พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การรู้จักพระเจ้า | บทตัดตอน 145

วันที่ 29 เดือน 05 ปี 2021

มัทธิว 4:5-7 แล้วมารก็นำพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์ และให้พระองค์ประทับที่ยอดหลังคาพระวิหาร แล้วทูลพระองค์ว่า "ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงกระโดดลงไป เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า 'พระเจ้าจะรับสั่งเรื่องท่านต่อบรรดาทูตสวรรค์ของพระองค์ และทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ ไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน'" พระเยซูจึงตรัสตอบว่า "พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า 'อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน'"

ก่อนอื่นพวกเรามาดูคำพูดที่ซาตานได้กล่าวไว้ตรงนี้กันเถิด ซาตานได้พูดว่า "ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงกระโดดลงไป" และต่อมามันได้อ้างคำพูดจากคัมภีร์ทั้งหลายว่า "พระเจ้าจะรับสั่งเรื่องท่านต่อบรรดาทูตสวรรค์ของพระองค์ และทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ ไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน" เจ้ารู้สึกอย่างไรเมื่อเจ้าได้ยินคำพูดของซาตาน? คำพูดเหล่านั้นเป็นเหมือนเด็กไม่รู้จักโตอย่างยิ่งมิใช่หรือ? คำพูดเหล่านั้นเป็นเหมือนเด็กไม่รู้จักโต วิปริต และน่าขยะแขยง เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้? ซาตานมักทำสิ่งที่โง่เขลาทั้งหลาย และมันเชื่อว่าตัวมันเองหลักแหลมมาก บ่อยครั้งที่มันอ้างคำพูดทั้งหลายจากคัมภีร์—แม้กระทั่งพระวจนะที่พระเจ้าตรัสเอง—โดยพยายามที่จะพลิกพระวจนะเหล่านั้นกลับมาหาพระเจ้าเพื่อโจมตีพระองค์และเพื่อทดลองพระองค์ด้วยความพยายามที่จะสัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ของมันในการก่อวินาศกรรมต่อแผนการแห่งพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าสามารถมองเห็นสิ่งใดในคำพูดเหล่านี้ที่ซาตานพูดหรือไม่? (ซาตานเก็บงำเจตนาชั่วเอาไว้) ในทุกสิ่งที่ซาตานทำนั้น มันได้พยายามที่จะทดลองมวลมนุษย์อยู่เสมอ ซาตานไม่ได้พูดอย่างตรงไปตรงมา แต่พูดในหนทางที่อ้อมค้อมโดยใช้การทดลอง การหลอกล่อ และการล่อลวง ซาตานนำการทดลองของมันเข้าหาพระเจ้าราวกับว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ธรรมดา โดยเชื่อว่าพระองค์ย่อมไม่ทรงรู้เท่าทัน ทรงโง่เขลา และไม่ทรงสามารถแยกแยะรูปสัณฐานที่แท้จริงของสิ่งทั้งหลายได้อย่างชัดเจนไม่ผิดกับที่มนุษย์ก็ไม่มีความสามารถแยกแยะได้เช่นกัน ซาตานคิดว่าพระเจ้าและมนุษย์ก็เหมือนกันที่ไม่มีความสามารถที่จะมองทะลุถึงธาตุแท้ของมันและความหลอกลวงและเจตนาส่อแววร้ายของมัน นี่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นความโง่เขลาของซาตานหรอกหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น ซาตานอ้างคำพูดจากคัมภีร์ทั้งหลายอย่างเปิดเผย โดยเชื่อว่าการทำเช่นนั้นจะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับมัน และว่าเจ้าจะไม่สามารถจับข้อตำหนิใดๆ ในคำพูดของมันหรือหลีกเลี่ยงการถูกหลอกได้ นี่ไม่ใช่ความไร้สาระและความเป็นเด็กไม่รู้จักโตของซาตานหรอกหรือ? การนี้เป็นเหมือนกันไม่มีผิดกับตอนที่ผู้คนเผยแพร่ข่าวประเสริฐและเป็นพยานต่อพระเจ้า กล่าวคือ บางครั้งพวกผู้ปราศจากความเชื่อก็พูดบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกันกับสิ่งที่ซาตานพูดไม่ใช่หรือ? พวกเจ้าได้ยินผู้คนพูดบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกันแล้วหรือไม่? เจ้ารู้สึกอย่างไรเมื่อเจ้าได้ยินสิ่งทั้งหลายดังกล่าวนั้น? เจ้ารู้สึกขยะแขยงใช่หรือไม่? (ใช่) เมื่อเจ้ารู้สึกขยะแขยง เจ้าก็รู้สึกไม่ชอบและเกลียดชังใช่หรือไม่? เมื่อเจ้ามีความรู้สึกเหล่านี้เจ้าสามารถระลึกได้หรือไม่ว่าซาตานและอุปนิสัยเสื่อมทรามที่ซาตานทำงานเข้าไปในตัวมนุษย์นั้นเป็นความเลว? ในหัวใจของเจ้า เจ้าเคยมีความตระหนักนี้หรือไม่ว่า "เมื่อซาตานพูด มันทำเช่นนั้นเพื่อให้เป็นการโจมตีและการทดลอง คำพูดของซาตานนั้นไร้สาระ น่าหัวเราะ เป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต และน่าขยะแขยง อย่างไรก็ตาม พระเจ้าคงจะไม่มีวันตรัสหรือทรงพระราชกิจในหนทางเช่นนั้น และที่จริงแล้วพระองค์ก็ไม่เคยทรงทำเช่นนั้น"? แน่นอนว่า ในสถานการณ์นี้ผู้คนมีความสามารถสำนึกรับรู้ถึงมันได้เพียงเลือนรางเท่านั้น และยังคงไม่มีความสามารถที่จะจับความเข้าใจความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้ นั่นไม่เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ? ด้วยวุฒิภาวะปัจจุบันของพวกเจ้านั้น พวกเจ้าแค่รู้สึกว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าตรัสคือความจริง เป็นประโยชน์ต่อพวกเรา และพวกเราต้องยอมรับการนั้น" ไม่ว่าเจ้าจะสามารถยอมรับการนี้ได้หรือไม่ก็ตาม เจ้าพูดโดยไม่มีการยกเว้นว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง แต่เจ้าไม่รู้ว่าความจริงโดยตัวของมันเองนั้นบริสุทธิ์และว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์

ดังนั้น การโต้ตอบของพระเยซูต่อคำพูดเหล่านี้ของซาตานเป็นอย่างไร? พระเยซูได้ตรัสกับมันว่า "พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า 'อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน'" มีความจริงในพระวจนะเหล่านี้ที่พระเยซูตรัสหรือไม่? (มี) มีความจริงอยู่ในพระวจนะเหล่านี้ โดยผิวเผินแล้ว พระวจนะเหล่านี้เป็นพระบัญชาหนึ่งสำหรับผู้คนที่จะติดตาม เป็นวลีที่เรียบง่าย แต่กระนั้นอย่างไรก็ตาม ทั้งมนุษย์และซาตานมักทำให้พระวจนะเหล่านี้ขุ่นเคืองบ่อยครั้ง ดังนั้น องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสกับซาตานว่า "อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน" เพราะการนี้เป็นสิ่งที่ซาตานทำบ่อยครั้ง โดยพยายามอย่างหนักขณะที่มันดำเนินการเรื่องนี้ สามารถกล่าวได้ว่าซาตานทำการนี้อย่างหน้าไม่อายและปราศจากความละอาย มันอยู่ในธรรมชาติที่เป็นแก่นแท้ของซาตานที่ไม่ยำเกรงพระเจ้าและที่ไม่มีความเคารพต่อพระเจ้าในหัวใจของมัน ถึงแม้เมื่อซาตานได้ยืนเคียงข้างพระเจ้าและสามารถมองเห็นพระองค์ มันก็อดไม่ได้ที่ตัวมันจะทำการทดลองพระเจ้า เพราะฉะนั้น องค์พระเยซูเจ้าจึงได้ตรัสกับซาตานว่า "อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน" เหล่านี้คือพระวจนะที่พระเจ้าได้ตรัสกับซาตานบ่อยครั้ง ดังนั้น มันถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ที่จะนำวลีนี้มาประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน? (ใช่ เพราะพวกเราก็มักจะทดลองพระเจ้าบ่อยครั้งด้วยเช่นกัน) เหตุใดผู้คนจึงมักจะทดลองพระเจ้าอยู่บ่อยๆ? นั่นเป็นเพราะผู้คนเต็มไปด้วยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเยี่ยงซาตานใช่หรือไม่? (ใช่) ดังนั้นคำพูดของซาตานข้างต้นเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนมักพูดบ่อยครั้งใช่หรือไม่? และผู้คนพูดคำพูดเหล่านี้ในสถานการณ์ใด? คนเราอาจสามารถพูดได้ว่าผู้คนพูดสิ่งทั้งหลายเช่นนี้มาโดยตลอดโดยไม่คำนึงถึงเวลาและสถานที่ นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าอุปนิสัยของผู้คนนั้นไม่แตกต่างไปจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานเลย องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสพระวจนะซึ่งเรียบง่ายไม่กี่คำ พระวจนะซึ่งเป็นตัวแทนของความจริง พระวจนะซึ่งผู้คนจำเป็นต้องมี อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์นี้ องค์พระเยซูเจ้ากำลังตรัสในหนทางเช่นนี้เพื่อโต้เถียงกับซาตานกระนั้นหรือ? มีสิ่งใดที่เป็นการเผชิญหน้าด้วยความรุนแรงอยู่ในสิ่งที่พระองค์ตรัสกับซาตานหรือไม่? (ไม่มี) องค์พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกอย่างไรในพระทัยของพระองค์เกี่ยวกับการทดลองของซาตาน? พระองค์ทรงรู้สึกขยะแขยงและผลักไสหรือไม่? (ใช่) องค์พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกผลักไสและขยะแขยง แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็มิได้ทรงโต้เถียงกับซาตาน และนับประสาอะไรที่พระองค์จะได้ตรัสถึงหลักการยิ่งใหญ่อันใด เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า? (ก็เพราะซาตานเป็นเช่นนี้เสมอ มันไม่เคยเปลี่ยนแปลงได้เลย) กล่าวได้หรือไม่ว่าซาตานไม่สะทกสะท้านกับเหตุผล? (ใช่) ซาตานสามารถระลึกได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง? ซาตานจะไม่มีวันระลึกได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริงและจะไม่มีวันยอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง นี่คือธรรมชาติของมัน ยังมีอีกแง่มุมหนึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติของซาตานที่น่าผลักไส สิ่งนั้นคืออะไรหรือ? ในความพยายามของมันที่จะทดลององค์พระเยซูเจ้านั้น ซาตานได้คิดไปว่าต่อให้มันไม่ได้ประสบความสำเร็จ แต่ถึงอย่างนั้น มันก็จะยังคงพยายามทำเช่นนั้นอยู่ แม้ว่ามันจะถูกลงโทษ แต่มันก็ได้เลือกแล้วที่จะลองพยายาม แม้ว่ามันคงจะไม่ได้รับข้อได้เปรียบเลยจากการทำเช่นนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็จะลองพยายาม ยืนกรานในความพยายามของมันและยืนหยัดต่อต้านพระเจ้าจนถึงที่สุด นี่คือธรรมชาติจำพวกใดกัน? มันไม่ใช่ความชั่วหรอกหรือ? หากมนุษย์กลายเป็นโกรธเกรี้ยวและบันดาลโทสะขึ้นมาเมื่อมีการกล่าวเปรยถึงพระเจ้า เขาได้เห็นพระเจ้าแล้วหรือไร? เขารู้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ใด? เขาไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ใด ไม่เชื่อในพระองค์ และพระเจ้าไม่ได้ตรัสกับเขา พระเจ้าไม่เคยสร้างปัญหาให้เขา ดังนั้นเหตุใดเขาจึงต้องโมโห? พวกเราสามารถพูดได้หรือไม่ว่าบุคคลผู้นี้ชั่ว? กระแสนิยมทางโลก การกิน การดื่ม และการแสวงหาความหรรษายินดี การไล่ตามคนเด่นคนดัง—ไม่มีสิ่งใดในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่จะทำให้ผู้คนเช่นนั้นรู้สึกทุกข์ร้อน อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการกล่าวเปรยถึงคำว่า "พระเจ้า" หรือถึงความจริงจากพระวจนะของพระเจ้า เขาก็บันดาลโทสะขึ้นมา นี่ไม่ประกอบขึ้นเป็นการมีธรรมชาติชั่วหรอกหรือ? การนี้เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่า นี่คือธรรมชาติชั่วของมนุษย์ ตอนนี้ เมื่อพูดถึงตัวของพวกเจ้าเอง มีหรือไม่ เวลาที่พวกเจ้ารู้สึกไม่ชอบเมื่อมีการกล่าวถึงความจริง หรือเมื่อมีการกล่าวถึงการทดสอบมวลมนุษย์ของพระเจ้า หรือพระวจนะเกี่ยวกับการพิพากษามนุษย์ของพระเจ้า พวกเจ้ารู้สึกผลักไส และพวกเจ้าไม่ต้องการได้ยินสิ่งทั้งหลาย เช่นนั้น? หัวใจของพวกเจ้าอาจคิดว่า "ผู้คนทั้งหมดล้วนพูดว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริงไม่ใช่หรือ? พระวจนะเหล่านี้บางคำไม่ใช่ความจริง! เห็นได้ชัดว่าพระวจนะเหล่านี้เป็นเพียงพระวจนะแห่งการตักเตือนมายังมนุษย์!" ผู้คนบางคนอาจถึงขั้นรู้สึกไม่ชอบอย่างรุนแรงในหัวใจของพวกเขา และคิดว่า "การนี้ถูกพูดถึงทุกวัน—การทดสอบของพระองค์ การพิพากษาของพระองค์ เมื่อใดหรือมันถึงจะจบสิ้น? เมื่อใดพวกเราถึงจะได้รับบั้นปลายที่ดี?" ไม่รู้เลยว่าความโมโหแบบไม่มีเหตุผลนี้มาจากไหน นี่เป็นธรรมชาติจำพวกใดกัน? (ธรรมชาติชั่ว) มันได้รับการกำกับและนำโดยธรรมชาติชั่วของซาตาน จากมุมมองของพระเจ้าในแง่ของธรรมชาติที่ชั่วร้ายของซาตานและอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของมนุษย์นั้น พระองค์ไม่เคยทรงโต้เถียงหรือเก็บความแค้นเคืองต่อผู้คน และพระองค์ไม่เคยทรงทำให้เป็นเรื่องใหญ่เมื่อผู้คนกระทำการอย่างโง่เขลา เจ้าจะไม่มีวันเห็นว่าพระเจ้าทรงมีทรรศนะคล้ายกันกับมนุษย์ในเรื่องของสิ่งทั้งหลาย และที่มากกว่านั้นคือ เจ้าจะไม่เห็นว่าพระองค์ทรงใช้ทัศนคติ ความรู้ วิทยาศาสตร์ ปรัชญา หรือการจินตนาการของมวลมนุษย์เพื่อรับมือกับเรื่องทั้งหลาย แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำและทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงเปิดเผยนั้นเชื่อมโยงกับความจริง กล่าวคือ พระวจนะทุกคำที่พระองค์ได้ตรัสไปและการกระทำทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงกระทำไปนั้นผูกติดอยู่กับความจริง ความจริงนี้ไม่ใช่ผลิตผลของความเพ้อฝันบางอย่างซึ่งไร้พื้นฐาน พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยความจริงนี้และพระวจนะเหล่านี้โดยคุณความดีแห่งเนื้อแท้ของพระองค์และพระชนม์ชีพของพระองค์ เนื่องจากพระวจนะเหล่านี้และเนื้อแท้ของทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงทำไปนั้นคือความจริง พวกเราจึงสามารถพูดได้ว่าเนื้อแท้ของพระเจ้าบริสุทธิ์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าตรัสและทรงกระทำนำพาความมีชีวิตชีวาและความสว่างมาให้ผู้คน ทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นสิ่งทั้งหลายที่เป็นเชิงบวกและความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลายที่เป็นเชิงบวกเหล่านั้น และชี้หนทางให้แก่มนุษยชาติเพื่อที่พวกเขาจะได้เดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง สิ่งเหล่านี้ล้วนได้รับการกำหนดพิจารณาโดยเนื้อแท้ของพระเจ้าและโดยเนื้อแท้แห่งความบริสุทธิ์ของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 5

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger