จุดกำเนิดและพัฒนาการของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์
ในยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงสัญญาต่อบรรดาผู้ติดตามของพระองค์ว่า “เมื่อเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว เราจะกลับมาอีกและรับท่านไปอยู่กับเรา เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนพวกท่านจะได้อยู่ที่นั่นด้วย” (ยอห์น 14:3) พระองค์ยังได้ตรัสคำเผยพระวจนะด้วยว่า “เพราะว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น” (มัทธิว 24:27) ในยุคสุดท้าย ตามที่ได้ทรงให้สัญญาและได้ทรงทำนายไว้โดยพระองค์เอง พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และเสด็จลงมาสู่ทิศตะวันออกของโลก—ประเทศจีน—เพื่อทรงปฏิบัติพระราชกิจของการพิพากษา การตีสอน การชำระให้บริสุทธิ์ และความรอดโดยทรงใช้พระวจนะ บนรากฐานของการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า ในการนี้ คำเผยพระวจนะของพระคริสตธรรมคัมภีร์ที่ว่า “การพิพากษาเริ่มต้นด้วยพระนิเวศของพระเจ้า” และ “ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย” ก็ได้ถูกทำให้ลุล่วงด้วยเช่นกัน พระราชกิจของพระเจ้าของยุคสุดท้ายได้สิ้นสุดยุคพระคุณและนำมาซึ่งยุคอาณาจักร ขณะที่พระกิตติคุณของราชอาณาจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เผยแพร่อย่างรวดเร็วในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ผู้คนจากทุกศาสนาและทุกคณะนิกายผู้ซึ่งรักความจริงและโหยหาที่จะให้พระเจ้าทรงปรากฏได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และระลึกได้ว่าพระวจนะเหล่านั้นคือความจริง คือพระสุรเสียงของพระเจ้า พวกเขาก็กลายเป็นแน่ใจว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าผู้เสด็จกลับมา และพวกเขาคนแล้วคนเล่าก็ยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็ได้มาดำรงอยู่ ตามที่ได้พิสูจน์แล้วโดยข้อเท็จจริงทั้งหลาย คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้มาดำรงอยู่อย่างครบถ้วนบริบูรณ์อันเนื่องมาจากการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และไม่ได้สถาปนาขึ้นโดยมนุษย์คนใด นี่เป็นเพราะผู้คนที่ถูกเลือกสรรในคริสตจักรของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อธิษฐานในพระนามของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เชื่อฟังพระราชกิจของพระองค์ และยอมรับความจริงทั้งหมดที่พระองค์ทรงแสดงออก ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าผู้คนที่ถูกเลือกสรรเหล่านี้เชื่อในพระคริสต์ผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้าย คือพระเจ้าผู้ทรงภาคปฏิบัติผู้ทรงเป็นพระวิญญาณซึ่งได้ตระหนักในเนื้อหนัง แทนที่จะเชื่อในมนุษย์ ภายนอกนั้น พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่ได้ทรงเป็นอื่นใดมากไปกว่าบุตรมนุษย์ธรรมดาๆ ผู้หนึ่ง แต่ในเนื้อแท้แล้วพระองค์ทรงเป็นการทำให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาของพระวิญญาณของพระเจ้าและทรงเป็นความจริง เป็นหนทาง และเป็นชีวิต พระราชกิจและพระวจนะของพระองค์เป็นการแสดงออกโดยตรงของพระวิญญาณของพระเจ้าและเป็นการทรงปรากฏของพระเจ้าในสภาวะบุคคล ดังนั้น พระองค์จึงทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงภาคปฏิบัติผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์
ในปี ค.ศ. 1991 พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย ได้ทรงเริ่มที่จะปฏิบัติพันธกิจของพระองค์อย่างเป็นทางการในประเทศจีน ในขณะนั้น พระองค์ได้ทรงสำแดงพระวจนะนับล้านๆ คำและได้ทรงเริ่มพระราชกิจของการพิพากษาแห่งมหาบัลลังก์สีขาวในยุคสุดท้าย เหมือนอย่างที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระราชกิจแห่งการพิพากษาคือพระราชกิจของพระเจ้าเอง ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้ว พระเจ้าจึงต้องทรงพระราชกิจนี้ด้วยพระองค์เอง มนุษย์ไม่สามารถทำแทนพระองค์ได้ เนื่องจากการพิพากษาคือการใช้ความจริงเพื่อครอบครองมนุษยชาติ จึงไม่มีคำถามเลยว่าพระเจ้าจะยังคงทรงปรากฏในภาพลักษณ์ที่เป็นมนุษย์เพื่อทรงปฏิบัติพระราชกิจนี้ท่ามกลางมนุษย์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือในยุคสุดท้าย พระคริสต์จะทรงใช้ความจริงเพื่อสั่งสอนผู้คนทั่วโลกและทำให้ความจริงทั้งหมดเป็นที่รู้จักของพวกเขา นี่คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง) “พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งพระวจนะในยุคสุดท้าย และพระวจนะดังกล่าวก็คือพระวจนะทั้งหลายของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ด้วยเหตุที่พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์และยังทรงสามารถบังเกิดเป็นมนุษย์ได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้น พระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตามที่พูดถึงกันในอดีต จึงเป็นพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ในวันนี้…เพื่อที่พระเจ้าจะได้ตรัสถ้อยดำรัสทั้งหลายในอันที่จะดำเนินการพระราชกิจ พระองค์จะต้องทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ มิฉะนั้น พระราชกิจของพระองค์ก็คงจะไม่สามารถสำเร็จลุล่วง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มนุษย์ผู้ที่ได้จำกัดเขตพระเจ้าไว้ในมโนคติที่หลงผิดของเขาสามารถได้รับวิวรณ์ของพระเจ้าได้อย่างไร?) เพราะการทรงปรากฏและพระดำรัสของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย ผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่กระหายและแสวงหาความจริงได้ถูกพิชิตชัยและถูกชำระให้บริสุทธิ์โดยพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และได้เห็นการทรงปรากฏของพระเจ้าและการเสด็จกลับมาของพระผู้ไถ่ในการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า
คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้มาดำรงอยู่เพราะการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์—องค์พระเยซูเจ้าผู้เสด็จกลับมา—พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย และยังอยู่ภายใต้การพิพากษาและการตีสอนอันชอบธรรมของพระองค์ด้วยเช่นกัน คริสตจักรประกอบไปด้วยบรรดาผู้ที่ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างแท้จริงและถูกพิชิตชัยและได้รับการช่วยให้รอดโดยพระวจนะของพระเจ้า คริสตจักรได้ถูกก่อตั้งขึ้นอย่างครบถ้วนบริบูรณ์โดยพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ด้วยพระองค์เอง และพระองค์ทรงนำทางและทรงเป็นผู้เลี้ยงโดยพระองค์เอง และไม่ได้ถูกจัดตั้งขึ้นโดยมนุษย์คนใด นี่คือข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่รับรู้กันโดยผู้ที่ถูกเลือกสรรทุกคนในคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ใครก็ตามที่ถูกใช้งานโดยพระเจ้าผู้จุติเป็นมนุษย์ได้ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าโดยพระเจ้าแล้ว และได้รับการแต่งตั้งและได้รับการเป็นพยานโดยพระเจ้าด้วยพระองค์เอง เหมือนอย่างที่พระเยซูได้ทรงเลือกและแต่งตั้งบรรดาสาวกทั้งสิบสองคนด้วยพระองค์เอง บรรดาผู้ที่ถูกใช้งานโดยพระเจ้าเพียงแค่ให้ความร่วมมือกับพระราชกิจของพระองค์เท่านั้น และไม่มีวันสามารถปฏิบัติพระราชกิจของพระเจ้าแทนที่พระองค์ได้ เพราะมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามนั้นปราศจากความจริง และไม่มีวันสามารถแสดงความจริงได้ นับประสาอะไรที่จะก่อตั้งคริสตจักร คริสตจักรไม่ได้ถูกก่อตั้งขึ้นโดยพวกที่ถูกใช้งานโดยพระเจ้า อีกทั้งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็ไม่เชื่อในหรือติดตามพวกเขา คริสตจักรทั้งหลายของยุคพระคุณไม่ได้ถูกจัดตั้งขึ้นโดยเปาโลและอัครทูตท่านอื่นๆ แต่เป็นผลผลิตของพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าและถูกก่อตั้งขึ้นโดยองค์พระเยซูเจ้าพระองค์เอง ในทำนองเดียวกัน คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายไม่ได้ถูกสถาปนาขึ้นโดยมนุษย์ที่พระเจ้าทรงใช้งาน แต่เป็นผลผลิตของพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ มนุษย์ผู้ที่พระเจ้าทรงใช้งานเพียงแค่รดน้ำ จัดหา และนำทางคริสตจักรทั้งหลายเท่านั้น โดยปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์ แม้ว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะได้รับการนำทาง รดน้ำ และจัดหาโดยมนุษย์ผู้ที่พระเจ้าทรงใช้งาน พวกเขาไม่เชื่อในและไม่ติดตามใครเลยนอกจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และยอมรับและเชื่อฟังพระวจนะและพระราชกิจของพระองค์ นี่คือข้อเท็จจริงซึ่งไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ เพราะการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้าย บรรดาเหล่าผู้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงจำนวนมากในทุกๆ นิกายทางศาสนาในที่สุดล้วนแล้วแต่ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า ได้เห็นว่าองค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จมาแล้วและได้ดำเนินพระราชกิจของการพิพากษาซึ่งเริ่มต้นกับพระนิเวศของพระเจ้า และพวกเขาทั้งหมดได้ยืนยันว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าผู้เสด็จกลับมา—และผลก็คือ พวกเขาได้ยอมรับพระราชกิจของยุคสุดท้ายของพระองค์แล้ว บรรดาผู้ที่ถูกพิชิตชัยโดยพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กลายเป็นอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระนามของพระองค์ และผู้คนที่ถูกเลือกสรรทั้งหมดของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จึงอธิษฐานต่อพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และติดตาม เชื่อฟัง และนมัสการพระองค์ ผู้คนที่ได้รับเลือกสรรในประเทศจีนเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าในการพิพากษาและการตีสอนแล้ว ที่ได้มาซึ้งคุณค่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ และที่ได้เห็นพระบารมีและพระพิโรธของพระองค์ พวกเขาจึงได้ถูกพิชิตชัยอย่างสมบูรณ์โดยพระวจนะของพระเจ้าและได้ทรุดลงหมอบราบต่อพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และเต็มใจที่จะเชื่อฟังและยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาได้กลับใจและเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงได้รับความรอดของพระเจ้า
แน่นอนว่าเพราะพระวจนะที่ได้แสดงออกโดยพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั่นเองทีเผยความล้ำลึกต่างๆ ของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด ในการเผยพระวจนะของพระเจ้า ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจึงได้มาเข้าใจว่าพระเจ้าทรงมีพระนามใหม่ในแต่ละยุค และเข้าใจว่าพระนามใหม่ของพระองค์เป็นสัญลักษณ์ว่าพระเจ้ากำลังทรงปฏิบัติพระราชกิจใหม่ และยิ่งไปกว่านั้นคือ เข้าใจว่าพระเจ้ากำลังทรงสิ้นสุดยุคเก่าและนำมาซึ่งยุคใหม่ ความหมายของการใช้พระนามใหม่ของพระเจ้าในแต่ละยุคนั้นยิ่งใหญ่และลึกซึ้งยิ่งนัก! ภายในพระนามนั้นมีนัยสำคัญของพระราชกิจของพระเจ้าอยู่ พระเจ้าทรงใช้พระนามของพระองค์เพื่อเปลี่ยนยุคและเพื่อเป็นตัวแทนพระราชกิจของพระองค์ในยุคนั้น ตลอดจนพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงออกในยุคนั้น ในยุคธรรมบัญญัติ พระองค์ได้ทรงใช้พระนามของพระยาห์เวห์เพื่อออกธรรมบัญญัติต่างๆ และพระบัญญัติต่างๆ และนำทางชีวิตของมนุษยชาติบนแผ่นดินโลก พระนามพระยาห์เวห์เป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระเจ้าซึ่งเปี่ยมบารมีและเปี่ยมพระพิโรธ และซึ่งสามารถทั้งใช้ความปรานีต่อมนุษย์และสาปแช่งมนุษย์ ในยุคพระคุณ พระองค์ได้ทรงใช้พระนามของพระเยซูเพื่อปฏิบัติพระราชกิจในการไถ่ของมนุษยชาติ และเพื่อแสดงพระอุปนิสัยของพระองค์ที่มีความปรานีและความรักมั่นคง กับการมาถึงของยุคอาณาจักร พระองค์ได้ทรงใช้พระนามของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพื่อดำเนินพระราชกิจในการพิพากษาซึ่งเริ่มต้นด้วยพระนิเวศของพระเจ้า เพื่อชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ เปลี่ยนแปลงมนุษย์ และช่วยมนุษย์ให้รอด และเพื่อแสดงพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมและเปี่ยมบารมีของพระองค์ที่ไม่ทนยอมรับการทำให้ขุ่นเคืองใดๆ โดยมนุษย์ พระนามใหม่ของพระเจ้าไม่ใช่อะไรบางอย่างที่พระองค์ทรงถูกเรียกขานโดยตามอำเภอใจโดยมนุษย์ แต่ได้ถูกรับไว้โดยพระเจ้าพระองค์เองเพราะความจำเป็นต่างๆ ของพระราชกิจของพระองค์ พระนามที่พระเจ้าทรงรับไว้ในแต่ละระยะของพระราชกิจมีที่มาในพระคริสตธรรมคัมภีร์ และพระนามที่องค์พระเยซูเจ้าจะทรงใช้เมื่อพระองค์ได้เสด็จกลับมาในยุคสุดท้ายถูกกล่าวคำเผยพระวจนะไว้นานมาแล้วในหนังสือวิวรณ์ในพระคัมภีร์: “คนที่ชนะ เราจะตั้งให้เขาเป็นเสาหลักอยู่ในพระวิหารของพระเจ้าของเรา และเขาจะไม่ออกไปจากพระวิหารอีกเลย และบนตัวเขา เราจะจารึกพระนามพระเจ้าของเรา และชื่อเมืองของพระเจ้าของเรา คือนครเยรูซาเล็มใหม่ที่ลงมาจากสวรรค์จากพระเจ้าของเรา และเราจะจารึกนามใหม่ของเราด้วย” (วิวรณ์ 3:12) “พระเจ้าผู้ทรงเป็นอยู่ ผู้ทรงเคยเป็นอยู่ ผู้ที่จะเสด็จมา และผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ตรัสว่า ‘เราเป็นอัลฟาและโอเมกา’” (วิวรณ์ 1:8) “แล้วข้าพเจ้าได้ยินเสียงเหมือนอย่างเสียงมหาชน เหมือนอย่างเสียงน้ำมากหลาย และเหมือนอย่างเสียงฟ้าร้องกึกก้องว่า ฮาเลลูยา เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงครอบครองอยู่ คือพระเจ้าของเราผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด” (วิวรณ์ 19:6) พระนามของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคอาณาจักรเติมเต็มคำเผยพระวจนะของหนังสือวิวรณ์อย่างชัดเจน พระเจ้าทรงเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ พระองค์ได้ทรงสร้างและทรงปกครองทุกสรรพสิ่ง และพระองค์ทรงเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย ในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงใช้พระนามว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพื่อแสดงความจริงและเพื่อปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาซึ่งเริ่มต้นกับพระนิเวศของพระเจ้า เพราะฉะนั้น ผู้คนจึงได้เรียกพระเจ้าผู้จุติเป็นมนุษย์ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และยังได้เรียกพระคริสต์ผู้จุติเป็นมนุษย์ว่าพระเจ้าผู้ทรงภาคปฏิบัติเช่นกัน และคริสตจักรของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จึงได้รับการเรียกขานด้วยเหตุนี้
เมื่อพระกิตติคุณของราชอาณาจักรได้เผยแพร่ไปในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ พระเจ้าได้ทรงเรียกคืนพระราชกิจทั้งหมดของพระวิญญาณทั่วจักรวาลและทรงมุ่งเน้นกับผู้คนกลุ่มนี้ที่ได้ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย และกับบรรดาผู้ที่ได้ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้วและถูกเลือกสรรโดยพระเจ้าและได้แสวงหาหนทางที่แท้จริงอย่างจริงใจ เพราะพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ถูกส่งผ่าน ทุกๆ นิกายได้สูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และกลายเป็นดินแดนรกร้างว่างเปล่า ทิ้งให้ผู้คนไร้ซึ่งทางเลือกนอกจากจะแสวงหาหนทางที่แท้จริง นี่ได้ทำให้คำเผยพระวจนะในพระคริสตธรรมคัมภีร์ลุล่วงอย่างแท้จริง “นี่แน่ะ วันเวลาก็มาถึง เมื่อเราจะส่งความกันดารมาที่แผ่นดิน ไม่ใช่กันดารอาหาร หรือกระหายน้ำ แต่จะเป็นการกันดารพระวจนะของพระยาห์เวห์” (อาโมส 8:11) ภายใต้การทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกที่อยู่ในนิกายต่างๆ ที่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงและเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงได้ฝ่าพ้นข้อจำกัดและอุปสรรคขัดขวางต่างๆ ของพวกศัตรูของพระคริสต์และพวกผู้รับใช้ที่ชั่วร้าย และท้ายที่สุดก็ได้ยินและตระหนักถึงพระสุรเสียงของพระเจ้า และมีผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ได้หวนกลับไปอยู่ต่อหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้า ทุกหนทุกแห่งปรากฏว่ามีฉากต่างๆ ของทุกศาสนาที่กลายมาเป็นหนึ่งเดียวและทุกชนชาติที่หลั่งไหลไปยังภูเขาลูกนี้ ขณะที่พวกที่อยู่ในนิกายต่างๆ ทุกนิกายที่ได้เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงได้หวนกลับมาเป็นจำนวนมาก นิกายส่วนใหญ่ได้ล่มสลายไปและนับแต่นั้นมาได้ดำรงอยู่เพียงแต่ในนามเท่านั้น ผู้ใดจะสามารถหยุดรอยพระบาทของพระราชกิจของพระเจ้าได้? ผู้ใดจะสามารถขัดขวางประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไม่ให้หวนกลับไปสู่พระเจ้าได้เล่า? มันเป็นราวกับว่าชุมชนทางศาสนาทั้งหมดทั้งมวลได้ถูกทำให้เป็นระเบียบ กระแสแห่งการหวนกลับคืนเป็นเหมือนคลื่นถาโถมที่ทรงอานุภาพ ไม่มีกำลังบังคับใดจะสามารถขวางทางพระราชกิจของพระเจ้าได้! อย่างไรก็ตาม รัฐบาลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนไม่เคยหยุดการข่มเหงคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ นับตั้งแต่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงปรากฏและเริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนได้ไล่ล่าพระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายและพวกที่ติดตามพระเจ้าและเป็นพยานถึงพระเจ้าอย่างเอาเป็นเอาตาย และข่มเหงประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างโหดร้าย พยายามที่จะล้มเลิกพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนได้จัดให้มีการประชุมฉุกเฉินหลายครั้งหลายคราเพื่อวางแผนวิธีที่จะล้มเลิกคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนได้ร่างและเผยแพร่เอกสารลับมากมายและดำเนินวิถีทางหลากหลายซึ่งต่ำช้าและโหดร้าย นั่นคือ การติดประกาศต่างๆ ไปทุกหนทุกแห่ง การออกประกาศสาธารณะต่างๆ การใช้โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ อินเทอร์เน็ต และสื่ออื่นๆ ในการสร้างข่าวลือต่างๆ อย่างหยาบโลน ใส่ร้ายและใส่ความ การทำลายชื่อเสียงคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ การปลูกฝังผู้คนให้เชื่อคำสอนอันชั่วร้ายและวิธีคิดที่ผิดด้วยการบีบบังคับ และการดำเนินการล้างสมองและการผสมกลมกลืน ใช้ประโยชน์จากโบสถ์ตามหลักการพึ่งตนเอง 3 ด้านเพื่อกำกับดูแลและควบคุม การส่งพวกสายลับ เพื่อสืบสวนอย่างเปิดเผยและสืบหาความจริงอย่างลับๆ การใช้การควบคุมระดับรากหญ้า การสั่งให้มีการเฝ้าสังเกตโดยบรรดาเพื่อนบ้าน และการสนับสนุนให้ผู้คนยื่นรายงานต่างๆ โดยการให้สัญญาเป็นรางวัลใหญ่ การดำเนินการค้นหาบ้านของผู้คนโดยพลการ การบุกรื้อค้นบ้านของพวกเขาและการยึดทรัพย์สินของพวกเขา การข่มขู่รีดไถเงินผ่านทางค่าปรับต่างๆ และการสะสมความมั่งคั่งด้วยวิถีทางที่ไม่ยุติธรรม การจับกุมประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างลับๆ การกักขังและการคุมขังพวกเขาในค่ายแรงงานตามอำเภอใจ การเค้นให้สารภาพผ่านการทรมาน การย่ำยีร่างกายและจิตใจ การตัดเก็บอวัยวะจากผู้คนที่มีชีวิตอยู่ และการเฆี่ยนตีผู้คนจนถึงแก่ความตายโดยที่ไม่นำผู้กระทำผิดมาลงโทษ แม้กระทั่งการใช้ตำรวจติดอาวุธและกองทหารเพื่อปราบปรามคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เป็นต้น รัฐบาลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนได้จับกุมและข่มเหงบรรดาคริสเตียนแห่งคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ซึ่งก็คือ ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างไร้มนุษยธรรม ทำให้พวกเขาต้องทนทุกข์จากการปล้นทรัพย์สินของพวกเขาอย่างไร้ยางอายและทำให้เกิดความทรมานและความทุกข์ร้อนทางกายและทางจิตวิญญาณ และแม้กระทั่งก่อให้เกิดการเสียชีวิตจำนวนมาก การกระทำต่างๆ ของรัฐบาลเป็นเรื่องที่น่าตกใจ ตามที่มีการบันทึกไว้ นับถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ.2020 ชาวคริสเตียนอย่างน้อยหนึ่งร้อยหกสิบสี่คนถูกข่มเหงจนถึงแก่ความตาย ตัวอย่างเช่น: เซีย หยงเจียง (Xie Yongjiang) (เพศชาย อายุ 43 ปี) คริสตชนในเมืองหวูโกว (Wugou) แห่งอำเภอซุยซี (Suixi) มณฑลอานฮุย ถูกจับกุมอย่างลับๆ โดยตำรวจท้องถิ่นในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1997 และถูกทารุณกรรมจนเสียชีวิต เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม เมื่อครอบครัวของ เซีย (Xie) ได้เห็นร่างของเขาที่ฌาปนสถาน ร่างกายเขาเป็นสีดำและสีม่วงไปทั่วและมีรอยช้ำเลือด และได้ทนทุกข์จากบาดแผลที่ศีรษะซึ่งรุนแรงจนถึงแก่ชีวิตหลายแห่ง เย่ อ้ายจง (เพศชาย อายุ 42 ปี) คริสตชนจากอำเภอซูหยาง (Shuyang) มณฑลเจียงซู ถูกจับกุมโดยตำรวจของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนเมื่อวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 2012 ขณะที่กำลังซื้อสินค้าให้กับคริสตจักร ในวันที่สาม เขาถูกเฆี่ยนตีจนถึงแก่ความตาย เจียง กุ้ยจือ คริสตชนในเขตฉินเกอ (Qinghe) ของอำเภอผิงอวี้ (Pingyu) มณฑลเหอหนาน (เพศหญิง อายุ 46 ปี ผู้นำอาวุโสของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ณ เวลานั้น) ถูกจับกุมอย่างลับๆ และถูกคุมขังโดยตำรวจของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 2013 ในเมืองซินมี่ (Xinmi) มณฑลเหอหนาน พวกเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จัดตั้งศาลผิดกฎหมายแห่งหนึ่งขึ้นและใช้การทรมานเพื่อเค้นคำสารภาพ ในตอนเช้าตรู่ของวันที่ 12 กุมภาพันธ์ เจียงก็เสียชีวิตอันเนื่องมาจากการทารุณร่างกายซึ่งก่อโดยตำรวจ... ยิ่งไปกว่านั้น คริสเตียนอื่นๆ อีกหลายหมื่นคนก็ถูกจับกุมและถูกคุมขังโดยตำรวจของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนเช่นกัน บางคนถูกฉีดสารเสพติดและต่อมาภายหลังก็เป็นโรคจิตเภท บางคนพิการอย่างรุนแรงจากการทรมานมากจนกระทั่งพวกเขาถูกทิ้งไว้โดยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ บางคนถูกจำคุกในค่ายแรงงาน และหลังจากถูกปล่อยตัว พวกเขาก็ถูกจับตาดูโดยรัฐบาลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนและถูกถอดถอนสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล ตามสถิติคร่าวๆ ในช่วงเวลา สองปีสั้นๆ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011 จนถึง ปี ค.ศ. 2013 ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจำนวน 380,380 คนถูกจับกุมและถูกกักขังโดยรัฐบาลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ท่ามกลางผู้คนเหล่านี้ มี 43,640 คนที่ทนทุกข์จากการทรมานทุกรูปแบบในขณะที่อยู่ภายใต้การสอบสวนที่ผิดกฎหมาย 111,740 คนได้รับข้อกล่าวหาแตกต่างกันไปและถูกปรับหรือถูกรีดไถอย่างไร้ยางอายเป็นเงินมากกว่า 243,613,000 หยวน 35,330 คนถูกรื้อค้นบ้าน และเงินจำนวนอย่างน้อย 1,000,000,000 หยวน (รวมถึงเครื่องบูชาที่มอบให้คริสตจักรและทรัพย์สินส่วนตัว) ถูกยึดไปด้วยการบีบบังคับและอย่างไม่มีมูลเหตุโดยบรรดาหน่วยงานรักษาความปลอดภัยสาธารณะและบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขาหรือถูกเก็บเข้ากระเป๋าโดยพวกเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อพูดถึงการจับกุมและการข่มเหงบรรดาคริสเตียนของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์โดยรัฐบาลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน เหล่านี้เป็นสถิติคร่าวๆ และเมื่อพูดถึงชาวคริสเตียนทั้งหมดของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขาก็เป็นแค่ส่วนเล็กๆ ที่มองเห็นเหมือนยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ที่จริงแล้ว ตั้งแต่ที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์ ชาวคริสเตียนจำนวนนับไม่ถ้วนของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ถูกจับกุม ถูกข่มเหง ถูกสะกดรอยตามอย่างลับๆ หรือถูกจับตาดูโดยรัฐบาลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน รัฐบาลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนได้ใช้ทุกวิถีทางที่โหดร้ายในการปราบปรามคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ถึงกับเลือดตกยางออก เปลี่ยนประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ให้กลายเป็นโลกแห่งความน่าสะพรึงกลัว นอกจากนี้ คริสตจักรยังถูกใส่ร้าย ถูกประณาม และถูกโจมตีโดยนิกายทุกนิกายอีกด้วย นี่ได้นำไปสู่ข่าวลือต่างๆ ที่แพร่กระจายออกไปและพายุแห่งการใส่ร้าย การทารุณกรรม และคำสาปแช่งต่างๆ ทุกรูปแบบทันทีทันใด สังคมและชุมชนทางศาสนาทั้งหมดทั้งมวลเต็มไปด้วยการโฆษณาประชาสัมพันธ์อันไม่พึงประสงค์ทุกรูปแบบ การต่อต้านของมนุษยชาติที่เสื่อมทรามต่อพระเจ้าที่แท้จริงและการข่มเหงหนทางที่แท้จริงได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดของมัน
ตั้งแต่ที่มนุษยชาติถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม พระเจ้าทรงไม่เคยหยุดแผนการบริหารจัดการของพระองค์ในการช่วยมนุษยชาติให้รอดเลย อย่างไรก็ดี มนุษยชาติไม่รู้จักความจริง ยิ่งน้อยไปกว่านั้นคือมนุษยชาติไม่รู้จักพระเจ้า ผลก็คือ ทุกครั้งที่พระเจ้าทรงจุติเป็นมนุษย์เพื่อเริ่มพระราชกิจใหม่ พระองค์ทรงถูกปฏิเสธและถูกข่มเหงโดยพวกที่อยู่ในอำนาจหน้าที่และโดยบรรดากลุ่มศาสนา สองพันปีที่แล้ว เมื่อพระเยซูได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงถูกข่มเหงและถูกจับกุมโดยรัฐบาลโรมันและโดยความเชื่อของชาวยิว และในท้ายที่สุดพระองค์ทรงถูกตรึงกางเขน ในยุคสุดท้าย ตั้งแต่ที่พระเจ้าได้เสด็จกลับมาบังเกิดเป็นมนุษย์ในประเทศจีนเพื่อปฏิบัติพระราชกิจของการพิพากษา พระองค์ได้ทรงถูกข่มเหงและถูกไล่ล่าอย่างโหดร้ายโดยรัฐบาลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน และยังได้ทรงถูกสาปแช่ง ถูกใส่ร้าย ถูกประณาม และถูกปฏิเสธโดยบรรดานิกายทุกนิกายของศาสนาคริสต์ด้วย มันคือการบ่งบอกที่ชัดเจนของความเสื่อมทรามและความชั่วร้ายของมนุษย์ เราสามารถจินตนาการได้ว่าเป็นการยากเพียงใดสำหรับพระเจ้าที่จะทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในป้อมปราการของเหล่าปีศาจเยี่ยงนั้น ที่ซึ่งเมฆดำมีน้ำหนักที่หนักอึ้งและบรรดาปีศาจกวัดแกว่งพลังอำนาจ กระนั้นก็ตาม พระเจ้าทรงเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ และพระองค์ทรงมีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพสูงสุด ไม่ว่ากำลังบังคับของซาตานจะรุนแรงเพียงใด ไม่ว่ากำลังบังคับเหล่านั้นจะต่อต้านและเริ่มการโจมตีอย่างไร ทั้งหมดก็เปล่าประโยชน์ ในเวลาเพียงประมาณ 20 ปี พระกิตติคุณของราชอาณาจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เผยแพร่ไปทั่วประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ทั้งประเทศภายใต้การปราบปรามอย่างรุนแรง คริสตจักรหลายแสนแห่งได้ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วประเทศและผู้คนหลายล้านคนได้นบนอบต่อพระนามของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เกือบจะทันทีทันใด ทุกๆ นิกายได้กลับกลายเป็นว่างเปล่า ด้วยเพราะแกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และพวกเขาได้กลับมาตามพระสุรเสียงแล้ว พวกเขาล้มลงต่อพระพักตร์ของพระเจ้า และพระเจ้าได้ทรงรดน้ำและเป็นผู้เลี้ยงด้วยพระองค์เอง การนี้ได้ทำให้คำเผยพระวจนะในพระคริสตธรรมคัมภีร์ลุล่วงว่า “ประชาชาติทั้งหมดจะหลั่งไหลเข้ามาหา” (อิสยาห์ 2:2) มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่บรรดาเหล่าผู้เชื่อที่แท้จริงทั้งหมดจะกลับไปหาพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในท้ายที่สุด เพราะการนี้ได้ถูกวางแผนไว้และลิขิตไว้ล่วงหน้าโดยพระเจ้ามานานแล้ว ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้! พวกผู้เชื่อจอมปลอมผู้ซึ่งเพียงเชื่อในพระเจ้าเพื่อที่พวกเขาจะได้กินขนมปังจนอิ่มเท่านั้น และบรรดาคนชั่ว พวกศัตรูของพระคริสต์ และพวกผู้เลี้ยงจอมปลอมเหล่านั้นทั้งหมดซึ่งกระทำความชั่ว ต่อต้าน และประณามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทั้งหมดได้ถูกเปิดเผยและกำจัดไปโดยพระราชกิจของพระเจ้า ชุมชนศาสนาทั้งหมดทั้งมวลได้ถูกทำลายและแยกเป็นส่วนๆ อย่างถ้วนทั่วโดยพระราชกิจของพระเจ้า พระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้สิ้นสุดลงด้วยพระสิริในที่สุด ในระหว่างช่วงเวลานี้ แม้จะมีการต่อต้านอย่างบ้าคลั่งและการปราบปรามอย่างเลือดตกยางออกของรัฐบาลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน พระกิตติคุณแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้ายังคงเผยแพร่ด้วยความเร็วอย่างสายฟ้าแลบ แผนการของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนในการกำจัดและล้มเลิกพระราชกิจของพระเจ้าได้ยุติลงด้วยความล้มเหลว กำลังบังคับชั่วร้ายทั้งหมดทั้งมวลซึ่งต่อต้านพระเจ้าได้ถูกทำลายและถูกโค่นล้มอย่างที่สุดท่ามกลางการพิพากษาที่เปี่ยมบารมีและเต็มไปด้วยพระพิโรธของพระเจ้า เหมือนอย่างที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “แน่นอนว่า บรรดาผู้ที่เรารักทั้งหมดจะมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร และพวกที่ยืนต้านเราทั้งหมดก็จะถูกเราตีสอนไปชั่วนิรันดรอย่างแน่นอน เพราะเราเป็นพระเจ้าที่หวงแหน และจะไม่ละเว้นพวกมนุษย์ไว้เลยแม้แต่น้อยสำหรับทั้งหมดที่พวกเขาได้ทำลงไป เราจะเฝ้าดูหมดทั้งแผ่นดินโลก และในการปรากฏทางทิศตะวันออกของโลกพร้อมกับความชอบธรรม บารมี ความพิโรธ และการตีสอนนั้น เราจะเปิดเผยตัวเราต่อชุมนุมของมนุษยชาติอันมากมายเหลือคณนา!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 26) “ราชอาณาจักรของเรากำลังเป็นรูปเป็นร่างเหนือทั้งจักรวาล และบัลลังก์ของเรามีอิทธิพลใหญ่หลวงในหัวใจของผู้คนหลายร้อยล้านคน ด้วยความช่วยเหลือของเหล่าทูตสวรรค์ ความสำเร็จลุล่วงอันยิ่งใหญ่ของเราจะถูกนำไปสู่การบรรลุผลในไม่ช้า บรรดาบุตรของเราและคนของเราทั้งหมดรอคอยการกลับมาของเราอย่างใจจดใจจ่อ ถวิลหาให้เราอยู่ร่วมกับพวกเขาอีกครั้ง ไม่มีวันถูกแยกจากกันอีก ประชากรมากหลายแห่งราชอาณาจักรของเราจะไม่สามารถวิ่งรี่เข้าหากันในการเฉลิมฉลองอันชื่นบานยินดีอันเป็นเพราะเรามาอยู่ร่วมกับพวกเขาได้อย่างไร? นี่จะสามารถเป็นการอยู่ร่วมกันอีกครั้งที่ไม่จำเป็นต้องจ่ายราคาอันใดไหม? เราย่อมมีเกียรติในสายตาของมนุษย์ทั้งหมด เราย่อมได้รับการกล่าวประกาศในคำพูดของทุกคน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเรากลับมา เราจะพิชิตกองกำลังศัตรูทั้งหมด ถึงเวลาแล้ว! เราจะเริ่มงานของเรา เราจะครองราชย์ในฐานะกษัตริย์ท่ามกลางมนุษย์! เราพร้อมแล้วที่จะกลับมา! และเรากำลังจะออกเดินทาง! นี่คือสิ่งที่ทุกคนกำลังหวัง เป็นสิ่งที่พวกเขาปรารถนา เราจะปล่อยให้มนุษย์ทั้งมวลเห็นการมาถึงแห่งวันของเรา และพวกเขาทั้งหมดจะยินดีต้อนรับการมาแห่งวันของเราด้วยความชื่นบานยินดี!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 27) ขณะที่พระกิตติคุณแห่งราชอาณาจักรเผยแพร่ออกไป คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็เติบโตใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และจำนวนเหล่าผู้เชื่อก็เพิ่มขึ้นโดยไม่หยุด ในวันนี้ มันกำลังเจริญก้าวหน้าไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พระวจนะที่แสดงออกโดยพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์—พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย—ได้เผยแพร่ไปยังครัวเรือนหลายพันครัวเรือนมานานแล้ว และกำลังได้รับการยอมรับโดยผู้คนเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ พระวจนะของพระเจ้าได้แสดงให้เห็นถึงสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพสูงสุดของมัน ข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถโต้แย้งได้นี้พิสูจน์ให้เห็นว่า “ทุกสิ่งสัมฤทธิ์ได้ด้วยพระวจนะของพระเจ้า!”
“ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า” (ยอห์น 1:1) ในปฐมกาล พระเจ้าได้ทรงเนรมิตสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และทุกสรรพสิ่งในฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกด้วยพระวจนะ และได้ทรงนำทางมนุษยชาติด้วยพระวจนะ ในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จลุล่วงด้วยพระวจนะเช่นกัน การชำระให้บริสุทธิ์และการมีความเพียบพร้อมของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและการตระหนักถึงอาณาจักรของพระคริสต์จะสัมฤทธิ์ได้ทั้งสองอย่างโดยพระวจนะของพระเจ้า เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงไม่มีอะไรที่ผิดปกติเกี่ยวกับการที่คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มีจุดกำเนิดมาจากพระราชกิจแห่งพระวจนะของพระเจ้า คริสตจักรได้พัฒนาขึ้นภายใต้การทรงนำของพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และ ที่มากกว่านั้นคือ กำลังเติบโตทั้งๆ ที่มีการปราบปรามและการข่มเหงอย่างโหดร้ายจากรัฐบาลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนและการประณามอย่างบ้าคลั่งและการต่อต้านของกองกำลังของบรรดาพวกศัตรูของพระคริสต์ในกลุ่มศาสนาต่างๆ นี่แสดงให้เห็นถึงสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระวจนะของพระเจ้าอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ อาจกล่าวได้ว่า หากปราศจากการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็คงจะไม่มีคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และกล่าวได้ว่าหากปราศจากพระวจนะที่แสดงออกโดยพระเจ้า คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็คงจะไม่ดำรงอยู่ด้วยเช่นกัน ในวันนี้ พระองค์ทรงกำลังรดน้ำและให้อาหารแก่ประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรด้วยพระวจนะที่พระองค์ได้ทรงแสดงออก และบรรดาผู้ที่ได้ยอมรับพระราชกิจของพระองค์กำลังชื่นชมไปกับการเป็นผู้เลี้ยงของพระวจนะของพระองค์และกำลังได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์ในการช่วยมนุษย์ให้รอด พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตลอดทั่วทั้งจักรวาลเรากำลังทำงานของเรา และในทิศตะวันออก เสียงกระแทกสนั่นราวฟ้าร้องดังขึ้นอย่างไม่รู้จบ ทำให้ชนชาติทั้งปวงและคณะนิกายทั้งหมดสั่นสะเทือน เป็นเสียงของเรานั่นเองที่ได้นำทางพวกมนุษย์ทั้งหมดเข้ามาสู่ปัจจุบัน เราจะทำให้พวกมนุษย์ทั้งหมดถูกพิชิตโดยเสียงของเรา ตกลงสู่กระแสนี้ และนบนอบต่อหน้าเรา ด้วยเหตุที่เราได้เรียกคืนสง่าราศีของเราจากแผ่นดินโลกทั้งหมดและได้ให้สง่าราศีนั้นปรากฏขึ้นใหม่ในทิศตะวันออกนานมาแล้ว ใครบ้างไม่ถวิลหาที่จะได้เห็นสง่าราศีของเรา? ใครบ้างไม่รอคอยการกลับมาของเราอย่างกระวนกระวายใจ? ใครบ้างไม่กระหายการปรากฏอีกครั้งของเรา? ใครบ้างไม่คะนึงหาความดีงามของเรา? ใครบ้างจะไม่มาหาความสว่าง? ใครบ้างจะไม่เฝ้ามองความมั่งคั่งของคานาอัน? ใครบ้างไม่ถวิลหาการกลับมาของพระผู้ไถ่? ใครบ้างไม่ชื่นชมองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่? เสียงของเราจะแผ่ไปทั่วทั้งแผ่นดินโลก เมื่อเผชิญหน้ากับประชากรที่เราเลือกสรร เราปรารถนาที่จะกล่าววจนะแก่พวกเขาเพิ่มเติมอีก เรากล่าววจนะของเราต่อทั้งจักรวาลและต่อมวลมนุษย์ ราวกับเสียงฟ้าร้องอันเปี่ยมพละกำลังที่ทำให้ภูเขาและแม่น้ำสั่นสะเทือน ดังนั้นวจนะในปากของเราจึงได้กลายเป็นขุมทรัพย์ของมนุษย์ และพวกมนุษย์ทั้งหมดก็ทะนุถนอมวจนะของเรา ฟ้าแลบนั้นส่องแสงวาบจากทิศตะวันออกตลอดทางไปจนถึงทิศตะวันตก วจนะของเราเป็นวจนะที่มนุษย์ไม่เต็มใจที่จะละทิ้งไป และในเวลาเดียวกันก็พบว่าวจนะเหล่านั้นยากหยั่งถึง แต่ก็ชื่นบานในถ้อยคำเหล่านั้นอย่างหาใดปาน พวกมนุษย์ทั้งหมดล้วนเปรมปรีดิ์และเต็มไปด้วยความชื่นบานยินดี เฉลิมฉลองการมาของเราราวกับว่าทารกคนหนึ่งเพิ่งจะได้ถือกำเนิด โดยเสียงของเรา เราจะนำพาพวกมนุษย์ทั้งหมดมาอยู่ต่อหน้าเรา นับจากนั้นเป็นต้นไป เราจะเข้าสู่เผ่าพันธุ์ของพวกมนุษย์อย่างเป็นทางการเพื่อที่พวกเขาจะได้มานมัสการเรา ด้วยสง่าราศีที่เราแผ่รัศมีและวจนะในปากของเรา เราจะทำเช่นนั้นจนพวกมนุษย์ทั้งหมดมาอยู่ต่อหน้าเราและเห็นว่าฟ้าแลบนั้นส่องแสงวาบจากทิศตะวันออก และว่าเรายังได้ลงมาสู่ ‘ภูเขามะกอกเทศ’ แห่งทิศตะวันออกเช่นกัน พวกเขาจะเห็นว่าเราได้อยู่บนแผ่นดินโลกนานมาแล้ว ไม่ใช่ในฐานะบุตรของพวกยิวอีกต่อไป แต่ในฐานะฟ้าแลบแห่งทิศตะวันออก ด้วยเหตุที่เราได้คืนชีพมานานแล้ว และได้ไปจากท่ามกลางมวลมนุษย์แล้ว และจากนั้นได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งด้วยสง่าราศีท่ามกลางพวกมนุษย์ เราคือพระองค์ผู้ทรงได้รับการนมัสการมาหลายยุคสมัยนับไม่ถ้วนก่อนปัจจุบันนี้แล้ว และเรายังเป็นทารกที่ถูกคนอิสราเอลละทิ้งมาหลายยุคสมัยนับไม่ถ้วนก่อนปัจจุบันนี้แล้วเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น เราคือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ซึ่งเปี่ยมพระสิริแห่งยุคปัจจุบัน! ให้ทั้งหมดนั้นจงมาอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของเราและเห็นโฉมหน้าอันเปี่ยมสง่าราศีของเรา ได้ยินเสียงของเรา และเฝ้ามองกิจการของเรา นี่คือเจตจำนงครบถ้วนบริบูรณ์ของเรา มันคือจุดสิ้นสุดและจุดสุดยอดของแผนการของเรา รวมทั้งจุดประสงค์ของการบริหารจัดการของเรา ให้ทุกชนชาตินมัสการเรา ทุกภาษายอมรับเรา มนุษย์ทุกคนมอบความเชื่อของเขาในตัวเรา และผู้คนทุกคนอยู่ภายใต้การกะเกณฑ์โดยเรา!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดดังกังวานการเผยพระวจนะว่าข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรจะเผยแผ่ไปทั่วทั้งจักรวาล) ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้รับความรอดอันยิ่งใหญ่เพราะพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระราชกิจของพระเจ้าในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ได้สิ้นสุดลงด้วยพระสิริในที่สุด บัดนี้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรกำลังเผยแพร่พระวจนะของพระองค์และกำลังเป็นพยานในกิจการของพระองค์ต่อทุกประเทศและทุกสถานที่ พระวจนะของพระเจ้าจะถูกเผยแพร่ไปทั่วทั้งโลก และพระองค์จะทรงปรากฏอย่างเปิดเผยต่อประชาชาติทั้งมวล และบรรดาผู้คนทั้งหมดในไม่ช้า ผู้คนของทุกประเทศและทุกสถานที่ซึ่งถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้าจะไม่มีวันฝันว่าพระเจ้าซึ่งพวกเขาถวิลหาให้ทรงปรากฏอย่างเปิดเผยนั้นได้เสด็จลงมาสู่ทิศตะวันออกของโลก—ในประเทศจีน—อย่างลับๆ แล้ว และได้ทรงดำเนินการระยะหนึ่งของพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยและความรอดแล้ว
ในยุคสุดท้าย เมื่อยุคนั้นกำลังจะสิ้นสุดลง พระเจ้าจะทรงจุติเป็นมนุษย์และเสด็จอย่างลับๆ ลงมายังสถานที่พักอาศัยของพญานาคใหญ่สีแดง มายังประเทศจีน ซึ่งปกครองโดยบรรดาผู้ปกครองเผด็จการ ป้อมปราการอันแข็งแกร่งแห่งความไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า โดยพระปรีชาญาณและฤทธานุภาพที่หลากหลายของพระองค์ พระเจ้าทรงสู้รบกับซาตานและทรงดำเนินพระราชกิจส่วนกลางในแผนการบริหารจัดการของพระองค์—การทำให้ซาตานพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์และความรอดของมนุษยชาติทั้งมวล กระนั้นเพราะข้อกล่าวหาอันดิบเถื่อนต่างๆ การประณาม เรื่องที่ปั้นแต่งขึ้นมา การใส่ร้ายของพรรคที่ปกครองประเทศจีนอยู่ ผู้คนเหล่านั้นจำนวนมากที่ไม่ตระหนักรู้ถึงข้อเท็จจริงต่างๆ เชื่อในข่าวลือทั้งหลายของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มศาสนาต่างๆ ยังคงประณามและหมิ่นประมาทการเสด็จมาถึงของพระเจ้าต่อไปแม้จนกระทั่งวันนี้ และพวกเขาก็ยืนอยู่ฝ่ายรัฐบาลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนที่เชื่อว่าไม่มีพระเจ้าในการต่อต้านพระราชกิจของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง นี่ช่างน่าสลดใจเสียจริง! ผู้คนเหล่านี้ไม่เคยคาดหวังว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระองค์ที่พวกเขาต่อต้าน คือองค์พระเยซูเจ้าที่เสด็จกลับมาจริงๆ เมื่อพระเจ้าทรงปรากฏอย่างเปิดเผย พวกเขาก็เพียงแต่จะร่ำไห้เท่านั้นในขณะที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและตีอกชกหัวตัวเอง การนี้เติมเต็มให้พระวจนะของหนังสือวิวรณ์ลุล่วง “นี่แน่ะ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์ แม้แต่คนทั้งหลายที่แทงพระองค์ และมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะคร่ำครวญเพราะพระองค์ จะเป็นไปอย่างนั้น อาเมน” (วิวรณ์ 1:7) การพิพากษาแห่งมหาบัลลังก์สีขาวในยุคสุดท้ายได้เริ่มต้นขึ้นมานานแล้ว ความวิบัติกำลังเพิ่มขนาดกว้างใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนี้ ภัยพิบัติสร้างความเสียหายให้โลก การกันดารอาหาร น้ำท่วม ภัยพิบัติจากแมลง และความวิบัติอื่นๆ กำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความวิบัติที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายจะประสบกับพวกเราในไม่ช้า และพระเจ้าจะทรงตีสอนอย่างเป็นทางการต่อพญานาคใหญ่สีแดงและกองกำลังชั่วร้ายทั้งหมดที่ต้านทานพระองค์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในราชอาณาจักรนั้น สิ่งต่างๆ นับหมื่นแสนของการทรงสร้างเริ่มฟื้นคืนชีวิตและได้รับพลังชีวิตคืนมา เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในสภาวะของแผ่นดินโลก อาณาเขตระหว่างแผ่นดินหนึ่งกับอีกแผ่นดินก็เริ่มขยับเขยื้อนเช่นกัน เราได้เผยวจนะไปแล้วว่า เมื่อแผ่นดินถูกแบ่งจากแผ่นดิน และแผ่นดินรวมกันเป็นหนึ่งกับอีกแผ่นดิน นี่จะเป็นเวลาที่เราจะกระหน่ำชนชาติต่างๆ ทั้งหมดให้แหลกเป็นชิ้นๆ ณ เวลานี้ เราจะเริ่มต้นใหม่ในทุกการทรงสร้างและการแบ่งกั้นสัดส่วนทั้งจักรวาล ด้วยการนั้นจึงจะเป็นการทำให้จักรวาลเกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย และแปลงรูปสิ่งเก่าๆ ให้เป็นสิ่งใหม่–นี่คือแผนการของเรา และเหล่านี้คืองานของเรา เมื่อประชาชาติและผู้คนทั้งหมดของโลกกลับคืนมายังหน้าบัลลังก์ของเรา ถึงตอนนั้นเราจึงจะนำเอาความเอื้ออารีแห่งสวรรค์มาทั้งหมดและมอบให้กับโลกมนุษย์ เพื่อที่พิภพนั้นจะได้ปริ่มล้นไปด้วยความเอื้ออารีอันหาใดเทียบเคียงเพราะเรา แต่ตราบที่พิภพเก่ายังคงมีอยู่ต่อไป เราจะทุ่มความเดือดดาลของเราไปที่ชนชาติต่างๆ ของมัน แถลงการณ์ประกาศกฤษฎีกาบริหารของเราอย่างเปิดเผยให้ทั่วทั้งจักรวาล และนำการตีสอนมาให้ทุกข์แก่ผู้ใดก็ตามที่ฝ่าฝืนมัน
เมื่อเราหันหน้าพูดกับจักรวาล มวลมนุษย์ทั้งปวงได้ยินเสียงเรา และในทันใดนั้นเอง ก็มองเห็นงานทั้งหมดที่เราได้ทำลงไปทั่วทั้งจักรวาล พวกที่ตั้งตนต่อต้านเจตจำนงแห่งเรา กล่าวคือ ผู้ที่ต่อต้านเราด้วยความประพฤติของมนุษย์ จะต้องตกอยู่ภายใต้การตีสอนของเรา เราจะนำเอามวลหมู่ดารามหาศาลในสวรรค์ชั้นฟ้ามาและทำให้พวกมันใหม่ และดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ก็จะถูกทำให้ใหม่เพราะเรา—ผืนฟ้าทั้งหลายจะไม่เป็นเหมือนดังที่พวกมันเคยเป็นอีกต่อไป และสิ่งต่างๆ นับหมื่นแสนบนแผ่นดินโลกจะถูกทำใหม่ ทั้งหมดจะกลายเป็นครบบริบูรณ์โดยผ่านทางวจนะของเรา ประชาชาติทั้งหลายภายในจักรวาลจะถูกแบ่งกั้นสัดส่วนใหม่และแทนที่ด้วยราชอาณาจักรของเรา เพื่อที่ประชาชาติบนแผ่นดินโลกจะหายลับไปตลอดกาล และทั้งหมดจะกลายเป็นราชอาณาจักรหนึ่งซึ่งนมัสการเรา ประชาชาติทั้งมวลแห่งแผ่นดินโลกจะถูกทำลายและยุติการดำรงอยู่ พวกมนุษย์ภายในจักรวาล บรรดาพวกที่เป็นของมารทั้งหมดจะถูกทำลายจนสิ้นซาก และพวกที่บูชาซาตานทั้งหมดจะคว่ำคะมำลงโดยไฟของเราที่กำลังเผาผลาญ—นั่นก็คือ ยกเว้นบรรดาผู้ที่อยู่ในกระแสตอนนี้ ทั้งหมดจะกลายเป็นเถ้าถ่าน เมื่อเราตีสอนกลุ่มชนทั้งหลาย บรรดาผู้ที่อยู่ในโลกศาสนาจะคืนสู่อาณาจักรของเรา ถูกงานของเราพิชิตในขอบข่ายที่ต่างกันไป เนื่องเพราะพวกเขาจะได้เห็นการลงมาจุติขององค์หนึ่งเดียวผู้บริสุทธิ์โดยการขี่เมฆขาวแล้ว ผู้คนทั้งหมดจะถูกแยกจากกันตามประเภทของพวกเขา และจะได้รับการตีสอนที่สมน้ำสมเนื้อกับการกระทำของพวกเขา ผู้คนทั้งหมดที่ได้ยืนต้านเราจะมีอันพินาศ นั่นคือ สำหรับบรรดาผู้ที่ความประพฤติของพวกเขาบนแผ่นดินโลกไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรา พวกเขาจะดำรงอยู่บนแผ่นดินโลกต่อไปภายใต้การปกครองของบุตรทั้งหลายของเราและประชากรของเรา ทั้งนี้ก็เพราะวิธีการที่พวกเขาได้พ้นผิดด้วยตัวพวกเขาเอง เราจะเปิดเผยตัวเราต่อกลุ่มชนนับหมื่นแสนและชนชาตินับหมื่นแสน และด้วยเสียงของเราเอง เราจะส่งเสียงก้องไปบนแผ่นดินโลก ป่าวประกาศถึงการเสร็จสิ้นงานอันยิ่งใหญ่ของเราเพื่อที่มวลมนุษย์ทั้งปวงจะได้เห็นด้วยตาของพวกเขาเอง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 26) ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เราเห็นว่ากำลังบังคับที่ชั่วร้ายทั้งหมดซึ่งต่อต้านพระเจ้าอย่างโจ่งแจ้งและต้านทานพระเจ้าอย่างบ้าคลั่งถูกทำลายโดยพระเจ้าอย่างไร สี่พันปีมาแล้ว ผลสืบเนื่องจากความบาปมหันต์ของพวกเขา เมืองโสโดมและโกโมราห์ได้ถูกเผาผลาญด้วยไฟและกำมะถันที่พระเจ้าได้ทรงส่งจากสวรรค์ จักรวรรดิโรมันก็เช่นกันที่ถูกทำลายโดยความวิบัติต่างๆ จากพระเจ้า เพราะการต่อต้านและการประณามองค์พระเยซูเจ้าของจักรวรรดิและการข่มเหงบรรดาคริสเตียน มีตัวอย่างมากกว่านี้อีกมากมาย ในยุคสุดท้าย กำลังบังคับที่ชั่วร้ายใดๆ ซึ่งประณามและต่อต้านพระเจ้าจะถูกสาปแช่งโดยพระเจ้าและจะถูกทำลายโดยพระองค์อย่างแน่นอน นี่คือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าอย่างแท้จริง!
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ราชอาณาจักรนั้นกำลังแผ่ขยายในท่ามกลางมนุษย์ชาติ มันกำลังเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในท่ามกลางมนุษย์ และกำลังยืนขึ้นในท่ามกลางมนุษย์ ไม่มีอำนาจใดที่สามารถทำลายราชอาณาจักรของเราได้…พวกเจ้าจะฝ่าฟันผ่านเงื้อมมือของอำนาจแห่งความมืดไปภายใต้การนำจากความสว่างของเราอย่างแน่นอน พวกเจ้าจะไม่สูญเสียความสว่างที่นำพวกเจ้าในท่ามกลางความมืดอย่างแน่นอน พวกเจ้าจะเป็นนายแห่งสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวงอย่างแน่นอน พวกเจ้าจะเป็นผู้ชนะต่อหน้าซาตานอย่างแน่นอน พวกเจ้าจะยืนอยู่กลางฝูงชนเนืองแน่นมากมายมหาศาลเพื่อเป็นพยานแก่ชัยชนะของเราอย่างแน่นอน ในขณะที่อาณาจักรแห่งพญานาคใหญ่สีแดงล่มสลาย พวกเจ้าจะตั้งมั่นและไม่หวั่นไหวอย่างแน่นอนในแผ่นดินซีนิม พวกเจ้าจะสืบทอดพรของเราโดยผ่านทางความทุกข์ที่พวกเจ้าสู้ทน และจะแผ่สง่าราศีของเราไปตลอดทั่วทั้งจักรวาลอย่างแน่นอน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 19) “เมื่อพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะมาถึงบทอวสานจะมีกลุ่มของพวกที่เป็นคำพยานต่อพระเจ้าถูกสร้างขึ้นกลุ่มหนึ่ง เป็นกลุ่มของบรรดาผู้ที่รู้จักพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้ทั้งหมดจะรู้จักพระเจ้า และจะมีความสามารถที่จะนำความจริงสู่การปฏิบัติได้ พวกเขาจะมีสภาวะความเป็นมนุษย์และสำนึกรับรู้ และทั้งหมดจะรู้จักพระราชกิจแห่งความรอดทั้งสามช่วงระยะของพระเจ้า นี่คือพระราชกิจที่จะทรงทำให้สำเร็จลุล่วงในบทอวสาน และผู้คนเหล่านี้คือการตกผลึกของพระราชกิจแห่ง 6,000 ปีของการบริหารจัดการ และเป็นคำพยานที่ทรงพลังที่สุดต่อการเอาชนะซาตานครั้งสุดท้าย บรรดาผู้ที่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้าจะมีความสามารถที่จะได้รับพระสัญญาและพระพรของพระเจ้าได้ และจะเป็นกลุ่มที่เหลืออยู่ในบทอวสาน เป็นกลุ่มที่มีสิทธิอำนาจของพระเจ้า และเป็นคำพยานต่อพระเจ้า บางทีบรรดาผู้ที่อยู่ท่ามกลางพวกเจ้าทั้งหมดอาจกลายเป็นสมาชิกของกลุ่มนี้ หรืออาจจะเพียงครึ่งเดียว หรือเพียงไม่กี่คน—ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของพวกเจ้าและการไล่ตามเสาะหาของพวกเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะคือเส้นทางสู่การรู้จักพระเจ้า) พระวจนะของพระเจ้าจะบรรลุผลสำเร็จ และสิ่งซึ่งจะบรรลุผลสำเร็จจะคงอยู่ตลอดกาล อนาคตของราชอาณาจักรนั้นสว่างไสวและวิเศษ! พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงสร้างกลุ่มผู้ชนะทั้งหลายแล้วในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ พระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้านั้นสำเร็จลุล่วงแล้ว! บัดนี้ พระราชกิจนำร่องที่ทรงทำสำเร็จแล้วโดยพระเจ้าระหว่างการทรงจุติอย่างแอบซ่อนของพระองค์ในประเทศจีนได้สิ้นสุดแล้วในพระสิริ และพระองค์จะทรงปรากฏอย่างเปิดเผยต่อประชาชาติทั้งปวงและสถานที่ทุกแห่งในไม่ช้า ผู้คนที่ถูกเลือกสรรของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือกลุ่มผู้ชนะทั้งหลายซึ่งพระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นในประเทศจีน ในการแบกพันธกิจอันบริสุทธิ์ไว้บนบ่านั้น พวกเขาก็กำลังเป็นพยานให้กับพระราชกิจของพระเจ้าและประกาศพระนามอันบริสุทธิ์ของพระเจ้าต่อประชาชาติทั้งปวงและสถานที่ทุกแห่ง พระกิตติคุณแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กำลังเผยแพร่ไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์นั้นมีให้บริการทางอินเทอร์เน็ตโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายสำหรับทุกๆ ชนชาติและสถานที่ที่จะเสาะแสวงและสืบหา ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าถ้อยคำเหล่านี้คือพระวจนะของพระเจ้า และไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าพระวจนะคือความจริง ผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่กระหายความจริงและโหยหาความสว่างกำลังเสาะแสวงและสืบหาพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ถูกสถาปนาขึ้นในประเทศและภูมิภาคหลักๆ หลายสิบที่ทั่วโลกในขณะที่ผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ กลับคืนสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ มนุษยชาติกำลังค่อยๆ ตื่นขึ้นท่ามกลางพระวจนะของพระเจ้า และได้เริ่มที่จะยอมรับและรู้จักความจริง พระวจนะของพระเจ้าจะนำทางมนุษยชาติทั้งมวลและสำเร็จลุล่วงในทุกสิ่ง ผู้คนทั้งหมดที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงและแสวงหาหนทางที่แท้จริงจะกลับคืนสู่พระเจ้าและกลายเป็นเชื่อฟังต่อพระหน้าบัลลังก์ของพระองค์อย่างแน่นอน และมนุษยชาติทั้งมวลจะรู้ว่าพระเจ้าได้เสด็จมาแล้ว และได้ทรงปรากฏแล้ว และรู้ว่าพระนามของพระองค์จะยิ่งใหญ่ท่ามกลางมนุษยชาติทั้งมวลอย่างแน่นอน
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ