พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การรู้จักพระเจ้า | บทตัดตอน 71

วันที่ 22 เดือน 02 ปี 2024

ยกโทษเจ็ดสิบครั้งคูณเจ็ด

มัทธิว 18:21-22 ขณะนั้นเปโตรมาทูลพระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ควรยกโทษให้พี่น้องที่ทำผิดต่อข้าพระองค์สักกี่ครั้ง? ถึงเจ็ดครั้งเชียวหรือ?" พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เราไม่ได้บอกท่านว่าเจ็ดครั้งแต่เจ็ดสิบครั้งคูณเจ็ด"

ความรักขององค์พระผู้เป็นเจ้า

มัทธิว 22:37-39 พระเยซูทรงตอบเขาว่า "'จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน' และด้วยสุดความคิดของท่าน นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อสำคัญอันดับแรก ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ 'จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง'"

ในสองบทตอนนี้ บทหนึ่งพูดถึงการให้อภัยและอีกบทหนึ่งพูดถึงความรัก สองหัวข้อนี้เน้นถึงพระราชกิจที่องค์พระเยซูเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะดำเนินการในยุคพระคุณ

เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงนำพระราชกิจช่วงระยะหนึ่งมาพร้อมกับพระองค์ด้วย ซึ่งคือพระราชกิจเฉพาะและพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะแสดงออกในยุคนี้ ในช่วงเวลานั้น ทุกสิ่งที่บุตรมนุษย์ทรงทำนั้นวนเวียนอยู่กับพระราชกิจที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะปฏิบัติในยุคนั้น พระองค์ไม่ทรงทำมากกว่านั้นและไม่ทรงทำน้อยกว่านั้น ทุกๆ สิ่งที่พระองค์ตรัสและพระราชกิจทุกประเภทที่พระองค์ทรงดำเนินการล้วนเกี่ยวข้องกับยุคนี้ ไม่ว่าพระองค์จะทรงแสดงออกถึงสิ่งนี้ในวิธีของมนุษย์ด้วยภาษาของมนุษย์หรือโดยผ่านทางภาษาของพระเจ้า และไม่ว่าพระองค์จะทรงปฏิบัติเช่นนั้นในวิธีใดหรือจากมุมมองใดก็ตาม เป้าหมายของพระองค์คือการช่วยผู้คนให้เข้าใจว่าพระองค์ทรงต้องประสงค์จะทำอะไร น้ำพระทัยของพระองค์คืออะไร และข้อพึงประสงค์ของพระองค์จากผู้คนคืออะไร พระองค์อาจจะทรงใช้วิถีทางที่หลากหลายและมุมมองที่แตกต่างเพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจและรู้น้ำพระทัยของพระองค์ และเพื่อทำความเข้าใจพระราชกิจของพระองค์ในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ดังนั้น ในยุคพระคุณ เราจึงมองเห็นว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงใช้ภาษาของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่เพื่อแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะสื่อสารกับมวลมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้น เรามองเห็นพระองค์จากมุมมองของผู้ชี้ทางธรรมดาที่พูดคุยกับผู้คน ที่จัดเตรียมเพื่อความต้องการของพวกเขา และที่ช่วยพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาได้ร้องขอ ในยุคธรรมบัญญัติที่มาก่อนยุคพระคุณนั้นไม่เห็นว่ามีการทรงพระราชกิจในวิธีนี้ พระองค์ทรงกลับกลายเป็นสนิทสนมมากขึ้นและสงสารเห็นใจมากขึ้นกับมวลมนุษย์ อีกทั้งทรงสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากยิ่งขึ้นทั้งในรูปแบบและลักษณะ การอุปมาเกี่ยวกับการให้อภัยผู้คนเจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้งทำให้ประเด็นนี้ชัดเจนอย่างยิ่ง จุดประสงค์ที่ตัวเลขในการอุปมานี้ทำให้สัมฤทธิ์ผลคือการทำให้ผู้คนสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ขององค์พระเยซูเจ้า ณ เวลาที่พระองค์ตรัสสิ่งนี้ เจตนารมณ์ของพระองค์ก็คือว่าผู้คนควรให้อภัยผู้อื่น—ไม่ใช่หนึ่งครั้งหรือสองครั้ง และไม่แม้กระทั่งเจ็ดครั้ง แต่เป็นเจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้ง ภายในแนวคิดของคำว่า "เจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้ง" มีแนวคิดแบบใดอยู่? แนวคิดนี้คือการทำให้ผู้คนทำให้การให้อภัยเป็นความรับผิดชอบของพวกเขาเอง เป็นบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขาต้องเรียนรู้ และเป็น "วิธี" ที่พวกเขาต้องปฏิบัติตาม ถึงแม้ว่านี่จะเป็นเพียงแค่การอุปมา แต่การอุปมานี้ก็ทำหน้าที่เน้นถึงประเด็นที่สำคัญยิ่ง การอุปมานี้ช่วยให้ผู้คนซึ้งคุณค่าอย่างลึกซึ้งในสิ่งที่พระองค์ทรงหมายถึง และพบวิธีที่ถูกต้องเหมาะสมในการปฏิบัติ และหลักการและมาตรฐานของการปฏิบัติ การอุปมานี้ช่วยผู้คนให้เข้าใจอย่างชัดเจน และให้พวกเขาได้มีมโนคติที่ถูกต้อง—ว่าพวกเขาควรเรียนรู้การให้อภัยและให้อภัยไม่ว่าจะกี่ครั้งโดยไม่มีเงื่อนไข แต่โดยมีท่าทีของการทนยอมรับและความเข้าใจผู้อื่น เมื่อองค์พระเยซูเจ้าตรัสเช่นนี้ มีสิ่งใดอยู่ในพระทัยของพระองค์? พระองค์มีพระดำริถึงจำนวน "เจ็ดสิบคูณเจ็ด" จริงๆ หรือ? ไม่ใช่ พระองค์ไม่มีพระดำริเช่นนั้น มีจำนวนครั้งที่พระเจ้าจะทรงให้อภัยมนุษย์หรือไม่? มีผู้คนมากมายที่มีความสนใจเป็นอย่างยิ่งใน "จำนวนครั้ง" ที่กล่าวถึงในที่นี้ ผู้ที่ต้องการจะเข้าใจจุดกำเนิดและความหมายของตัวเลขนี้จริงๆ พวกเขาต้องการเข้าใจว่าเหตุใดจำนวนนี้จึงออกมาจากพระโอษฐ์ขององค์พระเยซูเจ้า พวกเขาเชื่อว่าตัวเลขนี้มีความหมายโดยนัยที่ลึกซึ้งลงไปอีก แต่อันที่จริงแล้ว นี่เป็นเพียงการอุปมาอุปมัยของมนุษย์ที่พระเจ้าทรงใช้ ความหมายโดยนัยหรือความหมายใดๆ นั้นต้องทำความเข้าใจพร้อมกับข้อพึงพระสงค์ที่องค์พระเยซูเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ เมื่อพระเจ้ายังไม่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ผู้คนไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัสมากนัก เพราะพระวจนะของพระองค์มาจากเทวสภาพอย่างสมบูรณ์ มุมมองและบริบทของสิ่งที่พระองค์ตรัสนั้นไม่ปรากฏแก่ตาและไม่อาจเอื้อมถึงสำหรับมวลมนุษย์ สิ่งนี้ได้รับการแสดงออกจากอาณาจักรฝ่ายวิญญาณที่ผู้คนไม่สามารถมองเห็นได้ สำหรับผู้คนที่ใช้ชีวิตในเนื้อหนัง พวกเขาไม่สามารถก้าวผ่านอาณาจักรฝ่ายวิญญาณได้ แต่หลังจากที่พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ตรัสต่อมวลมนุษย์จากมุมมองของสภาวะความเป็นมนุษย์ และพระองค์เสด็จออกจากและผ่านขอบเขตของอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ พระองค์ทรงสามารถแสดงออกถึงพระอุปนิสัย น้ำพระทัย และท่าทีที่แบบพระเจ้าของพระองค์โดยผ่านทางสิ่งต่างๆ ที่พวกมนุษย์สามารถจินตนาการได้ สิ่งต่างๆ ที่พวกเขามองเห็นและประสบพบเจอในชีวิตของพวกเขา และโดยใช้วิธีการที่พวกมนุษย์สามารถยอมรับได้ ในภาษาที่พวกเขาสามารถเข้าใจได้ และด้วยความรู้ที่พวกเขาสามารถจับความเข้าใจได้ เพื่อให้มวลมนุษย์สามารถเข้าใจและรู้จักพระเจ้า เพื่อจับใจความเจตนารมณ์ของพระองค์และมาตรฐานที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ภายในขอบเขตของขีดความสามารถของพวกเขา และจนถึงระดับที่พวกเขาสามารถทำได้ นี่คือวิธีการและหลักการของพระราชกิจของพระเจ้าในสภาวะความเป็นมนุษย์ ถึงแม้ว่าโดยส่วนใหญ่แล้วหนทางของพระเจ้าและหลักการของพระองค์ในการทรงพระราชกิจในเนื้อหนังสัมฤทธิ์ผลด้วยการใช้หรือโดยผ่านทางสภาวะความเป็นมนุษย์ แต่ก็สัมฤทธิ์ผลอย่างแท้จริงในผลลัพธ์ที่ไม่อาจสัมฤทธิ์ผลได้โดยการทรงพระราชกิจในเทวสภาพโดยตรง พระราชกิจของพระเจ้าในสภาวะความเป็นมนุษย์นั้นเป็นรูปธรรม เป็นของแท้ และมุ่งเป้าหมายมากกว่า วิธีการต่างๆ มีความยืดหยุ่นมากกว่ามาก และในรูปร่างนั้นเกินหน้าจากพระราชกิจที่ทรงดำเนินการในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติ

อันดับต่อไป พวกเรามาพูดถึงการรักองค์พระผู้เป็นเจ้าและการรักเพื่อนบ้านของเจ้าเหมือนรักตัวเจ้าเองกันเถิด นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่มีการแสดงออกโดยตรงในเทวสภาพหรือไม่? เห็นได้ชัดว่าไม่! สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่บุตรมนุษย์ได้ตรัสถึงในสภาวะความเป็นมนุษย์ มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่จะพูดบางสิ่งบางอย่างเช่น "จงรักเพื่อนบ้านของเจ้าเหมือนรักตัวเจ้าเอง จงรักผู้อื่นเหมือนกับที่เจ้าทะนุถนอมชีวิตของเจ้าเอง" การพูดลักษณะเช่นนี้เป็นของมนุษย์แต่เพียงเท่านั้น พระเจ้าไม่เคยตรัสในลักษณะเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุด พระเจ้าไม่ทรงมีภาษาประเภทนี้ในเทวสภาพของพระองค์ เพราะพระองค์ไม่ทรงมีความจำเป็นต้องมีหลักความเชื่อประเภทนี้ที่ว่า "จงรักเพื่อนบ้านของเจ้าเหมือนรักตัวเจ้าเอง" เพื่อวางระเบียบความรักที่พระองค์ทรงมีให้กับมวลมนุษย์ เพราะความรักที่พระเจ้าทรงมีให้กับมวลมนุษย์นั้นเป็นการเปิดเผยตามธรรมชาติถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น พวกเจ้าเคยได้ยินพระเจ้าตรัสอะไรเช่นว่า "เรารักมวลมนุษย์เหมือนที่เรารักตัวเราเอง" เมื่อใดกัน? พวกเจ้าไม่เคยได้ยิน เพราะความรักอยู่ในเนื้อแท้ของพระเจ้าและในสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น ความรักที่พระเจ้าทรงมีให้กับมวลมนุษย์ และท่าทีของพระองค์ และวิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้คนคือการแสดงออกและการเปิดเผยตามธรรมชาติถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ พระองค์ไม่จำเป็นต้องจงพระทัยทำสิ่งนี้ในลักษณะเฉพาะใดๆ หรือจงพระทัยทำตามวิธีการเฉพาะใดๆ หรือหลักศีลธรรมเพื่อสัมฤทธิ์ผลในการรักเพื่อนบ้านของพระองค์เหมือนรักพระองค์เอง—พระองค์ได้ทรงครอบครองเนื้อแท้ประเภทนี้อยู่แล้ว เจ้ามองเห็นอะไรในสิ่งนี้? เมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจในสภาวะความเป็นมนุษย์ วิธีการ พระวจนะ และความจริงมากมายของพระองค์ได้รับการแสดงออกด้วยวิธีของมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกัน พระอุปนิสัยของพระเจ้า สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น และน้ำพระทัยของพระองค์ได้รับการแสดงออกเพื่อให้ผู้คนรู้จักและทำความเข้าใจ สิ่งที่พวกเขาได้มารู้จักและเข้าใจคือเนื้อแท้ของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นนั่นเอง ซึ่งเป็นสิ่งแทนพระอัตลักษณ์และสถานะโดยธรรมชาติของพระเจ้าพระองค์เอง นั่นจึงกล่าวได้ว่า บุตรมนุษย์ในเนื้อหนังแสดงออกถึงพระอุปนิสัยและเนื้อแท้โดยธรรมชาติของพระเจ้าพระองค์เองจนถึงขอบเขตสูงสุดที่เป็นไปได้ และอย่างถูกต้องแม่นยำที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ไม่เพียงสภาวะความเป็นมนุษย์ของบุตรมนุษย์จะไม่เป็นเครื่องกีดขวางหรืออุปสรรคต่อการสื่อสารและการโต้ตอบกับพระเจ้าในสวรรค์ของมนุษย์เท่านั้น แต่อันที่จริงแล้วยังเป็นช่องทางเดียวและสะพานเชื่อมเดียวที่มวลมนุษย์สามารถเชื่อมต่อกับองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างได้ บัดนี้ ในจุดนี้พวกเจ้าไม่รู้สึกหรือว่ามีความคล้ายคลึงกันมากมายระหว่างธรรมชาติและวิธีการของพระราชกิจที่องค์พระเยซูเจ้าทรงปฏิบัติในยุคพระคุณกับพระราชกิจช่วงระยะปัจจุบัน? พระราชกิจในช่วงระยะปัจจุบันนี้ก็ใช้ภาษาของมนุษย์มากมายเพื่อแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้า และภาษาและวิธีมากมายจากชีวิตประจำวันของมวลมนุษย์และความรู้ของมนุษย์ในการแสดงออกถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าพระองค์เองเช่นเดียวกัน เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ว่าพระองค์ทรงตรัสจากมุมมองของมนุษย์หรือมุมมองของพระเจ้า ภาษาและวิธีการแสดงออกมากมายของพระองค์ออกมาโดยผ่านทางสื่อกลางคือภาษาและวิธีการของมนุษย์ นั่นคือ เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่เจ้าจะมองเห็นฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระเจ้าและพระปรีชาญาณของพระองค์ และรู้จักแง่มุมจริงๆ ของพระเจ้าทุกแง่มุม เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ขณะที่พระองค์ทรงเจริญเติบโตขึ้น พระองค์ได้ทรงมาเข้าใจ เรียนรู้ และจับความเข้าใจกับความรู้ สามัญสำนึก ภาษา และวิธีการแสดงออกบางอย่างของมวลมนุษย์ในสภาวะความเป็นมนุษย์ พระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ทรงครอบครองสิ่งเหล่านี้ซึ่งมาจากมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเครื่องมือของพระเจ้าในเนื้อหนังเพื่อแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระองค์และเทวสภาพของพระองค์ และทำให้พระองค์ทรงสามารถทำให้พระราชกิจของพระองค์เข้าเรื่องยิ่งขึ้น เป็นของแท้ยิ่งขึ้น และถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้นเมื่อพระองค์กำลังทรงพระราชกิจท่ามกลางมวลมนุษย์ จากมุมมองของมนุษย์ และโดยใช้ภาษาของมนุษย์ นี่ทำให้พระราชกิจของพระองค์เข้าถึงได้มากขึ้นและเข้าใจได้ง่ายขึ้นสำหรับผู้คน ด้วยเหตุนี้จึงสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ หากพระเจ้าทรงพระราชกิจในเนื้อหนังในวิธีนี้จะไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากกว่าหรือ? นี่ไม่ใช่พระปรีชาญาณของพระเจ้าหรือ? เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อเนื้อหนังของพระเจ้าสามารถรับพระราชกิจที่พระองค์มีพระประสงค์จะดำเนินการ นั่นคือเวลาที่พระองค์ทรงแสดงออกอย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงถึงพระอุปนิสัยของพระองค์และพระราชกิจของพระองค์ และนั่นก็เป็นเวลาที่พระองค์ทรงสามารถเริ่มต้นพันธกิจของพระองค์อย่างเป็นทางการในฐานะบุตรมนุษย์เช่นเดียวกัน นี่หมายความว่าไม่มี "ช่องว่างของยุคสมัย" ระหว่างพระเจ้าและมนุษย์อีกต่อไป ว่าพระเจ้าจะทรงหยุดพระราชกิจของพระองค์ในการสื่อสารโดยผ่านทางผู้ส่งสารในอีกไม่นาน และว่าพระเจ้าพระองค์เองทรงสามารถแสดงออกถึงพระวจนะและพระราชกิจในเนื้อหนังทั้งหมดที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ได้ด้วยพระองค์เอง อีกทั้งยังหมายความด้วยว่าผู้คนที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดนั้นใกล้ชิดกับพระองค์ยิ่งขึ้น ว่าพระราชกิจการบริหารจัดการของพระองค์ได้เข้าสู่ดินแดนใหม่แล้ว และว่ามวลมนุษย์ทั้งหมดกำลังจะได้เผชิญกับยุคใหม่

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger