พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การรู้จักพระเจ้า | บทตัดตอน 3

วันที่ 25 เดือน 12 ปี 2020

ผู้คนจำนวนมากยึดมั่นในพระวจนะของพระเจ้าเพื่ออ่านวันต่อวัน จนกระทั่งถึงจุดที่หมายมั่นอย่างพิถีพิถันที่จะจดจำบทตอนอันเป็นอมตะทั้งหมดที่มีในนั้นว่าเป็นทรัพย์สมบัติอันมีค่ามากที่สุดของพวกเขา และยิ่งไปกว่านั้นยังประกาศพระวจนะของพระเจ้าทุกหนแห่ง จัดเตรียมและช่วยเหลือผู้อื่นด้วยพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาคิดว่าการทำเช่นนี้คือการเป็นพยานต่อพระเจ้า คือการเป็นพยานต่อพระวจนะของพระองค์ คิดว่าการทำเช่นนี้คือการเจริญรอยตามทางแห่งพระเจ้า พวกเขาคิดว่าการทำเช่นนี้คือการดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า ว่าการทำเช่นนี้คือการนำพระวจนะของพระองค์ไปสู่ชีวิตจริงของพวกเขา ว่าการทำเช่นนี้จะทำให้พวกเขาสามารถได้รับการชมเชยจากพระเจ้า และได้รับการช่วยให้รอดและได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม แต่แม้ในขณะที่พวกเขาประกาศพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาไม่เคยปฏิบัติสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าเลยในทางปฏิบัติ หรือพยายามที่จะนำพาตัวพวกเขาเองไปในแนวเดียวกับสิ่งที่ถูกเผยในพระวจนะของพระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับใช้พระวจนะของพระเจ้าเพื่อได้รับการรักใคร่บูชาและความเชื่อใจจากผู้อื่นโดยเล่ห์เพทุบาย เพื่อเข้าสู่การบริหารจัดการด้วยตัวพวกเขาเอง และเพื่อยักยอกและขโมยพระสิริแห่งพระเจ้า พวกเขาหวังอย่างลมๆ แล้งๆ ว่าจะฉกฉวยโอกาสที่ได้จากการเผยแผ่พระวจนะของพระเจ้าเพื่อที่จะให้ได้รางวัลเป็นการทำงานของพระเจ้าและการชมเชยจากพระองค์ กี่ปีแล้วที่ได้ผ่านไป แต่ไม่เพียงแต่ผู้คนเหล่านี้จะไม่สามารถได้รับการชมเชยจากพระเจ้าในขณะที่กำลังทำการประกาศพระวจนะของพระเจ้า และไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่สามารถค้นพบหนทางซึ่งพวกเขาควรติดตามในขณะที่กำลังทำการเป็นพยานต่อพระวจนะของพระเจ้า และไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่ได้ช่วยเหลือหรือจัดเตรียมให้กับตัวพวกเขาเองในขณะที่กำลังทำการช่วยเหลือและจัดเตรียมพระวจนะของพระเจ้าให้กับผู้อื่น และไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่สามารถทำความรู้จักพระเจ้า หรือปลุกความเคารพอันจริงแท้ในตัวพวกเขาที่มีให้กับพระเจ้า ในขณะที่กำลังทำการในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมด แต่ในทางกลับกัน ความเข้าใจผิดของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้ายิ่งดิ่งลึกลงทุกที ความไม่เชื่อใจของพวกเขาในพระองค์ยิ่งรุนแรงมากขึ้นทุกที และการจินตนาการทั้งหลายของพวกเขาเกี่ยวกับพระองค์ยิ่งเกินความจริงขึ้นทุกที เมื่อได้รับการจัดหาและได้รับการนำโดยทฤษฎีทั้งหลายของพวกเขาเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาดูราวกับว่าครบบริบูรณ์ในองค์ประกอบของพวกเขา ราวกับว่าเป็นการใช้ทักษะทั้งหลายของพวกเขาด้วยความง่ายดายโดยไม่ต้องพยายาม ราวกับว่าพวกเขาได้ค้นพบจุดประสงค์ในชีวิตของพวกเขา ภารกิจของพวกเขาแล้ว และราวกับว่าพวกเขาได้รับชีวิตใหม่และได้รับการช่วยให้รอดแล้ว ราวกับว่า ด้วยพระวจนะของพระเจ้าที่กลิ้งผ่านลิ้นของพวกเขาอย่างแข็งทื่อรีบร้อนในระหว่างท่องขานนั้น พวกเขาได้รับความจริงแล้ว จับความเข้าใจในเจตนารมณ์ของพระเจ้าแล้ว และได้ค้นพบเส้นทางสู่การทำความรู้จักพระเจ้าแล้ว ราวกับว่า ในขณะที่กำลังทำการประกาศพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาได้มาเผชิญหน้ากับพระเจ้าบ่อยครั้ง บ่อยครั้งอีกเช่นกันที่พวกเขา "ซาบซึ้ง" จนร่ำไห้หลายครั้งหลายคราว และบ่อยครั้งที่ได้รับการทรงนำโดย "พระเจ้า" ในพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาดูเหมือนว่าได้เข้าใจถึงความกังวลห่วงใยอันจริงจังและเจตนารมณ์อันใจดีมีเมตตาของพระองค์อย่างไม่หยุดหย่อน และในขณะเดียวกัน ได้จับความเข้าใจในความรอดของมนุษย์จากพระเจ้าและการบริหารจัดการของพระองค์ ได้มารู้จักแก่นแท้ของพระองค์ และได้จับความเข้าใจในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ จากพื้นฐานของความคิดนี้ พวกเขาดูเหมือนว่าได้เชื่ออย่างหนักแน่นยิ่งขึ้นไปอีกในการดำรงอยู่ของพระเจ้า ได้รับรู้มากขึ้นถึงสภาวะที่ได้รับการยกย่องของพระองค์ และได้รู้สึกถึงความโอ่อ่าตระการตาและความเหนือธรรมชาติของพระองค์อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น เมื่อปักจมอยู่ในความรู้อันผิวเผินในพระวจนะของพระเจ้า มันคงจะดูเหมือนว่าความเชื่อของพวกเขาได้เติบโตขึ้น การตัดสินใจแน่วแน่ของพวกเขาที่จะสู้ทนความทุกข์ได้มีความแข็งแกร่งขึ้น และความรู้ของพวกเขาในพระเจ้าได้ลึกซึ้งขึ้น พวกเขาหารู้ไม่ว่า จนกว่าพวกเขาได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริง ความรู้ทั้งหมดของพวกเขาในพระเจ้าและแนวคิดของพวกเขาเกี่ยวกับพระองค์นั้นมาจากการจินตนาการทั้งหลายอันเต็มไปด้วยปรารถนาและการอนุมานของพวกเขาเอง ความเชื่อของพวกเขาคงจะอยู่ได้ไม่นานภายใต้การทดสอบรูปแบบใดก็ตามจากพระเจ้า สิ่งที่เรียกว่าความเป็นจิตวิญญาณและวุฒิภาวะของพวกเขาแค่คงจะอยู่ได้ไม่นานภายใต้การทดสอบหรือการตรวจสอบของพระเจ้า ปณิธานของพวกเขาเป็นแต่เพียงปราสาทหลังหนึ่งซึ่งถูกสร้างขึ้นบนทราย และสิ่งที่เรียกว่าความรู้ในพระเจ้าก็ไม่ใช่อะไรมากไปกว่าเรื่องที่ปั้นแต่งขึ้นเรื่องหนึ่งของจินตนาการของพวกเขา ในข้อเท็จจริงนั้น ก็อย่างที่เป็นอยู่ ผู้คนเหล่านี้ ผู้ซึ่งได้ใช้ความพยายามมากมายไปในพระวจนะของพระเจ้า ไม่เคยได้ตระหนักเลยว่าอะไรคือความเชื่อที่แท้จริง อะไรคือการเชื่อฟังที่แท้จริง อะไรคือการเอาใจใส่ที่แท้จริง หรืออะไรคือความรู้ที่แท้จริงในพระเจ้า พวกเขายึดถือทฤษฎี จินตนาการ ความรู้ พรสวรรค์ ประเพณี ความเชื่อเหนือธรรมชาติ และกระทั่งค่านิยมด้านศีลธรรมแห่งความเป็นมนุษย์ และทำให้สิ่งเหล่านี้มาเป็น "ต้นทุน" และ "อาวุธยุทโธปกรณ์" สำหรับการเชื่อในพระเจ้าและการติดตามพระองค์ กระทั่งทำให้สิ่งเหล่านี้มาเป็นรากฐานของความเชื่อของพวกเขาในพระเจ้าและการติดตามพระองค์ของพวกเขา ในเวลาเดียวกัน พวกเขายังใช้ต้นทุนและอาวุธยุทโธปกรณ์นี้และทำให้สิ่งเหล่านี้มาเป็นเครื่องรางของขลังวิเศษซึ่งพวกเขาใช้ในการทำความรู้จักพระเจ้า สำหรับการเผชิญหน้าและการจัดการกับการตรวจสอบทั้งหลาย การทดสอบทั้งหลาย การตีสอน และการพิพากษาของพระเจ้า ในท้ายที่สุด สิ่งที่พวกเขาเก็บรวบรวมยังคงไม่ได้ประกอบไปด้วยอะไรมากไปกว่าข้อสรุปทั้งหลายเกี่ยวกับพระเจ้าซึ่งปักจมอยู่ในความหมายแฝงทั้งหลายในทางศาสนา ในความเชื่อเหนือธรรมชาติในระบบศักดินา และในทุกสิ่งซึ่งมีลักษณะเพ้อฝันประโลมใจ พิลึกพิสดาร และพิศวงลี้ลับ แนวทางของพวกเขาในการรู้จักและนิยามพระเจ้าถูกประทับตราในแม่พิมพ์เดียวกันกับแม่พิมพ์ของผู้คนซึ่งเชื่อในฟ้าสวรรค์เบื้องบน หรือชายชราบนท้องฟ้าเพียงเท่านั้น ในขณะที่สภาวะความเป็นจริงของพระเจ้า เนื้อแท้ของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์ สิ่งทรงครองและสิ่งทรงเป็นของพระองค์ เป็นต้น—ทั้งหมดซึ่งสัมพันธ์กับพระเจ้าพระองค์จริงเอง—คือสิ่งทั้งหลายซึ่งความรู้ของพวกเขาได้ล้มเหลวที่จะจับความเข้าใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ความรู้ของพวกเขาได้แยกทางไปโดยสมบูรณ์ และแยกห่างกันมากถึงขนาดขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้ ในหนทางนี้ แม้ว่าผู้คนเหล่านี้ดำเนินชีวิตภายใต้การจัดเตรียมและการบำรุงเลี้ยงจากพระวจนะของพระเจ้า กระนั้นก็ตามพวกเขากลับไม่สามารถย่ำเท้าไปบนเส้นทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วได้อย่างแท้จริง เหตุผลที่แท้จริงสำหรับการนี้ก็คือว่า พวกเขาไม่เคยได้กลายมาสนิทสนมคุ้นเคยกับพระเจ้า และพวกเขาไม่เคยมีการติดต่อหรือการมหาสนิทอันจริงแท้กับพระองค์ และดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาที่จะมาถึงความเข้าใจซึ่งกันและกันกับพระเจ้า หรือปลุกความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า การเจริญรอยตามพระเจ้า หรือการนมัสการที่มีให้กับพระเจ้าในตัวพวกเขา การที่พวกเขาควรคำนึงถึงพระวจนะของพระเจ้าด้วยเหตุนี้ การที่พวกเขาควรคำนึงถึงพระเจ้าด้วยเหตุนี้—มุมมองและท่าทีนี้ได้ชี้ชะตากรรมให้พวกเขากลับไปมือเปล่าหลังความมุมานะบากบั่นทั้งหลายของพวกเขา ได้ชี้ชะตากรรมให้พวกเขาไม่มีวันที่จะสามารถย่ำเท้าไปบนเส้นทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วได้ชั่วนิรันดร์ เป้าหมายซึ่งพวกเขากำลังมุ่งหมาย และทิศทางซึ่งพวกเขากำลังไปในนั้น เป็นการแสดงความหมายว่าพวกเขาเป็นศัตรูทั้งหลายของพระเจ้าชั่วนิรันดร์ และว่าพวกเขาจะไม่มีวันที่จะสามารถได้รับความรอดได้ชั่วนิรันดร์

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, คำนำ

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger