พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การรู้จักพระเจ้า | บทตัดตอน 13

วันที่ 15 เดือน 02 ปี 2024

จงเข้าใจท่าทีของพระเจ้าและวางความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับพระเจ้าทั้งหมดไว้ก่อน

พระเจ้าองค์นี้ที่พวกเจ้าเชื่ออยู่ในปัจจุบันนี้เป็นพระเจ้าแบบใดกันแน่? พวกเจ้าเคยขบคิดเกี่ยวกับสิ่งนั้นบ้างไหม? เมื่อพระองค์ทรงเห็นคนชั่วกระทำความชั่ว พระองค์ทรงรังเกียจหรือไม่? (ใช่ พระองค์ทรงรังเกียจ) ท่าทีของพระองค์คืออะไรเมื่อพระองค์ทรงเห็นผู้คนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ทำความผิด? (ความโศกเศร้า) เมื่อพระองค์ทรงเห็นผู้คนขโมยของถวายของพระองค์ อะไรคือท่าทีของพระองค์? (พระองค์ทรงรังเกียจพวกเขา) ทั้งหมดนี้ชัดเจนมากใช่หรือไม่? เมื่อพระเจ้าทรงเห็นใครบางคนสับสนในการเชื่อในพระองค์ของพวกเขา ผู้ซึ่งไม่ได้กำลังไล่ตามเสาะหาความจริงแต่อย่างใด อะไรคือท่าทีของพระเจ้า? พวกเจ้าค่อนข้างไม่แน่ใจใช่หรือไม่? "ความสับสน" ในฐานะท่าที ไม่ใช่บาป และไม่ทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคือง และผู้คนรู้สึกว่านั่นไม่ใช่ความผิดพลาดครั้งใหญ่อย่างหนึ่ง ดังนั้น จงบอกเรา—อะไรคือท่าทีของพระเจ้าในกรณีนี้? (พระองค์ไม่ทรงเต็มใจที่จะรับรู้พวกเขา) "ความไม่เต็มใจที่จะรับรู้"—นี่เป็นท่าทีแบบใดเล่า? มันหมายความว่าพระเจ้าทรงดูแคลนผู้คนเหล่านี้และทรงสบประมาทพวกเขา! วิธีที่พระองค์ทรงจัดการกับผู้คนเช่นนี้คือการเมินเฉยต่อพวกเขา วิธีการของพระเจ้าคือทรงวางพวกเขาไว้ก่อน โดยไม่ทรงพระราชกิจอันใดกับพวกเขา และนี่รวมไปถึงพระราชกิจแห่งความรู้แจ้ง ความกระจ่าง การตีสอน และการบ่มวินัย ผู้คนเช่นนี้ไม่ได้ถูกนับรวมในพระราชกิจของพระเจ้าอย่างแน่นอน อะไรคือท่าทีของพระเจ้าต่อพวกที่ทำให้พระอุปนิสัยของพระองค์ทรงระคายเคือง และฝ่าฝืนประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระองค์? ความเกลียดสุดขีด! พระเจ้าทรงพระพิโรธเป็นอันมากกับผู้คนที่ไม่สำนึกผิดเกี่ยวกับการทำให้พระอุปนิสัยของพระองค์ทรงระคายเคือง! "ทรงพระพิโรธ" ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าความรู้สึกอย่างหนึ่ง อารมณ์อย่างหนึ่ง มันไม่สอดคล้องกับท่าทีที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามความรู้สึกนี้—อารมณ์นี้—จะนำมาซึ่งบทอวสานสำหรับผู้คนเช่นนี้ นั่นคือ มันจะเติมพระเจ้าด้วยความเกลียดสุดขีด! อะไรคือผลที่ตามมาของความเกลียดสุดขีดนี้เล่า? นั่นก็คือว่าพระเจ้าจะทรงวางผู้คนเหล่านี้ไว้ก่อน และไม่ทรงตอบสนองต่อพวกเขาในระหว่างนี้ จากนั้นพระองค์จะทรงรอเพื่อที่จะจัดระเบียบพวกเขา "หลังฤดูใบไม้ร่วง" การนี้บอกเป็นนัยอะไร? ผู้คนเหล่านี้จะยังคงมีบทอวสานหรือไม่? พระเจ้าไม่ได้เคยตั้งพระทัยที่จะประทานบทอวสานใดๆ แก่ผู้คนเช่นนี้! เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องปกติอย่างเต็มที่หรือไม่ที่ตอนนี้ พระเจ้าไม่ทรงตอบสนองต่อผู้คนเช่นนี้? (ใช่ เป็นเรื่องปกติ) ผู้คนเช่นนี้ควรกำลังเตรียมตัวทำอะไร? พวกเขาควรเตรียมรับผลที่ตามมาด้านลบของพฤติกรรมของพวกเขาและการกระทำชั่วที่พวกเขาได้กระทำ นี่คือการทรงตอบโต้ของพระเจ้าต่อบุคคลเช่นนี้ ดังนั้น บัดนี้เราพูดกับผู้คนเหล่านี้อย่างชัดเจนว่า จงอย่ายึดมั่นในความหลงผิดของเจ้าอีกต่อไป และจงอย่ามีส่วนร่วมในความคิดเพ้อฝันมากไปกว่านี้ พระเจ้าจะไม่ทรงยอมผ่อนปรนให้ผู้คนอย่างไม่รู้จบ พระองค์จะไม่ทรงสู้ทนต่อการล่วงละเมิดหรือการไม่เชื่อฟังของพวกเขาตลอดกาล ผู้คนบางคนจะพูดว่า "ข้าพระองค์ได้เห็นผู้คนเช่นนี้สองสามคนด้วยเช่นกัน และเมื่อพวกเขาอธิษฐาน พวกเขารู้สึกเหมือนได้รับการสัมผัสโดยพระเจ้าเป็นพิเศษ แล้วพวกเขาก็ร่ำไห้อย่างขมขื่น โดยปกติแล้ว พวกเขาก็มีความสุขมากเช่นกัน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีการอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและการทรงนำทางของพระเจ้ากับพวกเขา" จงอย่าเปล่งถ้อยคำไร้สาระเช่นนี้! น้ำตาอันขมขื่นไม่จำเป็นต้องหมายความว่าคนๆ หนึ่งกำลังได้รับสัมผัสของพระเจ้า หรือชื่นชมการได้อยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทรงนำทางของพระเจ้า หากผู้คนทำให้พระเจ้าทรงพระพิโรธ พระองค์จะยังคงทรงนำทางพวกเขาหรือไม่? กล่าวสั้นๆ เมื่อพระเจ้าทรงได้ตัดสินพระทัยที่จะกำจัดและละทิ้งใครบางคน บทอวสานของบุคคลนั้นก็ได้หายไปแล้ว ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะมีความรู้สึกน่าพอใจเพียงใดยามที่พวกเขาอธิษฐาน หรือพวกเขามีความเชื่อในพระเจ้ามากเพียงใดในหัวใจของพวกเขา มันก็จะไม่มีผลอันใดอีกต่อไป สิ่งสำคัญคือพระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์ความเชื่อแบบนี้ พระองค์ทรงได้ผลักไสผู้คนเหล่านี้ไปแล้ว วิธีจัดการกับพวกเขาในอนาคตก็ไม่สำคัญเช่นกัน สิ่งสำคัญคือทันทีที่ผู้คนเหล่านี้ทำให้พระเจ้าทรงพระพิโรธ บทอวสานของพวกเขาก็ถูกกำหนดแล้ว หากพระเจ้าทรงได้กำหนดพิจารณาที่จะไม่ช่วยผู้คนเช่นนี้ให้รอด เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเพื่อให้ถูกลงโทษ นี่คือท่าทีของพระเจ้า

แม้ว่าเนื้อแท้ของพระเจ้าจะมีองค์ประกอบของความรักอยู่ด้วย และพระองค์ก็ทรงกรุณาต่อทุกๆ คน แต่ผู้คนก็ได้มองข้ามและลืมข้อเท็จจริงที่ว่าเนื้อแท้ของพระองค์นั้นเป็นเนื้อแท้แห่งความทรงเกียรติเช่นกัน การที่พระองค์ทรงมีความรักไม่ได้หมายความว่าผู้คนสามารถทำให้พระองค์ทรงขุ่นเคืองได้อย่างอิสระโดยไม่ทำให้พระองค์ทรงเกิดความรู้สึกทั้งหลายหรือปฏิกิริยาอย่างใดอย่างหนึ่ง อีกทั้งข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ทรงมีความกรุณาก็ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ไม่ทรงมีหลักการในการปฏิบัติต่อผู้คน พระเจ้าทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ พระองค์ทรงดำรงอยู่อย่างแท้จริง พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นหุ่นเชิดที่จินตนาการขึ้นหรือวัตถุอื่นใด ในเมื่อพระองค์ทรงดำรงอยู่จริง พวกเราควรตั้งใจฟังเสียงของพระทัยของพระเจ้าตลอดเวลา ให้ความสนใจใกล้ชิดต่อท่าทีของพระองค์ และมาเข้าใจความรู้สึกทั้งหลายของพระองค์ พวกเราไม่ควรใช้จินตนาการของมนุษย์ในการนิยามพระเจ้า อีกทั้งพวกเราไม่ควรบังคับใช้ความคิดหรือความปรารถนาของมนุษย์กับพระองค์ โดยทำให้พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนในลักษณะของมนุษย์บนพื้นฐานของจินตนาการทั้งหลายของมนุษย์ หากเจ้าทำการนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังทำให้พระเจ้ากริ้ว กระตุ้นพระพิโรธของพระองค์ และท้าทายความทรงเกียรติของพระองค์! ด้วยเหตุนี้ ทันทีที่พวกเจ้าได้มาเข้าใจความรุนแรงของเรื่องนี้แล้ว เราขอรบเร้าให้พวกเจ้าทุกๆ คนระมัดระวังและรอบคอบในการกระทำของพวกเจ้า จงระมัดระวังและรอบคอบในวาทะของพวกเจ้าเช่นกัน—ในส่วนของวิธีที่เจ้าปฏิบัติต่อพระเจ้า ยิ่งเจ้าระมัดระวังและรอบคอบมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น! เมื่อเจ้าไม่เข้าใจว่าอะไรคือท่าทีของพระเจ้า จงงดเว้นการพูดอย่างประมาท จงอย่าประมาทในการกระทำของเจ้า และจงอย่าใช้ป้ายฉลากด้วยความฉาบฉวย ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น จงอย่ามาทำข้อสรุปตามอำเภอใจ เจ้าควรรอและแสวงหาแทน การกระทำเหล่านี้ก็เป็นการแสดงออกถึงการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วเช่นกัน เหนือสิ่งอื่นใด หากเจ้าสามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้ และเหนือสิ่งอื่นใด หากเจ้ามีท่าทีเช่นนี้ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะไม่ทรงโทษเจ้าเพราะความโง่ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และการขาดความเข้าใจในเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังสิ่งทั้งหลายของเจ้า ตรงกันข้าม เนื่องจากท่าทีของเจ้าเกี่ยวกับความกลัวต่อการทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคือง ความเคารพต่อเจตนารมณ์ของพระองค์ และความเต็มใจที่จะเชื่อฟังพระองค์ พระเจ้าก็จะทรงจดจำเจ้า ทรงนำทางและทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า หรือทรงยอมผ่อนปรนต่อความไม่เป็นผู้ใหญ่และความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเจ้า ในทางกลับกัน หากท่าทีของเจ้าต่อพระองค์นั้นไม่มีความเคารพ—ตัดสินพระองค์ตามที่เจ้าปรารถนา หรือเดาและนิยามแนวคิดของพระองค์ตามอำเภอใจ—พระเจ้าก็จะทรงกล่าวโทษเจ้า บ่มวินัยเจ้า และแม้กระทั่งลงโทษเจ้า หรือพระองค์อาจประทานความเห็นเกี่ยวกับเจ้า บางที ความเห็นนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับบทอวสานของเจ้า เพราะฉะนั้นเราปรารถนาที่จะเน้นอีกครั้ง กล่าวคือ พวกเจ้าแต่ละคนควรระมัดระวังและรอบคอบเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่มาจากพระเจ้า จงอย่าพูดอย่างประมาท และจงอย่าประมาทในการกระทำของพวกเจ้า ก่อนที่เจ้าจะพูดสิ่งใด เจ้าควรหยุดและคิดว่า การกระทำครั้งนี้ของข้าพระองค์จะทำให้พระเจ้ากริ้วหรือไม่? ในการทำสิ่งนั้น ข้าพระองค์กำลังเคารพพระเจ้าอยู่หรือไม่? แม้ในเรื่องที่เรียบง่าย เจ้าควรพยายามขบคำถามเหล่านี้ให้แตก และใช้เวลามากขึ้นในการพิจารณาคำถามเหล่านี้ หากเจ้าสามารถฝึกฝนปฏิบัติโดยสอดคล้องกับหลักการเหล่านี้ได้อย่างแท้จริงในทุกๆ ด้าน ในทุกๆ สิ่ง ตลอดเวลา และนำท่าทีเช่นนี้ไปใช้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าไม่เข้าใจบางสิ่ง เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะทรงนำทางเจ้าและทรงให้เส้นทางให้เจ้าติดตาม ไม่สำคัญว่าผู้คนจะเสนอการแสดงแบบใด พระเจ้าก็ทรงเห็นพวกเขาอย่างชัดเจนและชัดแจ้ง และพระองค์จะประทานการประเมินที่ถูกต้องและเหมาะสมสำหรับการแสดงเหล่านี้ของเจ้า หลังจากที่เจ้าได้ก้าวผ่านการทดสอบสุดท้ายแล้ว พระเจ้าก็จะทรงนำพฤติกรรมทั้งหมดของเจ้ามาสรุปรวมกันอย่างครบบริบูรณ์ เพื่อที่จะกำหนดพิจารณาบทอวสานของเจ้า ผลลัพธ์นี้จะโน้มน้าวให้ทุกๆ บุคคลเชื่ออย่างสิ้นสงสัย สิ่งที่เราอยากจะบอกพวกเจ้าในที่นี้คือว่า ทุกความประพฤติของพวกเจ้า ทุกการกระทำของพวกเจ้า และทุกความคิดของพวกเจ้าตัดสินโชคชะตาของพวกเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

Leave a Reply

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger