พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้า | บทตัดตอน 162

วันที่ 19 เดือน 04 ปี 2024

ผู้คนบางคนจะถามว่า "อะไรเล่าคือความแตกต่างระหว่างพระราชกิจที่พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ได้ทรงทำกับงานของบรรดาผู้เผยพระวจนะและอัครทูตแห่งอดีตกาล? ดาวิดก็ถูกเรียกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยเช่นกัน และพระเยซูก็ทรงถูกเรียกเช่นนั้นเช่นกัน แม้ว่างานที่พวกเขาได้ทำนั้นแตกต่าง แต่พวกเขาก็ถูกเรียกด้วยชื่อเดียวกัน จงบอกเรา ทำไมอัตลักษณ์ของพวกเขาจึงไม่เหมือนกัน? สิ่งที่ยอห์นได้รู้เห็นคือนิมิตหนึ่ง เป็นนิมิตที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เช่นกัน และเขาสามารถพูดพระวจนะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงตั้งใจจะตรัส ทำไมอัตลักษณ์ของยอห์นจึงแตกต่างจากพระอัตลักษณ์ของพระเยซูเล่า?" พระวจนะที่พระเยซูตรัสสามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้อย่างเต็มที่ และพระวจนะเหล่านั้นเป็นตัวแทนของพระราชกิจของพระเจ้าอย่างเต็มที่ สิ่งที่ยอห์นได้เห็นคือนิมิตหนึ่ง และเขาไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างครบบริบูรณ์ ทำไมในเมื่อยอห์น เปโตรและเปาโลได้พูดคำพูดมากมาย เหมือนที่พระเยซูได้ตรัส แต่พวกเขากลับไม่ได้มีอัตลักษณ์เดียวกันกับพระเยซูเล่า? หลักๆ แล้วเป็นเพราะงานที่พวกเขาได้ทำนั้นแตกต่าง พระเยซูทรงเป็นตัวแทนของพระวิญญาณแห่งพระเจ้า และทรงเป็นพระวิญญาณแห่งพระเจ้าที่ทรงพระราชกิจโดยตรง พระองค์ทรงพระราชกิจของยุคใหม่ เป็นพระราชกิจที่ไม่เคยมีใครได้ทำมาก่อน พระองค์ทรงเปิดทางใหม่ พระองค์ทรงเป็นตัวแทนของพระยาห์เวห์ และพระองค์ทรงเป็นตัวแทนของพระเจ้าพระองค์เอง แต่ในส่วนของเปโตร เปาโล และดาวิดนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะถูกเรียกว่าอะไรก็ตาม พวกเขาก็เป็นเพียงตัวแทนของอัตลักษณ์ของสิ่งทรงสร้างสิ่งหนึ่งของพระเจ้าเท่านั้น และถูกพระเยซูหรือพระยาห์เวห์ทรงส่งมา ดังนั้นไม่สำคัญว่าพวกเขาจะได้ทำงานมากเพียงใด ไม่สำคัญว่าการอัศจรรย์ที่พวกเขาได้ปฏิบัติจะยิ่งใหญ่เพียงใด พวกเขาก็ยังคงเป็นแค่สรรพสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า และไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าได้ พวกเขาได้ทำงานในพระนามของพระเจ้า หรือได้ทำงานหลังจากที่ได้ถูกพระเจ้าทรงส่งมา นอกจากนี้พวกเขาได้ทำงานในยุคที่พระเยซูหรือพระยาห์เวห์ได้ทรงเริ่มต้น และพวกเขาไม่ได้ทำงานอื่นเลย จะว่าไปแล้ว พวกเขาเป็นเพียงสรรพสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า ในพันธสัญญาเดิม ผู้เผยพระวจนะหลายท่านได้กล่าวคำทำนายต่างๆ หรือได้เขียนหนังสือแห่งการเผยพระวจนะต่างๆ ไม่มีใครได้พูดว่าพวกเขาเป็นพระเจ้า แต่ทันทีที่พระเยซูเริ่มทรงพระราชกิจ พระวิญญาณแห่งพระเจ้าก็ทรงเป็นคำพยานต่อพระองค์ในฐานะพระเจ้า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? ณ จุดนี้ เจ้าคงจะรู้แล้ว! ก่อนหน้านั้น บรรดาอัครทูตและผู้เผยพระวจนะได้เขียนสารอันหลากหลาย และได้ทำการเผยพระวจนะมากมาย ต่อมาผู้คนได้เลือกสารการเผยพระวจนะบางส่วนเพื่อใส่ไว้ในพระคัมภีร์ และบางส่วนก็ได้สูญหายไป เนื่องจากมีผู้คนพูดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาได้พูดมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำไมบางส่วนจึงได้รับการพิจารณาว่าดี และบางส่วนได้รับการพิจารณาว่าไม่ดี? และทำไมบางส่วนจึงถูกเลือก และส่วนอื่นๆ จึงไม่ถูกเลือก? หากคำพูดเหล่านั้นเป็นพระวจนะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ตรัสจริงๆ จะจำเป็นหรือไม่ที่ผู้คนต้องเลือกคำพูดเหล่านั้น? ทำไมเรื่องราวของพระวจนะที่พระเยซูได้ตรัสและพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำจึงแตกต่างกันในแต่ละเล่มของข่าวประเสริฐทั้งสี่เล่ม? นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดของพวกที่บันทึกเรื่องราวเหล่านั้นหรอกหรือ? ผู้คนบางคนจะถามว่า "ในเมื่อบรรดาสารที่เขียนขึ้นโดยเปาโลและผู้ประพันธ์ท่านอื่นๆ แห่งพันธสัญญาใหม่ และงานที่พวกเขาได้ทำ บางส่วนเป็นผลมาจากความตั้งใจของมนุษย์ และถูกปลอมปนโดยมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ เช่นนั้นแล้ว ไม่มีมลทินของมนุษย์ดำรงอยู่ในพระวจนะที่พระองค์ (พระเจ้า) ตรัสในวันนี้หรอกหรือ? พระวจนะเหล่านั้นไม่มีมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ปนอยู่ด้วยจริงๆ หรือ?" พระราชกิจช่วงระยะนี้ซึ่งพระเจ้าได้ทรงทำไปแล้วนั้น แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากงานที่เปาโลและอัครทูตและผู้เผยพระวจนะมากมายได้ทำ ความแตกต่างไม่ได้มีเพียงในอัตลักษณ์เท่านั้น แต่โดยหลักแล้ว มีความแตกต่างในงานที่ดำเนินการ หลังจากเปาโลถูกบดขยี้และล้มลงเฉพาะพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์นำให้ทำงาน และเขาได้กลายเป็นผู้หนึ่งที่ได้ถูกส่งไป ดังนั้นเขาจึงได้เขียนสารไปที่คริสตจักรต่างๆ และสารเหล่านี้ทั้งหมดก็ได้ติดตามคำสอนต่างๆ ของพระเยซู เปาโลถูกองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งไปทำงานในพระนามขององค์พระเยซูเจ้า แต่เมื่อพระเจ้าพระองค์เองได้เสด็จมา พระองค์ไม่ได้ทรงพระราชกิจในพระนามใด และไม่ได้ทรงเป็นตัวแทนของผู้ใดนอกจากพระวิญญาณของพระเจ้าในพระราชกิจของพระองค์ พระเจ้าได้เสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์โดยตรง นั่นคือ พระองค์ไม่ได้ทรงถูกมนุษย์ทำให้มีความเพียบพร้อม และพระราชกิจของพระองค์ไม่ได้ถูกดำเนินการตามคำสอนของมนุษย์คนใด ในพระราชกิจช่วงระยะนี้ พระเจ้าไม่ได้ทรงนำโดยการตรัสถึงประสบการณ์ส่วนพระองค์ของพระองค์ แต่กลับดำเนินการพระราชกิจของพระองค์โดยตรง โดยสอดคล้องกับสิ่งที่พระองค์ทรงมีแทน ยกตัวอย่างเช่น การทดสอบของบรรดาคนปรนนิบัติ เวลาแห่งการตีสอน การทดสอบแห่งความตาย เวลาแห่งการรักพระเจ้า…นี่คือพระราชกิจทั้งหมดที่ไม่เคยทรงทำมาก่อน และเป็นพระราชกิจที่เป็นของยุคปัจจุบัน แทนที่จะเป็นประสบการณ์ต่างๆ ของมนุษย์ ในคำพูดที่เราได้พูดไปแล้ว อันไหนเล่าที่เป็นประสบการณ์ต่างๆ ของมนุษย์? พระวจนะเหล่านั้นทั้งหมดไม่ได้มาจากพระวิญญาณโดยตรงหรอกหรือ และพระวจนะเหล่านั้นไม่ได้ถูกพระวิญญาณทรงทำให้ปรากฏหรอกหรือ? มันเป็นเพียงว่าขีดความสามารถของเจ้านั้นต่ำเสียจนเจ้าไร้ความสามารถที่จะมองทะลุเข้าไปถึงความจริงได้! วิถีชีวิตซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงที่เราพูดถึงนั้นคือการนำเส้นทาง และไม่เคยถูกผู้ใดพูดถึงมาก่อน อีกทั้งไม่เคยมีผู้ใดได้เคยมีประสบการณ์กับเส้นทางนี้ หรือรู้จักความเป็นจริงนี้ ก่อนที่เราจะได้เปล่งคำพูดเหล่านี้ออกมา ไม่เคยมีใครได้พูดคำพูดเหล่านี้ ไม่เคยมีใครได้พูดถึงประสบการณ์เช่นนี้ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่เคยได้พูดรายละเอียดเช่นนี้ และนอกจากนั้น ไม่เคยมีผู้ใดได้ชี้ให้เห็นสภาวะเช่นนี้เพื่อเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ ไม่เคยมีใครได้นำไปบนเส้นทางที่เรานำไปในวันนี้ และหากมันถูกนำโดยมนุษย์ เช่นนั้นแล้วมันก็คงจะไม่ใช่ทางใหม่ทางหนึ่ง ดูเปาโลและเปโตรเป็นตัวอย่าง พวกเขาไม่ได้มีประสบการณ์ส่วนตัวของตัวเอง ก่อนที่พระเยซูทรงนำเส้นทาง เป็นเพียงหลังจากพระเยซูทรงนำเส้นทางเท่านั้นพวกเขาจึงได้มีประสบการณ์กับพระวจนะที่พระเยซูตรัส และเส้นทางที่พระองค์ทรงนำ จากการนี้พวกเขาได้รับประสบการณ์มากมาย และพวกเขาก็เขียนสารต่างๆ และดังนั้น ประสบการณ์ของมนุษย์จึงไม่เหมือนกับพระราชกิจของพระเจ้า และพระราชกิจของพระเจ้าก็ไม่เหมือนกับความรู้ที่มโนคติที่หลงผิดและประสบการณ์ของมนุษย์ได้บรรยายไว้ เราได้พูดครั้งแล้วครั้งเล่าว่า วันนี้เรากำลังนำเส้นทางใหม่ และกำลังทำงานใหม่ และงานและวาทะของเราแตกต่างจากงานและคำพูดของยอห์นและผู้เผยพระวจนะท่านอื่นๆ ทั้งหมด ไม่เคยเลยที่เราได้รับประสบการณ์ก่อนแล้วจึงพูดถึงประสบการณ์เหล่านั้นกับพวกเจ้า—นั่นไม่จริงเลยแม้แต่น้อย หากเป็นเช่นนั้นจริง นั่นจะไม่ได้หน่วงเหนี่ยวพวกเจ้านานมาแล้วหรอกหรือ? ในอดีตความรู้ที่หลายคนพูดถึงก็ได้รับการยกย่องเช่นกัน แต่คำพูดทั้งหมดของพวกเขาถูกพูดออกมาบนพื้นฐานของคำพูดของเหล่าผู้ที่เรียกกันว่าบุคคลสำคัญฝ่ายจิตวิญญาณ คำพูดเหล่านั้นไม่ได้นำทาง แต่มาจากประสบการณ์ของพวกเขา มาจากสิ่งที่พวกเขาได้เห็น และจากความรู้ของพวกเขา บางคนได้มีมโนคติที่หลงผิดของพวกเขา และบางคนประกอบด้วยประสบการณ์ที่พวกเขาได้สรุปรวมไว้ วันนี้ลักษณะงานของเราแตกต่างจากของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง เราไม่ได้มีประสบการณ์กับการถูกผู้อื่นนำ อีกทั้งเราก็ไม่ได้ยอมรับการถูกผู้อื่นทำให้มีความเพียบพร้อม นอกจากนั้น ทั้งหมดที่เราได้พูดและสามัคคีธรรมแล้วนั้นไม่เหมือนกับของผู้อื่นใด และไม่เคยมีผู้อื่นใดได้พูด วันนี้โดยไม่คำนึงถึงว่าพวกเจ้าเป็นใคร งานของเจ้าก็ดำเนินการไปบนพื้นฐานของคำพูดที่เราพูด หากปราศจากวาทะและงานเหล่านี้ ใครจะสามารถมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้ (การทดสอบของบรรดาคนปรนนิบัติ เวลาแห่งการตีสอน…) ได้เล่า และใครจะสามารถพูดถึงความรู้เช่นนี้ได้เล่า? เจ้าไม่สามารถเห็นการนี้จริงๆ หรือ? โดยไม่คำนึงถึงขั้นตอนของงาน ทันทีที่คำพูดของเราถูกพูด พวกเจ้าก็จะเริ่มต้นการสามัคคีธรรมโดยสอดคล้องกับคำพูดของเรา และทำงานโดยสอดคล้องกับคำพูดของเรา และมันก็ไม่ใช่หนทางที่พวกเจ้าคนใดคนหนึ่งได้นึกถึง เมื่อได้มาไกลจนถึงตอนนี้เจ้าไม่สามารถเห็นคำถามที่ชัดเจนและเรียบง่ายเช่นนี้หรอกหรือ? มันไม่ใช่หนทางที่บางคนได้คิดขึ้นมา อีกทั้งก็ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของทางของบุคคลสำคัญฝ่ายวิญญาณคนใด มันเป็นเส้นทางใหม่เส้นทางหนึ่ง และแม้แต่พระวจนะที่พระเยซูได้เคยตรัสไว้มากมายก็ไม่ได้ใช้กับเส้นทางนั้นอีกต่อไป สิ่งที่เราพูดคืองานเปิดยุคใหม่ยุคหนึ่ง และเป็นงานที่ยืนโดยลำพัง งานที่เราทำ และคำพูดที่เราพูด ล้วนใหม่ทั้งหมด นี่ไม่ใช่งานใหม่ของวันนี้หรอกหรือ? พระราชกิจของพระเยซูก็เป็นเช่นนี้ด้วยเช่นกัน พระราชกิจของพระองค์ก็แตกต่างจากงานของผู้คนในพระวิหารเช่นกัน และก็เช่นเดียวกันที่พระราชกิจของพระองค์แตกต่างจากงานของพวกฟาริสี และไม่ได้มีความคล้ายคลึงใดๆ กับงานที่ผู้คนแห่งประเทศอิสราเอลทั้งหมดได้ทำ หลังจากรู้เห็นพระราชกิจนั้นแล้ว ผู้คนไม่สามารถตัดสินใจได้ว่า "พระราชกิจนั้นถูกพระเจ้าทรงทำจริงๆ หรือ?" พระเยซูไม่ได้ทรงยึดถือธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์ เมื่อพระองค์ได้เสด็จมาเพื่อสอนมนุษย์ ทั้งหมดที่พระองค์ได้ตรัสนั้นใหม่และแตกต่างจากสิ่งที่เหล่าวิสุทธิชนและผู้เผยพระวจนะโบราณแห่งพันธสัญญาเดิมได้พูดไว้ และด้วยเหตุนี้ ผู้คนจึงยังคงไม่แน่ใจ นี่คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์ยากต่อการรับมือเหลือเกิน ก่อนที่จะยอมรับพระราชกิจขั้นตอนใหม่นี้ เส้นทางที่พวกเจ้าส่วนใหญ่ได้เดินไป คือการฝึกฝนปฏิบัติและเข้าสู่รากฐานของเส้นทางของบุคคลสำคัญฝ่ายวิญญาณเหล่านั้น แต่ในวันนี้ งานที่เราทำแตกต่างอย่างมาก และดังนั้นพวกเจ้าจึงไร้ความสามารถที่จะตัดสินใจได้ว่ามันถูกต้องหรือไม่ เราไม่ใส่ใจว่าเส้นทางอะไรที่เจ้าได้เดินไปก่อนหน้านี้ อีกทั้งเราไม่สนใจว่าเจ้าได้กิน "อาหาร" ของใคร หรือใครคือผู้ที่เจ้าได้ถือว่าเป็น "บิดา" ของเจ้า ในเมื่อเราได้มาและได้นำงานใหม่มาเพื่อนำทางมนุษย์ ทั้งหมดที่ติดตามเราต้องปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับสิ่งที่เราพูด ไม่สำคัญว่า "ครอบครัว" ที่เจ้ามาจากนั้นจะมีอำนาจมากเพียงใด เจ้าต้องติดตามเรา เจ้าต้องไม่ปฏิบัติตัวโดยสอดคล้องกับวิธีปฏิบัติแต่ก่อนของเจ้า "บิดาอุปถัมภ์" ของเจ้าควรลงจากตำแหน่ง และเจ้าควรมาอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าเพื่อแสวงหาส่วนแบ่งอันยุติธรรมของเจ้า ทั้งหมดทั้งมวลของเจ้าอยู่ในมือของเรา และเจ้าไม่ควรอุทิศการเชื่ออย่างมืดบอดมากเกินไปแก่บิดาอุปถัมภ์ของเจ้า เขาไม่สามารถควบคุมเจ้าได้อย่างครบบริบูรณ์ พระราชกิจของวันนี้ยืนอยู่โดยลำพัง ทั้งหมดที่เราพูดในวันนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานจากอดีต มันเป็นการเริ่มต้นใหม่ และหากเจ้าพูดว่ามันถูกสร้างขึ้นด้วยมือของมนุษย์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นผู้ที่ตาบอดจนเกินกว่าจะช่วยให้รอด!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ว่าด้วยเรื่องชื่อและอัตลักษณ์

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

วิดีโอประเภทอื่นๆ

Leave a Reply

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger