หลังจากถูกเปลี่ยนตัว
โดย Li Jie, สหรัฐอเมริกา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระเจ้าทรงพระราชกิจในบุคคลทุกๆ คน และไม่สำคัญว่าวิธีการของพระองค์คือสิ่งใด ผู้คน...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
โดย หยางอี้ ประเทศจีน
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระเจ้าได้เผยพระวจนะไว้ในหลายๆ แห่งว่า พระองค์จะกำลังทรงได้รับเอากลุ่มบรรดาผู้มีชัยชนะในแผ่นดินซีนิม ในเมื่อมันเป็นในทิศตะวันออกของโลกนี่เองที่บรรดาผู้มีชัยชนะจะได้รับการรับไว้ ดังนั้น สถานที่ซึ่งพระเจ้าจะทรงเหยียบย่างในการจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระองค์ก็ต้องเป็นดินแดนแห่งซีนิมโดยไม่มีข้อสงสัย ซึ่งเป็นจุดที่แน่ชัดว่าเป็นที่ซึ่งมังกรใหญ่สีแดงนอนขดตัวอยู่ ที่นั่น พระเจ้าจะทรงได้รับพงศ์พันธุ์ของพญานาคใหญ่สีแดง เพื่อที่มันจะได้ถูกทำให้พ่ายแพ้อย่างราบคาบและได้รับความอับอาย พระเจ้ากำลังจะทรงปลุกผู้คนเหล่านี้ให้ตื่น โดยแบกรับความทุกข์อย่างหนัก เพื่อปลุกเร้าพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะตื่นอย่างเต็มที่ และเพื่อทำให้พวกเขาเดินออกจากหมอกและละทิ้งพญานาคใหญ่สีแดง พวกเขาจะตื่นจากความฝันของพวกเขา จะระลึกได้ว่าพญานาคใหญ่สีแดงที่จริงแล้วมันคืออะไร จะกลายเป็นสามารถมอบหัวใจทั้งดวงของพวกเขาให้แก่พระเจ้าได้ จะลุกขึ้นจากการกดขี่ของพลังมืด จะยืนขึ้นในทิศตะวันออกของโลก และจะกลายเป็นข้อพิสูจน์แห่งชัยชนะของพระเจ้า ในหนทางนี้เท่านั้นที่พระเจ้าจะทรงได้รับพระสิริ” (“งานและการเข้าสู่ (6)” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) หลังการอ่านพระวจนะเหล่านี้ ฉันคิดถึงการที่ฉันถูกจับกุมโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน เมื่อประมาณสิบปีที่ผ่านมา
วันนั้นเป็นวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 2004 ฉันได้ตื่นแต่เช้าเพื่อไปและเยี่ยมพี่น้องหญิงจากคริสตจักรคนหนึ่ง แต่ทว่า ในระหว่างทาง ฉันได้ถูกพวกตำรวจพรรคคอมมิวนิสต์จีนจับกุมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย พวกเขารื้อค้นทั่วกระเป๋าถือของฉัน และได้เจอสื่อวัสดุความเชื่อบางอย่าง มือถือหนึ่งเครื่องและเพจเจอร์หนึ่งเครื่อง และอื่นๆ ต่อมาพวกเขาก็พาฉันไปที่สำนักงานความมั่นคงสาธารณะ เมื่อพวกเราไปถึงที่นั่น พวกตำรวจก็นำฉันเข้าไปในห้องหนึ่ง หนึ่งในพวกนั้นง่วนอยู่กับเพจเจอร์และโทรศัพท์มือถือของฉันเพื่อหาเบาะแส เขาเปิดเครื่องโทรศัพท์แต่มันแสดงค่าแบตเตอรี่ต่ำ แล้วต่อจากนั้นแบตเตอรี่ก็ดับสนิท แม้ว่าเขาได้พยายามอย่างไรก็ไม่สามารถเปิดมันได้ เขาถือโทรศัพท์นั่นไว้ด้วยสีหน้ากังวล ฉันก็งงไปเหมือนกัน—ฉันเพิ่งชาร์จโทรศัพท์ในเช้าวันนั้น แล้วแบตเตอรี่หมดได้อย่างไร? ทันใดนั้นฉันก็ตระหนักว่าพระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการสิ่งนี้อย่างปาฏิหาริย์ เพื่อไม่ให้พวกตำรวจเจอข้อมูลเกี่ยวกับพี่น้องชายหญิงคนอื่น ฉันยังเข้าใจพระวจนะที่พระเจ้าตรัสด้วยว่า “โดยไม่คำนึงว่าพวกเจ้าเชื่อหรือไม่ สิ่งใดและทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าที่มีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ตาม จะเคลื่อนย้าย เปลี่ยนแปลง สร้างขึ้นมาใหม่และปลาสนาการไปโดยสอดคล้องกับพระดำริของพระเจ้า ในหนทางเช่นนี้เองที่พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือทุกสรรพสิ่ง” (“พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) ทุกสรรพสิ่งและทุกเหตุการณ์อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง ไม่ว่าที่มีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ตาม ทุกสรรพสิ่งก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงตามพระดำริของพระเจ้า ในชั่วขณะเวลานี้ ฉันได้รับความเข้าใจที่แท้จริงว่า พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงและทรงครองอธิปไตยอยู่เหนือทุกสรรพสิ่งอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ฉันได้รับความมั่นใจที่ฉันจำเป็นต้องมีในการที่จะพึ่งพาพระเจ้าเพื่อเผชิญกับการสอบปากคำที่กำลังจะมาถึง เจ้าหน้าที่ตำรวจชี้ไปที่สิ่งของในกระเป๋าพลางถามฉันเป็นทำนองกล่าวหาว่า “ของพวกนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า คุณไม่ใช่สมาชิกคริสตจักรธรรมดา คุณต้องเป็นหนึ่งในผู้นำอาวุโสที่มีความสำคัญ เพราะผู้นำอ่อนอาวุโสไม่มีเพจเจอร์หรือโทรศัพท์มือถือ ผมพูดถูกไหม?” “ฉันไม่เข้าใจที่คุณพูดค่ะ” ฉันตอบ “คุณแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจน่ะสิ!” เขาคำราม แล้วสั่งให้ฉันย่อตัวลงและเริ่มพูด เมื่อเห็นว่าฉันไม่เล่นด้วย พวกเขาก็มารุมล้อมฉันแล้วเริ่มเตะต่อยฉัน—ราวกับพวกเขาอยากจะฆ่าฉัน ฉันเจ็บปวดไปหมดทั่วทั้งตัวจนทนไม่ไหว ฉันทรุดฮวบลงกับพื้นด้วยใบหน้าที่บวมเป่งและโชกเลือด ฉันโกรธจนแทบเสียสติ ฉันอยากคุยกับพวกเขาด้วยเหตุผล เพื่อโต้แย้งกรณีของฉันว่า ฉันทำอะไรผิดหรือ? ทำไมพวกคุณถึงซ้อมฉันแบบนี้? แต่ฉันไม่มีทางคุยกับพวกเขาด้วยเหตุผลได้ เพราะรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่คุยอะไรที่มีเหตุผล ฉันสับสน แต่ฉันไม่ต้องการยอมให้กับการทุบตีของพวกเขา ตอนที่ฉันกำลังทำอะไรไม่ถูกนั่นเอง ฉันก็พลันคิดขึ้นได้ว่า ในเมื่อเจ้าหน้าที่ชั่วของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนพวกนี้ไร้เหตุผลอย่างมาก ในเมื่อพวกเขาไม่ยอมให้ฉันพูดเหตุผลสักคำ ฉันก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกับพวกเขา ฉันเงียบเอาไว้จะดีกว่า—แบบนั้นฉันก็จะได้ไม่มีประโยชน์อะไรต่อพวกเขา เมื่อฉันคิดแบบนี้ ฉันก็เลิกสนใจสิ่งที่พวกเขากำลังพูดอยู่ เมื่อเห็นว่าวิธีนี้ไม่ได้ผลกับฉัน พวกตำรวจชั่วก็ยิ่งบันดาลโทสะและยิ่งป่าเถื่อนมากขึ้น นั่นคือ พวกเขาเปลี่ยนมาทรมานเพื่อเค้นเอาคำสารภาพ พวกเขาใส่กุญแจมือฉันกับเก้าอี้โลหะซึ่งขันน็อตติดกับพื้นในตำแหน่งที่ฉันจะนั่งยองลงไปก็ไม่ได้ ยืนตรงขึ้นไปก็ไม่ได้ หนึ่งในพวกเขาเอามือของฉันข้างที่ไม่ได้ใส่กุญแจมือมาวางบนเก้าอี้นั่นแล้วกระหน่ำซัดด้วยรองเท้าข้างหนึ่ง จนมาหยุดเอาก็ต่อเมื่อหลังมือฉันฟกช้ำดำเขียวไปหมดแล้วเท่านั้นเอง ในขณะที่อีกคนกระทืบเท้าของฉันด้วยรองเท้าหนังของเขา ซึ่งนั่นเป็นตอนที่ฉันได้รับประสบการณ์กับความเจ็บแปลบพุ่งตรงไปยังหัวใจของฉันอย่างไม่อยากจะเชื่อ หลังจากนั้น ตำรวจหกหรือเจ็ดนายก็ผลัดกันซ้อมฉัน หนึ่งในพวกเขาง่วนอยู่ตามข้อต่อของฉัน และบิดมันแรงมากจนถึงขั้นที่หนึ่งเดือนต่อมาก็แล้ว ฉันก็ยังไม่สามารถงอแขนของฉันได้ อีกคนจิกผมฉันแล้วโยกศีรษะฉันไปมา แล้วจากนั้นก็ขมวดรั้งไปทางด้านหลังเพื่อให้ฉันแหงนหน้าขึ้น “มองท้องฟ้าสิว่ามีพระเจ้าไหม!” เขาพูดอย่างสารเลว พวกเขาเดินหน้าต่อไปจนตกกลางคืน เมื่อเห็นว่าพวกเขาจะไม่ได้อะไรจากฉัน และเพราะเป็นช่วงตรุษจีน พวกเขาจึงส่งฉันตรงไปยังสถานกักกัน
เมื่อฉันไปถึงสถานกักกัน ผู้คุมเอาตัวฉันไปใส่ไว้ในห้องขัง และก็สร้างข่าวลือมากมายเกี่ยวกับตัวฉัน และยุยงพวกนักโทษให้ทรมานฉัน พวกนักโทษจึงเล่นเล่ห์กลกับฉันทุกวัน อาทิ ตอนที่อุณหภูมิติดลบ 8 หรือ 9 องศา พวกเธอทำให้รองเท้าของฉันเปียกจนชุ่มโชก พวกเธอแอบเทน้ำใส่ในอาหารของฉัน พอตอนหัวค่ำที่ฉันกำลังหลับ พวกเธอทำให้เสื้อแจ็คเก็ตผ้านวมของฉันเปียกแฉะ พวกเธอให้ฉันนอนข้างโถส้วม และบ่อยครั้งที่พวกเธอดึงผ้าห่มนวมของฉันออกในตอนกลางคืน และดึงผมของฉันเพื่อไม่ให้ฉันนอนหลับ พวกเธอฉกซาลาเปาของฉัน พวกเธอบังคับให้ฉันล้างโถส้วม และกรอกยาที่เหลือของพวกเธอใส่ปากฉัน พวกเธอไม่ให้ฉันถ่ายทุกข์…หากฉันไม่ทำตามที่พวกเธอพูด พวกเธอก็จะรวมหัวกันทุบตีฉัน—และบ่อยครั้งในเวลาแบบนั้น พวกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์หรือสายตรวจก็จะรีบเดินหนีไปให้พ้นสายตาหรือแสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไร บางครั้งพวกเขาถึงขั้นไปแอบดูอยู่ห่างออกไปเล็กน้อยด้วยซ้ำ ถ้าพวกนักโทษไม่ได้ทรมานฉันสักสองสามวัน พวกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็จะยุยงพวกเธอให้ทุบตีฉัน การทรมานที่โหดเหี้ยมของพวกผู้คุมทำให้ฉันเต็มไปด้วยความเกลียดชังพวกเขา ถ้าฉันไม่ได้ประจักษ์สิ่งนี้ด้วยตาของตัวเองและได้รับประสบการณ์กับมันด้วยตัวเอง ฉันก็คงไม่มีทางเชื่อว่ารัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งควรจะเต็มไปด้วยความเมตตากรุณาและศีลธรรม จะสามารถมืดดำ น่าเกรงกลัว และน่าสยองขวัญได้ขนาดนี้—ฉันคงจะไม่มีทางได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมัน โฉมหน้าซึ่งเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและตีสองหน้า ทั้งหมดที่มันพูดถึง “การรับใช้ประชาชน การสร้างสังคมที่กลมเกลียวและมีอารยธรรม”—เหล่านี้เป็นคำโกหกที่ออกแบบมาเพื่อหลอกลวงและตบตาประชาชน เหล่านี้คือวิถีทาง คือเล่ห์กลในการทำให้ตัวเองดูสวยงามและได้รับการยกย่องสรรเสริญที่มันไม่สมควรจะได้รับ ในตอนนั้น ฉันคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เช่นนั้นแล้วก็ไม่น่าฉงนนักที่พระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ยังคงซ่อนเร้นอย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ ในสังคมมืดเช่นสังคมแห่งนี้ ที่ซึ่งพวกปีศาจไร้ความปรานีและไร้มนุษยธรรม ราชาแห่งพวกมารที่ฆ่าผู้คนโดยไม่แสดงความรู้สึกใดจะสามารถทนยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงดีงาม ทรงเมตตาและยังทรงบริสุทธิ์อีกด้วยได้อย่างไร? มันจะสามารถปรบมือและแซ่ซ้องกับการเสด็จมาถึงของพระเจ้าได้อย่างไร? ขี้ข้าพวกนี้! พวกมันตอบแทนความเมตตาด้วยความเกลียดชัง พวกมันได้ดูถูกเหยียดหยามพระเจ้ามานานแล้ว พวกมันล่วงเกินพระเจ้า พวกมันป่าเถื่อนสุดขีด พวกมันไม่มีการคำนึงถึงพระเจ้าแม้แต่น้อย พวกมันจี้ปล้นและช่วงชิง พวกมันได้สูญเสียมโนธรรมทั้งหมด พวกมันต่อต้านมโนธรรมทั้งหมด และพวกมันทดลองผู้บริสุทธิ์ใจให้เข้าสู่ความสิ้นสำนึกรับรู้ เหล่าบรรพบุรุษแต่โบราณกาลหรือ? บรรดาผู้นำผู้เป็นที่รักหรือ? พวกเขาทั้งหมดต่อต้านพระเจ้า! การก้าวก่ายของพวกเขาได้ทำให้ทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์อยู่ในสภาวะแห่งความมืดและความวุ่นวาย! เสรีภาพทางศาสนาหรือ? สิทธิและผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองทั้งหลายหรือ? สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดเป็นเพทุบายเพื่อปิดบังบาป!” (“งานและการเข้าสู่ (8)” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนมุ่งพยายามที่สุดในการทรมานและผลาญทำลายฉันเพื่อบังคับให้ฉันไม่ยอมรับและทรยศพระเจ้า—แต่มันไม่รู้เลยสักนิดว่ายิ่งมันทรมานฉันเท่าไร ฉันก็ยิ่งเห็นโฉมหน้าเยี่ยงมารของมันชัดเจนขึ้น อีกทั้งดูหมิ่น และปฏิเสธมันจากห้วงลึกของหัวใจฉันมากขึ้นเท่านั้น ฉันจึงมีความเด็ดเดี่ยวมากขึ้นในการติดตามพระเจ้า
เมื่อเห็นว่าพวกเขาจะไม่สามารถทำให้ฉันพูดสิ่งที่พวกเขาต้องการได้ พวกเขาทุ่มหมดตัว—ไม่ว่าจะเป็นกำลังคน หรือทรัพยากรทางวัตถุและทางการเงิน—ขึ้นเขาลงห้วยเพื่อถามหาข้อพิสูจน์ว่าฉันเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า สามเดือนต่อมา การวิ่งสาละวนไปทั่วของพวกเขาได้กลายเป็นสูญเปล่า สุดท้ายพวกเขาก็ใช้ไพ่ไม้ตาย คือ พวกเขาไปหาผู้ชำนาญการสอบปากคำ ว่ากันว่าทุกคนที่ถูกนำตัวไปหาเขาจะตกอยู่ภายใต้ทรมานสามรูปแบบของเขา และไม่เคยมีใครไม่สารภาพ วันหนึ่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจสี่คนมาพูดกับฉันว่า “วันนี้พวกเราจะพาตัวแกไปบ้านหลังใหม่” ถัดมาพวกเขาก็ผลักฉันเข้าไปในรถขนย้ายนักโทษ สวมกุญแจมือฉันไพล่หลัง แล้วเอาถุงคลุมหัวฉันไว้ ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาวางแผนจะทรมานฉันอย่างไร ฉันจึงรู้สึกกระวนกระวายอยู่ไม่น้อยเลย ตอนนั้นเองฉันก็นึกถึงพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า “เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา คนนั้นจะได้ชีวิตรอด” (มัทธิว 16:25) พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ความเชื่อและความเข้มแข็งแก่ฉัน หากพวกเราต้องการเชื่อและติดตามพระเจ้าในเมืองผีของประเทศจีน พวกเราต้องมีความกล้าที่จะมอบถวายหมดทั้งชีวิตของพวกเรา ฉันได้เตรียมพร้อมแล้วที่จะตายเพื่อพระเจ้า แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อหลังจากเข้าไปในรถตู้คันนั้น ฉันบังเอิญได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกตำรวจชั่วโดยไม่ได้ตั้งใจ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังพาฉันไปที่ไหนสักแห่งเพื่อสอบปากคำ อ้า! พวกเขาไม่ได้กำลังเอาตัวฉันไปฆ่า—และฉันได้กำลังเตรียมตัวตายเป็นผู้พลีชีพแด่พระเจ้าแล้วแท้ๆ! ตอนที่ฉันกำลังคิดอยู่เรื่องนี้นั่นเอง ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบ หนึ่งในพวกตำรวจก็รัดเชือกของถุงที่คลุมหัวฉันให้แน่นขึ้น ไม่นานหลังจากนั้น ฉันก็เริ่มรู้สึกไม่อึดอัดสบายตัว—มันรู้สึกเหมือนฉันกำลังหายใจไม่ออก ฉันเริ่มน้ำลายฟูมปาก แล้วก็อาเจียนไม่หยุด มันรู้สึกเหมือนฉันกำลังจะอาเจียนเอาเครื่องในออกมา ฉันรู้สึกมึนงง สมองว่างเปล่า และลืมตาไม่ขึ้น ร่างกายฉันไม่มีเรี่ยวแรงเลย ราวกับฉันเป็นอัมพาตไปแล้ว มันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่เหนียวหนึบคายไม่ออกอยู่ในปากของฉัน ฉันเป็นคนบอบบางมาตลอด และหลังจากถูกกระทำทารุณแบบนั้น ฉันรู้สึกได้เลยว่าตัวเองตกที่นั่งลำบากแล้ว และฉันอาจจะหยุดหายใจได้ทุกเมื่อ ท่ามกลางความเจ็บปวด ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “โอ้พระเจ้า! ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงอารักขาหัวใจของข้าพระองค์ ไม่ว่าข้าพระองค์จะยังมีชีวิตอยู่หรือตาย ข้าพระองค์จะไม่ทรยศพระองค์” เวลาใดไม่ทราบได้หลังจากนั้น รถตู้ก็ไปถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง พวกเขาหิ้วฉันไปยังห้องที่ปิดตายห้องหนึ่ง จากนั้นไม่นาน “ผู้ชำนาญการสอบปากคำ” ที่ตำรวจพูดถึงก็มาถึง เขาเดินมาข้างหน้าแล้วคว้าตัวฉัน หลังจากตบหน้าฉันไปหลายสิบครั้ง เขาก็ชกเข้าที่หน้าอกและแผ่นหลังของฉันเต็มแรงหลายครั้ง แล้วก็ถอดรองเท้าหนังของเขาข้างหนึ่งออกมาฟาดหน้าฉันอย่างแรง หลังจากถูกเขาทุบตีแบบนี้ ความรู้สึกที่ว่ามีบางอย่างที่ฉันเอาออกมาจากปากหรือท้องของฉันไม่ได้ก็หมดไป ฉันไม่รู้สึกมึนงงอย่างมากอีกต่อไปและสามารถลืมตาได้ แขนขาของฉันค่อยๆ กลับมามีความรู้สึก และเรี่ยวแรงก็เริ่มกลับมาสู่ร่างกายของฉัน ถัดจากนั้นเขาก็ขยุ้มไหล่ของฉันอย่างหยาบคายแล้วผลักฉันไปติดกำแพง สั่งให้ฉันมองเขาและตอบคำถาม การที่เห็นว่าฉันไม่สนใจเขาเลยทำให้เขาบันดาลโทสะมาก และเขาพยายามให้ฉันแสดงปฏิกิริยาตอบโต้โดยการสบประมาท ใส่ร้าย และหมิ่นประมาทพระเจ้า เขาใช้วิถีทางที่น่าดูหมิ่นและน่าเหยียดหยามเพื่อล่อฉันงับเหยื่อ และพูดอย่างเป็นลางว่า “ฉันจงใจทรมานแกด้วยสิ่งที่เนื้อหนังกับดวงจิตแกไม่มีทางทนได้ เพื่อให้แกทนทุกข์กับความเจ็บปวดที่ไม่มีคนปกติคนไหนทนได้—แกจะอยากตายเลยละ สุดท้ายแล้วแกก็จะขอร้องให้ฉันปล่อยแกไป แล้วตอนนั้นแหละที่แกจะพูดจามีเหตุผล และพูดว่าชะตากรรมของแกไม่ได้อยู่ในมือของพระเจ้า—แต่เป็นมือของฉันต่างหาก ถ้าฉันอยากให้แกตาย มันก็จะเกิดขึ้นทันที ถ้าฉันอยากให้แกอยู่ แกก็อยู่ และไม่ว่าความยากลำบากอะไรที่ฉันอยากให้แกทนทุกข์ นั่นแหละคือสิ่งที่แกจะทนทุกข์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของแกช่วยแกให้รอดไม่ได้หรอก—แกจะมีชีวิตอยู่ก็ต่อเมื่อแกขอร้องให้พวกเราช่วยแกเท่านั้น” เมื่อเผชิญหน้ากับอันธพาลที่น่าดูหมิ่น ไร้ยางอาย และน่าเหยียดหยามพวกนี้ สัตว์ป่าพวกนี้ ปีศาจชั่วพวกนี้ ฉันอยากต่อสู้กับพวกมันจริงๆ “พระเจ้าทรงสร้างและควบคุมสรรพสิ่งในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก” ฉันคิด “ชะตากรรมของฉันก็อยู่ภายใต้อธิปไตยและการเตรียมการจัดการของพระเจ้าเช่นกัน พระเจ้าทรงเป็นองค์ตุลาการแห่งชีวิตและความตาย แกคิดว่าฉันจะตายเพียงเพราะว่าแกอยากให้ฉันตายหรือไง?” ในตอนนั้นหัวใจของฉันเต็มไปด้วยความเดือดดาล การปฏิบัติตัวซึ่งน่าดูหมิ่นทั้งหมดที่พวกตำรวจได้ก่อกรรมทำเข็ญกับฉัน และทุกสิ่งที่หมิ่นประมาทและเป็นการต้านทานพระเจ้าที่พวกเขาได้พูดไปในวันนี้ ได้เปิดโปงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงธาตุแท้เยี่ยงปีศาจของพวกเขาในฐานะผู้เกลียดความจริงและผู้ต้านทานพระเจ้า และนี่จะเป็นหลักฐานที่จำเป็นต้องมีเพื่อรับประกันการกล่าวโทษ การลงโทษ และการทำลายของพระเจ้า
การที่ฉันไม่ยอมสารภาพนั้นทำให้คนที่น่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญนั่นเสียหน้ามาก เขาบิดแขนข้างหนึ่งของฉันไพล่หลังด้วยความเดือดดาล และดึงแขนอีกข้างอ้อมไหล่ฉันไปข้างหลัง แล้วก็ใส่กุญแจมือที่มือทั้งสองข้างของฉันเข้าด้วยกันอย่างแน่นหนา หลังจากผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง เหงื่อเม็ดใหญ่ก็ผุดพรูลงมาตามใบหน้าจนเข้าตาของฉัน ทำให้ฉันลืมตาไม่ได้ เมื่อเห็นว่าฉันยังไม่ยอมตอบคำถามของเขา เขาก็เหวี่ยงฉันลงกับพื้น แล้วยกฉันขึ้นโดยกุญแจมือข้างหลังฉัน ฉันรู้สึกเจ็บแปลบที่แขนทั้งสองข้างทันที ราวกับพวกมันถูกหักไปแล้ว มันเจ็บปวดมากจนฉันแทบหายใจไม่ออก ถัดจากนั้นเขาก็เหวี่ยงฉันไปยืนพิงกำแพง เหงื่อทำให้ฉันตาพร่า มันเจ็บปวดมากจนทั่วทั้งร่างของฉันเต็มไปด้วยเหงื่อ—แม้แต่รองเท้าของฉันยังเปียกชุ่ม ฉันเป็นคนแบบบางมาตลอด และในอึดใจนี้ ฉันจึงทรุดฮวบลง ดูเหมือนว่า ฉันได้สูญเสียความสามารถที่จะหายใจทางจมูกไปแล้ว ฉันทำได้เพียงอ้าปากหอบหายใจเท่านั้น ฉันรู้สึกว่าความตายขยับใกล้เข้ามาอีกครั้ง—บางทีคราวนี้ ฉันอาจตายจริง แต่ในชั่วขณะนั้นเอง ฉันนึกถึงลูกา ซึ่งเป็นหนึ่งในสาวกของพระเยซู และประสบการณ์ของเขาที่ถูกแขวนคอจนถึงแก่ความตาย แล้วจู่ๆ ในหัวใจของฉันก็ได้รับความเข้มแข็งคืนมาเอง และฉันพร่ำพูดคำเดิมซ้ำไปซ้ำมาเพื่อย้ำเตือนตัวเองว่า “ลูกาถูกแขวนคอจนตาย ฉันก็ต้องเป็นลูกาเหมือนกัน ฉันต้องเป็นลูกา เป็นลูกา…ฉันเต็มใจเชื่อฟังการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และฉันปรารถนาที่จะจงรักภักดีต่อพระเจ้าจนตายเหมือนลูกา” ในขณะที่ความเจ็บปวดนั้นสุดจะทานทน และฉันกำลังจวนเจียนจะตายนั่นเอง พลันฉันก็ได้ยินหนึ่งในพวกตำรวจชั่วพูดว่า พี่น้องชายหญิงหลายคนที่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ถูกจับกุม ในหัวใจของฉัน ฉันตกใจสุดขีดว่า พี่น้องชายหญิงอีกหลายคนจะถูกทรมาน พวกเขาจะต้องทรมานบรรดาพี่น้องชายหนักเป็นพิเศษ หัวใจของฉันเต็มไปด้วยความกังวล ฉันอธิษฐานให้พวกเขาอยู่เงียบๆ บางทีฉันอาจจะได้รับการสัมผัสโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เป็นได้ กล่าวคือ ยิ่งฉันอธิษฐานมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งได้รับแรงบันดาลใจมากขึ้นเท่านั้น ฉันลืมความเจ็บปวดไปเลยโดยไม่รู้ตัว ฉันรู้ดีว่า นี่เป็นการจัดการเตรียมการอันทรงปัญญาของพระเจ้า พระเจ้าทรงรู้ดีถึงความอ่อนแอของฉันและกำลังทรงนำฉันผ่านเวลาที่เจ็บปวดที่สุด คืนนั้น ฉันไม่สนอีกต่อไปว่าพวกตำรวจชั่วปฏิบัติต่อฉันอย่างไร และไม่สนใจคำถามของพวกเขาเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น พวกตำรวจชั่วก็ใช้กำปั้นต่อยหน้าฉันอย่างอำมหิต แล้วใช้นิ้วพันเส้นผมตรงขมับของฉันและกระตุกอย่างแรง หูของฉันบวมจากการถูกบิด หน้าของฉันเละจนจำไม่ได้ ก้นและต้นขาของฉันถูกตีด้วยไม้ท่อนหนาจนช้ำและแตกปริ และนิ้วเท้าของฉันก็เขียวคล้ำเช่นกันหลังจากถูกกระแทกด้วยท่อนไม้ หลังจากห้อยฉันไว้ด้วยกุญแจมือนานหกชั่วโมง พอพวกตำรวจชั่วถอดกุญแจมือออก เนื้อใต้หัวแม่โป้งซ้ายของฉันก็ถูกรูดเปิดจนหลุดออกไป—เหลือชั้นผิวบางเฉียบหุ้มกระดูกอยู่เท่านั้น กุญแจมือยังทิ้งตุ่มน้ำพองสีเหลืองไว้ที่ข้อมือของฉันด้วย และไม่มีทางที่จะสวมพวกมันกลับเข้าไปอีกครั้ง ในตอนนั้นเอง ตำรวจหญิงที่ดูมีความสำคัญคนหนึ่งก็เดินเข้ามา เธอมองฉันหัวจดเท้า แล้วพูดกับพวกเขาว่า “พวกคุณซ้อมคนนี้ต่อไม่ได้แล้ว—เธอดูเหมือนใกล้ตายอยู่รอมร่อ” พวกตำรวจขังฉันไว้ในห้องหนึ่งของโรงแรม ผ้าม่านถูกดึงปิดสนิทตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง มีคนได้รับมอบหมายให้เฝ้าประตู และไม่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่บริการคนไหนเข้ามาได้ อีกทั้งไม่อนุญาตให้ใครเห็นภาพที่พวกเขาทรมานและทำทารุณกับฉันในนั้น พวกเขาผลัดกันสอบปากคำฉันโดยไม่หยุดพัก เป็นเวลาห้าวันห้าคืน พวกเขาไม่ให้ฉันหลับ พวกเขาไม่ให้ฉันนั่งหรือย่อตัวลง อีกทั้งพวกเขาไม่ยอมให้ฉันกินอาหารด้วย ฉันได้รับอนุญาตให้ยืนพิงกำแพงได้เท่านั้น วันหนึ่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งมาสอบปากคำฉัน เมื่อเห็นว่าฉันเพิกเฉยใส่เขา เขาก็บันดาลโทสะและเตะฉันปลิวไปใต้โต๊ะ ต่อจากนั้น เขาก็ดึงฉันออกมาชกจนเลือดไหลออกทางมุมปากของฉัน เพื่อปกปิดความอำมหิตของเขา เขารีบปิดประตูไม่ให้ใครเข้ามา แล้วก็ฉีกทิชชู่ออกมากำมือหนึ่งเพื่อเช็ดเลือดของฉัน ใช้น้ำล้างเลือดออกจากใบหน้าของฉันและทำความสะอาดเลือดที่พื้นห้อง ฉันจงใจทิ้งรอยเลือดไว้บนเสื้อกันหนาวสีขาวของฉัน แต่ทว่าเมื่อฉันกลับไปที่สถานกักกัน พวกตำรวจชั่วก็บอกนักโทษคนอื่นว่าเลือดบนเสื้อผ้าของฉันมาจากตอนที่ฉันไปรับการยืนยันรับรองที่โรงพยาบาลจิตเวช และบอกว่าหลายวันที่ผ่านมาฉันอยู่ที่นั่น แผลและเลือดบนร่างกายของฉันเกิดจากผู้ป่วยรายอื่นๆ—พวกเขา พวกตำรวจ ไม่ได้แตะต้องฉันเลย…ข้อเท็จจริงอันโหดร้ายเหล่านี้แสดงให้ฉันเห็นถึงความเหี้ยมโหด ความเคลือบแฝง ความฉลาดแกมโกงและความไร้สภาวะความเป็นมนุษย์ของตำรวจของประชาชน และขณะเดียวกัน ฉันก็รู้สึกจริงๆ ถึงการทรงอารักขาและการทรงดูแลของพระเจ้าสำหรับฉัน ทุกครั้งที่ความเจ็บปวดของฉันเลวร้ายที่สุด พระเจ้าจะทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำฉัน เพิ่มความเชื่อและความเข้มแข็งให้กับฉัน ประทานความกล้าแก่ฉันเพื่อยืนหยัดเป็นพยานให้พระเจ้า เมื่อความอำมหิตของพวกตำรวจชั่วทิ้งฉันไว้ที่ประตูแห่งความตาย พระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้ฉันได้ยินข่าวเกี่ยวกับการจับกุมพี่น้องชายหญิงคนอื่น ทรงใช้สิ่งนี้ดลใจให้ฉันเดินหน้าอธิษฐานให้พวกเขา ให้ฉันลืมความเจ็บปวดของตัวเอง และเอาชนะการบีบบังคับของความตายโดยไม่รู้ตัว ขอบคุณซาตานที่รับบทเป็นตัวประกอบเสริมความเด่นที่ชั่วและสารเลว ฉันจึงได้เห็นว่าพระเจ้าเท่านั้นทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต และเห็นว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความชอบธรรมและความดีงาม พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงปกครองทุกสิ่ง และทรงจัดการเตรียมการทุกอย่าง และพระองค์ทรงใช้ฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่และพระปัญญา ของพระองค์เพื่อนำทางในทุกย่างก้าวของฉันในการทำให้การล้อมโจมตีของกองทหารปีศาจปราชัย ในการเอาชนะความอ่อนแอของเนื้อหนังและการบีบบังคับของความตาย อันเป็นการเปิดโอกาสให้ฉันอยู่รอดอย่างมุ่งมั่นไม่ท้อถอยในรังโจรอันมืดมิดนี้ ขณะที่ฉันนึกถึงความรักและความรอดของพระเจ้า ฉันก็รู้สึกได้รับแรงบันดาลใจอย่างใหญ่หลวง และฉันตัดสินใจที่จะต่อสู้กับซาตานจนถึงถึงปลายทางสุดท้าย ต่อให้ฉันเน่าเปื่อยตายอยู่ในคุก ฉันก็จะตั้งมั่นในคำพยานของฉันและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย
หลังจากลองทุกอย่างที่พวกเขาทำได้แล้ว พวกตำรวจชั่วก็ไม่ได้อะไรจากฉันเลย สุดท้ายแล้ว พวกเขาพูดด้วยความมั่นใจว่า “พรรคคอมมิวนิสต์จีนทำขึ้นจากเหล็กกล้า แต่คนที่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทำขึ้นจากเพชร—พวกเขาดีกว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนในทุกด้านเลย” หลังจากได้ยินคำพูดพวกนี้ ในหัวใจของฉันอดไม่ได้ที่จะไชโยโห่ร้องและสรรเสริญพระเจ้าว่า “โอ พระเจ้า ข้าพระองค์ขอขอบคุณและสรรเสริญพระองค์! ด้วยพระมหิทธิฤทธิ์และพระปัญญาของพระองค์ พระองค์ได้เอาชนะซาตานและทำให้พวกศัตรูของพระองค์ปราชัยแล้ว พระองค์ทรงเป็นสิทธิอำนาจสูงสุดและขอพระสิริจงมีแด่พระองค์!” ตอนนั้นเองที่ฉันเห็นว่าไม่ว่ารัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะโหดร้ายแค่ไหน มันก็ถูกควบคุมและจัดวางเรียบเรียงโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า ดังที่พระวจนะของพระเจ้าตรัสว่า “ทุกสรรพสิ่งในท้องฟ้าและบนผืนดินต้องมาอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถมีตัวเลือกใดและทั้งหมดต้องนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ การนี้ประกาศกฤษฎีกาโดยพระเจ้า และเป็นสิทธิอำนาจของพระเจ้า” (“ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)
อยู่มาวันหนึ่ง พวกตำรวจชั่วมาสอบปากคำฉันอีกครั้ง คราวนี้พวกเขาทั้งหมดดูแปลกไปเล็กน้อย พวกเขามองฉันตอนที่พวกเขาพูด แต่ดูไม่เหมือนพวกเขากำลังพูดกับฉัน ปรากฏว่านั่นเหมือนพวกเขากำลังหารืออะไรบางอย่าง เช่นเดียวกับครั้งก่อนๆ คือการสอบปากคำนี้จบลงอย่างไม่เป็นท่า หลังจากนั้น พวกตำรวจชั่วก็นำฉันกลับไปที่ห้องขัง ระหว่างทาง อยู่ดีๆ ฉันก็ได้ยินพวกเขาพูดว่า ดูเหมือนฉันจะถูกปล่อยตัวในวันที่หนึ่งของเดือนถัดไป เมื่อได้ยินแบบนั้น หัวใจของฉันแทบจะระเบิดด้วยความตื่นเต้นว่า “นี่แปลว่าฉันจะได้ออกไปในสามวัน!” ฉันคิด “ในที่สุดฉันก็สามารถไปจากนรกปีศาจนี่ได้!” ฉันคาดหวังและเฝ้ารอทุกวินาทีที่ผ่านไปโดยพยายามข่มความปีติยินดีในหัวใจเอาไว้ สามวันให้ความรู้สึกเหมือนสามปี ในที่สุด วันที่หนึ่งของเดือนนั้นก็มาถึง! วันนั้น ฉันจับจ้องไปที่ประตู เฝ้ารอให้ใครบางคนขานชื่อฉัน ช่วงเช้าผ่านไปแล้ว และไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันจึงทุ่มความหวังทั้งหมดว่าจะได้ออกไปในตอนบ่าย—แต่เมื่อเวลาค่ำมาถึง ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำ ฉันไม่รู้สึกอยากอาหารเลย ในหัวใจของฉัน ฉันรู้สึกถึงสำนึกแห่งความสูญเสียพ่ายแพ้ ในชั่วขณะนั้น เหมือนหัวใจของฉันได้ร่วงจากสวรรค์ลงสู่นรก “ทำไมเธอถึงไม่กินนะ?” เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ถามนักโทษคนอื่น “เธอไม่ค่อยกินอะไรตั้งแต่กลับมาจากการสอบปากคำวันนั้น” หนึ่งในนักโทษตอบ “จับหน้าผากเธอซิ ป่วยหรือเปล่า?” เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์พูด นักโทษคนหนึ่งเข้ามาแตะหน้าผากฉัน เธอพูดว่ามันร้อนมาก ฉันกำลังมีไข้ ฉันมีไข้จริง ความเจ็บป่วยนั้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วนมาก และรุนแรงมาก ตอนนั้นเอง ฉันทรุดฮวบลง ตลอดเวลาสองชั่วโมง อาการไข้แย่ลงเรื่อยๆ ฉันร้องไห้! พวกเขาทุกคนรวมถึงเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เฝ้าดูฉันร้องไห้ พวกเขางุนงงประหลาดใจกันไปหมด กล่าวคือ พวกเขามองว่าฉันเป็นคนที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว คนที่ไม่เสียน้ำตาสักหยดในทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับการทรมานแสนสาหัส และคนที่ถูกแขวนห้อยด้วยกุญแจมือนานหกชั่วโมงโดยไม่โอดครวญ แต่วันนี้ ทั้งที่ไม่ถูกทรมานเลยแต่ฉันกลับร้องไห้ พวกเขาไม่รู้ว่าน้ำตาของฉันมาจากไหน—พวกเขาแค่คิดว่าฉันคงจะป่วยมาก โดยข้อเท็จจริงแล้ว มีเพียงพระเจ้ากับฉันเท่านั้นที่รู้เหตุผล ทั้งหมดเป็นเพราะความเป็นกบฏและไม่เชื่อฟังของฉัน หยาดน้ำตาเหล่านี้รินไหลเพราะฉันรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังเมื่อความคาดหวังของฉันสูญเปล่าและความหวังของฉันก็ถูกฟาดทำลาย พวกมันเป็นหยาดน้ำตาของความเป็นกบฏและความคับข้องใจ ในตอนนั้นเอง ฉันไม่ต้องการตัดสินใจแน่วแน่ที่จะเป็นคำพยานต่อพระเจ้าอีกต่อไป ฉันไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะถูกทดสอบแบบนี้อีก ค่ำวันนั้น ฉันร่ำไห้ด้วยน้ำตาแห่งความทุกข์ระทม เพราะความที่ฉันดูหมิ่นปีศาจพวกนี้และฉันมีชีวิตอยู่ในเรือนจำมานานเต็มทนแล้ว—และยิ่งไปกว่านั้น ฉันเกลียดการอยู่ในสถานที่เลวร้ายแห่งนี้ ฉันไม่อยากใช้เวลาอยู่ที่นั่นอีกแม้แต่วินาทีเดียว ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งหมดกำลังใจมากขึ้นเท่านั้น และฉันก็ยิ่งรู้สึกถึงความคับข้องใจ ความน่าเวทนา และความเปลี่ยวเหงามากขึ้นเท่านั้น ฉันรู้สึกว่าฉันเหมือนเรือเล็กที่เดียวดายอยู่กลางทะเล เป็นเรือที่สามารถถูกน้ำกวาดกลืนลงไปได้ทุกเวลา ยิ่งกว่านั้น ฉันรู้สึกว่าพวกที่อยู่รอบตัวฉันเคลือบแฝงและน่ากลัวมากจนพวกเขาอาจจะระบายความโกรธใส่ฉันได้ทุกเวลา ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า และพระวจนะเหล่านี้จากพระองค์ก็ผุดขึ้นในใจฉันว่า “สำหรับทุกคนซึ่งทะเยอทะยานที่จะรักพระเจ้านั้น ไม่มีความจริงที่ไม่อาจได้มา และไม่มีความยุติธรรมที่พวกเขาไม่อาจตั้งมั่นเพื่อมันได้ เจ้าควรใช้ชีวิตของเจ้าอย่างไรหรือ? เจ้าควรรักพระเจ้าและใช้ความรักนี้สนองข้อพึงปรารถนาของพระองค์อย่างไร? ไม่มีเรื่องใดในชีวิตเจ้าที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว เหนือสิ่งอื่นใด เจ้าต้องมีความทะเยอทะยานและความมานะบากบั่น และไม่ควรเป็นดั่งพวกที่ใจเสาะ พวกที่ปวกเปียกอ่อนแอ เจ้าต้องเรียนรู้วิธีที่จะได้รับประสบการณ์กับชีวิตซึ่งเปี่ยมความหมายและได้รับประสบการณ์กับความจริงอันเปี่ยมความหมาย และไม่ควรปฏิบัติต่อตัวเจ้าเองอย่างขอไปทีแบบนั้น” (“ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) พระวจนะของพระเจ้าให้ความเชื่อแก่ฉัน ฉันนึกถึงการที่ฉันได้สาบานไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างขึงขังว่า ไม่ว่าฉันอาจจะทุกข์ทนแค่ไหน ฉันก็จะยืนหยัดเป็นพยานและทำให้ซาตานอับอาย แต่พอฉันกำลังจะเผชิญการทรมานของตำรวจเป็นเวลานาน ฉันก็เสียความแน่วแน่และกำลังหวังเพียงวันที่ฉันจะสามารถหนีออกไปจากสถานที่อัปมงคลนั้น นั่นเป็นความนบนอบประเภทใดได้อย่างไรกัน? นั่นเป็นคำพยานประเภทใดได้อย่างไรกัน? ในการอธิษฐานต่อพระเจ้า ฉันสาบานว่าแม้จะหมายถึงการที่ฉันต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในเรือนจำ ฉันก็จะไม่มีวันยอมจำนนต่อซาตาน ฉันจะยืนหยัดเป็นพยานและทำให้ซาตานขายหน้า และแล้วในวันที่ 6 ธันวาคม ปี ค.ศ. 2005 ฉันก็ได้รับการปล่อยตัว อันเป็นการจบสิ้นชีวิตเรือนจำที่เหมือนนรกนั่นลง
หลังจากได้รับประสบการณ์กับการจับกุมและข่มเหงนี้ แม้ว่าเนื้อหนังของฉันได้สู้ทนความยากลำบากมาบ้าง แต่ฉันก็ได้พัฒนาวิจารณญาณและความรู้ความเข้าใจเชิงลึกขึ้นมา และได้เห็นอย่างแท้จริงว่า รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นร่างจำแลงของมารซาตาน เป็นคณะฆาตกรที่จะฆ่าผู้คนโดยไม่กะพริบตา แต่ฉันก็ยังได้มาเข้าใจฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดและพระปัญญาของพระเจ้า รวมถึงความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ของพระองค์อีกด้วยเช่นกัน ฉันได้มาซาบซึ้งในเจตนารมย์ที่ดีของพระเจ้าในการช่วยฉันให้รอด และการทรงดูแลและการทรงอารักขาของพระองค์ที่มีต่อฉัน นั่นจึงเป็นการเปิดโอกาสให้ฉันได้เอาชนะซาตานไปทีละขั้นในระหว่างความอำมหิตของซาตาน และยืนหยัดในคำพยานของฉัน จากวันนี้เป็นต้นไป ฉันปรารถนาที่จะถวายตัวตนทั้งหมดทั้งสิ้นของฉันแด่พระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์ และฉันจะติดตามพระเจ้าอย่างองอาจ จนพระองค์อาจจะได้รับฉันไว้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถเป็นได้
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย Li Jie, สหรัฐอเมริกา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระเจ้าทรงพระราชกิจในบุคคลทุกๆ คน และไม่สำคัญว่าวิธีการของพระองค์คือสิ่งใด ผู้คน...
โดย ต่งเอิน ประเทศฝรั่งเศส ฉันมาเป็นผู้นำคริสตจักรในปี 2019 ฉันทำตามใจ และไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ และไม่ได้จัดวางคนให้เหมาะสมกันงาน...
โดย เซียวต้าน, ประเทศจีน เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ฉันรับผิดชอบงานให้น้ำของคริสตจักร งานของเราได้รับผลกระทบจากการขาดผู้ให้น้ำ...
โดย เฉินหย่วน ประเทศจีน เดือนกันยายน ปี 2018 ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ฉันมีความสุขมากเลยตอนนั้น ฉันรู้สึกว่า ที่เป็นอย่างนี้...