ฉันรู้ถึงประโยชน์ของการเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์แล้ว
ในปี 2020 ฉันเป็นผู้นำคริสตจักร ฉันเห็นพี่น้องบางคนเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ดีๆ อยู่บ้าง แล้วก็อิจฉาพวกเขา ยังไงก็ตาม ฉันไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเขียนบทความเหล่านี้สักเท่าไร คิดเสมอว่าเฉพาะคนที่มีขีดความสามารถและทักษะการเขียนเท่านั้นถึงจะเขียนได้ดี ขีดความสามารถของฉันไม่มาก และความเข้าใจของฉันเกี่ยวกับความจริงก็ตื้นเขิน สำหรับฉัน การเขียนบทความเป็นการเสียเวลา และฉันอาจจะใช้เวลานั้นทำงานเพิ่มอีกสักหน่อยด้วย ถ้าทำงานไม่ดี ก็จะดูเหมือนว่าฉันไม่มีสำนึกถึงภาระ และพี่น้องก็จะคิดไม่ดีกับฉัน ยิ่งกว่านั้น การเขียนบทความเป็นเรื่องส่วนตัว แล้วก็ขึ้นอยู่กับตัวฉันเองว่าจะเขียนหรือไม่เขียน ฉันทำงานและชุมนุมเพิ่มอีกสักหน่อยดีกว่า เพื่อที่พี่น้องจะได้ชื่นชมสำนึกถึงภาระที่ฉันมี เพราะงั้นเลยไม่อยากเสียเวลามาเขียนบทความ ฉันดำเนินต่อไปอย่างนี้ แต่ละวันมีแต่จดจ่อกับการทำงานและการชุมนุมกับพี่น้องเท่านั้น เมื่อมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับตัว ฉันแทบไม่ทบทวนตัวเองเลย บางครั้งก็รับรู้ได้ว่าตัวเองเปิดเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามแบบใด แต่ไม่ได้แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไข พี่น้องที่ฉันร่วมงานด้วยชี้ให้เห็นว่าฉันไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การเข้าสู่ชีวิต แต่ฉันก็ยังหาเหตุผลมาเถียงกับพวกเขาแล้วไม่ยอมรับ หลังจากนั้น แม้จะยุ่งกับการชุมนุมทุกวัน แต่เพราะฉันไม่ได้ให้ความสำคัญกับการทบทวนตนเอง เข้าใจตนเอง หรือแสวงหาความจริง ฉันจึงไม่มีการเข้าสู่ชีวิตเลย และระหว่างการชุมนุม ฉันก็พูดได้แค่คำสอนหรือพระวจนะแห่งการเตือนสติและการให้กำลังใจบางเรื่องเท่านั้น ไม่สามารถแก้ไขปัญหาจริงได้ ครั้งหนึ่ง ผู้ดูแลบอกว่าเขาทำงานจริงไม่ได้ ว่าเขาอยู่ในสภาวะเป็นลบและไม่อยากทำหน้าที่ดูแล ฉันไม่สามารถมองเห็นเหตุรากเหง้าของความคิดลบของเขาได้ชัดเจน และไม่รู้ว่าจะแก้ไขยังไง ปัญหาได้รับการแก้ไขก็ต่อเมื่อพี่น้องหญิงที่ฉันร่วมงานด้วยคนนั้นไปสามัคคีธรรมกับเขาในภายหลัง ตอนนั้นฉันไม่ได้ทบทวนสภาวะของตัวเอง และยังคงคิดว่าการวิ่งวุ่นไปทั่วกับชุมนุมมากขึ้นแปลว่าฉันมีสำนึกถึงภาระ หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง หัวใจของฉันก็ว่างเปล่ามากขึ้น และไม่ได้รับอะไรเลย
ครั้งหนึ่ง พี่น้องหญิงคนหนึ่งถามว่าฉันเคยเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ไหม เธอสามัคคีธรรมกับฉัน บอกว่าการเขียนบทความกระตุ้นให้เราสงบจิตใจและแสวงหาความจริงได้ บรรลุการเข้าสู่ชีวิต ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งซึ่งทำให้ท่าทีของฉันต่อการเขียนบทความคำพยานพลิกกลับ พระเจ้าตรัสว่า “สิ่งที่พวกเจ้าได้รับไว้ไม่ใช่เพียงแค่ความจริงของเรา วิถีของเรา และชีวิตของเราเท่านั้น หากแต่เป็นนิมิตและการวิวรณ์ที่ยิ่งใหญ่กว่านิมิตและการวิวรณ์ของยอห์น พวกเจ้าเข้าใจการอัศจรรย์มากกว่ามาก และยังได้มองดูโฉมหน้าแท้จริงของเราอีกด้วย พวกเจ้าได้ยอมรับคำพิพากษาของเรามากกว่า และรู้อุปนิสัยอันชอบธรรมของเรามากกว่า และดังนั้น แม้ว่าพวกเจ้าจะถือกำเนิดในยุคสุดท้าย ความเข้าใจของพวกเจ้าก็เป็นความเข้าใจของแต่ก่อนและของอดีต และพวกเจ้ายังได้รับประสบการณ์กับสิ่งทั้งหลายในปัจจุบันนี้ด้วย และนั่นเป็นการกระทำโดยเราเองด้วยตัวเราเองโดยเฉพาะทั้งหมด สิ่งที่เราขอจากพวกเจ้าไม่ได้มากเกินไป เพราะเราได้ให้พวกเจ้ามากเหลือเกิน และพวกเจ้าได้เห็นมากมายหลายอย่างในเรา ด้วยเหตุนี้ เราขอให้เจ้าเป็นพยานให้เราต่อเหล่าวิสุทธิชนในหลายยุคที่ผ่านมา และนี่คือความปรารถนาเพียงอย่างเดียวในหัวใจของเรา” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความเชื่อ?) ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ที่เชื่อในพระเจ้า ฉันได้เข้าใจความจริงบางประการ ได้ความรู้เกี่ยวกับอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเองมาบ้าง และเปลี่ยนทรรศนะในบางเรื่อง นี่เป็นผลจากการที่พระเจ้าทรงงานในตัวฉัน ในการเขียนเกี่ยวกับสิ่งที่ฉันได้รับ ฉันก็จะเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า นั่นเป็นความรับผิดชอบของฉัน ยังไม่พูดถึงหน้าที่ของฉันด้วย ฉันควรปฏิบัติต่อเรื่องนี้เป็นภาระหน้าที่ นั่นจะสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า ยังไงก็ตาม ฉันไม่เคยถือว่าการเขียนคำพยานจากประสบการณ์เป็นหน้าที่ แต่กลับคิดว่านั่นคือสิ่งที่เป็นทางเลือก และมีท่าทีไม่แยแสต่อเรื่องนี้อย่างยิ่ง ฉันไม่กระตือรือร้นเลยสักนิด ฉันเคยประสบพระราชกิจของพระเจ้า ถ้าฉันไม่จดประสบการณ์ของตัวเองและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า ฉันก็จะปกปิดพระคุณกับพระพรของพระองค์ และจะขาดมโนธรรมกับเหตุผล
หลังจากนี้ฉันก็มีความตระหนักรู้ลางๆ ว่าการที่ฉันไม่เต็มใจเขียนบทความจากประสบการณ์และเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า เป็นการแสดงให้เห็นว่าไม่รักความจริง ตอนนั้น ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง ซึ่งต่อมาก็พบและอ่าน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “สภาวะที่เห็นชัดที่สุดของผู้คนที่รังเกียจความจริงก็คือการที่พวกเขาไม่สนใจความจริงและสิ่งที่เป็นบวก พวกเขาถึงกับผลักไสและเกลียดชังสิ่งเหล่านั้น และพวกเขาชอบทำตามกระแสนิยมเป็นพิเศษ ในหัวใจพวกเขาไม่ยอมรับสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงรักและสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนทำ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับเมินเฉยและไม่แยแสสิ่งเหล่านั้น และก็บ่อยครั้งที่ผู้คนถึงกับดูหมิ่นมาตรฐานและหลักธรรมทั้งหลายที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ต่อมนุษย์ พวกเขาผลักไสสิ่งที่เป็นบวกและรู้สึกขัดขืน ต่อต้าน และเต็มไปด้วยความรู้สึกเหยียดหยามต่อสิ่งเหล่านั้นอยู่ในหัวใจของพวกเขาเสมอ นี่คือการสำแดงเบื้องต้นของการรังเกียจความจริง… มีผู้คนมากมายซึ่งเชื่อในพระเจ้าที่ชอบทำงานเพื่อพระองค์และวิ่งวุ่นหัวหมุนอย่างกระตือรือร้นเพื่อพระองค์ และเมื่อเป็นเรื่องของการนำของประทานและจุดแข็งของพวกเขามาใช้ ปรนเปรอความชอบส่วนตนและการอวดตัว พวกเขาก็มีพลังงานอันไร้ขอบเขต แต่หากเจ้าขอให้พวกเขาปฏิบัติความจริงและปฏิบัติตนตามหลักธรรมความจริง นั่นย่อมทำให้ความมุ่งมั่นของพวกเขาก็ลดน้อยถอยลงและพวกเขาก็สูญเสียความกระตือรือร้น หากพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้อวดตน พวกเขาก็กลายเป็นซังกะตายและหมดกำลังใจ เหตุใดพวกเขาจึงมีพลังงานสำหรับการอวดตน? และเหตุใดเล่าพวกเขาถึงไม่มีพลังงานสำหรับการปฏิบัติความจริง? ปัญหาในที่นี้คืออะไร? ผู้คนล้วนชอบที่จะทำตัวเองให้โดดเด่น พวกเขาล้วนละโมบความรุ่งโรจน์อันว่างเปล่า ทุกคนมีพลังงานอย่างไม่รู้จักหมดสิ้นเมื่อเป็นเรื่องของการเชื่อในพระเจ้าเพื่อเห็นแก่การได้รับพระพรและบำเหน็จทั้งหลาย แล้วเหตุใดเล่าพวกเขาจึงกลายเป็นซังกะตาย เหตุใดพวกเขาจึงท้อแท้เมื่อเป็นเรื่องของการปฏิบัติความจริงและการต่อต้านเนื้อหนัง? เกิดเรื่องนี้ขึ้นได้อย่างไร? นี่ย่อมพิสูจน์ว่าหัวใจผู้คนนั้นมีสิ่งปลอมปน พวกเขาเชื่อในพระเจ้าโดยบริบูรณ์เพราะเห็นแก่การได้รับพระพร—พูดง่ายๆ ก็คือ พวกเขาทำอย่างนั้นก็เพื่อเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ หากปราศจากพระพรหรือประโยชน์ให้ไล่ตามไขว่คว้า ผู้คนก็กลายเป็นซังกะตายและท้อแท้ อีกทั้งไม่มีความกระตือรือร้น ทั้งหมดนี้มีเหตุมาจากอุปนิสัยเสื่อมทรามที่รังเกียจความจริง เมื่อถูกอุปนิสัยนี้ควบคุม ผู้คนก็ไม่เต็มใจที่จะเลือกเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาไปตามทางของตัวเองและเลือกเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง—พวกเขารู้ดีอยู่เต็มอกว่าการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะนั้นผิด และกระนั้นก็ยังคงไม่สามารถทนทำโดยไม่มีสิ่งเหล่านี้หรือละวางสิ่งเหล่านี้ได้ และพวกเขายังคงไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้โดยเดินไปบนเส้นทางของซาตาน ในกรณีนี้ พวกเขาไม่ได้กำลังติดตามพระเจ้าแต่กำลังติดตามซาตาน ทุกสิ่งที่พวกเขาทำเป็นการรับใช้ซาตาน และพวกเขาเป็นข้ารับใช้ของซาตาน” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) พระเจ้าเปิดโปงว่าผู้ที่รังเกียจความจริงชอบสิ่งที่เป็นลบมากกว่าสิ่งที่เป็นบวก นี่แหละคือสิ่งที่ฉันเป็น ถ้าฉันวิ่งวุ่นไปทั่วและทำงานมากขึ้นเพื่อแสดงให้พี่น้องเห็นว่าฉันมีสำนึกถึงภาระได้ หรือถ้าฉันอวดตัวเองให้ผู้นำระดับสูงกว่าชื่นชมได้ ฉันก็จะทุ่มเทความพยายามอย่างไร้ขีดจำกัดให้กับเรื่องนั้น โดยไม่ลังเลที่จะใช้เวลาหรือพลังงานใดๆ เลย ขณะเดียวกัน พอเป็นเรื่องการเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ แม้จะรู้ดีว่าเรื่องนี้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าและเป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของฉัน ฉันกลับคิดว่าเรื่องนี้จะทำให้งานของฉันล่าช้า แล้วก็ต่อต้านเป็นพิเศษ ฉันยังจะหาเหตุผลแล้วแก้ตัวด้วย บอกว่างานยุ่งและไม่มีเวลาเขียน ในความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าไม่มีเวลา แต่ธรรมชาติของฉันรังเกียจความจริง ฉันไม่อยากเขียนบทความ แล้วก็ไม่อยากพยายามไล่ตามเสาะหาความจริงด้วย ฉันเห็นว่าท่าทีของฉันต่อความจริงนั้นเย็นชามาก และฉันก็ไม่ชอบอย่างยิ่ง ต่อต้าน และรังเกียจสิ่งที่เป็นบวก ฉันกำลังเดินไปในเส้นทางที่ผิด ซึ่งขัดต่อพระประสงค์ของพระเจ้า เข้าใจสิ่งนี้แล้ว ฉันก็กลัว และอยากกลับตัวและเปลี่ยนแปลง
ฉันยังทบทวนและเข้าใจว่า ความไม่เต็มใจที่จะเขียนบทความของฉันได้รับอิทธิพลจากทรรศนะที่คลาดเคลื่อนของตัวเอง ฉันคิดว่าตนไม่ใช่นักเขียนมีฝีมือและเขียนบทความคำพยานที่ดีไม่ได้ พอตอนนี้มามองดู นี่เป็นทรรศนะที่ผิด ในการเขียนบทความ ไม่สำคัญว่าผู้เขียนจะเก่งแค่ไหน ใครบางคนเขียนบทความคำพยานที่ดีไม่ได้เพียงเพราะใช้ภาษาสละสลวย สิ่งสำคัญคือคนคนหนึ่งมีประสบการณ์และความเข้าใจจริงหรือไม่ ถ้าผู้นั้นไม่มีประสบการณ์ ก็เขียนได้แค่คำสอนที่ว่างเปล่าโดยไม่คำนึงถึงทักษะการเขียนของพวกเขา เมื่อเข้าใจเรื่องนี้ ความคิดของฉันก็เปลี่ยนไปไม่น้อย แล้วฉันก็มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานต่อพระองค์ “พระเจ้า ข้าพระองค์ให้ความสำคัญกับการแสดงออกภายนอกว่ากำลังวิ่งวุ่นทำงานอยู่เสมอ และไม่ได้มาเฉพาะพระพักตร์พระองค์เพื่อไตร่ตรองพระวจนะของพระองค์อย่างเงียบๆ ข้าพระองค์เสียเวลาไปมากแล้วกับการไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง จากนี้ไป ข้าพระองค์ยินดีที่จะสงบเฉพาะพระพักตร์พระองค์ แล้วแสวงหาความจริงและแก้ไขปัญหา”
จากนั้นฉันก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติม “สำหรับเรื่องงานนั้น มนุษย์เชื่อว่างานนั้นคือการวิ่งสาละวนเพื่อพระเจ้า เทศนาไปทั่วทุกหนแห่ง และทุ่มเทเพื่อประโยชน์ของพระองค์ทั้งหมด แม้ความเชื่อนี้จะถูกต้อง แต่ก็เป็นเพียงด้านเดียวมากเกินไป สิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้องจากมนุษย์นั้นไม่ใช่แค่การวิ่งสาละวนเพื่อพระองค์เท่านั้น นอกจากนี้แล้ว งานนี้เกี่ยวข้องกับพันธกิจและการจัดเตรียมภายในจิตวิญญาณ พี่น้องชายหญิงหลายคน แม้หลังจากที่มีประสบการณ์กันมาหลายปีแล้วก็ตาม กลับไม่เคยคิดถึงเรื่องการทำงานเพื่อพระเจ้าเลย เนื่องจากงานตามที่มนุษย์คิดได้นั้นหาได้สอดคล้องกับสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้องไม่ เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงไม่มีความสนใจใดๆ เลยในเรื่องของงาน และนี่คือเหตุผลที่ชัดเจนว่าเหตุใดการเข้าสู่ของมนุษย์จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างมีลักษณะด้านเดียวเหมือนกัน พวกเจ้าทั้งหมดควรจะเริ่มต้นการเข้าสู่ของพวกเจ้าด้วยการทำงานเพื่อพระเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าอาจจะก้าวผ่านทุกแง่มุมของประสบการณ์ได้ดีขึ้น นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าควรจะเข้าสู่ งานไม่ได้หมายถึงการวิ่งสาละวนเพื่อพระเจ้า แต่หมายถึงว่าชีวิตของมนุษย์และการดำเนินชีวิตของมนุษย์นั้นสามารถมอบความชื่นชมยินดีแก่พระเจ้าได้หรือไม่ งานหมายถึงการที่ผู้คนใช้การอุทิศตัวของตนแด่พระเจ้าและใช้ความรู้ของตนเกี่ยวกับพระเจ้าเพื่อเป็นพยานเกี่ยวกับพระเจ้า รวมทั้งเพื่อปรนนิบัติมนุษย์ด้วย นี่คือความรับผิดชอบของมนุษย์ และนี่คือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรเข้าใจ เราอาจกล่าวได้ว่าการเข้าสู่ของพวกเจ้าคืองานของพวกเจ้า และว่าพวกเจ้ากำลังพยายามเข้าสู่ในช่วงระหว่างการทำงานเพื่อพระเจ้า การได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าไม่ได้มีความหมายแค่ว่าเจ้ารู้วิธีกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ เจ้าต้องรู้วิธีเป็นพยานเกี่ยวกับพระเจ้า และสามารถรับใช้พระเจ้า และสามารถปรนนิบัติและจัดเตรียมให้มนุษย์ได้ นี่คืองาน และเป็นการเข้าสู่ของพวกเจ้าเช่นกัน นี่คือสิ่งที่ทุกคนควรจะสำเร็จลุล่วง มีหลายคนที่มุ่งเน้นเพียงแต่การวิ่งสาละวนเพื่อพระเจ้า และเทศนาไปทั่วทุกหนแห่ง แต่มองข้ามประสบการณ์ส่วนบุคคลของตนเองไป และเพิกเฉยต่อการเข้าสู่ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของตนเอง สิ่งนี้เองที่ได้นำพาบรรดาผู้ที่รับใช้พระเจ้าให้กลายเป็นพวกที่ต้านทานพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (2)) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ฉันก็เข้าใจ ว่าเราต้องมีประสบการณ์ชีวิตจึงจะปฏิบัติงานของคริสตจักรได้อย่างแท้จริง เมื่อคนเราสามัคคีธรรมถึงความจริงและแก้ไขปัญหาจริงเท่านั้นจึงทำงานจริงได้ และเมื่อคนเราสร้างผลลัพท์ของตัวเองเท่านั้นจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่อย่างแท้จริงได้ แต่ก่อน ฉันเชื่อว่าถ้าฉันวิ่งวุ่นไปทั่วและชุมนุมกับพี่น้องมากขึ้น แปลว่าฉันกำลังทำงานจริง นี่เป็นทรรศนะที่ไม่ถูกต้องซึ่งไม่สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าเลย เมื่อนึกย้อนถึงตลอดมาที่ฉันชุมนุมและสามัคคีธรรมกับพี่น้อง ฉันมองไม่เห็นเหตุรากเหง้าของปัญหาตลอดเลยเวลาต้องรับมือกับสภาวะและความยากลำบากของพวกเขา ฉันชี้ให้เห็นประเด็นของปัญหาไม่ได้ ได้แต่พูดพระวจนะบางบทตอนกับคำสอนบางคำเพื่อเตือนสติ หรือให้ข้อบังคับในการปฏิบัติ แสดงเส้นทางการปฏิบัติไม่ได้โดยสิ้นเชิง ไม่ว่าฉันจะสามัคคีธรรมมากแค่ไหน ก็ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและแก้ไขปัญหาของพี่น้องไม่ได้ พี่น้องไม่รู้ว่าจะประสบกับงานของพระเจ้าได้ยังไง และพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเองเมื่อเผชิญกับความยากลำบาก พวกเขาหยุดตัวเองจากการเป็นคนคิดลบและอ่อนแอไม่ได้ และปัญหาในการทำงานก็มีอยู่เหมือนเดิม แบบนี้เรียกว่าทำหน้าที่ของตัวเองได้ยังไง? ฉันหลอกและโกงทั้งพระเจ้าและพี่น้อง เวลานี้เท่านั้นที่สุดท้ายแล้วฉันก็เห็นได้อย่างชัดเจน ว่าการสำนึกถึงภาระเพียงผิวเผินนั้นไม่ใช่การสำนึกถึงภาระที่แท้จริง การทำงานและใช้เวลาทำงานให้มากขึ้นไม่ได้แปลว่าคนคนนั้นทำหน้าที่ของตัวเองอย่างภักดี แต่ภักดีน้อยกว่าที่คนทำงานจริงมาก การมีสำนึกถึงภาระต่อหน้าที่ของตัวเองอย่างแท้จริงไม่ได้แปลว่าต้องวิ่งวุ่นไปทุกที่ แต่หมายถึงการจัดหาทางฝ่ายวิญญาณในชีวิต มุ่งเน้นไปที่การประสบกับงานของพระเจ้าในหน้าที่ของตัวเอง และแสวงหาความจริงเมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น และพยายามรับรู้ถึงสิ่งที่ตนขาดและหาหลักธรรมแห่งการปฏิบัติ จากนั้นใช้ความรู้จากประสบการณ์มาแก้ไขความยากลำบากและปัญหาที่แท้จริงของพี่น้อง แบบนี้เท่านั้นถึงบรรลุผลลัพท์ที่ดีในการปฏิบัติหน้าที่ได้ และแบบนี้เท่านั้นถึงเป็นการสอนใจและเป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของผู้อื่น ฉันยังเข้าใจด้วย ว่าการเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์กระตุ้นให้ฉันสงบจิตใจ ไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า และทบทวนตัวเองได้ เมื่อฉันเข้าใจความจริงมากขึ้นและได้รับความรู้เกี่ยวกับอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเองขณะเรียนรู้วิธีแก้ไขเท่านั้น ฉันจึงเห็นได้ชัดเจนและแก้ไขสภาวะและปัญหาของพี่น้องได้ ฉันต้องให้ความสำคัญกับการเข้าสู่ชีวิต เพื่อทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี และการเขียนบทความเป็นเส้นทางที่ดีในการไล่ตามเสาะหาความจริง โดยเฉพาะในฐานะผู้นำ ฉันต้องมุ่งเน้นกับการไล่ตามเสาะหาความจริงให้มากยิ่งขึ้น และริเริ่มเขียนบทความเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า ตอนนั้นเองฉันจึงทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี เมื่อเห็นว่าการเขียนบทความคำพยานไม่ใช่เรื่องที่เป็นทางเลือก ฉันก็ไม่มีข้ออ้างที่จะไม่เขียน
ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง “ไม่ว่าคริสตจักรหนึ่งจะมีผู้คนกี่คน ผู้นำก็คือหัวหน้า ดังนั้นผู้นำคนนี้มีบทบาทอันใดในหมู่สมาชิก? พวกเขานำประชากรทุกคนที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในคริสตจักร แล้วพวกเขามีผลต่อคริสตจักรทั้งมวลอย่างไร? หากผู้นำคนนี้ใช้เส้นทางที่ผิด ทุกคนในคริสตจักรก็จะติดตามพวกเขาไปบนเส้นทางที่ผิด ซึ่งจะส่งผลต่อประชากรทุกคนที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในคริสตจักรเป็นอย่างมาก จงดูเปาโลเป็นตัวอย่าง เขานำทางคริสตจักรมากมายที่เขาก่อตั้งและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เมื่อเปาโลออกนอกลู่นอกทาง คริสตจักรและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรที่เขานำก็พลอยออกนอกลู่นอกทางไปด้วย ดังนั้นเมื่อผู้นำแยกไปใช้เส้นทางของตนเองที่ต่างออกไป พวกเขาไม่ใช่พวกเดียวเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ คริสตจักรทั้งหลายและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรซึ่งพวกเขานำทางอยู่นั้นย่อมได้รับผลกระทบเช่นกัน หากผู้นำเป็นบุคคลที่ใช่ เป็นบุคคลหนึ่งที่เดินบนเส้นทางที่ถูกต้องและไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริง เช่นนั้นแล้วผู้คนที่พวกเขานำย่อมจะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าตามปกติและไล่ตามเสาะหาความจริงตามปกติ และในเวลาเดียวกัน ประสบการณ์ชีวิตและความก้าวหน้าของผู้นำก็จะปรากฏแก่สายตาของผู้อื่นและส่งผลต่อผู้อื่น ดังนั้นเส้นทางที่ถูกต้องที่ผู้นำควรเดินคือสิ่งใด? คือการสามารถนำผู้อื่นไปสู่การเข้าใจความจริงและการเข้าสู่ความจริง และนำผู้อื่นมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่หนึ่ง: พวกเขาพยายามเอาชนะใจผู้คน) เมื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เข้าใจลึกซึ้งอย่างแท้จริง ว่าในฐานะผู้นำและคนทำงาน เส้นทางที่ฉันเดินนั้นสำคัญมาก ถ้าฉันไม่มุ่งเน้นไปที่การไล่ตามเสาะหาความจริงในหน้าที่ของตัวเอง และเอาแต่ไล่ตามเสาะหาให้ผู้คนชื่นชมตัวเอง วิ่งวุ่นแล้วทำตัวเองให้ยุ่งเพื่อชื่อเสียงและสถานะของตัวเอง และอาศัยสติปัญญาและพรสวรรค์ของตัวเองในการทำงานและเทศนา พี่น้องที่ฉันนำก็จะไม่ให้ความสำคัญกับการเข้าสู่ชีวิตเหมือนกัน และจะใช้ชีวิตแค่ในสภาวะการทำงานเท่านั้น ในฐานะผู้นำ การเข้าสู่ชีวิตไม่ได้เป็นเพียงเรื่องส่วนตัวเท่านั้น แต่จะส่งผลและเป็นอันตรายต่อชีวิตของพี่น้องมากมายด้วย เมื่อเข้าใจสิ่งนี้แล้ว ฉันก็รู้สึกตำหนิตัวเองและเสียใจ แล้วอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และกำลังเดินไปในเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง ข้าพระองค์ละเลยและล้มเหลวในการทำงานในฐานะผู้นำ ข้าพระองค์เป็นหนี้บุญคุณพี่น้อง และข้าพระองค์ละอายใจกับวิธีที่รับมือกับพระบัญชาของพระองค์ พระเจ้า! ข้าพระองค์ยินดีที่จะกลับตัว โปรดนำข้าพระองค์ให้เดินต่อไปตามเส้นทางการไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยเถิด”
หลังจากนั้นฉันก็สามัคคีธรรมกับพี่น้องเรื่องเจตนารมณ์ของพระเจ้า แล้วก็เรื่องประสบการณ์กับความเข้าใจของตัวฉันเองด้วย ต่อมา ก็เห็นว่าสภาวะของพี่น้องก็เริ่มปรับปรุงขึ้นบ้าง บางคนเริ่มทบทวนตนเองและพยายามรู้จักตนเองเมื่อประสบปัญหาและความยากลำบากในหน้าที่ เรียนรู้ที่จะค้นหาเส้นทางจากพระวจนะของพระเจ้า และไม่อยู่ในสภาวะเป็นลบ พวกเขาค่อยๆ บรรลุผลลัพท์ในหน้าที่ของตัวเอง เห็นผลลัพธ์เช่นนี้แล้ว ฉันก็รู้สึกว่านี่เป็นงานและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ว่าเป็นผลจากการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า ฉันยังเข้าใจด้วย ว่าถ้าใครอยากทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี การมุ่งเน้นไปที่การไล่ตามเสาะหาความจริงกับการเข้าสู่ชีวิตเป็นสิ่งสำคัญอย่างที่สุด ตั้งแต่นั้นมา ฉันก็เริ่มให้ความสำคัญกับการแสวงหาความจริง เมื่อใดก็ตามที่ฉันมีประสบการณ์และเข้าใจบางอย่าง ฉันจะฝึกเขียนเกี่ยวกับเรื่องนั้น ต่อมา ฉันเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์หลายบทความและรู้สึกว่าได้รับผลประโยชน์อยู่บ้าง ในบางบทความ ฉันมุ่งเป้าไปที่ทัศนะที่คลาดเคลื่อนและแสวงหาความจริงเพื่อทำความเข้าใจ เมื่อฉันสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและไตร่ตรองพระวจนะของพระองค์ ฉันก็เข้าใจได้ว่าเกิดอะไรกับทรรศนะที่คลาดเคลื่อนนี้ ขณะเดียวกัน ฉันก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าทรรศนะที่คลาดเคลื่อนนี้ขัดขวางไม่ให้ฉันปฏิบัติตามความจริงและส่งผลกระทบต่องาน ในบทความอื่นๆ ฉันได้ทบทวนตัวเองถึงอุปนิสัยเสื่อมทรามที่ฉันเผยเกี่ยวกับแต่ละเรื่อง จากสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปง ฉันเห็นว่า ฉันเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ และไม่ได้ดำเนินชีวิตเหมือนมนุษย์ที่แท้จริง และรู้สึกว่าฉันถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามลงลึกเกินไป อีกทั้งเมื่อก่อนไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การเข้าสู่ชีวิตและแก้ไขปัญหาของพี่น้องไม่ได้ แต่หลังจากที่ฉันฝึกเขียนบทความได้ระยะหนึ่ง ฉันก็ค่อยๆ เข้าใจความจริงบางประการ มีปัญหาบางอย่างที่ฉันมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องเวลาฉันสามัคคีธรรมเกี่ยวกับปัญหาเหล่านั้น
จากการทบทวนท่าทีของฉันต่อการเขียนบทความคำพยาน ฉันเห็นว่าฉันไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เห็นว่าฉันไม่ให้ความสำคัญกับการเข้าสู่ชีวิต และเห็นว่าฉันมีทรรศนะที่ไม่ถูกหลายประการจนทำให้ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ทั้งหมดนี้นำพาให้ฉันจดจ่อแค่ที่การทำงานขณะปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น และฉันกำลังเดินบนเส้นทางแห่งการลงแรง การทำเช่นนี้ ฉันจะไม่ได้รับความจริงไม่ว่าภายนอกฉันจะยุ่งแค่ไหนก็ตาม ฉันยังเกิดความเข้าใจความหมายของการปฏิบัติหน้าที่อย่างแท้จริง และวิธีการปฏิบัติเพื่อให้มีสำนึกถึงภาระที่แท้จริงในการปฏิบัติหน้าที่ ฉันก็เข้าใจด้วยว่าการเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์เป็นเส้นทางที่ดีในการไล่ตามเสาะหาความจริง การที่ฉันมีความเข้าใจและได้รับผลประโยชน์เหล่านี้ได้ก็ล้วนมาจากงานและการทรงนำของพระเจ้า
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ