พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้า | บทตัดตอน 161

วันที่ 29 เดือน 12 ปี 2023

ในยุคพระคุณ พระเยซูได้ตรัสไว้หลายคำและทรงพระราชกิจมากมาย พระองค์ทรงแตกต่างจากอิสยาห์อย่างไร? พระองค์ทรงแตกต่างจากดาเนียลอย่างไร? พระองค์ทรงเป็นผู้เผยพระวจนะหรือไม่? ทำไมจึงพูดว่าพระองค์คือพระคริสต์? อะไรคือความแตกต่างระหว่างพวกเขา? พวกเขาล้วนเป็นบุรุษทุกคนที่กล่าวคำพูด และคำพูดของพวกเขาก็ปรากฏต่อมนุษย์เหมือนกันไม่มากก็น้อย พวกเขาทั้งหมดกล่าวคำพูดและทำงาน ผู้เผยพระวจนะในภาคพันธสัญญาเดิมได้กล่าวคำพยากรณ์ และในทำนองเดียวกัน พระเยซูก็ทรงสามารถทำเช่นนั้นได้ ทำไมจึงเป็นเช่นนี้? ความแตกต่างในที่นี้อยู่บนพื้นฐานของลักษณะของงาน เพื่อแยกแยะในเรื่องนี้ เจ้าต้องไม่พิจารณาธรรมชาติของเนื้อหนัง อีกทั้งเจ้าไม่ควรพิจารณาความลึกหรือความผิวเผินของคำพูดของพวกเขา เจ้าต้องพิจารณางานของพวกเขาและผลที่งานของพวกเขาสัมฤทธิ์ในมนุษย์ก่อนเสมอ คำพยากรณ์ที่ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวไว้ในเวลานั้นไม่ได้จัดหาชีวิตของมนุษย์ และการดลใจที่พวกเขา เช่น อิสยาห์และดาเนียล ได้รับนั้นเป็นเพียงคำพยากรณ์ และไม่ใช่วิถีชีวิต หากไม่ใช่เพื่อการเปิดเผยโดยตรงของพระยาห์เวห์ ก็คงไม่มีใครสามารถทำงานนั้นได้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ พระเยซูก็ได้ตรัสพระวจนะหลายคำเช่นกัน แต่คำพูดเช่นนี้เป็นวิถีชีวิตซึ่งมนุษย์สามารถหาเส้นทางไปสู่การปฏิบัติจากมันได้ นั่นก็คือการกล่าวว่า ประการแรก พระองค์ทรงสามารถจัดหาชีวิตของมนุษย์ได้เพราะพระเยซูทรงเป็นชีวิต ประการที่สอง พระองค์ทรงสามารถย้อนกลับการเบี่ยงเบนของมนุษย์ได้ ประการที่สาม พระราชกิจของพระองค์ทรงสามารถทำต่อจากพระราชกิจของพระยาห์เวห์เพื่อดำเนินการยุคต่อได้ ประการที่สี่ พระองค์ทรงสามารถจับความเข้าใจในสิ่งจำเป็นภายในมนุษย์และเข้าใจในสิ่งที่มนุษย์ขาดพร่อง ประการที่ห้า พระองค์ทรงสามารถนำมาซึ่งยุคใหม่และสรุปปิดตัวยุคเก่า นั่นคือเหตุผลที่พระองค์ทรงถูกเรียกว่าพระเจ้าและพระคริสต์ พระองค์ไม่เพียงทรงแตกต่างจากอิสยาห์เท่านั้น แต่ทรงแตกต่างจากผู้เผยพระวจนะท่านอื่นๆ ทั้งหมดอีกด้วย ลองดูอิสยาห์เป็นตัวเปรียบเทียบสำหรับงานของบรรดาผู้เผยพระวจนะ ประการแรก เขาไม่สามารถจัดหาชีวิตของมนุษย์ ประการที่สอง เขาไม่สามารถนำมาซึ่งยุคใหม่ เขาทำงานภายใต้การนำของพระยาห์เวห์และไม่ใช่เพื่อการนำมาซึ่งยุคใหม่ ประการที่สาม คำพูดที่เขากล่าวนั้นอยู่เหนือเขา เขาได้รับการเปิดเผยโดยตรงจากพระวิญญาณของพระเจ้า และคนอื่นๆ จะไม่เข้าใจ แม้จะได้ฟังคำพูดเหล่านั้น เพียงแค่ไม่กี่สิ่งเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าคำพูดของเขาไม่ได้เป็นมากกว่าคำพยากรณ์ ไม่ได้เป็นมากกว่าแง่มุมหนึ่งของงานที่ถูกทำแทนที่ของพระยาห์เวห์ อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระยาห์เวห์ได้อย่างสมบูรณ์ เขาเป็นผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ เป็นเครื่องมือในพระราชกิจของพระยาห์เวห์ เขาเพียงแค่กำลังทำงานในยุคธรรมบัญญัติและภายในขอบเขตของพระราชกิจของพระยาห์เวห์ เขาไม่ได้ทำงานเกินเลยยุคธรรมบัญญัติ ในทางตรงกันข้าม พระราชกิจของพระเยซูแตกต่างออกไป พระองค์ทรงอยู่เหนือขอบเขตของพระราชกิจของพระยาห์เวห์ พระองค์ทรงพระราชกิจเสมือนพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์และก้าวผ่านการตรึงกางเขนเพื่อไถ่มวลมนุษย์ทั้งหมด กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระองค์ได้ทรงดำเนินการพระราชกิจใหม่นอกพระราชกิจที่พระยาห์เวห์ทรงทำ นี่คือการนำมาซึ่งยุคใหม่ นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงสามารถตรัสถึงสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้ พระราชกิจของพระองค์เป็นพระราชกิจภายในการบริหารจัดการของพระเจ้าและเกี่ยวข้องกับมวลมนุษย์ทั้งหมด พระองค์ไม่ได้ทรงพระราชกิจในมนุษย์เพียงไม่กี่คน อีกทั้งพระราชกิจของพระองค์ก็ไม่ได้มีไว้เพื่อนำทางมนุษย์จำนวนจำกัด ในส่วนของวิธีที่พระเจ้าทรงจุติเป็นมนุษย์ วิธีที่พระวิญญาณทรงมอบวิวรณ์ในเวลานั้น และวิธีที่พระวิญญาณทรงเคลื่อนลงสถิตบนบุรุษหนึ่งเพื่อทรงพระราชกิจ—เหล่านี้เป็นเรื่องที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้ มันเป็นไปไม่ได้อย่างที่สุดที่ความจริงเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นบทพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ ดังนั้น ความแตกต่างสามารถทำขึ้นได้ท่ามกลางพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งเป็นรูปธรรมสำหรับมนุษย์ นี่เท่านั้นที่เป็นจริง นี่เป็นเพราะเรื่องของพระวิญญาณนั้นไม่สามารถมองเห็นได้สำหรับเจ้าและมีพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงรู้จักอย่างชัดเจน และแม้แต่เนื้อหนังในพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ก็ทรงรู้ไม่ทั้งหมด เจ้าสามารถเพียงแค่ตรวจสอบยืนยันได้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าหรือไม่จากพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำไปแล้ว จากพระราชกิจของพระองค์ จะเห็นได้ว่า ประการแรก พระองค์ทรงสามารถเปิดฉากยุคใหม่ ประการที่สอง พระองค์ทรงสามารถจัดหาชีวิตของมนุษย์และแสดงให้มนุษย์เห็นหนทางที่จะติดตามไป นี่เพียงพอที่จะยืนยันว่าพระองค์คือพระเจ้าพระองค์เอง อย่างน้อยที่สุด พระราชกิจที่พระองค์ทรงทำก็สามารถเป็นตัวแทนของพระวิญญาณของพระเจ้าได้อย่างเต็มที่ และจากพระราชกิจเช่นนี้ จะเห็นได้ว่าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงอยู่ภายในพระองค์ เมื่อพระราชกิจที่พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ทรงทำโดยหลักแล้วเป็นไปเพื่อนำมาซึ่งยุคใหม่ นำพระราชกิจใหม่ และเปิดฉากอาณาจักรใหม่ เหล่านี้เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะยืนยันว่าพระองค์คือพระเจ้าพระองค์เอง ดังนั้น นี่จึงทำให้พระองค์ทรงแตกต่างจากอิสยาห์ ดาเนียล และผู้เผยพระวจนะที่ยิ่งใหญ่ท่านอื่นๆ อิสยาห์ ดาเนียล และท่านอื่นๆ ล้วนอยู่ในกลุ่มคนที่มีการศึกษาและมีวัฒนธรรมสูงส่ง พวกเขาเป็นกลุ่มคนพิเศษภายใต้การนำของพระยาห์เวห์ เนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ก็มีความรู้สูงและไม่ขาดสำนึกรับรู้เช่นกัน แต่สภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์เป็นปกติโดยเฉพาะ พระองค์ทรงเป็นคนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง และตาเปล่าไม่สามารถหยั่งรู้สภาวะความเป็นมนุษย์พิเศษใดๆ เกี่ยวกับพระองค์หรือสืบหาสิ่งใดในสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ที่ไม่เหมือนกับสภาวะความเป็นมนุษย์ของคนอื่นๆ พระองค์ไม่ได้ทรงเหนือธรรมชาติหรือมีเอกลักษณ์เฉพาะใดๆ และพระองค์ไม่ทรงมีการศึกษาสูง ความรู้ หรือทฤษฎีใดๆ ชีวิตที่พระองค์ตรัสถึงและเส้นทางที่พระองค์ทรงใช้ไม่ได้ได้มาโดยผ่านทางทฤษฎี โดยผ่านทางความรู้ โดยผ่านทางประสบการณ์ชีวิต หรือโดยผ่านทางการเลี้ยงดูโดยครอบครัว แต่ตรงกันข้าม พวกนั้นเป็นพระราชกิจโดยตรงของพระวิญญาณ ซึ่งเป็นงานของเนื้อหนังที่ทรงจุติ เป็นเพราะมนุษย์มีมโนคติที่หลงผิดใหญ่หลวงเกี่ยวกับพระเจ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะมโนคติเหล่านี้สร้างขึ้นจากองค์ประกอบที่คลุมเครือและเหนือธรรมชาติมากเกินไปจนกระทั่ง ในสายตาของมนุษย์ พระเจ้าปกติองค์หนึ่งพร้อมความอ่อนแอของมนุษย์ ซึ่งไม่สามารถสร้างหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ย่อมไม่ใช่พระเจ้าอย่างแน่นอน เหล่านี้ไม่ใช่มโนคติที่ผิดพลาดของมนุษย์หรอกหรือ? หากเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ไม่ได้เป็นคนธรรมดา เช่นนั้นแล้ว จะสามารถกล่าวว่าพระองค์ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ได้อย่างไร? การมีสภาพเนื้อหนังคือการเป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญคนหนึ่ง หากพระองค์ทรงเคยเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าแล้ว เช่นนั้นแล้วพระองค์คงจะทรงไม่ได้รับสภาพเนื้อหนัง เพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นของฝ่ายเนื้อหนัง พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ทรงจำเป็นต้องมีเนื้อหนังปกติ นี่เป็นเพียงการทำให้นัยสำคัญของการทรงจุติเป็นมนุษย์ครบถ้วนบริบูรณ์ อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่กรณีของบรรดาผู้เผยวจนะและบุตรมนุษย์ พวกเขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้ ในสายตาของมนุษย์ สภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขานั้นยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ และพวกเขาแสดงการกระทำหลายอย่างที่เหนือกว่าความเป็นมนุษย์ธรรมดา ด้วยเหตุผลนี้ มนุษย์จึงถือว่าพวกเขาเป็นพระเจ้า บัดนี้ พวกเจ้าทั้งหมดต้องเข้าใจการนี้อย่างชัดเจน เพราะมันเป็นประเด็นที่สับสนได้ง่ายที่สุดของมนุษย์ทุกคนในยุคที่ผ่านไป นอกจากนี้ การทรงจุติเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่ล้ำลึกที่สุดของทุกสรรพสิ่ง และพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากที่สุดสำหรับมนุษย์ สิ่งที่เรากล่าวช่วยชักนำไปสู่การทำให้ภารกิจของพวกเจ้าและความเข้าใจของพวกเจ้าเกี่ยวกับความล้ำลึกของการทรงจุติเป็นมนุษย์ลุล่วง ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของพระเจ้า กับนิมิต ความเข้าใจของพวกเจ้าเกี่ยวกับการนี้จะมีประโยชน์มากขึ้นต่อการได้รับความรู้เกี่ยวกับนิมิต ซึ่งก็คือพระราชกิจการบริหารจัดการของพระเจ้านั่นเอง ด้วยวิธีนี้ พวกเจ้าจะได้รับความเข้าใจมากมายเกี่ยวกับหน้าที่ที่ผู้คนหลากหลายประเภทควรปฏิบัติอีกด้วย แม้ว่าคำพูดเหล่านี้จะไม่แสดงอย่างตรงไปตรงมาให้พวกเจ้าเห็นหนทาง แต่ก็ยังคงช่วยพวกเจ้าได้มากสำหรับการเข้าสู่ของพวกเจ้า เพราะชีวิตปัจจุบันของพวกเจ้ายังขาดนิมิตอยู่มาก และนี่จะกลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่กีดกันการเข้าสู่ของพวกเจ้า หากพวกเจ้าไร้ความสามารถที่จะเข้าใจประเด็นเหล่านี้ได้แล้ว เช่นนั้นแล้วก็จะไม่มีแรงจูงใจในการขับเคลื่อนการเข้าสู่ของพวกเจ้า และการไล่ตามเสาะหาเช่นนี้จะสามารถช่วยให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าลุล่วงอย่างดีที่สุดได้อย่างไร?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

Leave a Reply

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger