การเชื่อพื้นฐานของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

วันที่ 31 เดือน 10 ปี 2019

(1) หลักการของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

หลักการของศาสนาคริสต์มีต้นกำเนิดมาจากพระคัมภีร์ และหลักการของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มีต้นกำเนิดมาจากความจริงทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงแสดงไว้ตั้งแต่เวลาแห่งการทรงสร้างในระหว่างพระราชกิจของยุคธรรมบัญญัติ ยุคพระคุณ และยุคแห่งราชอาณาจักร กล่าวคือ พันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ และพระคัมภีร์ของยุคแห่งราชอาณาจักร—พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์—ซึ่งองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมาของยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ได้ทรงแสดงไว้ เป็นการเชื่อพื้นฐานและหลักการของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พันธสัญญาเดิมบันทึกพระราชกิจของพระยาห์เวห์พระเจ้าในการตราธรรมบัญญัติและพระบัญญัติ และนำชีวิตของมนุษย์ในระหว่างยุคธรรมบัญญัติ พันธสัญญาใหม่บันทึกพระราชกิจแห่งการไถ่ที่องค์พระเยซูเจ้าทรงดำเนินการจนเสร็จสิ้นในระหว่างยุคพระคุณ และพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์เป็นความจริงทั้งหมดสำหรับการชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และความรอดของมวลมนุษย์ที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงแสดงไว้ในระหว่างยุคแห่งราชอาณาจักร รวมทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในระหว่างยุคสุดท้าย การเชื่อรากฐานของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นถ้อยดำรัสของพระเจ้าในระหว่างพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะ นั่นคือ ความจริงทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงแสดงไว้ในระหว่างพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะนี้ เหล่านี้คือการเชื่อพื้นฐานและหลักการของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

ศาสนาคริสต์ได้ถือกำเนิดจากพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าในยุคพระคุณ แต่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าที่ศาสนาคริสต์เชื่อนั้นได้ทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ในยุคพระคุณเท่านั้น องค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ได้ทรงถูกตรึงกางเขนและใช้เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ ซึ่งช่วยกู้มนุษย์จากเงื้อมมือของซาตานและปลดปล่อยเขาจากการกล่าวโทษและการแช่งด่าของธรรมบัญญัติ และมนุษย์เพียงแค่ต้องมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและสารภาพบาปของเขาและกลับใจเพื่อที่จะได้รับการอภัยบาปของเขาและชื่นชมพระคุณและพระพรอันมากมายที่พระเจ้าทรงมอบให้ นี่เป็นพระราชกิจแห่งการไถ่ที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงดำเนินการจนเสร็จสิ้น แม้ว่าบาปของมนุษย์จะได้รับการอภัยโดยการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า แต่มนุษย์ก็ไม่ได้ถูกปลดออกจากธรรมชาติบาปหนาของเขา เขายังคงถูกผูกมัดและควบคุมโดยธรรมชาตินั้น และอดไม่ได้ที่จะกระทำบาปและต้านทานพระเจ้าด้วยการเป็นคนโอหังและทะนง เพียรพยายามเพื่อชื่อเสียงและผลกำไร ขี้อิจฉาและชอบโต้เถียง โกหกและหลอกลวงผู้คน ติดตามกระแสนิยมอันชั่วร้ายของโลก และอื่นๆ มนุษย์ไม่ได้หลุดพ้นจากพันธนาการของบาปและกลายเป็นคนบริสุทธิ์ และด้วยเหตุนั้น องค์พระเยซูเจ้าจึงได้ทรงเผยพระวจนะไว้หลายครั้งว่าพระองค์จะเสด็จมาอีกครั้งเพื่อดำเนินพระราชกิจแห่งการพิพากษาของยุคสุดท้ายจนเสร็จสิ้น โดยตรัสว่า “เราไม่พิพากษาคนที่ได้ยินถ้อยคำของเราและไม่ทำตาม เพราะว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย(ยอห์น 12:47-48)เพราะว่าพระบิดาไม่ทรงพิพากษาใคร แต่ทรงมอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับพระบุตร…และทรงให้พระบุตรมีสิทธิอำนาจที่จะทำการพิพากษาเพราะพระองค์ทรงเป็นบุตรมนุษย์(ยอห์น 5:22-27) มีการเขียนไว้ในสาส์นฉบับแรกของเปโตร บทที่ 4 ข้อที่ 17 อีกด้วยว่า “เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า” พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย ทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา พระองค์ได้ทรงแสดงความจริงทั้งหมดเพื่อการชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์และความรอดของมนุษย์ ได้ทรงดำเนินพระราชกิจแห่งการพิพากษาจนเสร็จสิ้นโดยเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า และได้ทรงทำให้คำเผยพระวจนะของพระคัมภีร์สำเร็จลุล่วงอย่างเต็มเปี่ยม พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงไว้เป็น “ข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย(วิวรณ์ 2:7) ซึ่งถูกเผยวจนะไว้ในหนังสือวิวรณ์ และเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย พระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงทำเป็นช่วงระยะสุดท้ายของพระราชกิจแห่งความรอดของพระเจ้าสำหรับมวลมนุษย์ และเป็นช่วงระยะที่เป็นรากฐานและสำคัญยิ่งยวดที่สุดของพระราชกิจนั้นอีกด้วย หากมนุษย์ปรารถนาที่จะได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้าและเข้าไปสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ เขาต้องยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และในการนี้ ทำให้พระวจนะต่อไปนี้ขององค์พระเยซูเจ้าลุล่วง “เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด’(มัทธิว 25:6)นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา(วิวรณ์ 3:20) เฉพาะเมื่อมนุษย์ยอมรับและผ่านประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เท่านั้น เขาจึงสามารถรู้จักความศักดิ์สิทธิ์และความชอบธรรมของพระเจ้า รู้จักธาตุแท้ของการที่มนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามและความจริงของธาตุแท้นั้น กลับใจอย่างแท้จริงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ปลดปล่อยตัวเขาเองให้เป็นอิสระจากบาป กลายเป็นผู้หนึ่งที่เชื่อฟังพระเจ้าและนมัสการพระเจ้า และได้รับการรับไว้โดยพระเจ้า เมื่อนั้นเท่านั้นเขาจึงจะมีคุณสมบัติเหมาะสมพอที่จะเข้าไปสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า รับพระสัญญาและพระพรของพระเจ้าเป็นมรดก และได้รับบั้นปลายอันงดงาม

พระเจ้าได้ทรงเริ่มต้นพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดหลังจากการทรงสร้างโลกของพระองค์ และแผนการบริหารจัดการของพระองค์สำหรับความรอดของมนุษย์จะไม่สำเร็จสมบูรณ์จนกว่าพระองค์เสร็จสิ้นพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้าในระหว่างยุคสุดท้าย จากพระวจนะและความจริงทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงแสดงไว้ในพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะ พวกเราก็มีความสามารถอย่างเต็มเปี่ยมที่จะมองเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นพระราชกิจของพระเจ้าที่ทรงทำโดยใช้มนุษย์ในตอนแรกเริ่มในระหว่างยุคธรรมบัญญัติ หรือพระราชกิจของพระองค์ในระหว่างสองครั้งที่พระองค์ได้ทรงจุติเป็นมนุษย์ในยุคพระคุณและยุคแห่งราชอาณาจักรก็ตาม แต่ทั้งหมดนั้นเป็นถ้อยดำรัสและการแสดงความจริงของพระวิญญาณองค์เดียว ในเนื้อแท้แล้ว เป็นพระเจ้าองค์เดียวที่ตรัสและทรงพระราชกิจ เพราะฉะนั้น ความจริงทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงแสดงไว้ในระหว่างพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะของพระองค์—นั่นคือพระวจนะของพระเจ้าตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ และพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ตามที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย ได้ทรงแสดงไว้—ก่อร่างเป็นการเชื่อพื้นฐานและหลักการของคริสตจักรของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

(2) ว่าด้วยพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์

พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์เป็นถ้อยดำรัสส่วนพระองค์ของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย และเป็นความจริงทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงแสดงไว้เพื่อชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยมนุษย์ให้รอดในระหว่างพระราชกิจแห่งการพิพากษาของยุคสุดท้ายของพระองค์ ความจริงเหล่านี้เป็นการแสดงออกโดยตรงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ การเปิดเผยพระชนม์และเนื้อแท้ของพระเจ้า และการแสดงออกของพระอุปนิสัยของพระเจ้า และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น เหล่านั้นเป็นเพียงเส้นทางเดียวที่มนุษย์สามารถรู้จักพระเจ้าและได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอด พระวจะที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงแสดงไว้เป็นหลักการสูงสุดของการกระทำและการประพฤติของมนุษย์ และไม่มีคติพจน์ที่สูงกว่าสำหรับชีวิตของมนุษย์

บรรดาคริสตชนในคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อ่านพระวจนะที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงแสดงไว้ในพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ทุกวัน เช่นเดียวกันกับผู้เชื่อของศาสนาคริสต์อ่านพระคัมภีร์ คริสตชนทุกคนถือเอาพระวจนะของพระเจ้าเป็นการนำของชีวิตของพวกเขาและเป็นคติพจน์สูงสุดของชีวิตทั้งหมด ในยุคพระคุณ คริสตชนทุกคนอ่านพระคัมภีร์และฟังคำประกาศของพระคัมภีร์ การเปลี่ยนแปลงบางประการค่อยๆ เกิดขึ้นในพฤติกรรมของผู้คน และพวกเขากระทำบาปน้อยลงเรื่อยๆ ในทำนองเดียวกัน โดยผ่านทางการอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และการผ่านประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ บรรดาคริสตชนของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ค่อยๆ เข้าใจความจริงและหลุดพ้นจากพันธนาการของงบาป อุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขาได้รับการชำระให้สะอาดและเปลี่ยนแปลง พวกเขาไม่กระทำบาปและต้านทานพระเจ้าอีกต่อไป และกลายเป็นเชื่อฟังพระเจ้าอย่างแท้จริง ข้อเท็จจริงทั้งหลายพิสูจน์ว่าเฉพาะโดยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและโดยการปฏิบัติและการผ่านประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์จึงสามารถได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และเปลี่ยนสภาพได้ และมนุษย์จึงสามารถใช้ชีวิตตามภาพลักษณ์ของมนุษย์ที่จริงแท้ได้ เหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ พระวจนะของพระเจ้าที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ได้รับการแสดงไว้ในขณะที่พระเจ้าทรงพระราชกิจในยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ ส่วนพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์นั้นเป็นพระวจนะที่พระเจ้าได้ทรงแสดงไว้ในพระราชกิจของยุคสุดท้าย แหล่งที่มาของการทั้งสองนั้นมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และการทั้งสองนั้นเป็นการทรงแสดงออกของพระเจ้าองค์เดียว พระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทำให้คำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์ลุล่วงอย่างเต็มปี่ยมแล้ว ดังที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้อย่างไม่ผิดเพี้ยนว่า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น(ยอห์น 16:12-13) มีบันทึกไว้ในหนังสือวิวรณ์ด้วยเช่นกันว่า “ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย(วิวรณ์ 2:7)และในพระหัตถ์ขวาของพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น ข้าพเจ้าเห็นหนังสือม้วนหนึ่งซึ่งเขียนไว้ทั้งข้างในและข้างนอก และมีตราผนึกอยู่เจ็ดดวง … นี่แน่ะ สิงโตแห่งเผ่ายูดาห์ ซึ่งเป็นรากเหง้าของดาวิดทรงมีชัยชนะแล้ว พระองค์จึงทรงสามารถเปิดหนังสือและแกะตราทั้งเจ็ดดวงได้(วิวรณ์ 5:1, 5)

วันนี้พวกเราทั้งหมดได้เห็นข้อเท็จจริงประการหนึ่งแล้ว นั่นคือ พระวจนะทั้งหมดที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงแสดงไว้คือความจริง และพระวจนะเหล่านั้นมีสิทธิอำนาจและพลังอำนาจ—พระวจนะเหล่านั้นเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า ไม่มีใครสามารถปฏิเสธหรือเปลี่ยนแปลงการนี้ได้! พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์มีพร้อมไว้ให้โดยอิสระมานานแล้วบนอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้คนจากทุกประเทศและทุกดินแดน เพื่อแสวงหาจนพบและเจาะลึก ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าพระวจนะเหล่านั้นเป็นพระวจนะของพระเจ้า หรือว่าพระวจนะเหล่านั้นเป็นความจริง พระวจนะของพระเจ้ากำลังขับเคลื่อนมวลมนุษย์ทั้งปวงไปข้างหน้า ผู้คนได้เริ่มต้นตื่นขึ้นทีละเล็กทีละน้อยท่ามกลางพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขากำลังค่อยๆ ยอมรับความจริง รู้จักความจริง และได้รับการนำเข้าไปสู่ยุคแห่งราชอาณาจักรโดยพระเจ้า ยุคแห่งราชอาณาจักรเป็นยุคที่พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ปกครองโลก พระวจะของพระเจ้าทุกๆ คำจะสำเร็จและลุล่วง เช่นเดียวกันกับที่ผู้เชื่อในพระเจ้าทุกคนยอมรับรู้พระคัมภีร์ในวันนี้ ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าจะยอมรับรู้ในอนาคตอันใกล้ว่าพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์เป็นถ้อยดำรัสของพระเจ้าในยุคสุดท้าย วันนี้ พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์เป็นพื้นฐานของการเชื่อของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และแน่นอนว่าพื้นฐานนี้จะกลายเป็นรากฐานของการดำรงอยู่สำหรับมวลมนุษย์ทั้งปวงในยุคถัดไป

(3) ว่าด้วยพระนามของพระเจ้าและพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะของพระเจ้า

หลังจากถูกซาตานทำให้เขาเสื่อมทราม มนุษย์ก็ดำรงชีวิตภายใต้แดนครอบครองของซาตาน และความเสื่อมทรามของเขายิ่งลึกขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์ไม่สามารถปลดปล่อยตัวเขาเองให้เป็นอิสระจากพันธนาการของบาปได้ และทั้งหมดจำเป็นต้องได้ความรอดของพระเจ้า โดยสอดคล้องกับความจำเป็นของมนุษย์ที่เสื่อมทราม พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจสามช่วงระยะในยุคธรรมบัญญัติ ในยุคพระคุณ และในยุคแห่งราชอาณาจักร ในยุคธรรมบัญญัตินั้น พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจแห่งการตราธรรมบัญญัติและพระบัญญัติ และการนำชีวิตของมนุษย์ ในยุคพระคุณ พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และบนพื้นฐานของพระราชกิจของพระองค์ในยุคธรรมบัญญัติ ได้ทรงดำเนินพระราชกิจแห่งการตรึงกางเขนจนเสร็จสิ้น และได้ทรงไถ่มนุษย์จากบาป ในยุคแห่งราชอาณาจักร พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง และบนพื้นฐานของพระราชกิจแห่งการไถ่ของยุคพระคุณ ทรงดำเนินพระราชกิจแห่งการพิพากษาจนเสร็จสิ้น โดยเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า ทรงแสดงความจริงทั้งหมดเพื่อการชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์และความรอดของมนุษย์ และทรงนำพวกเราไปบนหนทางเดียวสำหรับการไล่ตามเสาะหาการชำระให้บริสุทธิ์และความรอด เฉพาะเมื่อพวกเราได้รับความจริงเสมือนเป็นชีวิตของพวกเรา กลายเป็นผู้ที่เชื่อฟังและนมัสการพระเจ้าเท่านั้น เราจึงจะมีคุณสมบัติเหมาะสมพอที่จะถูกนำเข้าไปสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าและรับพระสัญญาและพระพรของพระเจ้า พระราชกิจทั้งสามช่วงระยะของพระเจ้าเพื่อความรอดของมนุษย์เชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด แต่ละช่วงระยะจะขาดไม่ได้ แต่ละช่วงระยะจะสูงกว่าและลึกกว่าช่วงระยะก่อนหน้า เป็นพระราชกิจสามช่วงระยะที่พระเจ้าองค์เดียวได้ทรงปฏิบัติในยุคต่างๆ และมีเพียงพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นพระราชกิจที่ครบบริบูรณ์ของพระเจ้าเพื่อความรอดของมวลมนุษย์

พระนามทั้งสาม—พระยาห์เวห์ พระเยซู และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์—เป็นพระนามที่แตกต่างกันที่พระเจ้าได้ทรงใช้ในยุคธรรมบัญญัติ ยุคพระคุณ และยุคแห่งราชอาณาจักร พระเจ้าทรงใช้พระนามที่แตกต่างกันเพราะพระราชกิจของพระองค์ผันแปรไปในยุคที่แตกต่างกัน พระเจ้าทรงใช้พระนามใหม่เพื่อเริ่มยุคใหม่ และเป็นตัวแทนของพระราชกิจในยุคนั้น พระนามของพระเจ้าคือพระยาห์เวห์ในยุคธรรมบัญญัติ และพระเยซูในยุคพระคุณ พระเจ้าทรงใช้พระนามใหม่—พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์—ในยุคแห่งราชอาณาจักร การนี้ทำให้คำเผยพระวจนะในหนังสือวิวรณ์ในพระคัมภีร์ลุล่วง “จงเขียนถึงทูตสวรรค์ของคริสตจักรที่เมืองฟีลาเดลเฟียว่า…คนที่ชนะ เราจะตั้งให้เขาเป็นเสาหลักอยู่ในพระวิหารของพระเจ้าของเรา และเขาจะไม่ออกไปจากพระวิหารอีกเลย และบนตัวเขา เราจะจารึกพระนามพระเจ้าของเรา และชื่อเมืองของพระเจ้าของเรา คือนครเยรูซาเล็มใหม่ที่ลงมาจากสวรรค์จากพระเจ้าของเรา และเราจะจารึกนามใหม่ของเราด้วย(วิวรณ์ 3:7-12)พระเจ้าผู้ทรงเป็นอยู่ ผู้ทรงเคยเป็นอยู่ ผู้ที่จะเสด็จมา และผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ตรัสว่า ‘เราเป็นอัลฟาและโอเมกา’(วิวรณ์ 1:8) แม้ว่าพระนามและพระราชกิจของพระเจ้าในสามยุคนั้นจะแตกต่างกัน แต่มีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นในเนื้อแท้ และแหล่งที่มาก็เหมือนกัน

พระราชกิจทั้งสามช่วงระยะของพระเจ้าเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดเป็นพระราชกิจของพระเจ้าองค์เดียว แม้ว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจที่แตกต่างกันในแต่ละยุค และทรงใช้พระนามที่แตกต่างกันในแต่ละยุค แต่เนื้อแท้ของพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลงเลย ด้วยเหตุนั้น พระยาห์เวห์ พระเยซู และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จึงเป็นพระเจ้าองค์เดียวกัน พระเยซูทรงเป็นการทรงปรากฏของพระยาห์เวห์ และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา และดังนั้นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จึงทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่ง สั่งทุกสรรพสิ่ง และครองอธิปไตยเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง และพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างหนึ่งเดียวเท่านั้นชั่วนิรันดร์กาล

ในพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยพระอุปนิสัยทั้งมวลของพระองค์ต่อมนุษย์ ซึ่งเปิดโอกาสให้พวกเราเห็นว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้าไม่ได้เป็นเพียงความกรุณาและความรักเท่านั้น แต่เป็นความชอบธรรม พระบารมี และพระพิโรธอีกด้วย เห็นว่าเนื้อแท้ของพระองค์คือความศักดิ์สิทธิ์และความชอบธรรม และเป็นความจริงและความรัก และเห็นว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้า และสิทธิอำนาจและพลังอำนาจของพระเจ้าไม่ได้ถูกครอบครองโดยสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือไม่ทรงสร้างใด ตั้งแต่เวลาแห่งการทรงสร้างจนถึงบทอวสานของโลก โดยไม่คำนึงถึงว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจอย่างไร หรือพระนามของพระองค์เปลี่ยนแปลงอย่างไร หรือพระเจ้าทรงเลือกที่จะปรากฏต่อมวลมนุษย์อย่างไร แต่เนื้อแท้ของพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลงเลย พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า และพระวจนะทั้งหมดที่พระองค์ตรัสคือความจริง สวรรค์และแผ่นดินโลกจะล่วงไป แต่พระวจนะของพระเจ้าจะไม่มีวันปลาสนาการ และพระวจนะทุกๆ คำจะสำเร็จลุล่วง!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

เหตุใดจึงกล่าวกันว่าคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์

ศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลกสองศาสนา—ศาสนาคริสต์และศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก—ทั้งเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าและยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นการจุติเป็นมน…...

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และองค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้าหนึ่งเดียว

เมื่อมวลมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม พระเจ้าได้ทรงเริ่มแผนการบริหารจัดการของพระองค์เพื่อความรอดของมวลมนุษย์...

คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เกิดขึ้นอย่างไร

คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็เช่นเดียวกันกับคริสตจักรทั้งหลายของศาสนาคริสต์ได้มีขึ้นมาเนื่องจากพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็…...

ติดต่อเราผ่าน Messenger