ผลสืบเนื่องของการไล่ตามความสบาย
หน้าที่ของฉันในคริสตจักรคือการสร้างเทคนิคพิเศษ ระหว่างการผลิตงาน เมื่อฉันมีโปรเจกต์ที่ค่อนข้างลำบากยากเย็น ก็จำเป็นต้องมีการทดลองและแก้ไขเทคนิคในแต่ละเฟรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีความล้มเหลวมากมาย เมื่อสังเกตเห็นว่าโปรเจกต์ของพี่น้องชายหญิงค่อนข้างเรียบง่าย และเสร็จไปมากกว่า ฉันก็คิดว่า “โปรเจกต์ฉัน ข้อกำหนดด้านเทคนิคสูง ฉันต้องใช้เวลาในการคิด ค้นหาวัสดุและทำการศึกษา และรอบการผลิตก็ยาวนาน ถ้ามันเรียบง่ายกว่านี้ ก็คงไม่มีปัญหามากขนาดนี้ ฉันคงแค่ต้องเชี่ยวชาญวิธีการและทักษะง่ายๆ เท่านั้น รอบการผลิตคงจะสั้นกว่านี้ ซึ่งจะทำให้โปรเจกต์เหล่านี้เป็นปัญหาน้อยลง” หลังจากนั้น ขณะทำหน้าที่อยู่นั้น ฉันก็สำรวจดูว่าโปรเจกต์ไหนลำบากยากเย็นและโปรเจคไหนเรียบง่าย แล้วค่อยตัดสินใจรับ ครั้งหนึ่งฉันเลือกทำโปรเจกต์ที่เรียบง่าย ทิ้งโปรเจกต์ที่ซับซ้อนให้พี่น้องชายหญิง เมื่อเห็นว่าพี่น้องชายหญิงพร้อมยินดีรับทำ ฉันก็รู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย “ฉันหดถอยเมื่อเผชิญความลำบากยากเย็นไม่ใช่เหรอ?” แต่แล้วเมื่อคิดว่า “โปรเจกต์ที่ลำบากยากเย็นใช้เวลาและพลังงานมากเกินไป และก็ต้องใช้พลังสมองมากเกินไป ดังนั้นเลือกโปรเจกต์ที่เรียบง่ายจะดีที่สุด” ต่อมาฉันรู้สึกว่ามีอะไรให้ปรับปรุงได้อีกในโปรเจกต์เทคนิคพิเศษโปรเจกต์หนึ่ง แต่ก็ไม่อยากทำงานหนักไปเพื่อเปลี่ยนมัน ฉันสังเกตเห็นว่าพี่น้องชายหญิงไม่ได้มองเห็นปัญหาใดเลย ฉันจึงไม่ได้เปลี่ยนมันและปล่อยผ่านไป บางครั้งเมื่อมีปัญหา ฉันก็แค่คิดเรื่องนั้นอยู่เพียงชั่วครู่ แล้วไปถามพี่น้องชายหญิง ฉันรู้สึกว่านี่แก้ไขปัญหาได้เร็ว ไม่ทำให้ฉันเหนื่อย จึงเป็นวิธีที่ง่ายเพื่อทำงานให้เสร็จ แต่เมื่อทำเช่นนี้ไป ฉันก็รู้สึกตำหนิตัวเอง คำถามบางคำถามเรียบง่ายจริงๆ แค่พยายามสักหน่อยฉันก็แก้ไขพวกมันได้ การถามพี่น้องชายหญิงเป็นการขัดจังหวะหน้าที่ของพวกเขา แต่ฉันก็ไม่ได้ทบทวนหรือพยายามเข้าใจตัวเอง เล่ห์เพทุบายประเภทนี้จึงกลายเป็นบรรทัดฐานที่ฉันใช้ปฏิบัติหน้าที่
หลังจากนั้น ฉันเปลี่ยนไปทำหน้าที่ผลิตวิดีโอ นอกจากการทำวิดีโอแล้ว ฉันต้องเป็นผู้นำพี่น้องชายหญิงในการศึกษา และยกระดับทักษะเชิงวิชาชีพของทุกคน ดังนั้นฉันจึงต้องทำงานมากกว่าปกติ ฉันไม่ใช่แค่ต้องเรียนรู้ทักษะเชิงวิชาชีพ แต่ต้องหาข้อมูลและเตรียมบทเรียนตามความจำเป็นของพี่น้องชายหญิง ทุกอย่างรู้สึกเป็นงานที่ลำบากยากเย็นและเหนื่อยล้า ฉันคิดว่า “หน้าที่ของฉันเมื่อก่อนดีกว่านี้ ฉันไม่ได้มีภาระและแรงกดดันมากมายขนาดนี้ ที่ฉันต้องทำก็คือทำโปรเจกต์ของตัวเองให้เสร็จ ตอนนี้ฉันมีงานมากขึ้นเยอะ มีอะไรต้องกังวลมากกว่าเดิมเยอะ” แค่คิดถึงทั้งหมดนี้ก็ทำให้ฉันปวดหัวแล้ว ต่อมา ฉันเริ่มคิดเกี่ยวกับวิธีที่จะสามารถประหยัดเวลาและไม่รู้สึกเหนื่อยล้าขนาดนั้น ฉันตัดสินใจที่จะส่งสื่อการสอนด้านเทคนิคพิเศษไปให้พี่น้องชายหญิง แบบนั้น พี่น้องชายหญิงจะสามารถศึกษาพวกมันได้ และฉันก็จะไม่จำเป็นต้องใช้เวลาไปกับการหาสื่อ ยิ่งคิดเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าวิธีการนี้ดีที่สุดแล้ว พอผ่านไปสักพัก พี่น้องชายหญิงก็บอกว่าสื่อการสอนพวกนั้นไม่ช่วยแก้ปัญหา ณ เวลานั้นฉันรู้สึกเสียใจนิดหน่อย ดังนั้น เมื่อไม่มีตัวเลือกอื่นใด ฉันจึงได้หาสื่อบางอย่างที่จะสอนทุกคนในแบบที่เรียบง่าย ฉันคิดว่า “เตรียมบทเรียนให้ทุกคนแล้ว งานฉันเสร็จแล้ว” หลังจากนั้นไม่นาน ผู้นำทีมของเราพูดว่า “เร็วๆ นี้ พี่น้องชายหญิงได้พูดว่าปัญหาทางเทคนิค กำลังทำให้การผลิตวิดีโอด้อยมาตรฐาน ต้องแก้งานบ่อยๆ ทำให้กระบวนการล่าช้า” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉันไม่ได้ทบทวนหรือพยายามที่จะเข้าใจตัวเอง ฉันรู้สึกว่าหน้าที่นี้ไม่ใช่แค่ต้องให้เราทนทุกข์และลำบาก แต่ต้องรับผิดชอบหากเกิดความผิดพลาดด้วย ฉันจึงยิ่งไม่ต้องการหน้าที่นี้มากขึ้นไปอีก อยู่มาวันหนึ่ง ผู้นำก็มาหาฉัน และเปิดโปงฉันที่มั่วไปเรื่อยๆ และฉลาดแกมโกงในหน้าที่ และจัดการฉัน ว่าหากฉันไม่ปรับปรุงตัวก็จะถูกปลด เมื่อได้ยินผู้นำพูดเช่นนั้น แม้ฉันจะยอมรับว่าตัวเองมั่วไปเรื่อยๆ ในหน้าที่ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอยากกลับใจเลย เมื่อคิดถึงความยากลำบากและปัญหาที่ต้องเจอในหน้าที่หลังจากนั้น ฉันก็ไม่อยากทำหน้าที่นี้อีกต่อไป ฉันต้องการเปลี่ยนไปทำหน้าที่ที่ง่ายกว่า วันถัดมาฉันไปหาผู้นำ และพูดว่า “ฉันไม่มีความสามารถในการทำหน้าที่นี้ ฉันอยากเปลี่ยนไปทำหน้าที่อื่น” พอได้ยินอย่างนั้น เธอก็จัดการกับฉันว่า “คุณทำหน้าที่นี้ไม่ได้จริงเหรอ? คุณพยายามแล้วจริงเหรอ? คุณเลี่ยงงานหนัก เอาแต่มั่วไปเรื่อยๆ ฉลาดแกมโกง และขาดความเป็นมนุษย์ เมื่อพิจารณาพฤติกรรมเหล่านั้นแล้ว คุณไม่เหมาะสมกับหน้าที่นี้จริงๆ” เมื่อได้ยินผู้นำพูดเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าจู่ๆ หัวใจฉันก็ถูกคว้านออกไป เมื่อกลับไปที่สตูดิโอ ฉันเห็นพี่น้องหญิงคนอื่นๆ ยุ่งอยู่กับหน้าที่ แต่ฉันถูกปลดและเสียหน้าที่ไปแล้ว และเศร้าใจมาก ฉันไม่เคยพิจารณาเลยว่าอาจเสียหน้าที่ไปจริงๆ ตอนนั้น ฉันแก้ต่างอยู่ในใจด้วยซ้ำว่า “ฉันไม่อยากได้หน้าที่นี้ มอบหน้าที่อื่นให้ฉันก็ได้นี่ ทำไมต้องเพิกถอนคุณสมบัติไม่ให้ฉันทำหน้าที่?” แต่ก็คิดว่า “พระเจ้าครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง การที่ฉันถูกปลดเป็นการมาของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า ฉันจำเป็นต้องเชื่อฟังและทบทวนตัวเอง” ในวันต่อๆ มา ฉันเอาแต่เห็นฉากเหตุการณ์ตอนที่ผู้นำปลดฉันวนไปเวียนมาเหมือนภาพยนตร์ เมื่อคิดถึงสิ่งที่ผู้นำพูด ฉันรู้สึกทุกข์ระทม โดยเฉพาะที่สภาวะความเป็นมนุษย์ฉันแย่ ฉันไม่รู้ว่าจะทบทวนหรือรู้จักตัวเองอย่างไรดี ดังนั้น ระหว่างที่เจ็บปวดอยู่นั้น ฉันจึงอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงนำฉันให้รู้จักตัวเอง
ต่อมา ฉันได้เห็นพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง “การรับมือกับสิ่งทั้งหลายอย่างตลกคะนองและไร้ความรับผิดชอบเหลือเกินนั้น ไม่ใช่บางสิ่งที่อยู่ภายในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรอกหรือ? สิ่งใดหรือ? สิ่งนั้นก็คือคราบสกปรก ไม่ว่าในเรื่องอะไรทั้งหมด พวกเขาพูดว่า ‘นั่นถูกต้องแล้ว’ และ ‘ใกล้เคียงพอแล้ว’ นั่นคือท่าทีที่ว่า ‘อาจจะ’ ‘เป็นไปได้’ และ ‘สี่ในห้า’ พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายอย่างขอไปที พึงพอใจที่จะทำขั้นต่ำ และพึงพอใจที่จะมั่วไปเรื่อยๆ ตามที่พวกเขาสามารถทำได้ พวกเขาไม่เห็นประโยชน์ในการถือสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องจริงจังหรือการเพียรพยายามเพื่อความเที่ยงตรง และพวกเขาเห็นประโยชน์น้อยกว่านั้นในการแสวงหาหลักธรรมทั้งหลาย นี่ไม่ใช่บางสิ่งที่อยู่ภายในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรอกหรือ? นั่นเป็นการสำแดงของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือ? การเรียกสิ่งนั้นว่าความโอหังนั้นถูกต้อง และการเรียกสิ่งนั้นว่าเหลวแหลกก็เหมาะสมทั้งสิ้นด้วยเช่นกัน—แต่การที่จะจับภาพสิ่งนั้นอย่างสมบูรณ์แบบ คำพูดเดียวที่จะทำได้ก็คือ ‘เป็นคราบสกปรก’ คราบสกปรกเช่นนั้นมีอยู่ในสภาวะความเป็นมนุษย์ของผู้คนส่วนใหญ่ ไม่ว่าในเรื่องอะไรทั้งหมด พวกเขาก็ปรารถนาที่จะทำน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ปรารถนาที่จะเห็นสิ่งที่พวกเขาสามารถหลบรอดไปได้ และมีกลิ่นโชยวูบของเล่ห์ลวงในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ พวกเขาโกงคนอื่นเมื่อพวกเขาสามารถทำได้ ทำอะไรลวกๆ เมื่อพวกเขามีความสามารถทำได้ และเกลียดที่จะใช้เวลาหรือความคิดให้มากในการพิจารณาเรื่องหนึ่งเรื่อง พวกเขาคิดกับตัวเองว่า ‘ตราบเท่าที่ฉันหลีกเลี่ยงการถูกเปิดโปง และไม่ก่อให้เกิดปัญหา และไม่ถูกตำหนิ เช่นนั้นแล้ว ฉันย่อมมั่วผ่านเรื่องนี้ไปได้ การทำงานหนึ่งให้ดีนั้นยุ่งยากเกินกว่าจะคุ้มค่า’ ผู้คนเช่นนั้นไม่เรียนรู้สิ่งใดให้เชี่ยวชาญเลย และพวกเขาไม่พยายามใช้ความสามารถอย่างหนักในการศึกษาของพวกเขา พวกเขาต้องการเพียงได้รับเค้าโครงกว้างๆ ของหัวเรื่องเท่านั้น แล้วจากนั้นจึงเรียกตัวพวกเขาเองว่าช่ำชองในสิ่งนั้น แล้วจากนั้นจึงพึ่งพาการนี้เพื่อมั่วไปในหนทางของพวกเขาจนตลอดรอดฝั่งไปได้ นี่ไม่ใช่ท่าทีที่ผู้คนมีต่อสิ่งทั้งหลายหรอกหรือ? นั่นใช่ท่าทีที่ดีหรือไม่? ท่าทีจำพวกนี้ซึ่งผู้คนเช่นนั้นนำเอาไปใช้กับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายนั้นอยู่ในคำพูดไม่กี่คำก็คือ ‘มั่วจนตลอดรอดฝั่งไปได้’ และนิสัยผักชีโรยหน้าเช่นนั้นมีอยู่ในมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามทั้งหมด ผู้คนที่มีนิสัยผักชีโรยหน้าอยู่ในสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ใช้ทรรศนะของ ‘การจับแพะชนแกะให้รอดไปวันๆ’ กับทุกสิ่งที่พวกเขาทำ การนี้เปิดโอกาสให้พวกเขาทำสิ่งใดก็ตามอย่างถูกต้องเหมาะสมหรือไม่? ไม่ ดังนั้น พวกเขาสามารถทำสิ่งใดก็ตามให้สำเร็จได้หรือไม่? ยิ่งไม่มีวี่แววว่าจะทำได้เข้าไปใหญ่” “คนเราสามารถบอกความแตกต่างระหว่างผู้คนซึ่งมีสูงศักดิ์และผู้คนซึ่งต่ำช้าได้อย่างไร? แค่ดูที่ท่าทีและลักษณะของพวกเขาในการที่พวกเขาปฏิบัติต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย—ดูที่วิธีที่พวกเขาปฏิบัติตน วิธีที่พวกเขารับมือกับสิ่งทั้งหลาย และวิธีที่พวกเขาประพฤติตนเมื่อประเด็นปัญหาทั้งหลายเกิดขึ้น ผู้คนที่มีบุคลิกลักษณะและศักดิ์ศรีนั้นพิถีพิถัน เคร่งครัด และขยันหมั่นเพียรในการกระทำของพวกเขา และพวกเขาเต็มใจที่จะทำการพลีอุทิศ ผู้คนที่ปราศจากบุคลิกลักษณะและศักดิ์ศรีนั้นจับจดและหละหลวมในการกระทำของพวกเขา ทำเล่ห์กลอยู่เสมอ ต้องการอยู่เสมอที่จะแค่มั่วจนตลอดรอดฝั่งไปได้ พวกเขาไม่เรียนรู้ทักษะใดที่จะเชี่ยวชาญ และไม่สำคัญว่าพวกเขาจะศึกษานานเพียงใด พวกเขายังคงประหลาดใจสับสนโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในเรื่องทั้งหลายเกี่ยวกับทักษะหรืออาชีพ หากเจ้าไม่กดดันเพื่อเอาคำตอบจากพวกเขา ทุกอย่างก็ดูเหมือนว่าเรียบร้อยดี แต่ทันทีที่เจ้ากดดัน พวกเขาก็ตื่นตระหนก—เหงื่อชุ่มคิ้วของพวกเขา และพวกเขาไม่มีการตอบสนอง เหล่านี้คือผู้คนที่มี บุคลิกลักษณะต่ำต้อย” (“พวกเขาคงจะให้ผู้อื่นเชื่อฟังเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่สอง)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) พระวจนะของพระเจ้าเสียดแทงใจฉัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระวจนะของพระองค์ที่ว่า “พวกเขาโกงคนอื่นเมื่อพวกเขาสามารถทำได้ ทำอะไรลวกๆ เมื่อพวกเขามีความสามารถทำได้” “ปราศจากบุคลิกลักษณะและศักดิ์ศรี” และ “บุคลิกลักษณะต่ำต้อย” ล้วนเปิดเผยท่าทีต่อหน้าที่และความเป็นมนุษย์ของฉัน ฉันตระหนักว่านี่คือการปฏิบัติหน้าที่ของฉันเลย ฉันทำทุกอย่างแบบมั่วไปเรื่อย และทำให้เพื่อให้ผ่านมาตรฐานเท่านั้น ฉันคิดถึงผลประโยชน์ฝ่ายเนื้อหนังในทุกสิ่ง หาทางต่างๆ เลี่ยงความทุกข์ และไม่เคยคิดถึงวิธีปฏิบัติหน้าที่ให้ได้ดีเลย เพื่อความสบายกาย เพื่อเลี่ยงความทุกข์และการจ่ายราคา ฉันเลือกทำโปรเจกต์ที่ง่ายกว่าเสมอเวลาผลิตเทคนิคพิเศษ ในกระบวนการผลิตนั้น แม้ตอนที่เห็นปัญหาและสิ่งที่พัฒนาต่อได้ ฉันก็ทนให้มันเป็นไปอย่างนั้น ตราบที่ไม่มีใครอื่นมองเห็น ในการทำหน้าที่ผลิตวิดีโอ ฉันต้องเรียนรู้ทักษะเชิงวิชาชีพ และนำพี่น้องชายหญิงเรียนรู้ทักษะเหล่านั้น ฉันรู้สึกว่าการปฏิบัติหน้าที่นี้กดดันเกินไป เป็นเหตุให้ทนทุกข์มากเกินไป แค่คิดก็ทำให้เหนื่อยแล้ว เพื่อความสบายกาย ฉันจึงลองฉลาดแกมโกง ใช้เล่ห์เหลี่ยม ให้พี่น้องชายหญิงเรียนรู้ด้วยตัวเอง ซึ่งหมายถึงทักษะของพวกเขาไม่เคยดีขึ้นเลย ทำให้หน้าที่พวกเขาประสบผลน้อยลง งานล่าช้า ฉันหลอกลวงใช้เล่ห์เหลี่ยมในหน้าที่ทุกจุด ไม่เคยนึกถึงงานแห่งพระนิเวศหรือการทำหน้าที่ให้ได้ดีเลย ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์สักนิด! ฉันเห็นแก่ตัว น่าดูหมิ่น และมีลักษณะนิสัยต่ำช้าจริงๆ ตอนที่ทบทวน ฉันรู้สึกดิ่งลึกลงไปในความเสียใจและรู้สึกผิด
หลังจากนั้นฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ความว่า “จากภายนอก ตลอดเวลาที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน ผู้คนบางคนไม่ได้ดูเหมือนว่ามีปัญหาร้ายแรงอันใด พวกเขาไม่ได้ทำชั่วอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาไม่ได้ก่อให้เกิดการหยุดชะงักหรือความไม่สงบ หรือเดินบนเส้นทางของพวกศัตรูของพระคริสต์ ในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาไม่มีความผิดพลาดหรือปัญหาใหญ่โตอันใดเกี่ยวกับหลักธรรมเกิดขึ้น แต่กระนั้น โดยไม่ได้ตระหนัก ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี พวกเขากลับถูกเปิดโปงว่าไม่ได้ยอมรับความจริงเลย และเป็นหนึ่งในพวกผู้ปราศจากความเชื่อ เหตุใดนี่จึงเป็นเช่นนั้น? ผู้อื่นไม่สามารถมองเห็นประเด็นปัญหาได้ แต่พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจส่วนในสุดของผู้คนเหล่านี้ และพระองค์ทอดพระเนตรเห็นปัญหาดังกล่าว พวกเขาทำอย่างขอไปทีอยู่เสมอและไม่สำนึกกลับใจในการทำเช่นนั้น เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาจึงถูกเปิดโปงเป็นธรรมดา การที่ยังคงไม่กลับใจหมายความว่าอย่างไร? นั่นหมายความว่าแม้พวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ของตนตั้งแต่ต้นจนจบ แต่พวกเขากลับมีท่าทีที่ผิดอยู่เสมอ ท่าทีแห่งความสะเพร่าและการขอไปที ท่าทีลำลองตามสบาย และพวกเขาไม่มีมโนธรรมเลย นับประสาอะไรที่จะอุทิศตน พวกเขาอาจทุ่มความพยายามเล็กน้อย แต่พวกเขาก็แค่แสร้งทำท่าพอเป็นพิธี พวกเขาไม่ทุ่มเททั้งหมดของพวกเขาให้กับการนั้น และการฝ่าฝืนของพวกเขาก็ไม่มีที่สิ้นสุด จากตำแหน่งที่ทอดพระเนตรเห็นทุกสิ่งของพระเจ้า พวกเขาไม่เคยกลับใจ พวกเขาทำอย่างขอไปทีเสมอมา และไม่เคยมีความเปลี่ยนแปลงอันใดในตัวพวกเขา—นั่นคือ พวกเขาไม่ปล่อยวางความชั่วในมือของพวกเขาและกลับใจต่อพระองค์ พระเจ้าทอดพระเนตรไม่เห็นท่าทีแห่งการกลับใจใหม่ในตัวพวกเขา และพระองค์ทอดพระเนตรไม่เห็นการพลิกกลับในท่าทีของพวกเขา พวกเขายืนกรานในการคำนึงถึงหน้าที่ของพวกเขาและพระบัญชาของพระเจ้าด้วยท่าทีเช่นนั้นและวิธีการเช่นนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันใดในอุปนิสัยอันดื้อดึงและหัวแข็งนี้โดยตลอด และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ พวกเขาไม่เคยรู้สึกเป็นหนี้พระเจ้า ไม่เคยรู้สึกว่าความสะเพร่าและการขอไปทีของพวกเขาเป็นการฝ่าฝืน การทำชั่ว ในหัวใจของพวกเขา ไม่มีความเป็นหนี้เลย ไม่มีความรู้สึกผิดเลย ไม่มีการตำหนิตนเองเลย และนับประสาอะไรที่จะมีการกล่าวหาตนเอง และเมื่อเวลาผ่านไปนาน พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นว่าบุคคลนี้เกินกว่าจะเยียวยา ไม่สำคัญว่าพระเจ้าตรัสสิ่งใด และไม่สำคัญว่าพวกเขาได้ยินคำเทศนากี่คำหรือพวกเขาเข้าใจความจริงมากเพียงใด หัวใจของพวกเขาไม่ได้รับการดลใจและท่าทีของพวกเขาไม่ได้ปรับเปลี่ยนหรือกลับตัว พระเจ้าจึงตรัสว่า ‘ไม่มีความหวังใดเลยสำหรับบุคคลผู้นี้ ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราพูดสัมผัสหัวใจของพวกเขา และไม่มีสิ่งใดเลยที่เราพูดที่ทำให้พวกเขากลับตัว ไม่มีวิถีทางในการเปลี่ยนแปลงพวกเขา บุคคลนี้ไม่เหมาะที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน และพวกเขาไม่เหมาะที่จะให้การปรนนิบัติในบ้านของเรา’ เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสเช่นนี้? นั่นเป็นเพราะเมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนและทำงาน ไม่สำคัญว่าจะหยิบยื่นความอดกลั้นและความอดทนให้พวกเขามากเพียงใด นั่นไม่มีผลใดเลยและไม่สามารถทำให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงได้ นั่นไม่สามารถทำให้พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเป็นอย่างดีได้ นั่นไม่สามารถเปิดโอกาสให้พวกเขาเริ่มเข้าสู่เส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริงได้ บุคคลนี้เกินกว่าจะเยียวยา เมื่อพระเจ้าทรงกำหนดพิจารณาว่าบุคคลนี้เกินกว่าจะเยียวยา พระองค์จะยังคงทรงควบคุมเขาอย่างเข้มงวดหรือไม่? พระองค์จะไม่ทรงทำเช่นนั้น พระเจ้าจะทรงปล่อยพวกเขาไป” (“วิธีแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการสะเพร่าและการสุกเอาเผากินเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) “วิธีที่เจ้าคำนึงถึงพระบัญชาทั้งหลายของพระเจ้านั้น เป็นเรื่องจริงจังอย่างมาก! หากเจ้าไม่สามารถทำสิ่งที่พระเจ้าทรงมอบความไว้วางพระทัยแก่เจ้าให้ครบบริบูรณ์ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่เหมาะที่จะดำรงชีวิตอยู่ในการสถิตของพระองค์และควรถูกลงโทษ การนี้ลิขิตไว้โดยฟ้าและรับรู้โดยแผ่นดินโลกว่าพวกมนุษย์ทำพระบัญชาไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงไว้วางใจมอบหมายต่อพวกเขาให้ครบบริบูรณ์ นี่คือความรับผิดชอบอันสูงส่งที่สุดของพวกเขา และสำคัญพอกันไม่มีผิดกับชีวิตจริงๆ ของพวกเขา หากเจ้าไม่จริงจังกับพระบัญชาของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังทรยศพระองค์ในหนทางที่แสนสาหัสที่สุด ในการนี้ เจ้าน่าวิปโยคกว่ายูดาส และควรถูกสาปแช่ง” (“วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันอ่านพระวจนะซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตระหนักว่าในอดีต แม้ภายนอกจะดูว่าปฏิบัติหน้าที่ แต่ในหัวใจนั้น ฉันกำลังทรยศพระเจ้า ในหน้าที่ ฉันคิดถึงแต่ประโยชน์ฝ่ายเนื้อหนังกับการเลี่ยงความทุกข์ ฉันมั่วไปเรื่อยๆ ด้วยเล่ห์เหลี่ยมและความฉลาดแกมโกง แม้ในยามที่สามารถทำงานได้ดีกว่านั้น ฉันก็ไม่ได้ทำ เพราะฉันรู้สึกว่าถึงจะไม่ได้ทำดีมาก แต่อย่างน้อยมันก็เสร็จ นั่นก็มากพอแล้ว ฉันไม่เคยคิดจริงจังถึงปัญหาของการมั่วไปเรื่อยๆ ของตัวเอง และไม่เคยทบทวนหรือพยายามที่จะเข้าใจตัวเอง ต่อมา ผู้นำก็เปิดเผยและเตือนฉัน ซึ่งเป็นการที่พระเจ้าทรงมอบโอกาสกลับใจให้ฉัน แต่ฉันไม่ได้รู้สึกถึงการกลับใจแม้แต่น้อยนิด ยังคงพิจารณาผลประโยชน์ฝ่ายเนื้อหนังอยู่ดี เมื่อฉันคิดว่าหน้าที่ของฉันจำเป็นต้องทำงานหนักและลำบากอย่างไร ฉันก็ไม่อยากทำหน้าที่นั้นอีกต่อไป ทำไมฉันจึงมึนชาและดื้อดึงอย่างนี้? พระเจ้าทรงมอบโอกาสให้ฉันกลับใจและเปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นความกรุณาจากพระเจ้า แต่ฉัน คิดถึงแต่ประโยชน์ฝ่ายเนื้อหนัง ไม่แสวงหาความจริงหรือทบทวนตน ดื้อดึงต่อต้านพระเจ้าต่อไป ฉันเป็นกบฏยิ่งนัก! หน้าที่ฉันคือพระบัญชาและความรับผิดชอบ ฉันควรทำให้ดีสุดความสามารถเพื่อลุล่วง แต่ฉันไม่เพียงปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดีเท่านั้น ฉันยังมั่วไปเรื่อยๆ เพื่อหลอกลวงพระเจ้า และถึงขั้นปฏิเสธหน้าที่ด้วย นี่มิใช่การทรยศพระเจ้าหรอกหรือ? พระอุปนิสัยอันชอบธรรมไม่ทนการล่วงเกิน พระเจ้าทรงเกลียดทุกอย่างที่ฉันได้ทำไป การที่ฉันถูกปลดแสดงให้เห็นถึงความชอบธรรมของพระเจ้า เมื่อตระหนักเรื่องนี้ ฉันรู้สึกขวัญผวานิดหน่อย ฉันยังรู้สึกผิดที่ทำให้พระเจ้าปวดใจด้วย ฉันมั่วไปเรื่อยๆ แบบนี้ต่อไปไม่ได้ ฉันต้องกลับใจและเปลี่ยนแปลง
หลังจากนั้นฉันก็เผยแผ่ข่าวประเสริฐกับพี่น้องชายหญิง เพราะฉันไม่รู้หลักธรรมและไม่เก่งในเรื่องการพูดคุยกับผู้คน จึงรู้สึกว่าหน้าที่นั้นลำบากยากเย็นมาก และฉันก็ไม่ได้ต้องการทำงานหนักหรือลำบากอีก แต่ฉันก็คิดถึงท่าทีต่อหน้าที่ของฉันก่อนหน้านี้ ตระหนักว่าการที่ประกาศข่าวประเสริฐได้เป็นความกรุณาอันยิ่งใหญ่จากพระเจ้า ฉันไม่ควรวิ่งหนีเมื่อเผชิญความเดือดร้อนเหมือนก่อน ทันทีที่ตระหนักเช่นนั้น ฉันก็รู้สึกคิดบวกมากขึ้นนิดหน่อย
ต่อมาฉันยังทบทวนตัวเองด้วย สงสัยว่าทำไมอยากหดถอยหนีเมื่อรู้สึกว่าหน้าที่ทำให้ลำบาก ตอนนั้นธรรมชาติแบบไหนควบคุมฉัน? หลังจากนั้นฉันได้ดูวิดีโอซึ่งมีการอ่านพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “วันนี้ เจ้าไม่เชื่อวจนะที่เรากล่าว และเจ้าไม่ใส่ใจกับมันเลย เมื่อถึงวันที่พระราชกิจนี้เผยแผ่ออกไป และเจ้ามองเห็นทั้งหมดทั้งสิ้นของมัน เจ้าจะเสียใจ และ ณ เวลานั้น เจ้าจะอึ้งและงงงัน พรทั้งหลายนั้นมีอยู่ ทว่าเจ้าไม่รู้ว่าจะชื่นชมพวกมันอย่างไร และความจริงนั้นมีอยู่ ทว่าเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหามัน นี่เจ้าไม่ได้ทำให้ตัวเองน่าเหยียดหยามหรอกหรือ? วันนี้ ถึงแม้ว่าขั้นตอนถัดไปแห่งพระราชกิจของพระเจ้ายังไม่ได้เริ่มขึ้น ก็ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับข้อเรียกร้องที่ขอจากเจ้าและเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าถูกขอให้ใช้ดำเนินชีวิต มีพระราชกิจมากมายเหลือเกินและความจริงมากมายเหลือเกิน พวกมันไม่มีค่าคู่ควรที่เจ้าจะรู้หรอกหรือ? การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าไร้ความสามารถที่จะปลุกจิตวิญญาณของเจ้าให้ตื่นขึ้นมาหรือ? การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าไร้ความสามารถที่จะทำให้เจ้าเกลียดชังตัวเจ้าเองหรือ? เจ้าพอใจที่จะมีชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตานพร้อมกับสันติสุขและความชื่นบาน และสิ่งชูใจเล็กน้อยทางเนื้อหนังอย่างนั้นหรือ? เจ้าไม่ได้ต่ำต้อยที่สุดในบรรดาผู้คนทั้งหมดหรอกหรือ? ไม่มีใครเลยที่โง่เขลาไปกว่าพวกที่มองดูความรอดแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาที่จะได้รับมัน กล่าวคือ เหล่านี้เป็นผู้คนที่มูมมามไปกับเนื้อหนังจนเกินขนาดและชื่นชมซาตาน เจ้าหวังว่าความเชื่อของเจ้าในพระเจ้าจะไม่พ่วงเอาความท้าทายหรือความทุกข์ลำบากอันใด หรือความยากลำบากแม้เพียงน้อยนิดมาด้วย เจ้าไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านั้นซึ่งไร้ค่าเสมอ และเจ้าไม่ให้คุณค่ากับชีวิต แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับให้ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเจ้าเองมาก่อนความจริง เจ้าช่างไร้ค่ายิ่งนัก! เจ้ามีชีวิตอยู่เหมือนสุกรตัวหนึ่ง—มีความแตกต่างอะไรเล่าระหว่างตัวเจ้า และพวกสุกรกับพวกสุนัข? พวกที่ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่กลับรักเนื้อหนัง ไม่ใช่สัตว์ร้ายทั้งหมดหรอกหรือ? พวกที่ตายไปแล้วและปราศจากจิตวิญญาณไม่ใช่ซากศพที่เดินได้หรอกหรือ? วจนะมากมายเพียงใดแล้วที่ได้กล่าวไปท่ามกลางพวกเจ้า? งานที่ได้ถูกกระทำไปท่ามกลางพวกเจ้ามีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นอย่างนั้นหรือ? เราได้จัดเตรียมไปมากเพียงใดแล้วท่ามกลางพวกเจ้า? แล้วเหตุใดเจ้ายังไม่ได้รับมัน? เจ้ามีอะไรให้ต้องร้องทุกข์หรือ? นี่ไม่ใช่กรณีที่เจ้าไม่ได้รับสิ่งใดเลยเพราะเจ้าหลงรักเนื้อหนังมากเกินไปหรอกหรือ? และนี่ไม่ใช่เพราะความคิดของเจ้านั้นฟุ้งซ่านเกินไปหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่เพราะเจ้าโง่เง่าเกินไปหรอกหรือ? หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะได้รับพรเหล่านี้ เจ้าสามารถติเตียนพระเจ้าเพราะการที่ไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอดได้อย่างนั้นหรือ? สิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาคือการที่จะสามารถได้รับสันติสุขภายหลังการเชื่อในพระเจ้า เพื่อลูกหลานของเจ้าจะได้ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ เพื่อสามีของเจ้าจะมีงานที่ดี เพื่อบุตรชายของเจ้าจะได้เจอภรรยาที่ดี เพื่อบุตรสาวของเจ้าจะได้เจอสามีที่มีความประพฤติดีเหมาะสม เพื่อม้าและโคของเจ้าจะไถพรวนผืนดินได้ดี เพื่อปีที่มีสภาพอากาศที่ดีสำหรับพืชผลของเจ้า นี่คือสิ่งที่เจ้าแสวงหา การไล่ตามเสาะหาของเจ้าก็เพียงเพื่อจะมีชีวิตในความสุขสบาย เพื่อที่จะไม่มีอุบัติภัยตกมาถึงครอบครัวของเจ้า เพื่อที่สายลมจะโชยผ่านเจ้า เพื่อที่ใบหน้าของเจ้าจะไม่สัมผัสกรวดทราย เพื่อที่พืชผลของครอบครัวเจ้าจะไม่ถูกน้ำท่วม ไม่ได้รับผลกระทบจากความวิบัติอันใด เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้า เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในรังอันอุ่นสบาย คนขี้ขลาดอย่างเจ้าผู้ซึ่งไล่ตามเสาะหาเนื้อหนังเสมอนั้น—เจ้ามีหัวใจ เจ้ามีจิตวิญญาณหรือไม่? เจ้าไม่ใช่สัตว์ร้ายหรอกหรือ? เราให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้าโดยไม่ได้ขออะไรกลับคืน กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา เจ้าเป็นหนึ่งในผู้ที่เชื่อในพระเจ้าหรือไม่? เรามอบชีวิตมนุษย์ที่แท้จริงให้แก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา เจ้าไม่ได้ต่างอะไรจากสุกรหรือสุนัขตัวหนึ่งหรอกหรือ? พวกสุกรไม่เสาะหาชีวิตของมนุษย์ พวกมันไม่ไล่ตามเสาะหาการได้รับการชำระให้สะอาด และพวกมันไม่เข้าใจว่าชีวิตคืออะไร ในแต่ละวัน หลังจากที่พวกมันกินกันจนอิ่มแปล้ มันก็แค่หลับไป เราได้ให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ไม่ได้รับมัน เจ้าเป็นคนมือเปล่า เจ้าเต็มใจที่จะดำเนินต่อไปในชีวิตนี้ ชีวิตของสุกรตัวหนึ่งหรือไม่? อะไรคือนัยสำคัญของผู้คนเช่นนั้นที่กำลังมีชีวิตอยู่? ชีวิตของเจ้าช่างน่าเหยียดหยามและต่ำศักดิ์ เจ้ามีชีวิตอยู่ท่ามกลางความโสมมและความเสเพล และเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาเป้าหมายใดเลย ชีวิตของเจ้าไม่ได้ต่ำศักดิ์ที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งหมดหรอกหรือ? เจ้ากล้าดีที่จะพิจารณาตัดสินพระเจ้าหรือ? หากเจ้าได้รับประสบการณ์ในหนทางนี้ต่อไป ใช่ว่าเจ้าจะไม่ได้มาซึ่งสิ่งใดเลยหรอกหรือ? หนทางที่แท้จริงได้ถูกมอบให้เจ้าไปแล้ว แต่การที่เจ้าจะสามารถรับไว้จนถึงที่สุดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาส่วนบุคคลของตัวเจ้าเอง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา) คำถามของพระเจ้าทุกคำถามแทงหัวใจของฉัน ราวกับว่าพระเจ้ากำลังตรัสถามฉันซึ่งหน้า ฉันรู้สึกว่าติดค้างพระเจ้ามากเหลือเกิน ฉันคิดถึงวิธีที่พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ทรงแสดงความจริงมากมายยิ่งนักเพื่อให้น้ำและจัดหาแก่พวกเรา เพื่อให้พวกเราสามารถได้รับความจริง สลัดทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และมีโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอด นี่คือพระพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้าทรงมีให้มนุษยชาติ ผู้มีปัญญาที่แท้จริงจะทะนุถนอมโอกาสซึ่งจัดเตรียมโดยพระราชกิจของพระเจ้า ใช้เวลาในการไล่ตามเสาะหาความจริง ลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตระหว่างการทำหน้าที่ สุดท้ายก็เข้าใจความจริงและถูกพระเจ้าช่วยให้รอดอย่างสมบูรณ์ แต่คนหูหนวกตาบอดและไม่รู้เท่าทันเพียรพยายามให้ได้มาซึ่งความชื่นชมยินดีฝ่ายเนื้อหนังและเอาตัวรอด พวกเขาไม่อุตสาหะเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาแสร้งทำท่าพอเป็นพิธีและใช้ความพยายามเล็กน้อยในการทำหน้าที่ และไม่ว่าพวกเขาเชื่อยาวนานเพียงใด พวกเขาไม่เคยเข้าใจความจริงเลย ไม่สัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงใดเลยในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิต ในท้ายที่สุดแล้วก็ถูกพระเจ้าทรงกำจัดทิ้ง ฉันคิดถึงตัวเอง ฉันเป็นคนไม่รู้เท่าทันแบบทนี้เลยไม่ใช่เหรอ? ปรัชญาเยี่ยงซาตานอย่างเช่น “จงใช้ชีวิตแบบไม่คิดอะไรให้เป็นไปโดยอัตโนมัติ” และ “ความเกียจคร้านมีพรของมัน” คือหลักธรรมที่ฉันใช้ในการดำรงชีวิต แต่ละวันฉันยอมรับสถานภาพปัจจุบัน ทำงานเพื่อเอาตัวรอด และแสวงหาสิ่งชูใจฝ่ายเนื้อหนัง ฉันได้เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีโดยไม่ได้แสวงหาความจริงหรือมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย ไม่มุ่งเน้นว่าหน้าที่ของฉันสอดคล้องกับน้ำพระทัยหรือไม่ ความชื่นชมยินดีฝ่ายเนื้อหนังสำคัญต่อฉันมากกว่าน้ำพระทัยของพระเจ้า เมื่อใดที่หน้าที่พึงกำหนดให้ฉันต้องทนทุกข์หรือยอมลงทุนลำบาก ฉันก็มั่วไปเรื่อยๆ และอาศัยเล่ห์เหลี่ยมและเล่ห์ลวง เป็นเหตุให้หน้าที่ของฉันไม่สัมฤทธิ์ผล และทำให้งานแห่งพระนิเวศล่าช้า และแม้จะเป็นเช่นนั้น ฉันก็ไม่รู้สึกถึงความสำนึกผิดหรือความรู้สึกผิดเลย การใฝ่หาความชูใจทำให้ฉันเสื่อมถอย ไม่แยแสต่อการปรับปรุง และไร้ความคิด ฉันก็แค่ทิ้งชีวิตไปเปล่าๆ มิใช่หรือ? ฉันแตกต่างไปจากสัตว์ร้ายอย่างไรบ้าง? สุดท้ายแล้วฉันก็เห็นว่า พิษเยี่ยงซาตานคือเหตุผลวิบัติที่ซาตานใช้เพื่อทำให้ผู้คนเสื่อมทราม พวกมันทำให้ผู้คนไล่ตามเสาะหาความชูใจ ไม่แสวงหาการปรับปรุง กลายเป็นเสื่อมถอย ในท้ายที่สุดก็ตายลงด้วยความไม่รู้เท่าทัน การเสียหน้าที่ไปนั้นฉันโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง ฉันขี้เกียจเกินไป ฉันมีบุคลิกลักษณะที่เหลาะแหละ ไม่ควรค่าแก่ความไว้วางใจของผู้ใด ซึ่งทำให้พี่น้องชายหญิงรังเกียจและทำให้พระเจ้าทรงเกลียดฉัน ในอดีตฉันรู้สึกว่าหน้าที่ซึ่งมีข้อกำหนดที่สูงและกิจมากมายนั้น เทียบเท่ากับความทุกข์ แต่นี่ไม่ใช่การทนทุกข์สำหรับหน้าที่เลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าธรรมชาติของฉันขี้เกียจและเห็นแก่ตัวเกินไป ฉันกังวลสนใจกับเนื้อหนังเกินไป แม้ว่าพวกเราจำเป็นต้องทนทุกข์และยอมลงทุนลำบากเมื่อความลำบากยากเย็นเกิดขึ้นในชีวิต แต่เหล่านี้คือสิ่งที่พวกเราสามารถทนได้ เพราะพระเจ้าไม่ทรงมอบภาระที่เกินกว่าจะทนให้พวกเราเลย พระเจ้าทรงใช้ความลำบากยากเย็นเหล่านี้เพื่อแสดงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและความขาดตกบกพร่องของฉัน เพื่อให้ฉันสามารถรู้จักตัวเอง แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา และเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของฉันได้ ในเวลาเดียวกัน พระเจ้าทรงหวังว่าฉันจะสามารถเรียนรู้ที่จะพึ่งพาพระองค์ในยามที่เผชิญหน้ากับความลำบากยากเย็นเหล่านี้ และมีความเชื่อที่จริงใจ ในอดีตฉันไม่รู้เท่าทัน หูหนวกตาบอด และไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า เสียโอกาสเหมาะมากมายที่จะได้รับความจริงและได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า และปล่อยให้เวลาที่แสนวิเศษนี้ผ่านไปโดยสูญเปล่า แม้ว่าจะมีความชูใจฝ่ายเนื้อหนัง และไม่ได้ทนทุกข์หรือต้องยอมลงทุนลำบากมากนัก แต่ฉันก็ไม่ได้ครองความจริงอันใดและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามก็ไม่ได้รับการแก้ไข ฉันไม่ได้สะสมความประพฤติดีใดเลยในการทำหน้าที่ ทำให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าล่าช้า และทำให้พระเจ้าทรงขยะแขยง หากยังดำรงชีวิตในลักษณะที่หัวทึบเช่นนี้ต่อไป สุดท้ายแล้วฉันก็คงจะสูญเสียความรอดของพระเจ้าไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนั้น ฉันรู้สึกย่ำแย่มากและรังเกียจตัวเอง และไม่ได้ต้องการใช้ชีวิตเยี่ยงสัตว์อีกต่อไป
อยู่มาวันหนึ่งระหว่างการเฝ้าเดี่ยว ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง “การไล่ตามเสาะหาของวันนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งการวางรากฐานสำหรับพระราชกิจในอนาคตอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เพื่อที่เจ้าอาจถูกใช้โดยพระเจ้า และสามารถเป็นพยานต่อพระองค์ได้ หากเจ้าทำให้การนี้เป็นเป้าหมายแห่งการไล่ตามเสาะหาของเจ้า เจ้าย่อมจะมีความสามารถที่จะได้รับการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เจ้ายิ่งตั้งเป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาของเจ้าสูงขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมมากขึ้นเท่านั้น เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงมากขึ้นเท่าใด พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ยิ่งทรงพระราชกิจมากขึ้นเท่านั้น เจ้ายิ่งทุ่มกำลังวังชาเข้าไปในการไล่ตามเสาะหามากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งได้รับมากขึ้นเท่านั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำให้ผู้คนมีความเพียบพร้อมไปตามสภาวะภายในของพวกเขา ผู้คนบางคนกล่าวว่า พวกเขาไม่เต็มใจที่จะถูกใช้โดยพระเจ้า หรือได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระองค์ ว่าพวกเขาแค่ต้องการให้เนื้อหนังของพวกเขาคงอยู่อย่างปลอดภัยและไม่ทุกข์ทนกับความโชคร้ายอันใด ผู้คนบางคนไม่เต็มใจที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักร ทว่ากลับเต็มใจที่จะลงไปสู่บาดาลลึก ในกรณีนั้น พระเจ้าก็จะทรงอนุญาตให้ตามที่เจ้าปรารถนา สิ่งใดก็ตามที่เจ้าไล่ตามเสาะหา พระเจ้าจะทรงทำให้มันเกิดขึ้น ดังนั้นแล้ว สิ่งใดเล่าที่เจ้ากำลังไล่ตามเสาะหา ณ ปัจจุบัน? ใช่การได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมหรือไม่? การกระทำและพฤติกรรมปัจจุบันของเจ้านั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของการได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า และการได้รับการรับไว้โดยพระองค์หรือไม่? เจ้าต้องประเมินวัดตัวเจ้าเองดังนั้นอย่างสม่ำเสมอในชีวิตประจำวันของเจ้า หากเจ้าทุ่มหมดทั้งหัวใจเข้าไปในการไล่ตามเสาะหาเพียงเป้าหมายเดียว แน่ใจได้เลยว่าพระเจ้าจะทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม เช่นนั้นเองที่เป็นเส้นทางของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เส้นทางที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำผู้คนอยู่นั้นบรรลุได้โดยวิถีทางแห่งการไล่ตามเสาะหาของพวกเขา ยิ่งเจ้ากระหายที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและได้รับการรับไว้โดยพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ยิ่งทรงพระราชกิจภายในตัวเจ้ามากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเจ้าล้มเหลวที่จะแสวงหามากขึ้นเท่าใด และยิ่งเจ้าคิดลบและถอยหลังมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งตัดโอกาสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการทรงพระราชกิจมากขึ้นเท่านั้น ในขณะที่เวลาดำเนินต่อไป พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะทรงทอดทิ้งเจ้า เจ้าปรารถนาที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าหรือไม่? เจ้าปรารถนาที่จะได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าหรือไม่? เจ้าปรารถนาที่จะถูกใช้โดยพระเจ้าหรือไม่? เจ้าควรไล่ตามเสาะหาการทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประโยชน์แห่งการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม และการได้รับการรับไว้ และการถูกใช้โดยพระเจ้า เพื่อที่จักรวาลและทุกสรรพสิ่งสามารถมองเห็นได้ว่า การกระทำทั้งหลายของพระเจ้าได้รับการสำแดงอยู่ในตัวเจ้า พวกเจ้าเป็นนายท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง และในท่ามกลางของทุกสิ่งที่มีอยู่ เจ้าจะปล่อยให้พระเจ้าทรงชื่นชมคำพยานและพระสิริโดยผ่านทางพวกเจ้า—นี่คือข้อพิสูจน์ว่า พวกเจ้านั้นเป็นที่ได้รับการอวยพรมากที่สุดในบรรดาชนทุกรุ่น!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนที่ได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยแล้วคือบรรดาผู้ที่ได้เข้าไปสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าแล้ว) “เจ้าต้องทนทุกข์กับความยากลำบากเพื่อความจริง เจ้าต้องมอบตัวเจ้าให้กับความจริง เจ้าต้องสู้ทนการดูหมิ่นเหยียดหยามเพื่อความจริง และเจ้าต้องก้าวผ่านความทุกข์มากขึ้นเพื่อที่จะได้รับความจริงมากขึ้น นี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำ เจ้าต้องไม่โยนความจริงทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ชีวิตครอบครัวอันสงบสุข และเจ้าจะต้องไม่สูญสิ้นศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์สุจริตของชีวิตเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีชั่วครู่ชั่วยาม เจ้าควรไล่ตามเสาะหาทั้งหมดที่ดีงามและงดงาม และเจ้าควรไล่ตามเสาะหาเส้นทางในชีวิตที่เปี่ยมความหมายมากขึ้น หากเจ้าดำเนินชีวิตที่ช่างหยาบช้าสามานย์เช่นนั้น และไม่เสาะหาวัตถุประสงค์ใดๆ เจ้าไม่ได้ทิ้งชีวิตไปอย่างสูญเปล่าหรอกหรือ? เจ้าสามารถได้รับอะไรบ้างจากชีวิตเช่นนั้น? เจ้าควรละทิ้งความชื่นชมยินดีทั้งหมดของเนื้อหนังเพื่อเห็นแก่ความจริงหนึ่งประการ และไม่ควรโยนความจริงทั้งหมดทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีเพียงเล็กน้อย ผู้คนเช่นนี้ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตหรือศักดิ์ศรีเลย การดำรงอยู่ของพวกเขาช่างปราศจากความหมาย!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจว่า การที่จะได้รับความจริงในการทำหน้าที่นั้น พวกเราต้องทรยศเนื้อหนังและปฏิบัติตามความจริง จากนั้นจึงจะได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้าในที่สุด นี่คือหนทางอันเปี่ยมความหมายและมีคุณค่าที่สุดที่จะดำรงชีวิต หากพวกเราทอดทิ้งความจริงเพื่อความชูใจฝ่ายเนื้อหนังชั่วครู่ชั่วยาม เช่นนั้นแล้วพวกเราก็จะใช้ชีวิตโดยปราศจากศักดิ์ศรี สูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และในที่สุดก็ถูกพระเจ้าทรงกำจัดทิ้งและสูญเสียโอกาสกับความรอด ฉันยังเรียนรู้อีกว่า การที่จะแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการกระหายความชูใจฝ่ายเนื้อหนังนั้น พวกเราจำเป็นต้องมีหัวใจที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ทบทวนตัวเองบ่อยๆ เมื่อเกิดสิ่งทั้งหลายขึ้น มุ่งความพยายามไปที่การทำหน้าที่ และเมื่อเผชิญความลำบากยากเย็น ก็จำเป็นต้องสามารถไม่ยอมรับเนื้อหนัง ละทิ้งตัวเอง และอารักขางานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้ นี่คือวิธีรับการทรงนำและพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทันทีที่ตระหนักสิ่งเหล่านี้ หัวใจของฉันก็รู้สึกสว่างไสว ฉันสาบานว่าจะละทิ้งเนื้อหนังและใช้ความพยายามทั้งหมดในการทำหน้าที่
หลังจากนั้น ฉันใช้มโนธรรมคำนึงถึงว่าจะประกาศข่าวประเสริฐให้ดีได้อย่างไร เมื่อหลักธรรมไม่ชัดเจนสำหรับฉัน ฉันก็แสวงหากับพี่น้องชายหญิง หาเวลาศึกษากับคนอื่นทุกคน ต่อมา เมื่อต้องทำมากสิ่งขึ้นกว่าเดิมในการประกาศข่าวประเสริฐ ฉันไม่ได้รู้สึกเหมือนว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นความเดือดร้อนมากขนาดนั้นอีกเลย ฉันกลับรู้สึกว่านั่นคือสิ่งที่ควรทำและเป็นความรับผิดชอบ แม้ว่าจะยุ่งมากทุกวัน แต่ฉันก็รู้สึกมั่งคั่ง
อยู่มาวันหนึ่งผู้นำก็มาหาฉันโดยไม่คาดคิด ขอให้ฉันกลับไปทำหน้าที่ด้านเทคนิคพิเศษ เมื่อได้ยินข่าวนี้ ฉันตื่นเต้นมาก นอกเหนือไปจากการสำนึกในบุญคุณต่อพระเจ้าแล้ว ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ฉันหวนคิดถึงว่าฉันใส่ใจในเนื้อหนัง และทำหน้าที่มั่วๆ อย่างไรในอดีต ฉันรู้สึกเป็นหนี้พระเจ้าเป็นพิเศษ ฉันไม่สามารถชดเชยความผิดพลาดในอดีตได้ จึงทำได้ตอบแทนความรักของพระเจ้าในการทำหน้าที่ตอนนี้ ต่อมาเมื่อเผชิญความลำบากยากเย็นในการทำหน้าที่ ฉันตั้งใจอธิษฐานต่อพระเจ้าและพิจารณาวิธีแก้ไขความลำบากยากเย็น ครั้งหนึ่งโปรเจคเทคนิคพิเศษโปรเจคหนึ่งไม่ได้ผลงานออกมาดีสักเท่าไหร่ ผู้นำทีมและบุคคลที่กำกับดูแลก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร ฉันก็ติดกับอยู่ในความลำบากยากเย็นเช่นกันและไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นแก้ไขอย่างไร ฉันคิดว่า “หากพยายามแก้ไขมันเรื่อยไป ใช้เวลาบ้าง และทำไปเรื่อยๆ ฉันไม่รู้ว่าจะสามารถแก้ไขมันให้ถูกต้องได้หรือไม่ บางทีน่าจะให้ใครคนอื่นทำเรื่องนี้” ฉันตระหนักว่าความคิดเหล่านั้นก็คือการที่ฉันพยายามที่จะหลีกเลี่ยงความลำบากยากเย็นอีก ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าโดยเร็ว ฉันหวนคิดได้ถึงพระวจนะของพระเจ้า “เมื่อหน้าที่หนึ่งมาอยู่ตรงหน้าเจ้า และหน้าที่นั้นได้รับการไว้วางใจมอบหมายให้เจ้าทำ จงอย่าคิดถึงวิธีหลีกเลี่ยงความลำบากยากเย็น หากบางสิ่งลำบากยากเย็น จงอย่าเพิกเฉยและวางสิ่งนั้นไว้ข้างหนึ่งก่อน เจ้าต้องเผชิญกับสิ่งนั้นซึ่งหน้า เจ้าต้องจำให้ได้ตลอดเวลาว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเจ้า ว่าหากมีพระเจ้าแล้ว ไม่มีสิ่งใดเลยที่ยากลำบาก เจ้าต้องมีความเชื่อนี้” (“วิธีแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการสะเพร่าและการสุกเอาเผากินเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าได้ให้เส้นทางของการปฏิบัติแก่ฉัน ไม่ว่าจะเผชิญปัญหาและความลำบากยากเย็นใดในการทำหน้าที่ พวกเราก็ควรพึ่งพาพระเจ้าเพื่อแสวงหาหนทางที่จะแก้ไขสิ่งเหล่านั้น พวกเราไม่ควรพยายามที่จะหลีกเลี่ยงความลำบากยากเย็นหรือหดถอยจากการทำหน้าที่เนื่องจากความทุกข์ฝ่ายเนื้อหนัง หนทางนั้นคือการทรยศและการไม่เชื่อฟังพระเจ้า ทันทีที่ตระหนักเช่นนี้ ฉันก็สัญญากับตัวเอง ว่าครั้งนี้ฉันจะพึ่งพาพระเจ้า ละทิ้งเนื้อหนัง และทุ่มความพยายามที่จะแก้ไขโปรเจคนี้ ฉันใจเย็นลงแล้วก็แก้ไขโปรเจคนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดก็ทำการแก้ไขที่จำเป็นสำเร็จ หลังจากที่ดูแล้ว ทุกคนรู้สึกว่าโปรเจคนี้ดีและไม่มีข้อเสนอแนะอันใด หลังจากที่ปฏิบัติเช่นนี้ หัวใจของฉันก็มีสันติสุขและสบายใจ ฉันรู้สึกว่าการยอมลงทุนลำบากในหน้าที่คือพระพรจากพระเจ้าอย่างแท้จริง ขอบคุณพระเจ้า!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ