วิธีพิจารณาความกรุณาในการเลี้ยงดูของพ่อแม่ของเรา

วันที่ 02 เดือน 01 ปี 2025

ในปี 2012 พวกเราทั้งครอบครัวยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจความหมายของการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง และยังเข้าใจว่าทุกคนมีภารกิจในโลกใบนี้ ในชีวิต คนเราต้องไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ฉันจึงออกจากงานมาทำหน้าที่ที่คริสตจักร

ตอนนั้นฉันออกไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐทุกวัน และกลับบ้านไปหาพ่อเป็นครั้งคราวเท่านั้น เมื่อฉันเห็นว่าพ่อสุขภาพไม่ดี ก็รู้ว่าอาการหอบหืดของท่านกำเริบอีกแล้ว เมื่อก่อนท่านแค่ต้องกินยาหรือรับการพ่นยา ฉันนึกว่าคราวนี้พ่อจะผ่านมันไปได้อย่างราบรื่นเหมือนในอดีต แต่หลังจากนั้นไม่นานฉันก็ได้ข่าวว่าพ่อเสียชีวิตแล้ว พี่ชายบอกฉันทางโทรศัพท์ว่า “พ่อตายแล้ว” เมื่อได้ฟังสามคำนี้ ใจฉันแตกสลาย น้ำตาไหลไม่หยุด เมื่อฉันกลับมาบ้าน ป้าของฉันพูดเป็นเชิงตำหนิว่า “แกเรียนแพทย์มา แกรู้ว่าพ่อแกเป็นหอบหืด แล้วทำไมไม่ให้เขาทำออกซิเจนบำบัด? ถ้าอย่างนั้นเขาคงไม่ตายเร็วแบบนี้” ได้ยินแบบนั้น ใจฉันก็ยิ่งขาดรอน ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกติดค้างพ่อ ถ้าฉันคิดถึงพ่อมากกว่านี้อีกสักนิด พ่อจะไม่จากไปเร็วแบบนี้จริงๆ หรือ? ป้าจับมือฉันและพูดว่า “ในบรรดาลูกทุกคน พ่อแม่แกทุ่มเทให้แกมากที่สุด ตอนนี้พ่อเขาไม่อยู่แล้ว โดยที่แกไม่มีโอกาสกตัญญูต่อเขา ในอนาคต แกต้องดูแลแม่แกให้ดีๆ นะ” ฉันพยักหน้าเงียบๆ คิดถึงที่พ่อแม่เลี้ยงดูฉันมา ให้การศึกษากับฉัน และมองว่าฉันเป็นหนึ่งความภาคภูมิใจของพวกท่าน แต่ถึงอย่างนั้น ก่อนที่ฉันจะได้ทำอะไรให้พ่อหรือแม่ พ่อฉันก็ตายไปซะก่อน ฉันต้องเข้ารับหน้าที่ในการดูแลแม่ ฉันปล่อยให้แม่ทุกข์ทรมานไม่ได้ หลังจากนั้น ถึงแม้ฉันจะทำหน้าที่ทุกวัน แต่เมื่อไรก็ตามที่มีเวลาว่าง ฉันจะคิดว่า “ถ้าฉันไม่หางานทำและหาเงิน แม่ฉันจะอยู่อย่างไรในอนาคต? ถ้าฉันดูแลแม่ไม่ได้ และทำให้ตัวเองรู้สึกสำนึกผิดอีกหนึ่งเรื่อง ฉันจะเสียใจไปตลอดชีวิต” ฉันจึงเริ่มหางานทุกวันหลังจากทำหน้าที่เสร็จ

ในเดือนมีนาคม 2013 ฉันได้งานและเตรียมตัวจะไปทำงาน แต่ตอนที่กำลังจะออกจากบ้านพี่น้องหญิงที่ฉันพักอยู่ด้วย ฉันบังเกิดความรู้สึกโศกเศร้าอย่างมาก เพลงสรรเสริญบทหนึ่งดังสะท้อนในหัวฉันซ้ำไปซ้ำมา “ล้มลงในบาป แต่ข้าพระองค์ลุกขึ้นในความสว่าง ทรงยกชูข้าพระองค์อย่างมาก ข้าพระองค์สำนึกรู้คุณยิ่งนัก พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงทนทุกข์ แล้วข้าพระองค์ซึ่งเป็นคนที่เสื่อมทรามควรทนทุกข์มากไปกว่านี้อีกเพียงใด! หากข้าพระองค์ยอมจำนนต่ออิทธิพลมืด ข้าพระองค์จะเห็นพระเจ้าได้เช่นไร? เมื่อใดก็ตามที่ข้าพระองค์ระลึกย้อนไปดูพระวจนะของพระองค์ข้าพระองค์เต็มไปด้วยการถวิลหาพระองค์ เมื่อใดก็ตามที่ข้าพระองค์เห็นพระพักตร์ของพระองค์ข้าพระองค์เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความเคารพ ข้าพระองค์จะทนทอดทิ้งพระองค์เพื่อแสวงหาสิ่งที่เรียกว่าเสรีภาพได้อย่างไร?…” (ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ, รอคอยข่าวดีของพระเจ้า)  ระหว่างฮัมบทเพลงสรรเสริญ ความโศกเศร้าเข้าครอบงำฉัน เมื่อมาถึงวรรคที่ว่า  “ข้าพระองค์จะทนทอดทิ้งพระองค์เพื่อแสวงหาสิ่งที่เรียกว่าเสรีภาพได้อย่างไร?” ใบหน้าฉันก็นองไปด้วยน้ำตาหมดแล้ว ในอดีต ฉันใช้ชีวิตกับความว่างเปล่าและเจ็บปวด ไร้ทิศทางในชีวิต ไร้จุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ เป็นพระเจ้าที่ทรงเลือกฉันจากท้องทะเลแห่งผู้คนอันกว้างใหญ่ และทรงทำให้ฉันโชคดีพอที่จะได้ยินพระวจนะของพระองค์และเข้าใจความหมายของชีวิต เป็นพระเจ้าที่ทรงแสดงให้ฉันเห็นถึงพระคุณของพระองค์ แต่ฉันกลับละทิ้งหน้าที่อย่างรวดเร็วเพื่อหางานทำและหาเงิน และฉันรู้สึกติดค้างต่อพระเจ้าอย่างมาก ฉันร้องไห้ และร้องหาพระเจ้า “พระเจ้า ข้าพระองค์อ่อนแอเกินไป ข้าพระองค์ไม่สามารถขัดขืนตัวเองได้ ได้โปรดหยุดข้าพระองค์ไม่ให้เดินในเส้นทางนี้ด้วยเถิด” ตอนนั้นเอง จากที่ไกล ฉันมองเห็นพายุทรายพัดตรงมาทางฉัน ไม่นานรอบตัวฉันก็มีแต่พายุ ฉันหายใจไม่ออก มองอะไรก็ไม่เห็น ฉันได้ยินเสียงกระพือ ราวกับอะไรบางอย่างถูกดูดขึ้นไปในอากาศ ณ ตอนนั้นในหัวฉันคิดอย่างเดียว “วิ่ง” ฉันโยนจักรยานไฟฟ้าทิ้งทันทีแล้ววิ่งไปข้างหน้า วิ่งไปได้ไม่กี่หลา ฉันก็ได้ยินเสียงดังข้างหลัง ฉันเอามือปิดตา ไม่กล้าหันไปมอง ฉันทำได้เพียงอธิษฐานในใจต่อไป และขอให้พระเจ้าคุ้มครองฉัน หลังจากนั้นไม่นาน พายุทรายก็สงบลง ตอนนั้้นเองที่ฉันเห็นจักรยานไฟฟ้าของฉันอยู่บนพื้นห่างไปไม่ไกลนัก และสังเกตเห็นว่าเสาโทรศัพท์คอนกรีตข้างทางถูกหลังคาสังกะสีปลิวมาโดนจนหักครึ่ง เสาโทรศัพท์ถูกพัดไปไกลเกินสิบหลา และสายโทรศัพท์ก็ขาดด้วยเช่นกัน ถ้าตอนนั้นสมองไม่ได้บอกให้ฉันวิ่ง ฉันอาจจะโดนทับตายก็เป็นได้ ตอนนั้นเอง ประโยคหนึ่งจากพระวจนะของพระเจ้าดังก้องอยู่ในใจฉัน “เราถึงกับได้แสดงให้พวกเจ้าเห็นเปลวเพลิงแห่งสวรรค์ แต่เราไม่ได้มีใจที่จะเผาพวกเจ้า…(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พวกเจ้าทั้งหมดมีบุคลิกลักษณะต่ำช้าเหลือเกิน!)  ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงคุ้มครองฉัน และนี่คือวิธีที่ทรงตรัสกับฉันและแสดงให้ฉันเห็นถึงเจตนารมณ์ของพระองค์ ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าในใจเงียบๆ “พระเจ้า ข้าพระองค์จะไม่ทำงานเพื่อหาเงินอีกแล้ว ข้าพระองค์จะไม่ไปจากพระองค์” แต่พอฉันตื่นขึ้นในวันรุ่งขึ้น ฉันก็ลังเลใจอีก เมื่อมองไปข้างหน้า เส้นทางที่ฉันต้องเดินยังอีกยาวไกล ถ้าฉันไม่มีงานทำ แล้วต่อไปในอนาคตแม่ฉันจะอยู่อย่างไร? พ่อแม่เลี้ยงฉันมา และฉันควรหาเลี้ยงพวกท่านในยามที่ท่านแก่เฒ่า แต่การเลิกทำหน้าที่และไปหางานทำเพื่อหาเงินก็จะทำให้ฉันเศร้ามากเช่นกัน ฉันรู้ว่างานโรงพยาบาลนั้นยุ่งมาก ฉะนั้นถ้าฉันไปทำงานที่โรงพยาบาล ฉันอาจแทบไม่มีแม้แต่เวลามาร่วมการชุมนุม หลังจากนั้นฉันก็ออกไปทำหน้าที่ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังคิดถึงเรื่องแม่เป็นระยะ ถึงฉันจะรู้ว่าพวกพี่น้องของฉันอยู่กับแม่ และชีวิตแม่คงไม่มีความลำบากอะไร แต่บ่อยครั้งที่ฉันยังรู้สึกผิดและรู้สึกติดค้างแม่ที่ไม่สามารถดูแลท่านได้

พริบตาเดียว สิบปีก็ผ่านไป ครั้งหนึ่ง ในบางสภาพการณ์ที่ไม่ปกติ ฉันคิดว่าแม่ฉันจะดูเป็นยังไงที่อยู่คนเดียวหลังจากที่พ่อฉันตาย ในหัวใจฉันมีความเจ็บปวดที่ยากจะควบคุม ราวกับเรื่องทั้งหมดนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน พ่อฉันตายไปสิบปีแล้ว แต่ความรู้สึกติดค้างพ่อแม่ยังฝังลึกอยู่ในใจฉัน ฉันต้องการให้ตัวเองหลุดจากสภาวะนี้โดยสมบูรณ์ ฉันจึงมาอยู่ที่เฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า เพื่อหาเหตุผลว่าทำไมฉันจึงอยู่กับความรู้สึกติดค้างพ่อแม่มาโดยตลอด

ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าบางบทตอน และพอจะได้ความรู้เกี่ยวกับปัญหาของตัวเองอยู่บ้าง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “มีคำกล่าวในโลกของผู้ไม่มีความเชื่ออยู่ว่า ‘กาตอบแทนแม่ด้วยการหาอาหารให้ ส่วนลูกแกะคุกเข่ารับน้ำนมจากแม่’  ยังมีคำกล่าวนี้อีกด้วยว่า ‘คนอกตัญญูต่ำกว่าสัตว์เดรัจฉาน’  คำกล่าวเหล่านี้ฟังดูใหญ่โตยิ่ง!  อันที่จริง ปรากฏการณ์ที่คำกล่าวข้อแรกเอ่ยถึงเรื่องกาตอบแทนแม่ด้วยการหาอาหารให้ ส่วนลูกแกะคุกเข่ารับน้ำนมจากแม่นั้นมีอยู่จริง นี่คือข้อเท็จจริง  อย่างไรก็ดี นี่เป็นเพียงปรากฏการณ์ในโลกของสัตว์เท่านั้น  เป็นเพียงกฎอย่างหนึ่งที่พระเจ้าทรงวางไว้ให้แก่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างต่างๆ และเป็นกฎที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างสารพัดชนิด รวมถึงมนุษย์ ต่างก็ปฏิบัติตาม  ข้อเท็จจริงที่ว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างสารพัดชนิดปฏิบัติตามกฎข้อนี้แสดงให้เห็นต่อไปอีกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งปวงก็คือสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา  ไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดสามารถละเมิดกฎข้อนี้ และไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดสามารถอยู่เหนือกฎนี้  แม้แต่สัตว์กินเนื้อที่ค่อนข้างดุร้ายอย่างสิงโตและเสือก็บำรุงเลี้ยงและไม่กัดลูกๆ ของมันก่อนที่ลูกจะโตเต็มวัย  นี่คือสัญชาตญาณของสัตว์  ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ชนิดใด ดุร้ายหรือเชื่องและอ่อนโยน สัตว์ทุกตัวล้วนมีสัญชาตญาณนี้  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทุกชนิด รวมถึงมนุษย์ ได้แต่เพิ่มจำนวนและอยู่รอดต่อไปด้วยการทำตามสัญชาตญาณนี้และกฎข้อนี้  ถ้าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นไม่ปฏิบัติตามกฎนี้ หรือไม่มีกฎข้อนี้และสัญชาตญาณนี้ สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก็จะไม่สามารถเพิ่มจำนวนและอยู่รอดได้  ห่วงโซ่ทางชีวภาพจะไม่เกิดขึ้น และโลกนี้ก็จะไม่มีอยู่เช่นกัน  นี่คือเรื่องจริงมิใช่หรือ? (ใช่) คำกล่าวที่ว่ากาตอบแทนแม่ด้วยการหาอาหารให้ ส่วนลูกแกะคุกเข่ารับน้ำนมจากแม่ แสดงให้เห็นโดยแท้ว่าโลกของสัตว์ดำเนินไปตามกฎเช่นนี้  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทุกชนิดมีสัญชาตญาณนี้  เมื่อลูกเกิดมา ก็จะมีสัตว์ชนิดนั้นตัวเมียหรือตัวผู้คอยดูแลและบำรุงเลี้ยงจนโตเต็มวัย  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทุกชนิดสามารถลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่ตนมีต่อเลือดเนื้อเชื้อไขได้ ตั้งอกตั้งใจเลี้ยงดูรุ่นต่อไปให้เติบโตตามหน้าที่  มนุษย์ควรเป็นเช่นนี้มากกว่าด้วยซ้ำ  มวลมนุษย์เรียกตัวเองว่าสัตว์ที่สูงส่งกว่า—ถ้าพวกเขาไม่สามารถทำตามกฎข้อนี้ และไม่มีสัญชาตญาณนี้ เช่นนั้นแล้วมนุษย์ก็ต่ำกว่าสัตว์มิใช่หรือ?  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าพ่อแม่ของเจ้าจะบำรุงเลี้ยงเจ้ามากเพียงใดระหว่างที่เลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่ ไม่ว่าจะลุล่วงความรับผิดชอบที่พวกเขามีต่อเจ้าไปมากเท่าใด พวกเขาก็เพียงแต่ทำสิ่งที่ตนพึงทำในขอบเขตความสามารถของมนุษย์ทรงสร้างคนหนึ่งเท่านั้น—นี่คือสัญชาตญาณของพวกเขา… สิ่งมีชีวิตทรงสร้างและสัตว์ทุกชนิดมีสัญชาตญาณและกฎเหล่านี้ และปฏิบัติตามได้อย่างดียิ่ง ดำเนินการตามนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ  นี่คือสิ่งที่ไม่มีใครสามารถทำลายได้  ยังมีสัตว์พิเศษบางตัว เช่น เสือและสิงโตอีกด้วย  เวลาสัตว์เหล่านี้โตเต็มที่ พวกมันก็จากพ่อแม่ไป และตัวผู้บางตัวก็ถึงกับกลายเป็นคู่แข่ง กัดกัน ขับเคี่ยวและต่อสู้กันตามความจำเป็น  นี่เป็นเรื่องปกติ เป็นกฎอย่างหนึ่ง  พวกมันไม่ได้รักใคร่เอ็นดูกันเท่าใดนัก และไม่ได้ใช้ชีวิตท่ามกลางความรู้สึกต่างๆ ของตนเหมือนผู้คน พลางพูดว่า ‘ฉันต้องตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพ่อแม่ ฉันต้องใช้คืน—ฉันต้องเชื่อฟังพ่อแม่  ถ้าฉันไม่แสดงความกตัญญูรู้คุณต่อพ่อแม่ คนอื่นจะกล่าวโทษฉัน ต่อว่า และวิพากษ์วิจารณ์ฉันลับหลัง  ฉันทนรับเรื่องนั้นไม่ได้!’  โลกของสัตว์ไม่มีการพูดอะไรแบบนั้น  เหตุใดผู้คนจึงพูดเรื่องแบบนั้น?  เพราะในสังคมและในกลุ่มคน มีแนวคิดและฉันทามติต่างๆ ที่ไม่ถูกต้อง  หลังจากที่ผู้คนถูกสิ่งเหล่านี้ครอบงำ กัดกร่อน และทำให้ผุพัง ในตัวพวกเขาย่อมเกิดวิธีตีความและวิธีรับมือสัมพันธภาพพ่อแม่ลูกที่แตกต่างออกไป และในที่สุดพวกเขาก็จะปฏิบัติต่อพ่อแม่ของตนดุจดังเจ้าหนี้—เป็นเจ้าหนี้ที่ชั่วชีวิตนี้พวกเขาจะไม่มีวันสามารถใช้คืนได้หมด  มีแม้กระทั่งบางคนที่รู้สึกผิดไปชั่วชีวิตหลังจากที่พ่อแม่ตาย พวกเขาคิดไปว่าตนนั้นไม่คู่ควรกับความใจดีมีเมตตาของพ่อแม่ เพราะพวกเขาทำสิ่งหนึ่งที่ทำให้พ่อแม่ไม่มีความสุข หรือไม่ได้เป็นไปในทางที่พ่อแม่อยากให้เป็น  จงบอกเราเถิด นี่เกินเหตุมิใช่หรือ?  ผู้คนดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางความรู้สึกของตนเอง ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ถูกแนวคิดต่างๆ ที่เกิดจากความรู้สึกเหล่านี้แทรกแซงและรบกวน(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (17))  “ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ด้วยการเลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่ พ่อแม่ก็กำลังลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของตน  การเลี้ยงเจ้าให้โตเป็นผู้ใหญ่คือภาระผูกพันและความรับผิดชอบของพวกเขา และนี่ก็ไม่อาจเรียกว่าความใจดีมีเมตตาได้  ถ้าไม่สามารถเรียกว่าความใจดีมีเมตตา เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมเป็นสิ่งที่เจ้าพึงมีมิใช่หรือ? (ใช่)  นี่คือสิทธิ์อย่างหนึ่งที่เจ้าพึงมี  เจ้าควรได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ เพราะก่อนที่เจ้าจะโตเป็นผู้ใหญ่นั้น บทบาทที่เจ้ามีก็คือบทบาทของลูกที่ได้รับการเลี้ยงดูให้เติบโต  เพราะฉะนั้น พ่อแม่ของเจ้าจึงเพียงแต่ลุล่วงความรับผิดชอบอย่างหนึ่งที่พวกเขามีต่อเจ้าเท่านั้น และเจ้าก็เพียงแต่รับเอาไว้ แต่แน่นอนว่าเจ้าไม่ได้รับพระคุณหรือความใจดีมีเมตตาจากพวกเขา  สำหรับสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง การมีลูกและเลี้ยงดูลูก สืบพันธุ์และเลี้ยงดูรุ่นต่อไปให้เติบใหญ่ เป็นความรับผิดชอบอย่างหนึ่ง  ยกตัวอย่างนก วัว แกะ และแม้กระทั่งเสือ หลังจากที่มีลูกแล้วก็ล้วนต้องเลี้ยงดูเลือดเนื้อเชื้อไขของตน  ไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดที่ไม่เลี้ยงลูกของตนเอง  เป็นไปได้ที่จะมีกรณียกเว้นบ้าง แต่ก็ไม่มาก  นี่คือปรากฏการณ์ธรรมชาติในการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เป็นสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และไม่อาจจัดให้เป็นความใจดีมีเมตตาได้  พวกเขาเพียงปฏิบัติตามกฎที่พระผู้สร้างทรงวางไว้ให้แก่สัตว์และมวลมนุษย์ทั้งหลายเท่านั้น  เพราะฉะนั้น การที่พ่อแม่เลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่จึงไม่ใช่ความใจดีมีเมตตาอย่างหนึ่ง  เมื่อพิจารณาตามนี้ก็อาจกล่าวได้ว่าพ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก  พวกเขากำลังลุล่วงความรับผิดชอบที่มีต่อเจ้า  ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ความพยายามและเงินทองไปกับเจ้ามากเท่าใด พวกเขาก็ไม่ควรขอให้เจ้าชดใช้ เพราะนี่คือความรับผิดชอบของพวกเขาในฐานะพ่อแม่  ในเมื่อเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพัน ก็ควรให้เปล่า และพวกเขาก็ไม่ควรขออะไรชดเชย  ด้วยการเลี้ยงดูเจ้า พ่อแม่ก็เพียงลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของพวกเขาเท่านั้น และไม่ควรมีการจ่ายอะไรในเรื่องนี้ นี่ไม่ควรเป็นธุรกรรมซื้อขาย  ดังนั้น เจ้าจึงไม่จำเป็นต้องรับมือพ่อแม่หรือจัดการสัมพันธภาพกับพวกเขาตามแนวคิดของการใช้คืนพวกเขา  ถ้าเจ้าเลี้ยงดูปูเสื่อ จ่ายคืนพ่อแม่ และจัดการสัมพันธภาพกับพวกเขาตามแนวคิดนี้ นั่นย่อมไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์  พร้อมกันนั้นก็มีแนวโน้มที่จะทำให้เจ้าถูกความรู้สึกทางเนื้อหนังควบคุมและพันธนาการเอาไว้ และเป็นการยากที่เจ้าจะหลุดออกจากสภาพที่ยุ่งเหยิงเหล่านี้ ถึงขนาดที่เจ้าอาจจะอับจนหนทางด้วยซ้ำ(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (17))  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจว่า การที่พ่อแม่เลี้ยงดูลูกๆ นั้นหาใช่ความกรุณาแบบหนึ่งไม่ แต่คือกฎและสัญชาติญาณที่พระเจ้าลิขิตให้กับสิ่งมีชีวิตทั้งมวล สัตว์ทุกชนิด ไม่ว่าจะอ่อนโยนหรือดุร้าย ล้วนทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อเลี้ยงดูลูกโดยอิงจากภาวะสิ่งแวดล้อม นี่คือความรับผิดชอบและหน้าที่ของสัตว์ทั้งมวล อีกทั้งยังเป็นสัญชาติญาณที่พระเจ้าประทานให้ สิ่งมีชีวิตต้องปฏิบัติตามสัญชาติญาณและกฎนี้เท่านั้น จึงจะสามารถเพิ่มจำนวนและเอาชีวิตรอด มนุษย์ก็เป็นเช่นเดียวกัน พ่อแม่มีความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ในการเลี้ยงดูลูกๆ และนี่คือสิ่งที่พระเจ้าประทานมาให้แต่กำเนิด เป็นสิ่งที่มนุษย์กระทำไปตามสัญชาติญาณ ตั้งแต่เกิดมา พ่อแม่ก็เลี้ยงดูฉันกับพี่น้อง น้องชายฉันชอบเรียนวิชาชีพ แม่เลยอนุญาตให้เขาเรียนเป็นเชฟ ส่วนฉันค่อนข้างชอบเรียนหนังสือ เกรดก็ดีมาตลอด พ่อแม่ช่วยปลูกฝังความรักการเรียนให้ฉัน พวกท่านจึงใช้พลังงานและเงินทองไปกับฉันไม่น้อย แม่บอกว่าพวกท่านจะช่วยสนับสนุนพวกเราทุกคนถ้าเราอยากเรียน นี่คือการที่แม่ลุล่วงหน้าที่ของแม่ในการเลี้ยงดูลูกๆ สิ่งนี้ไม่อาจมองเป็นการแลกเปลี่ยนได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมา พ่อแม่สนับสนุนที่ฉันเชื่อในพระเจ้าและที่ฉันทำหน้าที่ ถึงแม้พ่อฉันจะเสียชีวิตไป แม่ก็ไม่ได้เรียกร้องให้ฉันไปดูแลท่าน แม่เพียงหวังว่าฉันจะสามารถเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของฉันได้อย่างเต็มหัวใจ แต่ถึงอย่างนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันกลับยอมให้วัฒนธรรมดั้งเดิมมีผลต่อวิธีการมองความสัมพันธ์ของฉันกับพ่อแม่ แนวคิดอย่างเช่น “ความกตัญญูต่อบุพการีคือคุณธรรมที่ต้องยึดถือเหนือสิ่งอื่นใดทั้งปวง” “ลูกหวังจะเลี้ยงดูพ่อแม่ในยามแก่เฒ่า แต่เวลาไม่คอยท่า เหมือนเช่นต้นไม้ปรารถนาความสงบแต่ลมไม่ยอมหยุดพัด” “อีกาตอบแทนแม่ด้วยการหาอาหารให้ และแกะคุกเข่าเพื่อรับน้ำนมจากแม่” และ “ผู้ที่อกตัญญูนั้นต่ำยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน” ถูกปลูกฝังในใจฉันตั้งแต่ยังเด็ก และฉันเชื่อว่าความรักของพ่อแม่ของฉันเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ขอเพียงฉันกตัญญูกับพ่อแม่ และตอบแทนพวกท่านในทางวัตถุและจิตวิญญาณ ฉันก็จะเป็นลูกสาวที่กตัญญูและเป็นคนดี การจากไปอย่างกะทันหันของพ่อ ทำให้ฉันเข้าใจมากยิ่งขึ้นถึงความรู้สึกผิดที่ไม่อาจแก้ไขได้ที่แสดงออกมาในวลีนี้ “ลูกหวังจะเลี้ยงดูพ่อแม่ในยามแก่เฒ่า แต่เวลาไม่คอยท่า” ดังนั้นหลังจากพ่อจากไป ฉันจึงอยากหางานทำและหาเงิน เลี้ยงดูแม่ และแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อท่าน ถึงฉันจะรู้อยู่เต็มอกว่าฉันไม่อาจละทิ้งหน้าที่ไว้เบื้องหลังและทรยศพระเจ้าได้ ฉันก็ยังไม่สามารถสลัดตัวเองให้หลุดพ้นจากแนวคิดพวกนี้ที่ผูกมัดฉันไว้ ถ้าพระเจ้าไม่ทรงใช้พายุทรายมาเตือนฉัน ฉันอาจจะทิ้งหน้าที่ของฉันและหลบเลี่ยงพระองค์ไปแล้ว แนวคิดพวกนี้จากวัฒนธรรมดั้งเดิมดูคล้ายจะมีคุณธรรมมากอยู่ แต่ในแก่นแท้แล้วกลับเป็นโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นที่ซาตานใช้มัดผู้คนเอาไว้ แนวคิดพวกนี้บิดเบือนความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกๆ ทำให้คนมองว่าหน้าที่ของพ่อแม่ในการเลี้ยงดูลูกๆ ของตนเป็นความกรุณาที่ต้องได้รับการตอบแทน ถ้าใครไม่สามารถตอบแทนพ่อแม่หรือมีภาวะที่ไม่เอื้ออำนวยให้ทำเช่นนั้น พวกเขาจะคิดว่าตนไม่กตัญญูและไม่มีมโนธรรม ถึงกระทั่งใช้เวลาทั้งชีวิตด้วยความรู้สึกติดค้างและตำหนิตัวเอง ซาตานใช้แนวคิดดั้งเดิมเหล่านี้วางยาพิษและผูกมัดผู้คน เพื่่อให้คนหลบเลี่ยงและทรยศพระเจ้า เป็นการบรรลุเป้าหมายของมันในการทำร้ายคน เมื่อพระเจ้าทรงเผยให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก หัวสมองฉันก็ค่อยๆ แจ่มใสขึ้น การที่พ่อแม่สละตนเพื่อฉันไม่ใช่น้ำหนักที่ฉันต้องแบกไว้บนบ่า ฉันไม่ควรมองความสัมพันธ์ของฉันกับพ่อแม่โดยอิงจากวัฒนธรรมดั้งเดิมเยี่ยงซาตาน และปฏิบัติต่อความรักความห่วงใยที่พ่อแม่มีให้ฉันว่าเป็นความกรุณาที่ฉันต้องตอบแทน สิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับความจริง เมื่อตระหนักถึงข้อนี้ หัวใจฉันเบาและเป็นอิสระขึ้นมาก

ต่อมาฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติม “ความสัมพันธ์กับพ่อแม่คือสัมพันธภาพที่ยากที่สุดที่ใครจะจัดการทางอารมณ์ได้ แต่อันที่จริง ก็ใช่ว่าจะจัดการไม่ได้เลย  ผู้คนจะสามารถปฏิบัติต่อเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้องและสมเหตุสมผลก็ต่อเมื่อเข้าใจความจริงเท่านั้น  จงอย่าเริ่มจากมุมมองของความรู้สึก และอย่าเริ่มจากความเข้าใจหรือมุมมองของผู้คนทางโลก  แต่จงปฏิบัติต่อพ่อแม่ของเจ้าในลักษณะที่ถูกควรตามพระวจนะของพระเจ้า  แท้จริงแล้วพ่อแม่มีบทบาทเช่นไร อันที่จริงลูกๆ มีความหมายเช่นไรต่อพ่อแม่ ลูกควรมีท่าทีเช่นใดต่อพ่อแม่ และผู้คนควรจัดการและแก้ไขสัมพันธภาพระหว่างพ่อแม่ลูกอย่างไร?  ผู้คนไม่ควรมองเรื่องเหล่านี้ตามความรู้สึก และไม่ควรถูกแนวคิดที่ผิดหรือความรู้สึกนึกคิดที่ใช้กันทั่วไปครอบงำ พวกเขาควรใช้แนวทางที่ถูกต้องตามพระวจนะของพระเจ้า  ถ้าเจ้าไม่อาจลุล่วงความรับผิดชอบใดๆ ที่เจ้ามีต่อพ่อแม่ได้ในสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ให้ หรือถ้าเจ้าไม่มีบทบาทอันใดในชีวิตของพวกเขาเลย นั่นคือการอกตัญญูกระนั้นหรือ?  มโนธรรมของเจ้าจะกล่าวหาเจ้าหรือไม่?  เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมชั้น และญาติพี่น้องของเจ้าจะพากันต่อว่าและวิพากษ์วิจารณ์เจ้าลับหลัง  พวกเขาจะเรียกเจ้าว่าลูกอกตัญญู พลางกล่าวว่า ‘พ่อแม่ของเธอเสียสละเพื่อเธอไปตั้งมากมาย อุตส่าห์ทุ่มเทความพยายามเพื่อเธอมากมายนัก และทำอะไรต่ออะไรให้เธอมากมายตั้งแต่เธอยังเล็ก ส่วนเธอที่เป็นลูกอกตัญญูกลับเอาแต่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ส่งข่าวมาด้วยซ้ำว่าตัวเองปลอดภัย  ไม่เพียงไม่กลับมาในช่วงปีใหม่เท่านั้น แม้แต่โทรศัพท์มาคุยหรือส่งข้อความมาอวยพรพ่อแม่ เธอก็ไม่ทำ’  ทุกครั้งที่เจ้าได้ฟังคำพูดพวกนี้ มโนธรรมของเจ้าก็ร่ำไห้และเลือดไหลซิบๆ เจ้ารู้สึกว่าถูกกล่าวโทษ  ‘โอ พวกเขาพูดถูก’  หน้าเจ้าแดงและร้อนผ่าว หัวใจของเจ้าสั่นระริกราวกับมีเข็มคอยทิ่มแทง  เจ้าเคยมีความรู้สึกประเภทนี้บ้างหรือไม่?  (เมื่อก่อนนี้เคยมี) เพื่อนบ้านและญาติพี่น้องของเจ้าพูดถูกหรือไม่ว่าเจ้าอกตัญญู?  (ไม่ถูก ข้าพระองค์ไม่ได้อกตัญญู)  จงอธิบายเหตุผลของเจ้ามาเถิด… ก่อนอื่นผู้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะจากบ้านมาปฏิบัติหน้าที่ของตน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรูปการณ์แวดล้อมที่เกิดขึ้นจริงครอบคลุมอยู่ ซึ่งทำให้พวกเขาจำเป็นที่จะต้องผละจากพ่อแม่ของตน ไม่อาจอยู่ข้างกายพ่อแม่เพื่อดูแลและอยู่เป็นเพื่อนได้  ไม่ใช่ว่าพวกเขาเต็มใจเลือกที่จะจากพ่อแม่มา นี่คือเหตุผลตามความเป็นจริง  อีกอย่างหนึ่ง ถ้ากล่าวตามความรู้สึกส่วนตัวแล้ว เจ้าออกมาปฏิบัติหน้าที่ของตนไม่ใช่เพราะเจ้าอยากผละจากพ่อแม่และหนีความรับผิดชอบของเจ้า แต่เป็นเพราะพระเจ้าทรงเรียก  เจ้าไม่มีทางเลือกนอกจากผละจากพ่อแม่ของตนเพื่อที่จะให้ความร่วมมือในพระราชกิจของพระเจ้า ยอมรับการทรงเรียกของพระองค์ และปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เจ้าไม่อาจอยู่ข้างกายเป็นเพื่อนพวกเขาและดูแลเอาใจใส่พวกเขาได้  เจ้าไม่ได้ผละจากพวกเขาเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ ถูกต้องหรือไม่?  การจากพวกเขามาเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบของเจ้า กับการต้องจากพวกเขาเพื่อตอบรับการทรงเรียกของพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า—สองสิ่งนี้มีธรรมชาติที่ต่างกันมิใช่หรือ? (ใช่) ในหัวใจของเจ้า เจ้าย่อมมีความคิดและความผูกพันทางอารมณ์ต่อพ่อแม่ ความรู้สึกของเจ้าไม่ได้ว่างเปล่า  ถ้ารูปการณ์แวดล้อมที่เกิดขึ้นจริงเปิดโอกาสให้ และเจ้าสามารถอยู่เคียงข้างพวกเขาพลางปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าไปด้วยได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมเต็มใจที่จะอยู่ข้างกายพวกเขา ดูแลพวกเขาเป็นประจำและลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า  แต่เพราะรูปการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เจ้าจึงต้องจากพวกเขามา ไม่สามารถอยู่ข้างกายพวกเขาได้  ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่อยากลุล่วงความรับผิดชอบของตนในฐานะลูกของพวกเขา แต่เป็นเพราะเจ้าทำไม่ได้  นี่มีธรรมชาติที่ต่างกันมิใช่หรือ? (ใช่)  ถ้าเจ้าออกจากบ้านเพื่อหลีกเลี่ยงการกตัญญูและการลุล่วงความรับผิดชอบของตน นั่นย่อมอกตัญญูและไร้ความเป็นมนุษย์  พ่อแม่ของเจ้าเลี้ยงดูเจ้ามาจนเติบใหญ่ แต่เจ้ากลับรอไม่ไหวที่จะสยายปีกของตนและออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองโดยเร็ว  เจ้าไม่อยากพบหน้าพ่อแม่ และไม่ให้ความสนใจเมื่อได้ยินว่าพวกเขาได้เผชิญเรื่องยุ่งยากบางอย่าง  ต่อให้เจ้ามีลู่ทางที่จะช่วย เจ้าก็ไม่ทำ เจ้าเอาแต่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและปล่อยให้ผู้อื่นพูดถึงเจ้ากันตามใจชอบ—เจ้าแค่ไม่อยากลุล่วงความรับผิดชอบของตนเท่านั้น  นี่คือการอกตัญญู  แต่ตอนนี้เป็นเช่นนี้หรือไม่? (ไม่) ผู้คนมากมายออกจากเทศมณฑล เมืองใหญ่ มณฑล หรือแม้กระทั่งประเทศของตนเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาอยู่ห่างบ้านเกิดของตนไปไกลแล้ว  ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ไม่สะดวกที่จะติดต่อครอบครัวของตนด้วยเหตุผลนานาประการ  บางครั้งบางคราวพวกเขาก็ถามไถ่สถานการณ์ปัจจุบันของพ่อแม่จากผู้คนที่มาจากภูมิลำเนาเดียวกัน และรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ฟังว่าพ่อแม่ยังคงมีสุขภาพแข็งแรงและยังอยู่ดี  อันที่จริง เจ้าไม่ได้อกตัญญู เจ้ายังไม่ถึงขั้นไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ที่ไม่อยากดูแลพ่อแม่หรือลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อพ่อแม่  การที่เจ้าต้องเลือกทางนี้ก็ด้วยเหตุผลต่างๆ นานาตามสภาพความเป็นจริง ดังนั้นเจ้าจึงไม่ได้อกตัญญู(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (16))  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจว่า ที่ฉันจมอยู่กับความรู้สึกติดค้างพ่อแม่มาตลอดหลายปีนี้ เป็นเพราะฉันได้รับอิทธิพลและยาพิษจากวัฒนธรรมดั้งเดิม ฉันคิดไปว่าฉันไม่ได้ใช้ชีวิตตามคำพูดที่ว่า “อีกาตอบแทนแม่ด้วยการหาอาหารให้” และ “เมื่อได้รับความกรุณาก็ควรตอบแทนอย่างสำนึกบุญคุณ” ฉันเชื่อไปว่าฉันเป็นลูกอกตัญญู มโนธรรมของฉันหนักอึ้ง และฉันไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ จากพระวจนะของพระเจ้า ในที่สุดฉันก็สำนึกว่า คนเราไม่ควรตัดสินมโนธรรมและความเป็นมนุษย์ของคน จากพฤติธรรมภายนอกของเขา แต่ควรดูจากแก่นแท้ของการกระทำ เหมือนกับที่หลายปีมานี้ ฉันเพียงเป็นกังวลเรื่องแม่ และอยากแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อแม่ เพราะการเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่หมายถึงฉันไม่สามารถไปอยู่กับแม่ได้บ่อยๆ อีกทั้งการตามล่าและการข่มเหงจากพรรคคอมมิวนิสต์ หมายความว่าฉันต้องหนีไกลจากบ้าน และจะไม่มีโอกาสกตัญญูกับพ่อแม่ ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากกตัญญูหรืออยากจะหลบเลี่ยงความรับผิดชอบของตน แก่นแท้ของปัญหานี้แตกต่างจากการที่ภาวะเอื้ออำนวยให้กตัญญูแต่ก็ยังไม่ยอมทำ ดังนั้นฉันไม่ควรสับสนระหว่างสองอย่างนี้ ฉันต้องมองตัวเองให้ถูกต้องโดยอิงจากพระวจนะของพระเจ้า เพียงทำแบบนี้เท่านั้นฉันจึงจะสามารถรอดพ้นจากการหลอกลวงและการทำร้ายของซาตานได้

หลังจากนั้นฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติม และเห็นชัดเจนขึ้นถึงวิธีการพิจารณาความสัมพันธ์ของฉันกับพ่อแม่อย่างถูกต้อง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในยามที่ติดต่อสัมพันธ์กับบิดามารดาของเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะลุล่วงภาระผูกพันของตนในฐานะบุตรที่ดูแลบิดามารดาหรือไม่นั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของภาวะส่วนตนของเจ้าและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าโดยสมบูรณ์  นี่อธิบายเรื่องนี้อย่างครบบริบูรณ์มิใช่หรือ?  เมื่อบางคนละทิ้งบิดามารดาของตน พวกเขารู้สึกว่าตนเป็นหนี้บิดามารดาของตนมากมายและพวกเขาไม่ได้ทำสิ่งใดเพื่อบิดามารดาของพวกเขาเลย  ทว่าตอนนั้นเมื่อพวกเขาอยู่ด้วยกัน พวกเขาก็ไม่กตัญญูต่อบิดามารดาของพวกเขาเลย และพวกเขาก็ไม่ได้ลุล่วงภาระผูกพันของตนแต่ประการใด  นี่คือคนที่กตัญญูอย่างแท้จริงหรือ?  นี่คือการกล่าววาจาอันว่างเปล่า  ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร เจ้าจะคิดอะไร หรือเจ้าจะวางแผนอย่างไร สิ่งเหล่านั้นไม่สำคัญ  สิ่งสำคัญคือเจ้าสามารถเข้าใจและเชื่ออย่างแท้จริงได้หรือไม่ว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวงอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  บิดามารดาบางคนมีพรและโชคชะตานั้นที่จะสามารถชื่นชมยินดีกับความสำราญในบ้านและความสุขของครอบครัวใหญ่ที่เจริญรุ่งเรือง  นี่คืออธิปไตยของพระเจ้า และพระพรที่พระเจ้าประทานแก่พวกเขา  บิดามารดาบางคนไม่มีโชคชะตานี้ พระเจ้าไม่ได้ทรงจัดการเตรียมการโชคชะตานี้ไว้สำหรับพวกเขา  พวกเขาไม่ได้รับพระพรที่จะชื่นชมยินดีกับการมีครอบครัวที่มีความสุข หรือชื่นชมยินดีกับการมีบุตรของตนอยู่เคียงข้าง  นี่คือการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าและผู้คนก็ไม่สามารถใช้กำลังบังคับเรื่องนี้ได้  ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ท้ายที่สุดแล้วเมื่อเป็นเรื่องของความกตัญญูรู้คุณ อย่างน้อยผู้คนก็ต้องมีกรอบความคิดของการนบนอบ  หากสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยและเจ้ามีวิถีทางที่จะทำอย่างนั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมสามารถแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดาของเจ้าได้  หากสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยและเจ้าขาดพร่องวิถีทาง เช่นนั้นแล้วจงอย่าพยายามฝืนเรื่องนี้—สิ่งนี้เรียกว่าอะไร? (การนบนอบ)  สิ่งนี้เรียกว่าการนบนอบ  การนบนอบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  พื้นฐานสำหรับการนบนอบคืออะไร?  การนบนอบอยู่บนพื้นฐานที่ว่าสิ่งทั้งปวงนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการและพระเจ้าทรงปกครอง  แม้ว่าผู้คนอาจปรารถนาที่จะเลือก พวกเขาก็ไม่สามารถทำได้ พวกเขาไม่มีสิทธิที่จะเลือก และพวกเขาควรนบนอบ  เมื่อเจ้ารู้สึกว่าผู้คนควรนบนอบและพระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงทุกสิ่ง เจ้าไม่รู้สึกสงบในหัวใจของตนมากขึ้นหรอกหรือ? (ใช่)  เช่นนั้นแล้วมโนธรรมของเจ้ายังคงรู้สึกถูกตำหนิอยู่หรือไม่?  มโนธรรมของเจ้าจะไม่รู้สึกว่าถูกตำหนิอยู่เนืองนิจอีกต่อไป และแนวคิดว่าเจ้าได้อกตัญญูต่อบิดามารดาของเจ้าก็จะไม่ครอบงำเจ้าอีกต่อไป  บางครั้งบางคราวเจ้าอาจยังคงคิดถึงเรื่องนี้ เนื่องจากความคิดเหล่านี้เป็นความคิดหรือสัญชาตญาณปกติภายในความเป็นมนุษย์ และไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงความคิดเหล่านี้ได้(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, สิ่งใดหรือคือความเป็นจริงความจริง?)  “ในการสถิตของพระผู้สร้าง เจ้าก็คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  สิ่งที่เจ้าควรทำในชีวิตนี้ไม่ใช่เพียงลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อพ่อแม่ของเจ้าเท่านั้น แต่ยังลุล่วงความรับผิดชอบและหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอีกด้วย  เจ้าสามารถลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อพ่อแม่ตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริงเท่านั้น ไม่ใช่ทำทุกสิ่งให้พวกเขาตามความต้องการทางอารมณ์หรือความต้องการทางมโนธรรมของเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (16))  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจว่าเมื่อเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูก ภายใต้สภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ ทั้งสองฝ่ายควรลุล่วงหน้าที่โดยอิงจากความสามารถและภาวะของตน ในส่วนชะตากรรมของมนุษย์นั้น พระเจ้าได้ทรงลิขิตมาแล้วว่าแต่ละคนจะทนทุกข์มากเท่าไร และได้ชื่นชมพระพรมากน้อยแค่ไหนในช่วงชีวิต พ่อแม่ไม่อาจตัดสินว่าลูกจะเดินเส้นทางไหนในอนาคต และลูกไม่สามารถเปลี่ยนชะตากรรมของพ่อแม่ด้วยการทำงานหนักได้ บางคนมีพรบางประการ ขณะที่คนอื่นไม่มีพรนั้น ทั้้งหมดนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ด้วยพลังใจและความรักใคร่ของมนุษย์ เหมือนที่พ่อแม่ตระเตรียมฉันให้เรียนแพทย์ และถึงพวกท่านจะใช้เงินไปมากมาย สุดท้ายฉันก็ไม่ได้ทำงานในวงการนั้น ในลักษณะเดียวกัน ฉันอยากกตัญญูกับพ่อแม่ แต่พ่อฉันตายเร็วเกินไป และฉันอยากจะกตัญญูกับแม่แต่ฉันไม่เคยได้อยู่ใกล้ๆ แม่เลย ในอดีต ฉันกลัวว่าแม่จะทนทุกข์ และฉันอยากจะทำงานหนักอยู่เสมอเพื่อช่วยให้แม่มีความสุขขึ้นในบั้นปลายชีวิต พูดตรงๆ เลยก็คือ ฉันอยากใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีในการเปลี่ยนชะตากรรมของแม่ และสร้างความสุขให้แม่ ข้อเท็จจริงก็คือ ฉันไม่อาจแม้แต่จะควบคุมชะตากรรมของตัวเอง ว่าฉันจะทำอะไรในช่วงชีวิตนี้ หรือฉันจะสามารถมีความสุขได้หรือไม่ แล้วฉันจะเปลี่ยนชะตากรรมของแม่ได้อย่างไร? ฉันเห็นแล้วว่าตัวเองโง่เขลาและอวดดีแค่ไหน ฉันได้เรียนรู้ว่าเมื่อเป็นการพิจารณาเรื่องของแม่ ฉันจำเป็นต้องรับมือตามสิ่งที่เกิดขึ้น และลุล่วงหน้าที่ของฉันตามภาวะของตัวเอง ถ้าฉันอาศัยอยู่กับแม่และภาวะเอื้ออำนวยให้ดูแลท่าน ฉันก็สามารถกตัญญูได้อย่างสุดความสามารถ ถ้าฉันไม่สามารถอยู่ใกล้แม่ ฉันก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกติดค้างเพราะเหตุุนี้ เนื่องจากฉันเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ฉันเพียงต้องทำหน้าที่ให้ดีในสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการให้ฉัน นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด

เมื่อไม่นานมานี้ ฉันได้ติดต่อกับแม่ แม่บอกฉันว่า ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของแม่คือการได้รับเลือกโดยพระเจ้าและได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ และความปรารถนาสูงสุดของแม่คือได้ทำหน้าที่ให้ดีและเป็นคนที่ควรค่าให้พระเจ้าทรงช่วยให้รอด แม่บอกด้วยว่าให้ฉันทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากได้อ่านจดหมายของแม่ ฉันร้องไห้ ที่ฉันเคยเชื่อเรื่องการกตัญญูกับแม่และมอบชีวิตทางวัตถุที่เหนือกว่าให้แม่ อาจจะไม่ได้จำเป็นที่จะทำให้แม่มีความสุข ความจริงแล้ว เมื่อเป็นเรื่องวัตถุข้าวของ แม่ฉันไม่ได้มีความต้องการมากขนาดนั้น แม่เพียงอยากให้ฉันติดตามพระเจ้าอย่างถูกควร ไล่ตามเสาะหาความจริง และทำหน้าที่ของฉันให้ดี นั่นคือความปรารถนาสูงสุดที่แท้จริงของแม่ ในอดีต ฉันคิดว่าฉันควรยอมรับหน้าที่การกตัญญูต่อแม่ เพราะเห็นว่าแม่กับพ่อทุ่มเทให้ฉันมากกว่าเมื่อเทียบกับพี่น้อง แต่อะไรๆ กลับไม่เป็นเหมือนที่ฉันต้องการเสมอ หลังจากนั้นฉันคิดว่าถึงแม้ฉันไม่สามารถอยู่เคียงข้างแม่ได้ พี่ชายฉันก็ค่อนข้างกตัญญูและจะไปดูแลแม่บ่อยๆ แต่ปรากฎว่าเขาไม่สามารถอยู่เคียงข้างแม่ได้ น้องชายฉันปกติแล้วเก็บเงินไม่เก่ง และฉันเคยคิดว่าถ้าเขาแม้แต่แค่มีเงินพอสำหรับตัวเองก็ดีมากแล้ว ตอนนี้เขาเป็นคนหาเลี้ยงแม่ พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการและครองอธิปไตยเหนือสิ่งต่างๆ อย่างแท้จริงในวิธีที่ผู้คนไม่มีทางสามารถจินตนาการหรือคาดคะเนได้ แต่แท้ที่จริงแล้วคือพระเจ้าที่ทรงจัดการเตรียมการและครองอธิปไตยเหนือชะตากรรมของคนแต่ละคน และชะตากรรมคือสิ่งที่ไม่มีใครสามารถเลือกหรือเปลี่ยนแปลงได้ ตอนนี้้ฉันไม่รู้สึกเศร้าโศกเพราะสภาพการณ์อันดูทุกข์ยากทั้งหมดที่แม่ฉันประสบมาอีกต่อไป และฉันไม่เป็นห่วงอนาคตของแม่แล้ว ฉันรู้ว่าชะตากรรมของพวกเราล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และแต่ละคนจะประสบทั้งสภาพการณ์ที่ดีและทุกข์ยาก รวมถึงตัวฉันเอง นี่คือสิ่งที่ไม่มีใครสามารถหลีกหนีหรือเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งหมดที่ฉันทำได้คือส่งมอบแม่ให้กับพระเจ้า และขอให้พระองค์ทรงนำพวกเราให้ไล่ตามเสาะหาความจริงภายใต้สภาพการณ์ที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการให้พวกเรา และทรงนำพวกเราให้ทำหน้าที่ของพวกเราแต่ละคนให้ดีและตอบแทนความรักของพระองค์ ขอบคุณพระเจ้า!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

ติดต่อเราผ่าน Messenger