พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้า | บทตัดตอน 146

วันที่ 03 เดือน 02 ปี 2024

การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าควรมีมาตรฐานต่างๆ และวัตถุประสงค์หนึ่งในการไล่ตามเสาะหาของเจ้า เจ้าควรรู้จักวิธีที่จะแสวงหาหนทางที่แท้จริง วิธีที่จะวัดได้ว่านั่นเป็นหนทางที่แท้จริงหรือไม่ และนั่นเป็นพระราชกิจของพระเจ้าหรือไม่ หลักการพื้นฐานที่สุดในการแสวงหาหนทางที่แท้จริงคืออะไร? เจ้าต้องมองไปที่ว่ามีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในหนทางนี้หรือไม่ ว่าวจนะเหล่านี้เป็นการแสดงออกถึงความจริงหรือไม่ ผู้ใดได้รับการเป็นพยานให้ และมันสามารถนำสิ่งใดมาให้เจ้าได้ การแยกแยะระหว่างหนทางที่แท้จริงและหนทางที่เป็นเท็จนั้นจำเป็นต้องใช้ความรู้พื้นฐานหลายแง่มุม ซึ่งสิ่งที่เป็นรากฐานที่สุดของมันก็คือการบอกได้ว่าพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์มีอยู่ในนั้นหรือไม่ เพราะเนื้อแท้ของการเชื่อของผู้คนในพระเจ้าคือการเชื่อในพระวิญญาณของพระเจ้า และแม้กระทั่งการเชื่อของพวกเขาในพระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ก็เป็นเพราะว่าเนื้อหนังนี้เป็นร่างจำแลงของพระวิญญาณของพระเจ้า ซึ่งหมายความว่าการเชื่อดังกล่าวยังคงเป็นการเชื่อในพระวิญญาณ มีความแตกต่างหลายประการระหว่างพระวิญญาณและเนื้อหนัง แต่เพราะว่าเนื้อหนังนี้มาจากพระวิญญาณ และเป็นพระวจนะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ด้วยเหตุนี้เอง สิ่งที่มนุษย์เชื่อจึงยังคงเป็นเนื้อแท้ภายในของพระเจ้า ดังนั้นในการแยกแยะว่ามันเป็นหนทางที่แท้จริงหรือไม่ เหนือสิ่งอื่นใดเจ้าต้องมองไปที่ว่ามันมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ ซึ่งหลังจากนั้นเจ้าต้องมองไปที่ว่ามีความจริงอยู่ในหนทางนั้นหรือไม่ ความจริงนั้นเป็นอุปนิสัยชีวิตของความเป็นมนุษย์ปกติ นั่นคือ สิ่งที่ถูกเรียกร้องจากมนุษย์เมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างเขาในปฐมกาล กล่าวคือสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติในความครบถ้วนบริบูรณ์ของมัน (ซึ่งรวมถึงสำนึกรับรู้แบบมนุษย์ ความเข้าใจเชิงลึก สติปัญญา และความรู้พื้นฐานของการเป็นมนุษย์) นั่นคือ เจ้าจำเป็นต้องมองไปที่ว่าหนทางนี้สามารถนำผู้คนไปสู่ชีวิตแห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติได้หรือไม่ ว่าความจริงที่ถูกกล่าวถึงนั้นเป็นที่พึงประสงค์ตามความเป็นจริงแห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติหรือไม่ ว่าความจริงนี้สัมพันธ์กับชีวิตจริงและเป็นจริงหรือไม่ และว่ามันเหมาะสมแก่เวลามากที่สุดหรือไม่ หากมีความจริงอยู่ เช่นนั้นแล้ว มันก็สามารถนำผู้คนไปสู่ประสบการณ์ต่างๆ ที่ปกติและเป็นจริง ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนก็จะกลายเป็นปกติมากขึ้นทุกที สำนึกรับรู้แบบมนุษย์ของพวกเขาก็จะกลายเป็นครบบริบูรณ์มากขึ้นทุกที ชีวิตของพวกเขาในเนื้อหนังและชีวิตฝ่ายวิญญาณก็กลายเป็นมีระเบียบมากขึ้นทุกที และอารมณ์ต่างๆ ของพวกเขาจะกลายเป็นปกติมากขึ้นทุกที นี่คือหลักการข้อที่สอง มีหลักการอีกข้อหนึ่ง ซึ่งก็คือว่าผู้คนมีความรู้ที่เพิ่มขึ้นในเรื่องพระเจ้าหรือไม่ และว่าการได้รับประสบการณ์กับงานและความจริงดังกล่าวสามารถบันดาลใจให้เกิดความรักต่อพระเจ้าในตัวพวกเขาและนำพวกเขาให้เข้าใกล้พระเจ้าได้มากขึ้นทุกทีหรือไม่ ในการนี้ ก็สามารถวัดได้ว่าหนทางนี้เป็นหนทางที่แท้จริงหรือไม่ ที่เป็นรากฐานมากที่สุดก็คือว่าหนทางนี้สมจริงมากกว่าที่จะเหนือธรรมชาติหรือไม่ และว่ามันสามารถจัดเตรียมเพื่อชีวิตของมนุษย์ได้หรือไม่ หากมันสอดคล้องกับหลักการเหล่านี้ ก็จะได้ข้อสรุปว่าหนทางนี้คือหนทางที่แท้จริง เรากล่าววจนะเหล่านี้มิใช่เพื่อทำให้พวกเจ้ายอมรับหนทางอื่นๆ ในประสบการณ์ต่างๆ ในอนาคตของพวกเจ้า และไม่ใช่เป็นการทำนายว่าจะมีงานของยุคใหม่อีกยุคหนึ่งในอนาคต เรากล่าววจนะเหล่านี้เพื่อที่พวกเจ้าจะได้แน่ใจว่าหนทางแห่งวันนี้เป็นหนทางที่แท้จริง เพื่อที่พวกเจ้าจะไม่เพียงแน่ใจแค่บางส่วนในความเชื่อของพวกเจ้าในงานแห่งวันนี้และไม่สามารถที่จะได้รับความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับมัน มีคนมากมายด้วยซ้ำที่ถึงแม้จะแน่ใจแล้ว แต่ยังคงติดตามอยู่ในความสับสน ความแน่ใจดังกล่าวไม่มีหลักการอยู่เลย และผู้คนเช่นนั้นต้องถูกกำจัดทิ้งไม่ช้าก็เร็ว แม้แต่คนเหล่านั้นที่ไฟแรงเป็นพิเศษในการติดตามของพวกเขาก็ยังแน่ใจสามส่วนและไม่แน่ใจห้าส่วน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่มีรากฐาน เพราะขีดความสามารถของพวกเจ้านั้นต่ำเกินไปและรากฐานของพวกเจ้าตื้นเกินไป พวกเจ้าจึงไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับการแยกแยะความแตกต่างเลย พระเจ้าไม่ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ซ้ำ พระองค์ไม่ทรงกระทำพระราชกิจที่ไม่สมจริง พระองค์ไม่กำหนดข้อพึงประสงค์ที่มากเกินไปจากมนุษย์ และพระองค์ไม่ทรงกระทำพระราชกิจที่อยู่เหนือสำนึกรับรู้ของมนุษย์ พระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงกระทำอยู่ภายในวงเขตแห่งสำนึกรับรู้ปกติของมนุษย์ และไม่เกินสำนึกรับรู้แห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ และพระราชกิจของพระองค์ดำเนินไปตามข้อพึงประสงค์ต่างๆ ที่ปกติของมนุษย์ หากมันเป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้คนก็จะกลายเป็นปกติมากขึ้นทุกที และสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาก็จะกลายเป็นปกติมากขึ้นทุกที ผู้คนได้ความรู้ที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเขา และเกี่ยวกับแก่นแท้ของมนุษย์ และพวกเขายังได้รับการถวิลหาความจริงที่มากขึ้นทุกทีอีกด้วย กล่าวคือ ชีวิตของมนุษย์เติบโตขึ้นเรื่อยๆ และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ก็กลายเป็นสามารถเปลี่ยนแปลงได้มากขึ้นเรื่อยๆ—ซึ่งทั้งหมดนี้คือความหมายของการที่พระเจ้าทรงกลายเป็นชีวิตของมนุษย์ หากหนทางหนึ่งไม่สามารถที่จะเปิดเผยบรรดาสิ่งที่เป็นแก่นแท้ของมนุษย์ได้ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของมนุษย์ได้ และยิ่งไปกว่านั้น ไม่สามารถที่จะนำผู้คนไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าหรือให้ความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าแก่พวกเขาได้ และแม้กระทั่งทำให้ความเป็นมนุษย์ของพวกเขากลายเป็นต่ำต้อยลงทุกทีและทำให้สำนึกรับรู้ของพวกเขาผิดปกติมากขึ้นทุกที เช่นนั้นแล้ว หนทางนี้ก็ต้องไม่ใช่หนทางที่แท้จริง และมันอาจเป็นงานของวิญญาณชั่ว หรือเป็นหนทางเก่า กล่าวโดยสรุปคือ มันไม่สามารถเป็นพระราชกิจในปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ พวกเจ้าได้เชื่อในพระเจ้ามาตลอดหลายปีนี้ กระนั้นพวกเจ้าก็ไม่ระแคะระคายถึงหลักการต่างๆ ในการแยกแยะความแตกต่างระหว่างหนทางที่แท้จริงและหนทางที่เป็นเท็จ หรือในการแสวงหาหนทางที่แท้จริง ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สนใจในเรื่องเหล่านี้ด้วยซ้ำ พวกเขาแค่ไปในที่ซึ่งคนส่วนใหญ่ไปกัน และพูดตามสิ่งที่คนส่วนใหญ่พูด ใครบางคนที่แสวงหาหนทางที่แท้จริงนี้เป็นอย่างไรเล่า? และผู้คนเช่นนั้นจะสามารถพบหนทางที่แท้จริงได้อย่างไร? หากพวกเจ้าจับใจความหลักการที่เป็นกุญแจสำคัญต่างๆ เหล่านี้ เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเจ้าก็จะไม่ถูกหลอกลวง วันนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งที่ผู้คนต้องสามารถแยกแยะความแตกต่างได้ นี่เป็นสิ่งที่สภาวะความเป็นมนุษย์ปกติควรครอง และนี่คือสิ่งที่ผู้คนต้องครองในประสบการณ์ของตน หากแม้ในวันนี้ ผู้คนยังคงไม่แยกแยะสิ่งใดเลยในกระบวนการแห่งการติดตาม และหากสำนึกรับรู้แบบมนุษย์ของพวกเขายังคงไม่เติบโต เช่นนั้นแล้วผู้คนก็โง่เขลาเกินไป และการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาก็เป็นการเข้าใจผิดและเบี่ยงเบน ไม่มีการแยกแยะความแตกต่างแม้แต่น้อยในการไล่ตามเสาะหาของเจ้าวันนี้ และในขณะที่มันเป็นความจริงตามที่เจ้ากล่าวว่าเจ้าได้พบหนทางที่แท้จริงแล้ว เจ้าได้รับมันมาแล้วอย่างนั้นหรือ? เจ้าสามารถที่จะแยกแยะสิ่งใดได้แล้วหรือ? เนื้อแท้ของหนทางที่แท้จริงนั้นคือสิ่งใด? ในหนทางที่แท้จริงนั้น เจ้ายังไม่ได้รับหนทางที่แท้จริงเลย เจ้ายังไม่ได้มาซึ่งสิ่งใดของความจริงเลย กล่าวคือ เจ้ายังไม่สัมฤทธิ์ผลสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากเจ้า และด้วยเหตุนี้จึงไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดเลยในความเสื่อมทรามของเจ้า หากเจ้ายังไล่ตามเสาะหาในหนทางนี้อยู่ต่อไป เจ้าก็จะถูกกำจัดทิ้งในที่สุด เมื่อได้ติดตามมาจนถึงวันนี้แล้ว เจ้าควรแน่ใจว่าหนทางที่เจ้าได้ใช้เดินนั้นเป็นหนทางที่ถูกต้อง และไม่ควรมีข้อกังขาเพิ่มเติมอีก ผู้คนมากมายไม่แน่ใจอยู่เสมอและหยุดไล่ตามเสาะหาความจริงเพราะเรื่องเล็กๆ บางเรื่อง ผู้คนเช่นนั้นคือบรรดาผู้ที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาเป็นบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าในความสับสน ผู้คนที่ไม่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้าย่อมไม่สามารถที่จะเป็นคนสนิทของพระองค์ได้ หรือที่จะเป็นคำพยานต่อพระองค์ได้ เราขอแนะนำบรรดาผู้ที่เพียงแต่แสวงหาพระพรทั้งหลายและเพียงแต่ไล่ตามเสาะหาสิ่งที่คลุมเครือและเป็นนามธรรมเท่านั้นให้ไล่ตามเสาะหาความจริงโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่ชีวิตของพวกเขาจะได้มีความหมาย พวกเจ้าจงอย่าหลอกตัวเองอีกต่อไปเลย!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่รู้จักพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์เท่านั้นที่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

Leave a Reply

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger