การไล่ตามสถานะนำความทุกข์ระทมมาให้

วันที่ 29 เดือน 01 ปี 2022

โดย เจิ้งหยวน, ประเทศจีน

ปี 2017 ฉันได้รับเลือกเป็นผู้นำคริสตจักร และได้ทำงานคู่กับพี่น้องหญิงอีกสองคน เพื่อดูแลงานคริสตจักรหลายแห่ง พอเหล่าพี่น้องหญิงเห็นว่าฉันทำงานเร็วกว่า ตอนหารือเรื่องงานก็ให้ข้อเสนอแนะที่มีเหตุผล พวกเขาอิจฉากันมาก บอกว่าฉันมีความสามารถในการทำงานเป็นอย่างดี พอได้ยินแบบนี้ ฉันก็ดีใจมาก ฉันคิดว่า “สมัยก่อน ตอนทำงานที่บริษัท หัวหน้าก็ให้ความสำคัญ พอมาเชื่อในพระเจ้า พวกพี่น้องชายหญิงก็สนับสนุน ตอนนี้ทำหน้าที่ในฐานะผู้นำ คู่ทำงานก็เคารพนับถืออีก ฉันอาจมีพรสวรรค์จริงๆ ก็ได้ เมื่อผู้นำระดับสูงเห็นความสามารถฉัน พวกเขาก็จะพูดว่าฉันเหนือกว่าคู่ทำงานแน่นอน” พอคิดแบบนี้ ฉันก็รู้สึกมีแรงบันดาลใจในการทำหน้าที่มากยิ่งขึ้น เวลาผ่านไป ส่วนใหญ่ฉันมักจะเป็นคนตัดสินใจในงานของคริสตจักร พี่น้องหญิงทำทุกอย่างที่ฉันจัดเตรียมเอาไว้ ฉันพอใจความรู้สึกนั้นมาก

ต่อมาเหล่าผู้นำก็จัดการให้พี่เฉินมาเข้าร่วมกับเรา ที่การพบปะ ฉันเห็นว่าสามัคคีธรรมของพี่เฉินสัมพันธ์กับชีวิตจริงมาก ฉันรู้สึกว่าจะได้ประโยชน์จากการเป็นคู่ทำงานเธอ เลยมีความสุขมาก แต่หลังจากนั้น ในการพบปะแต่ละครั้ง ขณะที่เห็นว่าสามัคคีธรรมของพี่เฉินสัมพันธ์กับชีวิตจริงและแจ่มแจ้ง พร้อมมองดูพี่น้องชายหญิงคอยฟังอย่างตั้งใจ และพยักหน้าเห็นด้วย ฉันก็เริ่มเป็นกังวล ฉันคิดว่า “ฉันเคยเป็นคนคุมการชุมนุมและสามัคคีธรรม แต่ตอนนี้ใครๆ ก็อยากฟังสามัคคีธรรมของพี่เฉิน แล้วต่อไปใครจะมานับถือฉัน?” ฉันอิจฉามากเพราะกลัวว่าเธอจะล้ำหน้าฉัน จากนั้น ฉันก็เห็นว่า เวลาพี่น้องชายหญิงมีความลำบากในหน้าที่ พี่เฉินก็จะให้การสามัคคีธรรมเพื่อช่วยเหลือพวกเขาได้ทันที และดำเนินการทำงานได้อย่างรวดเร็ว สมัยก่อนไม่ได้จัดตั้งกลุ่ม เพราะไม่เจอบุคลากรที่เหมาะสม แต่พี่เฉินใช้เวลาไม่นานในการจัดการ เวลาเหล่าผู้นำของเรามาประชุม พี่เฉินยังให้ข้อเสนอแนะที่ดีเกี่ยวกับงานของคริสตจักร ทั้งหมดนี้ทำให้ฉันทั้งอิจฉาและริษยา ฉันอยากมีขีดความสามารถในระดับเดียวกัน เพื่อที่พี่น้องชายหญิงจะนับถือฉันมากขึ้น ถึงกับอยากให้ผู้นำย้ายเธอไปที่อื่น เพื่อไม่ให้ใครมาแย่งความสนใจไปจากฉัน และพี่น้องชายหญิงก็จะเห็นว่าฉันดีที่สุด ต่อมา คริสตจักรหลายแห่งได้มีการคัดเลือก และเหล่าผู้นำก็มักจะขอให้พี่เฉินช่วยจัดการ นี่ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกแพ้เป็นพิเศษ ผู้ที่ถูกขอให้จัดการการคัดเลือก เป็นคนมีความสามารถที่แยกแยะผู้อื่นได้ แต่ก่อน เหล่าผู้นำมักจะขอให้ฉันช่วย ตอนนี้กลับมาขอพี่เฉิน ดูเหมือนเธอจะสำคัญต่อผู้นำมาก และฉันก็ไม่สำคัญต่อผู้นำเลย โดยเฉพาะเวลาต่อมา งานสำคัญหลายๆ งานของคริสตจักร ผู้นำของเราก็จะให้พี่เฉินคอยดูแล ฉันยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมมากขึ้น

มีครั้งหนึ่ง ตอนคริสตจักรแห่งหนึ่งต้องเลือกผู้นำและมัคนายกอีกครั้ง และพี่เฉินก็ไม่รู้รายละเอียด เกี่ยวกับบุคลากรที่คริสตจักรแห่งนี้ คนที่ถูกเลือกให้เป็นมัคนายกในการให้น้ำอยู่ในสภาวะที่แย่ นิ่งเฉยละเลยในหน้าที่ ฉันรู้ดีว่าพี่สาวคนนี้ ไม่เหมาะที่จะเป็นมัคนายกในการให้น้ำ แต่ด้วยความที่ฉันอิจฉาพี่เฉิน ฉันจึงไม่อยากพูดอะไร ฉันคิดว่า “คุณเลือกพี่สาวคนนี้มา คุณผิดเองที่เลือกมาผิดคน มาดูกันว่า คนที่คุณเลือกจะทำงานได้จริงไหม” ซึ่งเธอบริหารจัดการการรดน้ำได้ไม่กี่เดือน ก่อนจะถูกติเตียนว่าไร้ความสามารถและลาออก ต่อมา พี่เฉินก็ติฉันถึงสองครั้ง ว่าเป็นคนชอบเอาใจคนอื่น ไม่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาทั้งๆ ที่ตัวฉันก็รู้ดี ถึงแม้ฉันจะไม่โต้แย้ง แต่ก็คิดในใจว่า “คุณเป็นคนดูแลงานนี้ ถ้างานมันเสร็จเรียบร้อยด้วยดีคุณก็ได้หน้า แล้วฉันจะพูดมากทำไม?” ในช่วงนั้น พี่เฉินจะคอยกวนใจฉันตลอด ฉันไม่พอใจเธอมาก ฉันเกลียดเธอที่ขโมยความดีความชอบไปจากฉัน ฉันทุกข์ใจมาก ต่อมา พี่เฉินก็มีปัญหาเรื่องงานและมาขอความเห็นฉัน ฉันก็ตอบส่งๆ ไป ซึ่งแบบนั้น ดูเผินๆ ว่าฉันทำหน้าที่ร่วมกับเธอลุล่วงแล้ว แต่ไม่มีการสื่อสารเกี่ยวกับงาน หรือร่วมมือกันอย่างปรองดองเลย มีครั้งหนึ่ง งานที่พี่เฉินรับผิดชอบเกิดมีปัญหา ผู้นำของเราก็ติเธอในที่ประชุม ตอนที่พี่เฉินเอาแต่ร้องไห้โทษตัวเอง ฉันก็มีความสุข กระหยิ่มยิ้มย่องกับตัวเองว่า “ตอนนี้พี่น้องชายหญิงเห็นความสามารถจริงของคุณแล้ว คุณดูไม่ดีอีกต่อไป ดูเหมือนโอกาสที่ฉันจะได้แสดงความสามารถมาถึงแล้ว” ต่อมา ฉันแปลกใจที่เห็นว่าเหล่าผู้นำยังคงให้ความสำคัญพี่เฉินมาก เธอยังคงรับผิดชอบงานสำคัญๆ หลายอย่างของคริสตจักร ใจฉันแทบสลายจริงๆ ฉันหมดความสนใจในหน้าที่ ถึงกับเริ่มเคืองพวกเขา มีครั้งหนึ่ง ทีมวิดีโอมีปัญหา พี่เฉินก็มาขอให้ฉันไปแก้ไข ฉันไม่อยากไปยุ่ง ฉันคิดว่า “ถ้าฉันทำงานนี้คุณก็ยังได้หน้าไปอยู่ดี ไม่มีใครเห็นหัวฉันหรอก ตั้งแต่คุณมา คุณก็เป็นคนรับผิดชอบงานนี้ งั้นก็จัดการเองสิ” ความคิดอันชั่วช้ายังถูกเปิดโปงในตัวฉันด้วย “ฉันหวังให้คุณทำงานล้มเหลว จะได้ไม่มีใครนับถือคุณ” ฉันพูดยืนกรานไปว่า “ฉันไม่ไปค่ะ” ในตอนนั้น ฉันเห็นพี่เฉินนั่งเงียบอย่างหมดหนทางอยู่ตรงนั้น ฉันก็รู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย เพราะฉันรู้ว่างานของคริสตจักรเป็นหน้าที่ร่วมกันของเรา ฉันควรไปแก้ไขเรื่องนี้ ฉันจึงยอมไปแบบไม่เต็มใจ แต่เจตนาของฉันมันไม่ถูกต้อง เพราะฉันอยากพิสูจน์ว่าตัวเองดีกว่าพี่เฉิน ฉันจึงขาดการทรงคุ้มครองและทรงนำในหน้าที่จากพระเจ้า ปัญหาของทีมวิดีโอก็ไม่ได้รับการแก้ไข ในช่วงนั้น ฉันอยู่ในสภาวะของการต่อสู้เพื่อชื่อเสียงและโชคลาภ จิตวิญญาณของฉันมืดลงเรื่อยๆ อับจนหนทางในการทำหน้าที่เสมอ ฉันไม่กล้าพูด เพราะกลัวจะโดนดูถูก งานใดก็ตามที่ฉันดูแล ล้วนไม่มีประสิทธิผล ฉันก็ยิ่งทุกข์ใจเป็นพิเศษเลย ฉันคิดว่า “ฉันเคยปฏิบัติหน้าที่ของฉันได้ดี เหล่าพี่น้องชายหญิงต่างก็สนับสนุนฉัน คู่ทำงานก็มักจะฟังฉัน แต่ตอนนี้ ฉันได้แต่รู้สึกต่ำต้อย เป็นเพราะพี่เฉินอยู่ที่นี่ ฉันจึงรู้สึกว่าทำอะไรให้ดีไม่ได้เลย” ในตอนนั้น เวลาเห็นพี่เฉินฉันก็รู้สึกรังเกียจ ฉันอยากหนีไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่ต้องเจอเธอ

หลังจากนั้น ก็มีปัญหามากมายในคริสตจักรที่ฉันดูแล งานทุกด้านของคริสตจักรไร้ประสิทธิภาพ แทบจะเป็นอัมพาต ฉันรู้สึกผิดกับเรื่องนี้มาก แต่ฉันก็ไม่เคยแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสภาวะของฉัน เหล่าผู้นำขอให้เราทบทวน ว่าทำไมงานของเราถึงไม่มีประสิทธิผล แต่ฉันขาดความเข้าใจในตัวเอง ฉันจึงชี้นิ้วไปที่พี่เฉิน ฉันคิดว่าก่อนที่เธอจะมา ตอนที่ฉันดูแลอยู่ งานเราก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่ตอนนี้ที่เธอมาดูแล เธอนั่นแหละที่ทำให้เป็นแบบนี้ มีครั้งหนึ่ง ตอนฉันกับพี่สาวคนหนึ่งคุยกันถึงเรื่องพวกนี้ ฉันระบายความไม่พอใจที่มีต่อพี่เฉิน ฉันพูดไปมากมายหลายคำว่าพี่เฉินนั้นไม่ดี หลังจากนั้น ฉันรู้สึกโทษตัวเองเล็กน้อย นี่ฉันตัดสินเธอลับหลังไม่ใช่หรือ? นี่มันคือสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียด! แต่ตอนนั้น ความคิดนี้มันแค่ผ่านเข้ามา ฉันไม่ได้ทบทวนตัวเองจริงจัง พูดตามตรง ฉันด้านชาและดื้อรั้นเหลือเกิน ต้องถูกปลด ฉันถึงจะรู้สึกขึ้นมา ผู้นำมาพบพวกเราและบอกว่า ประสิทธิผลของงานคริสตจักรนั้นลดลง และยังบอกว่าฉันไม่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีกับพี่เฉิน ฉันรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เข้าใจตัวเอง ฉันจึงยังคงพุ่งเป้าไปที่พี่เฉินเท่านั้น ฉันคิดว่าพอเธอมา งานของเราก็มีแต่แย่ลงแบบนี้ เมื่อผู้นำเห็นว่าฉันไม่รู้จักตัวเอง ก็เลยจัดการฉัน โดยบอกว่าฉันต่อสู้เพื่อชื่อเสียงและโชคลาภในหน้าที่ แม้ว่างานฉันจะไร้ประสิทธิภาพ ก็ไม่ทบทวนตัวเอง จากสภาวะของฉัน ฉันไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำ และฉันต้องการเวลาเพื่อทบทวนทางจิตวิญญาณ

การถูกปลดทำให้ฉันเจ็บปวดมาก ไม่รู้ว่าพี่น้องชายหญิงจะมองฉันอย่างไร ยิ่งคิดจิตวิญญาณฉันก็ยิ่งมืดมน ฉันผล็อยหลับไปขณะอ่านพระวจนะ ไม่อาจสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ ฉันผ่านพ้นช่วงต่อจากนั้นในสภาวะที่สับสนวุ่นวายเช่นนี้ แล้วฉันก็ตระหนักว่าสภาวะของฉันไม่ถูกต้อง ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำให้ฉันรู้จักตัวเอง มีวันหนึ่ง ฉันได้เห็นพระวจนะสองบทตอน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พวกศัตรูของพระคริสต์พิจารณาสถานะและความมีหน้ามีตาของพวกเขาเองว่าสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด ผู้คนเหล่านี้ไม่เพียงแค่เคี้ยวคด เจ้าเล่ห์เพทุบาย และเลวเท่านั้น แต่ในธรรมชาติแล้วยังสารเลวอีกด้วย พวกเขาทำสิ่งใดหรือเมื่อพวกเขาสืบพบว่าสถานะของพวกเขาอยู่ในความเสี่ยง หรือเมื่อพวกเขาสูญเสียที่ทางของพวกเขาในหัวใจของผู้คน เมื่อพวกเขาสูญเสียการรับรองและการรักใคร่เอ็นดูจากผู้คนเหล่านี้ เมื่อผู้คนไม่ให้ความเคารพเทิดทูนและเคารพยกย่องพวกเขาอีกต่อไป และพวกเขาได้ตกไปอยู่ในความอัปยศแล้ว? พวกเขาเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันทันใด ทันทีที่พวกเขาสูญเสียสถานะของพวกเขา พวกเขาไม่ต้องการที่จะทำอะไรเลย และทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำก็กำมะลอ พวกเขาไม่มีความสนใจเลยในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา แต่นี่ไม่ใช่การสำแดงที่แย่ที่สุด อะไรหรือคือการสำแดงที่แย่ที่สุด? ทันทีที่ผู้คนเหล่านี้สูญเสียสถานะของพวกเขา และไม่มีผู้ใดเคารพยกย่องพวกเขา และไม่มีผู้ใดถูกพวกเขาหลอกล่อ ความอิจฉาริษยาและการแก้แค้นก็ออกมา และความเกลียดชังก็ออกมา พวกเขาไม่เพียงแค่ไม่มีความยำเกรงพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังขาดพร่องเศษเสี้ยวอันใดของความเชื่อฟังด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาหมิ่นเหม่ไปในทางที่จะเกลียดชังคริสตจักร พระนิเวศของพระเจ้า และผู้นำและคนทำงาน พวกเขาถวิลหางานของคริสตจักรเพื่อที่จะวิ่งเข้าไปชนปัญหาหรือไม่ก็มาถึงจุดหยุดนิ่ง โดยที่พวกเขาต้องการหัวเราะเยาะพระนิเวศของพระเจ้า และหัวเราะเยาะเหล่าพี่น้องชายหญิง พวกเขายังเกลียดชังใครก็ตามที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและยำเกรงพระเจ้าอีกด้วย พวกเขาโจมตีและเย้ยหยันใครก็ตามที่สัตย์ซื่อในหน้าที่ของตนและเต็มใจที่จะยอมลงทุนลำบาก นี่คืออุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์—แล้วนี่ไม่สารเลวหรอกหรือ?(“พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่สอง)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์)หากผู้คนบางคนเห็นผู้อื่นดีกว่าตน พวกเขาก็ปราบปรามคนเหล่านั้น เริ่มข่าวลือเกี่ยวกับพวกเขา หรือนำเอาวิถีทางที่ไม่มีหลักศีลธรรมมาใช้ เพื่อให้ผู้คนอื่นๆ ไม่มองพวกเขาสูงส่ง และเพื่อให้ไม่มีใครดีกว่าใครอื่นแต่อย่างใดเลย เช่นนั้นแล้ว นี่ก็คืออุปนิสัยเสื่อมทรามแห่งความโอหังและการมองตัวเองถูกต้องเสมอ ตลอดจนความคดในข้องอในกระดูก ความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และความเคลือบแฝง และผู้คนเหล่านี้จึงหยุดอยู่ตรงที่ไม่มีอะไรเลยที่จะสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของพวกเขา พวกเขาดำรงชีวิตอยู่เยี่ยงนี้ และกระนั้นก็ยังคงคิดว่าพวกเขายิ่งใหญ่และคิดว่าพวกเขาเป็นผู้คนที่ดีงาม อย่างไรก็ตามที พวกเขานั้นมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่? ก่อนอื่นใด เพื่อที่จะพูดจากมุมมองของธรรมชาติทั้งหลายของสาระเหล่านี้ ผู้คนที่ปฏิบัติตนแบบนี้ไม่ใช่แค่กำลังทำไปตามที่พวกเขายินดีหรอกหรือ? พวกเขาพิจารณาผลประโยชน์ของครอบครัวของพระเจ้าหรือไม่? พวกเขาคิดถึงแต่ความรู้สึกของตัวพวกเขาเองเท่านั้น และพวกเขาต้องการเพียงที่จะสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของพวกเขาเองเท่านั้น โดยไม่พิจารณาถึงความสูญเสียที่พระราชกิจของครอบครัวพระเจ้าต้องทนทุกข์ ผู้คนเช่นนี้ไม่เพียงโอหังและมองตัวเองถูกต้องเสมอเท่านั้น พวกเขายังเห็นแก่ตัวและน่าเหยียดหยามอีกด้วย พวกเขาไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างถึงที่สุด และไม่ต้องกังขาเลยแม้แต่น้อยว่า ผู้คนเยี่ยงนี้ไม่ครองหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า นี่คือเหตุผลที่พวกเขาจึงทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาต้องการและปฏิบัติตนอย่างอุตริ โดยปราศจากสำนึกรู้ต่อการติเตียนอันใด โดยปราศจากความหวั่นเกรงอันใด ปราศจากความประหวั่นใจหรือกังวลใจอันใด และปราศจากการพิจารณาถึงผลสืบเนื่องที่ตามมา นี่คือสิ่งที่พวกเขาทำบ่อยครั้ง และคือวิธีที่พวกเขาได้ประพฤติตนเสมอมา อะไรคือผลสืบเนื่องที่ผู้คนเช่นนั้นเผชิญ? พวกเขาจะเดือดร้อน ใช่หรือไม่? พูดอย่างเบาๆ ได้ว่า ผู้คนเช่นนั้นช่างอิจฉาริษยามากเกินไปและมีความพึงปรารถนาเพื่อชื่อเสียงและสถานะส่วนบุคคลรุนแรงเกินไป พวกเขามีเล่ห์ลวงและคิดคดทรยศมากเกินไป พูดอย่างรุนแรงกว่านั้นได้ว่า ปัญหาอันเป็นแก่นสารก็คือ หัวใจของผู้คนเช่นนั้นไม่แม้แต่จะยำเกรงพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย พวกเขาไม่ยำเกรงพระเจ้า พวกเขาเชื่อว่าตัวพวกเขาเองสำคัญที่สุด และพวกเขาถือว่าทุกแง่มุมของตัวพวกเขาเองสูงส่งกว่าพระเจ้าและสูงส่งกว่าความจริง ในหัวใจของพวกเขา พระเจ้าทรงมีค่าน้อยที่สุดที่จะเอ่ยถึง และปราศจากนัยสำคัญที่สุด และพระเจ้าจึงไม่ทรงมีพระสถานภาพใดในหัวใจพวกเขาแต่อย่างใดเลย พวกที่ไม่มีที่สำหรับพระเจ้าในหัวใจพวกเขาและพวกที่ไม่เคารพพระเจ้าได้บรรลุการเข้าสู่ความจริงหรือไม่? (ไม่) ดังนั้นแล้ว ตอนที่พวกเขามักจะเที่ยวทำตัวเองให้มีธุระยุ่งหัวหมุนไปทั่ว และทุ่มเทพลังงานไปค่อนข้างมากมายนั้น พวกเขากำลังทำอะไรหรือ? ผู้คนเช่นนั้นถึงกับกล่าวอ้างว่าได้ทอดทิ้งทุกสิ่งเพื่อที่จะสละเพื่อพระเจ้าและได้ทนทุกข์ไปอย่างมหาศาล แต่อันที่จริงแล้ว สิ่งจูงใจ หลักธรรมและวัตถุประสงค์ของการกระทำทั้งหมดของพวกเขานั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของตัวพวกเขาเอง พวกเขาเพียงพยายามที่จะปกป้องผลประโยชน์ทั้งปวงของตัวพวกเขาเองเท่านั้น พวกเจ้าจะพูดหรือจะไม่พูด ว่าบุคคลจำพวกนี้ร้ายแรง? คนที่ไม่เคารพพระเจ้านั้นเป็นบุคคลจำพวกไหนหรือ? พวกเขาไม่โอหังหรอกหรือ? พวกเขาไม่ใช่ซาตานหรอกหรือ? สิ่งประเภทใดกันที่ไม่เคารพพระเจ้า? ผู้คนประเภทใดหรือที่ได้เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่กระนั้นกลับไม่มีความยำเกรงพระเจ้าเลย? ผู้คนที่โอหัง แล้วสิ่งใดหรือที่ขาดพร่องความยำเกรงพระเจ้ามากที่สุด? นอกเหนือไปจากพวกสัตว์แล้ว นั่นก็คือคนเลว พวกศัตรูของพระคริสต์ พวกมาร และซาตาน พวกเขามีความกล้าที่จะขับเคี่ยวกับพระเจ้า ทั้งนี้ พวกเขาสิ้นไร้ซึ่งความยำเกรงพระเจ้า(“ห้าสภาวะที่จำเป็นต่อการอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องในความเชื่อของคนเรา” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะเหล่านี้เสียดแทงใจฉัน ศัตรูของพระคริสต์ให้ความสำคัญ กับตำแหน่งและความมีหน้ามีตาเหนือสิ่งใด พวกนั้นอิจฉาเมื่อเห็นผู้อื่นไล่ตามเสาะหาความจริง เลยโจมตีและกันพวกเขาออกไป เพราะพวกนั้นกลัวจะถูกล้ำหน้าไป พวกเขาจะทำเรื่องชั่วร้ายเพื่อรักษาสถานะของตัวเองไว้ ถึงกับหวังให้พี่น้องชายหญิงทำหน้าที่ล้มเหลว และทำงานอย่างไร้ประสิทธิภาพ ยิ่งงานของพระนิเวศดีขึ้นเท่าไร พวกนั้นก็ยิ่งรู้สึกแย่ พวกนั้นมีอุปนิสัยอันโหดร้ายและเป็นปีศาจ พฤติกรรมของฉันในช่วงนั้นก็เหมือนกับศัตรูของพระคริสต์ พอฉันเห็นพี่เฉินมีขีดความสามารถที่ดี ทำงานได้ดี สามัคคีธรรมตามความจริงดีกว่าฉัน และเป็นที่นับถือของทุกคน ฉันก็อิจฉาว่าเธอขโมยความสนใจไป และหวังว่าผู้นำจะย้ายเธอไป เพื่อให้ฉันยังคงโดดเด่นในคริสตจักร พอฉันเห็นผู้นำให้ความสำคัญและฝึกฝนเธอ ฉันก็อิจฉาและไม่พอใจ ฉันรู้ว่าเธอเพิ่งมาถึง ยังไม่คุ้นเคยกับบุคลากรคริสตจักร และมัคนายกในการให้น้ำไม่เหมาะกับงาน แต่ฉันก็ไม่พูดอะไร ฉันแค่เฝ้าดู รอให้เธอพลาด เวลาเธอพยายามจะคุยเรื่องงานกับฉัน ฉันก็ไม่สนใจ ฉันหวังว่างานของเธอจะออกมาแย่ เธอจะได้ถูกปลดและไม่มีใครนับถือ ฉันถึงกับตัดสินและเลื่อยขาเก้าอี้เธอลับหลัง ดูถูกเธอและยกชูตัวเอง เพื่อบรรลุความปรารถนาที่จะโดดเด่นของตัวเอง แม้ฉันมีความเชื่อมานานหลายปี ฉันก็ไม่สนใจการเข้าสู่ชีวิต ฉันไม่เอางานของพระนิเวศมาเป็นอันดับแรก ใช้เวลาทั้งหมดต่อสู้เพื่อความมีหน้ามีตาและสถานะ พอฉันไม่ได้มันมา ก็รู้สึกเหมือนชีวิตสูญสิ้น มันทำให้ฉันอิจฉามากจนตอบโต้พี่น้องหญิง และละเลยงานของคริสตจักร ฉันกลัวพี่เฉินจะทำงานของตัวเองได้ดี ฉันจะเต็มใจทำให้ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศเสียหาย เพื่อเห็นแก่ตัวเอง ฉันไม่มีความเกรงกลัวพระเจ้า หรือมีที่สำหรับพระเจ้าในหัวใจเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ฉันทำคือทำตัวเป็นทาสรับใช้ของซาตาน ทำให้งานแห่งพระนิเวศหยุดชะงัก ขัดขวางงานของคริสตจักรจนถึงขั้นเป็นอัมพาต ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองเลย! ฉันเป็นเหมือนสุนัขจิ้งจอกในไร่องุ่น ที่ขโมยพวงองุ่นและเหยียบย่ำเถาองุ่น ธรรมชาติของฉันช่างเหมือนกับศัตรูของพระคริสต์ที่พระเจ้าทรงเปิดโปง! ฉันนึกถึงศัตรูของพระคริสต์รอบตัวที่ถูกขับไล่ พวกนั้นใช้ประโยชน์จากหน้าที่ เพื่ออวดตัวและยกชูตัวเอง เพื่อหวังจะครอบครองหัวใจของผู้คน และการสนับสนุนจากพวกเขา ถ้าเห็นว่าพี่น้องชายหญิงคนใดล้ำหน้าและคุกคามสถานะ พวกนั้นจะโจมตีและตอบโต้ ทำลายงานของพระนิเวศโดยไม่ปรานี ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า ถูกเปิดเผยและถูกกำจัดทิ้งในท้ายที่สุด ในที่สุดฉันก็เห็นว่า การไล่ตามสถานะนั้นอันตรายเหลือเกิน! พอฉันตระหนักถึงเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกกลัว ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าขอทรงนำฉันให้รู้จักตัวเอง กลับใจและเปลี่ยนแปลง หลังอธิษฐาน ฉันก็ถามตัวเองว่า “ทำไมฉันเอาแต่ต่อสู้เพื่อสถานะและยึดติดกับตำแหน่ง?” ฉันมักไล่ตามสถานะ สาเหตุที่แท้จริงคืออะไรกันนะ?

ต่อมา ฉันก็เห็นพระวจนะบทตอนหนึ่ง จาก “การมีอุปนิสัยที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า” “แหล่งที่มาของการต่อต้านและการเป็นกบฏต่อพระเจ้าของมนุษย์ก็คือความเสื่อมทรามของเขาโดยซาตาน เพราะความเสื่อมทรามของซาตาน มโนธรรมของมนุษย์จึงได้ด้านชามากขึ้น เขาไม่มีศีลธรรม ความคิดของเขาเสื่อม และเขามีทัศนะทางจิตใจที่ล้าหลัง ก่อนที่เขาจะถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม มนุษย์ได้ติดตามพระเจ้าโดยธรรมชาติและเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์หลังจากที่ได้ยินพระวจนะเหล่านั้น เขามีสำนึกรับรู้และมโนธรรมที่ถูกต้องโดยธรรมชาติ และมีสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ หลังจากที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม สำนึกรับรู้ มโนธรรม และสภาวะความเป็นมนุษย์ดั้งเดิมของมนุษย์ก็ทึบเขลาและถูกซาตานทำให้เสื่อมลง ด้วยเหตุนี้ เขาจึงได้สูญเสียความเชื่อฟังและความรักของเขาที่มีต่อพระเจ้า สำนึกรับรู้ของมนุษย์ได้กลายเป็นผิดปกติวิสัย อุปนิสัยของเขาได้กลายเป็นเช่นเดียวกับอุปนิสัยของสัตว์ตัวหนึ่ง และความเป็นกบฏของเขาต่อพระเจ้าก็เกิดขึ้นบ่อยขึ้นและรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก กระนั้นก็ตามมนุษย์ยังคงไม่รู้และไม่ระลึกถึงการนี้ได้ และเพียงต่อต้านและเป็นกบฏอย่างหูหนวกตาบอด อุปนิสัยของมนุษย์ถูกเผยในการแสดงออกทั้งหลายของสำนึกรับรู้ ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก และมโนธรรมของเขา เพราะสำนึกรับรู้และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของเขานั้นไม่น่าไว้ใจ และมโนธรรมของเขาได้ทึบเขลายิ่งนัก ด้วยเหตุนี้อุปนิสัยของเขาจึงเป็นกบฏต่อพระเจ้า(พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) หลังอ่านพระวจนะ ฉันก็พบที่มาของปัญหา ฉันถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม จนไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตหรือประพฤติตัวอย่างไร รู้แต่เพียงไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและโชคลาภ มองสิ่งต่างๆ อย่างเช่น “จงโดดเด่นเหนือทุกคนที่เหลือ” “เราเท่านั้นที่ครองราชย์สูงสุด” “จ่าฝูงมีได้เพียงหนึ่ง” และ “ผู้ชายควรเพียรพยายามที่จะดีกว่าคนรุ่นเดียวกันเสมอ” เอาปรัชญาของซาตานพวกนี้ เป็นกฎในการใช้ชีวิต พอเห็นว่าพี่เฉินล้ำหน้าฉันในทุกๆ ด้าน จนพี่น้องชายหญิงและเหล่าผู้นำต่างก็นับถือและให้ความสำคัญ ฉันคิดว่าเธอปล้นความโดดเด่นไปจากฉัน และปฏิบัติกับเธอเหมือนเป็นหนามยอกอก พอพี่เฉินขอให้ฉันคุยเรื่องงาน ฉันก็ไม่สนใจเธอ ฉันถึงกับตัดสินและเลื่อยขาเก้าอี้เธอ จงใจดูถูกเธอ หวังว่าเธอจะถูกปลดเพราะทำหน้าที่พลาด และไม่สนใจว่างานของพระนิเวศจะเดือดร้อนอย่างไร ฉันเห็นว่าเมื่อฉันใช้ชีวิตด้วยความคิดและมุมมองของซาตาน ฉันกลายเป็นคนโอหัง เห็นแก่ตัวและชั่วช้า สภาวะความเป็นมนุษย์ของฉันบิดเบี้ยวไป ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อความมีหน้ามีตาและสถานะ เหมือนกับเจ้าหน้าที่ของพญานาคใหญ่สีแดง ถ้ามีใครล้ำหน้าหรือคุกคามสถานะ พวกนั้นจะถือว่าเป็นศัตรูทางการเมืองและทำลายพวกเขา พระเจ้าผู้ทรงสูงสุด เสด็จมาทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ทรงแสดงความจริงเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด แต่พรรคคอมมิวนิสต์จีนกลัวว่า ถ้าผู้คนยอมรับหนทางที่แท้จริงและติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ก็จะไม่มีใครติดตามหรือบูชามันอีกต่อไป พวกนั้นจึงเริ่มล่าพระคริสต์อย่างบ้าคลั่ง ข่มเหงคริสเตียนอย่างโหดร้าย สร้างแดนไร้พระเจ้าที่ที่ผู้คนบูชาและเชื่อฟังแต่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเท่านั้น พอเทียบตัวเองกับความชั่วร้ายของพญานาคใหญ่สีแดง ทั้งการใช้อำนาจกดขี่ ความเหี้ยมโหดและความรุนแรง ฉันก็รู้สึกหวาดกลัว มีอะไรแตกต่างระหว่างอุปนิสัยของฉันกับพญานาคใหญ่สีแดงอย่างนั้นหรือ? เพื่อสถานะแล้วฉันกันผู้ไม่เห็นด้วยออกไป สูญเสียมโนธรรมและเหตุผลทั้งหมด พระเจ้าทรงยกชูฉันด้วยหน้าที่ของผู้นำ ฉันควรจะร่วมมือกับพี่เฉิน เพื่อทำหน้าที่ของเราให้ลุล่วงและตอบแทนความรักของพระเจ้า แต่ฉันกลับลุ่มหลงกับสถานะ และเปรียบเทียบตัวเองกับเธอ เมื่อฉันไม่อาจล้ำหน้าเธอหรือได้รับชื่อเสียง โชคลาภ สถานะ ฉันก็กลายเป็นคนคิดลบและละเลย และทำให้งานของพระนิเวศเสียหายอย่างร้ายแรง ฉันละเลยในหน้าที่ และเดินบนเส้นทางที่ผิดจริงๆ!

จากนั้นฉันก็ทบทวนและตระหนักได้ว่า ตัวฉันยังมีมุมมองที่ผิดพลาด ฉันคิดเสมอว่าการมีสถานะในพระนิเวศ ทำให้ฉันเป็นคนที่มีประโยชน์ และจะถูกช่วยให้รอดและทำให้เพียบพร้อม แต่ฉันไม่รู้ ว่าพระเจ้าไม่ได้มองที่สถานะในคริสตจักร หรือมองว่าผู้คนจะนับถือเราหรือไม่ พระเจ้าดูที่หัวใจและท่าทีที่เรามีต่อหน้าที่ ในพระนิเวศถ้าเรายอมรับความจริง มีเจตนาที่ถูกต้องและทำหน้าที่ตามหลักธรรม เชื่อฟังพระเจ้าและจงรักภักดีต่อพระเจ้า เมื่อนั้นก็จะได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า ฉันช่างไม่รู้เท่าทันเลยจริงๆ ฉันไม่แสวงหาน้ำพระทัย ใช้ชีวิตตามปรัญชาและมุมมองเยี่ยงซาตาน ฉันไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและโชคลาภ ต้องการสถานะที่สูงส่ง แต่การแสวงหาสิ่งเหล่านี้เป็นความผิดพลาด ฉันเดินอยู่บนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ และถ้าฉันไม่หันกลับมาหาพระเจ้า ฉันจะถูกพระเจ้ากำจัดทิ้งและทำลาย ฉันถูกปลดเพราะความชอบธรรมของพระเจ้า และการทรงคุ้มครองของพระเจ้า พระเจ้าทรงใช้พระวจนะหลายต่อหลายครั้ง เพื่อปลุกหัวใจที่ด้านชาของฉัน ให้ฉันเห็นความจริงแห่งความเสื่อมทรามของตัวเอง นี่คือตอนที่ฉันตระหนักถึงเจตนารมณ์ที่ดีของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าทรงทำคือนำฉันไปสู่เส้นทางที่ถูกต้อง ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าในใจเพื่อกลับใจ และขอให้ทรงนำฉันในการเปลี่ยนแปลงหนทางของฉัน

หลังจากนั้น ฉันเห็นพระวจนะอีกบทตอน “สถานะและเกียรติยศนั้นไม่ง่ายที่จะละวาง สำหรับบรรดาผู้ที่มีของประทานอยู่บ้าง มีขีดความสามารถบางระดับ หรือครองประสบการณ์ในการงานอยู่บ้าง การละวางสิ่งเหล่านี้ย่อมจะยิ่งยากลำบาก…เมื่อพวกเขาไม่มีสถานะ แรงเร้าในเชิงแข่งขันของพวกเขาย่อมอยู่ในช่วงระยะตั้งไข่ ทันทีที่พวกเขาได้มาซึ่งสถานะแล้ว เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าได้ไว้วางใจมอบหมายกิจสำคัญบางอย่างแก่พวกเขา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขาได้ทำงานมาเป็นเวลาหลายปีและมีประสบการณ์กับทุนมากมาย แรงเร้านั้นย่อมไม่ใช่เพิ่งตั้งไข่อีกต่อไป แต่ได้หยั่งรากแล้ว เบ่งบานแล้ว และกำลังจะเกิดผล เมื่อใครบางคนมีความอยากและความมักใหญ่ใฝ่สูงอันสม่ำเสมอที่จะทำสิ่งทั้งหลายที่ยิ่งใหญ่ ที่จะกลายมามีชื่อเสียง ที่จะกลายเป็นบุคคลสำคัญที่ยิ่งใหญ่บางคน พวกเขาก็จบสิ้นแล้ว ดังนั้นแล้วก่อนที่การนี้จะนำทางไปสู่หายนะ เจ้าต้องพลิกสถานการณ์อย่างรวดเร็วและวางสิ่งเหล่านั้นลงไว้ที่ด้านหนึ่ง เมื่อใดก็ตามที่เจ้าทำสิ่งใด—และไม่ว่าบริบทนั้นจะเป็นอะไร—เจ้าต้องปฏิบัติการฝึกฝนตัวเจ้าเองเพื่อสำรวจค้นหาความจริง เพื่อที่จะเป็นใครคนหนึ่งซึ่งซื่อสัตย์และเชื่อฟังพระเจ้า และต้องไม่เพียงแค่หยุดการต่อสู้เพื่อให้ได้สิ่งเหล่านั้นเท่านั้น แต่ยังต้องละวางสิ่งเหล่านั้นด้วยเช่นกัน เจ้าควรตระหนักรู้ว่าเมื่อใดที่เจ้ามีแรงเร้าอันสม่ำเสมอที่จะแข่งขัน หากปล่อยไว้โดยไม่แก้ไข ความอยากที่จะแข่งขันย่อมสามารถทำได้เพียงนำทางไปสู่สิ่งที่แย่ทั้งหลายก็เท่านั้นเอง ดังนั้นจงอย่าเสียเวลาไปกับการสำรวจค้นหาความจริง จงขลิบเล็มความต้องการที่จะแข่งขันของเจ้าทิ้งเสียตั้งแต่ในระยะแตกตา และจงแทนที่พฤติกรรมซึ่งต้องการจะแข่งขันนี้ด้วยการปฏิบัติตามความจริง เมื่อเจ้าปฏิบัติตามความจริง ความต้องการที่จะแข่งขัน ความใฝ่สูงอันเตลิดเปิดเปิง และความอยากของเจ้าจะลดน้อยถอยลงอย่างถ้วนทั่ว และจะไม่แทรกแซงงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าอีกต่อไป ในหนทางนี้ พระเจ้าย่อมจะทรงจดจำและสรรเสริญการกระทำของเจ้า ดังนั้น สิ่งที่เราจะเน้นย้ำก็คือว่า เจ้าต้องถอนรากถอนโคนแรงเร้าเชิงแข่งขันและความมักใหญ่ใฝ่สูงของเจ้าก่อนที่สิ่งเหล่านี้จะเบ่งบานและให้ดอกผล ผู้คนบางคนถามว่า ‘ฉันจะสามารถถอนรากถอนโคนสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร? ฉันควรแค่รักษาสิ่งเหล่านี้ให้อยู่ในช่วงระยะตั้งไข่กระนั้นหรือ?’ นี่ขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามีประสบการณ์อย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าเจ้ารู้สึกเกี่ยวกับการนี้อย่างไร เจ้ามุ่งมั่นเพียงใด ผู้คนบางคนพูดว่า ‘ฉันจะไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้แตกหน่อเสียด้วยซ้ำ’ นั่นก็ดี เจ้าไม่พยายามเป็นปัจเจกบุคคลผู้ทรงเกียรติบางคนที่มีสถานะและที่ยืน แต่เป็นใครบางคนที่ธรรมดา ต่อให้พระเจ้าตรัสว่าเจ้าไร้ค่า เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร เจ้ามีความสุขที่จะเป็นใครบางคนที่ต่ำต้อยในสายพระเนตรของพระเจ้า เป็นผู้ติดตามตัวเล็กและไร้นัยสำคัญ แต่เป็นผู้ที่พระเจ้าตรัสเรียกในท้ายที่สุดว่าเป็นสิ่งทรงสร้างที่ยอมรับได้ บุคคลเช่นนั้นดี(“พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่สาม)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) พระวจนะทำให้ฉันเข้าใจ ว่าฉันไม่ควรไล่ตามเสาะหาเพื่อจะเป็นคนสูงส่งหรือเป็นที่หนึ่ง “จงโดดเด่นเหนือทุกคนที่เหลือ” “เราเท่านั้นที่ครองราชย์สูงสุด” คือคำลวงของซาตาน ถ้ามันพัฒนาถึงจุดนั้นจริงๆ ฉันจะเป็นปีศาจ ไม่ใช่มนุษย์ พระเจ้าประสงค์ให้เราเป็นคนธรรมดา เป็นผู้ติดตามที่เล็กที่สุด ทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ลุล่วง เพื่อให้ได้รับการเห็นชอบจากพระองค์ นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ขณะเดียวกันฉันก็เข้าใจ ว่าเมื่อเกิดสิ่งใดขึ้น เราควรอธิษฐานต่อพระเจ้า ละทิ้งตัวเราอย่างมีสติ และปฏิบัติความจริง ความมักใหญ่ใฝ่สูงและความปรารถนาจะลดลงไปตามเวลา ในอดีต ฉันไม่รู้จักตัวเองหรือไล่ตามเสาะหาความจริง ฉันมักรู้สึกว่าตัวเองมีพรสวรรค์ อยากเป็นที่นับถือและมีความสำคัญ ความมักใหญ่ใฝ่สูงทำให้ฉันลืมตัว ฉันจึงต่อสู้เพื่อชื่อเสียงและโชคลาภไปทุกที่ เห็นชัดว่าฉันด้อยกว่า แต่ก็ทนไม่ได้ที่เห็นคนอื่นล้ำหน้า ฉันโอหังจนสูญเสียเหตุผลทั้งหมดไป ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า ว่าไม่ต้องการชื่อเสียงและโชคลาภอีกแล้ว ฉันแค่อยากเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง และให้ความร่วมมือกับคู่ทำงานในหน้าที่เป็นอย่างดี ในสักช่วงเวลาหนึ่งนั้น ฉันรู้ว่าคู่ทำงานของฉัน ได้รับเลือกโดยอธิปไตยของพระเจ้า มีบทเรียนเพื่อให้ฉันเรียนรู้ พี่เฉินมีขีดความสามารถที่ดี มากประสบการณ์ และสามัคคีธรรมตามความจริงเพื่อแก้ปัญหาได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่องานแห่งพระนิเวศ และการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงของเรา ฉันควรจะเรียนรู้จากจุดแข็งของเธอ เพื่อชดเชยสิ่งที่ฉันขาดไป ทำงานร่วมกับเธอด้วยความปรองดอง เพื่อทำงานของคริสตจักร

ไม่นาน ผู้นำก็จัดเตรียมให้ฉันเป็นมัคนายกในการให้น้ำ ในการประชุมเพื่อนร่วมงานครั้งหนึ่ง ฉันเปิดใจกับพี่เฉินถึงความเสื่อมทรามของฉันในช่วงนั้น เธอไม่ได้ดูแคลนฉัน และยังแบ่งปันสามัคคีธรรมตามพระวจนะด้วย ความเหินห่างของฉันกับเธอถูกกำจัดทิ้ง ฉันรู้สึกถึงการปลดปล่อยอันยิ่งใหญ่ค่ะ ต่อจากนั้น ระหว่างการทำงาน ฉันพยายามคุยเรื่องต่างๆ กับเธอ และให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ พอมุ่งเน้นที่หน้าที่ของตัวเอง ฉันก็รู้สึกถึงการทรงนำของพระเจ้า งานด้านต่างๆ ของฉันเริ่มได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าจริงๆ

หลังจากถูกปลด ฉันก็เห็นว่าความรักที่พระเจ้ามีต่อฉันนั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงมาก การพิพากษาและการตีสอนในพระวจนะ แสดงให้ฉันเห็นถึงความเสื่อมทรามของตัวเอง ทำให้ฉันเห็นแก่นแท้และผลลัพธ์ ของการไล่ตามชื่อเสียงและสถานะได้อย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน พระวจนะก็นำฉันไปสู่เส้นทางที่ถูกต้อง ให้ฉันละทิ้งตัวเองและปฏิบัติความจริง ไม่อย่างนั้นฉันคงยังไม่รู้จักตัวเอง คงจะต่อสู้กับผู้อื่นเพื่อชื่อเสียงและโชคลาภ ถูกซาตานปั่นหัวอย่างที่ทำความชั่วและต่อต้านพระเจ้า ฉันขอบคุณพระเจ้าที่ทรงช่วยฉันให้รอดค่ะ!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger