พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การรู้จักพระเจ้า | บทตัดตอน 22

วันที่ 09 เดือน 05 ปี 2024

นับตั้งแต่การบริหารจัดการของพระเจ้าดำรงอยู่มา พระองค์ได้ทรงทุ่มเทอุทิศอย่างเต็มที่ในการดำเนินการพระราชกิจของพระองค์เสมอ แม้จะทรงปิดคลุมสภาวะบุคคลของพระองค์จากมนุษย์ แต่พระองค์ก็ได้ทรงอยู่เคียงข้างมนุษย์เสมอ ทรงทำพระราชกิจกับมนุษย์ ทรงแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ ทรงนำมนุษยชาติทั้งมวลด้วยแก่นแท้ของพระองค์ และทรงทำพระราชกิจของพระองค์กับผู้คนทุกๆ คนโดยผ่านทางพระอิทธิฤทธิ์ของพระองค์ พระปรีชาญาณของพระองค์ และสิทธิอำนาจของพระองค์ จึงนำมาสู่การเป็นยุคธรรมบัญญัติ ยุคพระคุณ และยุคแห่งราชอาณาจักรของวันนี้ แม้ว่าพระเจ้าทรงปกปิดสภาวะบุคคลของพระองค์จากมนุษย์ แต่พระอุปนิสัยของพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทรงเป็นและสิ่งทรงครองทั้งหลายของพระองค์ และน้ำพระทัยของพระองค์ต่อมวลมนุษย์นั้นถูกเปิดเผยต่อมนุษย์อย่างไม่มีการสงวนเพื่อให้มนุษย์ได้เห็นและได้รับประสบการณ์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ แม้ว่ามนุษย์ไม่สามารถมองเห็นหรือแตะต้องพระเจ้าได้ พระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้าที่มนุษยชาติได้เผชิญก็คือการแสดงออกอย่างสมบูรณ์ของพระเจ้าพระองค์เอง นั่นไม่ใช่ความจริงหรอกหรือ? โดยไม่คำนึงถึงหนทางหรือมุมของวิธีเข้าหาที่พระเจ้าทรงเลือกสำหรับพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้คนโดยผ่านทางพระอัตลักษณ์ที่แท้จริงของพระองค์ ทรงทำพระราชกิจซึ่งเป็นหน้าที่ของพระองค์ และตรัสพระวจนะที่พระองค์ต้องตรัสอย่างแน่นอนเสมอ ไม่สำคัญว่าพระเจ้าตรัสจากตำแหน่งใด—พระองค์อาจทรงกำลังประทับยืนอยู่ในสวรรค์ชั้นที่สาม หรือกำลังประทับยืนอยู่ในเนื้อหนัง หรือแม้แต่ในฐานะบุคคลธรรมดา—พระองค์ตรัสกับมนุษย์อย่างสุดหัวใจของพระองค์และสุดจิตใจของพระองค์เสมอ โดยปราศจากการหลอกลวงหรือการปกปิดอันใด เมื่อพระองค์ทรงดำเนินการพระราชกิจของพระองค์ พระเจ้าทรงแสดงออกถึงพระวจนะของพระองค์และพระอุปนิสัยของพระองค์ และทรงแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น โดยปราศจากการหวงแหนอันใด พระองค์ทรงนำทางมวลมนุษย์ด้วยพระชนม์ชีพของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นและสิ่งทรงครองของพระองค์ นี่คือวิธีที่มนุษย์ได้ใช้ชีวิตโดยผ่านทางยุคธรรมบัญญัติ—ยุคกำเนิดของมนุษยชาติ—ภายใต้การทรงนำทางของพระเจ้า "ที่ไม่สามารถมองเห็นและไม่สามารถแตะต้องได้"

พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ครั้งแรกหลังยุคธรรมบัญญัติ—เป็นการจุติเป็นมนุษย์ที่ยาวนานถึงสามสิบสามปีครึ่ง สำหรับมนุษย์ สามสิบสามปีครึ่งเป็นเวลานานหรือไม่? (ไม่นาน) ในเมื่ออายุขัยของมนุษย์โดยปกติแล้วยาวนานกว่าสามสิบปีกว่าโดยประมาณมาก นี่จึงไม่ใช่เวลานานมากสำหรับมนุษย์ แต่สำหรับพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ เวลาสามสิบสามปีครึ่งนี้ยาวนานจริงๆ พระองค์ได้ทรงกลายเป็นบุคคลผู้หนึ่ง—บุคคลธรรมดาที่ต้องรับผิดชอบต่อพระราชกิจและพระบัญชาของพระเจ้า นี่หมายความว่าพระองค์ได้ทรงต้องยอมรับพระราชกิจที่คนธรรมดาไม่สามารถรับมือได้ ในขณะเดียวกันก็ทรงต้องทนฝ่าความทุกข์ซึ่งคนธรรมดาไม่สามารถทนทานได้อีกด้วย ปริมาณความทุกข์ที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทนฝ่าในระหว่างยุคพระคุณ จากการเริ่มต้นของพระราชกิจของพระองค์จนถึงเวลาที่พระองค์ทรงถูกตรึงกางเขน อาจไม่ใช่บางสิ่งที่ผู้คนในวันนี้จะสามารถรู้เห็นด้วยตัวเองได้ แต่อย่างน้อย พวกเจ้าไม่สามารถมีแนวคิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เลยโดยผ่านทางเรื่องราวทั้งหลายในพระคัมภีร์หรอกหรือ? โดยไม่คำนึงถึงว่ามีรายละเอียดมากเพียงใดในข้อเท็จจริงที่บันทึกไว้เหล่านี้ รวมความแล้ว พระราชกิจของพระเจ้าในระหว่างช่วงเวลานี้เต็มไปด้วยความยากลำบากและความทุกข์ สำหรับมนุษย์ที่เสื่อมทราม สามสิบสามปีครึ่งไม่ใช่เวลานาน ความทุกข์เล็กน้อยก็เป็นเรื่องเล็ก แต่สำหรับพระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ไร้ความด่างพร้อย ผู้ซึ่งทรงต้องแบกรับบาปทั้งหมดของมวลมนุษย์ และกิน นอน และมีชีวิตอยู่กับคนบาปทั้งหลาย ความเจ็บปวดนี้หนักหนาสาหัสอย่างไม่น่าเชื่อ พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง ผู้ทรงมีอำนาจสูงสุดของทุกสรรพสิ่ง และผู้ปกครองแห่งทุกสิ่งทุกอย่าง กระนั้นเมื่อพระองค์ได้เสด็จมาในโลก พระองค์ทรงต้องทนฝ่าการบีบบังคับและความทารุณของมนุษย์ที่เสื่อมทราม เพื่อที่จะทำให้พระราชกิจของพระองค์ครบบริบูรณ์ และช่วยกู้มนุษยชาติจากทะเลแห่งความระทมทุกข์ พระองค์ทรงต้องถูกมนุษย์กล่าวโทษ และแบกรับความบาปของมวลมนุษย์ทั้งปวง ขอบเขตแห่งความทุกข์ที่พระองค์ได้ทรงก้าวผ่านไม่สามารถหยั่งลึกและซาบซึ้งโดยผู้คนธรรมดาได้ ความทุกข์นี้เป็นตัวแทนของอะไร? มันเป็นตัวแทนของการที่พระเจ้าทรงอุทิศต่อมวลมนุษย์ มันหมายถึงการเหยียดหยามที่พระองค์ได้ทรงทนทุกข์และราคาที่พระองค์ได้ทรงจ่ายไปเพื่อความรอดของมนุษย์ เพื่อไถ่บาปของพวกเขา และเพื่อทำให้พระราชกิจช่วงระยะนี้ของพระองค์ครบบริบูรณ์ มันยังหมายความอีกด้วยว่ามนุษย์จะได้รับการไถ่บาปจากกางเขนโดยพระเจ้า นี่คือราคาที่จ่ายไปด้วยโลหิต ด้วยชีวิต และเป็นราคาที่ไม่มีสิ่งทรงสร้างอันใดสามารถจ่ายไหว เป็นเพราะพระองค์ทรงมีแก่นแท้ของพระเจ้า และทรงครองสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น พระองค์จึงทรงสามารถแบกรับความทุกข์แบบนี้และทรงทำพระราชกิจแบบนี้ได้ นี่คือบางสิ่งที่ไม่มีสิ่งที่ทรงสร้างโดยพระองค์สิ่งอันใดสามารถทำแทนพระองค์ได้ นี่คือพระราชกิจของพระเจ้าในระหว่างยุคพระคุณ และวิวรณ์แห่งพระอุปนิสัยของพระองค์ เรื่องนี้เปิดเผยสิ่งใดเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นหรือไม่? มันคุ้มค่าหรือไม่ที่มวลมนุษย์จะทำความรู้จัก?

ในยุคนั้น แม้ว่ามนุษย์ไม่ได้เห็นสภาวะบุคคลของพระเจ้า พวกเขาก็ได้รับเครื่องบูชาลบล้างบาปของพระเจ้า และได้รับการไถ่จากกางเขนโดยพระเจ้า มวลมนุษย์อาจไม่คุ้นเคยกับพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำในระหว่างยุคพระคุณ แต่มีผู้ใดบ้างที่คุ้นเคยกับพระอุปนิสัยและน้ำพระทัยที่พระเจ้าทรงแสดงออกในระหว่างช่วงเวลานี้? มนุษย์เพียงรู้เกี่ยวกับรายละเอียดของพระราชกิจของพระเจ้าในระหว่างยุคทั้งหลาย และโดยผ่านทางช่องทางทั้งหลาย หรือรู้เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าที่ได้เกิดขึ้นในเวลาเดียวกันกับที่พระเจ้าได้ทรงกำลังดำเนินการพระราชกิจของพระองค์ รายละเอียดและเรื่องราวเหล่านี้อย่างมากก็เป็นเพียงข่าวสารหรือตำนานเกี่ยวกับพระเจ้า และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้า ดังนั้น ไม่สำคัญว่าผู้คนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้ากี่เรื่อง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีความเข้าใจและความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า หรือแก่นแท้ของพระองค์ เฉกเช่นในยุคธรรมบัญญัติ แม้ว่าผู้คนในยุคพระคุณได้มีประสบการณ์กับการเผชิญกับพระเจ้าในเนื้อหนังอย่างทันทีทันใดและใกล้ชิด แต่ความรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าและแก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่มีอยู่จริงโดยแท้

ในยุคแห่งราชอาณาจักร พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง ด้วยวิธีเดียวกันกับที่พระองค์ได้ทรงทำในครั้งแรก ในระหว่างช่วงเวลานี้ของพระราชกิจ พระเจ้ายังคงทรงแสดงออกถึงพระวจนะของพระองค์อย่างไม่หวงแหน ทรงทำพระราชกิจที่พระองค์ทรงรับผิดชอบ และแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น ในเวลาเดียวกัน พระองค์ทรงทนฝ่าและยอมผ่อนปรนต่อการไม่เชื่อฟังและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของมนุษย์ต่อไป พระเจ้าไม่ทรงเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระองค์ และแสดงออกถึงน้ำพระทัยของพระองค์ในระหว่างช่วงเวลาแห่งพระราชกิจนี้อย่างต่อเนื่องเช่นกันหรอกหรือ? เพราะฉะนั้น ตั้งแต่การทรงสร้างมนุษย์จนถึงบัดนี้ พระอุปนิสัยของพระเจ้า สิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และสิ่งทรงครองทั้งหลายของพระองค์ และน้ำพระทัยของพระองค์ จะได้เปิดกว้างต่อบุคคลทุกคนเสมอมา พระเจ้าไม่เคยได้ทรงจงใจซ่อนแก่นแท้ของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์ หรือน้ำพระทัยของพระองค์ เป็นเพียงว่ามวลมนุษย์ไม่ใส่ใจเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงกำลังทำ สิ่งที่น้ำพระทัยของพระองค์ทรงเป็น—นั่นคือสาเหตุที่มนุษย์มีความเข้าใจที่น่าสมเพชเกี่ยวกับพระเจ้า กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในขณะที่พระเจ้าทรงปกปิดสภาวะบุคคลของพระองค์ พระองค์ก็กำลังประทับยืนเคียงข้างมนุษย์ทุกชั่วขณะ ทรงกำลังแสดงน้ำพระทัย พระอุปนิสัย และแก่นแท้ของพระองค์ออกมาอย่างเปิดเผยตลอดเวลา ในแง่มุมหนึ่ง สภาวะบุคคลของพระเจ้าก็เปิดกว้างแก่ผู้คนด้วยเช่นกัน แต่เพราะความมืดบอดและการไม่เชื่อฟังของมนุษย์ พวกเขาจึงไม่มีวันสามารถมองเห็นการทรงปรากฏของพระเจ้าได้ ดังนั้นหากเป็นเช่นนั้นจริง การเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าและพระเจ้าพระองค์เองไม่ควรเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคนหรอกหรือ? นั่นเป็นคำถามที่ตอบยากมากมิใช่หรือ? เจ้าสามารถพูดได้ว่ามันง่าย แต่ในขณะที่ผู้คนบางคนพยายามรู้จักพระเจ้า พวกเขาก็ไม่สามารถทำความรู้จักพระองค์ หรือทำความเข้าใจพระองค์ได้อย่างชัดเจนจริงๆ—มันพร่ามัวและคลุมเครือเสมอ แต่หากเจ้าพูดว่ามันไม่ง่าย นั่นก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน หลังจากได้เป็นประชากรแห่งพระราชกิจของพระเจ้ามานานเหลือเกิน ทุกคนควรได้มีการติดต่อที่แท้จริงกับพระเจ้า โดยผ่านทางประสบการณ์ของพวกเขา อย่างน้อยพวกเขาควรได้มีสำนึกรับรู้ถึงพระเจ้าในบางระดับในหัวใจของพวกเขา หรือได้มีการสัมผัสทางจิตวิญญาณกับพระเจ้า และอย่างน้อยพวกเขาควรมีความตระหนักรู้เชิงลึกเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า หรือได้รับความเข้าใจบ้างเกี่ยวกับพระองค์ ตั้งแต่เวลาที่มนุษย์เริ่มติดตามพระเจ้าจนถึงบัดนี้ มวลมนุษย์ได้รับมามากเกินไปแล้ว แต่ด้วยเหตุผลมากมายทุกชนิด—ขีดความสามารถที่ต่ำ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความเป็นกบฏ และเจตนาทั้งหลายของมนุษย์—มวลมนุษย์ก็ได้สูญเสียไปมากเกินไปเช่นกัน พระเจ้าไม่ได้ทรงให้มวลมนุษย์อย่างเพียงพอแล้วหรอกหรือ? แม้ว่าพระเจ้าจะทรงซ่อนสภาวะบุคคลของพระองค์จากมนุษยชาติ แต่พระองค์ก็ทรงหล่อเลี้ยงมนุษย์ด้วยสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น และพระชนม์ชีพของพระองค์ ความรู้เรื่องพระเจ้าของมนุษยชาติไม่ควรจะเป็นอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้เท่านั้น นั่นคือเหตุผลที่เราคิดว่าจำเป็นต้องมีสามัคคีธรรมเพิ่มเติมกับพวกเจ้าเกี่ยวกับหัวข้อ พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง จุดประสงค์คือเพื่อให้หลายพันปีแห่งการดูแลและการพิจารณาที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้มนุษย์นั้นไม่อวสานลงอย่างไร้ประโยชน์ และเพื่อให้มวลมนุษย์สามารถเข้าใจและซาบซึ้งในน้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขาอย่างแท้จริง มันเป็นเพื่อให้ผู้คนสามารถก้าวไปสู่ขั้นตอนใหม่ในความรู้เรื่องพระเจ้าของพวกเขา มันยังจะคืนพระเจ้ากลับสู่ที่ที่แท้จริงของพระองค์ในหัวใจของผู้คนอีกด้วย นั่นคือ ทำความยุติธรรมให้พระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

วิดีโอประเภทอื่นๆ

Leave a Reply

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger