวเองแบบนี้บ่อยๆ ตอนแรกที่เริ่มทำงานที่คริสตจักรใหม่ ฉันรู้สึกเหมือนไม่เป็นที่รู้จัก และไม่สลักสำคัญอะไร ฉันมองการประกาศข่าวประเสริฐเป็นโอกาสให้คนอื่นนับถือ และติดตามฉัน เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นถึงความสามารถในการทำงาน และมองฉันใหม่ ฉันจึงไม่พูดถึงประสบการณ์ของการล้มเหลว กลับพูดว่าฉันประกาศข่าวประเสริฐอย่างไร เปลี่ยนคนมานับถือได้แค่ไหน และมีวิธีแก้ปัญหายากๆ อย่างไร เพื่อสร้างภาพลวงตา ทำให้พวกเขาคิดว่าฉันมีความสามารถทุกเรื่อง พอถูกเลื่อนตำแหน่ง ฉันก็อยากให้ผู้คนเคารพ และมีฉันอยู่ในหัวใจ ฉันจึงมักเล่าให้พี่น้องชายหญิงฟัง ว่าฉันยุ่งแค่ไหน ทนทุกข์อะไรบ้าง แต่กลับไม่เคยพูดถึงจุดอ่อน และความเสื่อมทรามของฉันเลย เพื่อให้ผู้คนคิดว่าฉันไล่ตามความจริง ยอมลำบาก และแบกรับภาระในหน้าที่ได้ นี่ไม่ใช่การหลอกลวงพี่น้องชายหญิงหรือ? พญานาคใหญ่สีแดงประกาศภาพลักษณ์อัน “ยิ่งใหญ่ เกรียงไกร และถูกต้อง” ของมันตลอด เพื่อให้ผู้คนเลื่อมใสและติดตามมัน แต่มันกลับปิดบังเรื่องชั่วๆ ที่แอบทำในทุกแง่มุม เพื่อเป็นวิธีการหลอกลวงผู้คนในโลก สิ่งที่ฉันทำอยู่ ต่างกับพญานาคใหญ่สีแดงตรงไหน? พระเจ้าทรงมอบพรสวรรค์ให้ฉันเพื่อประกาศข่าวประเสริฐ ฉันจะได้ขยายขอบเขตข่าวประเสริฐในส่วนของตัวเอง และนำคนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์มากขึ้น ให้พวกเขาได้รับความรอดของพระองค์ แต่ฉันกลับใช้สิ่งเหล่านี้เป็นต้นทุนในการโอ้อวด และแสดงตนในทุกที่ แถมยังเพลิดเพลินที่พี่น้องชายหญิงเคารพบูชาฉัน ฉันมัน ไม่มีความละอายใจเลย เพราะฉันยกย่องและโอ้อวดตน เพื่อหลอกลวงพี่น้องชายหญิงเสมอ พวกเขาจึงไม่แสวงหาหรืออธิษฐานต่อพระเจ้า เวลามีปัญหา กลับมาสามัคคีธรรมเพื่อแก้ปัญหากับฉันแทน ฉันไม่ได้พยายามแทนที่พระเจ้าหรือคะ? ฉันกำลังต่อต้านพระเจ้า! พอคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็กลัวมาก ฉันกลับไปคุกเข่าเฉพาะพระพักตร์ อธิษฐานทั้งน้ำตาว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ผิดไปแล้ว ข้าพระองค์ยกย่องและอวดตนให้คนอื่นบูชา อยู่บนเส้นทางต่อต้านพระองค์อันไม่อาจหวนคืน ข้าพระองค์อยากกลับใจ”

หลังจากนั้นฉันทบทวนตัวเอง และรู้ว่าความสว่าง ในสามัคคีธรรมของฉัน เป็นความรู้แจ้งโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วทำไมฉันถึงยังอวดตัว โดยที่ไม่รู้ตัวอีก? ต่อมา ฉันได้อ่านในพระวจนะว่า “ผู้คนบางคนชื่นชูเปาโลมากเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาชอบที่จะออกไปข้างนอกและกล่าวสุนทรพจน์และทำงาน พวกเขาชอบที่จะเข้าร่วมการชุมนุมและเทศนา พวกเขาชอบให้ผู้คนฟังพวกเขา เคารพบูชาพวกเขา และกังวลสนใจพวกเขาเป็นหลัก พวกเขาชอบที่จะมีสถานะในจิตใจของผู้อื่น และพวกเขาซาบซึ้งเมื่อผู้อื่นให้คุณค่าภาพลักษณ์ที่พวกเขานำเสนอ พวกเราลองมาวิเคราะห์ธรรมชาติของพวกเขาจากพฤติกรรมเหล่านี้กันว่า สิ่งใดหรือที่เป็นธรรมชาติของพวกเขา? หากพวกเขาประพฤติเช่นนี้จริง เช่นนั้นแล้วมันก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเขาโอหังและทะนงตน พวกเขาไม่นมัสการพระเจ้าแต่อย่างใดเลย พวกเขาแสวงหาสถานะที่สูงส่งกว่าและปรารถนาที่จะมีสิทธิอำนาจเหนือผู้อื่น ที่จะครองพวกเขา และที่จะมีสถานะในจิตใจของพวกเขา นี่คือภาพลักษณ์ดั้งเดิมของซาตาน แง่มุมที่โดดเด่นของธรรมชาติของพวกเขาก็คือความโอหังและความทะนงตน ความไม่เต็มใจที่จะนมัสการพระเจ้า และความปรารถนาที่จะได้รับการเคารพบูชาจากผู้อื่น พฤติกรรมเช่นนั้นสามารถให้ทรรศนะที่ชัดเจนมากแก่เจ้าในเรื่องธรรมชาติของพวกเขา(“วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)ครั้นผู้คนได้โอหังในธรรมชาติและแก่นแท้มากขึ้นทุกที บ่อยครั้งที่พวกเขาสามารถไม่เชื่อฟังและต้านทานพระเจ้า ไม่ใส่ใจต่อพระวจนะของพระองค์ ให้กำเนิดมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระองค์ ทำสิ่งทั้งหลายซึ่งทรยศพระองค์ และสิ่งทั้งหลายซึ่งยกย่องและเป็นคำพยานต่อตัวพวกเขาเอง เจ้าพูดว่าเจ้าไม่โอหัง แต่ทึกทักเอาว่าเจ้าได้รับคริสตจักรแล้วและได้รับอนุญาตให้นำทางคริสตจักรนั้น ทึกทักเอาว่าเราไม่ได้จัดการกับเจ้า และว่าไม่มีใครเลยในครอบครัวของพระเจ้าได้ตัดแต่งเจ้า กล่าวคือ ภายหลังการนำทางคริสตจักรนั้นไปสักพัก เจ้าก็คงจะนำพาผู้คนมาอยู่แทบเท้าของเจ้า และทำให้พวกเขานบนอบต่อหน้าเจ้า และเหตุใดเล่าเจ้าจึงจะทำเช่นนั้น? การนี้คงจะถูกกำหนดพิจารณาโดยธรรมชาติของเจ้า นั่นคงจะไม่ใช่อื่นใดเลยนอกจากเป็นการเปิดเผยตามธรรมชาติอย่างหนึ่ง เจ้าไม่มีความต้องการจำเป็นอันใดที่จะต้องเรียนรู้การนี้จากผู้อื่น อีกทั้งก็ยังไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องให้พวกเขามาสอนการนั้นให้เจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นมาให้การแนะนำเจ้าหรือฝืนใจเจ้าให้ทำการนี้ สถานการณ์ประเภทนี้มาเกิดกับเจ้าเองตามธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำให้ผู้คนนบนอบต่อหน้าเจ้า เคารพบูชาเจ้า ยกย่องเจ้า ให้คำพยานเกี่ยวกับเจ้า และฟังเจ้าในทุกสรรพสิ่ง การเปิดโอกาสให้เจ้าเป็นผู้นำทำให้เกิดสถานการณ์นี้ขึ้นเป็นธรรมดา และนั่นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แล้วสถานการณ์นี้มาเกิดขึ้นได้อย่างไรกันเล่า? นั่นถูกกำหนดพิจารณาโดยธรรมชาติอันโอหังของมนุษย์ การสำแดงความโอหังคือการกบฏและการต้านทานพระเจ้า เมื่อผู้คนโอหัง คิดว่าตนสำคัญ และคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ พวกเขาย่อมมีแนวโน้มที่จะจัดตั้งราชอาณาจักรอิสระของพวกเขาเอง และทำสิ่งทั้งหลายไปตามแต่ว่าพวกเขาต้องการอย่างไร พวกเขายังนำพาผู้อื่นมาอยู่ในมือของพวกเขาเองและดึงผู้อื่นเข้าสู่อ้อมกอดของพวกเขาด้วยเช่นกัน การที่ผู้คนจะสามารถทำสิ่งทั้งหลายเช่นนั้นได้ นั่นหมายความว่าแก่นแท้ของธรรมชาติอันโอหังของพวกเขาคือแก่นแท้ของซาตาน นั่นคือแก่นแท้ของหัวหน้าทูตสวรรค์ เมื่อความโอหังและความคิดว่าตนสำคัญของพวกเขาไปถึงระดับเฉพาะหนึ่ง พวกเขาก็กลายเป็นหัวหน้าทูตสวรรค์ และต้องละวางพระเจ้า หากเจ้าครองธรรมชาติอันโอหังเช่นนั้น พระเจ้าย่อมจะไม่ทรงมีที่ทางในหัวใจของเจ้า(“ธรรมชาติอันโอหังคือรากเหง้าของการต้านทานพระเจ้าของมนุษย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันได้เห็นจากพระวจนะ ว่าธรรมชาติของฉันโอหังมากและคิดว่าตัวเองชอบธรรมเสมอ ฉันเป็นเหมือนเปาโล ที่ชอบเป็นที่เทิดทูนบูชา ตอนแรก ฉันแค่อยากปฏิบัติหน้าที่ให้ดี แต่ฉันถูกธรรมชาติอันโอหังควบคุม ในกลุ่มฉันจึงโอ้อวด และแสดงตนโดยไม่ตั้งใจ ถึงจะรู้ว่าคำพูดของฉันบรรจุความตั้งใจและจุดมุ่งหมายส่วนตัวไว้ ฉันก็ไม่อาจควบคุม ความปรารถนาของตัวเองได้ ฉันอยากเป็นที่เทิดทูนสรรเสริญอยู่เสมอ ตอนเด็กๆ ครอบครัวตามใจและใส่ใจฉันมาก พอโตขึ้นมา ฉันก็กลายมาเป็นเจ้าของกิจการหญิงที่มีชื่อเสียง ทั้งที่บ้าน และที่ทำงาน ฉันอยากเป็นคนมีสิทธิ์ขาดเสมอ ไม่ว่าไปที่ไหน ฉันก็จะได้ยินคำเทิดทูนสรรเสริญจากผู้อื่น ฉันเพลิดเพลินกับความรู้สึกของการเป็นดาวเด่น และการที่ทุกคนสนับสนุน พอมาเชื่อ ฉันก็ไม่เคยพอใจที่เป็นคนธรรมดา และไม่เป็นที่รู้จักในคริสตจักร ฉันมักจะมองหาโอกาส ที่ทำให้คนอื่นเคารพนับถือฉัน ธรรมชาติของเปาโลโอหังเป็นพิเศษ เขามักจะอยากให้ผู้อื่นเคารพบูชา เขาจึงโอ้อวดไปทุกที่ ว่าทำงานหนักแค่ไหน และสู้กับความทุกข์มากแค่ไหน เขาไม่เคยเป็นพยานยืนยันแก่พระคริสต์ในจดหมาย กลับยกย่องตัวเองใต้ธงสนับสนุนของคริสตจักร ต่อมา เขาเป็นพยานยืนยันแก่ตนเองอย่างหน้าไม่อายว่าใช้ชีวิตเป็นพระคริสต์ เหล่าผู้เชื่อต่างบูชา ยกย่อง และใช้เขาเป็นเกณฑ์ ถึงกับถือว่าคำพูดของเขาคือพระวจนะ มันมาถึงจุดที่ สองพันปีต่อมา ผู้เชื่อในศาสนาหลายคนยังยึดติดกับคำของเปาโล และไม่ยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า เปาโลพาคนมาอยู่ต่อหน้าเขา ซึ่งนั่นล่วงเกินพระอุปนิสัย และเขาถูกพระเจ้าลงโทษ ตอนนี้ ฉันเองก็โอหัง และใช้ชีวิตด้วยคำพูดอย่าง “มนุษย์ดิ้นรนขึ้นสู่ที่สูง น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ” “จงโดดเด่นเหนือทุกคนที่เหลือ” รวมถึงแนวคิดเยี่ยงซาตานที่คล้ายกัน ฉันอยากอยู่เหนือคนอื่น โอ้อวด และแสดงพรสวรรค์เสมอ ทำให้เวลามีเรื่องเกิดขึ้น พี่น้องชายหญิงเอาแต่ฟังฉัน ยอมรับสิ่งที่ฉันพูด คิดหาทางชดเชย เวลาจดสิ่งที่ฉันพูดไม่ครบถ้วน ถึงกับบันทึกฉันไว้ เพราะมองว่าคำพูดของฉันสำคัญกว่าพระวจนะ ถึงขนาดนั้นแล้ว ฉันก็ยังไม่รู้จักทบทวนตัวเอง กลับจมจ่อมอยู่ในความพอใจที่เป็นที่นับถือ ฉันมันโอหังและหน้าไม่อายจริงๆ! ฉันไม่มีความรู้เรื่องตัวตนของตัวเอง ไม่ได้เข้าใจว่าฉันคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เป็นมนุษย์ที่ซาตานทำให้เสื่อมทราม ฉันชื่นชมตัวเองมาก อย่างไม่ละอายใจ ฉันอยากให้ผู้อื่นมีฉันในหัวใจ เชื่อฟัง และสนับสนุนฉัน และเพราะฉันโอ้อวดอยู่ตลอด พี่น้องชายหญิงจึงมีที่สำหรับฉันในหัวใจพวกเขา ยิ่งนับถือฉัน พวกเขาก็ยิ่งห่างจากพระเจ้า ฉันกำลังช่วงชิงผู้คนจากพระเจ้าไม่ใช่หรือ? ฉันนึกถึงประกาศกฤษฎีกาบริหารข้อแรกที่ว่า “มนุษย์ไม่ควรเชิดชูตัวเองและไม่ควรยกย่องตัวเอง เขาควรนมัสการและยกย่องพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประกาศกฤษฎีกาบริหารสิบประการซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในยุคแห่งราชอาณาจักรต้องเชื่อฟัง) พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ เราจึงควรนมัสการ และถือว่าทรงสูงสุด แต่ฉันกลับทำให้ผู้คนเคารพ นับถือ และถือว่าฉันสูงสุด ฉันไม่ได้กำลังละเมิดกฤษฎีกาบริหารข้อนี้หรือ? ตอนนั้น ฉันรู้สึกกลัวมาก ฉันตระหนักได้ถึง ธรรมชาติอันร้ายแรงของการโอ้อวด เพื่อให้ผู้คน เคารพบูชาฉัน ขืนยังเป็นต่อไป ฉันคงตกนรก และถูกลงโทษเหมือนเปาโลแน่! ความเจ็บป่วยของฉัน คือพระเจ้ากำลังทรงบ่มวินัย พระองค์ทรงเตือนฉัน ผ่านความเจ็บป่วย ว่าฉันหลงผิด นี่คือความรอดที่ทรงมีต่อฉันค่ะ!

ต่อมา ฉันก็นึกถึงพระวจนะบทตอนนี้ “แม้ว่าพระเจ้าตรัสว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง และว่ามนุษย์คือสิ่งทรงสร้างของพระองค์ ซึ่งอาจฟังคล้ายกับว่ามีความแตกต่างเล็กน้อยในระดับตำแหน่ง แต่ความเป็นจริงก็คือทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงทำเพื่อมวลมนุษย์เหนือล้ำกว่าสัมพันธภาพในลักษณะนี้มากนัก พระเจ้าทรงรักมวลมนุษย์ ใส่พระทัยมวลมนุษย์ และทรงแสดงความห่วงใยต่อมวลมนุษย์ ตลอดจนการจัดเตรียมให้มนุษย์อย่างต่อเนื่องและไม่หยุดหย่อน พระองค์ไม่มีวันทรงรู้สึกในพระทัยของพระองค์ว่านี่เป็นพระราชกิจเพิ่มเติม หรือบางสิ่งที่สมควรได้รับความเชื่อถือมากมาย พระองค์ไม่ทรงรู้สึกว่าการช่วยมนุษยชาติให้รอด การหล่อเลี้ยงพวกเขา และการประทานทุกสิ่งทุกอย่างแก่พวกเขา เป็นการมีส่วนร่วมสนับสนุนมวลมนุษย์อย่างมหาศาล พระองค์เพียงทรงจัดเตรียมให้มวลมนุษย์อย่างเงียบๆ และสงบ ด้วยวิธีของพระองค์เองและโดยผ่านทางแก่นแท้ของพระองค์เอง และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น ไม่สำคัญว่ามวลมนุษย์ได้รับการจัดเตรียมมากเพียงใด และความช่วยเหลือมากเพียงใดจากพระองค์ พระเจ้าก็ไม่มีวันทรงนึกถึงหรือทรงพยายามที่จะได้รับความเชื่อถือ การนี้ถูกกำหนดโดยแก่นแท้ของพระเจ้า และยังเป็นการแสดงออกที่แท้จริงถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างแม่นยำอีกด้วย(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1) พระเจ้าคือพระผู้สร้าง และเพื่อช่วยผู้คนให้รอดจากพันธนาการของซาตาน พระองค์จึงทรงปรากฏในรูปมนุษย์เพื่อทรงงานท่ามกลางผู้คน และสู้ทนกับการกล่าวโทษด้วยพระองค์เอง พระเจ้าทรงสละทุกสิ่งเพื่อมนุษยชาติ ทว่าทรงไม่เคยโอ้อวดเลย แม้ในตอนที่ทรงมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ก็ทรงไม่เคยเอาเปรียบใครในฐานะพระเจ้า พระองค์ทรงจัดหาความจริงและชีวิตให้เราอย่างเงียบๆ ฉันเห็นว่าแก่นแท้ของพระองค์ช่างงดงาม ทรงถ่อมพระองค์และซ่อนเร้น ไร้ความโอหังหรือทระนง ขณะที่ ฉันคือมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม ผู้ซึ่งแต่เดิมไม่มีอะไรเลย ทว่าพระเจ้าทรงยกระดับฉันด้วยหน้าที่ ทรงนำและให้ความรู้แจ้ง ตลอดการทำหน้าที่ แต่ฉันกลับใช้มันเป็นต้นทุน เพื่อโอ้อวดไปทุกที่ ฉันจะได้มีภาพลักษณ์สูงส่งในใจผู้คน และเป็นที่นิยมชอบ ฉันมันไร้ยางอาย น่ารังเกียจ และชั่วร้ายเกินไปในสายพระเนตร ฉันมาเฉพาะพระพักตร์และอธิษฐานว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ผิดไปแล้ว ข้าพระองค์อยากสารภาพบาปและกลับใจ และไม่อยากโอ้อวดต่อไปแล้ว โปรดทรงนำและแสดงเส้นทางแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามให้ข้าพระองค์ที”

ฉันอ่าน พระวจนะสองบทตอนนี้ “สิ่งใดหรือที่คนเราควรทำเพื่อที่จะไม่ยกย่องและให้การเป็นพยานต่อตัวเอง? ในเรื่องเดียวกันนี้ หากเจ้าโอ้อวดตัวเอง เจ้าย่อมจะสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของเจ้าในการยกย่องและการให้การเป็นพยานต่อตัวเจ้าเองและการบันดาลใจให้เกิดความเคารพเทิดทูนในตัวผู้อื่น—แต่หากเจ้าเปิดกว้างและตีแผ่ตัวตนที่แท้จริงของเจ้า แก่นแท้ย่อมแตกต่างออกไป การนี้ย่อมขึ้นอยู่กับรายละเอียดทั้งหลาย หรือมิใช่? ตัวอย่างเช่น ในยามที่เจ้าตีแผ่แรงจูงใจและการคิดคำนึงทั้งหลายของเจ้า เจ้าต้องมีความสามารถที่จะแยกความแตกต่างระหว่างการใช้ถ้อยวลีกับหนทางทั้งหลายของการแสดงตัวตนของเจ้าที่เป็นการรู้จักตนเอง กับหนทางทั้งหลายของการโอ้อวดตัวเจ้าเองเพื่อให้ผู้อื่นให้ความเคารพเทิดทูนเจ้า ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นการยกย่องและการเป็นพยานต่อตัวเจ้าเอง หากเจ้าบอกเล่าวิธีที่เจ้าได้อธิษฐานและแสวงหาความจริงเรื่อยมา โดยยืนหยัดเป็นพยานผ่านทางบททดสอบทั้งหลาย เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นการยกย่องและการเป็นพยานต่อพระเจ้า แน่นอนที่สุดว่า การปฏิบัติดังกล่าวไม่ใช่การโอ้อวดตัวเจ้าเองและการเป็นพยานต่อตัวเจ้าเอง การที่เจ้ากำลังโอ้อวดตัวเจ้าเองหรือเป็นพยานต่อตัวเจ้าเองอยู่หรือไม่นั้น หลักๆ แล้วขึ้นอยู่กับว่าเจ้าได้รับประสบการณ์อย่างแท้จริงแล้วหรือยังกับสิ่งที่เจ้าพูด และว่าผลพวงของคำพยานที่มีต่อพระเจ้าได้สัมฤทธิ์ผลแล้วหรือยัง ดังนั้น จึงจำเป็นเช่นกันที่จะต้องดูสิ่งที่เป็นความตั้งใจและจุดมุ่งหมายของเจ้าในยามที่เจ้าพูดถึงประสบการณ์และคำพยานของของเจ้า สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดทำให้ง่ายต่อการที่จะบอกความแตกต่าง ความตั้งใจของเจ้าก็เกี่ยวข้องด้วยเช่นกันในเวลาที่เจ้าเปิดโปงและชำแหละตัวเอง หากความตั้งใจของเจ้าคือ การแสดงให้ทุกคนเห็นว่าความเสื่อมทรามของเจ้านั้นได้เป็นที่ประจักษ์ชัดอย่างไร เจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างไร และเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้ประโยชน์จากการนี้ เช่นนั้นแล้ว คำพูดของเจ้าก็จริงใจตั้งใจและแท้จริง และอยู่ในแนวเดียวกันกับข้อเท็จจริง ความตั้งใจดังกล่าวถูกต้อง และเจ้ามิใช่กำลังโอ้อวดตัวเองหรือให้การเป็นพยานต่อตัวเอง หากความตั้งใจของเจ้าเป็นไปเพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นสิ่งที่เจ้าได้รับประสบการณ์แล้วจริงๆ และว่าเจ้าได้เปลี่ยนแปลงและครองความเป็นจริงแห่งความจริงแล้ว และด้วยเหตุนั้นจึงได้รับความเลื่อมใสและการให้ความเคารพจากพวกเขา เช่นนั้นแล้ว ความตั้งใจเหล่านี้ก็เทียมเท็จ—และก็ควรถูกเปิดเผยออกมาเช่นกัน หากประสบการณ์และคำพยานที่เจ้าพูดถึงนั้นเทียมเท็จ หากสิ่งเหล่านี้ถูกตรวจแก้และออกแบบมาเพื่อนำผู้คนไปในทางที่ผิด เพื่อหยุดพวกเขาไม่ให้เห็นด้านที่แท้จริงของเจ้า เพื่อกีดกันไม่ให้ความตั้งใจ ความเสื่อมทราม ความอ่อนแอ หรือความคิดลบของเจ้าถูกเปิดเผยต่อผู้อื่น เช่นนั้นแล้ว คำพูดดังกล่าวย่อมเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและเป็นการตีสองหน้า ทั้งนี้ นี่คือคำพยานเทียมเท็จ นี่คือการหลอกลวงพระเจ้า นี่นำความอับอายมาให้แก่พระเจ้า และนี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงดูหมิ่นมากที่สุดในบรรดาทั้งปวง มีความแตกต่างชัดเจนระหว่างสภาวะเหล่านี้ ซึ่งถูกแยกความแตกต่างบนพื้นฐานของแรงจูงใจ(“พวกเขายกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์)ตอนที่กำลังเป็นคำพยานต่อพระเจ้า โดยหลักนั้น เจ้าควรพูดคุยให้มากขึ้นเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงพิพากษาและตัดสินผู้คน การทดสอบอะไรที่พระองค์ทรงใช้ถลุงผู้คนและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา เจ้าควรพูดคุยเกี่ยวกับการที่ความเสื่อมทรามได้ถูกเปิดเผยในประสบการณ์ของพวกเจ้าไปมากเท่าไร เจ้าได้สู้ทนไปมากเท่าใด และพระเจ้าได้ทรงพิชิตเจ้าอย่างไรในท้ายที่สุดนั้น นั่นคือ เจ้ามีความรู้ที่เป็นจริงเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้ามากเท่าไร และเจ้าควรเป็นพยานสำหรับพระเจ้าและชดใช้คืนพระองค์สำหรับความรักของพระองค์อย่างไร พวกเจ้าควรใส่สาระสำคัญเข้าไปในภาษาประเภทนี้ ในขณะเดียวกันก็ทำไปในลักษณะอันเรียบง่าย จงอย่าพูดคุยเกี่ยวกับทฤษฎีอันว่างเปล่าทั้งหลาย จงพูดจาแบบติดดินไม่ถือตัวให้มากกว่านี้ พูดจาจากหัวใจ นี่คือวิธีที่เจ้าควรได้รับประสบการณ์ จงอย่าทำให้มีทฤษฎีว่างเปล่าทั้งหลายที่ดูลุ่มลึกอยู่ในตัวพวกเจ้าเองด้วยความพยายามที่จะโอ้อวด การทำเช่นนั้นทำให้เจ้าปรากฎเป็นค่อนข้างโอหังและไร้เหตุผล เจ้าควรพูดให้มากขึ้นถึงสิ่งทั้งหลายซึ่งเป็นจริงจากประสบการณ์จริงของเจ้าซึ่งเป็นจริงแท้และมาจากหัวใจ การนี้มีประโยชน์ต่อผู้อื่นที่สุด และเป็นการเหมาะสมที่สุดที่พวกเขาจะมองเห็น(“โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันได้เข้าใจจากพระวจนะ ว่าถ้าฉันอยากหยุดยกย่องและเป็นพยานยืนยันให้ตัวเอง ฉันต้องใช้ชีวิตเบื้องพระพักตร์ให้บ่อย มีหัวใจอันเปี่ยมศรัทธาที่ยำเกรงพระเจ้า เปิดใจต่อหน้าพี่น้องชายหญิง เปิดเผยและวิเคราะห์ความเสื่อมทรามของฉันอยู่เสมอ อีกทั้ง พูดถึงประสบการณ์จริง เวลาที่อยากยกย่องและเป็นพยานยืนยันตัวเอง ฉันต้องละทิ้งตัวเอง และตั้งเจตนาให้ถูก ฉันจะต้องเปิดโปงและวิเคราะห์ความเสื่อมทรามในตัวให้บ่อยขึ้น และสามัคคีธรรมตามความรู้เรื่องงานของพระเจ้า หลังประสบกับ การพิพากษาและตีสอนของพระองค์ ฉันควรพูดจากหัวใจให้มากกว่านี้ พี่น้องชายหญิงก็จะได้ประโยชน์ และได้เห็นด้านที่แท้จริงของฉัน พอมีเส้นทางแห่งการปฏิบัติ ฉันก็ตีแผ่ประสบการณ์และความเข้าใจในช่วงนี้ ที่การพบปะกับพี่น้องชายหญิง และบอกพวกเขาว่า ความสว่างอันน้อยนิดในสามัคคีธรรมของฉัน ล้วนมาจากการทรงให้ความรู้แจ้ง ไม่ใช่วุฒิภาวะแท้จริงของฉัน หากไร้การทรงนำของพระเจ้า ฉันคงทำอะไรไม่ได้ พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าการเคารพบูชาฉันเป็นเรื่องที่ผิด และบอกว่าพวกเขาจะไม่บูชาผู้คนอีก พวกเขาบอกว่าจะอธิษฐานต่อพระเจ้า และแสวงหาการทรงนำเมื่อมีปัญหา เพื่อให้ได้ความรู้แจ้งแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ต่อมา เวลาฉันไปที่การพบปะ บางครั้งฉันก็เจอปัญหาที่ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ฉันก็สามารถละวางอัตตา และเปิดใจแสวงหากับพี่น้องชายหญิงได้ พอได้ยินอย่างนี้ พวกเขาก็สามัคคีธรรมความเข้าใจของตัวเองได้ บางทีก็เกี่ยวกับสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจ ซึ่งเป็นประโยชน์กับฉันมาก พวกเขาไม่บูชาฉันเหมือนก่อนแล้ว และเมื่อพบปัญหากับฉัน ก็ชี้ให้เห็นได้โดยตรง พอฉันปรารถนาที่จะยกย่องและโอ้อวดตนอีก ฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้า ยอมรับการทรงตรวจสอบ ขณะเดียวกันฉันก็เปิดใจกับพี่น้องชายหญิง ให้ได้รู้ข้อเสียและข้อบกพร่องของฉัน และยอมรับการกำกับดูแลของพวกเขา ฉันรู้สึกปลอดภัย และสบายใจมาก เมื่อปฏิบัติในทางนี้ ฉันยังได้ลิ้มรสความหอมหวานของการปฏิบัติความจริงด้วย พอตระหนักถึงธรรมชาติอันโอหังและเส้นทางผิดๆ ฉันก็กลับใจต่อพระเจ้า แล้วโรคสะเก็ดเงินก็ค่อยๆ หายไป และฉันก็ดีขึ้นทีละน้อย

หลังประสบกับการบ่มวินัยและตีสอนของพระเจ้า ฉันก็รู้สึกได้อย่างแท้จริง ว่าพระอุปนิสัยชอบธรรมช่างชัดเจน และเป็นจริง ถึงแม้ฉันจะสู้ทนกับความทุกข์บ้าง พระเจตนารมณ์ก็เพื่อช่วยฉันให้รอดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน ซึ่งแสดงให้ฉันเห็นถึงความรักอันแท้จริงของพระเจ้า การพิพากษา ตีสอน บ่มวินัย และสั่งสอนของพระเจ้า ทำให้ฉันหยุดทำชั่ว และดึงฉันกลับมาให้รอดพ้นจากความอันตราย ขอบคุณพระเจ้า!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การเข้าใจว่าการเป็นคนดีหมายถึงอะไร

ตั้งแต่เด็ก พ่อแม่สอนให้ฉันเป็นธรรม มีเหตุผล ใจดีต่อผู้อื่น เข้าใจความยากลำบากของคนอื่น และไม่คิดเล็กคิดน้อย พวกท่านว่านั่นคือการเป็นคนดี...

การทบทวนของ “ผู้นำที่ดี”

ตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ก็สอนให้ฉันเป็นมิตรกับผู้คน เป็นคนที่เข้าหาได้ และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ถ้าบรรดาคนรอบตัวมีปัญหาหรือข้อเสีย...

ติดต่อเราผ่าน Messenger