จงเห็นพ่อแม่อย่างที่ท่านเป็น

วันที่ 29 เดือน 07 ปี 2022

โดย ซินเช่อ, เกาหลีใต้

ตั้งแต่ยังเด็ก ฉันมักจะมองพ่อแม่ เป็นต้นแบบในการติดตามพระเจ้า ในความเชื่อนั้น พวกท่านดูกระตือรือร้น และเต็มใจพลีอุทิศจริงๆ หลังยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่นาน แม่ฉันก็ลาออกจากงานที่ดี เพื่อมาทำหน้าที่เต็มเวลา ท่านพอมีทักษะความรู้อยู่บ้าง และเต็มใจยอมลำบาก จึงมีหน้าที่สำคัญในคริสตจักรเสมอ ต่อมา ครอบครัวเราโดนยูดาสหักหลัง เราสามคนจึงต้องไปซ่อนตัว เพื่อเลี่ยงการจับกุม ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ถึงอย่างนั้น พ่อแม่ก็ยังคงทำหน้าที่ต่อ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอันเรียบง่าย พฤติกรรมของพวกท่าน ก็ดูเปี่ยมศรัทธาและจิตวิญญาณ ฉันได้ยินสมาชิกคริสตจักรพูดอยู่บ่อยๆ ว่าพ่อกับแม่มีความเป็นมนุษย์ที่ดี เป็นผู้เชื่อแท้จริง และไล่ตามความจริง เพราะการกดขี่ของพรรคทำให้ฉัน ต้องแยกจากพ่อแม่ตอนอายุได้สิบขวบ และเราก็ไม่ได้เจอหน้ากันอีก แต่ฉันยังประทับใจในตัวพวกท่านมากเสมอ ฉันนับถือพ่อกับแม่จริงๆ และรู้สึกเหมือน ท่านมีความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ในพระเจ้า รู้สึกว่าด้วยการเสียสละ และทำหน้าที่สำคัญ พวกท่านต้องไล่ตามความจริง มีความเป็นมนุษย์ที่ดี และพระเจ้าต้องทรงเห็นชอบแน่ ฉันถึงกับรู้สึกเหมือน พ่อกับแม่คือคนที่จะถูกช่วยให้รอดได้ ฉันรู้สึกภูมิใจมากจริงๆ ที่มีพ่อแม่แบบนั้น

ต่อมา เราต้องหนีไปต่างประเทศ เพราะการข่มเหงจากพรรค ตอนที่ ฉันกลับมาติดต่อกับพ่อแม่ ฉันก็เห็นพวกท่าน ยังทำหน้าที่อยู่ที่นั่น ยิ่งตอนที่รู้ว่าแม่มีบทบาทมากมายในฐานะหัวหน้างาน ฉันก็ยิ่งนับถือท่าน พ่อกับแม่เป็นผู้เชื่อมาหลายปี ยอมเสียสละหลายสิ่ง แถมยังมีหน้าที่สำคัญอีก พวกท่านคงแสวงหาความจริง และมีวุฒิภาวะ ดังนั้นถ้าเกิดฉันมีเรื่องยากลำบากอะไร ฉันก็ไปขอให้พวกท่านช่วยเหลือได้ มันยอดเยี่ยมจริงๆ หลังจากนั้น บางครั้งเราก็ได้คุยกันถึงสภาวะที่เป็นอยู่

ครั้งหนึ่ง พ่อบอกว่า ในสายตาของท่าน ท่านกำลังทำงานที่ไม่ต้องใช้เทคนิคเฉพาะ และอยากเปลี่ยนงานอยู่เสมอ ตอนนั้นฉันก็กำลังมีประสบการณ์แบบเดียวกัน เราเลยสามัคคีธรรม และแบ่งปันพระวจนะให้แก่กัน ในเวลาไม่นาน ผ่านการกินดื่มพระวจนะ และแสวงหาความจริง ฉันก็เห็นว่าตัวเองจุกจิกเรื่องหน้าที่ ฉันอยากทำหน้าที่ที่ทำให้ดูดี ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ตั้งใจทำ ช่างเห็นแก่ตัว ไม่แสดงถึงความเชื่อแท้จริง ฉันเกิดความดูหมิ่นตัวเอง และออกจากสภาวะนั้นมาได้ แต่พ่อ ยังติดอยู่กับสภาวะนั้น และขาดแรงจูงใจในการทำหน้าที่ ฉันรู้สึกสับสนขึ้นมา ในเมื่อพ่อ เป็นผู้เชื่อมาสิบกว่าปี ท่านก็ควรมีวุฒิภาวะอยู่บ้าง ทำไมท่านแก้ไขปัญหาเรื่องการจุกจิกและเลือกทำหน้าที่ไม่ได้? ฉันยังตระหนักด้วยว่า ตอนที่คุยกับพ่อแม่เรื่องปัญหาของฉัน ท่านก็จะส่งพระวจนะมา และแบ่งปันมุมองต่อสิ่งต่างๆ แต่สิ่งที่พวกท่านพูด จริงๆ แล้วไม่ได้ช่วยฉันเลย ตั้งแต่นั้นมา ฉันก็เริ่มรู้สึกรางๆ ว่าพวกท่านไม่ได้เข้าใจความจริงจริงๆ อย่างที่ฉันคิด ต่อมา พี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมเรื่องการเขียนเรียงความคำพยาน ฉันคิดว่าในฐานะผู้ที่เชื่อมานาน พ่อแม่ต้องมีประสบการณ์เยอะ โดยเฉพาะแม่ ท่านถูกศัตรูของพระคริสต์กดขี่ และขับไล่จากคริสตจักรอย่างไม่เป็นธรรม แต่ท่านก็ยังเผยแผ่ข่าวประเสริฐต่อไป หลังถูกเรียกตัวกลับมา ท่านก็ทุ่มเททุกอย่าง ไม่ว่าจะทำหน้าที่อะไรก็ตาม แถมท่านยังเปลี่ยนหน้าที่หลายครั้ง จึงต้องมีประสบการณ์มากมาย ฉันคิดว่าแม่ควรเขียนถึงมัน เพื่อเป็นพยานยืนยันแก่พระเจ้า ฉันเริ่ม รบเร้าให้แม่เขียนเรียงความอยู่เป็นครั้งคราว แต่ท่าน ก็คอยบ่ายเบี่ยง บอกว่าอยากเขียน แต่ยุ่งกับหน้าที่เกินไป และหาจังหวะเงียบๆ ไม่ได้ ฉันผลักดันแม่ต่อไป แต่ท่านก็ไม่เขียนอะไรเลย ครั้งหนึ่ง แม่บอกฉันว่า ตอนที่พยายามเขียนท่านเรียบเรียงความคิดไม่ได้ และไม่รู้จะเริ่มตรงไหน เลยอยากหารือกับฉัน ฉันมีความสุขมาก ฉันอยากฟังประสบการณ์ทุกเรื่องตลอดหลายปีของแม่จริงๆ แต่ฉันประหลาดใจมาก ตอนแม่เล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้น กับความเสื่อมทรามที่ท่านแสดง ท่านไม่ได้แบ่งปันความเข้าใจที่แท้จริงเลย กลับพูดถึงเรื่องเชิงลบ และการจำกัดตัวเองมากมาย การพูดถึงประสบการณ์ในอดีตของแม่ ดูเจ็บปวดจริงๆ เหมือนกับท่านแค่นบนอบไปแบบไม่มีทางเลือก ฉันไม่ได้ยินท่านพูดว่าได้รับอะไรมาบ้างเลย พอเราคุยกันจบ ฉันก็รู้สึกผิดหวังจริงๆ ฉันคิดว่า ถ้าที่จริงแล้วแม่ได้รับอะไรมาบ้าง ไม่ว่าตอนนั้นมันจะเจ็บปวดแค่ไหน การอ่านพระวจนะ แสวงหาความจริง และเรียนรู้น้ำพระทัย คงทำให้ท่านเข้าใจตัวเอง และเข้าใจพระเจ้าจริงๆ ได้ และสุดท้ายก็คงนำมาซึ่งความเพลิดเพลินแท้จริง แต่การพูดถึงประสบการณ์ในอดีตของแม่ ยังฟังดูเจ็บปวดอยู่มาก และความเข้าใจในตัวเองของท่านก็ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง นั่นแปลว่า ท่านขาดประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงไม่ใช่เหรอ? ฉันเลยเริ่มเข้าใจ ไม่แปลกใจที่ท่านอึกอักจะเขียนคำพยานแก่พระเจ้า ทำเป็นพูดว่าไม่มีเวลา แม่ไม่ได้รับความจริง หรือได้รับอะไรจริงๆ เลย ท่านจึงเขียนคำพยานไม่ได้ พ่อฉันยินดีที่จะลองเขียนดูค่ะ แต่มันเต็มไปด้วยเรื่องสัพเพเหระ ไม่ได้มีเรื่องการรู้จักตัวเอง หรือสิ่งที่ท่านได้รับมากนัก มันไม่สมกับการที่ท่านเชื่อมาหลายปีเลย ฉันนึกถึงที่พระเจ้าตรัสว่า “การที่เจ้าจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้หรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าความอาวุโสของเจ้านั้นมีมากน้อยเพียงใดหรือว่าเจ้าได้ทำงานมาแล้วจนถึงขณะนี้เป็นเวลากี่ปีแล้ว และนับประสาอะไรที่มันจะขึ้นอยู่กับว่าเจ้าได้สร้างสมวิทยฐานะมามากน้อยเพียงใด แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มันขึ้นอยู่กับว่าการไล่ตามเสาะหาของเจ้าได้ให้ผลแล้วหรือไม่ เจ้าควรที่จะรู้ว่าบรรดาผู้ที่ได้รับการช่วยให้รอดคือ ‘ต้นไม้’ ที่ให้ผล ไม่ใช่ต้นไม้ที่มีใบไม้เขียวชอุ่มและดอกไม้อันอุดมที่ยังไม่เคยออกผลเลย ต่อให้เจ้าได้ใช้เวลาหลายปีร่อนเร่ไปตามท้องถนน นั่นสำคัญอะไรเล่า? คำพยานของเจ้าอยู่ที่ใด?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (7)) นั่นคือสิ่งที่เตือนสติฉัน จริงด้วย ไม่ว่าใครจะอาวุโส ทำงานหนัก หรือมีประสบการณ์ที่สั่งสมมาแค่ไหน ถ้าพวกเขาไม่ได้รับอะไรอย่างแท้จริงจากสิ่งที่เผชิญ ถ้าไม่ได้รับความจริง หรือเป็นคำพยาน ก็แปลว่าพวกเขาขาดชีวิต คนแบบนั้นไม่มีวันถูกช่วยให้รอดได้ พอเข้าใจเรื่องนี้ชัดเจน ฉันก็อธิบายความรู้สึกไม่ถูกเลย ภาพที่ฉันเห็นพ่อแม่ ว่าเข้าใจความจริง และมีวุฒิภาวะ ได้พังทลายลง ฉันไม่เข้าใจ หลังจากเชื่อมาหลายปี และเสียสละอะไรมากมาย ทำไมพวกท่านยังไม่ได้รับความจริง? ฉันกลั้นไม่ไหว และแอบไปร้องไห้ จากนั้น ฉันก็ไม่ได้นับถือพ่อกับแม่มากเท่าแต่ก่อน แต่ก็ยังคิดว่า ไม่ว่ายังไง หลังจากที่ให้อะไรมากมายมาหลายปี อย่างน้อยก็ต้องมีความเป็นมนุษย์ที่ดี และเป็นผู้เชื่อแท้จริง ถ้าพวกท่านทำหน้าที่ให้ดี และเริ่มไล่ตามความจริงได้ ก็จะยังถูกช่วยให้รอดได้ แต่แล้วก็มีเรื่องเกิดขึ้น ซึ่งฉัน เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อพวกท่านไปเลย

วันหนึ่ง ฉันพบว่าพ่อ ถูกปลดจากหน้าที่ เพราะท่านมักจะไม่ใส่ใจและขี้เกียจ แถมยังไม่อาจทำหน้าที่ได้ดี จากนั้นไม่นาน ฉันก็พบว่าแม่ถูกปลดเหมือนกัน เพราะมีความเป็นมนุษย์ที่แย่ ไม่ค้ำจุนผลประโยชน์ของคริสตจักร แม่เป็นคนโอหังเกินไป และทำให้หน้าที่หยุดชะงัก ฉันตกใจ และแทบไม่อยากเชื่อเลย มันเกิดขึ้นได้ยังไง? การทำหน้าที่ไม่ได ้หมายถึงต้องถูกขับออกไม่ใช่เหรอ? มีความเป็นมนุษย์ที่แย่งั้นเหรอ? เมื่อก่อน ทุกคนที่รู้จักพ่อแม่ฉัน มักจะบอกว่าพวกท่านมีความเป็นมนุษย์ที่ยอดเยี่ยม ไม่อย่างนั้น พวกท่านจะยอมล้มเลิกตั้งมากมายได้ยังไง? ฉันรู้สึกปั่นป่วนจริงๆ และความกังวลทุกแบบก็ปะทุขึ้นมา ฉันสงสัยว่าพ่อกับแม่เป็นยังไงบ้าง พวกท่านเจ็บปวดไหม ฉันรู้สึก มืดมนและหดหู่ลงเรื่อยๆ และรู้ว่านี่ต้องเป็นไปตามหลักธรรมแห่งความจริง เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ฉันก็ทำใจยอมรับได้ลำบาก พ่อกับแม่ผ่านอะไรมามาก พวกท่านต้องคอยหลบหนีพรรคอยู่เสมอ และพวกเราต้องแยกกันอยู่ตั้งหลายปี ฉันหวังมากว่าพอพระเจ้าทรงเสร็จงาน เราจะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าในราชอาณาจักร แต่หลังจาก พ่อกับแม่ผ่านเรื่องดีร้าย และทำงานมามากมาย พวกท่านโดนปลดง่ายดายแบบนั้นได้ยังไง? ฉันรู้สึกผิดหวังมากขึ้นเรื่อยๆ และอดปล่อยโฮออกมาไม่ได้ สองสามวันนั้น ฉันเอาแต่ถอนหายใจและหมดแรงจะทำหน้าที่ พอคิดเรื่องนั้นขึ้นมา ฉันก็จะรู้สึกผิดหวัง และหมดแรงไปทั้งตัว จู่ๆ ฉันก็หมดแรงจูงใจในการไล่ตามเสาะหา ฉันรู้ว่าฉันไม่ได้อยู่ในสภาวะที่ดี และเฝ้าบอกกับตัวเองว่า “พ่อกับแม่ถูกปลดด้วยเหตุผลที่ดี พระเจ้าทรงชอบธรรม” แต่ในใจฉันไม่อาจยอมรับได้ และพยายามหาเหตุผลกับพระเจ้า มีพี่น้องชายหญิงหลายคน ที่ไม่ได้มีส่วนช่วยจริงต่อคริสตจักร หรือไม่ได้มีหน้าที่สำคัญอะไร พวกเขาก็ยังรักษาหน้าที่เอาไว้ได้ แล้วทำไมพ่อแม่ของฉัน ถึงรักษาหน้าที่ไว้ไม่ได้? ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร ต่อให้พวกท่านจะไม่ได้มีส่วนช่วย แต่ก็ทำงานอย่างหนัก จากความทุกข์และงานทั้งหมดที่พ่อกับแม่ทำมา ทำไมไม่ให้โอกาสพวกท่านอีกครั้ง? ฉันรู้ว่าฉันไม่ได้อยู่ในสภาวะที่ดี รู้ว่าฉันไม่ผ่อนปรน และไม่มีแรงจูงใจในการแสวงหาความจริง ฉันมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์ว่า “พระเจ้า เรื่องนี้ยากสำหรับข้าฯ จริงๆ โปรดทรงนำและช่วยให้ข้าฯ รู้ถึงน้ำพระทัยด้วยเถิด”

ต่อมา ฉันได้ถามพี่สาวคนหนึ่งถึงวิธีรับมือกับสภาวะนี้ ตอนอธิบายให้เธอฟัง ฉันก็อดร้องไห้ไม่ได้ เธอบอกฉันว่า “พ่อแม่ของคุณถูกพรากหน้าที่ไป แต่พวกท่านไม่ได้ถูกขับไล่ ทำไมคุณถึงผิดหวังนักล่ะ? คุณควรเห็นความรักของพระเจ้าในการนี้ พระเจ้ากำลังมอบโอกาสให้พวกท่านกลับใจนะ” ตอนเธอพูดอย่างนั้น มันก็เปิดตาฉันจริงๆ จริงด้วย พระเจ้าไม่เคยตรัสว่า การพรากหน้าที่ไป แปลว่าคนผู้นั้นถูกขับออก และหลังจากถูกปลด พี่น้องชายหญิงบางคน ก็เพิ่งเริ่มทบทวนตัวเอง มีความเสียใจ แล้วเปลี่ยนแปลงและกลับใจได้อย่างแท้จริง จากนั้น พวกเขาก็กลับมาทำหน้าที่อีก แต่การมีหน้าที่ ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะถูกช่วยให้รอดได้โดยสมบูรณ์ ถ้าไม่ไล่ตามความจริง พระเจ้าก็ทรงเปิดโปง และขับคุณออกอยู่ดี ที่จริง การถูกปลดออกเป็นการที่ พระเจ้าทรงมอบโอกาสให้พ่อแม่ฉันได้กลับใจ แต่ฉันกลับคิดว่า มันคือเรื่องเดียว กับการถูกขับออก ความคิดนั้นไม่สอดคล้องกับความจริง การคิดแบบนั้น ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังผิดหวังทุกครั้ง ที่มาคิดเรื่องนั้นทีหลัง ฉันมักจะรู้สึกเหมือนคริสตจักรหนักข้อกับพวกท่านมากไป

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะบทตอนนี้ “ยิ่งเจ้าขาดพร่องความเข้าใจในเรื่องหนึ่งๆ มากเท่าใด เจ้าก็ควรมีหัวใจที่เคร่งศรัทธาและยำเกรงพระเจ้ามากขึ้น และมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าและความจริงบ่อยขึ้นเท่านั้น เมื่อเจ้าไม่เข้าใจสิ่งทั้งหลาย เจ้าจำเป็นต้องได้ความรู้แจ้งและการนำจากพระเจ้า เมื่อเจ้าเผชิญสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ เจ้าก็จำเป็นต้องมีพระราชกิจของพระเจ้าในตัวเจ้ามากขึ้น และนี่คือเจตนารมณ์อันดีงามของพระเจ้า ยิ่งเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้ามากขึ้นเท่าใด หัวใจของเจ้าก็ยิ่งใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น และไม่จริงหรือว่ายิ่งหัวใจของเจ้าใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด พระเจ้าก็ยิ่งสถิตอยู่ในหัวใจของเจ้ามากขึ้นเท่านั้น? ยิ่งพระเจ้าทรงอยู่ในหัวใจของผู้คนมากเท่าใด การไล่ตามเสาะหาของพวกเขา เส้นทางที่พวกเขาเดิน และสภาวะในหัวใจของพวกเขาก็ย่อมดีขึ้นเท่านั้น(บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) หลังอ่านพระวจนะ ฉันก็สงบใจลงเล็กน้อย พระเจ้า ตรัสว่ายิ่งเข้าใจความจริงน้อย เรายิ่งควรแสวงหาความจริงด้วยความเคารพพระองค์ให้มาก แล้วสภาวะของเราก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างเรื่องที่พ่อแม่ของฉันถูกปลด ฉันรู้ว่า มันต้องเหมาะสมแล้ว ที่คริสตจักรจะทำแบบนั้น และฉันก็ไม่ควรพร่ำบ่น ฉันพยายามไม่จมปลักอยู่กับมัน แต่ฉันก็ไม่ได้แก้ไขความเข้าใจผิด หรือการตีตัวออกห่างจากพระเจ้าจริงๆ เมื่อไหร่ที่คิดขึ้นมา ฉันก็ยังมีความรู้สึกเจ็บปวดอยู่ แล้วฉันก็เข้าใจ ว่าเมื่อเรารู้สึก สับสนอะไรสักอย่าง เราต้องแสวงหาความจริง ไม่ใช่ทำตามกฎ และบังคับตัวเอง ไม่ปล่อยเบลอกับสิ่งต่างๆ เพราะแบบนั้นปัญหาก็จะไม่ถูกแก้ไข ฉันเอง ไม่ได้รู้จักพ่อแม่ดีนัก ฉันรู้แค่ว่าพวกท่าน ดูเหมือนล้มเลิกหลายสิ่ง และคนอื่นก็พูดถึงในเรื่องดีๆ แต่นั่นเป็นเพียงมุมเดียว แบบแคบๆ ฉันอยากเห็นว่าเหล่าพี่น้องที่ติดต่อกับพ่อแม่ จะพูดถึงพวกท่านยังไงบ้าง ไม่ใช่แค่เชื่อความรู้สึกส่วนตัว ฉันเริ่ม มองค้นเข้าไป เจาะจงพฤติกรรมในหน้าที่ของพ่อแม่ ตอนอ่านแบบประเมินที่คนอื่นพูดถึงพวกท่าน ฉันก็เห็นว่าพ่อมักจะไม่ใส่ใจ และถอยหนีสิ่งที่ยากๆ และไม่เต็มใจจะทุ่มเทมากมายที่หมายถึงการยอมลำบาก ท่านมีทักษะ แต่ก็มักจะเอื่อยเฉื่อย ไม่ได้มีงานเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก พ่อถูกเปลี่ยนหน้าที่หลายครั้ง แต่ท่านก็ไม่ได้ทำหน้าที่ไหนให้ดีเลย ในหน้าที่ข่าวประเสริฐ พ่อก็ยังไม่ใส่ใจและถอยจากงานหนัก ถ้าหัวหน้างานไม่กำกับดูแล งานของท่านก็จะไม่เสร็จ ตอนที่พี่น้องชายหญิงชี้ให้เห็นถึงปัญหาในหน้าที่ พ่อก็ไม่ได้ทบทวนตัวเอง แต่กลับหาข้ออ้าง บอกว่าท่านอายุมากขึ้น และมีปัญหาสุขภาพ และหน้าที่นั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ท่านถนัด จึงเป็นปกติที่จะมีปัญหา และคนอื่นคาดหวังมากไป พ่อถูกปลดตอนที่ท่านไม่ทำผลงานที่ดีในหน้าที่เลย ส่วนแม่ฉันก็ดูขะมักเขม้น และยอมลำบากได้ แต่นั่นเป็นสิ่งผิวเผิน ท่านแค่ทำให้ผ่านไปแบบมั่วๆ แม่ไม่ได้ทำงานจริง ซึ่งทำให้ความคืบหน้าของงานล่าช้า แม่ทำงานมากมาย แต่ก็มีปัญหาและข้อผิดพลาดเยอะ สิ่งนี้ทำให้พระนิเวศเสียหายอย่างมาก และแม่ก็มักจะปกป้องตัวเอง ท่านปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง แทนที่จะเป็นพระนิเวศ บางครั้งการที่ท่านเป็นคนไปจัดการปัญหาเร่งด่วนย่อมดีที่สุด แต่ท่านกลัวจะล่วงเกินใคร เลยยืนกรานจะส่งคนไปแทน นั่นเป็นการถ่วงงานของพระนิเวศ พี่น้องชายหญิงยังพูดด้วยว่า ท่านโอหังและหัวแข็งจริงๆ ใช้ประสบการณ์เป็นเครื่องยัน ทำสิ่งต่างๆ ตามใจโดยไม่หารือกับคนอื่น ท่านต่อต้านความเห็นของคนอื่น หวงงานของตัวเอง และขาดความโปร่งใส บางเรื่อง พี่น้องชายหญิงก็ไม่แน่ใจในรายละเอียด และเวลา มีคนทำในสิ่งที่แม่ไม่ชอบ ท่านก็จะบันดาลโทสะ และดุด่าคนนั้นด้วยความโกรธ คนอื่นๆ ต่างรู้สึกอึดอัดเพราะท่าน และมันแย่มากสำหรับพี่ชายคนหนึ่ง ที่พูดกับท่านว่า “พี่สาว ผมขาดขีดความสามารถ ผมต้องเป็นภาระคุณตอนทำงาน ขอโทษครับ” และคนอื่นๆ ก็บอกว่า ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าที่ พวกเขาไม่มีทางอยากปฏิสัมพันธ์กับคนแบบนั้น ปัญหาของแม่แย่ขนาดนั้น แต่ตอนที่คนอื่นชี้ให้เห็น ท่านก็ยังไม่ยอมรับเลย แม่อคติ และต่อต้านพี่สาวคนที่ดูแลงานของท่านจริงๆ ท่านคิดว่าเป็นคนอื่นต่างหาก ที่เข้าด้วยได้ยากและไม่ยุติธรรม

ค่อนข้างตกใจค่ะ ฉันไม่อยากเชื่อว่าพ่อแม่ของฉันจะเป็นแบบนั้น แล้วฉัน ก็อ่านพระวจนะสองบทตอน “องค์ประกอบที่เป็นรากฐานและสำคัญมากที่สุดของสภาวะความเป็นมนุษย์ของคนเราก็คือมโนธรรมและเหตุผล บุคคลประเภทใดคือผู้ที่ขาดพร่องมโนธรรมและไม่มีเหตุผลของสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ? พูดโดยทั่วไปแล้ว เขาคือบุคคลที่ขาดพร่องสภาวะความเป็นมนุษย์ บุคคลที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ด้อยอย่างสุดขีด เมื่อลงรายละเอียด บุคคลผู้นี้แสดงให้เห็นถึงการสำแดงสภาวะความเป็นมนุษย์ที่สูญหายไปเช่นไร? จงวิเคราะห์กันตามสบายว่ามีลักษณะเฉพาะอันใดที่พบเห็นได้ในตัวผู้คนแบบนี้ และพวกเขาแสดงให้เห็นถึงการสำแดงสิ่งใดเป็นการเฉพาะ (พวกเขาใจร้ายและเห็นแก่ตัว) ผู้คนที่ใจร้ายและเห็นแก่ตัวย่อมสุกเอาเผากินในการกระทำของพวกเขาและปลีกห่างจากสิ่งใดก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเป็นการส่วนตัว พวกเขาไม่ได้พิจารณาผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า อีกทั้งพวกเขายังไม่แสดงความคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้รับภาระอันใดเกี่ยวกับการให้คำพยานสำหรับพระเจ้าหรือการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา และพวกเขาไม่มีสำนึกรับรู้แห่งความรับผิดชอบเลย(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)เมื่อบุคคลหนึ่งมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี หัวใจที่แท้จริง มโนธรรม และเหตุผล เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ว่างเปล่าหรือคลุมเครือซึ่งไม่สามารถเห็นหรือสัมผัสได้ แต่กลับเป็นสิ่งที่สามารถค้นพบได้ทุกที่ในชีวิตประจำวันเสียมากกว่า สิ่งเหล่านี้คือทุกสรรพสิ่งแห่งความเป็นจริง สมมุติว่าบุคคลหนึ่งนั้นยิ่งใหญ่และเพียบพร้อม นั่นคือบางสิ่งที่เจ้าสามารถมองเห็นกระนั้นหรือ? เจ้าไม่สามารถมองเห็น สัมผัส หรือแม้กระทั่งจินตนาการได้ว่าการมีความเพียบพร้อมหรือยิ่งใหญ่นั้นเป็นเช่นไร แต่หากเจ้าพูดว่าใครคนหนึ่งเห็นแก่ตัว เจ้าสามารถมองเห็นการกระทำของบุคคลนั้นหรือไม่—และเขาสอดรับกับคำบรรยายนั้นหรือไม่? หากพูดกันว่าใครคนหนึ่งซื่อสัตย์ด้วยหัวใจที่แท้จริง เจ้าสามารถมองเห็นพฤติกรรมนี้หรือไม่? หากพูดกันว่าใครคนหนึ่งเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง คดโกง และต่ำช้า เจ้าสามารถมองเห็นสิ่งเหล่านั้นหรือไม่? ต่อให้เจ้าหลับตา เจ้าก็สามารถสำนึกรับรู้ได้ว่า สภาวะความเป็นมนุษย์ของบุคคลนั้นต่ำต้อยหรือล้ำเลิศ โดยผ่านทางสิ่งที่เขาพูดและวิธีที่เขาปฏิบัติตน เพราะฉะนั้น ‘สภาวะความเป็นมนุษย์ดีหรือแย่’ จึงไม่ใช่วลีที่ว่างเปล่า ตัวอย่างเช่น ความเห็นแก่ตัวและความต่ำช้า ความคดโกงและเล่ห์ลวง ความโอหังและการเห็นว่าตนเองชอบธรรมเสมอ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เจ้าสามารถจับความเข้าใจได้ในชีวิตเมื่อเจ้ามาติดต่อบุคคลหนึ่ง เหล่านี้คือองค์ประกอบด้านลบของสภาวะความเป็นมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ องค์ประกอบด้านบวกของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ผู้คนควรครอง—เช่น ความซื่อสัตย์และความรักในความจริง—สามารถล่วงรู้ได้ในชีวิตประจำวันหรือไม่? บุคคลผู้หนึ่งต้องครองภาวะใดจึงจะได้รับความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้รับการนำจากพระเจ้า และปฏิบัติตนสอดคล้องกับหลักธรรมแห่งความจริงในทุกสิ่ง? พวกเขาต้องมีหัวใจที่ซื่อสัตย์ รักความจริง แสวงหาความจริงในทุกสิ่ง และสามารถปฏิบัติความจริงได้ในทันทีที่พวกเขาเข้าใจความจริง การมีภาวะเหล่านี้หมายถึงการมีความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า และสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้อย่างง่ายดาย หากใครบางคนมิใช่บุคคลที่ซื่อสัตย์ และไม่รักความจริงในหัวใจของตน เขาย่อมจะมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ยาก และต่อให้เจ้าสามัคคีธรรมถึงความจริงกับเขา ก็จะไม่เกิดผล เจ้าจะบอกได้อย่างไรว่าใครบางคนเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์หรือไม่? เจ้าต้องไม่เพียงแค่ดูว่าเขาโกหกและฉ้อโกงหรือไม่เท่านั้น แต่ที่สำคัญที่สุดคือต้องดูว่าเขาสามารถยอมรับความจริงและนำความจริงไปปฏิบัติได้หรือไม่ด้วย นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด พระนิเวศของพระเจ้าขับผู้คนออกไปตลอดเวลา และถึงจุดนี้ก็มีหลายคนแล้วที่ถูกขับออกไป พวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่ซื่อสัตย์ พวกเขาล้วนเป็นผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง พวกเขารักสิ่งที่ไม่ชอบธรรม พวกเขาไม่รักความจริงเลย ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้ามากี่ปีแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจความจริงหรือเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งความจริงได้ ผู้คนที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างจริงแท้ยิ่งมีน้อยกว่านั้นเสียอีก เพราะฉะนั้น การที่พวกเขาถูกขับออกไปจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เวลาที่เจ้าเข้าไปติดต่อบุคคลผู้หนึ่ง เจ้าดูที่สิ่งใดเป็นอันดับแรก? จงดูว่าคำพูดและความประพฤติของเขาซื่อสัตย์หรือไม่ เขารักความจริงและสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่ สิ่งเหล่านี้สำคัญอย่างยิ่งยวด โดยพื้นฐานแล้วเจ้าสามารถเห็นแก่นแท้ของบุคคลผู้หนึ่งได้ตราบใดที่เจ้าสามารถกำหนดได้ว่าเขาเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์หรือไม่ เขาสามารถยอมรับความจริงและนำความจริงไปปฏิบัติได้หรือไม่ หากปากของบุคคลหนึ่งเต็มไปด้วยคำพูดที่ไพเราะเสนาะหู แต่เขาไม่ทำสิ่งใดที่เป็นจริงเลย—เมื่อถึงเวลาทำบางสิ่งที่เป็นจริง เขาก็คิดถึงแต่ตัวเขาเองเท่านั้นและไม่เคยคิดถึงผู้อื่น—เช่นนั้นแล้ว นี่คือสภาวะความเป็นมนุษย์ประเภทใด? (ความเห็นแก่ตัวและความต่ำช้า เขาไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์) เป็นการง่ายหรือไม่ที่บุคคลหนึ่งซึ่งปราศจากสภาวะความเป็นมนุษย์จะได้รับความจริง? ย่อมเป็นการยากสำหรับเขา…จงอย่าให้ความสนใจกับสิ่งที่บุคคลเช่นนั้นพูด เจ้าต้องดูว่าเขาใช้ชีวิตตามสิ่งใด เขาเปิดเผยสิ่งใด และท่าทีของเขาเป็นอย่างไรเมื่อเขาปฏิบัติหน้าที่ของเขา ตลอดจนสภาวะภายในของเขาเป็นอย่างไรและเขารักสิ่งใด หากความรักที่เขามีต่อชื่อเสียงและโชควาสนาของเขาเองมีมากเกินกว่าความ จงรักภักดีที่เขามีต่อพระเจ้า หากความรักในชื่อเสียงและโชควาสนาของเขาเองมีมากกว่าผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า หรือหากว่าความรักของเขาที่มีต่อชื่อเสียงและโชควาสนาของเขาเองมากเกินกว่าการคำนึงถึงที่เขาแสดงต่อพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว บุคคลเช่นนั้นมีสภาวะความเป็นมนุษย์หรือไม่? นี่ไม่ใช่ใครบางคนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ พฤติกรรมของเขาสามารถมองเห็นได้โดยผู้อื่นและโดยพระเจ้า จึงลำบากยากเย็นอย่างยิ่งสำหรับบุคคลเช่นนั้นที่จะได้รับความจริง(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันได้เห็นจากพระวจนะ ว่าการจะประเมินความเป็นมนุษย์ของใคร เราต้องดูท่าทีต่อพระบัญชา และต่อความจริงของพวกเขา คนมีความเป็นมนุษย์ที่ดีรักความจริง และคำนึงถึงน้ำพระทัยในหน้าที่ พวกเขาปฏิบัติต่อพระบัญชาด้วยความรับผิดชอบ ไว้วางใจได้ และปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักร ส่วนคนที่มีความเป็นมนุษย์แย่นั้นเห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน พวกเขาทำหน้าที่ไปมั่วๆ เป็นคนเจ้าเล่ห์ ดีแต่พูดแต่งานไม่เสร็จ พวกเขาอาจถึงขั้นไม่ใส่ใจ ผลประโยชน์ของพระนิเวศ และขายมันเพื่อประโยชน์ส่วนตัว การมองพฤติกรรมของพ่อแม่จากมุมของพระวจนะ ทำให้ฉันเห็นว่า จริงๆ พวกท่านไม่ใช่คนดีอย่างที่คิด อย่างพ่อของฉัน ท่านพลีอุทิศแบบผิวเผิน แต่ไม่แบกรับภาระในหน้าที่ ไม่ใส่ใจและถอยจากงานหนัก เวลาต้องยอมลำบาก ก็หาข้ออ้างมากมายเพื่อใส่ใจในเนื้อหนัง ไม่คำนึงถึงความต้องการของคริสตจักร ท่านต้องการการกำกับดูแล และกระตุ้นในหน้าที่ตลอด เป็นคนที่เอื่อยเฉื่อยจริงๆ ส่วนแม่ของฉัน ถึงท่านจะดูยุ่งอยู่ตลอด ทนทุกข์เพื่อหน้าที่ได้ และดูเหมือนทำงานเสร็จอยู่บ้าง แต่มันกลับไม่มีผลลัพธ์จริงจากหน้าที่ของท่าน และท่านแค่ทำเป็นการแสดง แม่ดูเหมือนยุ่งอย่างเหลือเชื่อ แต่ท่านแค่มองหาผลประโยชน์ที่ได้มาไวๆ ทำสิ่งต่างๆ เพื่อชื่อและสถานะ เวลาที่แม่ทำงาน ท่านก็ขาดความเคารพต่อพระเจ้า และทำให้พระนิเวศสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ในเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของคริสตจักร ท่านรู้ว่าตัวเองเหมาะกับงานนี้ที่สุด แต่ก็ยืนกรานที่จะให้คนอื่นมาจัดการ ท่านไม่ได้ปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักรในเรื่องสำคัญยิ่ง และไม่ได้มีใจเป็นหนึ่งกับพระเจ้า ฉันแค่เห็นแม่ทำงานเสร็จมากมาย และยอมลำบากใหญ่หลวง แต่ฉันไม่ได้ดูที่แรงจูงใจ หรือดูว่าท่านสัมฤทธิ์ผลบ้างไหม ดูว่าท่านมีส่วนช่วยจริงหรือเปล่า หรือจริงๆ ท่านทำสิ่งที่เสียหายมากกว่าสิ่งที่ดี ฉันตระหนักได้ว่าการประเมินความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เรื่องของการเสียสละหรือความพยายามแค่ผิวเผิน แต่เป็นเรื่องว่าแรงจูงใจของใครถูกต้องหรือไม่มากกว่า พวกเขาคิดถึงพระนิเวศจริงๆ หรือทำสิ่งต่างๆ เพื่อชื่อและสถานะของตัวเอง คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ดี อาจไม่เข้าใจความจริง แต่ใจของพวกเขาอยู่ถูกที่ และพวกเขาก็ทำตามมโนธรรม พวกเขาอยู่เคียงข้าง และคำนึงถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศ พวกเขาจึงสัมฤทธิ์ผลในสิ่งต่างๆ ได้จริง แต่คนที่มีความเป็นมนุษย์แย่ ไม่ว่าพวกเขาจะทนทุกข์ ทำงานหนัก หรือพูดดีแค่ไหน พวกเขาก็แค่ทำทุกสิ่งแบบขอไปที คิดถึงและวางแผน เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง โดยไม่คิดถึงพระนิเวศจริงๆ เลย นั่นทำให้เกิดข้อผิดพลาดในงานเยอะ และไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันจริงๆ หรือบางที พวกเขาก็ทำสำเร็จได้ด้วยพรสวรรค์หรือประสบการณ์ของตัวเอง แต่ผ่านไปนานเข้า ความเสียหายก็มากกว่าสิ่งที่ได้ เพราะความเป็นมนุษย์และลักษณะนิสัยของพวกนั้นแย่ พวกเขาวางใจไม่ได้ ไม่ทำงานจริง เราไม่มีวันรู้เลยว่า พวกเขาจะทำให้พระนิเวศเสียหายเมื่อไหร่ พอฉันตระหนักได้ ฉันก็มั่นใจเต็มที่ ว่าพ่อแม่ของฉันขาดความเป็นมนุษย์ที่ดี

ฉันมักจะคิดถึงว่า พวกท่านยอมทิ้งอะไรมากมาย รวมถึงทิ้งชีวิตที่สุขสบายจริงๆ มาทำหน้าที่ตั้งเกือบยี่สิบปีที่มีทั้งดีและร้าย และถึงพวกท่านจะไม่ได้ไล่ตามความจริง อย่างน้อยก็เป็นคนดี เป็นผู้เชื่อแท้จริง มีหลายคน ที่แสดงออกว่าสู้ทนความยากลำบาก แต่แรงจูงใจและแก่นแท้ในนั้นอาจต่างกัน ฉันไม่ได้ดูว่า สิ่งที่ขับให้พ่อแม่ทำงานหนักคืออะไร หรือพวกท่านสัมฤทธิ์ผลอะไรจริงๆ บ้างหรือไม่ ฉันดูแค่ความพยายามแบบผิวเผิน และคิดว่าพวกท่านเป็นผู้เชื่อแท้จริงที่มีความเป็นมนุษย์ที่ดี มุมมองของฉันช่างผิวเผินและโง่เขลา ในฐานะผู้ที่เชื่อมาตลอดหลายปี เราต่างทนทุกข์กับการกดขี่ของพรรค และเจ็บปวดที่ต้องพลัดพรากจากครอบครัว แต่เราก็เพลิดเพลินกับพระคุณมากมาย พระเจ้าไม่เพียงมอบความจริงมากมายแก่เรา แต่ยังทรงมอบการค้ำจุนอันสมบูรณ์ให้สิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตเรา บางคนที่มีมโนธรรมและเหตุผล ควรทำหน้าที่และตอบแทนความรักของพระเจ้าอย่างสุดความสามารถ แต่หลังจากเชื่อมาหลายปี และเรียนรู้คำสอนมามากมาย พ่อแม่ฉันก็ยังไม่มีความรับผิดชอบพื้นฐานที่สุดต่อหน้าที่เลย พวกท่านปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักรไม่ได้ด้วยซ้ำ จากสิ่งที่พวกท่านทำ การพรากเอาหน้าที่ไป คือความชอบธรรมของพระเจ้า ไม่ใช่แค่ดีต่องานของคริสตจักร แต่ยังดีต่อพ่อกับแม่ด้วย ถ้าการล้มและสะดุดแบบนั้นช่วยให้พวกท่านทบทวนตัวเอง หันเข้าหาพระเจ้า และเปลี่ยนท่าทีต่อหน้าที่ได้ นั่นคงเป็นความรอดของพวกท่าน และเป็นจุดเปลี่ยนในเส้นทางแห่งความเชื่อ ถ้าพวกท่านยังทำแบบเดิม โดยไม่ทบทวนตัวเอง กลับใจ หรือเปลี่ยนแปลง พวกท่านคงจะถูกเปิดโปงและขับออกจริงๆ ฉันนึกถึงที่พระเจ้าตรัสว่า “พระเจ้าคือผู้ที่ทรงกำหนดว่าแต่ละบุคคลต้องทนทุกข์มากน้อยเพียงใดและพวกเขาต้องเดินไปบนเส้นทางของพวกเขาในระยะทางไกลแค่ไหน และไม่มีใครสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างแท้จริง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เส้นทาง… (6)) สิ่งเดียวที่ฉันทำได้ คือการชี้ปัญหาที่ฉันเห็น และช่วยเหลือพวกท่านอย่างเต็มที่ แต่เรื่องเส้นทางที่พวกท่านเลือก นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันควรไปกังวล พอตระหนักเรื่องนี้ได้ ฉันยิ่งรู้สึกสว่างขึ้นในใจ ฉันหยุดร้องไห้คร่ำครวญเรื่องพ่อแม่ และเข้าหาเรื่องนี้ได้อย่างเหมาะสม

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะสองบทตอนนี้ “เจ้าต้องรู้ว่าเราพึงปรารถนาผู้คนประเภทใด พวกที่ไม่บริสุทธิ์ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ราชอาณาจักร พวกที่ไม่บริสุทธิ์ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำผืนดินศักดิ์สิทธิ์แปดเปื้อน แม้ว่าเจ้าอาจได้ทำงานมากมายแล้ว และได้ทำงานมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ในที่สุดหากเจ้ายังคงโสมมอย่างน่าสังเวช เช่นนั้นแล้วก็จะเป็นเรื่องที่มิอาจยอมผ่อนปรนได้ต่อธรรมบัญญัติแห่งฟ้าที่เจ้าปรารถนาที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของเรา! ตั้งแต่การแรกสร้างโลกจนกระทั่งวันนี้ เราไม่เคยได้เสนอช่องทางอันง่ายดายสู่ราชอาณาจักรของเราให้แก่พวกที่ประจบเรา นี่คือกฎเกณฑ์แห่งสวรรค์ และไม่มีใครสามารถทำลายสิ่งนั้นได้!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน)เราตัดสินใจเรื่องบั้นปลายของแต่ละบุคคลโดยไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอายุ ความอาวุโส ปริมาณความทุกข์ และที่น้อยที่สุดคือ ระดับความชวนสังเวชของพวกเขา แต่เป็นไปโดยสอดคล้องกับการที่ว่า พวกเขาครองความจริงหรือไม่ ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากนี้ พวกเจ้าจำต้องตระหนักว่า ทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจะถูกลงโทษด้วยเช่นกัน นี่คือข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า) พระวจนะเหล่านี้ ดลใจฉันจริงๆ มาตรฐานเดียวของพระเจ้า ในการตัดสินว่าคนนั้นจะถูกช่วยให้รอดหรือไม่ คือพวกเขาครอบครองความจริง และมีการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยไหม พระเจ้าทรงงานมาตลอดหลายปี และทรงแสดงความจริงมากมาย ทรงมอบสามัคคีธรรมที่ละเอียดและเฉพาะเจาะจง ถึงเส้นทางแห่งการเข้าสู่ความจริงและบรรลุความรอด ตราบใดที่ใครรักและยอมรับความจริงได้ เขาก็ย่อมมีหวังที่จะได้รับความรอด แต่ว่า ถ้าแม้จะเชื่อมาหลายปีแล้ว ก็ยังทำได้แค่พลีอุทิศอย่างผิวเผิน ไม่ปฏิบัติความจริง หรือเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย พวกเขาก็ไม่ยอมรับความจริง แต่กลับเกลียดความจริง คนแบบนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะเสียสละแค่ไหน ทำงานมากี่ปี หรือไม่ว่าหน้าที่ของพวกเขาจะสำคัญแค่ไหน ถ้าสุดท้ายพวกเขาไม่ได้รับความจริง หรือมีการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย แต่ยังคงกบฏและต่อต้านพระเจ้า ทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก พวกเขาก็ไม่อาจถูกช่วยให้รอดได้ คนที่ทำความชั่วมากมายจะถูกพระเจ้าลงโทษ และสิ่งนั้นถูกกำหนดโดยความชอบธรรมของพระเจ้า พอเห็นแบบนั้นแล้ว ฉันก็เข้าใจกระจ่างขึ้นว่า พ่อแม่ไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร พวกท่านยอมสละทั้งบ้าน งาน และทำงานหนัก แต่พวกท่านก็ไม่ได้รักความจริง พ่อกับแม่ทำหน้าที่อย่างขอไปทีและเอาแต่ใจ และไม่ทบทวนตัวเองตามพระวจนะ เมื่อพี่น้องชายหญิง เอ่ยถึงปัญหาของพวกท่าน พ่อกับแม่ก็ เอาแต่อ้าง คิดอยู่เสมอว่ามันเป็นปัญหาของคนอื่น พวกเขาคาดหวังมากเกินไป นี่ทำให้ฉันเห็นว่า พ่อแม่เกลียดความจริง และคงจะไม่ยอมรับ อุปนิสัยของพวกท่านจึงไม่เคยเปลี่ยน แม้จะเชื่อมาหลายปีแล้ว กลับกัน ยิ่งเวลาและงานที่พวกท่านทำในฐานะผู้เชื่อเพิ่มพูนขึ้นเท่าไหร่ พวกท่านก็ยิ่งโอหังมากขึ้น ฉันเห็นได้จากวิธีการรับมือความจริงของพวกท่าน ว่าทุกการเสียสละ ไม่ใช่เพื่อได้รับความจริงและชีวิต แต่พวกท่านทำไปอย่างไม่เต็มใจเพื่อพระพร เช่นเดียวกับเปาโล ทุกสิ่งที่เขาทำ ก็เพื่อทำข้อตกลงกับพระเจ้า เขาไม่ใช่ผู้เชื่อแท้จริง ที่สละตนเพื่อพระเจ้า ฉันจึงเข้าใจชัดเจน ว่าการที่คนเราไล่ตามความจริง มีความเป็นมนุษย์ที่ดี และถูกช่วยให้รอดได้ไหม ต้องถูกตัดสินจากท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง การมีส่วนช่วยแค่เพียงผิวเผิน การทำงานหนัก และหน้าที่ที่พวกเขาทำนั้น ล้วนไม่ใช่สาระสำคัญ พี่น้องชายหญิงบางคน อาจไม่ได้มีส่วนช่วยอันยิ่งใหญ่ต่อคริสตจักร และหน้าที่ของพวกเขา ก็ดูไม่มีนัยสำคัญ แต่พวกเขายืนหยัดและทุ่มเททั้งหัวใจให้หน้าที่ คนที่มุ่งเน้นในหน้าที่ของตน แสวงหาความจริง ทบทวนความเสื่อมทราม มีความรู้สึกเสียใจส่วนตัว ปฏิบัติความจริง และเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเสื่อมทรามได้นั้น คือคนประเภทที่ยืนหยัดอยู่ในพระนิเวศได้ ยิ่งคิดเรื่องนี้ ฉันยิ่งเห็นถึงความชอบธรรมของพระเจ้า มาตรฐานในการประเมินผู้คนของพระเจ้าไม่เคยเปลี่ยน เพียงแต่ฉันมองความรอด เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับโชค ฉันคิดว่าพระเจ้า คงไม่ละทิ้งคนที่พลีอุทิศมากมาย และทำงานหนัก แม้พวกเขาจะไม่มีส่วนช่วยอะไรก็ตาม แต่ฉันได้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า ในกรณีของพ่อแม่จริงๆ พระเจ้าไม่ได้ทรงตัดสินผู้คน ตามอารมณ์หรือมโนคติอันหลงผิดของคน แต่ทรงวัดและตรวจดูทุกคน จากมาตรฐานแห่งความจริง ถึงเป็นคนที่มีบทบาทสำคัญในคริสตจักร ก็ไม่มีข้อยกเว้น

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะอีกสองบทตอน ที่ให้ความรู้แจ้งกับฉันเหลือเกิน พระเจ้าตรัสว่า “วันหนึ่ง เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงบ้างแล้ว เจ้าก็จะไม่คิดว่ามารดาของเจ้าคือบุคคลที่ดีที่สุด หรือบิดามารดาของเจ้าเป็นผู้คนที่ดีที่สุดอีกต่อไป เจ้าจะตระหนักว่าพวกเขาเป็นสมาชิกของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามเช่นกัน และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาล้วนเหมือนกัน สิ่งที่ทำให้พวกเขาแตกต่างจากผู้อื่นคือสัมพันธภาพทางสายโลหิตกับเจ้า หากพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็เป็นเหมือนพวกผู้ไม่เชื่อ เจ้าจะไม่มองพวกเขาจากมุมมองของสมาชิกในครอบครัว หรือจากมุมมองของสัมพันธภาพทางสายโลหิตของเจ้าอีกต่อไป แต่จากฝั่งของความจริง สิ่งใดคือแง่มุมหลักที่เจ้าควรมอง? เจ้าควรดูทรรศนะที่พวกเขามีเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้า ทรรศนะที่พวกเขามีต่อโลก ทรรศนะที่พวกเขามีต่อการรับมือเรื่องราวทั้งหลาย และที่สำคัญที่สุดก็คือท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้า หากเจ้าพิจารณาแง่มุมเหล่านี้อย่างถูกต้องแม่นยำ เจ้าก็จะมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาเป็นคนดีหรือไม่ดี หากวันหนึ่งเจ้ามองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาก็เป็นเหมือนกับเจ้า ว่าพวกเขาคือผู้คนที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่จิตใจดี มีความรักจริงให้เจ้าดังที่เจ้าจินตนาการ และพวกเขาไม่สามารถนำทางเจ้าไปสู่ความจริงหรือไปยังเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตได้เลย และหากเจ้าสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่พวกเขาทำให้เจ้า ไม่ได้มีประโยชน์ใหญ่หลวงต่อเจ้า และไม่มีนัยสำคัญแต่ประการใดต่อการที่เจ้าจะเลือกเดินบนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง และหากเจ้าพบอีกด้วยว่าการปฏิบัติและข้อคิดเห็นหลายประการของพวกเขาตรงข้ามกับความจริง ว่าพวกเขาเป็นของฝ่ายเนื้อหนัง และนี่ทำให้เจ้าดูหมิ่นพวกเขา และรู้สึกรังเกียจและเกลียดชังพวกเขา เช่นนั้นแล้ว เมื่อคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ เจ้าก็จะสามารถปฏิบัติต่อพวกเขาได้อย่างถูกต้องในหัวใจของเจ้า และเจ้าจะไม่คิดถึง กังวลถึง หรือไม่อาจแยกจากพวกเขาได้อีกต่อไป พวกเขาทำภารกิจของตนในฐานะบิดามารดาเสร็จสมบูรณ์แล้ว และเจ้าจะไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะผู้คนที่ใกล้ชิดเจ้าที่สุดหรือปลาบปลื้มหลงใหลพวกเขาอีกต่อไป แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้าจะปฏิบัติต่อพวกเขาประหนึ่งผู้คนธรรมดาสามัญ และเมื่อนั้นเจ้าก็จะหนีพ้นจากการเป็นทาสของภาวะอารมณ์โดยสมบูรณ์ และออกจากภาวะอารมณ์ของเจ้าและความรักใคร่เอ็นดูของครอบครัวอย่างแท้จริง(“มีเพียงการแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถทำให้เจ้าเป็นอิสระจากสภาวะด้านลบได้” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)ผู้คนจำนวนมากสู้ทนความทุกข์มากมายทางภาวะอารมณ์ที่ไร้ความหมาย ทั้งหมดนั้นคือความทุกข์ที่ไร้ประโยชน์และเกินการ เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้? เพราะผู้คนถูกภาวะอารมณ์ของตนตีกรอบเอาไว้ตลอดเวลา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถปฏิบัติความจริงและเชื่อฟังพระเจ้าได้ การถูกภาวะอารมณ์ของตนตีกรอบเอาไว้เป็นภัยอย่างยิ่งต่อการลุล่วงหน้าที่ของตนและการติดตามพระเจ้า และยังเป็นสิ่งที่กีดขวางการเข้าสู่ชีวิตอย่างใหญ่หลวงอีกด้วย เพราะฉะนั้น ความทุกข์อันเนื่องมาจากการถูกภาวะอารมณ์จำกัดควบคุมไว้จึงไม่มีความหมาย และพระเจ้าก็ไม่ทรงรำลึกถึงความทุกข์นี้ ดังนั้นแล้วเจ้าจะสามารถเป็นอิสระจากความทุกข์ที่ไร้ความหมายนี้ได้อย่างไร? เจ้าต้องเข้าใจความจริง ครั้นเจ้าเห็นและเข้าใจแก่นแท้ของสัมพันธภาพทางฝ่ายเนื้อหนังเหล่านี้แล้ว เจ้าก็จะหลีกหนีจากการจำกัดควบคุมของเนื้อหนังได้อย่างง่ายดาย…ซาตานใช้ความรักใคร่เอ็นดูของครอบครัวมาตีกรอบและผูกมัดผู้คน หากผู้คนไม่เข้าใจความจริง พวกเขาก็จะถูกหลอกลวงได้ง่าย บ่อยครั้งที่ผู้คนยอมแลกและทนทุกข์ ร้องไห้และสู้ทนความยากลำบากเพื่อบิดามารดาและญาติ นี่คือความไม่รู้เท่าทันและความเขลา เจ้าเต็มใจทนทุกข์ในหนทางนี้ แต่นี่คือการทำร้ายตนเอง ไร้คุณค่า และเปล่าประโยชน์ที่จะสู้ทนโดยแท้ พระเจ้าไม่ทรงรำลึกถึงการนี้เลย และอาจกล่าวได้ว่านี่คือความทุกข์โดยแท้ หาใช่สิ่งอื่นใดไม่! ในวันที่เจ้าเข้าใจความจริง เจ้าก็จะเป็นอิสระ และเจ้าจะรู้สึกว่าขณะที่เจ้าทนทุกข์กับความยากลำบากเหล่านั้น เจ้าช่างไม่รู้เท่าทันและเขลา และนี่ไม่ใช่ความผิดของผู้ใด แต่เป็นความผิดของการที่เจ้าเองตาบอด ไม่รู้เท่าทัน ขาดพร่องความเข้าใจในความจริง และขาดพร่องความชัดเจนในการมองเห็นเรื่องราวทั้งหลาย(“มีเพียงการแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถทำให้เจ้าเป็นอิสระจากสภาวะด้านลบได้” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) การอ่านพระวจนะนี้ สะเทือนอารมณ์จริงๆ พระเจ้าทรงเข้าใจเราอย่างดี! ทุกหยดน้ำตา และความทุกข์ที่ไม่จำเป็นนั้น เป็นเพราะฉันอ่อนไหวเกินไป และไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ เมื่อก่อนฉันไม่เข้าใจความจริง หรือมีปัญญาแยกแยะเรื่องพ่อแม่ แค่คิดว่าพวกท่านยอดเยี่ยม น่านับถือ คิดว่าพวกท่าน เป็นแบบอย่างที่ฉันควรพยายามทำตาม ฉันถึงกับคิดว่าพ่อกับแม่ คือคนที่จะถูกช่วยให้รอดได้ แต่พอมองพวกท่านตามความจริงและพระวจนะ ฉันก็ตระหนักได้ว่า ฉันคิดผิดอย่างเหลือเชื่อ และในที่สุดก็แยกแยะได้ ว่าพ่อแม่เป็นคนประเภทไหนกันแน่ ฉันได้เห็นหลายอย่างที่ฉันดูหมิ่น และไม่นับถือในพวกท่าน ฉันเลิกเคารพเทิดทูนพ่อกับแม่ และไม่เป็นทุกข์หรือร้องไห้ เพราะพวกท่านอีกต่อไป ฉันได้มาเห็นพวกท่านอย่างถูกต้องและตามจริง

ผ่านสถานการณ์นี้ ฉันได้เห็นว่าฉันห่วงกับความรู้สึกของตัวเองมากเกินไป และเมื่อฉันใช้ชีวิตอยู่ในความรักใคร่ทางโลก ฉันก็คิดถึงแต่ว่า พ่อกับแม่อาจทนทุกข์มากแค่ไหน และฉันก็ไม่อาจยอมรับวิธีที่พระนิเวศจัดการสิ่งต่างๆ ได้ ฉันต่อต้าน และถึงกับรู้สึกว่าพระเจ้าทรงไม่ชอบธรรม แล้วฉันก็ตระหนักได้ว่า ทำไมพระเจ้าจึงทรงเกลียดความรักใคร่ของมนุษย์ เพราะมันทำให้เราสับสนระหว่างถูกและผิด ดีและชั่ว และทำให้เราตีตัวออกห่างจากพระเจ้า เมื่อก่อนนี้ฉันไม่รู้จักตัวเอง ตอนพี่น้องชายหญิง เห็นญาติมิตรของตนถูกไล่ออกไป พวกเขาก็ร้องไห้อยู่หลายวัน ฉันดูถูกพวกเขา คิดว่าถ้าเรื่องแบบนั้นมันเกิดขึ้นกับฉัน ฉันคงไม่อ่อนแอมากนัก แต่พอเผชิญกับสิ่งเดียวกันจริงๆ แล้ว ฉันกลับอ่อนแอกว่าใคร แถมยังใจสลายค่อนข้างมาก ไม่ใช่แค่ร้องไห้ไม่กี่ครั้ง แต่ฉันยังหดหู่ และนั่นก็กระทบต่อหน้าที่ของฉัน ฉันได้เห็นว่าตัวเองไร้เดียงสา โง่เขลา และไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง ผ่านประสบการณ์นี้ ฉันได้มาเข้าใจการที่เหล่าพี่น้องชายหญิงพยายามหลบหนี ความรักใคร่ในทางโลก และฉันก็ละอายใจต่อการรู้ไม่เท่าทัน และการโอ้อวดของตัวเองเมื่อก่อน ฉันยังเรียนรู้ได้อีกว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมมีความจริงให้แสวงหา มีโอกาสให้เรียนรู้ และแยกแยะได้เสมอ เราต้องปฏิบัติต่อทุกคน แม้กระทั่งกับพ่อแม่ของตัวเอง ตามพระวจนะ และตามความจริง แล้วเราก็จะไม่มองพวกเขาผ่านความรักใคร่และจินตนาการ ไม่ทำสิ่งที่ต่อต้านพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

คลายปมในใจ

โดย ชุน หยี่, ประเทศจีน มันเกิดขึ้นเมื่อฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว ระหว่างที่ฉันรับหน้าที่ข่าวประเสริฐในคริสตจักร ในตอนนั้น...

การปฏิบัติความจริงคือกุญแจสำคัญสู่การร่วมมือที่สามัคคีกัน

โดย ตงเฟิง ประเทศสหรัฐอเมริกา ในเดือนสิงหาคมปี 2018 หน้าที่ของผมคือทำอุปกรณ์ประกอบฉากในหนังร่วมกับน้องหวังครับ ตอนแรก...

ฉันช่างวาสนาดีที่ได้ทำงานปรนนิบัติเพื่อพระเจ้า

โดย เกินสุย เกาหลีใต้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “การทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมของพระเจ้าถูกทำให้สำเร็จลุล่วงได้โดยวิถีทางใด?...

ติดต่อเราผ่าน Messenger