หนึ่งตัวเลือกอันเจ็บปวด
ฉันยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ใน ค.ศ. 1999 และไม่นานฉันก็ได้เริ่มทำหน้าที่ในฐานะผู้นำ ฉันได้รับประสบการณ์การจับกุมครั้งแรกเมื่อธันวาคม ค.ศ. 2000 มันเป็นช่วงกลางวัน ฉันกำลังป้อนอาหารเที่ยงลูกทั้งสองคนอยู่ที่บ้าน มีเจ้าหน้าที่ห้าคนบุกเข้ามาในบ้าน และเริ่มรื้อค้นไปทั่ว เป็นการค้นโดยไม่ได้แสดงเอกสารใดๆ เลย เด็กๆ มาคว้าจับเสื้อผ้าฉันไว้ด้วยความกลัว และฉันรู้สึกได้ว่ามือของลูกชายฉันสั่น เขาอายุแค่หกขวบเท่านั้น เมื่อพวกเขาพบพระคัมภีร์และบันทึกการเฝ้าเดี่ยวที่ฉันเขียนไว้ พวกเขาก็ตัดสินใจพาฉันออกไป ในขณะที่พวกเขากำลังดึงฉันออกไป ลูกๆ ของฉันก็ร้องไห้และตะโกนว่า “แม่! อย่าไปนะ!” ฉันได้หันกลับไปมองลูกๆ เป็นครั้งสุดท้ายตอนที่พวกเขาปิดประตู จู่ๆ น้ำตาก็เริ่มไหลอาบหน้าฉัน เพราะฉันไม่รู้ว่าฉันจะได้กลับไปเจอพวกเขาอีกครั้งหรือเปล่า พวกเขาพาฉันตรงไปที่ห้องสอบสวนของสำนักงานความมั่นคงสาธารณะ พวกเขาใส่กุญแจมือฉันไว้กับเก้าอี้เหล็ก มีคนหลายคนอยู่ที่นั่น พวกเขาจ้องมาที่ฉันอย่างดุร้าย ฉันกลัวมาก และฉับพลันฉันก็เริ่มอธิษฐานต่อพระเจ้าไม่หยุด ฉันอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ข้าพระองค์ไม่ทราบว่าตำรวจเหล่านี้จะทรมานข้าพระองค์อย่างไร และข้าพระองค์ก็มีวุฒิภาวะน้อยนิด ข้าแต่พระเจ้า ขอได้โปรดทรงประทานความเชื่อแก่ข้าพระองค์ เพื่อให้ข้าพระองค์สามารถยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระองค์ได้ด้วยเถิด” ในขณะนั้น พระวจนะจากพระเจ้าเหล่านี้ก็ผุดขึ้นในความคิดฉันว่า พระเจ้าตรัสว่า “บัดนี้เป็นเวลาที่เราจะทดสอบเจ้า เจ้าจะมอบความรักภักดีแก่เราหรือไม่? เจ้าสามารถติดตามเราอย่างรักภักดีไปจนสุดทางได้หรือไม่? จงอย่ากลัวเลย ด้วยการสนับสนุนของเรา ใครเล่าจะสามารถขวางกั้นถนนสายนี้ได้?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 10) พระวจนะของพระเจ้าได้ให้ความเชื่อแก่ฉัน และเมื่อคิดว่าพระเจ้าทรงสนับสนุนฉันอย่างไร ฉันก็รู้สึกกลัวน้อยลง ไม่ว่าตำรวจจะโหดร้ายแค่ไหน มันก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และไม่ว่าพวกเขาจะทรมานฉันอย่างไร ฉันก็ตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่เป็นยูดาส ฉันสาบานว่าฉันจะยืนหยัดเป็นพยานให้แก่พระเจ้า!
หลังจากนั้น หนึ่งในพวกเจ้าหน้าที่ก็เริ่มการซักถาม เขาพูดว่า “ใครเป็นคนเปลี่ยนให้แกเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์? ผู้นำของแกเป็นใคร? ของถวายของคริสตจักรถูกเก็บไว้ที่ไหน?” ฉันบอกไปว่าฉันไม่รู้เรื่อง เขาเดินไปเดินมาข้างหน้าฉัน พลางจ้องฉันอย่างชั่วร้ายและพูดว่า “แกไม่ยอมพูดหรือ หือ? ฉันจะทำให้แกเปิดปากเอง!” ขณะที่พูด เขาก็ม้วนนิตยสารเล่มหนึ่ง แล้วฉันก็หลับตาลง เตรียมพร้อมที่จะถูกตี ในตอนนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงผู้อำนวยการกองพลความมั่นคงแห่งชาติพูดว่า “วันนี้เราพบบ้านของแก เพราะเรามีหลักฐานเรื่องความเชื่อของแกอยู่แล้ว ต่อให้แกไม่พูดอะไร เราก็สามารถทำให้แกถูกตัดสินว่ามีความผิดได้ แต่ถ้าแกบอกเรื่องที่แกรู้กับเรา เราก็จะปล่อยแกกลับบ้าน” เขายังบอกด้วยว่า “ลูกๆ ของแกยังเล็กนัก—คงแย่น่าดูถ้าพวกเขาไม่มีแม่คอยดูแล ถ้าครูและพวกเพื่อนร่วมชั้นรู้ว่าแม่ของพวกเขาติดคุก พวกเขาก็จะถูกล้อและถูกดูถูก นั่นเป็นอันตรายต่อจิตใจของพวกเขามากใช่ไหมล่ะ?” จากนั้นเขาก็ถามฉันว่า “แกจะเผชิญหน้ากับเรื่องนั้นไหวเหรอ? แกคงไม่ปฏิเสธลูกๆ ของแกเพื่อศาสนาของแกหรอก ใช่หรือเปล่า?” พอได้ยินเขาพูดแบบนั้น ทันใดนั้นใบหน้าที่หวาดกลัวของลูกๆ ก็ผุดขึ้นในใจฉัน และทำให้ฉันวิตกกังวลขึ้นมาทันที ฉันนึกถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้น และสงสัยว่ามันจะทิ้งบาดแผลแบบใดให้กับพวกเขาบ้าง ถ้าฉันถูกตัดสินลงโทษ ใครจะดูแลพวกเขา? โดยเฉพาะลูกชายของฉัน ที่มักจะเจ็บป่วยอยู่บ่อยๆ ถ้าไม่มีแม่คอยดูแล เขาจะทำอย่างไร? พวกเขาจะรับมือกับมันอย่างไร เวลาที่ถูกครูและเพื่อนร่วมชั้นล้อและดูถูก? พอคิดถึงเรื่องพวกนี้ น้ำตาฉันก็ไหลไม่หยุด และฉันก็รีบอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ข้าพระองค์เป็นห่วงลูกๆ และรู้สึกเหมือนประสบกับหายนะ ขอได้โปรดทรงปกป้องหัวใจของข้าพระองค์ เพื่อให้ข้าพระองค์ได้สงบลง ยืนหยัดเป็นพยาน และไม่ทรยศต่อพระองค์ด้วยเถิด”
จากนั้นฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้ พระเจ้าตรัสว่า “เหตุใดเจ้าจึงไม่วางใจฝากพวกเขาไว้ในมือของเราเล่า? เจ้าไม่มีความเชื่อในเราเพียงพอหรอกหรือ? หรือเป็นเพราะเจ้ารู้สึกกลัวว่าเราจะลงมือจัดการเตรียมการที่ไม่เหมาะสมกับเจ้า? เหตุใดเจ้าจึงกังวลเกี่ยวกับครอบครัวแห่งเนื้อหนังของเจ้าอยู่เสมอ? เจ้าคะนึงหาผู้เป็นที่รักทั้งหลายของเจ้าอยู่เสมอ! เรามีที่สักแห่งอยู่ในหัวใจของเจ้าบ้างไหม?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 59) พระวจนะของพระเจ้าทำให้หัวใจของฉันสว่างไสวขึ้นมาทันที พระเจ้าคือผู้ทรงสร้าง และพระองค์ทรงตัดสินชะตากรรมของทุกคน สิ่งใดก็ตามที่จะเกิดขึ้นกับเด็กๆ ในอนาคต ล้วนอยู่ในการดูแลของพระเจ้า และความเป็นห่วงของฉันนั้นไร้ประโยชน์ ฉันต้องมีความเชื่อในพระเจ้า พึ่งพาพระเจ้า และมอบพวกเขาให้แก่พระองค์ เมื่อคิดดังนี้ ฉันก็ไม่รู้สึกกังวลเรื่องพวกเขาอีกต่อไป หลังจากนั้นฉันก็คิดว่า ความเชื่อของฉันไม่ได้ละเมิดกฎหมายใดๆ ฉันเพียงแค่อ่านพระวจนะของพระเจ้า ชุมนุม แบ่งปันข่าวประเสริญ ตำรวจกักตัวฉันไว้อย่างผิดกฎหมาย แล้วได้ทำลายชีวิตครอบครัวอันปกติของฉัน การกล่าวโทษความเชื่อของฉันสำหรับการที่ไม่ได้ดูแลลูกๆ เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามเลยไม่ใช่หรือ? เมื่อความคิดนั้นปรากฏขึ้น ฉันจึงสวนกลับไปที่พวกเขาว่า “มันเป็นเพราะศาสนาของฉัน หรือเป็นเพราะพวกคุณขังฉันไว้ที่นี่กันแน่? การเชื่อในพระเจ้าไม่ได้ผิดกฎหมาย เราแค่อ่านพระวจนะของพระเจ้า และพยายามเป็นคนดี แล้วทำไมคุณถึงจับกุมผู้เชื่ออยู่เรื่อย?” พอฉันพูดแบบนั้น พวกเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น แล้วเจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็พูดว่า “ช่างเป็นคำถามที่ไร้เดียงสา ถ้าทุกคนเชื่อในพระเจ้า แล้วใครจะฟังพรรคคอมมิวนิสต์จีนกันล่ะ? แล้วพรรคจะชี้นำใครได้? เราถึงปล่อยให้คุณเชื่อไม่ได้ และพวกผู้เชื่อจะต้องถูกจับกุม!” เมื่อได้ยินเขาอธิบายแบบนี้ฉันก็รู้สึกเดือดดาล มันทำให้ฉันนึกถึงบางสิ่งที่พระเจ้าเคยตรัสไว้ว่า “ในสังคมมืดเช่นสังคมแห่งนี้ ที่ซึ่งพวกปีศาจไร้ความปรานีและไร้มนุษยธรรม ราชาแห่งพวกมารที่ฆ่าผู้คนโดยไม่แสดงความรู้สึกใดจะสามารถทนยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงดีงาม ทรงเมตตาและยังทรงบริสุทธิ์อีกด้วยได้อย่างไร? มันจะสามารถปรบมือและแซ่ซ้องการเสด็จมาถึงของพระเจ้าได้อย่างไร? ข้ารับใช้พวกนี้! พวกมันตอบแทนความเมตตาด้วยความเกลียดชัง พวกมันได้ดูถูกเหยียดหยามพระเจ้ามานานแล้ว พวกมันหยามเหยียดพระเจ้า พวกมันป่าเถื่อนสุดขีด พวกมันไม่มีการคำนึงถึงพระเจ้าแม้แต่น้อย พวกมันจี้ปล้นและช่วงชิง พวกมันได้สูญเสียมโนธรรมทั้งหมด พวกมันต่อต้านมโนธรรมทั้งหมด และพวกมันทดลองผู้บริสุทธิ์ใจให้เข้าสู่ความสิ้นสำนึกรับรู้ เหล่าบรรพบุรุษแต่โบราณกาลหรือ? บรรดาผู้นำผู้เป็นที่รักหรือ? พวกเขาทั้งหมดต่อต้านพระเจ้า! การก้าวก่ายของพวกเขาได้ทำให้ทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์อยู่ในสภาวะแห่งความมืดและความวุ่นวาย! เสรีภาพทางศาสนาหรือ? สิทธิและผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองทั้งหลายหรือ? สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดเป็นเพทุบายเพื่อปิดบังบาป!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8)) ด้วยพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เห็นไปถึงแก่นแท้ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน พวกนั้นช่างวิปลาสและต่อต้านสวรรค์ พระเจ้าทรงสร้างมนุษยชาติ ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งไว้อย่างชัดเจน แล้วก็เป็นพระเจ้าที่ดูแลและค้ำจุนหมู่มวลมนุษย์ทั้งหมด การนมัสการพระเจ้าคือความเป็นธรรมชาติและความถูกต้อง แต่พรรคคอมมิวนิสต์ไม่ปล่อยให้ผู้คนเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้า และพวกเขาส่งเสริมอเทวนิยมและวิวัฒนาการเพื่อชักนำผู้คนไปในทางที่ผิด พวกเขาถึงกับอ้างอย่างหน้าไม่อายว่าไม่มีพระเจ้าในโลกนี้อย่างแน่นอน และว่าความสุขของผู้คนล้วนมาจากพรรคทั้งสิ้น พวกเขาอยากให้ผู้คนสำนึกในบุญคุณอย่างสุดซึ้ง ให้ฟังและเชื่อฟังพวกเขา พรรคนั้นช่างชั่วร้ายและน่ารังเกียจอย่างน่าเหลือเชื่อ! พระเจ้าทรงมายังโลกเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดด้วยพระองค์เอง แสดงพระวจนะนับล้านๆ คำ ดังนั้นพวกนั้นจึงกลัวเป็นที่สุด ว่าผู้คนจะเข้าใจความจริง และเห็นว่าพรรคเป็นอย่างไรหลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาจะไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของมันอีกต่อไป แต่จะหันไปหาพระเจ้า นั่นจึงเป็นเหตุผลที่พวกเขาต้องการจับกุมคริสเตียนอย่างมาก หวังอย่างสูญเปล่าว่าจะกวาดล้างพระราชกิจของพระเจ้าและควบคุมผู้คนตลอดไป ครั้งหนึ่งฉันเคยได้รับประสบการณ์การข่มเหงของมันด้วยตัวเอง ฉันได้เห็นแก่นแท้ปีศาจแห่งความเกลียดชังความจริงที่เป็นศัตรูของพระเจ้า และได้มาดูหมิ่นฝูงปีศาจอันชั่วร้ายที่ต่อต้านพระเจ้านี้ ฉันตั้งปณิธานว่าจะติดตามพระเจ้าอย่างมั่นคงและยืนหยัดเป็นพยาน ไม่ว่าฉันจะต้องทนทุกข์แค่ไหน
พวกเขาจบลงที่ การกล่าวหาฉันว่าบ่อนทำลายการบังคับใช้กฎหมายและทำให้ระเบียบสังคมหยุดชะงัก แล้วก็กักตัวฉันเอาไว้ 18 วัน ในช่วงเวลานี้ พวกเขาพยายามให้ผู้คนมาชี้ตัวว่าฉันเป็นผู้นำคริสตจักร และให้สามีฉันมาที่ศูนย์กักกัน เพื่อบอกให้ฉันยอมทิ้งความเชื่อของฉัน พระวจนะของพระเจ้านำฉันให้มองเพทุบายของซาตานได้ทะลุปรุโปร่ง ฉันจึงไม่ตกหลุมพราง ต่อมา สามีฉันก็จ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชาเพื่อประกันตัวฉันออกมา วันที่ฉันได้รับการปล่อยตัว ตำรวจคนหนึ่งพูดว่า “ดูจากท่าทีปัจจุบันของคุณ คุณจะยังคงเชื่อต่อไปอีกแน่นอน เราจะจับตาดูคุณ และเราจะพาคุณกลับมาที่นี่ทันทีที่เราพบว่าคุณเข้าร่วมการชุมนุมหรือแบ่งปันข่าวประเสริฐ!” เพื่อให้ฉันไม่ถูกจับกุมและสามารถปฏิบัติความเชื่อและทำหน้าที่ของฉันได้ตามปกติ ฉันย้ายบ้านไปเรื่อยๆ ในตอนนั้นสามีฉันเป็นรองหัวหน้าเขตส่วนท้องถิ่น และเขาเสียโอกาสในการเลื่อนตำแหน่ง ตั้งแต่ฉันถูกจับด้วยเรื่องความเชื่อของฉัน จากนั้นในเดือนเมษายน ค.ศ. 2007 เย็นวันหนึ่งเขากลับมาที่บ้านแล้วพูดกับฉัน…เขาพูดว่า “เร็วๆ นี้ฝ่ายบริหารในเมืองบางคนจะได้เลื่อนตำแหน่ง และครั้งนี้ผมไม่ยอมแน่ เป็นเพราะความเชื่อของคุณ ผมถึงไม่ผ่านการตรวจสอบประวัติทางการเมืองในสองสามครั้งที่ผ่านมาที่ผมมีโอกาส ผมบอกกับผู้นำของผมแล้วว่าครั้งนี้ผมอยากจะลงสนามด้วย และเขาก็บอกว่าเขาจะแนะนำผมให้ ตราบเท่าที่คุณยอมละทิ้งศาสนาของคุณ คุณแค่ต้องหยุดเชื่อเท่านั้น เพื่อให้เรามีชีวิตที่ดี และให้ลูกๆ ของเรามีบ้านที่มั่นคงได้ ถ้าคุณยืนกรานจะเชื่อต่อไป เราก็ต้องหย่ากัน ผมจะไม่ยอมติดร่างแหอีกแล้ว ลองไปคิดดูแล้วกัน!” จากนั้นเขาก็เดินเข้าห้องอื่นไป การได้ยินที่เขาพูดทั้งหมดนี้ ในตอนนั้นฉันรู้สึกเจ็บปวดจริงๆ เขาเคยดีกับฉันมาตลอด เรามีลูกน้อยสองคนที่น่ารักและฉลาด เขามีงาน ฉันมีธุรกิจ และเราก็มีชีวิตที่มีความสุขจริงๆ ครอบครัวอันแสนวิเศษของเราถูกฉีกเป็นชิ้นๆ เพราะการข่มเหงจากรัฐบาลจีน ส่วนเรื่องการหย่า ฉันไม่รู้ว่าจะผ่านไปได้อย่างไรหรือจะทำอย่างไรกับลูกๆ หรือมันจะทำร้ายพวกเขามากแค่ไหน ความคิดเหล่านั้นทำให้ฉันรู้สึกแย่มาก ฉันรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ หมดหนทางและเจ็บปวด ฉันรู้สึกเหมือนหัวใจถูกฉีกออกเป็นสองเสี่ยง ฉันอธิบายไม่ได้ด้วยซ้ำ ฉันรีบอธิษฐานต่อพระเจ้า กล่าวว่า “พระเจ้า ข้าฯ ทิ้งพระองค์ไม่ได้ แต่ข้าพระองค์ก็ปล่อยบ้าน สามี และลูกๆ ของข้าพระองค์ไปไม่ได้ ข้าพระองค์ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร จะเลือกอย่างไรดี” ฉันอธิษฐานซ้ำแล้วซ้ำอีก “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ควรทำอย่างไรดี? ขอได้โปรดทรงนำให้ข้าพระองค์ได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ด้วยเถิด”
จากนั้นฉันก็นึกถึงบทตอนนี้ พระเจ้าตรัสว่า “ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างสามีที่เชื่อกับภรรยาที่ไม่เชื่อ และไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างลูกๆ ที่เชื่อกับบิดามารดาที่ไม่เชื่อ กล่าวคือ ผู้คนสองประเภทนี้ไม่สามารถเข้ากันได้โดยสิ้นเชิง ก่อนที่จะเข้าสู่การหยุดพัก คนเรามีญาติพี่น้องทางกายภาพ แต่ทันทีที่คนเราเข้าสู่การหยุดพัก เขาจะไม่มีญาติพี่น้องทางกายภาพให้พูดถึงอีกต่อไป” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน) ฉันคิดผ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้วก็ได้ตระหนักว่า คนที่มีความเชื่อและคนที่ปราศจากความเชื่อนั้น โดยแก่นแท้แล้วเป็นคนสองประเภทที่แตกต่างกัน พวกเขามีทัศนคติเรื่องชีวิตและค่านิยมที่แตกต่างกัน ฉันอยู่บนเส้นทางแห่งความเชื่อที่ถูกต้อง ของการไล่ตามเสาะหาความจริง และสามีของฉันก็อยู่บนเส้นทางของการไต่ลำดับขั้นและหาเงิน ทำงานเพื่อไปสู่การเลื่อนตำแหน่ง เขาไม่สนใจชีวิตแต่งงานหลายต่อหลายปีและความรู้สึกของลูกๆ เรา ด้วยการเลือกการหย่าแทน นั่นเป็นเพราะในหัวใจของเขา สถานะและอนาคตของเขามีความสำคัญต่อเขามากกว่าฉันและลูกๆ มาตั้งนานแล้ว ถึงแม้เขาจะอ้างว่า เขาต้องการให้ลูกๆ มีบ้านที่มั่นคง และมีชีวิตที่มีความสุข นั่นเป็นเพียงภาพลวงตา เขาดีกับฉันเพราะฉันไม่ได้รุกล้ำผลประโยชน์ส่วนตัวของเขา แต่ตอนนี้ ความเชื่อของฉันและการจับกุมนั้นส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงานของเขา มันคืออุปสรรคต่อการเลื่อนตำแหน่งและการหาเงินได้มากขึ้น ดังนั้นเขาจึงต้องการที่จะหย่า พอฉันคิดแบบนั้น มันดูเหมือนเย็นชาจริงๆ และฉันได้เห็นว่าไม่มีความเสน่หาหรือความรักที่แท้จริงระหว่างมนุษย์ มีเพียงแค่เล่ห์ลวงและการแสวงหาประโยชน์ ที่จริงแล้ว สามีของฉันรู้เป็นอย่างดีว่าพรรคคอมมิวนิสต์นั้นชั่วร้ายและเผด็จการ แต่เขาก็ยังคงเข้าข้างมัน บอกให้ฉันละทิ้งความเชื่อของฉัน ครั้งนี้เขาใช้การหย่ามากดดันฉัน เรามีทัศนคติที่แตกต่างกัน และอยู่บนเส้นทางที่แตกต่างกัน และต่อให้เราอยู่ด้วยกันก็คงจะไม่มีความสุข เมื่อตระหนักได้เช่นนี้ ฉันก็รู้ว่าต้องทำอย่างไร เราไปที่สำนักงานกิจการพลเรือนในเช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อจัดการเอกสารการหย่าของเรา และระหว่างทางเขาพูดว่า “คุณรู้ไหม ผมไม่อยากหย่าเลย แต่มันไม่มีทางเลือกอื่น ดูแลตัวเองและลูกทั้งสองคนให้ดีนะ” พอได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ทำให้ฉันน้ำตารื้นขึ้นมาทันที ฉันนึกถึงความยากลำบาก การล้อเลียน และการเลือกปฏิบัติทั้งหมด ที่ฉันจะต้องเผชิญหลังจากการหย่า แล้วความเจ็บปวดก็เข้ามาเกาะกินฉัน ฉันรีบกล่าวอธิษฐานโดยเร็ว ขอให้พระเจ้าทรงปกป้องหัวใจฉันไม่ให้หลงทางจากพระองค์ ให้สามารถยืนหยัดเป็นพยานได้ หลังจากนั้น ฉันก็นึกถึงบางส่วนของพระวจนะของพระองค์ที่ว่า “เจ้าต้องทนทุกข์กับความยากลำบากเพื่อความจริง เจ้าต้องมอบตัวเจ้าให้กับความจริง เจ้าต้องสู้ทนการดูหมิ่นเหยียดหยามเพื่อความจริง และเจ้าต้องก้าวผ่านความทุกข์มากขึ้นเพื่อที่จะได้รับความจริงมากขึ้น นี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำ เจ้าต้องไม่โยนความจริงทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ชีวิตครอบครัวอันสงบสุข และเจ้าจะต้องไม่สูญสิ้นศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์สุจริตของชีวิตเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีชั่วครู่ชั่วยาม เจ้าควรไล่ตามเสาะหาทั้งหมดที่ดีงามและงดงาม และเจ้าควรไล่ตามเสาะหาเส้นทางในชีวิตที่เปี่ยมความหมายมากขึ้น หากเจ้าดำเนินชีวิตที่ช่างหยาบช้าสามานย์เช่นนั้น และไม่เสาะหาวัตถุประสงค์ใดๆ เจ้าไม่ได้ทิ้งชีวิตไปอย่างสูญเปล่าหรอกหรือ? เจ้าสามารถได้รับอะไรบ้างจากชีวิตเช่นนั้น? เจ้าควรละทิ้งความชื่นชมยินดีทั้งหมดของเนื้อหนังเพื่อเห็นแก่ความจริงหนึ่งประการ และไม่ควรโยนความจริงทั้งหมดทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีเพียงเล็กน้อย ผู้คนเช่นนี้ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตหรือศักดิ์ศรีเลย การดำรงอยู่ของพวกเขาช่างปราศจากความหมาย!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา) ฉันเห็นจากพระวจนะของพระเจ้าว่า ไม่ว่าใครคนใดจะมีชีวิตในเนื้อหนังได้ดีสักแค่ไหน ไม่ว่าผู้อื่นจะอิจฉาและชื่นชมพวกเขามากเพียงไร สิ่งเหล่านั้นก็ไม่มีความหมายใดๆ มีเพียงการไล่ตามเสาะหาความจริงและการทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเท่านั้น ที่จะสามารถได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า เพียงเท่านี้ก็เป็นชีวิตที่มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีเกียรติ และเพียงเท่านี้ก็เป็นชีวิตที่มีคุณค่าและมีความหมาย พอคิดเช่นนี้ก็เป็นอิสระจริงๆ และฉันก็จัดการขั้นตอนการหย่าโดยไม่เคลือบแคลงใดๆ เป็นเพราะการนำของพระวจนะของพระเจ้า ฉันจึงเป็นอิสระจากโซ่ตรวนแห่งความเสน่หาของฉัน และสามารถเลือกทางเลือกที่ถูกต้องได้!
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2011 ในขณะที่กำลังชุมนุม ฉันก็ถูกจับกุมอีกครั้ง พวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่กลุ่มเดียวกันจากเมื่อทศวรรษก่อน พวกเขาเจอบัตรประจำตัวฉัน แล้วก็เรียกชื่อฉัน บอกว่า “สิบปีมานี้ เราเคยไปที่บ้านแกหลายครั้งแต่ไม่เจอแกเลย และตอนนี้เราก็ได้ของดีเข้าจริงๆ ครั้งนี้เราไม่ปล่อยแกไปแน่!” หลังจากพูดจบ พวกเขาก็ใส่กุญแจมือฉันและพาฉันขึ้นรถตำรวจ ภายในรถนั้น ฉันนึกถึงพี่น้องหญิงสามคนที่ถูกจับไปก่อนหน้านี้ และถูกตำรวจทรมานอย่างทารุณตลอดทั้งเดือน หนึ่งในนั้นได้รับความทนทุกข์ แขนซ้ายของเธอเสียหายถาวร เนื่องจากถูกแขวนห้อยไว้เป็นเวลานาน เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น ทำให้หัวใจฉันเต้นแรง ฉันกลัวว่าจะถูกทุบตีจนตายหรือไม่ก็พิการ ฉันเรียกหาพระเจ้าในหัวใจของฉันอย่างเร่งด่วน กล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า! พระองค์อนุญาตให้ข้าพระองค์ถูกจับอีกครั้งในวันนี้ และข้าพระองค์ก็ยินดีที่จะนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ แต่ ข้าแต่พระเจ้า วุฒิภาวะของข้าพระองค์นั้นน้อยนิด และเนื้อหนังของข้าพระองค์ก็อ่อนแอ ขอได้โปรดทรงปกป้องและนำข้าพระองค์ให้ผ่านประสบการณ์ครั้งนี้ด้วยเถิด ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ยินดีที่จะสละชีวิต และข้าพระองค์จะไม่มีวันเป็นยูดาสและขายพระองค์เด็ดขาด ข้าพระองค์จะยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระองค์” ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าขึ้นมาหลังจากอธิษฐาน พระเจ้าตรัสว่า “เจ้ารู้ว่าทุกอย่างในสิ่งแวดล้อมรอบตัวเจ้าล้วนมีอยู่เพราะการยอมอนุญาตของเรา ทุกอย่างเราเป็นคนวางแผนไว้ทั้งหมด จงมองให้ชัดเจนและทำให้เราพึงพอใจในสภาพแวดล้อมที่เรามอบให้เจ้า จงอย่ากลัว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จอมทัพจะอยู่กับเจ้าอย่างแน่นอน พระองค์ทรงอยู่เบื้องหลังพวกเจ้า และพระองค์คือโล่ของเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 26) จากจุดนี้ ฉันเห็นว่าชีวิตและความตายของฉันล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าทั้งหมด และพวกเขาก็ไม่สามารถเอาชีวิตฉันไปได้หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต ไม่ว่าซาตานจะป่าเถื่อนเพียงใด มันก็ยังคงอยู่ในการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า และมันไม่สามารถเหนือกว่าสิทธิอำนาจของพระเจ้าได้ ฉันนึกถึงโยบที่กำลังพบกับบททดสอบของเขา พระเจ้าจะไม่ทรงปล่อยให้ซาตานทำอันตรายกับชีวิตของโยบ และซาตานก็ไม่สามารถต่อต้านสิ่งที่พระเจ้าตรัสได้ สิ่งนี้นำความสงบมาในหัวใจของฉัน และให้ความเชื่อกับฉันในการเผชิญหน้ากับสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า ฉันสาบานต่อพระเจ้าว่า “ไม่ว่าข้าพระองค์จะทนทุกข์มากเพียงไรหรือเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ข้าพระองค์จะยืนหยัดเป็นพยานและติดตามพระองค์ตลอดไป!” ต่อมา หัวหน้าของกองพลความมั่นคงแห่งชาติก็เริ่มถามฉัน เขาพูดว่า “นี่เป็นกรณีวิกฤตครั้งสำคัญกับเมืองของเราในตอนนี้ คุณเคยถูกจับกุมครั้งหนึ่งใน ค.ศ. 2001 และมีคนรายงานว่าคุณเผยแผ่ข่าวประเสริฐใน ค.ศ. 2009 ความพยายามในการจับกุมคุณหลายครั้งไม่เป็นผล ครั้งนี้ เราได้ตัวคุณในจุดที่มีการชุมนุม ดังนั้นต่อให้คุณไม่พูดอะไร เราก็ยังทำให้คุณจำคุกไปเจ็ดถึงสิบปีได้ พอถูกตัดสินลงโทษเมื่อไร ลูกๆ ของคุณจะไม่ได้รับการยอมรับให้เข้าวิทยาลัย และพวกเขาจะไม่มีวันได้งานราชการ และพวกเขาก็จะถูกทุกคนด่าทอ เพราะมีแม่อย่างคุณ คุณจะต้องถูกตำหนิที่ทำลายอนาคตของลูกๆ คุณ พวกเขาจะเกลียดคุณไปตลอดชีวิต!” จากนั้นเขาก็พูดว่า “ต่อให้คุณไม่คิดถึงตัวเอง ก็นึกถึงอนาคตของลูกๆ บ้าง ถ้าคุณร่วมมือกับเรา และบอกเราเรื่องที่คุณรู้ บอกว่าใครเป็นผู้นำเหนือคุณ และให้เงินของคริสตจักรแก่เรา เราจะปล่อยคุณไป” พอได้ยินเขาพูดแบบนั้น ก็ทำให้ฉันรู้สึกขยะแขยงอย่างไม่น่าเชื่อ พรรคคอมมิวนิสต์จะไม่หยุดข่มเหงคริสเตียน กระทั่งไม่ให้ลูกๆ ของพวกเขาได้เข้าสู่มหาวิทยาลัย พวกนั้นใช้กลวิธีน่าขยะแขยงในการกีดกันลูกๆ ของฉันจากการศึกษา ผลักฉันให้ขายคริสตจักร หักหลังพระเจ้า แล้วจากนั้นก็อ้าง ว่าเป็นความเชื่อของฉันที่ทำลายโอกาสในอนาคตของพวกเขา มันตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงเลย! พรรคคอมมิวนิสต์ช่างชั่วร้ายอย่างเหลือเชื่อ! พวกนั้นจะไม่หยุดทำลายพระราชกิจของพระเจ้า และป้องกันไม่ให้ผู้คนหันไปหาพระเจ้า พวกนั้นน่ะปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ เมื่อตระหนักเช่นนี้ ฉันก็รู้ว่าไม่อาจตกหลุมพรางของพวกนั้นได้อย่างแน่นอน แต่ฉันจะต้องยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระเจ้า พวกนั้นถามฉันจนกระทั่งหลังตีสอง และเมื่อเห็นว่าฉันไม่พูด ก็ส่งฉันไปที่ศูนย์กักกัน เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดว่า “ครั้งนี้แกจะถูกตัดสินลงโทษแล้วก็ติดคุก!”
ที่ศูนย์กักกัน พวกนั้นขังฉันไว้กับพวกฆาตกร พวกลักลอบค้ามนุษย์ พวกโสเภณี แล้วก็พวกต้มตุ๋น ฉันรู้สึกทุกข์ระทมและซึมเศร้าจริงๆ ในนั้นทั้งมืดและชื้น แล้วก็มีกลิ่นเหม็นตลอดเวลา ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น โรคไขข้ออักเสบและโรคหัวใจรูมาติกของฉันก็อาการแย่ลงเรื่อยๆ และเจ็บปวดไปทุกข้อ ฉันต้องเฝ้ายามสองชั่วโมงทุกคืน หลังจากยืนไปสักพัก ฉันก็มีอาการใจสั่นและแน่นหน้าอก มันแย่มาก ฉันนึกถึงที่เจ้าหน้าที่พูดว่าฉันอาจโดนเจ็ดถึงสิบปี และฉันก็เริ่มคิดคำนวณ ว่าในเจ็ดปีมีทั้งหมดกี่วัน แล้วในสิบปีมีกี่วัน นั่นคงเป็นเวลาหลายพันวันและคืน ฉันจะผ่านเรื่องนั้นในขุมนรกแห่งความมืดมิดนี้ได้อย่างไร? ฉันจะมีชีวิตรอดเดินออกจากที่นี่หรือเปล่า? พอคิดเรื่องนี้ ฉันก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาที่ไหลอาบหน้าได้ และฉันก็รู้สึกว่าความมืดมิดเข้าครอบครองหัวใจฉัน ฉันตระหนักได้ว่าฉันไม่อยู่ในสภาวะที่ถูกต้อง ฉันจึงรีบกล่าวอธิษฐานโดยเร็ว ขอให้พระเจ้าทรงช่วยให้ฉันสงบเฉพาะพระพักตร์ และไม่หลงทางจากพระองค์ จากนั้นฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “ในโลกอันกว้างใหญ่นี้ ผู้ใดเล่าได้รับการตรวจดูโดยเราเป็นการส่วนตัวไปแล้ว? ผู้ใดเล่าได้ยินวจนะของวิญญาณของเราเป็นการส่วนตัวไปแล้ว? ผู้คนมากมายเหลือเกินคลำหาและสำรวจค้นในความมืด ผู้คนมากมายเหลือเกินอธิษฐานท่ามกลางความทุกข์ยาก ผู้คนมากมายเหลือเกินซึ่งทั้งหิวและหนาวเฝ้าดูในความหวังและผู้คนมากมายเหลือเกินถูกซาตานพันธนาการไว้ กระนั้นผู้คนมากมายก็ไม่รู้ว่าจะหันไปทางใด ผู้คนมากมายเหลือเกินทรยศเราท่ามกลางความสุขของพวกเขา ผู้คนมากมายเหลือเกินไม่สำนึกขอบคุณ และผู้คนมากมายเหลือเกินภักดีต่อกลอุบายอันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของซาตาน ผู้ใดเล่าท่ามกลางพวกเจ้าคือโยบ? ผู้ใดเล่าคือเปโตร? เหตุใดเราจึงได้พูดพาดพิงถึงโยบซ้ำๆ? เหตุใดเราจึงอ้างอิงถึงเปโตรหลายครั้งเหลือเกิน? พวกเจ้าได้เคยสืบให้แน่ใจแล้วหรือไม่ว่าความหวังของเราสำหรับพวกเจ้าคืออะไร? เจ้าควรใช้เวลามากขึ้นในการใคร่ครวญสิ่งต่างๆ เช่นนี้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 8) หลังจากไตร่ตรองเรื่องนี้ ฉันก็เข้าใจ ว่าพระเจ้าทรงเห็นชอบคนอย่างโยบและเปโตร เพราะพวกเขาสามารถยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระเจ้า ผ่านความยากลำบากและบททดสอบ ลองดูโยบ—ตอนที่เขาผ่านบททดสอบ ความมั่งคั่งและลูกๆ ของเขาถูกพรากไปจากเขา และร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยฝี เขายังคงสามารถสรรเสริญพระนามของพระเจ้าได้ เหยียดหยามซาตานได้ และเปโตรก็ถูกตรึงกางเขนเพื่อพระเจ้า เชื่อฟังจนตัวตาย เป็นพยานแก่พระเจ้า สำหรับฉันแล้ว ฉันพอใจกับการค้ำจุนจากพระวจนะของพระเจ้าเป็นอย่างมาก แต่ฉันกลับอยากจะหนีไปทันทีที่พบกับความทุกข์เพียงเล็กน้อย ฉันได้เห็นว่าฉันไม่มีความเชื่อหรือการเชื่อฟังที่แท้จริงเลย และฉันก็ไม่ยินดีที่จะสละชีวิตของฉันเพื่อยืนหยัดเป็นพยาน ฉันยังห่างไกลจากสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ ฉันยึดติดกับชีวิตของฉันมาก ฉันจะให้คำพยานแก่พระเจ้าได้อย่างไร? ฉันรู้สึกเสียใจและรู้สึกผิดกับเรื่องนี้จริงๆ และฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ข้าพระองค์พร้อมแล้วที่จะวางชีวิตและความตายไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ และข้าพระองค์จะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระองค์ ไม่ว่าข้าพระองค์จะถูกจำคุกสักกี่ปีหรือทนทุกข์สักเพียงใด ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์หวังที่จะยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระองค์และเหยียดหยามซาตาน” น่าประหลาดใจ หลังจากที่ฉันมอบถวายทุกอย่างแล้ว และไม่ถูกจำกัดโดยเนื้อหนังอีกต่อไป ในวันที่ 28 ของการถูกกักกัน ฉันก็ได้รับการปล่อยตัว ฉันมารู้ทีหลังว่าอดีตสามีของฉัน กลัวว่าการถูกจำคุกของฉันจะส่งผลกระทบต่อการรับเข้ามหาวิทยาลัยของลูกๆ ของเรา ได้ติดสินบนใครบางคนที่ไว้ใจได้ให้ปล่อยตัวฉัน ฉันมอบถวายคำขอบคุณต่อพระเจ้าในหัวใจอย่างเงียบๆ
อดีตสามีของฉันขับรถไปที่ศูนย์กักกันเพื่อพบกับฉันในวันปล่อยตัว เขาเห็นว่าหลังจากผ่านไปเพียงหนึ่งเดือน ฉันน้ำหนักลดลงมาก จนดูเหมือนคนละคน และเขาก็ถามฉันว่า “ผ่านไปแค่หนึ่งเดือนคุณผอมลงมาก ถ้าหลายปีคุณคงไม่รอดแน่ ครั้งนี้คุณคงจะล้มเลิกแล้วใช่ไหม?” เมื่อฉันไม่ตอบ เขาก็กดดันฉันต่อไปว่า “ตอบมาสิ คุณจะหยุดเชื่อแล้วใช่ไหม?” ฉันตระหนักว่านี่เป็นการต่อสู้แห่งโลกวิญญาณ และมันก็ถึงเวลาที่ฉันจะยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระเจ้า ฉันบอกกับเขาอย่างใจเย็นว่า “ฉันต้องเชื่อต่อไป! การมีความเชื่อคือสิ่งที่ถูกต้องและเป็นธรรมชาติ และฉันจะเชื่อตราบที่ฉันยังมีชีวิตอยู่” พอได้ยินฉันพูดแบบนี้ เขาก็ตบพวงมาลัยด้วยความโมโห ถอนหายใจ และส่ายหัว จากนั้นก็พูดโพล่งออกมาว่า “ผมต้องยกให้พระเจ้าของคุณจริงๆ นะ! พรรคพยายามทุกอย่างเพื่อเอาชนะใจผู้คน แต่ก็ไม่เคยทำได้เลย ในขณะที่ผู้เชื่ออย่างคุณ ยืนกรานที่จะเชื่อโดยไม่ได้รับสิ่งของใดๆ ตอบแทน และกระทั่งหลังจากการจับกุมหลายครั้งก็ตาม พระเจ้าของคุณนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ!” พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ ฉันตื้นตันใจจริงๆ และฉันก็ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงนำให้ฉันยืนหยัดเป็นพยาน ทำให้ซาตานอับอาย ขอบคุณพระเจ้า!
ไม่กี่วันหลังจากการปล่อยตัว ลูกชายฉันกลับมาจากโรงเรียน และฉันได้ทำเมนูไก่กับเห็ดจานโปรดของเขา หลังจากกินเสร็จ เขาก็พูดกับฉันอย่างจริงจัง เขาพูดว่า “แม่ครับ วันนี้แม่ต้องเลือกแล้ว ถ้าแม่อยากให้ผมเป็นลูกของแม่ต่อ แม่ต้องยอมล้มเลิกความเชื่อของแม่ ถ้าแม่ยังนับถือศาสนา ผมจะออกจากบ้าน และแม่จะไม่ได้เจอผมอีก” ฉันตกตะลึงไปเลย เขาอยู่ใกล้ชิดกับฉันมาตลอด และเขาไม่เคยต่อต้านความเชื่อของฉันมาก่อน วันนั้นฉันไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขาพูดแบบนั้น อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนเขากลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับฉัน ฉันพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง ในตอนนั้นฉันเจ็บปวดจริงๆ และฉันรู้สึกว่าเส้นทางแห่งความเชื่อนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ยากจริงๆ และลุ่มๆ ดอนๆ ทุกขั้นตอนล้วนมีทางเลือก ในขณะนั้น ฉันรู้สึกว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ยากเกินไป ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่อาจไปจากพระองค์ได้ แต่ข้าพระองค์ไม่อยากสูญเสียลูกชายไป ข้าแต่พระเจ้า ขอได้โปรดทรงนำให้ข้าพระองค์ได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐาน ฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง พระเจ้าตรัสว่า “ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นการปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการแทรกแซงของมนุษย์ แต่หลังฉากนั้น ทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพึงต้องให้ผู้คนตั้งมั่นในคำพยานของพวกเขาต่อพระเจ้า เพื่อเป็นตัวอย่าง จงดูเมื่อโยบถูกทดสอบ กล่าวคือ หลังฉากนั้น ซาตานกำลังวางเดิมพันกับพระเจ้า และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับโยบนั้นคือความประพฤติของพวกมนุษย์และการแทรกแซงของพวกมนุษย์ เบื้องหลังทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในตัวพวกเจ้าคือเดิมพันของซาตานกับพระเจ้า—เบื้องหลังมันทั้งหมดคือการสู้รบ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง) พระวจนะของพระเจ้าช่วยให้ฉันได้เห็นอย่างชัดเจน ว่าฉันกำลังเผชิญหน้ากับการต่อสู้ทางวิญญาณอีกครั้งหนึ่ง มันดูเหมือนว่าจะเป็นลูกชายฉันที่ขอให้ฉันเลือก แต่เบื้องหลังนั้นคือซาตานที่กำลังทดลองและโจมตีฉัน ฉันยังรู้สึกด้วยว่าครั้งนี้ พระเจ้าทรงกำลังรอการตัดสินใจของฉันอยู่ พระเจ้าทรงอยากเห็นว่าฉันจะเลือกลูกชายด้วยความเสน่หาในเนื้อหนัง หรือจะเลือกพระองค์ ฉันไม่อยากทำให้พระองค์ต้องทรงผิดหวัง และฉันรู้ว่าฉันต้องยืนหยัดเป็นพยานเพื่อทำให้ซาตานอับอาย ฉันจึงบอกกับลูกชายฉันว่า “แม่ไม่สามารถแยกจากพระเจ้าได้ การเลือกไปจากพระเจ้าก็เหมือนกับลูกตัดสินใจไปจากแม่วันนี้ มันคงเป็นการไร้จิตสำนึก และเป็นการทำให้พระเจ้าทรงผิดหวัง แม่จะติดตามพระเจ้าตลอดไป นั่นคือสิ่งที่แม่เลือก!” เมื่อได้ยินฉันพูดแบบนี้ เขาก็จากไปทั้งน้ำตา ฉันเองก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน แต่ฉันรู้ว่าฉันได้เลือกทางที่ถูกต้อง
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา เขาก็กลับมา แล้วก็บอกกับฉันว่า “แม่ครับ ผมคิดผิดเอง ผมไม่ควรขอให้แม่เลือกแบบนั้นเลย พ่อบอกผมว่า ตำรวจบอกให้พ่อคอยจับตาดูแม่ไว้ และให้แน่ใจว่าแม่ได้ละทิ้งศาสนาไป เนื่องจากแม่เคยถูกจับกุมมาแล้วสองครั้ง ถ้าหากเกิดขึ้นอีกครั้ง แม่จะไม่ได้ออกมา แล้วผมก็จะไม่ได้เจอแม่อีกต่อไป ผมอยากใช้วิธีนั้นทำให้แม่ละทิ้งความเชื่อของแม่” พอได้ยินเขาอธิบายแบบนี้ ก็ทำให้ฉันเต็มไปด้วยความขยะแขยงพวกปีศาจพรรคคอมมิวนิสต์ที่ต่อต้านพระเจ้าพวกนั้น ตลอดหลายปีของความเชื่อของฉัน ฉันถูกกักขังและจำคุกอย่างผิดกฎหมายหลายครั้ง ทำลายครอบครัวของฉัน และลากสามีกับลูกๆ ฉันเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทั้งหมดนี้คือฝีมือของพรรค ฉันตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่ว่าจะละทิ้งมัน และติดตามพระเจ้าด้วยความตั้งใจอันแข็งแกร่ง!
ด้วยการทดลองทั้งหมดเหล่านี้ พระวจนะของพระเจ้านำให้ฉันมองเพทุบายของซาตานได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทำให้ความเชื่อในพระเจ้าและปณิธานที่จะติดตามพระองค์ของฉันมีพลังมากขึ้น ฉันสามารถเห็นฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจแห่งพระวจนะของพระองค์ และได้เห็นว่าพระปัญญาของพระเจ้านั้นดำเนินการบนพื้นฐานของเพทุบายของซาตาน ไม่ว่าพรรคจะป่าเถื่อนและชั่วเพียงใด ก็ขวางทางกิจของพระเจ้าไม่ได้ พระเจ้าทรงอนุญาตในการกดขี่ของมัน ทรงใช้มันเพื่อสร้างกลุ่มของผู้ชนะ ฉันเห็นแล้วว่าพระเจ้าทรงเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์และทรงเปี่ยมปัญญาเพียงใด! ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ